ดวงใจพรต (ปรับปรุง)
พรต...ลูกชายป๊ะเพลิงแห่งหุบเขาพญา
จากคุกทมิฬมารับมรดกที่ได้มาโดยไม่คาดฝัน
แต่...ความโชคดีกลับมาพร้อมหายนะ และเธอที่น่าสงสัย
ความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่จึงปรากฏออกมาอย่างไม่ปราณี
บัญชีนี้...ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต หัวใจต้องชดใช้ด้วยหัวใจ
ดวงใจพรต จึงได้มาพร้อมหยาดน้ำตาและร่างกาย
จากคุกทมิฬมารับมรดกที่ได้มาโดยไม่คาดฝัน
แต่...ความโชคดีกลับมาพร้อมหายนะ และเธอที่น่าสงสัย
ความร้ายกาจที่ซ่อนอยู่จึงปรากฏออกมาอย่างไม่ปราณี
บัญชีนี้...ชีวิตต้องชดใช้ด้วยชีวิต หัวใจต้องชดใช้ด้วยหัวใจ
ดวงใจพรต จึงได้มาพร้อมหยาดน้ำตาและร่างกาย
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอน 7
ตอน 7
พรีมาดานั่งอยู่บนเตียงนอน มองโทรศัพท์ที่ยังค้างอยู่ในมือ แล้วก้มลงมองแผลที่เท้า ที่ยังไม่ได้ดูแลตามที่บอกพี่ต่างสายเลือดไป แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ก็ลุกขึ้นเดินกะเพลกเข้าห้องน้ำ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมาหาเพื่อนรักที่รออยู่ ก่อนหน้านี้พอเขาพามาถึงห้อง ก็แยกตัวมาที่ห้องตัวเองเพื่อมาอาบน้ำ แต่ความจริงแล้วไม่อยากตอบคำถามที่ยังไม่พร้อมจะตอบมากมาย แต่กลับมานั่งนิ่งจมอยู่กับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกับตัวเอง กระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นนั่นแหละ จึงปัดสิ่งที่คิดอยู่ออกไป
“มานั่งนี่เลย
เสียงเพื่อนรักบอกทันทีที่เห็นเธอ จึงเปิดยิ้มให้พลางเดินไปนั่งที่โซฟานุ่ม ซึ่งเขาได้เตรียมอุปกรณ์ทำแผลไว้ให้พร้อมแล้ว แต่เธอยกมือบอกให้หยุด และห้ามพูด เพราะต้องทำหน้าที่หลานที่ดีก่อน โทรศัพท์ที่ถือออกมาจากห้องนอน จึงกดสัญญาณไปหายายแม่ บอกให้รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน ท่านจะไม่ได้เป็นห่วง และยิ้มอย่างสุขใจเมื่อมีแต่ความห่วงใยให้มา
“ค่ะ จะดูแลตัวเองดีๆ ไม่มีนอกลู่นอกทางเด็ดขาด พรุ่งนี้ก็กลับแล้วค่ะ”
บอกไปแล้วเธอก็ยิ้มขำ เพราะคนเป็นยายยังห่วงใยอยู่ แต่ประโยคสุดท้ายก่อนจะวางสายนั้นทำให้สีหน้าเธอมีความแปลกใจ ไม่คิดว่าคนที่เธอนับเป็นพี่ชายจะเป็นห่วงถึงขั้นไปหาที่บ้าน
“มีอะไรหรือเปล่า” เควินถามเมื่อเห็นสีหน้าที่กำลังครุ่นคิดของเพื่อน
“ไม่มี” เธอบอกพร้อมส่ายหน้าให้เห็น เพื่อนรักจึงทำตัวเป็นบุรุษพยาบาล นั่งลงบนพื้นทำแผลให้เธอจนเรียบร้อย ก็ลุกขึ้นมานั่งบนโซฟา “ขอบใจนะเค”
“เปลี่ยนจากคำขอบใจเป็นเล่ามาดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น หายไปจากโรงแรมแล้วกลับมาพร้อมผู้ชายคนนั้น เขาเป็นใคร” เควินถามพลางเก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่กล่อง จึงไม่ได้เห็นสีหน้าของพรีมาดาที่กังวลว่า เขาจะเห็นการกระทำที่หยาบคายนั้นหรือเปล่า
“หนุ่มพเนจร”
คำตอบต่างจากสิ่งที่เห็นนั้น ทำให้เควินต้องเงยมองขึ้นหน้าเธอ ก่อนจะบอกว่า “ท่าทางเขาดูดี หล่อสมาร์ทขนาดนั้นจะเป็นคนเร่ร่อนได้ไง แต่เรื่องนั้นช่างเถอะ ที่สำคัญทำยังไงถึงได้เจ็บตัวและเขามาส่งได้ไง”
“เรื่องบังเอิญนะ แค่เจอกันและพรีมก็เดินสะดุดจนเกิดแผลแค่นั้นเอง”
“ไม่จริง ถ้าแค่นั้น เขาคงไม่จูบเธอ”
“เคเห็น” พรีมาดาครางออกมาอย่างตกใจ ขณะที่เควินพยักหน้ายอมรับว่าใช่ เธอจึงเม้มริมฝีปากที่ยังรู้สึกร้อนผ่าวอยู่ก่อนจะบอกว่า “งั้นก็ต้องเห็นว่าพรีมไม่ได้เต็มใจ”
“แต่ถ้าเป็นเค มีคนหล่อขนาดนั้นมาจูบ ถึงไม่เต็มใจ ก็ฟินได้” เขาว่าพลางทำหน้าเพ้อ จนพรีมาดารู้สึกเขิน
“บ้า” เธอว่าพลางหยิบหมอมาตีแขนเขา เควินจึงหัวเราะออกมาก่อนดึงหมอนมากอดไว้ วางแขนเท้าค้างพลางมองหน้าเพื่อนรักที่แดงขึ้น สบตาที่มีแววเขินซ่อนอยู่ก็บอกว่า
“เล่าให้ฟังหน่อยซิ ว่าเจอกันได้ยังไง”
พรีมาดาอยากจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ความจริงใจของเพื่อนและความรักความห่วงใยที่มีให้มาตลอด ทำให้เธอค่อยๆพูดออกมา “พรีมเจอเขาคืนวันที่ถูกแทงข้างหลังทะลุไปถึงหัวใจนั่นแหละ แล้วก็เจอเขาอีกครั้งสองครั้ง แค่นั้นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้”
“ถ้าไม่มีคงไม่เจอกันอีก แล้วถึงขั้นจูบเนี๋ย แสดงว่าต้องมี” เควินวิเคราะห์ออกมา “หรือว่าจะเป็นพรหมลิขิตที่ทำให้เธออกหักแล้วพบรักใหม่ แล้วคิดว่าเขาเป็นยังไง”
“ไม่คิด”
“แต่แววตาเธอนะคิด”
เควินสวนทันควัน แต่พรีมาดาไม่ได้คิดอย่างที่เพื่อนคิด เพราะกำลังคิดว่าไม่ใช่พรหมลิขิตที่ทำให้เจอกัน แต่เป็นเพราะบางอย่างที่เธอยังไม่รู้ แต่เขารู้ และรู้ลึกไปถึงตระกูลอัลโตนิโอที่เธออาศัยอยู่ด้วย เควินมองสีหน้าที่ครุ่นคิดของเธอแต่ไม่ซักอะไรอีก นอกจากจะถามว่า
“แล้วทำไมถึงเดินออกไปนอกโรงแรม หรือทนไม่ได้กับคำตอบที่ได้รับ”
พรีมาดานิ่งไปเพราะมัวแต่ทะเลาะกับเขาคนนั้น จนลืมเรื่องก่อนหน้านี้ ที่ทำให้ใจเธอเจ็บเสียสนิท “เครู้เรื่องนี้เมื่อไร”
“วันนี้ สังคมมันกว้างก็จริง แต่ความลับมันไม่มีในโลก ต้องมีคนเห็นอยู่แล้ว จึงส่งมาให้ดู ก็เลยพามาให้เห็นกับตา พวกเขาจะได้เลิกหัวเราะลับหลังเธอกันเสียที ว่าโง่ให้เขาสวมเขา”
“ทำไมเคไม่ปล่อยให้มันจบไป ตั้งแต่เขาหมั้นกัน”
“เพราะไม่อยากให้เธอจมอยู่กับมันไง เจ็บแต่ไม่จบมันทรมานนะพรีม ให้จบแล้วเจ็บดีกว่าทรมานไม่นานก็หาย”
“แล้วถ้าความเจ็บมันมีเบื้องหลังมากกว่านี้ละเค พรีมจะทำยังไง”
เควินหรี่ตาลงอย่างสงสัย ก่อนจะถามออกมา “หมายความว่ายังไง หรือมีอะไรที่เรายังไม่รู้”
“ไม่รู้ซิ แพทเขาพูดอะไรแปลกๆหลายอย่าง และยังถามพรีมว่าอดัมเป็นคนยังไง สิ่งนี้ทำให้พรีมสงสัยและพอพรีมถามว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง ก็อ้ำอึ้งอีก วันนี้คำตอบที่ได้น่าจะทำให้ข้อสงสัยหมดไป แต่ทำไมพรีมรู้สึกว่ามันยังมีมากกว่าที่เห็น ลำพังแพทคนเดียวไม่น่าจะทำให้อดัมหักหลังพรีมได้”
เควินคิดตามคำพูดของเพื่อนและพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่ก็ยังมีข้อโต้แย้งออกมา “เธอมั่นใจในตัวของอดัมมากเกินไปหรือเปล่า คนเราเดี๋ยวนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ คำว่ารักมันให้ความสุขก็จริง แต่มันไม่ได้ช่วยให้อิ่มท้อง ไม่ได้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับเงิน บางคนจึงเลือกเงินมากกว่าความรัก และบางคนก็ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่หวังโดยไม่สนใจว่าใครจะเป็นยังไง บางทีบางคนที่เราเห็นว่าสงบเสงี่ยมอาจจะซ่อนความร้ายไว้ก็ได้ ใครจะเป็นรู้ แต่ถ้าเป็นอย่างที่เธอคิด ก็มีไม่กี่คนหรอกที่จะทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมา”
“หนึ่งในนั้นก็คืออดัมใช่ไหม”
“ไม่อยากฟันธงนะ ว่าจุดเริ่มต้นมันเกิดจากใคร แต่จุดจบก็คือเขามีความสุขบนความทุกข์ของเธอ ที่สำคัญคนที่รักเราต้องทำทุกอย่างเพื่อเราไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง อย่างนั้นเขาเรียกว่าเห็นแก่ตัว”
“นั่นซินะ” เสียงพรีมาดาหยัน จนเควินต้องยื่นมือมาจับไว้อย่างเห็นใจ ก่อนจะยิ้มให้แล้วบอกว่า
“ไม่นานเรื่องทั้งหมดก็จะเปิดเผยออกมา บอกแล้วว่าความลับไม่มีในโลก เพียงแต่ต้องรอเท่านั้น แม้วันนี้จะยังไม่รู้ว่าสาเหตุจริงๆคืออะไรแต่สักวันพรีมจะรู้ทั้งหมด”
“แล้วเคคิดว่าจะเรื่องทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกับการตายของอเล็กซ์ไหม”
เควินอึ้งไปกับคำถามนี้เพราะเขาไม่เคยคิดหรือเอาสองเรื่องมาโยงใยกัน “ทำไมคิดอย่างนั้น แล้วมันหมายความว่าไง” เขาถามอย่างสงสัย ขณะที่พรีมาดาก็เม้มปากคล้ายกำลังคิดบางอย่างอยู่ สุดท้ายก็บอกว่า
“ไม่รู้เหมือนกันแค่แวบขึ้นมาเท่านั้นเอง แต่คงไม่มีอะไรหรอกพรีมคงคิดมากไปเอง ไปนอนก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้ก็ไปส่งด้วยแล้วกัน”
เควินพยักหน้า แล้วพยุงเพื่อนไปส่งถึงห้อง อวยพรให้ฝันดีแล้วเดินกลับมาที่ห้องตัวเอง พร้อมคำถามที่ยังค้างคาอยู่หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องผู้ชายสองคนที่เขาเจอในคืนนี้ ทั้งคู่มีเซ็กแอพพีลสูงเหมือนกัน และมีความดำมืดให้เขาสงสัยไม่ต่างกันด้วย โดยเฉพาะคนที่บอกความเป็นตัวเองออกมาชัดเจนอย่าง...ไมค์
