ดวงใจพรต (ปรับปรุง)
พรต...ลูกชายป๊ะเพลิงแห่งหุบเขาพญา
จากคุกทมิฬมารับมรดกที่ได้มาโดยไม่คาดฝัน
แต่...ความโชคดีกลับมาพร้อมหายนะ และเธอที่น่าสงสัย
ความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่จึงปรากฏออกมาอย่างไม่ปราณี
บัญชีนี้...ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต หัวใจต้องชดใช้ด้วยหัวใจ
ดวงใจพรต จึงได้มาพร้อมหยาดน้ำตาและร่างกาย


Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 6

ตอน 6
ลิฟต์พาหนุ่มสาวที่เพิ่งหมั้นกันได้ไม่นานมาถึงชั้นที่ต้องการ ทั้งคู่เดินคลอเคลียกันออกมาจากลิฟต์ คล้อยหลังทั้งคู่ไปไม่กี่อึดใจ ลิฟต์อีกตัวก็เปิดออก หญิงสาวคนหนึ่งรีบเดินออกมา สายตามองหาคนที่ตามมาติดๆ โดยไม่สนใจว่าตอนที่เธอเข้าไปอยู่ในลิฟต์ที่มีคนอยู่หลายคน จะมีใครตามเธอเข้าไปด้วย เธอเดินตามหาคนทั้งคู่ กระทั่งเห็นหลังไวๆ ก็รีบตามไป แล้วรีบหลบอยู่ตรงมุม เมื่อเห็นภาพที่ตอบคำถามที่ค้างคาอยู่ในใจ

ทั้งคู่กอดจูบกันอยู่หน้าประตูห้อง ท่าทางที่เร่าร้อนไม่ต้องคิดให้เปลืองสมองก็รู้ได้ทันทีว่าต่อไปจะเป็นยังไง ใบหน้าเธอเย็นชา ขณะสายตากระด้างเมื่อคำตอบที่ได้คือ ‘ความง่าย’ ที่ทำให้เกิดการหมั้น รวมกันแทงข้างหลังเธออย่างเลือดเย็น

พรีมาดายืนมองจนทั้งคู่เข้าไปในห้อง ก็หันหลังจะเดินไปให้ไกลแต่ก้าวไปไหนไม่ได้ เพราะมีคนมายืนกอดอกพิงผนังขวางทางเธอไว้ ดวงตากลมโตสบนัยน์ตาคมที่มองอยู่เพียงแวบเดียว ก็เบี่ยงตัวเดินไปอีกทาง แต่...

“บาดตาปวดใจมากมั๊ย” เสียงพูดภาษาบ้านเกิดทำให้พรีมาดาแปลกใจ แต่เพียงนิดก็สงบนิ่งเหมือนเดิม แล้วเบี่ยงตัวจะเดินไปแต่เสียงพูดก็ดังขึ้นอีก “อยากกินเหล้าไหม คราวนี้ไม่ต้องจ้าง ผมเลี้ยงเอง”

“อย่ามายุ่งกับฉัน”

เสียงเค้นด้วยภาษาเดียวกันไม่ได้ทำให้พรตถอย กลับยิ้มที่มุมปาก พลางตวัดสายตาไปมองห้องที่เธอมองอยู่ก่อนหน้านี้ แม้ไม่เห็นหน้าคู่รักที่เธอตามมา แต่ก็พอจะเดาได้ว่า คงเป็นเรื่องรักสามเศร้าของเราสามคน แล้วดีดตัวขึ้นมา ดึงร่างอรชรมากอดไว้อย่างรวดเร็ว “อุ๊ย” หญิงสาวร้องออกมาอย่างตกใจ ก่อนจะดิ้นให้หลุดจากวงแขน แต่...

“มีคนออกมาจากห้อง อยากให้เขาเห็นหน้าคุณหรือไง”

พรีมาดาเม้มริมฝีปากอย่างไม่พอใจแต่จำต้องยืนหลบซ่อนตัวอยู่ในอ้อมกอดเขา โดยไม่รู้ว่าไม่มีใครออกมาสักคน จนเวลาผ่านไปหญิงสาวก็ดันตัวออกพร้อมบอกว่า “ปล่อย”

พรตหลุบตามองเพียงนิด ก็คลายอ้อมแขนออก แต่ยังไม่ถอยห่างจากตัวเธอ “พวกเขาเป็นใคร ทำไมคุณต้องตามมาดู”

“เรื่องของฉัน”

“แต่บังเอิญว่ามันผ่านเข้ามาในสายตาผม และถ้าคุณไม่บอก ผมจะไปเคาะประตูแล้วถามให้รู้เรื่อง”

“ไม่ใช่เรื่องของคุณ”

“แต่ผมอยากเสือก”

พรีมาดามองหน้าคมอย่างขุ่นเคือง แล้วเดินกลับไปที่ลิฟต์ โดยมีพรตสาวเท้าเดินตามมาติดๆ จนมาหยุดยืนอยู่หน้าลิฟต์ เขาก็เดินขึ้นมายืนเคียงข้าง ปรายตามองใบหน้างามที่นิ่งเฉย ก็เปรยขึ้นอีก

“ที่ไม่บอก เพราะว่าเป็นเรื่องรักสามเส้าเราสามคน หรือฉันรักผัวเขาละ”

“ฉันไม่ได้สิ้นคิดขนาดนั้น”

“แล้วตามมาดูทำไม หรือมันแน่นอก จึงตามมายกออก”
“เหมือนที่คุณยกรถฉันไปนั่นเหรอ” เธอถามแล้วยิ้มเยาะ ก่อนจะบอกอีกว่า “ถ้าจิตใจคุณไม่ได้สูงส่ง ก็อย่ามาเหมารวมว่าคนอื่นจะเป็นเหมือนคุณ”

“อย่ากล่าวหากันซิถ้าไม่มีหลักฐาน”

“คุณก็ไม่มีสิทธิมาว่าฉันเหมือนกัน และไม่เข้าใจว่าคุณจะมายุ่งกับฉัน หรือตามติดฉันเป็นผีไม่ญาติทำไม ฉันไม่มีส่วนบุญจะอุทิศให้”

