บทเรียน (รัก) นอกตำรา
นพมัลลี นักศึกษาฝึกสอนที่จบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน
นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก
แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้
มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน
นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก
แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้
มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่
Tags: นพมัลลี ตุนท์ คมิก พิชญ์ปรีชา
ตอน: บทที่ 2 : เรื่องเก่าที่ไม่อยากพูดถึง
บทที่ 2
ครูพี่เลี้ยงของนพมัลลีบอกแก่ตุนท์ว่าได้สั่งให้หญิงสาวไปจัดการห้องศิลปะที่ปิดใช้มานานหลายปีแล้ว เพราะหญิงสาวเกิดอยากได้ห้องที่เอาไว้ใช้เรียนศิลปะจริงๆ ตุนท์ที่เดินตามหาครูที่ปรึกษาร่วมเพื่อสอบถามถึงปัญหานักเรียนในห้องอมยิ้มอย่างถูกใจ สมัยที่เขาเรียนพ่อของเขาเป็นคนสอนวิชานี้ด้วยตัวของท่านเอง และห้องเรียนศิลปะก็อยู่ในห้องหนึ่งบนชั้นหก ถือเป็นห้องเรียนโปรดของเขาทีเดียว แต่พอพ่อเขาเสีย ห้องนี้ก็ปิดตัวลง ครูศิลปะรุ่นใหม่ชอบที่จะสอนตามห้องเรียนเด็กมากกว่า
คงเป็นโชคดีของห้องไม่น้อย ถ้ามีคนนำมาใช้เรียนใช้สอนในงานศิลปะอย่างเป็นจริงเป็นจัง ไม่ใช่ปล่อยทิ้งไว้ให้ฝุ่นขึ้นอย่างเดียว
เสียงเคลื่อนย้ายของดังครืดคราด โครมครามออกมาจากห้องที่เปิดประตูแง้มไว้ เสียงหวานบ่นพึมพำ เพราะคงคิดว่าเวลาหลังเลิกเรียน ใกล้ถึงเวลาปิดตึกนี้นั้นคงไม่มีใครเดินขึ้นมาถึงชั้นหก
“เด็กบ้าพวกนี้อยากทำให้ฉันระเบิดลงกลางห้องหรือไง คิดว่าฉันอยากมาปากเปียกปากแฉะ ท่องนะโม ท่องขันติงั้นเหรอฮะ อนาคตของตัวเองจะทำอะไรก็ยังไม่คิดถึง” หญิงสาวเงียบไป เขาได้ยินเสียงเคลื่อนโต๊ะ ช่วงเวลานั้นเขาก็ได้ยินเสียงรำพึงของนพมัลลีอีกครั้ง “อยากจะให้ตัวเองย่ำแย่กว่าสมัยที่ฉันเป็นนักเรียนเหรอ มีโอกาสดีๆ กลับไม่เห็นค่า”
ตุนท์สะดุดใจกับประโยคนั้นของนพมัลลี รู้สึกถึงปมในใจของหญิงสาวที่เคยเผชิญในอดีต
“คุณมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่” นพมัลลีดึงโต๊ะเก่าตัวหนึ่งออกมาจากห้อง จึงเห็นตุนท์ยืนอยู่ตรงทางเดิน ใบหน้าของตุนท์ก่อนที่จะยิ้มมาให้เธอนั้นเต็มไปด้วยความครุ่นคิด...หรือว่าเขาจะได้ยิน
หญิงสาวกัดปากตัวเองอย่างวิตก ในเมื่อตุนท์ยังไม่พูดถึงว่าเขาได้ยินอะไรบ้าง เธอก็จะคิดอย่างสบายใจว่าเขาไม่ได้อยากรู้อะไรที่เป็นเรื่องของเธอแทน
“กำลังจัดห้องเหรอ มีอะไรให้ผมช่วยไหม”
“เยอะแยะค่ะ ห้องศิลปะหรือห้องเก็บของเก่าก็ไม่รู้”
“ผมก็เคยเรียนโรงเรียนนี้นะ” ตุนท์เดินนำเข้าไปในห้องที่มีผ้าคลุมของอยู่หลายส่วน แต่พวกกรอบรูป แปรงวาดรูป ถังสี และจานสีถูกวางแยกไว้จากส่วนอื่นแล้ว เขาเดินเข้าไปหยุดหน้ากรอบรูปสีน้ำมันที่เป็นรูปดอกไม้กลางผืนดินแห้งผาก เป็นการเล่นสีมีแสงเงาอย่างมีชั้นเชิงเฉพาะตัวของผู้วาด