*********
เสียงนกร้องบอกความสดใสในยามเช้า ควันสีขาวลอยเอื่อยขึ้นมาจากถ้วยกาแฟสีดำที่อยู่ในมือของชายหนุ่ม ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เหล็กดัด ตรงเทอเรสของเซฟเฮ้าส์หลังงาม โอบล้อมด้วยสนามหญ้าและต้นไม้ที่ให้ความร่มรื่น เสียงนกยังขับขานมาให้ได้ยิน แต่ไม่เข้าไปในโสตประสาทหูของเขาเท่าไร เพราะยังคิดถึงเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อคืน
ปลายนิ้วคลึงแก้วกาแฟขณะสายตาตวัดขึ้นไปมองยอดไม้ที่พลิ้วไหวไปตามแรงลม กระทั่งเห็นร่างสูงของมาเฟียหัวใจหญิงเดินมานั่งที่เก้าอี้ตรงข้าม ก็ละสายตามาสบตาที่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย ก่อนจะจับจ้องที่รอยแผลบนหน้าเขา
“เกิดอะไรขึ้น”
ไมค์ถามด้วยความเคร่งเครียด เพราะเมื่อคืนนี้เขาออกตามหาชายหนุ่มไปทั่วโรงแรม จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าไม่อยู่ ก็สั่งให้คนของเขาออกตาม แต่ยังไม่ทันเจอก็ได้รับข่าวว่ากลับมาแล้ว เขากลับมาก็ไม่เจอ มาเจอตอนนี้ สิ่งที่เห็นน่าหวั่นใจไม่น้อย
พรตยิ้มเยาะเรื่องที่เจอมาแล้วก็เล่าให้ฟัง ก่อนจะตบท้ายด้วยเรื่องที่สงสัยอยู่ “ฉันคิดว่ามันเป็นคนๆเดียวกัน” เขาบอก แล้วเหมือนจะนึกบางอย่างได้ “ขอโทษทีนะที่พูดฉันกับนาย มันติดปากและชินนะ”
“ไม่เป็นไร แต่ทำไมคิดอย่างนั้น”
“อาวุธที่ใช่ ซอยที่เปลี่ยว ที่สำคัญตัวชี้เป้า เธออยู่กับฉันด้วยเมื่อคืน”
ไมค์เอนตัวไปพิงพนักเก้าอี้ เพื่อผ่อนคลายความเคร่งเครียดลง แต่ดูจะไม่ได้ผลเท่าไร เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นใกล้ตัวเกินไปแล้ว “แสดงว่าพวกมันตามคุณอยู่ และถ้าคุณไม่ตายพวกมันก็จะกลับมาหาอีก”
“มันตายแน่นอน เพราะถูกฉันฮาราคีรีไปแล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่ามันไปตายอยู่ใต้ขาใคร”
สิ่งที่ได้ฟังทำให้ไมค์ต้องมองทายาทแห่งเพลิงพญาใหม่ ก่อนหน้านี้ที่เขาได้ยินมาชายหนุ่มค่อนข้างที่จะสำราญ ไม่ค่อยชอบความวุ่นวาย แม้จะคุมคุกทมิฬอยู่ก็ตาม ไม่คิดว่าจะซ่อนความโหดไว้ขนาดนี้ “แล้วทำไมคุณถึงออกไปนอกโรงแรม หรือเกี่ยวกับเธอที่ตามไป” ไมค์ซักอย่างละเอียดเพื่อจะได้หาทางป้องกันได้ถูก มุมปากของพรตเหยียดหยันออกเล็กน้อย ก็บอกว่า
“เธอคือตัวชี้เป้า”
ไมค์กะพริบตาเพื่อเรียบเรียงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น และไม่อยากจะเชื่อว่าจะจุดไต้ตำตอขนาดนี้พลางคิดถึงเรื่องที่ทายาทเพลิงพญาเคยบอกข้อสงสัยให้ฟัง มุมปากเขาเผยอขึ้นยิ้มก่อนจะบอกว่า “ดวงสมพงศ์กันจริง ถ้าไม่ใช่ศัตรูก็ต้องเป็นเนื้อคู่กันแน่ๆ เพราะมีเรื่องต้องให้มาเจอกันตลอด”
คำหยอกของกระเทยควายโดยฆ่าตายด้วยสายตาพรต ที่มองมาอย่างกระด้างเพราะไม่มีอารมณ์มาเล่นด้วย ไมค์จึงต้องพูดให้เป็นงานเป็นการขึ้น “ถ้าเธอเป็นตัวชี้เป้าจริง คงหนีไปไม่มีทางให้ไปส่งถึงที่อยู่หรอก”
“แล้วนายรู้ไหมว่าเธอให้ฉันไปส่งที่ไหน” ไมค์ส่ายหน้า “คอนโดไอ้คิวแรก”
ไมค์ทำหน้าแปลกใจ นี่ยิ่งกว่าจุดไต้ตำตอเสียอีก ก็รู้ว่าเธอมากับเขาแต่ไม่คิดว่าจะพักที่เดียวกันด้วย และแอบยิ้มแอบเก็บความลับที่เขารู้มาไว้อย่างแนบเนียน พลางลอบสังเกตท่าทีของทายาทเพลิงพญา “อาจจะแค่หลอกก็ได้”
“ลงมารับและพากันขึ้นไปเนี๋ยนะ หลอก ไม่ใช่ควาย”
เสียงที่บอกอารมณ์โกรธปนหึงนั้นทำให้ไมค์ต้องขบฟันไม่ให้หัวเราะหลุดออกมา แล้วฮอร์โมนหญิงที่มีอยู่เต็มตัว ก็สำแดงออกมาอย่างสนุก “ไอ้สี่ขาที่ว่านะ เขาไว้ใช้กับคนที่ถูกคนรักสวมเขา แต่คุณกับเธอเป็นอะไรกัน ถึงได้ไปเทียบกับมัน หรือคิดอะไรกับเธอถึงได้โกรธ”
“ไม่ได้คิด” เสียงตอบห้วนยังกับดินหน้าแล้งที่แข็งโปก ยิ่งทำให้ไมค์สนุก
“ไม่ได้คิด แต่โกรธ โอเค เข้าใจแล้ว เพราะแววตามันฟ้อง”
พรตรีบกะพริบตา ทำหน้าให้นิ่งแล้วต้องหน้าเหลอ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะออกมาจากกระเทยควาย จึงรู้ว่าหลงกลเข้าเสียแล้ว “ไอ้กระเทย” เสียงเขาเค้นออกมา แต่ไมค์ไม่มีความตกใจสักนิด นอกจากดีดดี้งออกมา
“ว้าย!หยาบคาย” ว่าพลางมองค้อนแถมย้อนให้คันในหัวใจเล่นๆ “เดี๋ยวก็ขวิดเสียเลย”
“อยากโดดเชือดก็เข้ามา”
ทั้งคู่โต้ตอบกันอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่ก่อให้เกิดมิตรภาพที่ดีที่ทำให้ทำงานด้วยกันง่ายขึ้น แล้วพากันหัวเราะ พรตนั้นขอโทษไมค์ที่ไม่สุภาพกับเขา ซึ่งก็ไม่ถือสา จากนั้นทั้งคู่ก็คุยกันเรื่องที่ค้างไว้ต่อ
“ถ้างั้นคุณคิดว่าเธอทำงานให้ใคร อย่างที่บอกว่าเธอเกี่ยวข้องทั้งสองตระกูล ที่สำคัญ ข้อมูลล่าสุดที่เพิ่งได้มาทั้งสองตระกูลนี้ต้องการงาบโครงการน้ำมันมาไว้ในมือ แม้ม็อตต้าจะยกหุ้นใหญ่ให้คุณบริหารแต่ใช่ว่าทุกคนจะยอมรับคุณ”
“ฉันยังไม่ได้รับ”
“งั้นก็ไปรับเสีย เพราะที่นั้นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นให้เรารู้เรื่องอุบัติเหตุที่สงสัยกันอยู่ก็ได้”
“หมายความว่าไง” พรตถามอย่างสงสัย ไมค์จึงใช้ประสบการณ์ของมาเฟียพูดให้ฟังว่า
“โครงการน้ำมันมีมูลค่ามหาศาล ใครที่ได้ครอบครองก็จะยิ่งยิ่งใหญ่ อาจจะถึงขั้นชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้และอาจจะชี้นิ้วสั่งผู้ปกครองรัฐก็ได้ แล้วลองใช้ตรรกะง่ายๆคิดดูซิว่า ถ้าไม่มีเพื่อนคุณที่ตายไปสักคน ใครจะได้ผลประโยชน์ ใครจะได้ครอบครองโครงการนี้ ใครจะได้ทุกอย่างของเขาไป ถ้าไม่ใช่ญาติพี่น้องก็ต้องเป็นผู้ร่วมหุ้นร่วมลงทุนในธุรกิจด้วยกัน ที่สำคัญมากๆอีกอย่างคือ คนของผมได้ข้อมูลที่แน่ชัดมาแล้วว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับคุณไม่เกี่ยวข้องกับพวกมาเฟีย”
พรตอึ้งไปกับข่าวใหม่ที่ได้รู้ และต้องกลับมาคิดใหม่ว่า ถ้าพวกมาเฟียไม่มาเกี่ยวข้อง และเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างที่หลายคนพยายามบอกเขาอยู่ แล้วจะเป็นอะไร ถ้าไม่ใช่... “นายจะบอกว่าเป็นการฆาตกรรมงั้นเหรอ”
“ยังไม่ได้แน่ใจถึงขนาดนั้น แต่สิ่งที่ได้มาจะทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น เพราะความสงสัยแคบเข้ามา”
“ใช่แคบ” พรตเค้นเสียงออกมา “เพราะความโลภพวกมันถึงกับทำให้คนๆหนึ่งตาย และฉันก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด แค่นั้นยังไม่พอยังตามฆ่า เพื่อความโลภของพวกมันอีก ฉันอยากจะรู้จริงๆว่าใครทำ”
“ตราบใดที่คุณยังไม่ตาย คุณได้รู้แน่”
“พูดได้ดี” พรตชมด้วยปากแต่แววตานั้นยังกระด้าง “ไปม็อตต้ากัน ฉันมีรายชื่อผู้ถือหุ้นทุกคน ส่งให้คนของนายสั่งให้เช็กประวัติทั้งหมดอย่างเร่งด่วน ฉันต้องการรู้อย่างเร็วที่สุด”
พูดจบพรตก็ลุกขึ้น เดินตรงไปยังโรงรถ โดยมีไมค์เดินตามไปติดๆ เมื่อมาถึงไมค์มองรถที่ถูกนำมาจอดไว้แล้วแกล้งถามขึ้นทั้งๆที่พอจะเดาใจทายาทเพลิงพญาได้ “จะใช้คันไหน เฟอร์รารี่หรือว่า...”
พรตหันมามองด้วยสายตาดุๆ ไมค์ก็ไม่สนใจ แล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถของหญิงสาวที่เข้าไปวุ่นวายในใจคนที่อยากถีบก้นเขาอยู่ เรียบร้อยแล้วก็แกล้งถามออกมาอีกว่า “จะให้ผมเช็กประวัติเธอด้วยไหม เอ๊ะลืมไปว่าเช็กแล้ว งั้นจับตัวมาง้างปากดีไหม ผมมีหลายวิธีนะ รับรองว่าหมดทุกคำถาม”
“อย่ายุ่ง”
ไมค์ทำตาโต แล้วหุบปากก่อนโดนถีบ รอจนพรตเปิดประตูเข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว ก็ขับรถออกจากเซฟเฮ้าส์พลางปรายตามองหน้าคมที่เงียบขรึม ซึ่งให้คิดอย่างสงสัยว่าเขาจัดการกับพวกถือหุ้นในม็อตต้ายังไง
**********
แสงตะวันอุ่นๆส่องผ่านเข้ามาในห้องนอนสุดหรูของเจ้าหญิงแห่งคฤหาสน์อัลโตนิโอ เพราะมีคนมาเปิดผ้าม่านที่กั้นแสงออก หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงพลิกหน้าหนีแสงดังกล่าว ก่อนจะลืมตาขึ้นมองหาคนที่ทำให้แสงส่องเข้ามาถึงตัวเธอ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครคนเป็นแม่นั่นเอง
“เมื่อคืนกลับดึกเหรอลูก” นางพรเพ็ญถามพลางเปิดหน้าต่างรับสายลมยามเช้า จึงไม่ได้เห็นสีหน้าของลูกรักที่เจื่อนลงไป ก่อนจะปรับเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานเมื่อนางเดินมานั่งที่ขอบเตียง
“ค่ะ อดัมพาไปฟังเพลงต่อ”
“หนูกับเขาไปด้วยกันได้ดี ใช่ไหม”
แพทิเซียอยากจะบอกว่าดี แต่ภาพที่เธอเห็น แววตาเขา ยามเอ่ยถึงพี่สาวต่างพ่อของเธอ คำพูดจึงหยุดอยู่แค่ริมฝีปากแล้วเปลี่ยนเป็นถามเรื่องอื่น “คุณพ่อกับพี่ลีโอไปทำงานแล้วเหรอคะ”
