ดวงใจพรต (ปรับปรุง)
พรต...ลูกชายป๊ะเพลิงแห่งหุบเขาพญา
จากคุกทมิฬมารับมรดกที่ได้มาโดยไม่คาดฝัน
แต่...ความโชคดีกลับมาพร้อมหายนะ และเธอที่น่าสงสัย
ความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่จึงปรากฏออกมาอย่างไม่ปราณี
บัญชีนี้...ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต หัวใจต้องชดใช้ด้วยหัวใจ
ดวงใจพรต จึงได้มาพร้อมหยาดน้ำตาและร่างกาย


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 4

ตอน 4
บรรยากาศภายในห้องเงียบกริบ เหมือนเวลาหยุดนิ่ง แทบจะไม่ได้ยินแม้แต่เสียงลมหายใจ เพราะทุกคนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน แต่ต้องยอมรับว่าเป็นเรื่องจริง ไม่ต่างจากพรต ที่ไม่ได้เตรียมตัวมาเพื่อรับฟังสิ่งนี้ ที่เขามาก็เพื่อจะมาดูว่าหุ้นที่เขาได้รับ ใครจะดูแลให้ต่อหรือจะขายให้ใครเท่านั้นเองไม่ใช่มารับรู้ว่าเขาต้องแบกภาระมากมายอย่างนี้

‘บ้าที่สุด’

เขาคำรามอยู่ในใจ แต่สีหน้านั้นนิ่งเฉย ไม่ต้องการให้ใครรู้ว่าคิดอะไรและตวัดตามองสีหน้าแต่ละคน ซึ่งนิ่งสงบสมกับเป็นเสือผู้บริหาร

อดัมลุกขึ้นมาจับมือยินดีกับเขาเป็นคนแรก จากนั้นคนอื่นๆก็เริ่มทยอยลุกขึ้นมายินดีตามมารยาท แล้วพากันเดินออกจากห้องไป เพราะการประชุมได้จบลงแล้ว

พรตมองตามหลังทุกคนที่เดินออกไปจนหมด ก็ตวัดสายตาไปมองทนายกัสโซ่ที่เดินเข้ามาหา สบตาที่มองเพียงครู่ก็มีเสียงพูดขึ้น

“คุณจะเข้ามาทำงานที่นี่เมื่อไร”

“ผมยังไม่ได้บอกเลยว่าจะรับตำแหน่งนี้”
“แต่คุณอเล็กซ์...”

“ใครก็ไม่สำคัญเท่ากับตัวผมเอง”

เสียงที่บอกถึงความมั่นใจ ไม่สนใจใครหน้าไหนทั้งนั้น ทำให้ทนายกัสโซ่ต้องมองชายหนุ่มที่ถูกเลือกมาเป็นตัวตายตัวแทนเจ้านายเก่าเสียใหม่ ท่าทางเขาคงไม่ใช่พวกต้นไผ่ที่จะลู่ไปตามแรงลมที่โน้มน้าวได้ง่ายๆ แต่คงต้านทานอย่างไม่หวั่นเกรงใครหน้าไหนทั้งนั้น น่าชื่นชมจริงๆ เขาคิด แล้วบอกว่า

“ผมอยากให้คุณรับตำแหน่งนี้ไปตามที่คุณอเล็กซ์ต้องการ เพราะที่คุณอเล็กซ์เลือกคุณแทนที่จะเป็นหนึ่งในกรรมการ หรือแม้แต่คนที่มีสายเลือดเดียวกันอย่างคุณอดัม คงจะเห็นว่าคุณเหมาะสมและไว้ใจได้มากที่สุด ถึงได้ให้สิ่งที่สำคัญนี้ไป อีกอย่างถ้าคุณรับไป คุณอเล็กซ์คงหมดห่วงจากทุกอย่าง และมีความสุขในภพที่จากไปเสียที”

“คุณเชื่อเรื่องพวกนี้ด้วยเหรอ”

“ไม่เชื่อแต่อย่าลบหลู่ คำโบราณบ้านเกิดคุณว่าไว้อย่างนี้ไม่ใช่เหรอครับ”

พรตยิ้มพลางคิดว่าทนายกัสโซ่ทำการบ้านมาดีไม่เลว และไม่พูดอะไรเกี่ยวกับตำแหน่งยิ่งใหญ่ที่หล่นมาทับเขาเพราะใจเขายังปฏิเสธตำแหน่งนี้อยู่ ที่สำคัญเขาไม่อยากเป็นหัวโขนให้ใครใช้เป็นเครื่องมือ แล้วก้มหน้าบอกลาทนายกัสโซ่ แต่ทนายความรุ่นเก๋าไม่ยอมให้เขาจากไปง่ายๆ ขยับตัวมาขวางไว้พลางบอกว่า

“ผมขอร้อง คุณรับตำแหน่งนี้ไปเถอะ เพราะงานหลายอย่างต้องเดินหน้า โดยเฉพาะโครงการน้ำมัน ซึ่งคุณน่าจะรู้ว่าคุณอเล็กซ์หวังไว้มากแค่ไหน การประชุมกันคราวก่อนม็อตต้าโดดเด่นมากกว่าใคร แต่ตอนนี้เหมือนเรือขาดหางเสือ โครงการนี้อาจจะหลุดมือไปได้”

“แล้วใครเป็นรองม็อตต้า”

“มีอยู่สองบริษัทที่น่ากลัว ซึ่งผมมีอยู่ในแฟ้มนี้” ทนายกัสโซ่ยื่นแฟ้มมาให้ พรตหลุบตามอง แต่ไม่ยอมรับ ทนายกัสโซ่จึงก้มหน้าลงอย่างขอร้องแกมเว้าวอนอีกครั้ง “รับไปเถอะครับ เผื่อมันจะทำให้คุณรู้อะไรบ้าง”

“รู้อะไร”

“การตายของคุณอเล็กซ์”

“หมายความว่าไง หรือคุณสงสัยอะไร” พรตถามด้วยเสียงเหมือนคุยกันธรรมดามากกว่าจะอยากรู้ แต่ใจจริงคำพูดที่เหมือนมีอะไรแฝงอยู่ทำให้เขาอยากฟังความคิดเห็นของทนายที่ใกล้ชิดอเล็กซ์ด้วย

“ผมไม่อยากฟันธงแต่รู้สึกว่ามันอาจจะเป็นเพราะโครงการนี้ก็ได้ ที่ทำให้เขาต้องจากไป”

