บทเรียน (รัก) นอกตำรา
นพมัลลี นักศึกษาฝึกสอนที่จบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน

นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก

แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้

มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่

Tags: นพมัลลี ตุนท์ คมิก พิชญ์ปรีชา

ตอน: บทที่ 1 : วันแรกพบ

บทที่ 1

โรงเรียนร้าง?

นัยน์ตาคมเขม้นมองโรงเรียนที่ปราศจากรถของคณาจารย์อย่างแปลกใจ ตามกำหนดการของโรงเรียนมัธยมส่วนใหญ่ พวกเขาเปิดเทอมกันไปจวนจะหมดแล้ว แต่โรงเรียนเอกชนแห่งนี้กลับไม่สะทกสะท้าน ใช้โควตาวันหยุดต่อเทอมที่โรงเรียนจะขอได้ทำเรื่องพาครูไปสัมมนายังยุโรปกว่าค่อนโรงเรียน

เป็นโรงเรียนที่รวยไม่บันยะบันยังเสียจริง ตุนท์นึกหยันกับระบบการศึกษาที่แม่ของเขาซึ่งดำรงตำแหน่งผู้อำนวยการโรงเรียนสุดแสนจะภาคภูมิใจ

โรงเรียนพิชญ์ปรีชา เป็นโรงเรียนที่ปู่และพ่อของเขาร่วมกันสร้างขึ้นมาเมื่อสี่สิบปีก่อน จากพื้นที่เล็กๆ หนึ่งไร่หลังบ้านที่สมัยก่อนคนแถวนี้ยังนิยมปลูกผัก ทำไร่ทำนา พวกท่านเล็งเห็นว่าการศึกษาเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับทุกคน เพราะทั้งปู่ และพ่อของเขาล้วนจบมาจากต่างประเทศกันแทบทั้งสิ้น จึงริเริ่มคิดสร้างโรงเรียน เพื่อจะได้วางแผนการสอนขึ้นมาเองได้

โรงเรียนค่อยๆ สร้างชื่อ มีนักเรียนจบไปแล้วได้เข้าเรียนต่อในคณะที่ดีๆ หรือจะมีลู่ทางไปเรียนต่อต่างประเทศก็ไม่น้อย ใครๆ ต่างก็กระหายอยากมาเรียนที่นี่ ด้วยค่าเรียนที่ไม่แพงเกินไป และการเรียนการสอนที่มีประสิทธิภาพ จนกระทั่งพ่อและปู่ของเขาจากไปจากโลกนี้ด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์ตอนที่กำลังกลับมาจากสนามบินจากการสัมมนาการศึกษาที่อเมริกา แม่ของเขาจึงสู้รบกับบรรดาญาติโกโหติกาในครอบครัว ช่วงชิงโรงเรียนนี้มาไว้ในครอบครอง ปกป้องสิทธิ์ที่แม่ย้ำอยู่เสมอว่า

‘แม่รักษาโรงเรียนนี้ไว้ให้ลูก มันเป็นสมบัติของเรา’

ช่วงสิบปีที่ผ่านมานี้ ค่าเทอมในโรงเรียนปรับสูงขึ้น คนนอกต่างขนานนามว่าที่นี่ไม่ต่างจากอะไรกับโรงเรียนลูกคนรวย ถึงจะไม่ใช่ขนาดโรงเรียนนานาชาติ แต่โรงเรียนแห่งนี้ก็ยังมีค่าเรียนสูงกว่าโรงเรียนรัฐบาลทั่วไปสามถึงห้าเท่า ตึกภายในโรงเรียนค่อยๆ ปรับปรุงจนหรูหรา ทัศนียภาพในโรงเรียนก็สวยงามกว่าสมัยที่พ่อและปู่ดูแล แต่น่าเสียดายที่ทางด้านวิชาการกลับไม่ประสบความสำเร็จเหมือนแต่ก่อน เด็กที่เข้ามาเรียนที่นี่กลายเป็นแฟชั่น มากกว่ามุ่งเน้นผลความสำเร็จของตัวเอง ไม่ได้เรียนมหาวิทยาลัยในไทยก็ไปต่อต่างประเทศให้สิ้นเรื่องราวไป