“จ้ะ คุณพ่อมีงานด่วนออกไปก่อนสว่างเสียอีก ส่วนพี่ลีโอแม่ยังไม่เห็นอาจจะออกไปพร้อมๆคุณพ่อก็ได้ แล้วอดัมเป็นไงบ้าง เมื่อคืนคุณพ่อบอกแม่ว่าเขาไม่ได้เป็นประธานของม็อตต้า มีคนอื่นมาชุบมือเปิดแทนไปแล้ว แต่คุณพ่อไม่ได้บอกแม่ว่าเขาเป็นใคร อดัมเขาพูดเรื่องนี้ให้ฟังหรือเปล่า”
“ค่ะ เขาเป็นหลานชายของชีคในทะเลทรายเจ้าของบ่อน้ำมันมากมาย และยังเป็นเพื่อนของพี่อเล็กซ์ด้วย ที่สำคัญเขาเป็นคนไทยด้วยค่ะ”
“คนไทยเหรอ ใช่คนเดียวกันกับที่นั่งอยู่ในรถอเล็กซ์วันเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า”
แพทิเซียทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้าว่าไม่รู้เพราะก่อนหน้าเธอไม่ได้สนใจ ขณะที่คนเป็นแม่รู้สึกทุกข์ร้อนไปหมด เพราะนั่นหมายความว่าสิ่งที่หวังไว้ต้องหายไปด้วย
“แพท” นางเรียกลูกด้วยน้ำเสียงเน้นหนักและจริงจัง เมื่อตัดสินใจบางอย่างไปแล้ว “ไปทำงานที่ม็อตต้านะ”
“อะไรนะคะ” แพทิเซียอุทานอย่างงุนงงแกมไม่เข้าใจ นางจึงต้องพูดปะเหลาะด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน ให้เห็นดีเห็นงามด้วย
“ช่วงนี้งานการกุศลต่างๆของแม่ ก็ไม่ได้วุ่นวายมากมายอะไร แม่ว่าหนูไปดูแลอดัมดีกว่า เขาเจอเรื่องหนัก เรื่องเครียดมามาก ไหนจะสูญเสียพี่ชายที่เปรียบเป็นเสาหลักของครอบครัวไปอีก แล้วยังต้องมาเสียใจเรื่องนี้อีก ถ้าหนูไปอยู่ข้างๆคอยเอาใจใส่ดูแล แม่ว่าน่าจะดี อีกอย่างหนูเป็นคู่หมั้นเขาแล้ว เรื่องติฉินนินทาคงไม่มี” นางว่าแต่ดูสีหน้าของลูกที่ยังกังวลอยู่ ถึงถามด้วยความข้องใจ “มีอะไรหรือเปล่า”
“คือ แพทกลัวว่าคนอื่นจะมองไม่ดี หมั้นกันไม่เท่าไรก็เข้าไปวุ่นวายในธุรกิจของเขาที่กำลังยุ่งๆกันอยู่”
“หนูคิดมากเกินไปแล้วลูก อย่างที่แม่บอกว่าคนเป็นคู่หมั้นกันไม่มีวันน่าเกลียดแน่นอน ถ้าไม่ได้เป็นอะไรกันนะซิอาจจะน่าเกลียด และช่วงที่เขาอ่อนแอ ลูกไม่ควรปล่อยให้เขาว้าเหว่ เพราะอาจจะมีใครเข้ามาแทรกแซงเอาได้ อย่าลืมว่าเขาเป็นที่หมายตาของสาวๆมากแค่ไหน”
คำพูดของคนเป็นแม่ไปสะกิดความระแวงที่เป็นปมอยู่ในใจของแพทิเซีย จากที่คิดว่าจะปฏิเสธก็นิ่งเงียบ แต่นางพรเพ็ญคิดว่าเธอยังคิดมาก จึงบอกว่า “ถ้าหนูไม่สบายใจ แม่จะให้พี่เราไปเป็นเพื่อนแล้วกัน”
“จะดีเหรอคะ พี่พรีมอาจจะไม่สะดวกใจก็ได้”
“ไม่สะดวกใจอะไร แค่ไปเป็นเพื่อนหนู ไม่ได้ให้ไปทำงานด้วยเสียหน่อย และเรื่องก็ผ่านมาแล้ว ป่านนี้คงทำใจได้แล้วละ”
“แล้วถ้าไม่ได้ละคะ”
“ทำไมหนูคิดอย่างนั้น หรือว่าวันก่อนที่แม่ให้ไปส่งหนูได้พบกับอดัม”
“ไม่ได้พบค่ะ แต่...” แพทิเซียทำท่าเหมือนไม่อยากพูด แล้วพูดออกมาแบบเลี่ยงๆว่า “การตัดรักมันคงยากเหมือนการตัดบัวไม่ให้เหลือใยนั่นแหละค่ะ หักตรงไหนยังไงก็ยังมีใยให้เห็น แม้จะไม่พูดและทำเหมือนไม่สนใจ แต่ใยของความรู้สึกยังมีอยู่ให้เราได้เห็น และคงไม่มีใครทำใจเรื่องของความรักได้เร็วและง่ายขนาดนี้ เพราะถ้าง่ายอย่างที่พูด วันนี้คนที่เป็นคู่หมั้นเขาคงไม่ใช่หนู”
“แพท”
“ทุกวันนี้หนูยังคิดอยู่นะคะ ว่าสิ่งที่ทำลงไปมันถูกหรือเปล่า”
“ถ้าไม่ถูก แล้วหนูจะแก้ไขอะไรได้” เสียงนางเข้มขึ้นเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยจะพอใจ ยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนจะมีการหมั้นหมายกัน ก็ยิ่งไม่พอใจ แพทิเซียจึงยิ้มบางๆก่อนบอกว่า
“นั่นนะซิคะ สิ่งที่เราทำลงไปว่ายากมากแล้ว แต่การจะกลับมาแก้ไขนั่นยิ่งยากมากกว่า เพราะมันไม่สามารถแก้ไขได้แล้วนั่นเอง”
นางพรเพ็ญผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เมื่อคำพูดของลูกนั้นทำให้นางคิดถึงสิ่งที่ได้ทำลงไปบ้าง แต่เมื่อแก้ไขไม่ได้ก็ต้องทำต่อไปให้สำเร็จ “หนูเตรียมตัวแล้วกัน แต่งตัวให้สวยนะ เดี๋ยวแม่จะลงไปบอกพี่สาวเรา และไม่ต้องไปคิดมากเรื่องใยอะไรนั้นอีก อีกอย่างลูกของแม่สวย น่ารัก และเพียบพร้อมขนาดนี้ไม่นานใยพวกนั้นก็จะขาดไปเอง”
พูดจบนางก็หอมแก้มลูกแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป ส่วนแพทิเซียก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ และหวังว่าสักวันจะเป็นอย่างที่คนเป็นแม่พูดไว้ เพราะสิ่งที่เธอทำและให้เขาไปนอกจากจะตัดใยให้ขาดแล้ว ยังต้องการให้มีเงาของเธออยู่ในใจเขาแทนคนเป็นพี่เสียที
********
นางพรเพ็ญเดินลงมาจากคฤหาสน์ตรงไปยังบ้านหลังเล็กของลูกสาวคนโต แต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดมองเมื่อมีรถยนต์วิ่งเข้ามาก่อนจะจอดหยุดนิ่งอยู่ไม่ห่าง แล้วหน้าก็ตึงขึ้นเล็กน้อยเห็นลูกที่นางกำลังจะไปหา เพิ่งลงมาจากรถผู้ชาย ที่นางไม่เคยเชื่อว่าจะเป็นเพียงแค่เพื่อน
เควินเปิดประตูลงมาจากรถ ทักทายนางพรเพ็ญเล็กน้อยก็ขึ้นรถขับออกไป พรีมาดาจึงเดินมาหาคนเป็นแม่ที่ยืนจ้องอยู่ ยกมือไหว้เหมือนเช่นทุกครั้งแต่พอลดมือลงเสียงที่ไม่ค่อยพอใจก็ดังออกมา
“งามหน้าไม่เคยหยุดหย่อน”
“แม่ไม่ชินอีกเหรอคะ หนูนึกว่าแม่จะชินเสียอีก” เธอบอกอย่างเบื่อๆ เพราะเคยพูดเกี่ยวกับเควินให้ฟังแล้ว แต่คนเป็นแม่ก็ยังอคติเหมือนเดิม
“ถ้าการที่แกหายไปทั้งคืนแล้วกลับมาเช้าเนี๋ยนะจะให้ฉันชิน ฉันก็คงเป็นแม่ชีแล้ว”
พรีมาดายิ้มขำ ก่อนจะบอกว่า “ต่อให้ไม่กลับเลย หนูก็รับรองว่าได้ว่าไม่ได้ทำอะไรเสียหายเหมือนคนปากอย่างใจอย่างแน่ใจ” นางพรเพ็ญขมวดคิ้วอย่างสงสัยคำพูดที่ว่า แต่พรีมาดาไม่สนใจท่าทีที่สงสัย เพราะไม่รู้ว่าท่านรู้เห็นเป็นใจด้วยหรือเปล่า จึงพูดเฉพาะเรื่องตัวเองอีกว่า “และหนูก็ได้บอกยายแม่ไว้แล้ว แต่ถ้าแม่จะไปบวชชี หนูก็จะอนุโมทนาด้วย”
“ไม่ต้องมาแดกดันฉัน”
“แล้วแม่มาดักรอมีอะไรคะ” เธอถามเมื่อเห็นว่าอารมณ์คนเป็นแม่เริ่มขุ่นขึ้นมา
“น้องจะไปทำงานที่ม็อตต้า ไปเป็นเพื่อนน้องหน่อยก็แล้วกัน”
“ค่ะ” พรีมาดารับปากโดยไม่ถามอะไรทั้งนั้น “แค่นี้ใช่ไหมคะ” ถามเสร็จเธอก็รอว่าจะพูดอะไรอีกไหม เมื่อไม่ ก็จะเดินไป แต่เพียงขยับเสียงก็ดังขึ้นมา
“เรื่องอดัม” เกริ่นออกมาแล้วนางพรเพ็ญก็รอดูสีหน้าของลูกหัวดื้อว่าจะเป็นยังไง เมื่อเห็นว่ายังนิ่งก็พูดต่อ “ตัดใจจากเขาได้หรือยัง”
“แม่จะพูดขึ้นมาเพื่ออะไรคะ อ๋อ หนูรู้แล้ว เพื่อลูกรักของแม่นั่นเอง” พรีมาหน้าทำสีหน้าเบื่อหน่ายให้เห็น “ยัยแพท พูดอะไรให้ฟังอีกละคะ แม่ถึงมาถามหนู”
“น้องไม่เกี่ยว ที่ถาม เพราะฉันอยากรู้เท่านั้นเอง”
“หนูเคยตอบไปแล้ว แต่ทำไมแม่ถึงไม่เคยเชื่อ ถึงได้ถามอีก” ว่าแล้วเธอก็ยิ้มเยาะตัวเอง “ที่จริงหนูน่าจะชินแล้วนะคะว่าเป็นลูกที่แม่ไม่รัก พูดออกมาก็แค่นั้นเพราะใจของคนเราที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ ได้แต่รู้สึกว่าเป็นยังไง วันนี้บอกว่าจบ บอกว่าเชื่อ แต่สุดท้ายก็ยังระแวงไม่จบและยังเหมือนลูกแหง่ที่ไม่รู้จักโตเสียที”
“พรีมาดา” น้ำเสียงนางพรเพ็ญห้วนจัด “ฉันบอกแล้วว่าน้องไม่เกี่ยว”
“ไม่เกี่ยวแต่ไม่ปฏิเสธว่าอยากรู้ใช่ไหมคะ งั้นแม่ตอบหนูมาได้ไหม ว่าทำไมคนสองคนที่ไม่เคยมีท่าทีชอบกันมาก่อนถึงได้หมั้นกันอย่างรวดเร็ว ถ้าแม่ตอบหนูได้หนูก็จะทำอย่างที่แม่ต้องการ แต่หนูขอความจริงนะคะไม่ใช่การโกหกบอกว่ารักกันอย่างที่ผ่านมา เพราะหนูเชื่อไม่ลงจริงๆ”
เสียงเธอออกจะหยันเพราะภาพเมื่อคืนยังติดตาอยู่ ส่วนคนเป็นแม่ก็เหมือนน้ำท่วมปาก เพราะถ้าพูดออกไป รอยร้าวที่มีอยู่ก็จะขยายกว้างขึ้น และอาจจะทำให้เรื่องบางเรื่องที่ปิดบังไว้หลุดออกมา จึงตัดบทว่า “จะยังไงก็แต่แล้ว ตัดใจจากเขาเสียทุกอย่างจะได้ลงตัวเสียที และห้ามไปยุ่งวุ่นวายกับเขาทำเฉพาะเรื่องที่ฉันสั่งก็พอ น้องกำลังมีอนาคตที่ดี มีความสุข แกควรสนับสนุนน้องไม่ใช่คอยจะเป็นหอกข้างแคร่อยู่อย่างนี้”
คำนี้รุนแรงเหมือนมีดกรีดลงกลางใจ เสียงพูดจึงสั่นจนแทบจะระงับไม่ได้ “นอกจากหนูจะไม่ใช่ลูกรักแล้ว แม่ยังพูดเหมือนหนูไม่ใช่ลูก หรือแม่ลืมไปแล้วว่ายังมีเลือดของแม่อยู่ในตัวหนูครึ่งหนึ่ง”
“ฉันไม่เคยลืม”
“แต่ที่ผ่านมาแม่ก็ทำเหมือนลืม และถ้าลืมขึ้นมาจริงๆเมื่อไรบอกหนูด้วยนะคะ หนูจะกรีดเลือดก้อนนี้ออกไปเสียที”
“พรีมาดา” เสียงนางพรเพ็ญเค้นออกมาอย่างโกรธจัด “อย่ามาท้าทายฉัน”
