คิวปิด...ตัวกวนป่วนรัก
เมื่อเทพคิวปิดถูกลดหน้าที่ให้เป็นแค่ ‘เทพเบ๊’ คิวปิดสาวจึงเร่งปฎิบัติกอบกู้ศักดิ์ศรี แต่ดันแผลงศรพลาด ทำให้ว่าที่เจ้าบ่าวตกหลุมรัก ‘พี่ชาย’ ของสาวคนรัก เรื่องป่วนๆ จึงเริ่มขึ้น !
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 4

เซเลน่าหันขวับไปทางเสียง จึงเห็นร่างสูงใหญ่กำลังก้าวฉับๆ ผ่านสนามหญ้ามุ่งหน้ามาที่หล่อน ด้วยท่าทางยกมือขึ้นเหนือคิ้วป้องแสงแดดที่ส่องกระทบดวงตา ทำให้คิวปิดสาวมั่นใจว่ารักษิตยังไม่เห็นหล่อน ดังนั้นหล่อนจึงรีบชักปลายนิ้วกลับ ร่างของเจ้าลักกี้ก็หล่นลงพื้นดังตุ้บ !

“เอ๋ง !” นั่นเป็นเสียงร้องของลักกี้ที่รักษิตได้ยิน ชายหนุ่มวิ่งเลี้ยวผ่านซุ้มต้นแก้วขนาดใหญ่ ถึงพบลักกี้นอนนิ่งอยู่บนพื้นใกล้กับอ่างบัว

“ลักกี้/คุณลักกี้ !” รักษิตร้องออกมาเกือบจะพร้อมกับเซเลน่าในสภาพน้องเอแคร์ดังเดิมที่วิ่งโผล่มาจากหลังอ่างบัว ทั้งสองปราดเข้าไปหาลักกี้พร้อมกัน

“ลักกี้ แกเป็นอะไรไป” รักษิตถามทั้งที่รู้ว่าเจ้าลักกี้คงตอบคำถามเขาไม่ได้ สายตาของเขาจึงมองสำรวจไปทั่วร่างของมันเพื่อหาร่องรอยบาดแผล

“คุณลักกี้เจ็บมากหรือเปล่า ฉันขอโทษนะ” ด้วยความห่วงใยและสำนึกผิดทำให้เซเลน่าลืมไปว่าเจ้าของลักกี้นั่งอยู่ใกล้ๆ

“คุณทำอะไรหมาผม”

“เอ่อ...ฉัน ฉัน” เซเลน่าอึกอัก

“ผมถามว่าคุณทำอะไรหมาผม !” รักษิตถามเสียงเข้ม ทำเอาคิวปิดสาวตัวลีบ

“โอ๊ย...อูย...บอกนายรักไปว่ากระผมกระโดดไล่จับนก คุณคิวปิดก็เลยห้ามก็ได้ขอรับ”

เซเลน่าพยักหน้ารับแล้วหันไปบอกเจ้าของดวงตาคมทรงอำนาจ “เมื่อตะกี้คุณลักกี้ไล่จับนกกิน...”

“ไม่กินขอรับ จับเฉยๆ”

“นั่นแหละ จับเฉยๆ ฉันจะห้ามมัน มันก็เลยตกใจกระโดดพลาดหล่นลงมากระแทกพื้น” ประโยคหลังเซเลน่าแต่งเรื่องขึ้นมาใหม่เอง

นิสัยชอบกระโดดไล่จับนกจนล้มชนข้าวของเสียหายของลักกี้เป็นเรื่องที่สร้างความปวดหัวให้เขาอยู่เป็นนิจ ดังนั้นชายหนุ่มจึงไม่ติดใจกับคำบอกเล่าของหญิงสาว

“เป็นไง ซนจนได้เรื่องอีกแล้วนะเรา” รักษิตเขย่าหัวของลักกี้แรงๆ เหมือนเช่นทุกครั้งเวลาเขาตำหนิมัน “เจ็บมากหรือเปล่า ไปให้หมอเมษฉีดยาสักหน่อยดีไหม”