ตุนท์ลงจากรถราคาแพงเจ็ดหลักของตัวเองมายืนในลานปูนของโรงเรียนที่ปูตัวหนอนอย่างดีด้วยสายตาเฉื่อยชา ความสะดวกสบายในโรงเรียนนี้ขัดกับหลักการศึกษาที่เขามีพ่อและปู่ปลูกฝังมาแต่เด็กโดยสิ้นเชิง เด็กสร้างชื่อให้กับโรงเรียน หรือที่เรียกว่าหัวกะทินั้นก็มาจากการสอบเข้าเพียงห้องเรียนเดียว

ตึกสีครีมหกชั้นสูงตระหง่านเบื้องหน้าเขาเป็นตึกแรกในโรงเรียนที่เขาเคยร่ำเรียนมาจนจบชั้นมัธยมหก บัดนี้มีตึกข้างๆ สี่ชั้นมาเชื่อมต่อ ไหนจะส่วนของโรงยิมที่ตั้งอีกข้างของโรงเรียน ซึ่งแม่ของเขาแสนจะภูมิใจกับสระว่ายน้ำที่มีความยาวยี่สิบห้าเมตร

ทายาทหนุ่มไม่เห็นพวกสุนัขภายในโรงเรียนมาเดินกระดิกหางเหมือนสมัยที่เขาเรียนอีก ต้นไม้ใหญ่หลายต้นถูกตัดแต่งกิ่งจนเหลือแค่ต้น ไม่ให้เขาได้เห็นใบเขียว ในขณะที่เขาคิดว่าโรงเรียนนี้จำเป็นต้องมีอะไรให้ปรับปรุงบ้าง เสียงบ่นของคนๆ หนึ่งที่นั่งหันหลังทำงานอยู่ตรงโต๊ะม้าหินใต้ต้นไม้ไม่ไกลจากเขาดังเรียกความสนใจเขาเสียก่อน

“โรงเรียนจะเปิดอยู่รอมร่อ โรงเรียนนี้กลับมีความสุข เอาเงินไปใช้เที่ยวยุโรป สร้างความสุขให้ตัวเอง โรงเรียนมันถึงได้ไม่พัฒนา เด็กที่นี่ที่เข้ามาเรียนก็เข้ามาด้วยเงิน ไม่ใช่ด้วยความสามารถ แย่จริงๆ”

ตุนท์หยุดยืนอยู่ข้างหลังเจ้าของผมหางม้ายาวจรดกลางหลัง กอดอกรอฟังสิ่งที่เธอจะพูดพร่ำบ่นออกมา โดยไม่รู้ว่ามีคนแอบฟังเพื่อเก็บข้อมูล ต้องขอบคุณหูฟังที่เจ้าหล่อนใส่ปิดหูเสียบฟังเพลงจากคอมพิวเตอร์ในเวลานี้สินะ

“หวังว่าที่นี่จะไม่รวมคนใจร้ายเหมือนโรงเรียนเก่าหรอกนะ” นพมัลลีบ่นอย่างหงุดหงิด มือกดบันทึกแผนการสอนของเทอมนี้ที่เธอเพิ่งนั่งทำจนเสร็จ หญิงสาวถอนหายใจด้วยความกลัดกลุ้ม แต่ยังเปี่ยมด้วยความหวัง

“ไม่ว่าโรงเรียนจะมีสภาพแวดล้อมย่ำแย่ยังไง ฉันต้องผ่านไปให้ได้”

เลขาหนุ่มที่จะมาดูแลเขาในการทำงานที่นี่เพิ่งเดินลงมาจากตึก เพียงแค่เขาจะอ้าปากส่งเสียงดังเรียกมา ตุนท์กลับถลึงตาสั่งห้าม ยกนิ้วชี้แตะปากตัวเองเป็นสัญญาณบอกให้เงียบ เขาค่อยๆ เดินจากนักศึกษาฝึกสอนคนใหม่ของโรงเรียนไปเพื่อไม่ให้เจ้าหล่อนรู้ตัวว่าเขาแอบฟัง

“ดีใจที่เจอดร.ตุนท์นะครับ” ทวีดันแว่นบนหน้าให้เข้าที่ ก้มหน้า ส่งมือเตรียมทักทายตามตะวันตก เพราะคิดว่าตุนท์ไปศึกษาที่ต่างประเทศมานานอาจคุ้นเคยกับการทักทายทางนั้น

“ไม่ต้องมากพิธีครับ ผมต่างหากที่ต้องขอให้คุณช่วยสอนงานให้” เขานึกถึงนักศึกษาฝึกสอนหญิงเบื้องหลังที่แสดงออกว่ามีความคิดสวนทางกับแม่เขาแล้วต้องยิ้มถูกใจ “ผมขอดูงานตลอดเทอมนี้นะครับ เป็นผู้สังเกตการณ์”

“ได้ครับ”

“และไม่ขอเปิดเผยตัว ว่าผมเป็นลูกของคุณตุลานะครับ”

“อะไรนะครับคุณตุนท์!”

