สัญญารักพรางใจ
คิมหันต์ไม่เคยเชื่อเรื่องพรหมบันดาล โชคชะตา ทำบุญร่วมกันมา
เขาเชื่อว่าทุกอย่างอยู่ที่การกระทำ
หากไม่มีเหตุการณ์นั้นเขาจะแต่งงานกับมัทนาเพราะเหตุผลอะไร

Tags: ความรัก สัญญา ความลับ

ตอน: ตอนที่ 8

ทีปต์เดินทางมาถึงในเวลาเกือบตีห้า การคนหายังดำเนินต่อไปจนกระทั่งแสงยามเช้าเริ่มส่องให้เห็นบริเวณโดยรอบในเวลาเกือบหกโมง ผู้ค้นหาเริ่มเหนื่อยล้า แต่ยังไม่ยอมหยุด ยังไม่มีใครสนใจบ้านที่หลังคาพังยับเยินจนกระทั่งใครคนหนึ่งสงสัยแล้วเข้าไปในบ้านที่คล้ายกับเป็นบ้านร้างไม่น่าเข้าไปอาศัยได้ ปลายเท้าที่ทาบทันกันทำให้พอมีความหวังแล้วเมื่อยกกระเบื้องหลังคาที่ร่วงกราวออกเท่านั้นก็แทบหัวใจหยุดเต้น
“คุณรหัทเชิญทางนี้ครับ” หนึ่งในทีมค้นหาที่พบเป้าหมายตะโกนบอกพร้อมกับสั่งคนที่มาด้วยกัน “พวกแกถอยออกไปจากบ้านให้หมด”
รหัทรีบวิ่งไปตามเสียงเรียกและเข้าไปในบ้าน หนึ่งในทีมรีบรายงานเสียงเบา
“คุณคิมอยู่ในบ้านครับ ผมยังไม่กล้าเคลื่อนย้ายเพราะว่า...เข้าไปดูเองดีกว่าครับ”
รหัทเดินเข้าไปในบ้านด้วยความสงสัย ประตูถูกปิดให้อย่างรู้หน้าที่ ภายในบ้านไม้ที่ดูไม่แข็งแรงนั้นข้าวของกระจัดกระจาย แสงส่องลงจากหลังคาที่เป็นรูโหว่ เสื้อผ้าที่ยังหมาดถอดกองไว้ห้องแรกที่เข้ามาแล้วเมื่อก้าวต่อไปอีกห้องที่ประตูมีเพียงวงกบ รหัทใจเต้นรัวแต่ยังใจแข็งเข้าเอานิ้วอังจมูกของคิมหันต์กับมัทนา เขาถอนใจโล่งอกเดินกลับมาห้องแรก เพื่อหาจนได้ผ้าขนหนูผืนใหญ่แล้วจัดการห่มให้ทั้งสองคนก่อนจะเดินออกมานอกบ้านด้วยสีหน้าเป็นปกติ
“คุณและคนอื่นๆ ลงไปรอข้างล่าง แจ้งคุณทีปต์ให้ขึ้นมาบนนี้ด้วย”
“ฉันมาแล้ว ไหน หลานฉันอยู่ที่ไหน ปลอดภัยดีหรือเปล่า”
รหัทหันไปตามเสียงดีใจเป็นล้นพ้นที่ไม่ต้องเป็นคนตัดสินใจว่าควรทำอย่างไรต่อไป ทีมค้นหาเดินเท้าลงไปรอข้างล่าง เขาเปิดประตูให้คุณทีปต์เข้าไปในบ้านและเห็นด้วยตาตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้นด้านใน
“คิดว่าปลอดภัยดีครับ เพียงแต่ว่า...”
“ปลุก” ทีปต์สั่ง
รหัทเดินไปนั่งลงใกล้ๆ พยายามไม่มองร่างที่คิมหันต์ตระกองกอดไว้ภายใต้ผ้าขนหนูที่เขาห่มให้ เขายื่นมือไปแตะไหล่นายเบาๆ แล้วทำตามที่นายใหญ่กว่าสั่ง
“คุณคิมครับ ตื่นได้แล้วครับ”
คิมหันต์รู้สึกรำคาญเสียงที่ได้ยินและยังกอด ‘หมอนข้าง’ แน่นขึ้นไปอีก น่าแปลกหมอนข้างทำไมถึงนุ่มนิ่มและหอมแบบนี้ แถมหมอนข้างยังเป่าลมอุ่นๆ ใส่อกได้ด้วย เสียงน่ารำคาญยังไม่ยอมหยุด อีกทั้งหัวยังปวดตุบๆ ทั้งที่ไม่ได้กินเหล้าสักแก้ว เขาลืมตา แต่พอแสงแยงตาก็หลับลงไปใหม่กะพริบอยู่หลายครั้งกว่าจะลืมตาได้ คนแรกที่เห็นทำไมถึงเป็นบอดี้การ์ด หรือว่าจะมีเรื่อง
“เกิดอะไรขึ้นรหัท”
“ผมไม่ทราบครับ คุณคิมน่าจะทราบ” รหัทรีบลุกขึ้นแล้วเดินออกมายืนรอนอกบ้าน
คิมหันต์สะบัดหัวที่มึนเหมือนโลกหมุน พอขยับลุกมือกับสัมผัสได้ถึงความละเอียดของเนื้อนุ่มนิ่มที่โอบกอดไว้ ท่อนแขนของเขากลายเป็นหมอนของมัทนา แต่นั่นยังไม่น่าตกใจเท่าเราอยู่ในสภาพที่...