“หนูไม่ได้ท้า แต่ที่ผ่านมาแม่ทำให้หนูเห็น หรือแม่ไม่ได้รู้สึก ถึงไม่ได้รู้ว่าหนูเจ็บ ที่เป็นลูกที่เหมือนไม่ใช่ลูกเพราะแม่ไม่รักไม่ต้องการ”
นางพรเพ็ญกำมือที่เกือบจะยกขึ้นตบหน้าลูกไว้แน่น ขณะที่น้ำตาของพรีมาดาก็เอ่อขึ้นมาเพราะความเสียใจ ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อข่มความขมขืนได้ “แค่นี้ใช่ไหมคะที่แม่จะพูดกับหนู อีกครึ่งชั่วโมงหนูจะไปรอที่รถค่ะ”
พูดจบเธอก็เดินผละไป ทิ้งให้คนเป็นแม่ยืนนิ่งอยู่กับความจริงที่นางจำเป็นต้องทำแล้วเชิดหน้าขึ้น หมุนตัวจะเดินกลับเข้าไปในตึก แต่เห็นคนเป็นแม่มองมาเสียก่อน สายตาที่มองมาบอกว่าได้ยินเรื่องที่พูดกันเมื่อกี้ นางไม่อยากจะเดินไปหาเพราะรู้ว่าต้องโดนตำหนิ แต่ก็ต้องไป
“ไม่รักแล้วไม่พูดอะไรให้ลูกเสียใจ ก็น่าจะดีนะ” นางเบญจาพูดขึ้นมาทันที
“เพ็ญจำเป็นต้องทำ”
“ความจำเป็นมันมีค่ามากกว่าความรักของลูกงั้นเหรอ ทุกวันนี้สายสัมพันธ์ทางสายเลือดของแกกับลูกก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว แล้วทำไมถึงทำให้มันห่าง มันกว้างออกไปอีก ลูกต้องการความรักความเข้าใจจากแก แต่สิ่งที่แกบอกว่าจำเป็นนั้นฉันมองว่าเป็นความเห็นแก่ตัว”
“ไม่จริง ที่เพ็ญทำทุกอย่างก็เพื่อแม่และยัยพรีม”
“แล้วแกเคยถามฉันกับยัยพรีมไม่ว่า ต้องการสิ่งที่แกทำอยู่หรือเปล่า”
“ถึงไม่ต้องการเพ็ญก็ต้องทำ”
“งั้นแกก็เลิกเอาฉันกับยัยพรีมไปอ้างเสียที เพราะลึกๆแล้วแกก็ทำเพื่อตัวเองนั่นแหละ”
นางพรเพ็ญรู้สึกเหมือนโดนหวดด้วยแส้ให้เจ็บปวดและทรมาน แต่ไม่จำใส่ใจเพราะยังยึดมั่นในความคิดของตัวเอง “แม่จะคิดยังไงก็แล้วแต่ แต่เพ็ญทำทุกอย่างๆที่บอกไปจริงๆ”
พูดจบนางก็หมุนตัวเดินไปที่ตึก ทิ้งให้นางเบญจามองตามไปด้วยความหนักใจที่ไม่อาจพูดให้ลูกเอาปมในอดีตมาทำร้ายตัวเองและลูกเสียที
********
ทายาทแห่งเพลิงพญายืนอยู่หน้าอาคารเด ม็อตต้า ความสูงตระหง่าน โอ่อ่าสวยงาม ท้าทายความโลภที่อยู่ในตัวคน เพราะเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่อยู่ในอาคารนี้ล่อตาล่อใจให้อยากจะครอบครอง แต่ลึกลงไปในความอยากยังมีความโหดร้ายแฝงอยู่ เพราะการแก่งแย่งแข่งขันถึงขั้นฆ่ากันได้ เพื่อกิเลสตัวเดียว
พรตดึงสายตากลับมา เมื่อนายมาเฟียหัวใจหญิงเดินมาหา หลังจากนำรถไปจอดเรียบร้อยแล้ว และพากันเดินตรงมาที่อาคาร โดยมีสายตาของหลายคู่มองอยู่ หนึ่งในนั้นคืออดัม ที่ยืนอยู่ตรงระเบียงของชั้นผู้บริหาร มือสองข้างซุกอยู่ในกระเป๋า ขณะสายตามองตามประธานคนใหม่ที่เดินตรงมาที่อาคาร แล้วยืดตัวขึ้นเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินดังขึ้นข้างหลัง กระทั่งเสียงนั้นมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ ก็เอียงหน้ามามอง
คนมาใหม่เปิดยิ้มทักทายให้เล็กน้อยก่อนจะทอดสายตามองลงไปข้างล่าง ภาพที่เห็นทำให้แววตาฉายความเจ้าเล่ห์ออกมา แต่ปากก็พูดว่า “คุณมาเช้ามากเลยนะครับ”
“เป็นธรรมดาของลูกจ้าง”
เดวิดยิ้มขำเล็กน้อย ก่อนจะบอกว่า “น่าชมเชยจริง แต่คุณไม่อยากเป็นนายจ้างบ้างเหรอ”
“ผมไม่ชอบเรื่องรกสมอง”
คำพูดไม่ยี่หระต่อสิ่งใดทำให้มีรอยหยันเกิดขึ้นในแววตาของเดวิด ขณะบอกว่า “คุณนี่ต่างจากคุณอเล็กซ์มากจริงๆ มิน่าม็อตต้าถึงได้ไปอยู่ในมือคนอื่น ถ้าเป็นผม ผมจะไม่มีทางยอมให้ของๆผมต้องตกไปเป็นของคุณอื่นเด็ดขาด”
“แต่ตอนนี้คุณก็ไม่ต่างจากผม ถึงจะไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่ก็ถือหุ้นอยู่ไม่น้อยเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ”
เสียงของอดัมเรียบๆ แต่ทำให้เดวิดกำมือที่แนบอยู่ข้างลำตัวแน่น เพราะรู้สึกเหมือนโดนตอกหน้า “นั่นซินะ แต่ความรู้สึกมันต่างกัน เพราะผมแค่ผู้ถือหุ้น แค่ทีมบริหาร ไม่ได้เป็นเจ้าของเหมือนคุณ ถึงจะหลุดมือไปก็ไม่รู้สึกอะไรมากมาย แต่สำหรับคุณถ้าไม่คิดจะทำอะไรเลย ทรัพย์สินของตระกูลก็คงต้องสิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ คุณจะยอมให้เป็นอย่างนี้เหรอ”
อดัมหมุนตัวมามองหน้าเดวิดที่ดูจะหวังดี แต่คำพูดฟังแล้วเหมือนประสงค์ร้าย ก็บอกว่า “ดูคุณจะเดือนร้อนแทนผมนะ”
“ก็นิดหน่อย” เดวิดยอมรับออกมาพลางยิ้มให้เหมือนเอ็นดูในความอ่อนของเขาเหลือเกิน “แต่เป็นเพราะผมหวังดีกับคุณจริงๆ อยากให้เก็บสิ่งดีๆไว้กับตัว ให้กับลูกกับหลานมากกว่าจะให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้ว่าชุบมือเปิบไป แม้คนอื่นจะว่าเขาเป็นคนดี แต่อะไรๆก็ไม่ดีไปกว่าการที่เราได้เป็นเจ้าของมันเองหรอก คุณว่าจริงมั๊ย”
เดวิดทิ้งคำถามไว้แล้วยกมือขึ้นตบบ่าอดัมหนักๆ ก็เดินจากมาพร้อมรอยยิ้มที่สะใจอยู่ลึกๆ และถ้าเขาหันหลังกลับมามองก็จะได้เห็นว่าคำพูดเขาได้สร้างความสั่นคลอนให้อดัมไม่น้อย
*******
“สวัสดีครับท่านประธาน ยินดีต้อนรับสู่ม็อตต้า”
พรตหันไปมองคนที่ทักเขาทันทีที่เหยียบเข้ามาในอาคาร ซึ่งไม่ใช่ใครคือทนายกัสโซ่ ที่ยืนประสานมือกันไว้ข้างหน้า แววตาฉายความดีใจปนสงสัยใบหน้าที่ช้ำของประธานคนใหม่ ก่อนจะก้มหน้าให้เขาเล็กน้อย พรตยิ้มตอบพลางคิดว่าทนายความรุ่นเก๋าหูตากว้าง สมกับเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ให้ม็อตต้าจริงๆ
“ผมยังไม่ได้เป็น” พรตตอบอย่างสุภาพและให้เกียรติ
“แต่การที่คุณมาวันนี้ ผมถือว่าคุณเป็นแล้ว ขอบคุณที่ทำเพื่อพวกเราและคุณอเล็กซ์”
ไม่มีคำพูดปฏิเสธจากหลานชายของชีคอิลาอัลล์ ทนายกัสโซ่จึงยิ้มกว้างเพราะเป็นสัญญาณว่าไอ้หนุ่มคนไทยรับตำแหน่งนี้แล้วแน่นอน และหันไปมองฝรั่งร่างสูงที่ยืน พรตจึงแนะนำให้รู้จักเพียงสั้นๆว่า
“ไมค์ ญาติของผมครับ”
ทนายกัสโซ่ยิ้มให้พลางยื่นมือไปทักทาย ทั้งที่ในใจสงสัยว่าญาติกันยังไงถึงไม่มีความคล้ายคลึงกันเลย เชื้อชาติ รูปร่างหน้าตาก็ต่างกัน โดยเฉพาะสีผิวและเส้นผมบนหัว คนหนึ่งนั้นผิวขาวแถมหัวล้านด้วย อีกคนนั้นผิวสีแทนผมก็ดกดำสวย ไมค์ยื่นมือมาจับก่อนจะปล่อย โดยไม่มีความสงสัยว่าทำไมทายาทเพลิงพญาถึงแนะนำเขาอย่างนั้น เพราะตอนนี้เขาต้องดูแลแบบไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติอยู่แล้ว
“เชิญครับ ผมจะพาไปห้องทำงาน”
“ผมขอไปที่ห้องประชุม และกรุณาเรียกผู้บริหารทุกคนให้มาพบผมด้วย”
มีความแปลกใจฉายออกมาทางแววตาทนายกัสโซ่ แต่ก็ไม่พูดอะไร นอกจากทำตามคำสั่ง เช่นเดียวกับไมค์ที่เดินตามพรตไปอย่างเงียบๆ ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงผู้ถือหุ้นทุกคนก็มาพบประธานคนใหม่ หน้าตาแต่ละคนดูจะพยายามเก็บกดความไม่พอใจไว้ เพราะถูกตามตัวมาแบบไม่ทันตั้งตัวนั่นเอง
พรตไม่ได้ดูว่าใครจะมีสีหน้าเป็นยังไง และใครจะสงสัยหน้าที่ช้ำของเขาบ้าง เพราะมีคนดูแทนเขาอยู่แล้ว เขาดูแค่เอกสารที่ทนายกัสโซ่ทิ้งไว้ให้เท่านั้น จนกระทั่งทุกคนนั่งลงเรียบร้อย สบตาทุกคน แล้วเริ่มงานโดยไม่มีการเกริ่นอะไรทั้งนั้น
“สวัสดีครับทุกคน เรารู้จักกันแล้วคงไม่ต้องแนะนำตัวกันอีก คราวนี้ก็มาว่าเรื่องงานที่สำคัญมากที่สุด ก็คือโครงการน้ำมันที่กำลังจะมีการประมูลเกิดขึ้นเร็วๆนี้ ผมรู้มาว่าก่อนหน้านี้มีการประชุมเก็บข้อมูลต่างๆไว้กันแล้ว จึงอยากรู้ว่าเรามีโอกาสคว้ามันมาได้แค่ไหน และมีใครเป็นคู่แข่งที่สำคัญบ้าง”
ทุกคนปรายตามองหน้ากัน เพราะคิดไม่ถึงว่าเจ้านายคนใหม่จะเปิดประเด็นได้แรงขนาดนี้ แถมคำพูดยังบอกให้รู้ว่าพอจะรู้อะไรมาบ้างเหมือนกัน แต่ยังไม่มีใครตอบคำถามนี้ เดวิดที่นั่งฟังอยู่ด้วยจึงเป็นคนตอบแทนทุกคน
“ก่อนหน้านี้ที่คุณอเล็กซ์ยังอยู่เรามีโอกาสสูง เรียกว่าเป็นเต็งหนึ่งที่จะได้มันมาอยู่ในมือ แต่พอคุณอเล็กซ์จากไป จากสูงสุดก็ลงมาต่ำสุด แทบจะไม่มีสิทธิเลยก็ว่าได้ ส่วนคู่แข่งที่สำคัญของเรา แน่นอนว่าคืออัลโตนิโอและอีกบริษัทที่กำลังมาแรงอย่างอีชากรุ๊ป เพราะมีความพร้อมทุกอย่างไม่ด้อยกว่ากัน”
“งั้นคุณช่วยหาข้อมูลของสองบริษัทนี้มาให้ด้วยก็แล้วกัน”
“ครับ แต่อัลโตนิโอคงไม่ต้องหา ถามคุณอดัมก็คงได้เพราะคงไม่มีใครรู้จักอัลโตนิโอได้ดีเท่ากับเขา”
“ทำไม” พรตถามพลางหันไปมองอดัมเหมือนสงสัย แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะเขารู้ว่าม็อตต้าเกี่ยวข้องกับอัลโตนิโอยังไงจากนายมาเฟียแล้ว แต่อยากจะรู้ว่าใครคิดอะไรยังไงมากกว่า แต่ไม่มีคำพูดจากอดัม คนที่โยนกลองมาสร้างความกดดันจึงยิ้มอยู่ในใจ