“ภาพนี้สวยมากค่ะ น่าเสียดายนะคะที่ฉันไม่เจอคนวาดรูปนี้แล้ว”
นพมัลลีมองลายเซ็นตรงด้านล่างขวาของรูป ที่เขียนตวัด แต่ยังอ่านออกว่า ‘กรรณ พิชญ์ปรีชา’
“ถ้าคุณเจอท่าน คุณจะบอกอะไรท่านล่ะครับ”
หญิงสาวมองค้อนคนพูด ลูบต้นแขนตัวเองไปมา เวลาเย็นเกือบค่ำอย่างนี้ ใครที่ไหนใช้ให้เขามาพูดถึงคนที่เสียชีวิตไปแล้วกัน
“ก็จะบอกว่าโรงเรียนของท่าน ไม่เหมือนเดิมค่ะ ฉันเคยได้ยินชื่อเสียงของโรงเรียนนี้มานาน ถึงฉันจะเป็นเด็กต่างจังหวัด ชื่อเสียงของพิชญ์ปรีชาก็ยังไปถึงหูของฉัน กระทั่งฉันมีโอกาสได้มาเป็นครูฝึกสอนที่นี่ ฉันถึงรู้ว่าหลายปีมานี้มีการเปลี่ยนแปลงกับโรงเรียนพิชญ์ปรีชา”
การวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้ทำให้ตุนท์นึกโกรธ เขาออกจะขอบคุณที่อย่างน้อยนพมัลลียังมีการเอ่ยชมโรงเรียนพิชญ์ปรีชาด้วย แม้จะเป็นเรื่องของผลงานในอดีต
“ถ้าผอ.ตุลาได้ยิน คงรับฟังทั้งน้ำตา”
“แต่ถ้าไม่รับฟังอะไรเลย โรงเรียนได้ถอยหลังลงคลองแน่ๆ ค่ะ” นพมัลลีนึกถึงเด็กในห้องเรียนของตัวเองแล้วรู้สึกยัวะขึ้นมา วันนี้เธอสอนไปสามห้องเรียน เป็นห้องหกทับห้านี่แหละที่เธอเห็นว่ารับมือได้ยากสุด พวกเขาอยู่ในระดับชั้นสูงสุดของที่นี่ แต่กลับไม่จริงจังกับการเรียน ไม่มองไปถึงชีวิตในมหาวิทยาลัยเลยด้วยซ้ำ
ถ้าพวกเขาจะไม่มองไปข้างหน้าในรั้วมหาวิทยาลัย อย่างน้อยการมีแนวทางที่ชัดเจนว่าจะทำอะไรต่อไป ไม่ใช่การรอถลุงเงินพ่อแม่ใช้ไปวันๆ เธอคงสบายใจกว่านี้มาก
“ที่จริงฉันไม่ได้อยากเป็นครูเลยนะคะ” นพมัลลีสารภาพอย่างไม่อาย ก้มตัวยกกรอบรูปเปล่าไปวางรวมกัน ส่วนโต๊ะหนักๆ มีตุนท์คอยช่วยเคลื่อนย้ายให้
“ผมก็เหมือนกัน ไม่เคยคิดว่าจะมาเป็นครู”
นพมัลลีรู้สึกเป็นมิตรกับตุนท์มากขึ้น “แต่คุณก็อยู่ที่นี่”
“เหมือนคุณ”
รอยยิ้มถูกใจของนพมัลลีดูฉลาดในสายตาตุนท์ หญิงสาวพยักหน้ารับให้เขา ตลอดการจัดห้องศิลปะ นพมัลลีหรือเขาไม่มีใครสานต่อบทสนทนาเพิ่มเติม ชายหนุ่มคิดว่าเธอจะคิดสงสัยเหมือนที่เขาสงสัยในตอนนี้ไหม
เหตุผลอะไรที่ทำให้เธอและเขามาเป็นในสิ่งที่ไม่เคยนึกฝัน
อย่างการที่เขาและเธอมาพบกัน ตุนท์แอบยิ้มเมื่อเห็นนพมัลลีร้องหงุดหงิดกับซากหนูตายที่นอนอืดอยู่หลังตู้ ถือเป็นการยืนยันในความแปลกของเจ้าหล่อนได้ดี ผู้หญิงเจอซากหนูตายส่วนใหญ่มักกรีดร้อง แต่เธอไม่ใช่ เขายังเห็นเธอไปหยิบเศษกระดาษหนังสือพิมพ์ออกมาจับร่างเน่าเหม็นของหนูตัวนั้นออกมาด้วยใบหน้ายับย่นอยู่เลย
“ทิ้งหนูตายนั่นเสร็จ วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนเถอะครับ”
“ฉันก็คงไม่มีอารมณ์มาทำต่อหรอก” นพมัลลีทำท่าผะอืดผะอม วางเศษหนูตายลงกับพื้น แล้วผายมือเชื้อเชิญผู้ช่วยเหลือให้มาจัดการต่อ ส่วนตัวเองพุ่งไปหากระเป๋าสะพายของตัวเอง แล้วเดินออกไปจนถึงกรอบประตู ร่างบางหยุด และหันกลับมา
“วันนี้ขอบคุณมากนะคะ อะไรที่คุณได้ยินแล้วคิดว่าไม่ควรนำไปพูดต่อล่ะก็...”