มัทนาลืมตาตื่นรู้สึกราวกับกำลังฝัน อีตาคิมจะมาอยู่ใกล้หน้าของเธอขนาดนี้ได้ยังไงกัน ทว่าความอุ่นที่ร่างกายรู้สึกกลับบอกชัดว่าฝันทำไม่ได้ขนาดนี้ ต่างคนต่างตะลึงงันสับสนว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมเราถึงมาอยู่ด้วยกันได้
“เฮ้ย! ทำไมเราสองคน”
มือบางสะบัดพรวดทีเดียวใบหน้าของคิมหันต์ก็หันไปตามแรง ร่างเพรียวขยับหนีมาพร้อมกับผ้าขนหนูห่มกาย คิมหันต์มีเพียงผ้าขาวม้าที่ยังพันบั้นเอวไว้เท่านั้น
“ปู่ให้เวลาเราสองคนแต่งตัวให้เรียบร้อย หลังจากนั้นเราต้องคุยกัน”
ตะลึงอึ้งไปทั้งสองคนเมื่อไม่คิดว่าปู่ก็อยู่ที่นี่ด้วย ยังดีหน่อยที่ทีปต์หันหลังให้ตั้งแต่เห็นว่าหลานชายกำลังจะตื่น พอบอกแล้วก็เดินออกไปรอนอกบ้านอีกคน มัทนายังสับสนมึนงงพอๆ กับคิมหันต์ว่าเมื่อคืนเกิดอะไรขึ้น ความอายและความโกรธทำให้เธออยากซ้อมเขาให้สะบักสะบอมคามือ แต่สภาพไม่อำนวย
คิมหันต์มองทุกสิ่งรอบตัวและทบทวนสิ่งสุดท้ายที่จำได้ก่อนจะฟื้นขึ้นมาในเช้าวันใหม่ กระเบื้องร่วงกราว ลูกเห็บเม็ดใหญ่ เสียงฟ้าผ่าดังสนั่น สิ่งต่างๆ เริ่มประติดประต่อเป็นเรื่องราวได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เขาสลบไปทั้งที่กอดมัทนาทั้งคืนในสภาพที่เราต่างไม่เรียบร้อยกันทั้งคู่

คิมหันต์เดินออกมาก่อน ชุดที่ใส่เป็นเสื้อผ้าที่รหัทไปเอามาให้จากในรถ โทรศัพท์ของเขาน้ำเข้าตายสนิทไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว ทีปต์ไม่พูดอะไรเมื่อมัทนายังไม่ออกมา คิมหันต์ไม่ปล่อยให้เวลาเสียเปล่าเมื่อมีเรื่องคุยกับรหัทเรื่องคนร้าย
มัทนาเปลี่ยนเสื้อผ้าเป็นชุดใหม่เพราะรหัทไปเอามาให้เหมือนกัน แต่ที่นานกว่าจะออกมาได้เพราะมันทำใจยากจริงๆ อีตาคิมคงเห็นอะไรต่อมิอะไรแน่ๆ ปู่ของเขาอาจจะไม่ แต่บอดี้การ์ดคนนั้นล่ะ ถึงจะมั่นใจห้าวแค่ไหนย่อมทำใจเรื่องแบบนี้ไม่ได้ แม้ว่าเมื่อคุยกับคิมหันต์แล้วเราจะเข้าใจตรงกันว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น ก็แค่กอดกันมาตลอดทั้งคืนในสภาพ...