พรตยังไม่พูดอะไร แต่ท่าทางที่รับฟัง ทำให้ทนายกัสโซ่พูดต่อ “โครงการนี้ เป็นที่หมายตาของนักธุรกิจชั้นนำทั่วประเทศ ทุกคนจ้องตาเป็นมัน เพื่อจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำเพราะมันทำกำไรให้มหาศาล แล้วคุณคิดดูว่าถ้าไม่มีคุณอเล็กซ์เต็งหนึ่งในสามเสียคน ใครจะได้เป็นคนได้โครงการนี้ไป บางทีอาจจะเป็นใครคนใดคนหนึ่งที่อยู่ในแฟ้มนี้ก็ได้ ใครจะไปรู้”

พรตมองแฟ้มที่ยื่นมาให้ตรงหน้าอย่างตัดสินใจ ในที่สุดก็รับมาถือไว้เพื่อบางอย่างที่คิดอยู่ในใจ แล้วเดินออกจากห้องไปทันที โดยมีสายตาของทนายกัสโซ่มองตามไปอย่างพอใจและชมคนเป็นนายที่ตายจากไปแล้วว่า

‘ช่างเลือกตัวแทนได้ดีจริงๆ’
*********
ณ บริเวณด้านหน้าอาคารเด ม็อตต้า แสงแดดส่องกระทบรถยนต์คันหรูเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าตึก หญิงสาวสองคนที่นั่งอยู่ในรถ คนหนึ่งนั่งอยู่หลังพวงมาลัย สายตามองตรงไปข้างหน้า อีกคนนั่งอยู่ข้างๆ มองเข้าไปในอาคาร แววตามีความกังวลไม่แน่ใจปะปนอยู่ แล้วทั้งคู่ก็เปิดประตูลงมาจากรถพร้อมกัน

แพทิเซียมองพี่สาวต่างพ่อที่ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมก็เดินเข้าไปหา “พี่พรีมจะไปหาอดัมด้วยกันไหมคะ”

“ไม่ล่ะ พี่แค่มาส่งเธอตามคำสั่งแม่ ไม่ได้จะมาหาใคร”

“แต่แพทอยากให้พี่พรีมเข้าไปด้วยกัน” น้ำเสียงและสีหน้าออกแววขอร้อง แต่พรีมาดากลับรู้สึกเฉยๆ และบอกว่า

“อย่าเลย พี่ต้องรีบไปทำงาน อีกอย่างคนไม่ได้เป็นอะไรกันแล้ว ไปยุ่งเกี่ยวกันมันไม่ดี มั่นใจในสิ่งที่ทำไปแล้ว ก็ไปทำหน้าที่ให้ดี ก็จะดีเอง”

แพทิเซียหน้าเสียกับคำประชดนั้น “แต่...”

“ไปเถอะ”

คนเป็นพี่ตัดบทแต่เธอยังไม่ขยับ ยังมองหน้าพี่สาวต่างพ่อคล้ายมีบางอย่างที่กำลังตัดสินใจอยู่ แล้วก็ถามออกมา “อดัมเขาเป็นคนยังไงคะ”

คิ้วเรียวของพรีมาดาเลิกขึ้นด้วยความแปลกใจ ก่อนจะยิ้มขำเพราะความจริงที่เป็นอยู่มันเกินกว่าจะมาถามเธอว่าอีกฝ่ายเป็นคนยังไงแล้ว “เธอไม่รู้จักเขาเหรอ”

“แพท แค่ไม่แน่ใจ”

แพทิเซียตอบไม่เต็มเสียง พรีมาดาก็เข้าใจว่าเพราะการหมั้นสายฟ้าแลบนั้นคงทำให้เกิดความหวั่นไหวขึ้นในใจ จึงบอกว่า “เธอควรเรียนรู้เขาด้วยตัวเอง มากกว่าจะเชื่อตามคำพูดของคนอื่น เพราะไม่มีใครจะบอกว่าใครคนๆนั้นจะเป็นยังไง เท่ากับตัวเราเอง และบางทีคนๆเดียวกันที่ดีในสายตาของใครต่อใคร อาจจะดีกว่าหรือเลวกว่าในสายตาของเราก็ได้ ใครจะไปรู้”

“ก็จริงค่ะ แต่พี่พรีมคิดอย่างนั้นจริงๆเหรอคะ”

“ใช่” พรีมาดาย้ำชัด และบอกอีกครั้งว่า “ไปเถอะ พี่กำลังจะสาย”

แพทิเซียยังลังเล แต่สุดท้ายก็หมุนตัวเดินขึ้นบันไดตรงไปที่ประตูอัตโนมัติ ระหว่างนั้นก็มีชายหนุ่มคนหนึ่งเดินสวนออกมา ดวงตาคมปะทะเข้ากับหญิงสาวที่ยืนอยู่ข้างรถ เพียงแวบเดียวก็จำได้ว่าเธอเป็นคนที่เขารู้จัก แม้เธอจะจำเขาไม่ได้ก็ตาม

มุมปากของพรตยกขึ้นน้อยๆ แล้วก้าวยาวๆเข้าไปหา ขณะที่พรีมาดากำลังหมุนตัวจะเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถ ต้องหยุดชะงักและมองชายหนุ่มที่มายืนตรงหน้าอย่างแปลกใจก่อนจะเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ เมื่อจำได้ว่าเขาเคยทำอะไรกับเธอไว้ที่สุสาน และไม่รู้ว่าภาพที่เธอกำลังประจันหน้ากับเขาสะท้อนประตูกระจกให้แพทิเซียมองอย่างสงสัย ก่อนจะเดินผ่านประตูเข้าไปด้านใน

“กรุณาหลีกด้วยค่ะ”

“ไม่คิดจะทักกันเลยเหรอ หรือยังตีมึนว่าจำผมไม่ได้”

“ฉันสติดีค่ะ แต่เพราะไม่มีอะไรให้น่าจำต่างหาก จึงไม่อยากจำ”

“การจ้างผู้ชายกินเหล้า แถมยังยั่วยวนเหมือนเสนอตัวให้แบบนั้น ไม่น่าจำตรงไหน หรือตรงที่ผ่านมาหลายคน จึงจำไม่ได้ว่ายั่วใครไว้บ้าง”

พรีมาดาโกรธกรุ่นขึ้นมา แต่ยังไม่ทันได้ต่อว่ากลับ ภาพบางอย่างก็ผุดขึ้นมาในความทรงจำ มันเด่นชัดจนเธอหน้าร้อนผ่าว และจำทุกอย่างที่เกิดขึ้นริมทะเลสาบได้ทันที และวันที่เขาตอกย้ำด้วยการเขียนตัวเลขบนหลังมือเธอที่สุสานอีก ทำให้เธอเข้าใจคำพูดที่เขาทิ้งไว้ได้ทันที ท่าทางที่นิ่งงันของเธอ ทำให้มุมปากของพรตยกขึ้นยิ้ม ก่อนจะบอกว่า