พรตสบตาที่มองอยู่อย่างเย็นชา แล้วภาพวันที่เขาเกิดอุบัติเหตุกับวันที่ถูกทำร้ายก็ผุดขึ้นมาอีก แววตาเขานิ่งลึก เพราะเสียงในสมองส่วนหนึ่งบอกเขาว่าเธอน่าสงสัย “แน่ใจหรือว่าไม่มี แต่ฉันว่ามี” คำพูดที่สุภาพเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อความร้ายลึกผุดขึ้นมา “และมีมากด้วยเสียด้วย พรีมาดา อัลโตนิโอ”

ชื่อเธอที่ออกมาจากปากเขาทำให้พรีมาดาอึ้งไป เพราะน้อยคนที่จะรู้ว่าเธอเกี่ยวข้องกับอัลโตนิโอ แต่เขารู้ หมายความว่าไง เธอมองหน้าคมอย่างสงสัย แต่ยังไม่ทันได้คิดหรือถาม ก็ถูกเขาจับแขนและลากเข้าไปในลิฟต์ที่เปิดออกพอดี เธอดึงมือพร้อมขืนตัวไว้อย่างไม่ยอม แต่ไม่อาจหลุดรอดออกมาจากมือของเขาได้ และได้แต่หวั่นใจว่าเขาจะทำอะไรเธอ!
*******
แสงไฟนับล้านดวงยังคงพร่างพราวระยิบระยับไปทั่วเมือง ยิ่งดึกแสงสีก็ยิ่งเยอะ พอๆกับเสียงเพลงในผับยิ่งดึกเพลงก็ยิ่งชวนเคลิ้ม แม้จะมีเสียงพูดแทรกขึ้นมาบ้างก็ตาม ชายสองคนที่รู้จักกันด้วยความบังเอิญ แต่จริงๆแล้วเป็นการจงใจของคนที่ต้องการให้ชน ซึ่งก็สมใจ เพราะหลังจากขอโทษกันแล้ว ก็ชวนมานั่งที่โต๊ะ ดื่มกันไปคุยกันไปท่ามกลางบรรยากาศที่ดีขึ้นตามลำดับ

“เรายังไม่รู้จักกันเลย ผมไมค์” นายเฟียร่างยักษ์ยื่นมือออกมารอการทักทาย คนที่หมุนตัวมาชนจึงยื่นมือมาสัมผัสพร้อมกับบอกชื่อตัวเอง

“ผมเควิน”

“ที่นี่เงียบสงบ เหมาะสำหรับมาผ่อนคลายอารมณ์จริงๆ คุณมาที่นี่บ่อยไหม” ไมค์ชวนคุย แต่บางครั้งก็ตวัดสายตามองไปที่ประตูทางเข้าผับ เพราะทายาทเพลิงพญาหายไปนานแล้ว ยังไม่กลับมา

“แล้วแต่อารมณ์ครับ แต่ที่นี่เป็นอย่างคุณว่าจริงๆ ผมมาหลายครั้งแล้ว” เควินบอกพร้อมกับคลึงแก้วในมือเล่น แล้วนิ่งไปนิด เมื่อมีเสียงถามกลับมาว่า

“ก่อนหน้านี้ผมเห็นคุณกับผู้หญิงคนหนึ่ง เธอไปไหนเสียครับ”

คิ้วเข้มของเควินเลิกขึ้นอย่างแปลกใจ และยิ้มออกมา เมื่อเข้าใจว่าผู้ชายทุกคนต้องมองผู้หญิงสวยๆอยู่แล้ว “คุณสนใจเธอเหรอ”
“ผมไม่ชอบผู้หญิง แต่ชอบที่จะเป็นมากกว่า” ไมค์บอกความเป็นตัวเองโดยไม่คิดจะปิดบัง และแอบสังเกตคนตรงหน้าว่าจะรู้สึกยังไง แต่เมื่อไม่มีท่าทางใดให้เขาเห็นนอกจากรอยยิ้มที่ฉาบขึ้นอย่างเข้าใจสิ่งที่เขาเป็น ก็เปลี่ยนเรื่องคุย “คุณรอเธออยู่เหรอ”

“ครับ”

“เธอสวยดีนะ คุณเป็นเพื่อนเธอเธอเป็นเพื่อนคุณ หรือว่าไม่ใช่เพื่อนแต่เป็นมากกว่านั้น”

“แล้วคุณคิดว่าไง”

“คิดว่าคุณจะเป็นอย่างผมหรือเปล่า”

เควินถึงกับอึ้งเมื่อเจอคำถามตรงชนิดที่ไม่เคยมีใครกล้าถามเขามาก่อน มุมปากยกขึ้นยิ้มพลางหรุบตามองแก้วน้ำเมาในมือ ที่สะท้อนกับแสงไฟสะท้อนเงาความเป็นตัวเขาเช่นกัน ก็ตวัดสายตาขึ้นสบตาคนตรงหน้า “ไม่เป็น”

“แต่ผีมักจะมองผีด้วยกันออก”

“คุณอาจจะมองพลาด”

ไมค์ยิ้มให้เป็นเรื่องขำ ทั้งๆที่อยากจะบอกว่าสายตามาเฟียอย่างเขา ที่เก่าและเก๋าไม่เคยมองพลาด แต่ฉลาดที่จะไม่พูดออกไปให้อีกฝ่ายสงสัยไปมากกว่านี้ นอกจากยกแก้วเครื่องดื่มขึ้นดื่ม จู่ๆ ก็เลิกคิ้วขึ้น เมื่ออีกฝ่ายพูดคล้ายๆจะยอมรับออกมา
“คุณเก่ง แต่ที่ถามถึงเธอบ่อยๆมีอะไรหรือเปล่า”

“ตัวผมไม่มี แต่มีคนสนใจเธอ ถ้าเธอไม่มีใครเป็นก้างอยู่ เขาก็อยากขอเป็นคิวแรก และพอจะบอกได้ไหมฮะว่าคุณกับเธอเป็นแบบไหนกัน”