พอก่อน ขืนคิดไปมากกว่านี้ วันนี้คงไม่ได้ออกไปสู้หน้าชาวโลกแน่ๆ มัทนาถอนใจยาวแล้วผลักบานประตูออกไปอย่างคนที่มั่นใจ แม้ว่าข้างในจะเหลวเป๋ว เธอเลือกนั่งฝั่งเดียวกับคิมหันต์แล้วเว้นระยะไว้ ชายชรามองมาไม่พูดอะไร เอาแต่จ้องหลานชายอย่างกับคุยกันทางสายตา
“มันเป็นอุบัติเหตุครับปู่ แต่ผมพร้อมจะรับผิดชอบในสิ่งที่ลูกผู้ชายควรทำ” น้ำเสียงของคิมหันต์ราบเรียบ
“ใช่ค่ะ มันเป็นอุบัติที่เรียกว่าซวยก็ได้ ไม่มีอะไรต้องรับผิดชอบ” เธอกับคู่กรณีคุยกันจนไม่เกิดการลงมือให้หายโมโหก่อนจะออกมาพบชายชราหน้าตาใจดีที่คิมหันต์บอกว่าเป็นปู่
คิมหันต์หันมาขมวดคิ้วใส่ “การที่ฉันกอดเธอไว้ทั้งคืนเรียกว่าซวยงั้นเหรอ”
มัทนาถลึงตาใส่คิมหันต์ก็จะให้บอกว่ารู้สึกดีที่ถูกกอดทั้งที่สลบไปไม่รู้เรื่องหรือไง เฮ้อ
“แต่มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นนะครับ เราสลบไปเพราะหลังคาร่วงใส่หัวผม แล้วตอนที่ผมวิ่งมาหามัทนา เธอกำลังตกใจอะไรสักอย่าง”
“ตุ๊กแกมันร้องใส่หูหนูค่ะ ไม่มีอะไรจริงๆ” มัทนาพยายามให้เหตุผล อยากพูดไปตรงๆ แทบแย่ว่าไม่ได้อ่อยใคร แต่ขืนพูดออกไปอาจจะยิ่งแย่ไปมากกว่านี้
“มีใครเห็นเด็กสองคนก่อนฉันมาถึงบ้าง” ทีปต์หันไปถามรหัท
“มีครับ หลายคน” อย่างน้อยก็เขา คนพบคนแรก ส่วนคนอื่นๆ ยังไม่ได้ถาม
ทีปต์ทำหน้าเหมือนคิดหนักทั้งที่ตัดสินใจไปแล้วตั้งแต่เห็นเด็กสองคนอยู่ด้วยกันในสภาพใกล้ชิดเกินกว่าคนรู้จักจะทำด้วยกันได้
“ถ้างั้นปู่คิดว่าเราน่าจะต้องไปบ้านของหนูมัทนา”
คิมหันต์มองปู่อย่างรู้ทันแล้วคำว่ารับผิดชอบของเขาก็มีความหมายกว้างเสียด้วยสิ
“ผมรู้นะครับว่าปู่กำลังคิดอะไร”
ทีปต์หัวเราะชอบใจ ในเรื่องร้ายๆ มักเกิดเรื่องน่ายินดีเสมอ ราวกับแสงสดใสของพระอาทิตย์หลังฝนตกอย่างไรอย่างนั้น
“เลี้ยงหลานแล้วฉลาดปู่ค่อยชื่นใจหน่อย”
ดูเหมือนการสนทนาจะจบลงแค่นี้ ชายชราลุกขึ้นแล้วเดินลงไปข้างล่างโดยมีรหัทช่วยจับแขนพยุง คิมหันต์ลุกขึ้นจะเดินตามไปอยู่แล้วถ้าไม่เห็นมัทนาทำหน้าเหมือนสับสนทุกอย่าง เขาดึงเธอขึ้นมา แขนเรียวสะบัดออกแล้วเดินนำ ร่างสูงเดินมายืนเคียง เริ่มเห็นใจเพราะเขาเองที่นำปัญหามาให้ จนเธอตกกระไดพลอยโจนเรื่องบานปลาย
“นี่คุณ ปู่ของคุณจะไปบ้านของฉันทำไมเหรอคะ”
“ตั้งสติเอาไว้ดีๆ แล้วกัน เรื่องใหญ่สำหรับเราสองคน” สมใจคุณทีปต์ล่ะคราวนี้ อะไรมันจะเข้าล็อคพอดิบพอดีจนเหมือนกับใครจงใจ
“แล้วมันเรื่องอะไรล่ะ”
“ปู่ของฉันเป็นคนหัวโบราณ แถมยัง...” จะพูดอย่างไรดีล่ะ ขืนบอกว่าปู่ของเขาอยากได้เธอมาเป็นสะใภ้แบบที่เหตุผลคืออะไรก็ไม่รู้ มัทนาคงยิ่งสับสนไปมากกว่านี้ “ช่างเถอะ เอาเป็นว่าถ้าเธอไม่ต้องการทำอะไรก็ยืนกรานเข้าไว้ แต่ถ้าไม่สบายใจก็ตอบตกลงไปแค่นั้น”