“จำได้แล้วซิ งั้นเปลี่ยนกัน ผมจ้างคุณเป็นคู่ควร คิดเท่าไร หรือจะเท่ากับที่คุณจ้างผมก็ได้ พันเหรียญ”

“น้อยไปค่ะ” เธอบอกเสียงเรียบ แต่แววตานั้นฉายความไม่พอใจอย่างเห็นได้ชัด

“งั้นเท่าไรถึงจะพอ แต่เพิ่มราคาแล้วต้องเพิ่มชั่วโมงด้วยนะ จะได้สมน้ำสมเนื้อกันหน่อย”
“ถ้าฉันพอใจ ไม่ต้องหรอกค่ะ แต่สำหรับคุณฉัน ไม่ ขาย”

“ทำไม”

“ฉัน พอ ใจ”

เสียงเธอเน้นย้ำ แล้วกระชากประตูรถออก แต่พรตยื่นมือมากดทับไว้เสียก่อน ยิ้มใส่ตาที่กรุ่นโกรธ ก่อนจะพูดเสียงท้าทายอย่างลองดี “อย่าเล่นตัวนักเลย เท่าไรก็ว่ามา ผมสู้ไม่อั้น”

พรีมาดาเชิดหน้าขึ้นข่มความโกรธไว้ แล้วพูดด้วยเสียงเย็นๆ “คุณฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องหรือไง ว่าฉันไม่ขาย ฉันไม่ใช่ผู้หญิงขายตัว”

“แต่ถ้าท่าทางคุณ บอกผมว่าใช่”

“สกปรกที่สุด” เธอตอกกลับอย่างสิ้นสุดความอดทน คนที่ชนะจึงยิ้มพรายและเล่นเล่ห์อย่างสนุก

“ใครบอก จะถอดเสื้อผ้าผมออกมาดูก็ได้นะ ออกจะสะอาด ถึงจะผ่านสนามมาเยอะแต่คอนดอมของผมเอาอยู่”

“ทุเรศ”

“อ้าว เรื่องธรรมชาตินะคุณ ทุเรศตรงไหน พอใจก็ขึ้นเตียง แรกๆก็ทำความรู้จักกันก่อน ถ้าเข้ากันได้ก็ต่อกันยาวเลย คุณอยากลองมั๊ย แล้วจะติดใจ”

“ไปลงนรกเสีย”

“แต่ผมอยากขึ้นสวรรค์มากกว่า โดยเฉพาะกับคุณ”

พรีมาดาจ้องหน้าคมอย่างจะฉีกออกเป็นชิ้นๆ ทั้งที่ความจริงหน้าร้อนผ่าวด้วยความอาย แล้วเหยียดด้วยสายตาและคำพูดออกมา “ท่าทางคุณก็ดูดีนะ แต่ทำไมฉันรู้สึกตายด้านค่ะ อย่าว่าแต่ให้ลองเลย แค่มองฉันยังรู้สึกเสียสายตา”

“ดีนะ ที่ไม่อยากเสียตัว แต่พูดอย่างนี้มันท้าทายกันนะคนสวย” เขาว่าพลางขยับตัวมาชิด เลื่อนมือที่กดมือนุ่มไว้ขึ้นมาลูบแขน พรีมาดากัดริมฝีปากข่มใจให้เฉยทั้งๆที่รู้สึกอันตรายกับการคุกคามของเขา

“กรุณาเอามือออกไปจากแขนฉัน”

“แล้วจะให้เอาไปไว้ที่ไหน อก เอว สะโพก หรือว่า...” พรตยั่วอย่างสนุก ยิ่งเห็นท่าทางอวดดี ก็ยิ่งสนุก แล้วมองริมฝีปากที่อยู่ใกล้แค่ปลายนิ้ว “ปากแดงๆของคุณดี”


“สารเลว ผู้ชายที่ไม่ให้เกียรติผู้หญิงอย่างคุณ ก็ไม่ต่างอะไรจากกุ๊ยข้างถนนคนหนึ่ง หน้าตาก็ดีก็น่าจะทำตัวให้ดีๆ หน่อยนะคะ หรือว่าสิ่งที่เป็นอยู่ข้างใน มันเปลี่ยนไม่ได้”

“ขอบคุณที่ชม แต่หนุ่มพเนจรอย่างผม ก็เป็นอย่างนี้แหละ เห็นผู้หญิงสวยแถมยังอ่อยให้ผู้ชายไม่เลือกหน้า ก็พร้อมที่จะขยี้ โดยไม่ต้องกลัวว่าจะไม่เป็นสุภาพบุรุษ เพราะสันดานมันเป็นอยู่แล้ว” พรตโต้ตอบอย่างไม่สะดุ้งสะเทือนกับคำพูดเจ็บแสบของเธอก่อนหน้าสักนิด แล้วเปิดประตูเชิญเธอให้ขึ้นรถ แต่หญิงสาวยืนเฉย เขาก็แกล้งก้มหน้าลงมาจนปลายจมูกเฉียดแก้ม

พรีมาดาผงะไปนิด แล้วรีบขึ้นรถ เพื่อไปให้พ้นเขาเสียที แต่เธอคิดผิด เพราะเขาตามขึ้นมานั่งเบียด จนเธอต้องถอยไปนั่งที่คนขับ พรตเอนตัวนั่งอย่างสบาย พลางปรายตามองใบหน้างามที่บึ้งตึงสุดๆ ก็ยียวนกวนออกมาอีก

“คุณจะไปไหน”

“ลงไปจากรถฉัน”

“ผมหน้าด้าน ไม่ลง”

พรีมาดาหันมามองเขาอย่างสุดโกรธ แต่พรตกลับยิ้มให้ และกวนต่อว่า “ผมจะกลับบ้าน ช่วยไปส่งหน่อยนะ แต่ถ้าไม่ไปส่งผมดีๆ คุณได้เห็นผมใส่คอนดอมแน่”

เรียวปากอิ่มกัดเข้าหากันเพื่อกั้นเสียงกรี๊ดไม่ให้ดังออกมา แล้วสตาร์ทกระชากรถออกไปอย่างแรง พรตยกมือขึ้นยันคอนโทรลด้านหน้าไว้ พลางหัวเราะออกมาอย่างรื่นรมย์ นึกว่าจะแน่! เขาคิดอย่างครึ้มใจ แค่นี้ก็กลัว แถมแก้มยังแดงให้เขารู้สึกว่าน่ารักด้วย แต่เพียงเดี๋ยวเดียวอารมณ์สุนทรีก็หายไป เพราะภาพเธอที่เขาเห็นก่อนรถจะถูกชน ผุดขึ้นมาให้เขาสงสัยว่าเธอไปทำอะไรที่นั่น!
********
รถยนต์ที่พานายใหม่ของม็อตต้าวิ่งออกไป สะท้อนอยู่นัยน์ตาของใครบางคน ที่ยืนอยู่บนตึกภายในห้องทำงานของตัวเอง มือที่ซุกอยู่ในกระเป๋ากางเกง ดึงออกมาหยิบโทรศัพท์มือถือสมรรถภาพดีเยี่ยมจากกระเป๋าเสื้อสูท กดหาเบอร์โทรก่อนกดโทรออก ยกขึ้นแนบหู ฟังสัญญาณที่ส่งไป พอมีเสียงรับสาย ก็พูดขึ้นทันที