ทนายกัสโซ่ที่เป็นผู้ดูแลตระกูลอยู่ จึงทำหน้าที่แทน “คุณอดัมเพิ่งหมั้นกับลูกสาวตระกูลอัลโตนิโอไปก่อนที่คุณอเล็กซ์จะจากไป ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นทำให้หลายฝ่ายคาดว่าโครงการนี้จะอยู่ในมือของสองตระกูลแน่นอน แต่สุดท้ายก็เหลือแค่อัลโตนิโอ โดยมีอีชากรุ๊ปเป็นคู่แข่งสำคัญ เพราะเขาเป็นเจ้าของบ่อน้ำมันใหญ่ๆในทะเลทรายหลายแห่ง”
“แล้วทั้งสองตระกูลนี้ใครน่ากลัวกว่ากัน”
“ถ้ามองภาพรวมศักยภาพของทั้งคู่ก็ไม่ต่างกันเท่าไร” เดวิดอวดภูมิตัวเองออกมาเพื่อให้ประธานคนใหม่เห็นศักยภาพ “อัลโตนิโอนั้นเหนือกว่าเพราะกุมธุรกิจของเมืองครึ่งหนึ่งมาช้านาน และมีฐานเก่าแก่สนับสนุนอยู่มายมาย แต่อีชาก็ได้เปรียบในเรื่องประสบการณ์ด้านน้ำมันและบริษัทใหม่ๆที่รวมตัวกันเป็นฐานสนับสนุนเขา ก็ทำให้น่าลุ้นในเกมนี้”
“แล้วม็อตต้าละมีศักยภาพแค่ไหน”
“ก่อนหน้านี้เราเทียบเท่าอัลโตนิโอ แต่ตอนนี้เขาทิ้งเราไม่เห็นฝุ่น เพราะเราขาดผู้นำ”
“แต่ตอนนี้เราไม่ได้ขาดแล้ว ม็อตต้ามีผมเป็นผู้นำ และเราจะผงาดขึ้นมาอีกครั้ง”
*********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
พรีมาดานั่งอยู่บนเตียงนอน มองโทรศัพท์ที่ยังค้างอยู่ในมือ แล้วก้มลงมองแผลที่เท้า ที่ยังไม่ได้ดูแลตามที่บอกพี่ต่างสายเลือดไป แล้วถอนหายใจออกมาเบาๆ ก็ลุกขึ้นเดินกะเพลกเข้าห้องน้ำ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อยแล้ว ก็ออกมาหาเพื่อนรักที่รออยู่ ก่อนหน้านี้พอเขาพามาถึงห้อง ก็แยกตัวมาที่ห้องตัวเองเพื่อมาอาบน้ำ แต่ความจริงแล้วไม่อยากตอบคำถามที่ยังไม่พร้อมจะตอบมากมาย แต่กลับมานั่งนิ่งจมอยู่กับเรื่องที่เพิ่งเกิดขึ้นกับตัวเอง กระทั่งเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นนั่นแหละ จึงปัดสิ่งที่คิดอยู่ออกไป
“มานั่งนี่เลย
เสียงเพื่อนรักบอกทันทีที่เห็นเธอ จึงเปิดยิ้มให้พลางเดินไปนั่งที่โซฟานุ่ม ซึ่งเขาได้เตรียมอุปกรณ์ทำแผลไว้ให้พร้อมแล้ว แต่เธอยกมือบอกให้หยุด และห้ามพูด เพราะต้องทำหน้าที่หลานที่ดีก่อน โทรศัพท์ที่ถือออกมาจากห้องนอน จึงกดสัญญาณไปหายายแม่ บอกให้รู้ว่าเธออยู่ที่ไหน ท่านจะไม่ได้เป็นห่วง และยิ้มอย่างสุขใจเมื่อมีแต่ความห่วงใยให้มา
“ค่ะ จะดูแลตัวเองดีๆ ไม่มีนอกลู่นอกทางเด็ดขาด พรุ่งนี้ก็กลับแล้วค่ะ”
บอกไปแล้วเธอก็ยิ้มขำ เพราะคนเป็นยายยังห่วงใยอยู่ แต่ประโยคสุดท้ายก่อนจะวางสายนั้นทำให้สีหน้าเธอมีความแปลกใจ ไม่คิดว่าคนที่เธอนับเป็นพี่ชายจะเป็นห่วงถึงขั้นไปหาที่บ้าน
“มีอะไรหรือเปล่า” เควินถามเมื่อเห็นสีหน้าที่กำลังครุ่นคิดของเพื่อน
“ไม่มี” เธอบอกพร้อมส่ายหน้าให้เห็น เพื่อนรักจึงทำตัวเป็นบุรุษพยาบาล นั่งลงบนพื้นทำแผลให้เธอจนเรียบร้อย ก็ลุกขึ้นมานั่งบนโซฟา “ขอบใจนะเค”
“เปลี่ยนจากคำขอบใจเป็นเล่ามาดีกว่าว่าเกิดอะไรขึ้น หายไปจากโรงแรมแล้วกลับมาพร้อมผู้ชายคนนั้น เขาเป็นใคร” เควินถามพลางเก็บอุปกรณ์ทำแผลใส่กล่อง จึงไม่ได้เห็นสีหน้าของพรีมาดาที่กังวลว่า เขาจะเห็นการกระทำที่หยาบคายนั้นหรือเปล่า
“หนุ่มพเนจร”
คำตอบต่างจากสิ่งที่เห็นนั้น ทำให้เควินต้องเงยมองขึ้นหน้าเธอ ก่อนจะบอกว่า “ท่าทางเขาดูดี หล่อสมาร์ทขนาดนั้นจะเป็นคนเร่ร่อนได้ไง แต่เรื่องนั้นช่างเถอะ ที่สำคัญทำยังไงถึงได้เจ็บตัวและเขามาส่งได้ไง”
“เรื่องบังเอิญนะ แค่เจอกันและพรีมก็เดินสะดุดจนเกิดแผลแค่นั้นเอง”
“ไม่จริง ถ้าแค่นั้น เขาคงไม่จูบเธอ”
“เคเห็น” พรีมาดาครางออกมาอย่างตกใจ ขณะที่เควินพยักหน้ายอมรับว่าใช่ เธอจึงเม้มริมฝีปากที่ยังรู้สึกร้อนผ่าวอยู่ก่อนจะบอกว่า “งั้นก็ต้องเห็นว่าพรีมไม่ได้เต็มใจ”
“แต่ถ้าเป็นเค มีคนหล่อขนาดนั้นมาจูบ ถึงไม่เต็มใจ ก็ฟินได้” เขาว่าพลางทำหน้าเพ้อ จนพรีมาดารู้สึกเขิน
“บ้า” เธอว่าพลางหยิบหมอมาตีแขนเขา เควินจึงหัวเราะออกมาก่อนดึงหมอนมากอดไว้ วางแขนเท้าค้างพลางมองหน้าเพื่อนรักที่แดงขึ้น สบตาที่มีแววเขินซ่อนอยู่ก็บอกว่า
“เล่าให้ฟังหน่อยซิ ว่าเจอกันได้ยังไง”
พรีมาดาอยากจะส่ายหน้าปฏิเสธ แต่ความจริงใจของเพื่อนและความรักความห่วงใยที่มีให้มาตลอด ทำให้เธอค่อยๆพูดออกมา “พรีมเจอเขาคืนวันที่ถูกแทงข้างหลังทะลุไปถึงหัวใจนั่นแหละ แล้วก็เจอเขาอีกครั้งสองครั้ง แค่นั้นเอง ไม่มีอะไรมากไปกว่านี้”
“ถ้าไม่มีคงไม่เจอกันอีก แล้วถึงขั้นจูบเนี๋ย แสดงว่าต้องมี” เควินวิเคราะห์ออกมา “หรือว่าจะเป็นพรหมลิขิตที่ทำให้เธออกหักแล้วพบรักใหม่ แล้วคิดว่าเขาเป็นยังไง”
“ไม่คิด”
“แต่แววตาเธอนะคิด”
เควินสวนทันควัน แต่พรีมาดาไม่ได้คิดอย่างที่เพื่อนคิด เพราะกำลังคิดว่าไม่ใช่พรหมลิขิตที่ทำให้เจอกัน แต่เป็นเพราะบางอย่างที่เธอยังไม่รู้ แต่เขารู้ และรู้ลึกไปถึงตระกูลอัลโตนิโอที่เธออาศัยอยู่ด้วย เควินมองสีหน้าที่ครุ่นคิดของเธอแต่ไม่ซักอะไรอีก นอกจากจะถามว่า
“แล้วทำไมถึงเดินออกไปนอกโรงแรม หรือทนไม่ได้กับคำตอบที่ได้รับ”
พรีมาดานิ่งไปเพราะมัวแต่ทะเลาะกับเขาคนนั้น จนลืมเรื่องก่อนหน้านี้ ที่ทำให้ใจเธอเจ็บเสียสนิท “เครู้เรื่องนี้เมื่อไร”
“วันนี้ สังคมมันกว้างก็จริง แต่ความลับมันไม่มีในโลก ต้องมีคนเห็นอยู่แล้ว จึงส่งมาให้ดู ก็เลยพามาให้เห็นกับตา พวกเขาจะได้เลิกหัวเราะลับหลังเธอกันเสียที ว่าโง่ให้เขาสวมเขา”
“ทำไมเคไม่ปล่อยให้มันจบไป ตั้งแต่เขาหมั้นกัน”
“เพราะไม่อยากให้เธอจมอยู่กับมันไง เจ็บแต่ไม่จบมันทรมานนะพรีม ให้จบแล้วเจ็บดีกว่าทรมานไม่นานก็หาย”
“แล้วถ้าความเจ็บมันมีเบื้องหลังมากกว่านี้ละเค พรีมจะทำยังไง”
เควินหรี่ตาลงอย่างสงสัย ก่อนจะถามออกมา “หมายความว่ายังไง หรือมีอะไรที่เรายังไม่รู้”
“ไม่รู้ซิ แพทเขาพูดอะไรแปลกๆหลายอย่าง และยังถามพรีมว่าอดัมเป็นคนยังไง สิ่งนี้ทำให้พรีมสงสัยและพอพรีมถามว่าเรื่องนี้มันเกิดขึ้นมาได้ยังไง ก็อ้ำอึ้งอีก วันนี้คำตอบที่ได้น่าจะทำให้ข้อสงสัยหมดไป แต่ทำไมพรีมรู้สึกว่ามันยังมีมากกว่าที่เห็น ลำพังแพทคนเดียวไม่น่าจะทำให้อดัมหักหลังพรีมได้”
เควินคิดตามคำพูดของเพื่อนและพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่ก็ยังมีข้อโต้แย้งออกมา “เธอมั่นใจในตัวของอดัมมากเกินไปหรือเปล่า คนเราเดี๋ยวนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ คำว่ารักมันให้ความสุขก็จริง แต่มันไม่ได้ช่วยให้อิ่มท้อง ไม่ได้ให้ทุกสิ่งทุกอย่างเหมือนกับเงิน บางคนจึงเลือกเงินมากกว่าความรัก และบางคนก็ทำได้ทุกอย่างเพื่อให้ได้สิ่งที่หวังโดยไม่สนใจว่าใครจะเป็นยังไง บางทีบางคนที่เราเห็นว่าสงบเสงี่ยมอาจจะซ่อนความร้ายไว้ก็ได้ ใครจะเป็นรู้ แต่ถ้าเป็นอย่างที่เธอคิด ก็มีไม่กี่คนหรอกที่จะทำให้เรื่องนี้เกิดขึ้นมา”
“หนึ่งในนั้นก็คืออดัมใช่ไหม”
“ไม่อยากฟันธงนะ ว่าจุดเริ่มต้นมันเกิดจากใคร แต่จุดจบก็คือเขามีความสุขบนความทุกข์ของเธอ ที่สำคัญคนที่รักเราต้องทำทุกอย่างเพื่อเราไม่ใช่ทำเพื่อตัวเอง อย่างนั้นเขาเรียกว่าเห็นแก่ตัว”
“นั่นซินะ” เสียงพรีมาดาหยัน จนเควินต้องยื่นมือมาจับไว้อย่างเห็นใจ ก่อนจะยิ้มให้แล้วบอกว่า
“ไม่นานเรื่องทั้งหมดก็จะเปิดเผยออกมา บอกแล้วว่าความลับไม่มีในโลก เพียงแต่ต้องรอเท่านั้น แม้วันนี้จะยังไม่รู้ว่าสาเหตุจริงๆคืออะไรแต่สักวันพรีมจะรู้ทั้งหมด”
“แล้วเคคิดว่าจะเรื่องทั้งหมดจะเกี่ยวข้องกับการตายของอเล็กซ์ไหม”
เควินอึ้งไปกับคำถามนี้เพราะเขาไม่เคยคิดหรือเอาสองเรื่องมาโยงใยกัน “ทำไมคิดอย่างนั้น แล้วมันหมายความว่าไง” เขาถามอย่างสงสัย ขณะที่พรีมาดาก็เม้มปากคล้ายกำลังคิดบางอย่างอยู่ สุดท้ายก็บอกว่า
“ไม่รู้เหมือนกันแค่แวบขึ้นมาเท่านั้นเอง แต่คงไม่มีอะไรหรอกพรีมคงคิดมากไปเอง ไปนอนก่อนนะ แล้วพรุ่งนี้ก็ไปส่งด้วยแล้วกัน”
เควินพยักหน้า แล้วพยุงเพื่อนไปส่งถึงห้อง อวยพรให้ฝันดีแล้วเดินกลับมาที่ห้องตัวเอง พร้อมคำถามที่ยังค้างคาอยู่หลายเรื่อง หนึ่งในนั้นก็คือเรื่องผู้ชายสองคนที่เขาเจอในคืนนี้ ทั้งคู่มีเซ็กแอพพีลสูงเหมือนกัน และมีความดำมืดให้เขาสงสัยไม่ต่างกันด้วย โดยเฉพาะคนที่บอกความเป็นตัวเองออกมาชัดเจนอย่าง...ไมค์
*********
เสียงนกร้องบอกความสดใสในยามเช้า ควันสีขาวลอยเอื่อยขึ้นมาจากถ้วยกาแฟสีดำที่อยู่ในมือของชายหนุ่ม ซึ่งนั่งอยู่บนเก้าอี้เหล็กดัด ตรงเทอเรสของเซฟเฮ้าส์หลังงาม โอบล้อมด้วยสนามหญ้าและต้นไม้ที่ให้ความร่มรื่น เสียงนกยังขับขานมาให้ได้ยิน แต่ไม่เข้าไปในโสตประสาทหูของเขาเท่าไร เพราะยังคิดถึงเรื่องที่ยังค้างคาอยู่ในใจตั้งแต่เมื่อคืน