ทวีจำต้องวิ่งตามเจ้านายเข้าไปในตัวตึก หน้าตาซีดเผือด ไม่รู้จะบอกกล่าวกับตุลาซึ่งวางแผนเปิดตัวลูกชายหัวแก้วหัวแหวนอย่างยิ่งใหญ่ในวันเปิดเทอมที่จะถึงนี้อย่างไรในเมื่อลูกชายยังไม่ขอใช้สิทธิ์นั้นในตอนนี้


สตรีวัยหกสิบผิวขาวสว่าง ผมหยิกลอนนั่งหลังตรงสง่าเป็นประธานโต๊ะอาหารสิบที่นั่ง มือยกแก้วน้ำชาขึ้นจิบเพื่ออำพรางอาการเบะปาก และการปรายตามองเหยียดไปยังแขกที่ไม่ได้รับเชิญที่มาเสนอหน้าในบ้านหลังนี้ คนนั้นนั่งอยู่ทางฝั่งซ้ายของนาง คือผู้หญิงตัวเล็กแต่งชุดนุ่งสั้นแม้ในวัยสี่สิบตอนปลาย นิ้วมือกรีดกรายแตะไหล่เด็กหนุ่มลูกครึ่งผมบลอนด์อายุไม่เกินสิบแปด เอ่ยอย่างภาคภูมิใจ

“บลินด์กลับมาแล้ว คุณน้องเลยอยากจะขอคุณพี่ให้รับตาบลินด์เข้าเรียนในโรงเรียนด้วยค่ะ”

“ผมจะตั้งใจเรียนครับคุณป้า”

สำเนียงไทยชัดจากปากหนุ่มตาสีมรกตทำให้คนเป็นป้าเมินเฉยไม่ได้มาก ถึงเธอจะหมั่นไส้น้องสาวต่างพ่อที่ชอบอวดเบ่งเอาชื่อเธอไปออกหน้าทำเรื่องต่างๆ ทั้งที่ตัวเองไม่ได้มีสิทธิ์แบ่งอะไรกับโรงเรียนพิชญ์ปรีชาเลยนั้นจะทำให้เธอขุ่นเคือง และเหม็นขี้ลินดาสุดกำลัง แต่หลานชายเธอไม่เกี่ยวอะไรกับการเหม็นขี้หน้าของผู้ใหญ่ด้วย

“ขอให้จริงเถอะพ่อคุณ โรงเรียนฉันไม่ใช่โรงเรียนกระจอกๆ ที่จะเดินเข้าเดินออกง่ายๆ ถ้าเรียนไม่ดี จะทำให้เสียชื่อมาถึงฉัน จำไว้เสียล่ะ”

บลินด์ยิ้มแหย สบตากับมารดาที่ย่นจมูกขัดใจกับการถูกปรามาสจากตุลา ราวกับว่าป้าเขารับรู้วีรกรรมสุดเตลิดของเขาที่บ้านเกิดของพ่อ ถ้าหากว่าพ่อกับแม่ไม่เลิกกันเสียก่อน เขาเองก็คงจะใช้ชีวิตโลดโผนอิสระที่นั่นต่อไปได้ ไม่ใช่ถูกลากกลับมาพร้อมแม่ ปรับตัวใหม่ในบ้านเกิดท่านอย่างนี้

“ผมจะจำไว้ครับ” บลินด์ต้องแสร้งนอบน้อมทั้งที่ในใจเขาคิดว่าจะสร้างวีรกรรมอะไรในโรงเรียนใหม่บ้าง

“ว่าแต่ น้องได้ยินว่าคุณพี่ให้หลานตุนท์มาช่วยบริหารแล้วเหรอคะ” ลินดาจีบปากจีบคอกล่าว