“สวัสดีครับ ผมเดวิด หวังว่าจะจำได้ว่าผมเป็นใคร”

เสียงปลายสายเงียบไป เพราะกำลังคิด เขายืนอยู่ในห้องทำงานของตัวเอง และเมื่อนึกหน้าคนที่โทรมาออกก็ทักทายกลับไป และถามตรงจนคนที่ฟังยิ้มที่มุมปาก “ต้องการอะไร”

“ผมคิดว่าคุณคงอยากรู้ข่าวบางอย่างของม็อตต้า และคงรอฟังอยู่ว่าสุดท้ายแล้วมันจะออกมาเป็นยังไง ใครคือคนที่จะมาแทนคนที่ตายไปแล้ว ผมจึงมีข้อเสนออยากร่วมทำธุรกิจนี้ด้วยกัน สนใจไหมครับ”

“น่าสน แต่ผมต้องขอฟังข้อเสนอก่อนนะ ว่าจะคุ้มทุนหรือเปล่า”

“หึๆๆ” เดวิดหัวเราะออกมาเบาๆ เขาเป็นหนึ่งในกรรมการของม็อตต้าที่เพิ่งออกมาจากห้องประชุมเมื่อกี้ ขณะที่สายตาเปล่งประกายเจ้าเล่ห์ “ชื่อของคนแลกกับหุ้นสักสิบเปอร์เซ็นต์ของโครงการน้ำมันเป็นไงครับ เหมาะสมหรือเปล่า”

“ไม่” เสียงตอบกลับมาทันที นั่นทำให้เดวิดเหยียดริมฝีปากออกหยัน “เพราะคุณขอเยอะเกินไป โครงการนับหมื่นนับแสนล้านๆ คุณขอมาสิบ ก็เหมือนชุบมือเปิบ ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย มันสบายเกินไป”

“แล้วใครบอกว่าผมจะไม่ทำอะไรแลกมากกว่าที่บอกไปแล้วละ”

ข้อเสนอที่แฝงความนัยทำให้อีกฝ่ายเงียบไป เพื่อทบทวนแล้วไม่นานก็มีเสียงตอบกลับมา “งั้นตกลง แต่โครงการมันยังลอยอยู่บนฟ้า คู่แข่งที่จะสอยลงมาตั้งอยู่บนดินก็เยอะ ถ้าคิดจะหาผลประโยชน์ ก็ควรจะช่วยกัน ตัดแข้งตัดขาคู่แข่ง เพื่อจะได้สมหวังทั้งสองฝ่าย จริงมั้ย”

“จริงครับ งั้นจากนี้ไปผมก็จะถือว่าคุณเป็นหนึ่งในกรรมการบริหารของม็อตต้าแล้วกัน ทุกเรื่องของม็อตต้าที่ผมรู้คุณรู้ เพื่อผลประโยชน์ของเราดีไหมครับ”

ไม่มีเสียงตอบมาว่าดีหรือไม่ แต่มีคำพูดต่อมาที่ทำให้เดวิดรู้ว่าคือการตกลง “พูดเรื่องที่คุณรู้มาได้เลย”

“เร็วไป” เดวิดเล่นแง่อย่างมีชั้นเชิง เขาเป็นคนหนุ่มที่ยังมีความทะเยอทะยาน จึงหาทางสร้างความมั่งคั่งให้ตัวเอง ด้วยเรื่องเล็กๆน้อย ที่ไม่ได้มีผลเสียมีแต่ได้กับได้เท่านั้น “ผมไม่ชอบสัญญาปากเปล่า วันพรุ่งนี้เราควรจะทานข้าวกัน แล้วผมจะบอกคุณอีกที แต่เพื่อแสดงความจริงใจ ผมบอกคุณก่อนก็ได้ว่าทุกอย่างมันพลิกโผ คนที่เราคิดว่าใช่ กลับไม่ใช่ ส่วนคนที่ได้ไป ก็มาจากที่แสนไกลที่ใครก็คิดไม่ถึงด้วย”

แววตาของคนที่ได้ฟังหรี่ลงเพราะใช้ความคิดอย่างหนักขณะฟังเสียงนัดแนะสถานที่ๆจะทำสัญญา พออีกฝ่ายวางสายไป มุมปากเขาก็แย้มขึ้นอย่างเหี้ยมเกรียม แล้วเลือนหายไปเมื่อปลายนิ้วเขาเลื่อนหารายชื่อของคนที่ทำให้ใจเขาชุ่มช่ำขึ้นมา เขากดหา แต่ไม่มีการตอบรับ สีหน้าจึงแสดงความหงุดหงิดออกมา แล้วกดชื่อเดิมซ้ำอีกครั้ง ก็เป็นเหมือนเดิม จึงปล่อยให้ชื่อ ‘พรีมาดา’ ค้างอยู่อย่างนั้นกระทั่งสัญญาณหลุดไป
*******
ประตูห้องทำงานที่ถูกเปิดออก ทำให้หญิงสาวที่นั่งอยู่บนโซฟานุ่มกลางห้อง เงยหน้าขึ้นจากนิตยสารที่นั่งดูมาเกือบชั่วโมงแล้ว แววตายินดีที่เห็นคนที่มาหากลับมาที่ห้องทำงานเสียที เธอเปิดยิ้มให้พร้อมกับลุกขึ้นยืน ชายหนุ่มที่เดินเข้ามาก็ส่งยิ้มให้เช่นกัน

“มาได้ไงครับ ใครมาส่ง”

“พี่พรีมค่ะ” แพทิเซียบอกพลางจับตามองสีหน้าของคู่หมั้นว่าจะรู้สึกยังไงเมื่อได้ยินชื่ออดีตคนรัก แล้วเธอก็ได้เห็นแววตาที่ไหวไปแม้เพียงนิดเดียวก็ทำให้ใจเธอหมอง ก่อนจะยิ้มให้เมื่อเขาถามอย่างห่วงใย

“มานานหรือยังครับ”

“สักครู่แล้วค่ะ”

“ขอโทษที ผมไปคุยงานมานิดหน่อย”