ปลายนิ้วคลึงแก้วกาแฟขณะสายตาตวัดขึ้นไปมองยอดไม้ที่พลิ้วไหวไปตามแรงลม กระทั่งเห็นร่างสูงของมาเฟียหัวใจหญิงเดินมานั่งที่เก้าอี้ตรงข้าม ก็ละสายตามาสบตาที่เต็มไปด้วยคำถามมากมาย ก่อนจะจับจ้องที่รอยแผลบนหน้าเขา
“เกิดอะไรขึ้น”
ไมค์ถามด้วยความเคร่งเครียด เพราะเมื่อคืนนี้เขาออกตามหาชายหนุ่มไปทั่วโรงแรม จนกระทั่งแน่ใจแล้วว่าไม่อยู่ ก็สั่งให้คนของเขาออกตาม แต่ยังไม่ทันเจอก็ได้รับข่าวว่ากลับมาแล้ว เขากลับมาก็ไม่เจอ มาเจอตอนนี้ สิ่งที่เห็นน่าหวั่นใจไม่น้อย
พรตยิ้มเยาะเรื่องที่เจอมาแล้วก็เล่าให้ฟัง ก่อนจะตบท้ายด้วยเรื่องที่สงสัยอยู่ “ฉันคิดว่ามันเป็นคนๆเดียวกัน” เขาบอก แล้วเหมือนจะนึกบางอย่างได้ “ขอโทษทีนะที่พูดฉันกับนาย มันติดปากและชินนะ”
“ไม่เป็นไร แต่ทำไมคิดอย่างนั้น”
“อาวุธที่ใช่ ซอยที่เปลี่ยว ที่สำคัญตัวชี้เป้า เธออยู่กับฉันด้วยเมื่อคืน”
ไมค์เอนตัวไปพิงพนักเก้าอี้ เพื่อผ่อนคลายความเคร่งเครียดลง แต่ดูจะไม่ได้ผลเท่าไร เพราะสิ่งที่เกิดขึ้นใกล้ตัวเกินไปแล้ว “แสดงว่าพวกมันตามคุณอยู่ และถ้าคุณไม่ตายพวกมันก็จะกลับมาหาอีก”
“มันตายแน่นอน เพราะถูกฉันฮาราคีรีไปแล้ว แต่น่าเสียดายที่ไม่รู้ว่ามันไปตายอยู่ใต้ขาใคร”
สิ่งที่ได้ฟังทำให้ไมค์ต้องมองทายาทแห่งเพลิงพญาใหม่ ก่อนหน้านี้ที่เขาได้ยินมาชายหนุ่มค่อนข้างที่จะสำราญ ไม่ค่อยชอบความวุ่นวาย แม้จะคุมคุกทมิฬอยู่ก็ตาม ไม่คิดว่าจะซ่อนความโหดไว้ขนาดนี้ “แล้วทำไมคุณถึงออกไปนอกโรงแรม หรือเกี่ยวกับเธอที่ตามไป” ไมค์ซักอย่างละเอียดเพื่อจะได้หาทางป้องกันได้ถูก มุมปากของพรตเหยียดหยันออกเล็กน้อย ก็บอกว่า
“เธอคือตัวชี้เป้า”
ไมค์กะพริบตาเพื่อเรียบเรียงเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น และไม่อยากจะเชื่อว่าจะจุดไต้ตำตอขนาดนี้พลางคิดถึงเรื่องที่ทายาทเพลิงพญาเคยบอกข้อสงสัยให้ฟัง มุมปากเขาเผยอขึ้นยิ้มก่อนจะบอกว่า “ดวงสมพงศ์กันจริง ถ้าไม่ใช่ศัตรูก็ต้องเป็นเนื้อคู่กันแน่ๆ เพราะมีเรื่องต้องให้มาเจอกันตลอด”
คำหยอกของกระเทยควายโดยฆ่าตายด้วยสายตาพรต ที่มองมาอย่างกระด้างเพราะไม่มีอารมณ์มาเล่นด้วย ไมค์จึงต้องพูดให้เป็นงานเป็นการขึ้น “ถ้าเธอเป็นตัวชี้เป้าจริง คงหนีไปไม่มีทางให้ไปส่งถึงที่อยู่หรอก”
“แล้วนายรู้ไหมว่าเธอให้ฉันไปส่งที่ไหน” ไมค์ส่ายหน้า “คอนโดไอ้คิวแรก”
ไมค์ทำหน้าแปลกใจ นี่ยิ่งกว่าจุดไต้ตำตอเสียอีก ก็รู้ว่าเธอมากับเขาแต่ไม่คิดว่าจะพักที่เดียวกันด้วย และแอบยิ้มแอบเก็บความลับที่เขารู้มาไว้อย่างแนบเนียน พลางลอบสังเกตท่าทีของทายาทเพลิงพญา “อาจจะแค่หลอกก็ได้”
“ลงมารับและพากันขึ้นไปเนี๋ยนะ หลอก ไม่ใช่ควาย”
เสียงที่บอกอารมณ์โกรธปนหึงนั้นทำให้ไมค์ต้องขบฟันไม่ให้หัวเราะหลุดออกมา แล้วฮอร์โมนหญิงที่มีอยู่เต็มตัว ก็สำแดงออกมาอย่างสนุก “ไอ้สี่ขาที่ว่านะ เขาไว้ใช้กับคนที่ถูกคนรักสวมเขา แต่คุณกับเธอเป็นอะไรกัน ถึงได้ไปเทียบกับมัน หรือคิดอะไรกับเธอถึงได้โกรธ”
“ไม่ได้คิด” เสียงตอบห้วนยังกับดินหน้าแล้งที่แข็งโปก ยิ่งทำให้ไมค์สนุก
“ไม่ได้คิด แต่โกรธ โอเค เข้าใจแล้ว เพราะแววตามันฟ้อง”
พรตรีบกะพริบตา ทำหน้าให้นิ่งแล้วต้องหน้าเหลอ เมื่อได้ยินเสียงหัวเราะออกมาจากกระเทยควาย จึงรู้ว่าหลงกลเข้าเสียแล้ว “ไอ้กระเทย” เสียงเขาเค้นออกมา แต่ไมค์ไม่มีความตกใจสักนิด นอกจากดีดดี้งออกมา
“ว้าย!หยาบคาย” ว่าพลางมองค้อนแถมย้อนให้คันในหัวใจเล่นๆ “เดี๋ยวก็ขวิดเสียเลย”
“อยากโดดเชือดก็เข้ามา”
ทั้งคู่โต้ตอบกันอย่างไม่มีใครยอมใคร แต่ก่อให้เกิดมิตรภาพที่ดีที่ทำให้ทำงานด้วยกันง่ายขึ้น แล้วพากันหัวเราะ พรตนั้นขอโทษไมค์ที่ไม่สุภาพกับเขา ซึ่งก็ไม่ถือสา จากนั้นทั้งคู่ก็คุยกันเรื่องที่ค้างไว้ต่อ
“ถ้างั้นคุณคิดว่าเธอทำงานให้ใคร อย่างที่บอกว่าเธอเกี่ยวข้องทั้งสองตระกูล ที่สำคัญ ข้อมูลล่าสุดที่เพิ่งได้มาทั้งสองตระกูลนี้ต้องการงาบโครงการน้ำมันมาไว้ในมือ แม้ม็อตต้าจะยกหุ้นใหญ่ให้คุณบริหารแต่ใช่ว่าทุกคนจะยอมรับคุณ”
“ฉันยังไม่ได้รับ”
“งั้นก็ไปรับเสีย เพราะที่นั้นอาจจะเป็นจุดเริ่มต้นให้เรารู้เรื่องอุบัติเหตุที่สงสัยกันอยู่ก็ได้”
“หมายความว่าไง” พรตถามอย่างสงสัย ไมค์จึงใช้ประสบการณ์ของมาเฟียพูดให้ฟังว่า
“โครงการน้ำมันมีมูลค่ามหาศาล ใครที่ได้ครอบครองก็จะยิ่งยิ่งใหญ่ อาจจะถึงขั้นชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้และอาจจะชี้นิ้วสั่งผู้ปกครองรัฐก็ได้ แล้วลองใช้ตรรกะง่ายๆคิดดูซิว่า ถ้าไม่มีเพื่อนคุณที่ตายไปสักคน ใครจะได้ผลประโยชน์ ใครจะได้ครอบครองโครงการนี้ ใครจะได้ทุกอย่างของเขาไป ถ้าไม่ใช่ญาติพี่น้องก็ต้องเป็นผู้ร่วมหุ้นร่วมลงทุนในธุรกิจด้วยกัน ที่สำคัญมากๆอีกอย่างคือ คนของผมได้ข้อมูลที่แน่ชัดมาแล้วว่า อุบัติเหตุที่เกิดขึ้นกับคุณไม่เกี่ยวข้องกับพวกมาเฟีย”
พรตอึ้งไปกับข่าวใหม่ที่ได้รู้ และต้องกลับมาคิดใหม่ว่า ถ้าพวกมาเฟียไม่มาเกี่ยวข้อง และเรื่องที่เกิดขึ้นไม่ใช่อุบัติเหตุอย่างที่หลายคนพยายามบอกเขาอยู่ แล้วจะเป็นอะไร ถ้าไม่ใช่... “นายจะบอกว่าเป็นการฆาตกรรมงั้นเหรอ”
“ยังไม่ได้แน่ใจถึงขนาดนั้น แต่สิ่งที่ได้มาจะทำให้เราทำงานได้ง่ายขึ้น เพราะความสงสัยแคบเข้ามา”
“ใช่แคบ” พรตเค้นเสียงออกมา “เพราะความโลภพวกมันถึงกับทำให้คนๆหนึ่งตาย และฉันก็เกือบเอาชีวิตไม่รอด แค่นั้นยังไม่พอยังตามฆ่า เพื่อความโลภของพวกมันอีก ฉันอยากจะรู้จริงๆว่าใครทำ”
“ตราบใดที่คุณยังไม่ตาย คุณได้รู้แน่”
“พูดได้ดี” พรตชมด้วยปากแต่แววตานั้นยังกระด้าง “ไปม็อตต้ากัน ฉันมีรายชื่อผู้ถือหุ้นทุกคน ส่งให้คนของนายสั่งให้เช็กประวัติทั้งหมดอย่างเร่งด่วน ฉันต้องการรู้อย่างเร็วที่สุด”
พูดจบพรตก็ลุกขึ้น เดินตรงไปยังโรงรถ โดยมีไมค์เดินตามไปติดๆ เมื่อมาถึงไมค์มองรถที่ถูกนำมาจอดไว้แล้วแกล้งถามขึ้นทั้งๆที่พอจะเดาใจทายาทเพลิงพญาได้ “จะใช้คันไหน เฟอร์รารี่หรือว่า...”
พรตหันมามองด้วยสายตาดุๆ ไมค์ก็ไม่สนใจ แล้วเปิดประตูเข้าไปนั่งในรถของหญิงสาวที่เข้าไปวุ่นวายในใจคนที่อยากถีบก้นเขาอยู่ เรียบร้อยแล้วก็แกล้งถามออกมาอีกว่า “จะให้ผมเช็กประวัติเธอด้วยไหม เอ๊ะลืมไปว่าเช็กแล้ว งั้นจับตัวมาง้างปากดีไหม ผมมีหลายวิธีนะ รับรองว่าหมดทุกคำถาม”
“อย่ายุ่ง”
ไมค์ทำตาโต แล้วหุบปากก่อนโดนถีบ รอจนพรตเปิดประตูเข้ามานั่งในรถเรียบร้อยแล้ว ก็ขับรถออกจากเซฟเฮ้าส์พลางปรายตามองหน้าคมที่เงียบขรึม ซึ่งให้คิดอย่างสงสัยว่าเขาจัดการกับพวกถือหุ้นในม็อตต้ายังไง
**********
แสงตะวันอุ่นๆส่องผ่านเข้ามาในห้องนอนสุดหรูของเจ้าหญิงแห่งคฤหาสน์อัลโตนิโอ เพราะมีคนมาเปิดผ้าม่านที่กั้นแสงออก หญิงสาวที่นอนอยู่บนเตียงพลิกหน้าหนีแสงดังกล่าว ก่อนจะลืมตาขึ้นมองหาคนที่ทำให้แสงส่องเข้ามาถึงตัวเธอ ซึ่งก็ไม่ใช่ใครคนเป็นแม่นั่นเอง
“เมื่อคืนกลับดึกเหรอลูก” นางพรเพ็ญถามพลางเปิดหน้าต่างรับสายลมยามเช้า จึงไม่ได้เห็นสีหน้าของลูกรักที่เจื่อนลงไป ก่อนจะปรับเปลี่ยนเป็นยิ้มหวานเมื่อนางเดินมานั่งที่ขอบเตียง
“ค่ะ อดัมพาไปฟังเพลงต่อ”
“หนูกับเขาไปด้วยกันได้ดี ใช่ไหม”
แพทิเซียอยากจะบอกว่าดี แต่ภาพที่เธอเห็น แววตาเขา ยามเอ่ยถึงพี่สาวต่างพ่อของเธอ คำพูดจึงหยุดอยู่แค่ริมฝีปากแล้วเปลี่ยนเป็นถามเรื่องอื่น “คุณพ่อกับพี่ลีโอไปทำงานแล้วเหรอคะ”
“จ้ะ คุณพ่อมีงานด่วนออกไปก่อนสว่างเสียอีก ส่วนพี่ลีโอแม่ยังไม่เห็นอาจจะออกไปพร้อมๆคุณพ่อก็ได้ แล้วอดัมเป็นไงบ้าง เมื่อคืนคุณพ่อบอกแม่ว่าเขาไม่ได้เป็นประธานของม็อตต้า มีคนอื่นมาชุบมือเปิดแทนไปแล้ว แต่คุณพ่อไม่ได้บอกแม่ว่าเขาเป็นใคร อดัมเขาพูดเรื่องนี้ให้ฟังหรือเปล่า”
“ค่ะ เขาเป็นหลานชายของชีคในทะเลทรายเจ้าของบ่อน้ำมันมากมาย และยังเป็นเพื่อนของพี่อเล็กซ์ด้วย ที่สำคัญเขาเป็นคนไทยด้วยค่ะ”
“คนไทยเหรอ ใช่คนเดียวกันกับที่นั่งอยู่ในรถอเล็กซ์วันเกิดอุบัติเหตุหรือเปล่า”
แพทิเซียทำหน้าครุ่นคิด ก่อนจะส่ายหน้าว่าไม่รู้เพราะก่อนหน้าเธอไม่ได้สนใจ ขณะที่คนเป็นแม่รู้สึกทุกข์ร้อนไปหมด เพราะนั่นหมายความว่าสิ่งที่หวังไว้ต้องหายไปด้วย