นพมัลลีทำมือรูดซิปปิดปาก ขยิบตาข้างหนึ่งให้ แล้วเร่งเดินดุ่มจากไปไม่เหลียวหลังกลับมาอีก
ตุนท์หยุดมองรูปภาพที่พ่อของเขาเป็นคนวาด รอยยิ้มระบายบนหน้าอย่างสนุกสนาน
“พ่อส่งเธอมา เพื่อให้มาช่วยผมเปลี่ยนแปลงที่นี่ใช่ไหมครับ”
“น้าตื่นแล้ว เห็นไหม วันนี้วันเสาร์ น้าก็ยังตื่นเวลาตัวเล็กมาดูการ์ตูน”
หญิงสาวใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับหยดน้ำบนหน้า อีกมือถือโทรศัพท์แนบหู มาหยุดยืนตรงกรอบประตูบ้านพักครู มองท้องฟ้าที่ยังสว่างใสไม่มาก พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นท้องฟ้าดี หลานตัวน้อยของเธอก็โทรมาปลุกอย่างรู้เวลา
“หนูมลคิดถึงน้าลีจังค่ะ” เสียงเล็กเอ่ยอย่างหงอยเหงาผ่านทางโทรศัพท์
คนฟังชะงักไป ริมฝีปากรูปกระจับยิ้มออกมาแผ่วเบา ดวงตามองขอบฟ้าสีส้มที่มีดวงอาทิตย์กลมโตซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังกลุ่มเมฆ สายลมเย็นยังคงพัดปลิดปลิวใบไม้ให้หลุดร่วงจากต้นไม้ใหญ่ เวลาของชีวิตยังคงดำเนินต่อไป
“อีกไม่นานนะตัวเล็ก อดทนรอนน้านะคะ เข้าใจไหม หืม”
เสียงสะอื้นเบาๆ ดังมาแทนคำตอบรับ นพมัลลีอยากให้ตัวเธอไปหยุดยืนเบื้องหน้าเด็กน้อยจะได้ดึงมากอดปลอบไว้ได้ เธอรู้ว่าวันที่นวมลลิ์ยืนส่งเธอในตอนนั้น และกอดลาเธอนานเป็นพิเศษที่จริงกำลังอดทนที่จะไม่ร้องไห้ ถึงเธอจะจากมา แต่หูคล้ายยังแว่วเสียงสะอื้นไห้ของเด็กหญิงให้ลอยตามลมมา
หนึ่งชีวิตของหลานสาวตัวน้อยทำให้เธอไม่เหนื่อยที่จะเดินหน้ากับเทอมสุดท้ายในชีวิตการศึกษานี้ของเธอ
น่าเสียดายที่เทอมที่แล้วที่เธอควรจะเรียนจบกลับมีอุปสรรคมาขวาง นพมัลลีเม้มปากด้วยความอัดอั้นตันใจ ด้วยรู้ดีว่าเวลาที่เคลื่อนคล้อยผ่านมาแล้วไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก
“น้าลีจะซื้อขนมฝากส่งไปให้ หรืออยากได้ตุ๊กตาอะไรไหมตัวเล็ก”
“หนูมลอยากได้น้าลีมากอด”
“ตุ๊กตามัลลีในห้องตัวเล็กน่าจะกอดอุ่นแทนน้าได้นะ” หญิงสาวยิ้มแก้มปริ เธออยากจะฟัดแก้มนวมลลิ์ให้หายหมั่นเขี้ยวที่พูดจาน่ารัก ยังดีที่เธอมีตุ๊กตา ‘มัลลี’ ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่เธอซื้อให้นวมลลิ์ตั้งแต่อายุไม่ถึงสองขวบเป็นตัวแทนเธอได้
“หนูมลกอดอยู่ แต่มันไม่อุ่นเหมือนกอดน้าลีเลย”
“ช่างปากหวานฉอเลาะจริงเชียว หลานใครเนี่ย”
นวมลลิ์หัวเราะคิกมาให้ได้ยิน นพมัลลีลอบถอนหายใจโล่งอกที่หลานสาวไม่สะอื้นมาให้ได้ยินแล้ว