ตุลาวางแก้วลงที่วาง หน้าตาบอกบุญไม่รับ เธออยากให้ลูกเปิดตัวในฐานะผู้บริหารวันนี้วันพรุ่ง แต่ฝ่ายนั้นกลับยังบ่ายเบี่ยง

“อีกไม่นานหรอก” นึกถึงบทสนทนาเมื่อวานนี้แล้วตุลาก็ได้แต่ขุ่นเคืองใจเพิ่มเท่านั้น


‘ผมขอปฏิเสธครับ อย่างน้อยๆ ก็เทอมหนึ่ง’

‘ตุนท์ แม่เตรียมยกงานทุกอย่างไว้ให้ลูกแล้ว ทุกคนจะรู้จักลูก’

ตุนท์ปิดหนังสือที่อ่านค้างอยู่ สายตาเลื่อนมองมารดาที่เพิ่งกลับมาจากยุโรป กระเป๋าหลายใบคนงานในบ้านยังจัดการนำเข้ามาในบ้านไม่ครบด้วยซ้ำ ท่านก็เริ่มหัวข้อที่เขามีคำตอบในใจตั้งแต่เมื่อวานนี้

‘ผมเห็นการเปลี่ยนแปลงของโรงเรียนจากสมัยที่ผมเคยเรียนเยอะเลยนะครับ และผมคิดว่าผมจำเป็นต้องรู้จักโรงเรียนให้ดีก่อนที่ผมจะเข้ามาทำงานอย่างเต็มตัว’

‘แล้วจะเรียนรู้โรงเรียนของเราในฐานะเจ้าของไม่ได้หรือไง ลูกอยากรู้อะไร แค่ถาม พวกเขาก็รี่มาตอบอย่างไว’

บุตรชายยังคงยิ้มอย่างสบายอกสบายใจ ดวงตามองไปยังกรอบรูปใหญ่ ประมุขของบ้านทั้งสองในอดีตของปูและพ่อที่ถ่ายคู่กัน ในดวงตาของพวกเขาเปล่งประกายแห่งความวาดหวัง

‘ผมเชื่อว่าผมจะหาคำตอบได้มากกว่าการประกาศตัวว่าผมเป็นใครครับแม่ การรู้ในฐานะคนนอก คนที่ห่างไกลจากชีวิตพวกเขา จะทำให้พวกเขาไม่ต้องระวังตัวในการตอบคำถาม ไม่ระวังตัวในการสร้างภาพ สิ่งนั้นต่างหากที่จะทำให้ผมเห็นสภาพที่แท้จริงของโรงเรียน แม่เข้าใจผมนะครับ’

‘แม่ไม่เห็นด้วยหรอกนะตุนท์’

‘แม่ครับ’

ตุลามองค้อนบุตรชาย อย่างไรเรื่องการตัดสินใจของตุนท์ เธอจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้

‘แค่เทอมเดียวนะ’

‘เท่านั้นก็พอแล้วครับ’


ร่างสูงโดดเด่นในหมู่สาวๆ ทำให้คนมาใหม่ต้องหรี่ตามองอย่างไม่พอใจ นพมัลลีได้รับเรื่องจากทางครูพี่เลี้ยงว่าเธอต้องทำหน้าที่ครูที่ปรึกษาคู่กับครูคณิตศาสตร์คนใหม่ของโรงเรียน เสียงนักเรียนหญิงเกือบยี่สิบคนที่รุมมะตุ้มผู้ชายผมสั้นเรียบร้อย ดวงหน้าใจดี มีรอยยิ้มมิตรยื่นให้ทุกคนทำให้หญิงสาวแค่นยิ้ม เธอถูกทุกคนลืมเลือนทั้งที่ยืนเมื่อยตรวจแถวตั้งแต่ชั่วโมงก่อน ไม่รู้ว่าผู้อำนวยการโรงเรียนนี้จะยืนพูดหน้าเสาธงนานขนาดนี้

“นักเรียนเงียบๆ หน่อย” นพมัลลีกระแอมเสียงในคอ ส่งประกายตาไม่พอใจไปยังครูคนใหม่ที่อุตส่าห์เผื่อแผ่ยิ้มมาให้เธอ

“ครูก็สนใจครูตุนท์ใช่ไหมคะ” นักเรียนหญิงผมยาวสไลด์ผิดระเบียบตามโรงเรียนรัฐส่งเสียงดังขึ้นมา บนหน้าอกมีชื่อ นยฎาปักอยู่

“คุณนยฎา ครูเป็นครู มีหน้าที่สอน ไม่ได้มีหน้าที่มาหว่านเสน่ห์ใส่ใคร เธอเองก็ควรรู้ตัวว่ามาเรียน ไม่ได้มากรี๊ดครูหนุ่มๆ เข้าใจไหม” นพมัลลีเหลือบมอง ‘คนหว่านเสน่ห์’ ที่เอาแต่ยิ้มรับทุกคำพูดของเธอ

ตุนท์รู้ว่าเขาคือคนที่ถูกพูดถึง...