“แพท” นางเรียกลูกด้วยน้ำเสียงเน้นหนักและจริงจัง เมื่อตัดสินใจบางอย่างไปแล้ว “ไปทำงานที่ม็อตต้านะ”
“อะไรนะคะ” แพทิเซียอุทานอย่างงุนงงแกมไม่เข้าใจ นางจึงต้องพูดปะเหลาะด้วยเสียงอ่อนเสียงหวาน ให้เห็นดีเห็นงามด้วย
“ช่วงนี้งานการกุศลต่างๆของแม่ ก็ไม่ได้วุ่นวายมากมายอะไร แม่ว่าหนูไปดูแลอดัมดีกว่า เขาเจอเรื่องหนัก เรื่องเครียดมามาก ไหนจะสูญเสียพี่ชายที่เปรียบเป็นเสาหลักของครอบครัวไปอีก แล้วยังต้องมาเสียใจเรื่องนี้อีก ถ้าหนูไปอยู่ข้างๆคอยเอาใจใส่ดูแล แม่ว่าน่าจะดี อีกอย่างหนูเป็นคู่หมั้นเขาแล้ว เรื่องติฉินนินทาคงไม่มี” นางว่าแต่ดูสีหน้าของลูกที่ยังกังวลอยู่ ถึงถามด้วยความข้องใจ “มีอะไรหรือเปล่า”
“คือ แพทกลัวว่าคนอื่นจะมองไม่ดี หมั้นกันไม่เท่าไรก็เข้าไปวุ่นวายในธุรกิจของเขาที่กำลังยุ่งๆกันอยู่”
“หนูคิดมากเกินไปแล้วลูก อย่างที่แม่บอกว่าคนเป็นคู่หมั้นกันไม่มีวันน่าเกลียดแน่นอน ถ้าไม่ได้เป็นอะไรกันนะซิอาจจะน่าเกลียด และช่วงที่เขาอ่อนแอ ลูกไม่ควรปล่อยให้เขาว้าเหว่ เพราะอาจจะมีใครเข้ามาแทรกแซงเอาได้ อย่าลืมว่าเขาเป็นที่หมายตาของสาวๆมากแค่ไหน”
คำพูดของคนเป็นแม่ไปสะกิดความระแวงที่เป็นปมอยู่ในใจของแพทิเซีย จากที่คิดว่าจะปฏิเสธก็นิ่งเงียบ แต่นางพรเพ็ญคิดว่าเธอยังคิดมาก จึงบอกว่า “ถ้าหนูไม่สบายใจ แม่จะให้พี่เราไปเป็นเพื่อนแล้วกัน”
“จะดีเหรอคะ พี่พรีมอาจจะไม่สะดวกใจก็ได้”
“ไม่สะดวกใจอะไร แค่ไปเป็นเพื่อนหนู ไม่ได้ให้ไปทำงานด้วยเสียหน่อย และเรื่องก็ผ่านมาแล้ว ป่านนี้คงทำใจได้แล้วละ”
“แล้วถ้าไม่ได้ละคะ”
“ทำไมหนูคิดอย่างนั้น หรือว่าวันก่อนที่แม่ให้ไปส่งหนูได้พบกับอดัม”
“ไม่ได้พบค่ะ แต่...” แพทิเซียทำท่าเหมือนไม่อยากพูด แล้วพูดออกมาแบบเลี่ยงๆว่า “การตัดรักมันคงยากเหมือนการตัดบัวไม่ให้เหลือใยนั่นแหละค่ะ หักตรงไหนยังไงก็ยังมีใยให้เห็น แม้จะไม่พูดและทำเหมือนไม่สนใจ แต่ใยของความรู้สึกยังมีอยู่ให้เราได้เห็น และคงไม่มีใครทำใจเรื่องของความรักได้เร็วและง่ายขนาดนี้ เพราะถ้าง่ายอย่างที่พูด วันนี้คนที่เป็นคู่หมั้นเขาคงไม่ใช่หนู”
“แพท”
“ทุกวันนี้หนูยังคิดอยู่นะคะ ว่าสิ่งที่ทำลงไปมันถูกหรือเปล่า”
“ถ้าไม่ถูก แล้วหนูจะแก้ไขอะไรได้” เสียงนางเข้มขึ้นเล็กน้อยเพราะไม่ค่อยจะพอใจ ยิ่งคิดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นก่อนจะมีการหมั้นหมายกัน ก็ยิ่งไม่พอใจ แพทิเซียจึงยิ้มบางๆก่อนบอกว่า
“นั่นนะซิคะ สิ่งที่เราทำลงไปว่ายากมากแล้ว แต่การจะกลับมาแก้ไขนั่นยิ่งยากมากกว่า เพราะมันไม่สามารถแก้ไขได้แล้วนั่นเอง”
นางพรเพ็ญผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เมื่อคำพูดของลูกนั้นทำให้นางคิดถึงสิ่งที่ได้ทำลงไปบ้าง แต่เมื่อแก้ไขไม่ได้ก็ต้องทำต่อไปให้สำเร็จ “หนูเตรียมตัวแล้วกัน แต่งตัวให้สวยนะ เดี๋ยวแม่จะลงไปบอกพี่สาวเรา และไม่ต้องไปคิดมากเรื่องใยอะไรนั้นอีก อีกอย่างลูกของแม่สวย น่ารัก และเพียบพร้อมขนาดนี้ไม่นานใยพวกนั้นก็จะขาดไปเอง”
พูดจบนางก็หอมแก้มลูกแล้วลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป ส่วนแพทิเซียก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ และหวังว่าสักวันจะเป็นอย่างที่คนเป็นแม่พูดไว้ เพราะสิ่งที่เธอทำและให้เขาไปนอกจากจะตัดใยให้ขาดแล้ว ยังต้องการให้มีเงาของเธออยู่ในใจเขาแทนคนเป็นพี่เสียที
********
นางพรเพ็ญเดินลงมาจากคฤหาสน์ตรงไปยังบ้านหลังเล็กของลูกสาวคนโต แต่เดินไปไม่กี่ก้าวก็ต้องหยุดมองเมื่อมีรถยนต์วิ่งเข้ามาก่อนจะจอดหยุดนิ่งอยู่ไม่ห่าง แล้วหน้าก็ตึงขึ้นเล็กน้อยเห็นลูกที่นางกำลังจะไปหา เพิ่งลงมาจากรถผู้ชาย ที่นางไม่เคยเชื่อว่าจะเป็นเพียงแค่เพื่อน
เควินเปิดประตูลงมาจากรถ ทักทายนางพรเพ็ญเล็กน้อยก็ขึ้นรถขับออกไป พรีมาดาจึงเดินมาหาคนเป็นแม่ที่ยืนจ้องอยู่ ยกมือไหว้เหมือนเช่นทุกครั้งแต่พอลดมือลงเสียงที่ไม่ค่อยพอใจก็ดังออกมา
“งามหน้าไม่เคยหยุดหย่อน”
“แม่ไม่ชินอีกเหรอคะ หนูนึกว่าแม่จะชินเสียอีก” เธอบอกอย่างเบื่อๆ เพราะเคยพูดเกี่ยวกับเควินให้ฟังแล้ว แต่คนเป็นแม่ก็ยังอคติเหมือนเดิม
“ถ้าการที่แกหายไปทั้งคืนแล้วกลับมาเช้าเนี๋ยนะจะให้ฉันชิน ฉันก็คงเป็นแม่ชีแล้ว”
พรีมาดายิ้มขำ ก่อนจะบอกว่า “ต่อให้ไม่กลับเลย หนูก็รับรองว่าได้ว่าไม่ได้ทำอะไรเสียหายเหมือนคนปากอย่างใจอย่างแน่ใจ” นางพรเพ็ญขมวดคิ้วอย่างสงสัยคำพูดที่ว่า แต่พรีมาดาไม่สนใจท่าทีที่สงสัย เพราะไม่รู้ว่าท่านรู้เห็นเป็นใจด้วยหรือเปล่า จึงพูดเฉพาะเรื่องตัวเองอีกว่า “และหนูก็ได้บอกยายแม่ไว้แล้ว แต่ถ้าแม่จะไปบวชชี หนูก็จะอนุโมทนาด้วย”
“ไม่ต้องมาแดกดันฉัน”
“แล้วแม่มาดักรอมีอะไรคะ” เธอถามเมื่อเห็นว่าอารมณ์คนเป็นแม่เริ่มขุ่นขึ้นมา
“น้องจะไปทำงานที่ม็อตต้า ไปเป็นเพื่อนน้องหน่อยก็แล้วกัน”
“ค่ะ” พรีมาดารับปากโดยไม่ถามอะไรทั้งนั้น “แค่นี้ใช่ไหมคะ” ถามเสร็จเธอก็รอว่าจะพูดอะไรอีกไหม เมื่อไม่ ก็จะเดินไป แต่เพียงขยับเสียงก็ดังขึ้นมา
“เรื่องอดัม” เกริ่นออกมาแล้วนางพรเพ็ญก็รอดูสีหน้าของลูกหัวดื้อว่าจะเป็นยังไง เมื่อเห็นว่ายังนิ่งก็พูดต่อ “ตัดใจจากเขาได้หรือยัง”
“แม่จะพูดขึ้นมาเพื่ออะไรคะ อ๋อ หนูรู้แล้ว เพื่อลูกรักของแม่นั่นเอง” พรีมาหน้าทำสีหน้าเบื่อหน่ายให้เห็น “ยัยแพท พูดอะไรให้ฟังอีกละคะ แม่ถึงมาถามหนู”
“น้องไม่เกี่ยว ที่ถาม เพราะฉันอยากรู้เท่านั้นเอง”
“หนูเคยตอบไปแล้ว แต่ทำไมแม่ถึงไม่เคยเชื่อ ถึงได้ถามอีก” ว่าแล้วเธอก็ยิ้มเยาะตัวเอง “ที่จริงหนูน่าจะชินแล้วนะคะว่าเป็นลูกที่แม่ไม่รัก พูดออกมาก็แค่นั้นเพราะใจของคนเราที่มองไม่เห็นสัมผัสไม่ได้ ได้แต่รู้สึกว่าเป็นยังไง วันนี้บอกว่าจบ บอกว่าเชื่อ แต่สุดท้ายก็ยังระแวงไม่จบและยังเหมือนลูกแหง่ที่ไม่รู้จักโตเสียที”
“พรีมาดา” น้ำเสียงนางพรเพ็ญห้วนจัด “ฉันบอกแล้วว่าน้องไม่เกี่ยว”
“ไม่เกี่ยวแต่ไม่ปฏิเสธว่าอยากรู้ใช่ไหมคะ งั้นแม่ตอบหนูมาได้ไหม ว่าทำไมคนสองคนที่ไม่เคยมีท่าทีชอบกันมาก่อนถึงได้หมั้นกันอย่างรวดเร็ว ถ้าแม่ตอบหนูได้หนูก็จะทำอย่างที่แม่ต้องการ แต่หนูขอความจริงนะคะไม่ใช่การโกหกบอกว่ารักกันอย่างที่ผ่านมา เพราะหนูเชื่อไม่ลงจริงๆ”
เสียงเธอออกจะหยันเพราะภาพเมื่อคืนยังติดตาอยู่ ส่วนคนเป็นแม่ก็เหมือนน้ำท่วมปาก เพราะถ้าพูดออกไป รอยร้าวที่มีอยู่ก็จะขยายกว้างขึ้น และอาจจะทำให้เรื่องบางเรื่องที่ปิดบังไว้หลุดออกมา จึงตัดบทว่า “จะยังไงก็แต่แล้ว ตัดใจจากเขาเสียทุกอย่างจะได้ลงตัวเสียที และห้ามไปยุ่งวุ่นวายกับเขาทำเฉพาะเรื่องที่ฉันสั่งก็พอ น้องกำลังมีอนาคตที่ดี มีความสุข แกควรสนับสนุนน้องไม่ใช่คอยจะเป็นหอกข้างแคร่อยู่อย่างนี้”
คำนี้รุนแรงเหมือนมีดกรีดลงกลางใจ เสียงพูดจึงสั่นจนแทบจะระงับไม่ได้ “นอกจากหนูจะไม่ใช่ลูกรักแล้ว แม่ยังพูดเหมือนหนูไม่ใช่ลูก หรือแม่ลืมไปแล้วว่ายังมีเลือดของแม่อยู่ในตัวหนูครึ่งหนึ่ง”
“ฉันไม่เคยลืม”
“แต่ที่ผ่านมาแม่ก็ทำเหมือนลืม และถ้าลืมขึ้นมาจริงๆเมื่อไรบอกหนูด้วยนะคะ หนูจะกรีดเลือดก้อนนี้ออกไปเสียที”
“พรีมาดา” เสียงนางพรเพ็ญเค้นออกมาอย่างโกรธจัด “อย่ามาท้าทายฉัน”
“หนูไม่ได้ท้า แต่ที่ผ่านมาแม่ทำให้หนูเห็น หรือแม่ไม่ได้รู้สึก ถึงไม่ได้รู้ว่าหนูเจ็บ ที่เป็นลูกที่เหมือนไม่ใช่ลูกเพราะแม่ไม่รักไม่ต้องการ”
นางพรเพ็ญกำมือที่เกือบจะยกขึ้นตบหน้าลูกไว้แน่น ขณะที่น้ำตาของพรีมาดาก็เอ่อขึ้นมาเพราะความเสียใจ ก่อนจะจางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อข่มความขมขืนได้ “แค่นี้ใช่ไหมคะที่แม่จะพูดกับหนู อีกครึ่งชั่วโมงหนูจะไปรอที่รถค่ะ”
พูดจบเธอก็เดินผละไป ทิ้งให้คนเป็นแม่ยืนนิ่งอยู่กับความจริงที่นางจำเป็นต้องทำแล้วเชิดหน้าขึ้น หมุนตัวจะเดินกลับเข้าไปในตึก แต่เห็นคนเป็นแม่มองมาเสียก่อน สายตาที่มองมาบอกว่าได้ยินเรื่องที่พูดกันเมื่อกี้ นางไม่อยากจะเดินไปหาเพราะรู้ว่าต้องโดนตำหนิ แต่ก็ต้องไป
“ไม่รักแล้วไม่พูดอะไรให้ลูกเสียใจ ก็น่าจะดีนะ” นางเบญจาพูดขึ้นมาทันที
“เพ็ญจำเป็นต้องทำ”
“ความจำเป็นมันมีค่ามากกว่าความรักของลูกงั้นเหรอ ทุกวันนี้สายสัมพันธ์ทางสายเลือดของแกกับลูกก็แทบจะไม่มีอยู่แล้ว แล้วทำไมถึงทำให้มันห่าง มันกว้างออกไปอีก ลูกต้องการความรักความเข้าใจจากแก แต่สิ่งที่แกบอกว่าจำเป็นนั้นฉันมองว่าเป็นความเห็นแก่ตัว”