“มากกว่าเพื่อนที่ไม่ใช่แฟน แต่เป็นคนรัก”

“รักแบบไหนละฮะ หรือว่ารักออกแบบไม่ได้ แต่หน้าเธอคุ้นเหมือนเคยเห็นตามหลังพวกนักธุรกิจดังๆ” ไมค์วางทุ่นเพื่อหวังจะให้ปลาฮุบเหยื่อ และได้ผล เมื่อเห็นแววตาของเควินไหวไปเล็กน้อย แต่ไม่รู้ว่าตอนนี้เควินก็มองเขาอย่างจะค้นหาอะไรสักอย่างพลางคิดว่าชายคนนี้ไม่ใช่ผีเร่ร่อนทั่วไปเสียแล้ว จากคำพูดและท่าทางมันมีบางอย่างซ่อนอยู่

“คุณเป็นใคร”

ไมค์ยิ้มเยือนเหมือนไม่รู้สึกอะไรที่ถูกจับผิด แล้วตอบให้คิดเอาเองว่า “ความดำมืดของสังคม”

คำตอบที่ได้ยินทำให้เควินต้องคิดว่าสิ่งที่พูดหมายถึงอะไรกันแน่ เท่าที่เขารู้พวกที่เป็นความดำมืดของสังคมเช่น มือปืน นักเลง นักค้ายา ค้าอาวุธและอีกหลายๆอย่าง สุดท้ายที่เคยได้ยินมาบ้าง ก็คือพวกมาเฟีย แม้จะไม่สามารถฟันธงลงไปได้ว่าเขาทำอะไร แต่ก็รู้ว่าไม่ใช่สิ่งที่ดีแน่นอน ความรู้สึกดีๆก่อนหน้านี้หายวับไปทันที ร่างสูงลุกขึ้นเตรียมถอยห่างเพื่อความปลอดภัยของเพื่อนรักและตัวเอง

“ผมขอตัว”

“คุณกลัวเหรอ”

“ไม่เชิง แต่ผมไม่ชอบอะไรยุ่งยาก”

“ทำไมไม่มองว่ามันเป็นความท้าทายละฮะ” ไม่ใช่แค่พูด แววตาไมค์ก็เปล่งประกายท้าทายไม่แพ้กัน และไม่ใช่แค่ความดำมืด ยังรวมถึงเรื่องความชอบของเขาด้วย แล้วเขียนตัวเลขลงบนกระดาษ ยื่นให้อีกฝ่ายพร้อมรอลุ้น “เบอร์โทรศัพท์ผม เผื่ออนาคตเราอาจจะได้ติดต่อกัน รับรองว่าไม่เป็นอันตรายสำหรับคุณแน่นอน”

เควินมองนามบัตรที่ถูกยื่นมาให้ แล้วเมินหน้าเหมือนไม่สนใจ แต่สุดท้ายเขาก็คว้ามันมาไว้ในมือก่อนจะเดินจากไป หัวใจกระเทยจึงกระชุมกระชวยขึ้นมาเป็นกองพลางมองตามไป แต่เพียงเดี๋ยวเดียวก็ต้องเก็บเรื่องความชอบไว้ เพราะความรับผิดชอบต้องหน้าที่ต้องมาก่อน แล้วลุกขึ้นจากโต๊ะ เดินออกจากผับ เพื่อไปหาทายาทแห่งเพลิงพญาที่หายนานเกินไปแล้ว
*******
คนที่กระเทยควายไม้เป็นห่วง เดินอยู่บนถนนไม่ห่างจากโรงแรมที่มาเที่ยวมากนัก ดวงไฟริมทางส่องสว่างเป็นระยะ ผู้คนเดินผ่านไปมา แต่ไม่มีใครสนใจใคร เช่นเดียวกับพรตเขาก็ไม่สนใจใครนอกจากหญิงสาวที่ลากมาด้วย แม้จะปรายตามองเป็นบางครั้ง ใบหน้างามนิ่งแต่บ่งบอกความไม่พอใจ เพราะพยายามบิดข้อมือออกจากมือเขาบ่อยๆ แต่ก็เหนื่อยเปล่าเมื่อเขาไม่ปล่อย แถมยังกำให้แน่นขึ้นอีกด้วย

พรีมาดารู้สึกเจ็บแต่ไม่ร้องบอกเพื่อให้เขาสงสาร เธอเชิดใบหน้าขึ้นอย่างอวดดี จนคนที่ปรายตามองอยู่อยากจะถามว่าไม่เมื่อยหรือไง แต่ไม่ถามเพราะอยากจะรู้ว่าเธอจะเชิดหน้าได้นานแค่ไหน พรตพาเธอเดินไปเรื่อยๆและยังไม่คิดว่าจะหยุดที่ไหน จนกระทั่งเท้าเธอสะดุดพื้นจนเกือบจะล้มนั่นแหละ เขาถึงได้หยุดหันมามอง

“เจ็บหรือเปล่า”

เขาถามอย่างห่วงๆ แต่เธอกลับเมินหน้าหนีเหมือนไม่สนใจ มุมปากเขาหยันน้อยๆแล้วดึงให้เดินต่อเหมือนไม่ปราณี แต่เพียงขยับใบหน้างามก็นิ่วแสดงความเจ็บ พรตเห็นแต่เมื่อเธออวดดีเขาก็ไม่มีความสงสารให้ ดึงมือให้เดินต่อ พรีมาดาขบฟันข่มความเจ็บขณะก้าวตาม แต่ไม่กี่ก้าวเธอก็ต้องกะเผลก แต่ก็ยังเฉยเพราะปวดใจจากภาพที่เห็นมามากกว่า กระทั่งไม่สามารถจะเดินต่อไปได้ก็หยุดยืนนิ่ง และบอกเสียงแผ่ว