“ดุชะมัดเลย” นยฎาสะบัดหน้าพรืดไม่สบอารมณ์ มีเพื่อนๆ ส่งเสียงเห็นพ้องกันเป็นลูกรับ

นพมัลลีต้องบังคับตัวเองไม่ให้ส่ายหน้ากับพฤติกรรมเกินเด็กของนักเรียนพวกนี้ และบังคับไม่ให้ตัวเองยืนถอยห่างจากร่างที่กำลังเดินมาหาของตุนท์

“ขอโทษที่ผมสร้างความลำบากให้คุณนะครับ ผมไม่เคยสอนใคร ไม่เคยคุมเด็ก” ตุนท์กลั้นขำเมื่อเห็นหญิงสาวที่เขาบังเอิญได้มาคุมเป็นครูที่ปรึกษาร่วมกันกำลังทำตาเหลือกเหลือเชื่อใส่เขา เป็นเรื่องแปลกที่เขาอยากสัมผัสชีวิตของครู และแม่ของเขาก็ช่างเลือกให้เขามาคุมห้องเรียนของหลานชายที่ย้ายมาเรียน...ซึ่งเป็นห้องเดียวกันกับเจ้าหล่อน เขาเชื่อว่าตลอดหนึ่งเทอมนี้เขาจะเรียนรู้ประสบการณ์ไม่น้อยจากหญิงสาว

คนรับภาระหนักไปครองกัดฟันแน่น เธอจะถอนหายใจปลงตก ไม่รู้จักระงับอารมณ์อย่างที่ชอบทำมานั้นไม่ได้อีกแล้ว คำว่าขันติต้องสลักลึกหลังจากเธอมีภาระต้องสะสางหน้าที่ของความเป็นครูในเทอมนี้ให้ผ่านพ้นไปได้ด้วยดี

“คนเราเรียนรู้กันได้ค่ะ ไม่มีใครเก่งมาแต่เกิด” นพมัลลีรู้สึกว่ารอยยิ้มของเธอช่างเสแสร้ง

ตุนท์ไม่ว่าอะไรต่อ เพราะสัญญาณเข้าเรียนดังขึ้น การประกาศหน้าเสาธงเพิ่งจะสิ้นสุดลง เสียงเด็กหลายคนบ่นครวญถึงความพูดมากของผู้อำนวยการตุลา นพมัลลีจึงรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาหน่อย เพราะเธอรู้สึกเช่นเดียวกันกับเด็กๆ

“คุณจะไปไหน ไม่โฮมรูมเด็กก่อนเหรอ” ตุนท์ถามประหลาดใจ เมื่อหญิงสาวกำลังจะเดินแยกไปทางอื่นที่ไม่ใช่ห้องเรียนของเด็กห้องหกทับห้า

“คุณผอ.เอาเวลาไปหมดแล้ว จะให้โฮมรูมอะไรอีกคะ ไว้พรุ่งนี้เถอะค่ะ” นพมัลลีทำหน้าทะเล้นเมื่อเห็นผู้อำนวยการตุลากำลังจะเดินมาทางนี้ หญิงสาวยกมือทำท่ารูดซิปปิดปาก ไหวไหล่แล้วเดินจากไป เป็นอันรู้กันว่าบ่นไม่ได้

ตุนท์หัวเราะในลำคอ สบตากับมารดาที่ปรายมองมา แต่ยังรักษาระยะห่างให้อยู่ห่างกันไว้เพราะรู้กฎที่ลูกชายขอดีว่า ‘ห้ามเปิดเผยความสัมพันธ์ของพวกเขาออกไป’ แม้จะมาหยุดยืนตรงหน้า ตุลาก็ยังต้องทำหน้าเชิด พูดเป็นงานเป็นการ