ลักกี้รีบลุกขึ้นกระโดดไปมาให้เจ้านายเห็นว่าตัวเองไม่เป็นอะไร โลกนี้นอกจากนายรักแล้ว ก็มีแต่เข็มฉีดยาของหมอเมษสัตว์แพทย์ที่มีร้านอยู่หน้หมู่บ้านเท่านั้นที่ลักกี้กลัว “แฮะๆ ลักกี้ไม่เป็นอะไรขอรับ เห็นไหม ลักกี้สบายดี”

“โอเคๆ ฉันเชื่อแล้วว่าแกไม่เป็นอะไร” รักษิตยิ้มเอ็นดู ก่อนหันมาเห็นว่าหญิงสาวกำลังกลั้นยิ้ม จึงถาม “คุณออกมาทำอะไรตรงนี้”

“ฉันออกมาเล่นกับคุณลักกี้”

“แน่ใจนะว่าออกมาเล่นกับลักกี้ ไม่ได้ออกมาเดินสำรวจอะไร” ดวงตาคมจ้องหญิงสาวอย่างจับผิด

“คุณคิดว่าข้าจะสำรวจอะไรล่ะ” เซเลน่าย้อนถามอย่างไม่เข้าใจ

“ผมไม่รู้” รักษิตก้าวเข้าไปใกล้หญิงสาว “แต่ที่ผมรู้และผมอยากให้คุณรู้เอาไว้ด้วย ว่าผมรักน้องสาวผมมาก ถ้ามีใครที่คิดไม่ดีหรือทำให้น้องสาวผมเสียใจ ผมไม่ปล่อยไว้แน่”

-----------------------------------------------------------------

ตีสามกว่าแล้ว แต่รักษิตยังนั่งดูตัวอย่างการ์ตูนเอนิเมชั่นเรื่อง “นิล” ซึ่งเป็นเรื่องราวของเจ้าแมวสีดำมะเมื่อมชื่อนิล นิลเกิดมาท่ามกลางพี่น้องแมวสีขาวสวยงามทั้งหมด นิลจึงเปรียบเสมือนเป็นแกะดำของครอบครัว แต่นิลเป็นแมวนิสัยดี ซื่อสัตย์ ทำให้นิลกลายเป็นที่รักของทุกคน

รักษิตแต่งเรื่องและสร้างขึ้นมาเองทั้งหมด โดยได้แรงบันดาลใจจากลูกแมวสีดำมะเมื่อมเช่นเดียวกับเจ้านิลที่เขาสามคนพี่น้องช่วยพามันลงมาจากต้นไม้และประคบประหงมดูแลมันจนเติบโต ความน่ารักนิสัยดีของมันทำให้พวกเขารักมันมาก รักพงษ์ถึงขนาดแต่งตั้งให้มันเป็นน้องชายคนสุดท้อง และมันก็ตายจากไปเพราะตรอมใจหลังจากคุณพ่อคุณแม่เสียชีวิตได้ไม่นาน ยิ่งสร้างความเสียใจให้ตัวเขาและน้องๆ รักษิตจึงหาสัตว์เลี้ยงตัวใหม่และโชคดีมากที่ได้ลักกี้ลูกสุนัขลายจุดมาจากบ้านเพื่อน