“ฉันเจ็บ”
พรตหันมามองใบหน้างาม สีหน้านั้นยังนิ่งเฉย แต่แววตาบอกความรู้สึกชัดเจน ก็หลุบตามองที่เท้าเธอแต่ไม่เห็นบาดแผลจึงทรุดตัวนั่งลงบนส้นเท้าเพื่อจะดูให้ชัด พรีมาดาขยับเท้าหนีโดยอัตโนมัติ เขาจึงเงยหน้าขึ้นบอกว่า “ฉันจะดูให้”

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวก็หาย”

“อย่ามาอวดดี” ว่าแล้วก็ยืดตัวขึ้นยืนตวัดร่างอรชรไว้ในวงแขนโดยที่เธอไม่ทันตั้งตัว พรีมาดารีบยกมือขึ้นกอดคอเขาไว้ด้วยความตกใจและกลัวตกแล้วจะดิ้น แต่มีเสียงขู่ดังขึ้นมาเสียก่อน “อยู่นิ่งๆ ถ้าดิ้นฉันจะโยนลงพื้น ถ้าไม่เชื่อ ก็ลองดู” พูดจบก็รอดูว่าเธอจะอวดดีหรือไม่ เมื่อไม่ ก็อุ้มเธอเดินไปพลางมองหาที่นั่ง เพียงไม่กี่ก้าวก็เห็นม้านั่งริมทาง ก็วางตัวเธอให้นั่งลงแล้วนั่งลงข้างๆ

“เจ็บตรงไหน” เขาถามพลางมองใบหน้างามซึ่งไม่ตอบที่เขาถามแต่ถามกลับว่า

“คุณจะปล่อยฉันไปได้หรือยัง”

“แค่เดินยังจะไม่ไหว ก็อย่ามาทำอวดเก่ง”

“ฉันไม่ได้อวด คนที่เก่งจริงก็ไม่จำเป็นต้องอวด มีแต่พวกไม่เก่ง แต่ผยองว่าตัวเองเก่งนั่นต่างหากที่น่าเกลียด ซึ่งแท้จริงก็เก่งแต่กับผู้หญิง”

“อย่าดูถูกฉันคนสวย เดี๋ยวฉันพิสูจน์ด้วยการถูกตัวเธอขึ้นมาแล้วจะยุ่ง”

“อย่ามายุ่งกับฉัน” เสียงเธอต่ำลึกอย่างโกรธจัด แต่พรตกลับยิ้มเยาะก่อนจะถามว่า

“ทำไม อ๋อ!ลืมไปว่าเธออยากยุ่งกับคนที่มีเจ้าของแล้วถึงกับตามไปดูถึงหน้าห้อง หึ ผู้หญิง ชอบที่จะคบคนดี แต่งงานกับคนรวยแต่รักคนเลว น่าสรรเสริญจริงพับผ่า”

ถ้อยคำหยามเหยียดนั้นทำให้พรีมาดาเม้มริมฝีปากแน่น แล้วลุกขึ้นเพื่อจะไปให้พ้นความหยาบคายของเขาเสียที แต่ถูกดึงมือไว้จนตัวเธอต้องนั่งลงที่เดิม และตกใจเพิ่มมากขึ้น เมื่อเขาจับข้อเท้าเธอขึ้นมาวางพาดบนตัก “จะทำอะไร” เธอถามอย่างตกใจและปัดมือเขาพร้อมดึงขาลงมา กลับกันพรตปัดมือเธอออกและจับขาเธอไว้แน่น

“ฉันจะดูแผลให้”

“ไม่ต้อง ฉันดูเองได้”

เธอว่าแต่เขาไม่ฟัง ถอดรองเท้าเธอออก มองหารอยแดง ทันทีที่เห็นก็ขบฟันอย่างไม่พอใจ เพราะความอวดดีทำให้มีเลือดซึมออกมา มิน่าถึงได้ร้องว่าเจ็บ เขาคิด แล้วแตะแผลดูว่าลึกแค่นั้น แต่แค่นั้นก็ทำให้พรีมาดาสะดุ้ง ก่อนจะคลายเกือบหายไปเพราะความนุ่มนวลจากปลายนิ้วเขา ที่เปลี่ยนมาแตะเบาๆและทำให้เธอรู้สึกแปลกๆ แถมความโกรธก็ลดน้อยลงโดยไม่รู้ตัว

“แผลนิดเดียวใส่ยาสองสามวันก็หาย”

พรตว่าแล้วเงยหน้าขึ้น แต่ต้องชะงักเพราะปลายจมูกเขาเกือบจะชนกับแก้มเธอ ที่ก้มลงมามองแผลพอดี กลิ่นหอมอ่อนๆรวยรินปลุกอารมณ์เขาอย่างที่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำได้มาก่อน เขาคิด แล้วรู้สึกอยากจะ... สายตาเขาหรุบมองริมฝีปากอิ่มที่ดูเหมือนยั่วยวนเขาอยู่ ก็ยื่นหน้าเข้าไปใกล้จนเกือบจะแนบชิด

“คุณลากฉันมาทำไม” เสียงที่ขึ้นหยุดอารมณ์ที่เผลอไผลเขาไว้ทันที แล้วยืดตัวขึ้น ขณะที่พรีมาดาก็พยายามทำหน้านิ่งเหมือนไม่รู้สึกอะไรกับความใกล้ชิดเมื่อกี้

“ลงจากรถแล้วเธอหายไปไหน”

“ไปให้พ้นจากโรคจิตอย่างคุณไง”

“แน่ใจหรือว่าแค่นั้น”

“หมายความว่ายังไง” เธอถามออกมาอย่างสงสัยเมื่อจับได้ว่ามีความนัยในคำพูดเขา พรตจึงมองเข้าไปในนัยน์ตากลมโตเพื่อคอยจับผิด

“ไม่รู้จริงๆหรือรู้อยู่เต็มอกแต่แกล้งไม่รู้กันแน่”

“ฉันไม่รู้” เธอเน้นเสียงบอกอย่างไม่พอใจ และไม่ใช่แค่เสียงสีหน้าเธอก็บอกเขาเช่นกัน แต่จิตใจผู้หญิงยากที่จะรู้ซึ้ง เขาจึงเชื่อไม่ลง

“งั้นก็เล่ามาว่าเธอหายไปไหน แล้วเจอใครบ้าง”