“ด็อกเตอร์ วันนี้พร้อมนะ”

“ครับ แต่ว่า...” ตุนท์นึกถึงลูกพี่ลูกน้องต่างวัยที่ยังไม่โผล่หัวบลอนด์ให้เขาเห็น แล้วบอกไปอีกอย่าง “ผมจะทำงานให้เต็มที่นะครับ”

“ถ้าไม่ไหวก็อย่าลืมล่ะว่าตัวเองมีอะไรเหนือกว่าคนอื่น ใช้มันซะ” ตุลาหันหน้าหนีอย่างหงุดหงิด จนถึงตอนนี้ก็ไม่เห็นประโยชน์ที่บุตรชายทำตัวเป็น ‘ครูธรรมดา’ และปลอมนามสกุลจริง

นางคิดว่าลูกชายจะอยู่คุยให้แม่ใจร่ม ที่ไหนได้หันกลับมาอีกทีลูกชายหัวแก้วหัวแหวนก็เดินโปรยยิ้มผูกมิตรให้ครูนักเรียนคนอื่นไปทั่ว พวกนักเรียนหญิงที่วี้ดว้ายกับเสน่ห์อันเหลือล้นของตุนท์ล้วนถูกนางจ้องเขม็งเอาเรื่อง และไล่ให้ไปเรียน


นพมัลลีมองห้องเรียนที่นักเรียนแต่ละคนไม่สนใจตัวตนของเธอในห้องเรียนอย่างมีสติที่สุด นับหนึ่งถึงร้อยขณะย่างกรายเข้ามาในห้องเรียน นักเรียนกลุ่มหนึ่งริมหน้าต่างเกาะกลุ่มคุยกันเสียงดัง นักเรียนแถวหน้าหมุนเก้าอี้ไปคุยฝอยน้ำลายแตก กลุ่มเด็กหลังห้องก็ช่วยกันร้องเพลงประสานเสียง โยกเก้าอี้ ทำหน้าตากวนประสาทอย่างการวี้ดวิ้วใส่เมื่อแรกเธอเข้าห้อง บางคนก็หยิบเครื่องมือสื่อสารออกมากดเล่น หญิงสาวในชุดนักศึกษาเรียบร้อยหยุดยืนอยู่กลางห้องเรียนที่มีประชากรในห้องสามสิบชีวิตไม่ขาดไม่เกิน

“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมในคอเรียกสายตาเหล่านักเรียนให้เหลือบแลมาได้ไม่กี่วินาที พวกนั้นก็ยังคงกลับไปสนใจกิจกรรมที่ทำค้างอยู่ตามเดิม

“วันนี้เป็นคาบแรกของพวกเรา ทำตัวน่ารักกันหน่อยดีกว่าไหม ทุกคนไม่อยากรู้จักครูที่ปรึกษาของพวกเธอหน่อยเหรอ”

เหมือนคำถามนั้นลอยคว้างอยู่ในอวกาศ สถานที่สุญญากาศที่ไม่มีใครได้ยิน นพมัลลีเห็นเด็กนักเรียนไม่ถึงสิบคนตรงกลางห้องที่ดูตั้งใจ ก็เลือกที่จะปล่อยปละพวกไม่สนใจเธอออกไปจากความคิด

หญิงสาวหันหลังหยิบปากกาเคมีมาเขียนกระดานไวท์บอร์ด เขียนชื่อจริง นามสกุล และเบอร์ติดต่อลงไปตัวใหญ่ขนาดครึ่งไม้บรรทัด และหันกลับมาแนะนำตัวอย่างเป็นทางการอีกครั้ง

“ครูชื่อนพมัลลี เรียกว่า ลี ก็ได้ ครูเป็นครูสอนศิลปะ และครูจะมาเป็นครูที่ปรึกษาของพวกเธอตลอดเทอมนี้”

“ครูอายุเท่าไหร่แล้วครับ มีแฟนหรือยัง” หนุ่มทโมนคนหนึ่งจากแก๊งค์ร้องเพลงเสียงดังหลังห้องถามเสียงดัง และมีเพื่อนในกลุ่มผิวปากล้อ

นพมัลลีตากระตุก เธออดทน และพยายามยิ้ม “ยี่สิบห้า”

“ครูแก่จัง ทำไมครูฝึกสอนแก่อย่างนี้ล่ะครู” ณยฎาที่หมั่นไส้ครูนพมัลลีเป็นทุนเดิมเบะปากใส่