รักษิตใช้เวลาทุ่มเททำงานชิ้นนี้มานานกว่าสามเดือนเพียงเพื่อจะได้ตัวอย่างการ์ตูนเอนิเมชั่นหนึ่งนาทีที่ดีที่สุดไปเสนอสถานีโทรทัศน์ที่ต้องการจะนำการ์ตูนที่มีเนื้อหาส่งเสริมคุณธรรมออกอากาศช่วงเวลาเย็น ถ้าเสนองานชิ้นนี้ผ่าน มันไม่ได้หมายถึงรายได้ต่อเนื่องที่เขาตั้งใจจะเก็บเอาไว้เผื่อว่ารักพงษ์อยากเรียนต่อปริญญาโทไม่ว่าจะที่เมืองไทยหรือเมืองนอกก็ตาม แต่สิ่งที่สำคัญคือเขาหวังจะให้น้องๆ ได้รำลึกถึงช่วงเวลาแห่งความสุขในวัยเยาว์ที่พวกเขาเคยมีร่วมกัน เผื่อว่าความสุขเล่านั้นจะช่วยประสานรอยร้าวที่เกิดขึ้นกับพวกเขาได้บ้าง

ภาพตัวอย่างการ์ตูนดำเนินมาถึงตอนจบ รักษิตยิงรีโมทกดปุ่มหยุด ทุกอย่างเสร็จครบหมดแล้ว ทั้งตัวอย่างและเอกสารนำเสนอ วันมะรืนนี้ก็พร้อมนำไปเสนอแล้ว
เสียงโทรศัพท์มือถือดังขึ้น รักษิตแปลกใจ ไม่คิดว่าจะมีใครกล้าโทรมาหาเขาตอนดึกขนาดนี้ เมื่อหยิบโทรศัพท์ขึ้นมองหน้าจอ ถึงเห็นชื่อเพื่อนสนิทที่เดินทางไปคุยงานที่ต่างประเทศปรากฏอยู่

“ไง ถึงญี่ปุ่นหรือยัง” รักษิตทักทายปลายสายทันทีที่กดรับ มือก็หยิบแผ่นซีดีออกจากเครื่อง เก็บใส่ซองไปด้วย

“เพิ่งจะถึง พอลงจากเครื่องปุ๊บฉันก็โทรหานายเลย นายนอนหรือยัง ฉันโทรมากวนนายหรือเปล่า”

“ยังหรอก ว่าแต่มีธุระอะไรด่วนหรือเปล่า ถึงต้องรีบโทรมา”

“จะโทรมาถามเรื่องผู้หญิงคนนั้น ว่าเป็นยังไงบ้าง”

“ยังไม่มีอะไรหรอก แต่ฉันก็คอยจับตาดูอยู่ตลอด ถ้าหลักฐานว่าเธอเป็นพวกสิบแปดมงกุฎล่ะก็ ฉันไม่ปล่อยไว้แน่”

“ดีแล้วแหละ ระวังตัวด้วยล่ะ ประตูบ้านล็อคให้ดี เผื่อผู้หญิงคนนั้นเป็นพวกนกต่อให้พวกของมันเข้ามางัดบ้านนาย”

“อืมม์ งั้นนายมีอะไรอีกหรือเปล่า วางสายเหอะ โทรทางไกลมันแพง เก็บค่าโทรเอาไว้โทรหาน้องสาวฉันดีกว่า”

“ไม่เป็นไรนิดหน่อยเอง”

“แต่ฉันจะไปนอนแล้ว”

“คุยต่ออีกสักนิดไม่ได้เหรอวะ ไม่รู้ทำไม อยู่ดีๆ ก็อยากคุยกับนายชะมัด”

“มีปัญหาอะไรหรือเปล่า”

“ไม่มี แค่อยากคุย อยากได้ยินเสียง”

“นายนี่มาแปลก” รักษิตเข้าใจว่าภูมิล้อเล่นจึงไม่ถือสาอะไร

เสียงเครื่องยนต์รถดังมาแต่ไกลก่อนหยุดที่หน้าบ้าน ตามด้วยเสียงชายหนุ่มหัวเราะเฮฮาเสียงกันกันอย่างไม่เกรงใจชาวบ้านที่นอนหลับพักผ่อนกันอยู่ หัวคิ้วของรักษิตก็ขมวดมุ่น เมื่อจำได้ว่าหนึ่งในเสียงหัวเราะนั้น มีเสียงของน้องชายเขาร่วมอยู่ด้วย จึงตัดบทปลายสายว่า