“ฉันกลับไปทำงาน ไม่ได้เจอใคร” พรีมาดาพูดความจริงเพื่อให้จบแต่ดูเหมือนจะไม่จบ เพราะเขายังซักไซ้ถึงใครบางคนที่เธอก็ไม่รู้ว่าเป็นใคร จนเธอต้องบอกว่า “คุณจะมาคาดคั้นฉันทำไม พูดมาเลยดีกว่าว่ามีอะไร”

“ไม่มี” ถึงเวลาพรตก็ตัดบทเพื่อไม่ให้เธอสงสัยไปมากกว่านี้ อีกอย่างเขายังไม่มีหลักฐาน การพูดมากไปถ้าเธอมีส่วนจริงก็จะเป็นการแหวกหญ้าให้งูตื่น สู้เก็บไว้ค่อยๆหาทางพิสูจน์ให้ดีกว่า

แต่พรีมาดาไม่เชื่อคำพูดเขาสักนิด เพราะการที่เขาลากเธอมาและถามถึงลักษณะของใครบางคนที่เธอไม่รู้จักมันต้องมีเรื่องอะไรแน่ๆ แต่เพียงเดี๋ยวเดียวเธอก็ปัดเรื่องนี้ทิ้งไปเมื่อแน่ใจว่ายังไงก็ไม่เกี่ยวกับเธอแน่นอน
“ฉันกลับได้หรือยัง”

“จะกลับยังไง อย่าบอกว่าแท็กซี่ ดึกอย่างนี้ไม่ปลอดภัย หรือจะให้ผู้ชายคนนั้นมารับ เขาเป็นใคร เป็นคิวแรกหรือมากกว่านั้น”

พรีมาดาหันมามองหน้าคมอย่างงงๆ ว่าเขาหมายถึงใคร และเหนื่อยใจกับการที่เขาช่างหาเรื่องมาต่อว่าเธอนัก “ไม่เกี่ยวกับคุณ”

“แต่ตอนนี้เธออยู่กับฉัน ต้องเกี่ยว ฉันจะไปส่งเอง”

“ไม่ต้อง ฉันกลับของฉันเองได้”

“สภาพเป็นง่อยอย่างนี้ ไปก็โดนรุมโทรมหรอก”

พรีมาดาโกรธจนไม่อาจจะทนฟังคำกล่าวหาบ้าๆบอๆของเขาอีก เธอข่มความเจ็บลุกขึ้นเดินกะเพลกไปตามถนน พรตยืนมองความอวดดีของเธอและอยากจะปล่อยไปให้สุด แต่สุดท้ายเขาก็เดินตามไปเพราะใจบอกว่าต้องรับผิดชอบที่ลากเธอมา เพียงไม่กี่ก้าวเขาก็ตามมาทัน และยื่นมือมาจับแขนเรียว เธอก็สะบัดไม่ให้จับ

พรตเดินไปดักหน้าเธอก็เดินไปอีกทางอย่างไม่สนใจว่าเป็นซอยมืด และปัดป้องตัวเองจากมือเขาอย่างกับคู่รักทะเลาะกัน และต้องร้องกรี๊ดเมื่อเขารวบตัวเธอขึ้น พอเธอดิ้นเขาก็ทำท่าเหวี่ยงเธอลงพื้น เธอกรี๊ดร้องเสียงดังและผวากอดเขาจนจมูกไปชนกับแก้มเขา ริมฝีปากห่างกันแค่เส้นด้าย ลมหายใจร่วมกันคล้ายความสัมพันธ์ที่แนบชิด

ความรู้สึกบางอย่างพุ่งขึ้นมาในใจพรต พลางมองริมฝีปากอิ่ม แก้มนวล กลิ่นกายสาวหอมกรุ่นยั่วอารมณ์เขาเหมือนกับน้ำมันที่อยู่ใกล้ไฟ พรีมาดาที่เริ่มหายตื่นตระหนกตวัดสายตาขึ้นมองหน้าคม และต้องนิ่งดั่งต้องมนต์เสน่หาที่แผ่ออกมาจากสายตาเขา เรียวปากได้รูปค่อยๆแนบชิดเรียวปากอิ่ม จูบแผ่วอย่างขนนก ก่อนจะขบเม้มหยั่งเชิง แต่พอจะรุกล้ำเข้าไปหาความหวาน ใบหน้างามก็ผละออกห่าง

พรตยิ้มพลางมองใบหน้าที่ถ้าอยู่ในที่สว่างคงเห็นว่าแดงอย่างน่าเอ็นดู แล้วต้องผลักตัวเธอออกอย่างกะทันหัน เพราะมีเงาบางอย่างผ่านเข้ามาทางหางตา เขาเบี่ยงตัวหลบพร้อมถอยออกไปตั้งหลัก จึงได้เห็นว่าสิ่งที่ฟาดมาคือแท่งเหล็ก เขาเลื่อนสายตาจากมือไปจนถึงหน้าไอ้หมามาลอบกัดเขา น่าเสียดายที่ซอยมันมืดจึงเห็นหน้ามันไม่ชัด แต่จากรูปลักษณ์ที่เห็นกับอาวุธที่ใช้ช่างคล้ายกับไอ้คนที่ฝากรอยแผลไว้ที่หัวเขา พอมันกระโจนเข้ามาหาอีก เขาก็หลบและหาจังหวะที่จะจัดการมัน

พรีมาดาที่ถูกผลักออกมาไม่ทันตั้งตัวทรุดลงไปกองกับพื้น มองร่างสูงที่กำลังหลบหลีกท่อนเหล็กที่ฟาดใส่อย่างน่ากลัว พลางมองคนที่มาทำร้ายเขาแต่เห็นหน้าไม่ชัดนอกจากรูปร่างที่สูงใหญ่ และหวาดเสียวกับการต่อสู้ของทั้งคู่ พรตจับมือที่กำแท่งเหล็กไว้แล้วลากไปกระแทกกับกระแพงจนหลุด ก็ซัดมันด้วยหมัดและเท้าหวังจะให้สลบคาที่ แต่ดูจะไม่ง่ายเมื่อมันตัวใหญ่ใช้แรงที่มีมากกว่าพลิกตัวมากดตัวเขาไว้ และบีบคอหวังให้ตาย