มัทนากลับไม่เข้าใจยิ่งกว่า เธอรู้สึกเหมือนมีบางอย่างมาบีบอยู่ที่อก ราวกับทำผิด ทั้งที่บอกตัวเองว่าไม่ได้ทำผิดอะไร การเติบโตในชนบท แม้จะเรียนมหา’ลัยในเมือง แต่ความหัวโบราณเรื่องร่างกายของหญิงและชายยังคงอยู่ จะไปคิดอะไรมาก ในเมื่อแค่นอนกอด ไม่ได้ทำอย่างอื่นสักหน่อย บางทีก็แค่ไปส่งบ้านแล้วขอโทษที่ทำให้การเดินทางล่าช้ากระมัง

มัทนาเดินตามคิมหันต์ไปยังรถอีกคันที่ปู่ของเขาเพิ่งเข้าไปนั่ง แล้วเธอล่ะจะนั่งตรงไหน ยังไม่ทันได้ตัดสินใจประตูอีกฝั่งของเบาะหลังก็เปิดให้เธอเข้าไป เข้าก็เข้าวะ คิมหันต์คงไปนั่งเบาหน้า แต่ผิดคาดเขากลับตามเข้ามาแล้วนั่งข้างๆ กลายเป็นว่าเธอถูกขนาบไว้ทั้งซ้ายและขวา ไม่เข้าใจว่าจะเบียดกันทำไมในเมื่อเบาะยังเหลืออีกที่ ป่วยการถามแค่นั่งเงียบๆ ก็อึดอัดแทบแย่ แล้วโทรศัพท์เจ้ากรรมที่อยู่ในกระเป๋าเป้ยังดังขึ้นมาอีก
“มีอะไรหรือพี่ไม้” เธอถามเสียงเบา
“อ้าว ก็มัทบอกว่าจะมาตั้งแต่เมื่อคืน จนวันนี้ฟ้าแจ้งแล้วพี่ยังไม่เห็นลุงริชาร์ดเลยน่ะสิ ตกลงจะมาหรือไม่มา พี่จะได้บอกแม่ถูก กำลังเป็นห่วงมัทอยู่เนี่ย”
มัทนาอยากทึ้งหัวตัวเองเพราะเกิดเรื่องบ้าๆ นั่นแหละทำให้ลืมเรื่องสำคัญไปได้
“อีกประเดี๋ยวก็ถึงแล้วพี่ไม้ ยายเป็นยังไงบ้าง”
“คุยน้ำหมากกระจายแล้ว ค่อยๆ ขับรถมาล่ะ” ไม้บอกแล้วเป็นฝ่ายวางสายไป
คิมหันต์หันมามองมัทนาที่กำลังเก็บโทรศัพท์แล้วกอดกระเป๋าเป้ไว้ เขาเคยหมั่นไส้มาดทอมยียวน ทว่าในเวลานี้เธอไม่ต่างจากผู้หญิงที่ไม่มั่นใจ เธอยังเด็ก เกือบลืมไปด้วยซ้ำว่าเราสองคนอายุต่างกันห้าปี เขารับมือกับสิ่งที่เกิดขึ้นได้ แล้วมัทนาล่ะคิดอย่างไรอยู่กันแน่

พิมพ์อรนั่งเจียนใบตองอยู่บนเรือน ใกล้ๆ กันพิมพ์ใจนอนหลับรับลมหลังจากได้กินยา บำรุงกำลังปอกกล้วยวันนี้เราจะกินข้าวต้มมัดกัน มัทนาบ่นมาหลายวันแล้วว่าอยากกิน กล้วยสุกพอดีเลยได้ทำ ขาของเขาหายดีแล้วตัดเฝือกออกไปเมื่อสัปดาห์ก่อน อาการของหญิงชราประจำบ้านไม่มีอะไรน่าห่วง หมอบอกว่าแค่ตกใจ กระดูกไม่แตก มีรอยช้ำจ้ำๆ ที่ท้องแขนตอนฟาดกับบันไดแล้วบำรุงเห็นทันแล้วเข้าไปอุ้มขึ้นมาบนเรือน แต่เพราะเห็นว่าพิมพ์ใจเป็นลมก็เลยพาไปหาหมอเมื่อคืน
มีเสียงรถแล่นมาจอดใต้ต้นจามจุรี พิมพ์อรมองผ่านช่องระเบียงก็ให้นึกแปลกใจเพราะไม่ใช่รถของลูกสาวแต่มัทนากลับลงมาจากรถพร้อมกับพ่อคิมและชายแปลกหน้า
“ยัยมัทกลับมาแล้ว ไม้ไปดูสิลูก”
บำรุงวางมือจากกล้วยที่กำลังหั่นลงบันไดไปหน้าบ้านก็เห็นน้องสาวเดินมากับคิมหันต์และใครอีกหลายคน ท่าทางเหมือนพวกเจ้าพ่อมาเฟียในหนังเลยแฮะ มัทนาเห็นพี่ชายรีบเดินมาหารู้สึกตัวลีบมานานแล้ว
“ใครน่ะยัยมัท มากันเยอะอย่างกับจะมาทัวร์สวนบ้านเรา” บำรุงหัวเราะ
“ปู่ของอีตาคิม เรื่องมันยาวขึ้นบ้านกันเถอะ” น้องสาวกระซิบบอก พอหันไปทางชายชราจึงยกมือไหว้แล้วพูดเสียงอ่อนน้อม “ขอบคุณที่มาส่งนะคะ”
“ฉันไม่ได้มาส่งหนูอย่างเดียวหรอกนะ มีเรื่องจะคุยกับแม่และยายของหนูด้วยน่ะ ช่วยพาฉันไปพบได้หรือเปล่า”