“แค่นี้ก่อนนะภูมิ ฉันไปจัดการเจ้าพงษ์ก่อน”

----------------------------------------------------------------------------

เสียงรถยนต์เคลื่อนห่างออกไป รักพงษ์ก็เข้ามาในบ้านพร้อมสะพายกระเป๋าเป้คู่ใจและกีตาร์ใหม่เอี่ยมอ่อง ชายหนุ่มมีรูปร่างสูง แต่ไม่สง่าเท่าพี่ชาย หน้าตาคมเข้ม ดวงตายาวรีภายใต้คิ้วหนามีประกายความดื้อรั้นอย่างชัดเจน

“ทำอะไรหัดเกรงใจบ้านอื่นบ้างสิ นี่มันตีสามแล้วนะ” รักษิตที่ยืนคอยอยู่แล้วเอ่ยขึ้นทันทีที่น้องชายปิดประตูบ้านสนิท

รักพงษ์ยืดตัวตรง ทำท่าตะเบ๊ะแบบทหารอย่างยียวน “ขอโทษครับผม ! ต่อไปนี้หลังเที่ยงคืนกระผมจะไม่ส่งเสียงดังอีกแล้วครับผม !”

แต่อีกฝ่ายไม่ตลกด้วย กลิ่นเหล้าบนตัวรักพงษ์ลอยเตะจมูก ยังผลให้ใบหน้าคมเข้มของพี่ชายตึงขึ้นมาฉับพลัน

“กินเหล้ามาอีกแล้วเหรอ กะจะกินให้เป็นตับแข็งกันไปข้างเลยหรือไง”

“แหม...พี่รักอย่าบ่นหน่อยเลยน่า ผมก็แค่กินเครียดนิดๆ หน่อยๆ ทำโปรเจ็กต์แล้วมันโค-ต-ร เครียดเลย” รักพงษ์หมายถึงงานชิ้นสุดท้ายที่ต้องทำก่อนจบ

“ไม่มีวิธีแก้เครียดที่มันสร้างสรรค์กว่านี้หรือไง แล้วไปเอากีต้าร์ใครมา”

“ของผมเอง เพิ่งถอยมาใหม่ เจ๋งเปล่า”

“ไปเอาเงินจากไหนมาซื้อ ท่าทางไม่ใช่ถูกๆ ด้วย”

“เงินเก็บของผมสิ เก็บมาตั้งแต่เรียนม.ปลาย กว่าจะได้เหงือกแทบแห้ง”

“ดีแล้ว พงษ์จะได้รู้จักความอดทน แล้วพี่ว่าเล่นกีต้าร์แก้เครียดก็ยังดีกว่าพากันไปกินเหล้า เพื่อนพงษ์ยิ่งชอบขับรถเร็วๆ กันอยู่ด้วย อันตราย”

“ตายก็ดี จะได้ไม่ต้องทำโปรเจ็กต์ไรนี่แล้ว น่าเบื่อชะมัด” รักพงษ์พูดออกไปโดยไม่คิดอันเกิดจากฤทธิ์แอลกอฮอล ทว่าคำพูดนั้นกลับไปจี้จุดรักษิตเข้าอย่างจัง

“พงษ์ !” ผู้เป็นพี่ชายกระชากคอเสื้อโปโลของน้องชาย “วันหลังอย่าพูดอย่างนี้อีก”
รักพงษ์ตกใจ หากพอเห็นดวงตาวาวโรจน์ของผู้เป็นพี่ชายที่ไม่บ่อยนักที่เขาจะเป็นเช่นนี้ก็เข้าใจ และ “พอใจ” ที่เห็นเขาเป็นเช่นนั้น