พรตใช้แรงบวกความแข็งแกร่งจับมือมันดันออกไปแล้วถามออกมา “แกเป็นใคร” มันไม่ตอบพร้อมกับกดมืดลงมาอีกครั้ง เขาจึงโขกหน้าผากมันจนผงะถอยออกไป ก็ตามติดไปหยิบแท่งเหล็กขึ้นมาชี้หน้ามัน ขณะที่แววตากระด้างอย่างเพชฌฆาตในคุกทมิฬ แต่มันไม่กลัวแสยะยิ้มให้แล้วปรี่เข้ามาหาอย่างมั่นใจในฝีมือ แท่งเหล็กในมือพรตจึงฟาดใส่ มันหลบซ้ายขวาแต่ไม่นานก็พลาด “โอย”

แท่งเหล็กฟาดเข้าที่ซีกแก้มจนฟันร่วง เลือดกบปาก มันถุยเลือดลงพื้น แล้วดึงมีดวาววับออกมา แสยะยิ้มให้อีกครั้งก็เดินเข้าไปหา แววตาพรตเปลี่ยนเป็นเหี้ยม พร้อมกระชับแท่งเหล็กในมือเตรียมรับอันตราย พอมันเสือกมีดเข้ามา เขาก็ฟาดแท่งเหล็กลงบนมือ แต่มันหลบได้และตวัดมีดใส่มือเขาจนแท่งเหล็กหลุดจากมือ ก็บิดปากเหี้ยมๆอย่างคนถือไพ่เหนือกว่า และปรี่เข้ามาเสือกมีดใส่ตัวพรต เขาเบี่ยงหลบและจับข้อมือมันบิดเพื่อให้ทิ้งมีด แต่มันก็ใช้แรงที่มีอยู่งัดกลับมาอย่างไม่ยอม ทั้งคู่ยื้อกันไปมา สุดท้ายพรตก็อาศัยจังหวะหมุนตัวชักศอกใส่หน้ามันจนเสียหลักก็บิดมือเสือกมีดให้แทงตัวมัน

“ฮึก”

ดวงตามันเบิกกว้างอย่างเจ็บปวดก่อนจะหลุบตามอง แล้วดึงมีดออกจากท้อง แต่พรตกดไว้แน่น นัยน์ตาเขาเหี้ยมสุดๆแล้ว และถามมันเสียงเยือกเย็น “ใครจ้างแกมา” มันไม่ตอบ ได้แต่กัดฟันข่มความเจ็บจนหน้าสั่น พรตบิดริมฝีปากเยาะแล้วพูดเสียงรอดไรฟันให้มันขนลุกไปทั้งตัว “อีกคำเดียว ถ้ามึงไม่บอก กูจะอาราคีรีมึง”

แววตามันไหวอย่างหวาดกลัว แต่เพียงเดี๋ยวเดียวก็กลับมาแข็งกร้าวเหมือนเดิม ปากมันก็ปิดแน่น ทายาทเพลิงพญาที่เป็นหัวหน้าคุกทมิฬจึงได้เผยความเลวออกมา บิดด้านมีดให้คว้านท้องมัน จนร้องไม่เป็นภาษา “อ้าก!!!” เลือดไหลทะลัก ลมหายใจมันสะดุดอย่างกับจะวิญญาณจะหลุดลอย แต่สำนึกสุดท้ายมันจะตายอยู่ที่นี่ไม่ได้ จึงออกแรงฮึดสุดท้ายดึงมีดออกมาจากท้องตวัดใส่พรต จนต้องปล่อยมือพร้อมกับเบี่ยงรีบหลบ มันจึงอาศัยจังหวะกระเสือกกระสนหนีหายไปในความมืด

พรตขยับจะตามไป แต่สถานที่และความมืดไม่เป็นผลดีกับตัวเขา ถ้ามีพวกมันแอบซุ่มอยู่เขาจะลำบาก อีกอย่างมันโดนเข้าไปขนาดนั้นคงไม่รอด ที่สำคัญใครก็ตามที่จ้างมันมาคราวนี้คงจะได้รู้จักเขามากขึ้น และได้รู้ว่าเขาไม่ใช่หมูที่พวกมันจะเชือดได้ง่ายๆเสียแล้ว เขาคิดแล้วหันมามองหญิงสาวที่อยู่ในเหตุการณ์การเจ็บตัวของเขาอีกครั้ง ความสงสัยที่เกือบจะหมดไปกลับพอกพูนขึ้นมาในใจ แต่ไม่พูดอะไรนอกจากเดินกลับไปหาเธอ

พรีมาดาที่ยันตัวลุกขึ้นพิงกำแพงอยากจะถามเขาหลายอย่าง แต่ความดุดันที่แผ่ออกมาจากตัวเขาทำให้เธอปิดปากเงียบ และเดินกะเพลกตามเขามาที่ถนนใหญ่ พรตปรายตามองร่างอรชรเพียงนิด ก็โบกแท็กซี่ให้จอดรับ ให้เธอบอกจุดหมาย แล้วเปิดประตูให้เธอเข้าไปก่อนจะก้าวตามไปนั่งเงียบๆ จนกระทั่งถึงที่พัก พอลงมาจากรถ เธอก็โทรหาเพื่อนหนุ่มให้ลงมารับพลางปรายตามองร่างสูงที่ยืนอยู่เคียงข้าง ใบหน้าคมมีรอยช้ำเด่นชัด เขาคงเจ็บ เธอคิดและบอกตัวเองไม่ให้ถามแต่ปากเธอพูดออกไปแล้ว

“คุณเป็นไงบ้าง”

“เธอรู้จักมันหรือเปล่า”

“คุณคิดว่าฉันรู้จักเขาเหรอ”