“จะอายุเท่าไหร่ ครูก็แก่กว่าพวกเธอ และถึงพวกเธอจะไม่ได้เห็นค่าอะไรในตัวครูเลย แต่ครูจะพยายามอดทนกับคนอย่างพวกเธอให้ถึงที่สุด ครูจะเป็นเรือกระดาษ เป็นกาบเรือ เป็นอะไรในสายตาพวกเธอบ้าง ครูไม่สนใจ ครูรู้ว่าครูมีหน้าที่อะไร และพวกเธอก็ควรรู้ว่าพวกเธอมีหน้าที่อะไรถึงได้มาอยู่กันที่นี่” ทั้งห้องเกิดความเงียบกริบ บุคลิกใจเย็น และท่าทางเอาจริงของนพมัลลีตรึงสายตานักเรียนทุกคนไว้ได้ “เอาล่ะเรารู้จักกันในระดับหนึ่งแล้ว ทีนี้ครูอยากรู้จักทุกคนมากขึ้น”

กระดาษเอสี่ที่นพมัลลีเตรียมมาถูกแจกจ่ายไปตามนั่งเรียนหัวแถว แล้วให้ส่งต่อไปให้เพื่อนข้างหลัง นักเรียนที่รับกระดาษเปล่าไปต่างทำหน้าขมวดคิ้ว ไม่เข้าใจ

“ศิลปะ ไม่จำเป็นต้องใช้พรสวรรค์แต่เกิด เพราะในตัวทุกคนล้วนมีศิลปะอยู่ในใจกันอยู่แล้ว และศิลปะสามารถบอกตัวตนของผู้สร้างสรรค์งานได้ หัวข้อก็คือ จงวาดสิ่งที่ตัวเองกำลังนึกคิด และคิดว่านี่แหละคือ ‘ฉัน’”

“พวกเราม.หกแล้วให้มาทำอะไรก็ไม่รู้ไร้สาระ”

“นั่นคือตัวตนของเธอสินะ ‘เป็นคนมีสาระ’” นพมัลลียิ้มหวานอาบยาพิษ เดินตรงไปยังนักเรียนชายผมสั้นเกรียน เพื่อดูชื่อบนอกเสื้อ “นายนพพล คุณช่วยทำให้งานไร้สาระของครู เป็นงานที่มีสาระด้วยจะได้ไหม เอาให้ครูอึ้งทึ่งกับความมีสาระ เหมาะกับระดับสติปัญญาของเด็กม.หกเลยนะ”

นักเรียนทั้งห้องหัวเราะครืนกับหมัดเด็ดที่ครูสาวฮุกใส่นพพล หัวโจกประจำห้อง อีกฝ่ายทำท่าทางฮึดฮัด แต่ก็ไม่ยอมพูดอะไรออกมาให้ตัวเองถูกหัวเราะเยาะจากเพื่อนๆ อีก

นพมัลลีเดินดูความเรียบร้อยของนักเรียนที่อิดออด แต่ก็ยอมลงมือทำงานศิลปะชิ้นแรกกันอย่างคร่ำเคร่ง เพราะไม่อยากเป็นคน ‘ไม่เอาไหน’ งานที่พวกเขาสร้างจึงไม่ใช่งานกะหลั่วห้านาทีเสร็จ ให้ถูกครูนพมัลลีเหน็บแนมว่าเอาได้แน่นอน

สภาพห้องเรียนที่เรียบร้อยของนักเรียนห้องหกทับห้าทำให้หญิงสาวซ่อนยิ้มไว้ในใจ เธอรู้ว่าเด็กนักเรียนทุกคนสามารถตั้งใจเรียนได้ ขอแค่จับจุดพวกเขาให้ถูก จะว่าไปเธอเองก็เคยได้ยินพวกครูคนอื่นๆ ว่ามาว่าเด็กห้องท้ายมักจะเกเร ไม่ยอมเรียน แม้โรงเรียนนี้จะมีนักเรียนไม่มากมาย มีเพียงแปดห้องเรียน แต่ครูหลายคนกลับบอกว่าเด็กห้องบ๊วยในสายวิทย์ห้องนี้แย่ยิ่งกว่าเด็กสายศิลป์อีกสามห้องที่เหลืออย่างมากมาย