อดัมบอกแล้วจับแขนเธอ ดึงตัวให้นั่งลงบนโซฟาตัวเดียวกับเขา เลื่อนมือไปจับมือนุ่มไว้ พลางมองใบหน้างามที่ยังยิ้มหวานให้ แล้วยื่นหน้าไปหอมแก้ม ซึ่งระเรื่อขึ้นอย่างกับเอียงอายแถมรีบหลบตาให้เขายิ้มขำ เพราะผู้หญิงที่เขาเคยผ่านมาแม้แต่คู่รักคนล่าสุด ไม่มีใครที่จะอ่อนหวานให้เขาได้เท่าเธอ

“งานหนักไหมคะ” แพทิเซียชวนคุยเมื่อเห็นว่าเขายังมองเธอไม่วางตา

“ไม่ แต่มีเรื่องยุ่งนิดหน่อย”

“ยังไงคะ”

อดัมยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะดึงตัวเธอให้เอนมาซบอกเขา แพทิเซียเกร็งเพียงนิดก่อนจะปล่อยตัวสบายๆ อยู่ในอ้อมแขนเขา “วันนี้มีคนมารับตำแหน่งของอเล็กซ์ รวมทั้งดูแลธุรกิจของม็อตต้าทั้งหมดด้วย”

แพทิเซียเงยหน้าขึ้นมองหน้าเขาอย่างไม่เข้าใจว่าเป็นอย่างนี้ไปได้ยังไง “ทำไมต้องให้คนอื่นมารับคะ ในเมื่อตามหลักแล้ว ทุกอย่างต้องตกมาเป็นของคุณไม่ใช่เหรอคะ”

“ตามหลักก็ควรจะเป็นอย่างนั้น แต่อเล็กซ์เขาทำจดหมายปิดผนึกพูดง่ายๆว่าคล้ายๆพินัยกรรม ยกตำแหน่ง อำนาจ การบริหารสูงสุดให้เพื่อนของเขา ซึ่งผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมอเล็กซ์ต้องทำอย่างนั้น”

“แล้วผู้บริหารท่านอื่นยอมเหรอคะ”

“จะยอมหรือไม่ ก็ต้องยอม ในเมื่อมันเป็นจดหมายที่มีผลบังคับทางกฎหมาย”

“แล้วเพื่อนคนนั้นของอเล็กซ์ เป็นใครคะ”

“พรต บิล บิลาเราะห์ หลายชายของชีคอิลาอัลล์ ผู้เคยถือหุ้นใหญ่เป็นอันดับสองของม็อตต้าและเขาก็ยกทุกอย่างให้กับหลานชายคนนี้”
ชื่อที่ได้ยินรวมถึงความร่ำรวยที่พ่วงมามหาศาล ทำให้แพทิเซียนิ่งไป ก่อนจะคิดว่าเธอเคยได้ยินชื่อนี้มาบ้างหรือเปล่า ก็ตอบตัวเองว่าไม่ แล้วเขาโผล่มาเป็นตาอยู่คว้าทุกอย่างไปได้ยังไง เธอเห็นใจคู่หมั่นหนุ่มจึงบีบมือเขาปลอบใจเบาๆและถามออกมาอย่างระวัง

“คุณเสียใจไหมคะ ที่ทุกอย่างที่ควรจะเป็นของคุณ ต้องตกเป็นของคนอื่น”

“จะบอกว่าไม่เลย ก็คงจะดีเกินไป แต่อเล็กซ์คงตัดสินใจดีแล้ว ถึงได้ทำแบบนี้ อีกอย่างผมก็ไม่ชอบแบกภาระหนักๆไว้บนบ่า มันไม่สนุกเหมือนไม่แบกอะไรไว้เลย แต่มีเงินใช้ตลอดชีวิต”

“แต่ของๆเรา ถ้าเราแบกไว้เอง ใช้เอง ทำเอง ไม่ดีกว่าให้คนอื่นแบกหรือคะ”

“ไม่เลยที่รัก คุณลองคิดดู ว่าเราจะมีความสุขแค่ไหน ที่เราไม่ต้องทำอะไรเลย แต่มีกินมีใช้อย่างมหาศาลไปตลอดชีวิต”

แพทิเซียมองหน้าคมอย่างไม่ค่อยเข้าใจในความคิดเขา แต่ที่ผ่านมาตั้งแต่เธอรู้จักเขา ติดตามข่าวสารของเขาจากสิ่งต่างๆ ก็จะเห็นว่าเขาใช้ชีวิตแบบนี้จริงๆ ซึ่งเป็นธรรมดาเพราะเขาหล่อและรวย ไม่ต่างจากเธอที่มีชีวิตอย่างกับเจ้าหญิงอยู่ในคฤหาสน์หรู ช่วยงานการกุศลของคนเป็นแม่กับพ่อ และธุรกิจอีกเล็กๆน้อยๆ ก็สบายไปทั้งชีวิตแล้วเหมือนกัน

“แต่แพทอยากให้ทุกอย่างอยู่ในมือคุณมากกว่า”

“อยู่ในมือคนอื่นก็ไม่ต่างกันหรอก”

“หมายความว่าไงคะ” เธอถามเมื่อไม่ค่อยเข้าใจคำพูดเขา แต่อดัมไม่ตอบและไม่อธิบายอะไร นอกจากจะก้มหน้าลงซุกไซร้ซอกคอเธอ พลางถามว่า

“วันนี้อยู่กับผมทั้งวันหรือเปล่า”

“คงไม่ได้ค่ะ คุณแม่...” อดัมยกมือขึ้นแตะเรียวปากหยุดคำพูดเธอไว้ มองด้วยสายตาที่ทำให้แพทิเซียเอียงอาย แล้วก้มหน้าลงจะจูบแต่เธอก็เบี่ยงหน้าหนีและบอกเสียงหวั่นๆว่า “อย่าคะ ห้องทำงานนะคะ”

“ครั้งแรกของเราก็ห้อง...”