เธอถามกลับเพราะคำพูดเขามีนัยยะให้คิดแบบนั้นอีกแล้ว ก่อนหน้านี้เขาก็พูดกับเธอคล้ายๆแบบนี้มาแล้ว แต่พรตไม่ตอบ เขามองเข้าไปในดวงตาเธอเพื่อหาความจริงแต่มันลึกยิ่งกว่ามหาสมุทร ที่เขาไม่สามารถที่จะล้วงลึกลงไปได้ จนกระทั่งหางตาเห็นไอ้คิวแรกของเธอเดินมาหา ความเลวที่ยังไม่ได้ฝังกลบจึงคว้าตัวเธอมาจูบ บดขยี้ริมฝีปากอิ่มเพื่อลบความรู้สึกร้ายๆที่อยู่ในใจเขา แต่ความรู้สึกอื่นกลับเข้ามาแทนที่ จนแทบจะไม่อยากปล่อยตัวเธอ แต่ก็ต้องปล่อยและก่อนจะเดินจากไปตวัดสายตาไปเยาะคนที่ยืนจ้องอยู่

พรีมาดาอึ้งไปกับความรวดเร็วที่คิดไม่ถึง ขณะเควินมองตามร่างสูงที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน ความสงสัยผุดขึ้นมาว่าเขาเป็นใครมีอะไรมากกว่าสิ่งที่เขาทำกับเพื่อนสาว เพราะถ้าเขาไม่สำคัญเธอจะไม่ยอมให้ทำอย่างนี้เด็ดขาด แล้วเดินเข้ามาหาเพื่อนที่ยังยืนอึ้งอยู่ ไม่ถามอะไรมากไปกว่าบอกว่า

“ไปเถอะ” พรีมาดารีบปรับสีหน้าให้นิ่ง ทั้งที่ทำไม่ได้เลย เพราะรอยจูบยังร้อนผ่าวอยู่ที่ปาก และหวั่นใจว่าเพื่อนจะเห็นภาพเมื่อกี้หรือเปล่า พลางก้าวตามแต่เพียงขยับอาการกะเพลกก็ทำให้เควินถามอย่างสงสัย “เป็นอะไร”

“ไม่เป็นไร” เควินมองสีหน้าที่ดูจะเจ็บไม่น้อยก็จะอุ้มเธอไป แต่ต้องหยุดเมื่อเธอรีบบอกว่า “พรีมเดินได้”

เขาพยักหน้าแล้วสอดมือกอดเอวเธอประคองให้เดินไป โดยไม่เห็นว่าคนที่เพิ่งเดินจากไปเมื่อกี้นั้นยังไม่ได้ไปไหนไกล ยังแอบยืนมองอยู่ด้วยแววตานิ่งลึก จนกระทั่งเห็นเธอเดินเข้าไปในลิฟต์ก็หมุนตัวเดินจากไป
*******
แสงสว่างที่ลอดออกมาจากห้องทำงานของประมุขอัลโตนิโอ ทำให้ลูกชายที่เพิ่งกลับมาจากข้างนอก หยุดยืนลังเลอยู่หน้าประตู เพียงครู่ก็ยกมือขึ้นเคาะเบาๆ แล้วเปิดประตูเข้าไปก่อนจะปิด เดินตรงไปหาคนเป็นพ่อที่เห็นนั่งอ่านเอกสารอยู่บนโซฟานุ่มมุมห้อง ข้างหน้าต่างที่เปิดรับลมเย็นๆในยามดึก ร่างสูงเดินไปนั่งที่โซฟาข้างๆ สบตาที่ตวัดมองมาเพียงอึดใจก็พูดขึ้น

“พ่อรู้ข่าวของม็อตต้าหรือยังครับ”

“เรื่องอะไรละ” ริคาร์โดถาม แล้วดึงสายตากลับมาอ่านเอกสารในมือต่อ

ลีโอจึงหลุบตาลงคล้ายไม่แน่ใจว่าจะพูดสิ่งที่รู้มาหรือไม่ แต่สุดท้ายเขาก็พูดออกมา “ประธานบริษัทคนใหม่ ที่ไม่ใช่อดัม”

แววตาของริคาร์โดไหวไปนิด ก็เก็บเอกสารที่อ่านอยู่ไปวางไว้บนโต๊ะตรงหน้า เสร็จแล้วก็หันมามองหน้าลูกชายที่บอกว่า “ผมคิดว่าเมื่อไม่มีอเล็กซ์เสียคน โครงการน้ำมันก็หวานหมูสำหรับเรา แต่กลับไม่ใช่ สิ่งที่ง่ายกลายเป็นยาก เมื่อมีตาอยู่มาคว้ามันไป แล้วเราจะทำยังไงต่อไปดี” เสียงของเขาเครียด จนคนเป็นพ่อรู้สึก
“แล้วแกทำอะไรหรือยัง”

“ก็คิดไว้ แต่ยังไม่ได้ทำครับ”

“งั้นก็ไปทำให้สำเร็จ เหมือนที่เขาบอกกันไว้ว่าความพยายามอยู่ที่ไหนความสำเร็จก็อยู่ที่นั้น สิ่งที่แกคิดไว้ก็ใกล้จะเห็นเส้นชัยแล้วไม่ใช่เหรอ แม้จะยังไม่ได้เข้าไปเหยียบเส้นแต่ก็ต้องพยายามให้เหมือนเต่า อย่าชะล่าใจเหมือนกระต่าย แล้วเส้นชัยจะเป็นของแก”

“ผมก็หวังอย่างนั้น แต่ไม่ได้อย่างหวังสักที”

“เป็นธรรมดาของธุรกิจและชีวิตนะลีโอ ไม่มีอะไรที่ง่ายและเรียบร้อยไปเสียทุกอย่าง ต้องมีอุปสรรคมาทดสอบเราทั้งนั้น”

“แต่ผมไม่คิดว่าจะมีตาอยู่มาขวางคออยู่อย่างนี้” ลีโอบอกพลางมองไปที่ตู้หนังสือที่วางติดผนังหลังโซฟาที่คนเป็นพ่อนั่งอยู่ เขาลุกขึ้นไปหยิบหนังสือออกมาดูเหมือนจะสนใจ แต่จริงๆแล้วกำลังชั่งใจในบางอย่างว่าจะพูดออกมาหรือไม่ และในที่สุดก็พูดออกมา “พรุ่งนี้พ่อไปทานข้าวกับผมไหมครับ”