“น้าลี แม่เรียกหนูมลไปกินข้าวแล้ว น้าลีอย่าลืมกินข้าวนะ เดี๋ยวปวดท้อง น้าลีสอนหนูมลมา จำได้ไหมคะ”
“น้าเกือบลืมไปเลยนะเนี่ย” นพมัลลียิ้มจาง มองท้องฟ้าโปร่งที่มีพระอาทิตย์สาดแสงไปทั่วแล้ว “รีบไปกินข้าวนะคะ อย่าเลือกกินแต่เนื้อ ต้องกินผักด้วย”
“หนูมลชอบกินผักที่สุดเลยค่า” เด็กหญิงหันไปรับคำกับคนที่เรียก แล้วกลับมาต่อบทสนทนากับคนทางนี้จนจบ “คิดถึงน้าลีนะคะ จุ๊บ”
เด็กหญิงตัดสายไปหลังจุ๊บเสร็จ แต่นพมัลลียังคงถือโทรศัพท์ค้างอยู่อย่างนั้น บอกเสียงแผ่วกลับไป ทั้งที่น้ำตากำลังคลอหน่วย
“น้าก็คิดถึงตัวเล็กเหมือนกันนะ”
ร่างบางออกมายืนรับไอแดดอุ่น และสายลมเย็น ทุกชีวิตในวันหยุดละแวกบ้านพักครูในรั้วโรงเรียนเงียบเชียบเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่พวกครูจะกลับบ้านของตัวเองกันหมด แต่คนบ้านไกลกว่าชาวบ้านเขาก็ทำได้แค่อาศัยที่นี่อยู่ต่อไป ปล่อยให้เวลาทุกเช้าของเธอมีเสียงเล็กๆ ของนวมลลิ์โทรมาปลุกแบบนี้
กริ๊งๆ...
เสียงกระดิ่งรถจักรยานที่มาหยุดยังหน้าบ้านพักเรียกความสนใจของนพมัลลี หญิงสาวเลิกคิ้วมองครูที่ปรึกษาร่วมที่วันนี้สวมชุดลำลองง่ายๆ ผมหวีปาดๆ ไม่พิถีพิถันอย่างทุกวันด้วยความแปลกใจ
กว่าสองอาทิตย์ที่ทำงานร่วมกันมา เขาไม่ต้องปากเปียกปากแฉะกับเด็กให้เหนื่อยเหมือนเธอเลย ตุนท์ใช้บุคลิกเป็นมิตร ยิ้มให้ทุกคน เป็นครูใจดีที่ไม่ถือสาในนิสัยเกเรของนักเรียน ถึงอย่างนั้นเธอยังแอบได้ยินมาว่าเขากลับเข้มงวดในเรื่องคะแนนและการสอบ มีการสอบย่อยตั้งแต่เรียนไปได้แค่สองอาทิตย์
“อยู่คนเดียวเหรอครับครูลี”
นพมัลลีแสร้งหันมองรอบตัวที่รู้อยู่แล้วว่าว่างเปล่า ก่อนหันกลับมาถามเขาหน้าซื่อตาใส
“คุณเห็นพลังงานบางอย่างอยู่รอบตัวฉันเหรอคะ”
“อยู่เป็นเงาตะคุ่มๆ ด้านหน้าผมนี่ไงครับ”
‘เงาตะคุ่ม’ แยกเขี้ยวใส่ตุนท์ ก่อนจะเปิดปากถามเขา “ว่าแต่คุณมาทำอะไรที่นี่ล่ะคะ”
“ผมย้ายมาอยู่บ้านหลังนั้น” ตุนท์ชี้นิ้วไปยังบ้านหลังติดกัน
ที่จริงบ้านพักที่นี่ก็สร้างอย่างเรียบง่ายด้วยอิฐ มีหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น หนึ่งห้องน้ำ และด้านหลังบ้านมีพื้นที่สำหรับทำครัวหรือตากผ้าได้ สำหรับนพมัลลีบ้านพักที่นี่ยังสบาย และกว้างขวางกว่าหอพักในมหาวิทยาลัยที่เธออยู่อาศัยมาตลอดห้าปีนี้เสียอีก
“คุณก็เลยมาทักทายเพื่อนบ้าน”