“ไม่จริง ที่เพ็ญทำทุกอย่างก็เพื่อแม่และยัยพรีม”
“แล้วแกเคยถามฉันกับยัยพรีมไม่ว่า ต้องการสิ่งที่แกทำอยู่หรือเปล่า”
“ถึงไม่ต้องการเพ็ญก็ต้องทำ”
“งั้นแกก็เลิกเอาฉันกับยัยพรีมไปอ้างเสียที เพราะลึกๆแล้วแกก็ทำเพื่อตัวเองนั่นแหละ”
นางพรเพ็ญรู้สึกเหมือนโดนหวดด้วยแส้ให้เจ็บปวดและทรมาน แต่ไม่จำใส่ใจเพราะยังยึดมั่นในความคิดของตัวเอง “แม่จะคิดยังไงก็แล้วแต่ แต่เพ็ญทำทุกอย่างๆที่บอกไปจริงๆ”
พูดจบนางก็หมุนตัวเดินไปที่ตึก ทิ้งให้นางเบญจามองตามไปด้วยความหนักใจที่ไม่อาจพูดให้ลูกเอาปมในอดีตมาทำร้ายตัวเองและลูกเสียที
********
ทายาทแห่งเพลิงพญายืนอยู่หน้าอาคารเด ม็อตต้า ความสูงตระหง่าน โอ่อ่าสวยงาม ท้าทายความโลภที่อยู่ในตัวคน เพราะเม็ดเงินจำนวนมหาศาลที่อยู่ในอาคารนี้ล่อตาล่อใจให้อยากจะครอบครอง แต่ลึกลงไปในความอยากยังมีความโหดร้ายแฝงอยู่ เพราะการแก่งแย่งแข่งขันถึงขั้นฆ่ากันได้ เพื่อกิเลสตัวเดียว
พรตดึงสายตากลับมา เมื่อนายมาเฟียหัวใจหญิงเดินมาหา หลังจากนำรถไปจอดเรียบร้อยแล้ว และพากันเดินตรงมาที่อาคาร โดยมีสายตาของหลายคู่มองอยู่ หนึ่งในนั้นคืออดัม ที่ยืนอยู่ตรงระเบียงของชั้นผู้บริหาร มือสองข้างซุกอยู่ในกระเป๋า ขณะสายตามองตามประธานคนใหม่ที่เดินตรงมาที่อาคาร แล้วยืดตัวขึ้นเล็กน้อย เมื่อได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินดังขึ้นข้างหลัง กระทั่งเสียงนั้นมาหยุดยืนอยู่ข้างๆ ก็เอียงหน้ามามอง
คนมาใหม่เปิดยิ้มทักทายให้เล็กน้อยก่อนจะทอดสายตามองลงไปข้างล่าง ภาพที่เห็นทำให้แววตาฉายความเจ้าเล่ห์ออกมา แต่ปากก็พูดว่า “คุณมาเช้ามากเลยนะครับ”
“เป็นธรรมดาของลูกจ้าง”
เดวิดยิ้มขำเล็กน้อย ก่อนจะบอกว่า “น่าชมเชยจริง แต่คุณไม่อยากเป็นนายจ้างบ้างเหรอ”
“ผมไม่ชอบเรื่องรกสมอง”
คำพูดไม่ยี่หระต่อสิ่งใดทำให้มีรอยหยันเกิดขึ้นในแววตาของเดวิด ขณะบอกว่า “คุณนี่ต่างจากคุณอเล็กซ์มากจริงๆ มิน่าม็อตต้าถึงได้ไปอยู่ในมือคนอื่น ถ้าเป็นผม ผมจะไม่มีทางยอมให้ของๆผมต้องตกไปเป็นของคุณอื่นเด็ดขาด”
“แต่ตอนนี้คุณก็ไม่ต่างจากผม ถึงจะไม่ได้เป็นเจ้าของ แต่ก็ถือหุ้นอยู่ไม่น้อยเหมือนกันไม่ใช่เหรอครับ”
เสียงของอดัมเรียบๆ แต่ทำให้เดวิดกำมือที่แนบอยู่ข้างลำตัวแน่น เพราะรู้สึกเหมือนโดนตอกหน้า “นั่นซินะ แต่ความรู้สึกมันต่างกัน เพราะผมแค่ผู้ถือหุ้น แค่ทีมบริหาร ไม่ได้เป็นเจ้าของเหมือนคุณ ถึงจะหลุดมือไปก็ไม่รู้สึกอะไรมากมาย แต่สำหรับคุณถ้าไม่คิดจะทำอะไรเลย ทรัพย์สินของตระกูลก็คงต้องสิ้นสุดลงเพียงแค่นี้ คุณจะยอมให้เป็นอย่างนี้เหรอ”
อดัมหมุนตัวมามองหน้าเดวิดที่ดูจะหวังดี แต่คำพูดฟังแล้วเหมือนประสงค์ร้าย ก็บอกว่า “ดูคุณจะเดือนร้อนแทนผมนะ”
“ก็นิดหน่อย” เดวิดยอมรับออกมาพลางยิ้มให้เหมือนเอ็นดูในความอ่อนของเขาเหลือเกิน “แต่เป็นเพราะผมหวังดีกับคุณจริงๆ อยากให้เก็บสิ่งดีๆไว้กับตัว ให้กับลูกกับหลานมากกว่าจะให้ใครที่ไหนก็ไม่รู้ว่าชุบมือเปิบไป แม้คนอื่นจะว่าเขาเป็นคนดี แต่อะไรๆก็ไม่ดีไปกว่าการที่เราได้เป็นเจ้าของมันเองหรอก คุณว่าจริงมั๊ย”
เดวิดทิ้งคำถามไว้แล้วยกมือขึ้นตบบ่าอดัมหนักๆ ก็เดินจากมาพร้อมรอยยิ้มที่สะใจอยู่ลึกๆ และถ้าเขาหันหลังกลับมามองก็จะได้เห็นว่าคำพูดเขาได้สร้างความสั่นคลอนให้อดัมไม่น้อย
*******
“สวัสดีครับท่านประธาน ยินดีต้อนรับสู่ม็อตต้า”
พรตหันไปมองคนที่ทักเขาทันทีที่เหยียบเข้ามาในอาคาร ซึ่งไม่ใช่ใครคือทนายกัสโซ่ ที่ยืนประสานมือกันไว้ข้างหน้า แววตาฉายความดีใจปนสงสัยใบหน้าที่ช้ำของประธานคนใหม่ ก่อนจะก้มหน้าให้เขาเล็กน้อย พรตยิ้มตอบพลางคิดว่าทนายความรุ่นเก๋าหูตากว้าง สมกับเป็นผู้ดูแลผลประโยชน์ให้ม็อตต้าจริงๆ
“ผมยังไม่ได้เป็น” พรตตอบอย่างสุภาพและให้เกียรติ
“แต่การที่คุณมาวันนี้ ผมถือว่าคุณเป็นแล้ว ขอบคุณที่ทำเพื่อพวกเราและคุณอเล็กซ์”
ไม่มีคำพูดปฏิเสธจากหลานชายของชีคอิลาอัลล์ ทนายกัสโซ่จึงยิ้มกว้างเพราะเป็นสัญญาณว่าไอ้หนุ่มคนไทยรับตำแหน่งนี้แล้วแน่นอน และหันไปมองฝรั่งร่างสูงที่ยืน พรตจึงแนะนำให้รู้จักเพียงสั้นๆว่า
“ไมค์ ญาติของผมครับ”
ทนายกัสโซ่ยิ้มให้พลางยื่นมือไปทักทาย ทั้งที่ในใจสงสัยว่าญาติกันยังไงถึงไม่มีความคล้ายคลึงกันเลย เชื้อชาติ รูปร่างหน้าตาก็ต่างกัน โดยเฉพาะสีผิวและเส้นผมบนหัว คนหนึ่งนั้นผิวขาวแถมหัวล้านด้วย อีกคนนั้นผิวสีแทนผมก็ดกดำสวย ไมค์ยื่นมือมาจับก่อนจะปล่อย โดยไม่มีความสงสัยว่าทำไมทายาทเพลิงพญาถึงแนะนำเขาอย่างนั้น เพราะตอนนี้เขาต้องดูแลแบบไม่ใช่ญาติก็เหมือนญาติอยู่แล้ว
“เชิญครับ ผมจะพาไปห้องทำงาน”
“ผมขอไปที่ห้องประชุม และกรุณาเรียกผู้บริหารทุกคนให้มาพบผมด้วย”
มีความแปลกใจฉายออกมาทางแววตาทนายกัสโซ่ แต่ก็ไม่พูดอะไร นอกจากทำตามคำสั่ง เช่นเดียวกับไมค์ที่เดินตามพรตไปอย่างเงียบๆ ไม่เกินหนึ่งชั่วโมงผู้ถือหุ้นทุกคนก็มาพบประธานคนใหม่ หน้าตาแต่ละคนดูจะพยายามเก็บกดความไม่พอใจไว้ เพราะถูกตามตัวมาแบบไม่ทันตั้งตัวนั่นเอง
พรตไม่ได้ดูว่าใครจะมีสีหน้าเป็นยังไง และใครจะสงสัยหน้าที่ช้ำของเขาบ้าง เพราะมีคนดูแทนเขาอยู่แล้ว เขาดูแค่เอกสารที่ทนายกัสโซ่ทิ้งไว้ให้เท่านั้น จนกระทั่งทุกคนนั่งลงเรียบร้อย สบตาทุกคน แล้วเริ่มงานโดยไม่มีการเกริ่นอะไรทั้งนั้น
“สวัสดีครับทุกคน เรารู้จักกันแล้วคงไม่ต้องแนะนำตัวกันอีก คราวนี้ก็มาว่าเรื่องงานที่สำคัญมากที่สุด ก็คือโครงการน้ำมันที่กำลังจะมีการประมูลเกิดขึ้นเร็วๆนี้ ผมรู้มาว่าก่อนหน้านี้มีการประชุมเก็บข้อมูลต่างๆไว้กันแล้ว จึงอยากรู้ว่าเรามีโอกาสคว้ามันมาได้แค่ไหน และมีใครเป็นคู่แข่งที่สำคัญบ้าง”
ทุกคนปรายตามองหน้ากัน เพราะคิดไม่ถึงว่าเจ้านายคนใหม่จะเปิดประเด็นได้แรงขนาดนี้ แถมคำพูดยังบอกให้รู้ว่าพอจะรู้อะไรมาบ้างเหมือนกัน แต่ยังไม่มีใครตอบคำถามนี้ เดวิดที่นั่งฟังอยู่ด้วยจึงเป็นคนตอบแทนทุกคน
“ก่อนหน้านี้ที่คุณอเล็กซ์ยังอยู่เรามีโอกาสสูง เรียกว่าเป็นเต็งหนึ่งที่จะได้มันมาอยู่ในมือ แต่พอคุณอเล็กซ์จากไป จากสูงสุดก็ลงมาต่ำสุด แทบจะไม่มีสิทธิเลยก็ว่าได้ ส่วนคู่แข่งที่สำคัญของเรา แน่นอนว่าคืออัลโตนิโอและอีกบริษัทที่กำลังมาแรงอย่างอีชากรุ๊ป เพราะมีความพร้อมทุกอย่างไม่ด้อยกว่ากัน”
“งั้นคุณช่วยหาข้อมูลของสองบริษัทนี้มาให้ด้วยก็แล้วกัน”
“ครับ แต่อัลโตนิโอคงไม่ต้องหา ถามคุณอดัมก็คงได้เพราะคงไม่มีใครรู้จักอัลโตนิโอได้ดีเท่ากับเขา”
“ทำไม” พรตถามพลางหันไปมองอดัมเหมือนสงสัย แต่ความจริงแล้วไม่ใช่ เพราะเขารู้ว่าม็อตต้าเกี่ยวข้องกับอัลโตนิโอยังไงจากนายมาเฟียแล้ว แต่อยากจะรู้ว่าใครคิดอะไรยังไงมากกว่า แต่ไม่มีคำพูดจากอดัม คนที่โยนกลองมาสร้างความกดดันจึงยิ้มอยู่ในใจ
ทนายกัสโซ่ที่เป็นผู้ดูแลตระกูลอยู่ จึงทำหน้าที่แทน “คุณอดัมเพิ่งหมั้นกับลูกสาวตระกูลอัลโตนิโอไปก่อนที่คุณอเล็กซ์จะจากไป ความสัมพันธ์ที่เกิดขึ้นทำให้หลายฝ่ายคาดว่าโครงการนี้จะอยู่ในมือของสองตระกูลแน่นอน แต่สุดท้ายก็เหลือแค่อัลโตนิโอ โดยมีอีชากรุ๊ปเป็นคู่แข่งสำคัญ เพราะเขาเป็นเจ้าของบ่อน้ำมันใหญ่ๆในทะเลทรายหลายแห่ง”
“แล้วทั้งสองตระกูลนี้ใครน่ากลัวกว่ากัน”
“ถ้ามองภาพรวมศักยภาพของทั้งคู่ก็ไม่ต่างกันเท่าไร” เดวิดอวดภูมิตัวเองออกมาเพื่อให้ประธานคนใหม่เห็นศักยภาพ “อัลโตนิโอนั้นเหนือกว่าเพราะกุมธุรกิจของเมืองครึ่งหนึ่งมาช้านาน และมีฐานเก่าแก่สนับสนุนอยู่มายมาย แต่อีชาก็ได้เปรียบในเรื่องประสบการณ์ด้านน้ำมันและบริษัทใหม่ๆที่รวมตัวกันเป็นฐานสนับสนุนเขา ก็ทำให้น่าลุ้นในเกมนี้”
“แล้วม็อตต้าละมีศักยภาพแค่ไหน”
“ก่อนหน้านี้เราเทียบเท่าอัลโตนิโอ แต่ตอนนี้เขาทิ้งเราไม่เห็นฝุ่น เพราะเราขาดผู้นำ”
“แต่ตอนนี้เราไม่ได้ขาดแล้ว ม็อตต้ามีผมเป็นผู้นำ และเราจะผงาดขึ้นมาอีกครั้ง”
*********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ
pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 ก.พ. 2558, 17:02:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 ก.พ. 2558, 17:02:58 น.
จำนวนการเข้าชม : 1898
<< ตอน 6 | ตอน 8 >> |
แว่นใส 13 ก.พ. 2558, 20:44:01 น.
หนอนบ่อนไส้ตัวใหญ่
หนอนบ่อนไส้ตัวใหญ่
Zephyr 18 ก.พ. 2558, 20:55:45 น.
อุ้บบบบ อรงอย่างเคย
อุ้บบบบ อรงอย่างเคย