“ได้” ริคาร์โดตอบตกลง จนลีโอต้องหันมาสบตาด้วยความแปลกใจ

“พ่อจะไม่ถามหรือครับว่าผมนัดใครไว้”

“ถ้าแกตัดสินใจไปแล้วฉันก็เชื่อในตัวแก แต่ระวังอย่าไว้ใจใครให้มากนักเพราะมักจะจนใจเอง”

ลีโอปล่อยลมหายใจที่หนักๆออกมาเบาๆ เพราะความกังวลก่อนหน้านี้ได้คลายลง เขาเก็บหนังสือไว้ที่เดิมแล้วเดินกลับมานั่งข้างคนเป็นพ่อก่อนจะบอกว่า “ผมรู้ครับ และเราอาจจะจ่ายมื้อนี้แพงไปสักหน่อย แต่ถ้าสำเร็จก็ยิ่งกว่าคุ้ม และพ่อก็ไม่ต้องห่วงเรื่องการไว้ใจ เพราะผมคิดเผื่อไว้แล้ว”

“ดี ความรอบคอบเป็นคุณสมบัติที่ดีของนักธุรกิจ ทำให้เป็นนิสัยแล้วจะดีกับตัวแกเอง” คนเป็นพ่อเอาประสบการณ์ครึ่งหนึ่งของชีวิตมาสอน “ที่แกมาหาฉัน มีเรื่องแค่นี้ใช่ไหม”

“ครับ แล้วน้องๆ ละครับเป็นไงบ้าง ผมไม่ได้เจอเลย”

ริคาร์โดสบตาลูกชายเพื่อจะหาว่ามีอะไรแอบแฝงอยู่หรือไม่ เพราะหนึ่งในน้องที่ถามถึงไม่ได้มีสายเลือดผูกพันกัน และสวยจนผู้ชายไม่อาจจะมองข้ามผ่าน เขาหลุบตาลงเพื่อปิดบังความคิดบางอย่างไว้ แล้วบอกว่า “อย่างที่เห็นคนสมหวังแล้วก็มีความสุข ส่วนคนไม่สมหวังก็มีแต่ความทุกข์แค่นั้นเอง”

ลีโอยกมุมปากขึ้นยิ้มพลางนึกถึงผู้หญิงสองคนที่ถูกพูดถึง และไม่ถามอะไรอีก คนเป็นพ่อจึงบอกว่า “แกก็กลับไปพักเถอะ ฉันก็จะไปนอนแล้วเหมือนกัน”

เขาก้มหน้ารับคำสั่งแล้วเดินออกมาจากห้องทำงานพร้อมคนเป็นพ่อ รอจนท่านแยกไป ก็เดินกลับไปที่ห้องนอนตัวเอง ถอดสูท รูดเทคไทออกจากคอ วางไว้บนเตียงก่อนจะปลดกระดุมเสื้อที่คอและแขน เสร็จแล้วก็หยิบโทรศัพท์มือถือออกมา กดดูชื่อที่ค้างอยู่ แล้วกดออกทันที ครั้งนี้มีสัญญาณตอบรับมาให้เขายิ้ม

“ขอโทษทีพี่โทรมาดึกไปหน่อย นอนรึยัง”

“ยังค่ะ” เสียงปลายสายตอบกลับมาให้เขาชื่นใจ แล้วเดินไปนั่งบนโซฟาปลายเตียง เอนตัวพิงพนักอย่างสบายๆ พร้อมกับหยิบรีโมทขึ้นมากดเปิดทีวี แต่ไม่ได้สนใจจะดู เพราะใจจดจ่อกับคนที่โทรหามากกว่า

“ช่วงนี้พี่ยุ่งๆ เราเลยไม่ค่อยได้คุยกัน ว่างเมื่อไร ไปทานข้าวกันไหม”

“อย่าเลยค่ะ พรีมไม่สะดวก”

“คุณพ่อใช้งานหนักเหรอ”

“เปล่าค่ะ พอดีมีอุบัติเหตุนิดหน่อย เลยเจ็บเท้า”

ลีโอเด้งตัวขึ้นมาด้วยความเป็นห่วง พร้อมเสียงที่ระรัวออกไป “แล้วเป็นอะไรมากหรือเปล่า ไปหาหมอรึยัง ออกมารอพี่เลย เดี๋ยวพี่จะพาไปหาหมอ” ปลายสายเงียบไปเพียงอึดใจ ก็ตอบกลับมา

“พรีมทำแผลเรียบร้อยแล้ว ไม่เจ็บแล้วค่ะ”

ท่าทีที่ทุกข์ร้อนด้วยความห่วงใยของเขาจึงคลายลง แต่ก็ยังไม่วางใจเสียทีเดียว “พรุ่งนี้ไม่ต้องไปทำงานนะ พี่จะบอกคุณพ่อให้เอง”

“อย่าเลยค่ะ ไม่ได้เป็นอะไรมาก แค่นี้นะคะ”

เสียงสัญญาณขาดหายไปแล้ว แต่ลีโอยังมีสีหน้ากังวลเพราะยังเป็นห่วง จึงเดินออกจากห้องไปหาหญิงสาวด้วยความเป็นห่วง แต่เมื่อมาถึงบ้าน คำตอบที่เขาได้กลับมาทำให้เขาต้องขบฟันเข้าหากันอย่างไม่พอใจ และสงสัยว่าเธอไปอยู่ที่ไหน

********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.พ. 2558, 16:56:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.พ. 2558, 16:56:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 1735





<< ตอน 5   ตอน 7 >>
แว่นใส 13 ก.พ. 2558, 20:31:34 น.
แต่ละคนน่ากลัวจริง


Zephyr 18 ก.พ. 2558, 19:04:05 น.
บร้ะ หนุ่มฮอตแต่ละคนช่างโหดเกินบรรยาย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account