ถ้าบอกว่า...ไม่ได้ สงสัยจะถูกคุณพิมพ์อรทำโทษโทษฐานไม่มีมารยาท เธอเลยต้องผายมือเชิญแขกที่เชิญและไม่ได้เชิญขึ้นมาบนบ้าน บำรุงเดินตามมาแบบงงๆ
“อะไรวะไอ้มัท”
“ไม่รู้เหมือนกัน”
พิมพ์อรวางมือจากใบตองที่กำลังเจียน มองลูกสาวด้วยความสงสัยว่าแขกที่มาเป็นใครกัน คิมหันต์ยกมือไหว้พิมพ์อรแล้วมองไปที่พิมพ์ใจ หญิงชรากำลังหลับดูไม่ได้เป็นอะไรมาก
“ปู่ของเจ้านายมัทค่ะแม่” มัทนารับหน้าที่แนะนำ
พิมพ์อรยกมือไหว้ผู้มากวัยกว่า น่าแปลกที่นางรู้สึกคลับคล้ายคลับคลาใบหน้าของผู้ชายคนนี้เหมือนเคยพบกันที่ไหนมาก่อน
“สวัสดีค่ะ ไปยังไงมายังไงถึงมาด้วยกันได้ แล้วพ่อคิมทำไมมาเป็นเจ้านายของเราได้ล่ะยัยมัท”
ทีปต์รับไหว้แล้วยิ้มเป็นมิตร คิมหันต์รู้สึกแปลกใจ ใครๆ ก็รู้ว่าปู่ของเขายิ้มยากสำหรับคนนอก ยิ้มเมื่อไหร่ถ้าไม่ใช่เพราะมีเรื่องเลือดอาบก็ต้องได้ผลประโยชน์มหาศาลเท่านั้น
“เป็นเรื่องเข้าใจผิดกันน่ะครับ หลานชายของผมไม่ค่อยแสดงตัวเท่าไหร่ ก็เลยไม่ค่อยมีใครรู้ว่าเป็นบอสของ Blue Enterprise” ทีปต์รู้ตัวว่าหลานมองมา เขารู้ทุกอย่างในบริษัทนั่นแหละ แค่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้นเอง “แล้วที่มาวันนี้ก็มีเรื่องอยากจะปรึกษาถามความเห็น ถ้าตกลงกันได้จะจัดการอะไรมันก็ง่ายน่ะครับ”
“จัดการอะไรหรือคะ” พิมพ์อรถามพลางมองลูกสาวที่ส่ายหน้าไม่รู้เหมือนกัน
คิมหันต์เริ่มนับถอยหลังในใจ การยิ้มของปู่ในครั้งนี้ก็เพราะสมใจ คงจะได้หลานสะใภ้คราวนี้เอง น่าแปลกไม่น้อย การแสดงออกของปู่ทำเหมือนมาบ้านหลังนี้เป็นครั้งแรก ไม่มีใครแสดงออกว่ารู้จักปู่มาก่อน เรื่องมันยังไงกันแน่
“ผมมาสู่ขอหนูมัทนาให้เจ้าคิมครับ”
“หา!” พิมพ์อรยกมือทาบอก
“อะไรนะคะ”
“สุดๆ ไปเลยปู่”
บำรุงไม่ได้อุทานอะไรออกมา ได้แต่มองน้องสาวที่ทำเหมือนเพิ่งรู้พร้อมๆ กับทุกคน ถ้าเขาไปสู่ขอยุพาแล้วแต่ละคนอุทานแบบนี้ จะทำยังไงดีหว่า
“ไปสปาร์ครักกับเจ้านายตัวเองตอนไหนฮึยัยมัท ทำไมพี่กับแม่ไม่รู้เรื่องเลย” เรื่องที่คิมหันต์เป็นเจ้านายของน้องสาวกลายเป็นเรื่องเล็กไปเลย พิมพ์อรพยักหน้ารอฟังอย่างตั้งใจ
มัทนาอยากจะเป็นลม ไม่นึกว่าปู่ของคิมหันต์ตามมาเพื่อพูดเรื่องนี้ ทั้งที่ไม่ได้ถามความเห็นของเธอกับอีตาคิมสักคำ ถึงจะหน่วงๆ ในใจเพราะภาพที่เธอกับเขานอนกอดกันยังติดตา แต่ว่าต้องถึงขนาดแต่งงานกันเลยเหรอ แล้วจะตอบทุกสายตาที่มองมาอย่างไรดี ทำไมคู่กรณีของเธอไม่พูดอะไรบ้าง อยากแต่งงานกับเธอหรือไง
“มันเป็นเรื่องเข้าใจผิดค่ะแม่ เมื่อคืนมัทขับลุงริชาร์ดกลับบ้าน แต่รถดันมาเสียกลางทาง พอดีเจ้านายของมัทขับรถผ่านมาเลยขับรถจะมาส่งมัทที่บ้าน แต่ระหว่างมีปัญหาบางอย่าง มีคนขับรถตาม เราก็เลยขับรถหลบมาทางซอย ยางรถแบน เราออกมาหาคนช่วย แต่ไม่มีใครอยู่ในบ้าน ฝนมันตกหนัก เราสองคนเลยหลบไปในบ้าน หาเสื้อแห้งๆ เปลี่ยน แต่ดันซวยกระเบื้องร่วงใส่หัวเจ้านายพอดี เราเลยสลบไป” เธอขยิบตาให้คิมหันต์ ขืนบอกว่าถูกตามไล่ยิง แม่ได้เป็นลม