‘พวกเขาไม่ต้องสอนวิชาการให้มากมายหรอก เด็กพวกนี้ไม่ค่อยชอบเรียน’ ครูท่านหนึ่งบอกกับเธอไว้อย่างนั้น นพมัลลีรู้สึกโกรธแทนสิ่งที่ครูคนอื่นมองเด็กนักเรียนห้องนี้ อย่างไรนักเรียนทุกคนในโรงเรียนก็ควรได้รับโอกาสอันเท่าเทียม ไม่ใช่เพราะคุมห้องเรียนไม่ได้แล้วคุณจะไม่สอนบทเรียนให้ครบ

พ่อแม่ของพวกเขาส่งลูกมาเรียน คงไม่คิดอยากให้ลูกแค่มานั่งเล่น ร้องเพลง พูดคุยกับเพื่อน เล่นเกมในโทรศัพท์ให้หมดไปวันๆ หนึ่งแน่

ถึงเธอจะอยู่ที่นี่เพียงเทอมเดียว แต่เธอจะทำหน้าที่ที่ได้รับมาให้ดีที่สุด!

“โอ๊ะ ขอโทษทีครับ” เด็กหนุ่มผมบลอนด์หิ้วกระเป๋าเคียงไว้บนไหล่ ทำหน้ากวนประสาทขัดกับคำว่าขอโทษ

“นี่มันเวลากี่โมงแล้วคุณ” นพมัลลีมองตรงอกเสื้อของนักเรียน “บลินด์”

“ผมไม่มีนาฬิกาครับทีชเชอร์” บลินด์หลิ่วตาใส่นักเรียนสาวในห้องที่วางงานในมือ แล้วปิดปากกรีดร้องกับเพื่อนร่วมห้องคนใหม่

“วันนี้วันแรก ครูจะยังให้อภัย หวังว่าจะไม่มีครั้งต่อไปอีกนะ”

บลินด์ยิ้มมุมปาก เดินเข้าไปหยุดกลางห้องเรียน และไม่ขอคำปรึกษาจากครู ยกมือโบกทักทายให้เพื่อนในห้อง โปรยยิ้มมีเสน่ห์อวดลักยิ้มมุมแก้มของตัวเอง

“ทุกคน ผมบลินด์นะ บลินด์หลานผอ.ตุลา”

นพมัลลีหันขวับไปมองเด็กหนุ่ม หยิบใบรายชื่อบนโต๊ะขึ้นมาดูก็พบว่ามีชื่อของบลินด์อยู่ตรงท้ายแผ่น นามสกุลของบลินด์ไม่ทำให้เธอสะดุด เพราะเป็นนามสกุลต่างชาติ หญิงสาวขบเขี้ยวเคี้ยวฟัน อีกครั้งที่เธอต้องถูกกดดันจากลูกท่าหลานเธอที่มาวันแรกก็ประกาศศักดาตัวเองกันโต้งๆ ไม่กลัวใคร

“ที่นี่ทุกคนเป็นนักเรียน ไม่ว่าชื่อของแต่ละคนจะนามสกุลอะไรต่อท้าย แต่ในสายตาครู ทุกคนคือเด็กนักเรียนห้องหกทับห้าเหมือนกัน ขอให้ทุกคนเข้าใจตรงกัน”

“เป็นครูเก่าๆ”

“หัวโบราณใช่ไหมบลินด์” นยฎาเสริมเพื่อน ยังลอยหน้าลอยตาอยู่ได้แม้เจอสายตาดุของนพมัลลี

เธอจะทำให้ครูนพมัลลีรู้จักฤทธิ์เดชห้องหกทับห้าให้ดูเอง นักเรียนสาวยิ้มท้าทายให้กับครูคนใหม่ด้วยความรู้สึกที่ไม่ถูกชะตา





ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 ก.พ. 2558, 02:15:23 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.พ. 2558, 23:39:54 น.

จำนวนการเข้าชม : 1756





<< บทนำ    บทที่ 2 : เรื่องเก่าที่ไม่อยากพูดถึง >>
โอชิน 17 ก.พ. 2558, 11:55:34 น.
มาเกาะรั้วโรงเรียนรอค่ะ


OhLaLa 21 ก.พ. 2558, 16:39:11 น.
ลีท่าจะเจองานหนัก
นยฎา มีเขียนผิดเป็น ณยฎา ด้วยค่ะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account