แพทิเซียยกมือขึ้นปิดปากเขา เพื่อไม่พูดสิ่งที่น่าอายและรู้สึกผิดอยู่ในใจ แต่อดัมไม่ปล่อยให้เธอคิดมาก เพราะเรื่องทุกอย่างมันเลยเถิดมาเกินกว่าจะคิดถึงแล้ว ตอนนี้เขาคิดอย่างเดียวว่าอยากได้เธอ จึงก้มหน้าลงมาจูบเธอจนได้ และเรียกร้องจนอ่อนระทวยอยู่กับอก ก็ลุกขึ้นอุ้มตัวเธอพาเดินไปยังห้องนอนที่อยู่ติดกับห้องทำงาน วางตัวเธอลงบนเตียงพร้อมกับแนบตัวลงไปแนบชิด เพื่อทำให้เธอเป็นของเขา

แพทิเซียหวั่นหวามอยู่ในอ้อมแขนของอดัม และตอบสนองเขาตามความต้องการในส่วนลึกของหัวใจ และคิดว่าไม่ผิดใช่ไหมที่เธอจะรักกับเขาในเมื่อเธอเคยเป็นของเขามาแล้ว ที่สำคัญเธอไม่ต้องการเป็นแค่คู่หมั้น แต่อยากได้เขาเป็นสามี เหมือนครั้งหนึ่งที่เธอไม่ต้องการเป็นแค่คนรู้จักแต่อยากได้เขาเป็นคนรักของเธอ!
******

รถยนต์ที่พรีมาดาขับเลี้ยวเข้ามาจอดหน้าบ้านหลังหนึ่ง ซึ่งเธอไม่สนใจที่จะมองว่าเป็นยังไง เพราะสุดโกรธที่เขาแกล้งทำเป็นจำทางกลับบ้านไม่ได้ ให้เธอขับรถวนไปวนมา จนอยากจะบ้า ปลดล็อกประตูให้เขาลงไป แต่ผ่านไปหลายนาที ร่างสูงก็ยังไม่ขยับ จึงหันมามองหน้า แววตานั้นแทบจะเผาเขาให้เป็นจุณอยู่แล้ว

“เชิญ”

เสียงห้วนสุดๆดังขึ้น แต่พรตยังแกล้งนิ่งเฉย แล้วเลิกคิ้วขึ้นเหมือนจะคิดบางอย่างได้ แล้วหยิบกระเป๋าสตางค์ออกมาจากกระเป๋ากางเกง เปิดออกหยิบเงินให้เธอ พรีมาดามองเงินในมือเขาอย่างไม่เข้าใจ แต่แวบเดียวก็อยากจะบีบคอเขานัก

“ฉันทำทานโดยไม่หวังอะไร ขอแค่สิ่งเดียวเท่านั้นคือให้คุณไปให้พ้นเสียที”

“งั้นคงจะไม่พ้น เพราะคนโบราณมักบอกว่ายิ่งหนีก็ยิ่งเจอ ยิ่งคุณไม่คิดค่าบริการผมยิ่งชอบ หรือคุณอยากได้อย่างอื่น อยากได้อะไรละ บอกมาเลย ผมซื้อให้ แต่เดี๋ยว คุณเคยบอกผมว่าคุณชอบคนจนใช่ไหม งั้นผมเลี้ยงไอติมคุณแล้วกัน”

“ลง ไป จาก รถ ฉัน” เสียงเธอเน้นย้ำจนเกือบจะระงับแล้ว แต่พรตไม่ลงแถมยังยั่วด้วยการเอนหลังพิงเบาะเคาะนิ้วให้เห็นว่าเขากำลังสบาย เพราะชอบมองเวลาเธอโกรธมากกว่าทำท่าเย็นชาหยิ่งๆอวดดีใส่เขา

พรีมาดาเม้มริมฝีปากข่มความโกรธ และเมื่อทำอะไรเขาไม่ได้ เธอก็จับกระเป๋าสะพายได้ ก็เปิดประตูลงจากรถ เดินไปที่ถนนอย่างไม่สนใจว่าเขาจะพล่ามอะไรอีก พรตหน้าเหวอไปเล็กน้อย ก็รีบเปิดประตูรถตามลงมา ก้าวยาวๆไปดักหน้าหญิงสาวไว้ เธอจึงหมุนตัวเดินไปอีกทาง เขาก็ตามไป กระทั่งเธอเดินเลี้ยวเข้าไปในซอกตึก จังหวะที่เขาเลี้ยวตามไป ท่อนเหล็กก็หวดลงมา เขาดึงตัวหลบโดยอัตโนมัติ แต่ไม่พ้นโดนเข้าที่ข้างกกหู ตัวเขาเซและพยายามตั้งสติ

ไอ้คนฟาดมองเขาอย่างเหี้ยมโหดและลากท่อนเหล็กเข้าไปหา เพื่อจะฟาดให้ตายตามที่ได้รับจ้างมา มันยกท่อนเหล็กขึ้นจะฟาดซ้ำ แต่...“ปัง” เสียงปืนดังขึ้นพร้อมเสียงร้อง “โอ๊ย” ของมัน และถอยหนีเมื่อเห็นคนยิงเดินหน้ามาเอาชีวิต ซึ่งก็วิ่งตามไป แต่ไปได้ไม่กี่ก้าว คนที่ถูกทำร้ายก็ล้มตึงลงไป จึงต้องปล่อยมันให้หนีไป แล้วรีบมาดูคนเจ็บ

เขากวาดตามองไปทั่วร่างสูงอย่างรวดเร็ว เห็นเลือดไหลออกมาข้างหู ก็รีบยกร่างนั้นขึ้นประคองพาเดินกลับไปที่บ้าน ที่เขาได้รับคำสั่งให้มาดู เมื่อเข้ามาในบ้านก็วางร่างสูงให้นอนบนโซฟาตัวยาว ก่อนจะผละไปหาชุดปฐมพยาบาลมาทำแผล ซึ่งก็ไม่ได้ยากสำหรับมืออาชีพอย่างเขา โชคดีที่แผลไม่ใหญ่ ไม่อันตรายจนต้องพาไปโรงพยาบาล

ร่างสูงใหญ่ถอนหายใจออกมายาวๆ เมื่อทำแผลเสร็จ จากนั้นก็กวาดตามองไปรอบบ้าน ก่อนจะลุกขึ้นเดินดูทุกซอกทุกมุมราวกับหาอะไรสักอย่าง เมื่อไม่เจอก็กลับมานั่งมองมองคนรูปหล่ออย่างครึ้มอกครึ้มใจ และดีใจที่ชายหนุ่มยังไม่ได้สติ เพราะไม่งั้นคงไม่มีโอกาสมองคนหล่อที่บาดลึกไปทุกอณูหัวใจอย่างนี้ เขานั่งมองอยู่จนกระทั่งคนหมดสติเริ่มรู้สึกตัว ก็เด้งตัวลุกขึ้นยืน เอามือมาจับไว้ข้างหน้า ท่าทางสงบนิ่งอย่างคนที่พร้อมจะทำตามคำสั่งของนาย เขารอจนคนที่เริ่มได้สติปรับสายตามองมาก็ทักทายออกไป

“สวัสดีครับ” เสียงภาษาสากลที่ดังขึ้น ทำให้พรตต้องจ้องชายร่างสูงใหญ่ หัวเหม่ง วัยห่างจากเขาไม่มากเท่าไร ซึ่งยืนจ้องเขาอยู่เช่นกันและแนะนำตัวเองว่า “ผมไมค์ คุณจำอะไรได้บ้างหรือเปล่า”