รักพงษ์คว้าข้อมือสองข้างของพี่ชายแล้วดึงออกจากปกคอเสื้อ กระตุกยิ้มที่มุมปาก

“ทำไมผมจะพูดไม่ได้ ความตายเป็นเรื่องธรรมดา ใครทุกคนก็ต้องตายทั้งนั้น พ่อกับแม่เรายังตายเลย”

ขณะเอ่ยรักพงษ์มองลึกเข้าไปในดวงตาของพี่ชาย ราวกับจะให้คำพูดจากปากของเขาทะลวงลึกเข้าไปกัดกร่อนหัวใจของอีกฝ่ายให้สาแก่ใจกับความสูญเสียที่เขาต้องประสบมาตลอดสิบปี

--------------------------------------------------------------------

รักพงษ์โยนกระเป๋าเป้และกีตาร์ใหม่ลงบนเตียงทันทีที่ก้าวเข้ามาในห้อง

“โธ่โว้ย !” เขาคว้าหุ่นยนต์ประกอบที่ตั้งอยู่บนโต๊ะท่ามกลางหนังสือที่ตั้งเรียงอย่างเป็นระเบียบด้วยฝีมือการจัดของรักษิยาขึ้นเหนือหัว ตั้งท่าจะปาลงพื้นระบายอารมณ์โมโหที่ลุกโชนลงพื้น หากนึกได้ว่าไม่ควรทำให้พี่ชายจับได้ว่าเขารู้สึกอย่างไร จึงเปลี่ยนใจปาหุ่นยนต์ลงบนเตียงแทน อย่างน้อยมันก็ไม่ส่งเสียงดังมากนัก

เป็นเช่นนี้ทุกครั้ง รักพงษ์อยากจะหาเรื่องสร้างความเจ็บปวดให้พี่ชาย หากพอทำไปแล้ว เขาไม่อาจรู้ได้เลยว่าพี่ชายจะรู้สึกอย่างไร เพราะฝ่ายนั้นสามารถนิ่งเฉยได้อย่างน่าเหลือเชื่อ แต่เขาเองที่จะต้องเจ็บปวดกับการกระทำของตัวเอง
พลันหันไปเห็นสมุดไดอารี่เล่มเล็กสีชมพูที่โผล่พ้นออกจากกระเป๋าเป้ เพียงนึกถึงใบหน้าของเจ้าของ ความโมโหในใจก็ถูกแปรเปลี่ยนเป็นความชุ่มชื่นอย่างที่เขาไม่เคยรู้สึกมาก่อนในชีวิต

เขายังจำวันแรกที่ได้พบกับหล่อนได้ดี วันนั้นเขารู้ว่าพี่ชายและพี่สาวจะอยู่ที่ร้านเวลดิ้งจึงจะแวะเข้าไปดูพี่สาวคนสวยลองชุดเจ้าสาวและจะได้กลับบ้านพร้อมกัน พอถึงหน้าร้าน เขาเห็นหญิงสาวกำลังคุยโทรศัพท์ใบหน้ารูปหัวใจ ผิวขาวผ่องตัดกับผมดำมันขลับ ดวงตาเรียวเล็กปลายชี้ขึ้นเล็กน้อย ปากนิดจมูกหน่อยตามสไตล์สาวเชื้อสายจีน หล่อนไม่ได้เป็นผู้หญิงสวยจัด หากอะไรบางอย่างบนใบหน้านั้นทำให้เขารู้จักกับคำว่า
‘รักแรกพบ’