พิมพ์อรถอนใจโล่งอกนึกว่ามีเรื่องเสียหาย ที่แท้เด็กสองคนก็ไปหลบฝนด้วยกันคืนเท่านั้นเอง แต่ถ้าแค่หลบฝนแล้วกระเบื้องร่วงใส่หัวสลบ แล้วทำไมปู่ของพ่อคิมถึงต้องมาสู่ขอ
“ถ้าเรื่องแค่นี้ไม่ต้องสู่ขอให้เด็กสองคนมาแต่งงานกันก็ได้มั้งคะ”
มัทนาค่อยยิ้มได้ แต่คิมหันต์ทำไมยังทำหน้าเรียบกริบ นึกว่าจะดีใจกระโดดโลดเต้นอย่างที่เธออยากทำเสียอีก ทีปต์นึกไว้อยู่แล้วว่าเรื่องอาจจบลงง่ายเกินไป แม่ของมัทนาไม่เห็นถึงความใกล้ชิดอย่างที่เขาเห็น เขามันหัวโบราณ ถ้าเป็นสมัยก่อนต้องเรียกว่าผิดผี
“ผมมีบางอย่างจะคุยกับแม่ของหนูมัทเป็นการส่วนตัวได้ไหมครับ”
“ก็ได้ค่ะ ว่าแต่เรื่องอะไรหรือคะ”
“เชิญด้วยกันทางนี้ครับ” ทีปต์ลุกขึ้นแล้วลงจากเรือนไป
พิมพ์อรเดินลงไปสมทบ แล้วการคุยกันเป็นเรื่องเป็นราวก็เกิดขึ้น ในขณะที่บนเรือนคิมหันต์ยังเงียบจนมัทนาชักหงุดหงิด แทนที่เขาจะช่วยกันพูดว่าไม่มีอะไรเสียหายเกิดขึ้นระหว่างเราสองคน แต่เขาทำเหมือนกับยอมรับในสิ่งที่ปู่ของเขาพูดไป มันยังไงกันละเนี่ย
“คุณจะไม่พูดอะไรหน่อยเหรอ เรากำลังถูกคลุมถุงชนกันอยู่นะ”
“ถ้าเธอรู้จักปู่ของฉันเหมือนที่ฉันรู้จักก็จะทำแบบนี้แหละ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเธอ จำที่ฉันบอกได้ไหมก่อนเราจะมาที่นี่ นั่นแหละสิ่งที่ฉันยอมรับ”
บำรุงยิ่งฟังยิ่งงง ยังไม่ทันได้ถามทีปต์กับพิมพ์อรก็เดินกลับขึ้นมาบนเรือน มัทนาเห็นสีหน้าของแม่บอกชัดว่ากระอักกระอ่วนใจ น่าสงสัยว่าปู่ของอีตาคิมพูดอะไรกับแม่
“หนูมัทนาเป็นฝ่ายเสียหาย ในฐานะปู่ของเจ้าคิม อย่างไรก็ต้องรับผิดชอบ รับการสู่ของเถอะนะครับคุณแม่หนูมัท”
พิมพ์อรอึกอัก ตั้งแต่เล็กจนโตนางไม่เคยบังคับลูก แล้วจะมาบังคับตอนนี้ทั้งที่ไม่สบายใจก็อย่างไรอยู่
“มัทไม่แคร์กับเรื่องแค่นี้ค่ะ จะไม่มีการสู่ขอ ไม่มีการรับผิดชอบอะไร”
“แต่มัทเป็นผู้หญิงนะลูก แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นมันก็...” พิมพ์อรแย้งเสียงอ่อน
สองหนุ่มสาวพอจะเดาได้แล้วว่าญาติผู้ใหญ่ของเราไปคุยด้วยประเด็นอะไรกันมา มัทนาทำหน้าเหมือนโลกใกล้แตก ท่าทีของแม่ยังดูเหมือนว่าเห็นด้วยกับปู่ของคิมหันต์ไปแล้ว ทางที่ดีต้องหาพวก
“พูดอะไรหน่อยสิพี่ไม้”
บำรุงยิ้มนำมาก่อนเลย “จะให้พูดอะไรล่ะ ทุกอย่างมัทรู้ดีกว่าพี่นี่หว่า”
พิมพ์อรรู้สึกไม่สบายใจก็จริง แต่หน้าตาของลูกสาวที่ดูไม่เต็มใจทำให้ไม่อยากบังคับใจ ถ้าเด็กสองคนไม่ได้รักกันจะยิ่งแย่ไปกว่าเดิม
“ฉันว่าให้เด็กสองคนตัดสินใจไม่ดีกว่าหรือคะ เรื่องแบบนี้ผู้ใหญ่ตัดสินใจ แต่เด็กต้องอยู่ด้วยกันแบบจำยอมคงไม่มีความสุขนะคะ”
“เยี่ยมเลยค่ะแม่” มัทนาค่อยยิ้มได้
ทีปต์พยักหน้าเริ่มเห็นด้วย เขามันพวกเอาแต่ใจ แต่เรื่องที่เกิดขึ้นเป็นใจให้เอาแต่ใจเสียด้วยสิ
“บอกปู่มาว่าคิมตัดสินใจยังไง”
“ผมตกลงตามที่ปู่ต้องการครับ”