พรตหรี่ตาลงอย่างระวังและไม่ไว้ในคนที่ยืนอยู่ เพราะไม่รู้ว่าเขาเป็นใครหรืออาจจะเป็นคนที่ทำร้ายเขาก็ได้ “นายเป็นใคร”

“บอกไปคุณก็ไม่รู้จัก”

“แต่นายรู้จักฉัน”

เสียงถามและสายตาที่กระด้างขึ้นอย่าเอาเรื่อง ทำให้ไมค์กระดกลิ้นอย่างขัดใจเพราะมันช่างกลบความหล่อที่เขาแอบชื่นชมมาเกือบชั่วโมง ก่อนจะยักไหล่เหมือนไม่สนใจ แล้วก็บอกว่า “ผมก็ไม่อยากรู้จักคุณเท่าไร แต่เมื่อมันเป็นคำสั่ง ก็ต้องจำใจทำ”

“คำสั่งใคร”

ไมค์ยิ้มก่อนจะบอกว่า “อย่าไปสนใจและคาดเดาเลย เดี๋ยวคนที่คุณอยากรู้ก็จะมาหาคุณเอง มาคุยเรื่องแผลคุณดีกว่าว่าเป็นไงบ้าง จะไปหาหมอไหม และไปขวางทางใครมา ถึงเอาท่อนเหล็กมาฝาก”

“ไม่มี” พรตบอกพลางยกมือขึ้นกดที่ข้างหูที่รู้สึกเจ็บ และต้องลดมือลงเมื่อได้ยินเสียงเปรยคล้ายตำหนิเขา

“ตอบไม่ได้คิด แย่จังเลย”

เสียงตำหนินั้นทำให้นัยน์ตาพรตกระด้างขึ้นจนฝรั่งร่างยักษ์เกือบสะดุ้ง ไม่ใช่เพราะกลัว แต่นัยน์ตาที่คมอย่างกับมีดโกนนั้นปาดบาดไปทุกอณูอารมณ์ให้ร้อนเร่าต่างหาก และถ้าไม่ใช่ของต้องห้ามหรือกลัวจะโดนตีนแล้วละก็ ผู้ชายใจหญิงอย่างเขาจะเข้าไปลองแหย่สักครั้ง คิดแล้วก็มันส์หัวล้านขึ้นมาทันที

พรตมองท่าทางที่สงบนิ่งแต่นัยน์ตาวาวๆของอีกฝ่ายอย่างไม่ไว้ใจ แล้วนึกได้ว่าก่อนหน้านี้เขาบังคับให้ใครพามาที่นี่ ดวงตาคมตวัดไปมองรอบห้องอย่างหวังจะเห็นเธอ แต่นอกจากเขากับไอ้หัวล้านแล้วก็ไม่มีใคร “แล้วเธอละ”
ไมค์ทำหน้างงๆ ก่อนจะทวนคำถามออกมา “เธอ ผู้หญิงเหรอ ไม่เห็น”

พรตลืมความเจ็บ ลุกพรวดอย่างรวดเร็ว ตัวจึงเซจนไมค์ผวาจะเข้าไปพยุง แต่เขายกมือห้ามไว้พร้อมกับบอกว่า “เธอมากับฉัน ผู้หญิงสวยๆ สูงประมาณนี้ ผิวน้ำผึ้ง...” เขาบอกลักษณะให้ไอ้หัวล้านรู้ ซึ่งก็ยืนยันว่าไม่เห็น แล้วรับปากว่าจะไปดูให้ ให้เขารออยู่ที่นี่ ไม่นานก็กลับมาพร้อมความว่างเปล่า

พรตขบฟันอย่างไม่ชอบใจ เพราะคิดไปในทางที่ร้ายๆ สบตากับไอ้หัวล้าน ก่อนจะบอกว่า “ฉันไม่รู้ว่านายเป็นใคร แต่ท่าทางนายคงมีศักยภาพพอที่จะเช็กข่าวให้ฉันได้ว่าบริเวณนี้ มีการปล้น ฆ่า ชิง วิ่งราวทำร้ายกันบ้างหรือเปล่า”

ไมค์หรุบตาลงเพียงนิด คล้ายคิดอะไรอยู่ ก็พยักหน้าว่าได้ แล้วดึงโทรศัพท์มือถือของตัวเองออกมา จัดการตามคำขอร้องของทายาทแห่งเพลิงพญา ที่ดูกระวนกระวายให้เขาสงสัยถึงความสำคัญของผู้หญิงคนนั้น ขณะที่พรตก็ร้อนใจขึ้นตามลำดับ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจาก ‘รอ’ ทั้งๆที่ไม่อยากรอ เพราะยิ่งนานเขาก็กลัวว่าเธอจะเป็นอะไรมากกว่าที่เขาเป็น แต่ก็เข้าใจว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ที่เขาสั่งปุ๊บจะได้ปั๊บเหมือนที่หุบเขาพญา

“ตอนที่คุณถูกทำร้าย ผมไม่เห็นใครอยู่บริเวณนั้นสักคน คิดว่าเธอคงไม่เป็นอะไร” ไมค์บอกเมื่อคุยโทรศัพท์จบลง

“แล้วถ้าเป็น?”

“แบบไหนละ”

คำถามของไอ้หัวล้าน ทำให้พรตต้องมองนัยน์ตาที่คล้ายมีบางอย่างแฝงเร้นอยู่ แต่ยังไม่ทันได้ถามออกไป เขาก็เห็นชายหญิงสองคนเดินเข้ามาหา ผู้หญิงนั้นสวยราวนางฟ้า ขณะที่ผู้หนุ่มก็หล่อเข้มแต่มีบางที่เขารู้สึกว่าน่ากลัว จนต้องระวังและคลับคล้ายคลับคลาว่าจะเคยเห็นแต่เลือนรางจนไม่แน่ใจและไม่ไว้ใจ เพราะไม่รู้ว่ามาดีหรือร้าย หรือเป็นพวกเดียวกับไอ้หัวล้านนี่

หญิงสาวส่งยิ้มมาให้ ขณะที่ชายหนุ่มสบตาทักทายเขาเพียงนิดก็เดินไปยืนข้างไอ้หัวล้าน ทั้งคู่คุยกันด้วยภาษาที่เขาไม่เข้าใจ ก่อนจะหันมามองหญิงสาว ซึ่งก็พูดออกมาด้วยภาษาเดียวกัน

“สวัสดีค่ะคุณพรต ฉันมิลลี่ แอ็คส์แน็ค หลานสาวมาดามโรส ลูกสาวป้อแม็ค เราเคยเจอกัน ตอนที่ยัยชมพูแต่งงานกับคุณศีล และเกี่ยวดองกันเมื่อนายเหมืองฆิค ลูกชายนายเหมืองฆินทร์ แห่งเหมืองร้าง แต่งงานกับน้องสาวคุณ จำได้ไหมคะ”