เขารู้ตัวว่ายืนอึ้งอยู่นาน จนกระทั่งจ้อนเพื่อนสนิทบังเอิญขับรถผ่านมา จ้อนเลยลากเขาขึ้นรถไปดื่มฉลองที่มันเสนอผลงานกับอาจารย์สุดโหดผ่าน เขาลังเลอยู่สักพัก แต่เนื่องจากถนนตรงนั้นเล็ก จ้อนจอดรถเรียกเขาก็ทำให้การจราจรติดขัด เขาจึงต้องยอมขึ้นรถไปกับจ้อนอย่างตัดใจ คิดว่าถ้าโชคชะตาหรือพรหมลิขิตบันดาลให้เขาได้พบกับหญิงสาวอีกครั้ง เขาจะไม่ยอมให้หล่อนหายไปจากชีวิตอีกเลย
จนกระทั่งวันนี้ตอนสี่ทุ่มที่ผับประจำของเขาและเพื่อนๆ เขาก็ได้รู้ว่า...คำภาวนาของเขาเป็นจริง เมื่อหญิงสาวเจ้าของใบหน้ารูปหัวใจก้าวเข้ามาในร้านพร้อมกับหญิงสาวอีกสามคน

รักพงษ์แอบนั่งมองหญิงสาวอยู่หลายชั่วโมง รอยยิ้มและท่วงท่าเคลื่อนไหวที่เปี่ยมไปด้วยความมั่นใจทำให้หัวใจของเขาเต้นแรง ที่ผ่านมาไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยมีคนรัก แต่ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้เขาหลงใหลทั้งที่ยังไม่รู้จักชื่อได้มากเท่านี้มาก่อน
รักพงษ์นั่งมองหญิงสาวอยู่เนิ่นนานจนใกล้เวลาร้านปิด เขารวบรวมความกล้าเข้าไปทำความรู้จักกับหล่อน แต่สิ่งที่ได้รับกลับมาคือการเมินเฉย หนำซ้ำหล่อนยังเดินหนีเขาอีกด้วย แล้วด้วยความรีบร้อนทำให้หญิงสาวสะดุดรองเท้าส้นสูงปรี๊ดของตัวเองจนล้มลงไปกองกับพื้น พอลุกขึ้นมาได้หล่อนก็รีบจ้ำอ้าวนำเพื่อนๆ ออกไปจากร้าน เขากำลังจะตามไป แต่เห็นสมุดไดอารี่สีชมพูของหญิงสาวตกอยู่ที่พื้น รักพงษ์ตั้งใจเก็บสมุดเอาไว้ก่อน เพราะรู้ว่ามันจะเป็นตัวเชื่อมให้เขาได้ทำความรู้จักกับหล่อน มากกว่านี้ เนื่องจากในสมุดมีทั้งรูป เบอร์โทรศัพท์ อีเมล์ของหญิงสาวเขียนอยู่
ชายหนุ่มทิ้งตัวลงบนเตียง พลิกเปิดปกหนังสีชมพูหวานเผยให้เห็นรูปเจ้าของที่ยืนถ่ายหน้าหอนาฬิกาบิ๊กเบน ดวงตายาวรีจับจ้องใบหน้ารูปหัวใจอยู่สักพักก่อนเคลื่อนสายตาลงมายังใต้ภาพที่มีตัวหนังสือภาษาอังกฤษเขียนด้วยลายมืออ่านได้ว่า...

ดาลัด จงไพศาล

************************************************

ปล. ตอบคุณ PAT ขอบคุณนะคะที่ติดตามอ่านกัน ติดตามกันต่อไปนะคะ ^^

คุณเบญจามินทร์ - ฝากลักกี้ไว้ในดวงใจน้อยๆ ด้วยนะคะ



สาธิตา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 10 ก.ค. 2554, 20:12:42 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 ก.ค. 2554, 20:13:31 น.

จำนวนการเข้าชม : 1434





<< ตอน 3   ตอน 5 >>
เบญจามินทร์ 11 ก.ค. 2554, 08:58:59 น.
สิ่งที่เอแคร์ทำ เริ่มทำงานเข้าพี่รักแล้วสินเนี่ย


Pat 11 ก.ค. 2554, 09:31:11 น.
นึกว่าจะถูกเห็นซะแล้วสิ รักพงษ์โกรธอะไรพี่ชายล่ะนั่น


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account