มัทนาแทบจะกระโจนเข้าไปเสยคางอีตาคิม พูดแบบนี้เธอก็แย่น่ะสิ เขาบ้าไปแล้ว ไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบ อยู่ๆ จะมาแต่งงานกันทำไม เขาไม่ชอบหน้าเธอไม่ใช่หรือไง
“จะบ้าหรือคุณ แค่เสียตัวให้ฉันกอดคืนเดียว ไม่ต้องมารับผิดชอบก็ได้”
บำรุงมองหน้าใครต่อใครเลิกลั่ก แต่ไม่มีใครให้คำตอบอะไรเขาสักคน ยุคนี้มันยุคผู้ชายเสียตัวให้ผู้หญิงแล้วหรือวะ เขาเพิ่งรู้
“แล้วมัทล่ะลูก”
“มัทไม่ตกลงค่ะ” เธอตอบทันทีไม่เสียเวลาคิดด้วยซ้ำ ไม่เช่นนั้นสิ่งที่ปลูกฝังมาแต่เด็กเรื่องการรักนวลสงวนตัวจะทำให้เธอเปลี่ยนใจ แต่เธอยังไม่ได้เสียตัวสักหน่อย แล้วก็ไม่ได้อ่อยผู้ชายด้วย มันเป็นอุบัติเหตุล้วนๆ สาบานได้
“ถ้างั้นผมให้เวลาสามวันสำหรับทบทวนดู ถึงจะคืนเดียว แต่ในสภาพใกล้ชิดกัน ไม่ว่ายังไงทางผมก็ต้องรับผิดชอบครับ” ทีปต์ยืนยันหนักแน่นเหมือนกันแม้ว่าจะสงสัยว่าทำไมหลานชายยอมทำตามที่เขาสั่งง่ายดาย ทั้งที่ก่อนหน้านี้ปฏิเสธเสียงแข็ง
“ขอบคุณนะคะ ฉันคงแล้วแต่ลูก”
“ขอโทษคุณน้าด้วยนะครับที่ทำให้เกิดเรื่องราวขนาดนี้” คิมหันต์ยกมือไหว้ขอโทษจากใจจริง
พิมพ์อรรับไหว้ “ก็ค่อยๆ คิดกันไปนะ น้าไม่โกรธพ่อคิมหรอก เข้าใจว่ามันเป็นเหตุสุดวิสัย”
ทีปต์ยิ้มกว้างดูเหมือนว่าคิมหันต์จะก้าวหน้าไปไกล ทั้งที่บอกว่าไม่สนใจหนูมัทนา แต่มาจนคนบ้านนี้ให้ความสนิทสนมไม่ถือสามันน่าคิดไม่น้อย
มัทนาค่อยเบาใจไม่ลุกออกมากลางวง รอจนปู่ของคิมหันต์ขอตัวกลับ เธอถอนใจโล่งอกเฉไฉมองไปทางอื่น จะไม่รู้สึกรู้สาอะไรเลยคงไม่ใช่ แต่พอมองแม่กับพี่ชายกลับถูกจ้องอยู่ งานนี้ยังไม่พร้อมให้ปากคำ
“มัทขอไปพักก่อนนะคะ เอาไว้บ่ายๆ ค่อยคุยเรื่องนี้”
มัทนาลุกขึ้นแล้วเผ่นเข้าห้องนอนตัวเองไปทันที บำรุงขมวดคิ้วเพราะตั้งแต่ฟังมาจนแขกขอตัวกลับเขายังไม่ได้รู้อะไรเป็นชิ้นเป็นอันเลย
“เกิดอะไรขึ้นกันแน่ครับแม่”
“ยัยมัทกับพ่อคิม จะพูดยังไงดี” พิมพ์อรถอนใจยาวกลุ้มใจไม่น้อย
“แล้ว...”
“ไปอู่ได้แล้วจ้า”
วงแตกแบบเบ็ดเสร็จ บำรุงแจวลงมาจากเรือนแล้วขี่เวสป้าไปอู่ พิมพ์อรจะเจียนใบตองต่อก็ไม่มีกะจิตกะใจเสียแล้ว ถึงจะบอกลูกสาวไปแบบนั้น แต่มันทำใจยากจริงๆ แต่ให้บังคับลูกสาวยิ่งทำไม่ได้ใหญ่ อีกหน่อยเรื่องราวก็ผ่านไป เด็กสมัยนี้คงไม่ถือสาเรื่องแบบนี้ แต่นางคงต้องทำใจอีกหลายวันเมื่อคิดว่าผ้าขาวที่ถนอมดูแลมาตั้งแต่เด็กมีรอยเทาแล้ว

มัทนาหลับไปตั้งแต่สายจนเกือบเที่ยงถึงได้ตื่นแล้วเดินไปเยี่ยมยายที่หัวเราะสบายใจแค่บ่นว่าเจ็บแขนเท่านั้น เธอทายาให้แล้วเดินสโลสเลลงมาตามกลิ่นหอมๆ ที่มีจุดกำเนิดมาจากในครัว แม่กำลังนึ่งข้าวต้มมัด แถมใกล้สุกพอดี ข้าวผัดอยู่ในกระทะ ช่างเป็นแม่ที่รู้ใจลูกคนนี้เหลือเกิน
“หิวไหม แม่ทำข้าวต้มมัดไว้ให้” พิมพ์อรหันมาเห็นลูกสาวกำลังเดินเข้ามาในครัว