พรตทบทวนความทรงจำอย่างรวดเร็ว ภาพงานแต่งงานทั้งสองครั้งที่ถูกพูดถึง เป็นจุดเริ่มต้นที่ทำให้เขารู้จักทุกคนในตระกูลนี้ แต่ตอนนี้เขาไม่เข้าใจว่าทำไมเธอถึงมาเกี่ยวข้องกับเขา

“ส่วนนี่ดีแลนด์ การ์เนอร์ ฟรองส์ สามีของฉัน และนายหัวล้านแต่หัวใจดอกไม้นั่นคือไมค์ คนสนิทของสามีฉัน ซึ่งคุณคงรู้จักแล้ว”
ไมค์ส่งสายตาค้อนนางฟ้าแห่งแอ็คส์แน็คที่ดับฝันสวาทเขาจนหมดสิ้น จะเหลือไว้ให้กระลิ้มกระเหลี่ยหน่อยก็ไม่ได้ เห็นสายตาคนสนิทของสามีแล้ว มิลลี่ก็ยิ้มขำ ก่อนจะปะเหลาะว่า “น่าไมค์ โดนบั่นทอนสวาทตอนนี้ยังดีกว่าถูกตีนให้เจ็บตัวทีหลังนะจ๊ะ เพราะทายาทแห่งเพลิงพญานะ ไม่ต่างจากเสือร้ายจากเหมืองร้างและแอ็คส์แน็คหรอกนะ จะบอกให้”

ไมค์เกือบจะสะบัดมือขึ้นทัดหู แต่จะต้องยืดอกให้ผ่ายไหล่ให้ผึ่ง เพื่อรักษามาดมาเฟียไว้เจ้านายจะได้ไม่เสียหน้า มิลลี่จึงหันมามองพรต ซึ่งแน่ใจแล้วว่าทั้งหมดคือมิตร

“คุณคงสงสัยว่าทำไมถึงเจอฉันที่นี่” มิลลี่ถามตรงจุด ซึ่งพรตก็ไม่แปลกใจที่เธอพูดออกมาเหมือนรู้ใจเขา เพราะสถานการณ์ตอนนี้ใครๆ ก็เดาได้ทั้งนั้น “ก่อนหน้านี้พี่ชายของคุณได้ให้นายเหมืองฆิคติดต่อฉันให้มาดูแลคุณ ด้วยความเป็นห่วง ไม่อยากให้คุณหัวเดียวกระเทียมลีบอยู่ที่นี่ แต่ขอให้ดูเงียบๆ เพราะอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับคุณมันมีกลิ่นแปลกๆ ดีแลนด์จึงส่งไมค์มาเป็นทับหน้า และโชคดีที่มาทัน ก่อนที่คุณจะเป็นอะไรไป”

“กลิ่นแปลกๆคืออะไร”

“ฉันก็ไม่รู้หรอก แต่สามีฉันมีข้อมูลบางอย่างจะบอกคุณ แต่ก่อนที่เขาจะบอก ฉันขอให้คุณตอบฉันก่อนว่าคุณรู้จักพวกม็อตต้าดีแค่ไหน”

พรตอยากจะบอกว่าดี แต่ความจริงที่ว่าเขาแทบจะไม่รู้อะไรเกี่ยวกับม็อตต้าเลยคล้ายๆกับต้นไม้ที่เขารู้แค่เปลือก ไม่ได้ลงลึกไปถึงราก ทำให้เขาต้องหยุดยั้งคำพูดของตัวเองไว้ ...ท่าทางที่นิ่งไปของพรต ทำให้มิลลี่ที่จับตามองอยู่บอกว่า

“นายเหมืองฆิคบอกฉันว่าที่คุณมาที่นี่เพราะมาดูแลหุ้นของโรงแรมที่ได้รับมาจากคนเป็นปู่ แต่ฉันไม่รู้ว่าคุณรู้หรือเปล่า ว่าหุ้นที่คุณได้รับ นอกจากจะเกี่ยวข้องกับพวกม็อตต้าแล้ว ยังเกี่ยวกับใครที่ไหนอีกบ้าง”

“รู้”

“รู้แค่ไหน” มิลลี่ถามกลับเร็ว จนพรตเริ่มสงสัยว่ามันอะไรมากกว่าที่เขารู้แน่

“ก็รู้จักพวกที่เกี่ยวข้องกับหุ้นส่วนที่ผมได้รับทุกคน”

“แสดงว่าคุณรู้แค่เปลือก รู้แค่หน้าแต่ไม่รู้ใจและไม่รู้เบื้องหลังของพวกเขาเลย ว่าเกี่ยวข้องกับใครบ้าง”

“คุณจะบอกอะไรผม”

พรตถามเมื่อรู้สึกถึงบางอย่างที่เริ่มส่งกลิ่นออกมา แต่มิลลี่ไม่ตอบ เธอหันไปยิ้มให้สามีที่รัก ซึ่งยิ้มให้เธอก่อนจะหันไปสบตากับทายาทเพลิงพญาที่มองอยู่ แล้วพูดออกมา
“คุณคิดยังไงเกี่ยวกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น คิดว่าเป็นอุบัติเหตุจริงๆหรือเปล่า”

“มันเป็นอุบัติเหตุ” พรตบอกตอกย้ำความเชื่อของตัวเองตั้งแต่ต้นมา

“ทำไมคุณคิดอย่างนั้น”

“แล้วทำไมคุณถามอย่างนี้”

พรตถามกลับเมื่อรู้สึกว่าเขากำลังเป็นหนูที่ถูกแมวไล่ต้อน มุมปากของดีแลนด์หยักขึ้น เมื่อเห็นความทระนงของทายาทเพลิงพญา และที่ถามเพราะอยากรู้ความคิดเขาก่อนที่จะพูดอะไรออกไป แต่จากคำพูดเมื่อกี้ ก็ทำให้เขาเห็นแล้วว่าพวกเขาก็ฉลาดไม่เลว

“เพราะม็อตต้าเกี่ยวข้องกับพวกมาเฟีย
**********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.พ. 2558, 16:41:40 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.พ. 2558, 16:41:40 น.

จำนวนการเข้าชม : 1616





<< ตอน 3   ตอน 5 >>
แว่นใส 13 ก.พ. 2558, 20:07:15 น.
ยุ่งล่ะ


Zephyr 14 ก.พ. 2558, 23:01:22 น.
อ้าว ม้อตต้าก็เทาๆเหรอเนี่ยไม่ขาวสะอาดแฮะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account