มัทนาเดินมากอดเอวแม่ไว้แล้วเอาหน้าซบหลัง ขอบคุณที่แม่ทำเหมือนปกติ ไม่ได้นั่งเศร้าให้เธอรู้สึกผิด ทั้งที่มั่นใจว่าไม่ได้ทำผิดอะไรเลย มันเป็นอุบัติเหตุ
“รักแม่จัง”
“ไม่ต้องมาอ้อน แล้วพรุ่งนี้จะไปทำงานหรือเปล่า” พิมพ์อรชวนคุย
มัทนาหัวเราะยิ้มกว้างยอมปล่อยเอวแม่แล้วรับข้าวต้มมัดหอมฉุยมาเปิดใบตองดู ร้อนหรือหนาวยังทนได้มาตั้งนาน กับเรื่องนี้ก็ต้องผ่านไปได้สิ เธอไม่ใช่คนอ่อนแอสักหน่อย แต่พอเกิดเรื่องก็ชักจะคิดอะไรใหม่ๆ
“ไปสิคะ ขืนไม่ไปสงสัยจะถูกประเมินไม่ผ่านงาน เอ หรือว่าหางานใหม่ดี”
“ยังมีเวลาคิดนะลูก ถ้าไม่ได้รัก ไม่ได้ชอบก็บอกปฏิเสธไป แม่ตามใจลูก ถึงแม้ว่าเรื่องที่เกิดขึ้นในบ้านหลังนั้นมันจะทำให้ลำบากใจอยู่บ้าง”
เธอก็เหมือนกัน แต่ขืนพูดออกไปแบบนั้นแม่ยิ่งไม่สบายใจเข้าไปใหญ่
“มันไม่มีอะไรจริงๆ นะคะ”
พิมพ์อรไม่ซักไซ้อะไรนั่งมองลูกกินข้าวต้มมัดอยู่ครู่หนึ่งก็ลงไปที่สวน ตลอดมามัทนาไม่เคยทำเรื่องเสื่อมเสียเพราะคิดเสมอว่านางเหลือลูกสาวเพียงเดียว พ่อกับลูกชายก็ตายไปหมดแล้ว อย่างไรก็ต้องดูแลลูกสาวให้ดีที่สุด แต่จะให้บังคับใจลูก นางทำไม่ได้จริงๆ

วันต่อมามัทนามาทำงานตามปกติ กุญแจรถวางอยู่ที่โต๊ะและมีโน้ตเขียนสั้นๆ ว่าลุงริชาร์ดอยู่ที่อู่... เย็นนี้คงต้องพึ่งบริการมอเตอร์ไซค์รับจ้างไปดูอาการของลุงสักหน่อย เดชามาถามแต่เช้าว่าเมื่อวานหายไปไหน เธอได้แต่บอกว่ามีธุระสำคัญก่อนจะไปเขียนใบลาย้อนหลังแล้วบอกเหตุผลให้จิรัฐฟังอีกคน ยังดีที่วันนี้คิมหันต์น่าจะอยู่กรุงเทพฯ ทำให้ไม่ต้องกังวลว่าเขาจะโผล่มาให้รู้สึกกังวล เธอทำงานของตัวเองไปพยายามเฮฮาตามประสาเหมือนเคย จู่ๆ ช็อปก็เงียบกริบ เธอหันไปมองก็เห็นปวรกำลังมองมาทางนี้พอดี
“เชิญคุณมัทนามากับผมครับ”
“มีเรื่องอะไรหรือมัท ทำไมเลขาบอสมาตามถึงที่” เดชากระซิบถาม
“ไม่รู้เหมือนกันเดช เดี๋ยวกลับมานะ”
ปวรยืนรอให้มัทนาเดินนำออกไปจากช็อป เดชามองตามอย่างไม่สบายใจรู้สึกว่ากำลังมีคู่แข่งทั้งหญิงและชายเสียด้วย ปวรผายมือไปอีกทางซึ่งไม่ใช่ทางไปห้องทำงานของคิมหันต์ แต่เป็นหน้าบริษัทซึ่งมีรถจอดรออยู่ เขาเปิดประตูให้มัทนาเข้าไป แต่เธอยังไม่แน่ใจเลยต้องถาม
“เราจะไปไหนกันหรือคะ บอสของคุณไม่ได้อยู่ในห้องทำงานเหรอ”
“ไปหาคุณทีปต์ครับ ท่านกำลังรอคุณอยู่ ไม่ต้องกังวลครับไม่เกินสิบห้านาทีคุณจะเดินทางถึงที่นัดหมาย”
มัทนายอมเข้าไปนั่งในรถ แม้ว่าจะไม่ค่อยอยากพบคุณทีปต์เท่าไหร่ ไม่ใช่เพราะกลัว แต่พอเดาได้ว่าชายชราคนนั้นต้องการคุยอะไรมากกว่า ทำไมคิมหันต์ไม่เดือดร้อนอะไร ในขณะที่เธอเดือดร้อนมีแต่คนอยากคุยด้วยก็ไม่รู้



บรรพตี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 ก.พ. 2558, 09:55:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 ก.พ. 2558, 09:55:38 น.

จำนวนการเข้าชม : 1152





<< ตอนที่ 7   ตอนที่ 9 >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account