ตุนท์หัวเราะกับท่าทีไม่หือไม่อือ ไม่แม้แต่จะตื่นเต้นของนพมัลลี เธอคงถนัดที่จะแสดงอารมณ์หงุดหงิด ไม่พอใจเวลาอยู่ตัวคนเดียวเท่านั้น เขาสังเกตมาหลายครั้งแล้วเวลาที่นพมัลลีอยู่ต่อหน้าคนหมู่มาก อาทิ มากกว่าตัวเองเป็นต้นไป ใบหน้าของนพมัลลีหากไม่ฉาบไว้ด้วยน้ำแข็งหนาๆ ชั้นหนึ่ง ก็จะมีรอยยิ้มเสแสร้งแข็งๆ ที่เป็นยิ้มเฉพาะปาก แต่ตาของเธอก็ยังว่างเปล่า
ยกเว้นเมื่อครู่...ตุนท์ไม่อยากจะบอกว่าการแอบสังเกตครูที่ปรึกษาร่วมของเขาทำโน่นทำนี่คนเดียวจะว่าไปก็เพลิดเพลินสำหรับเขาไม่น้อย เขากำลังกลายเป็นคนโรคจิตนิดๆ ที่แค่เห็นอารมณ์ของนพมัลลีแตกต่างจากปกติแล้วจะนึกสนใจ และใครบางคนที่นพมัลลีคุยโทรศัพท์ด้วยเมื่อครู่นี้คงจะสำคัญกับเธอไม่น้อย เพราะดวงตาของนพมัลลีส่งประกายรอยยิ้มจริงๆ ออกมาได้
“เลยโรงเรียนไปหน่อยมีตลาด คุณสนใจไหม ผมแนะนำของอร่อยให้คุณได้นะ ผมเป็นเจ้าของที่เก่า”
“แถวนี้คงไม่มีใครจะซ้อนท้ายจักรยานของคุณล่ะสิ” อดไม่ได้ที่ปากรูปกระจับจะพูดหาเรื่องตุนท์ หญิงสาวรู้สึกหมั่นไส้ความเป็นคนยิ้มง่ายของเขา พูดเสร็จเขาก็ยิ้มอีกแล้ว
“มีคนอยากซ้อนท้ายผมเยอะนะครับ แต่ผม ‘เลือก’ คนที่จะซ้อน”
“หลงตัวเองชะมัด”
เสียงที่เบาลงคล้ายบ่นกับตัวเองของนพมัลลีอย่างไรก็ยังดังไปถึงหูของตุนท์ ‘คนหลงตัวเอง’ พอได้ยินกลับยิ้มกว้างขึ้น ตบเบาะหลังจักรยานป้าบๆ เสนออย่างเต็มใจ
“มันยังว่างอยู่ คุณสนใจไหมล่ะ บริการถีบจักรยานให้ฟรีไม่คิดเงินนะครับ”
นพมัลลีหรี่ตามองผู้ชายที่เธอดูไม่ออกว่าเขากำลังเสนอมิตรภาพดีๆ หรือคิดไม่ซื่อกับเธอ เมื่อดูไม่ออกเธอจึงต้องถามออกไปตรงๆ
“คุณคงไม่ได้กำลังจีบฉันหรอกใช่ไหม”
“น้ำใจของผมถูกตีค่าเป็นเล่ห์ลูกไม้ไว้ใช้จีบคุณอย่างเดียวเหรอครับ”
น้ำเสียงอ่อน ติดจะน้อยใจของผู้ชายตัวโตที่จับแฮนด์จักรยานแล้วทำหน้าเศร้ามาให้นพมัลลีในตอนนี้นั้นมีแต่สร้างความคลื่นเหียนให้หญิงสาว มากกว่ามานึกสงสารเห็นใจ
หญิงสาวส่งเสียงหึ เดินเข้าไปในบ้านหยิบกระเป๋าเงิน ปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย เพื่อออกมาพบพระอาทิตย์บานแฉ่งดวงที่สองที่กลับจักรยาน หันที่นั่งว่างมารอเธอถึงหน้าบ้าน
“ขอบคุณในความหวังดีนะคะ”
นพมัลลีออกตัวเดินโดยไม่เหลียวแลความหวังดีที่ตุนท์หยิบยื่นมาให้
“แล้วคุณก็เมินเฉยความหวังดีของผมเนี่ยนะ” ตุนท์กวนประสาทใส่ด้วยการปั่นจักรยานอยู่ข้างๆ บางครั้งนึกอยากดีดกระดิ่งจักรยานเขาก็ทำขึ้นมา ก่อกวนใบหน้าฉาบน้ำแข็งของนพมัลลีให้ละลายและกลายเป็นหน้ายักษ์บูดบึ้งที่พร้อมขย้ำมนุษย์จอมวุ่นวาย
หากเป็นเมื่อก่อน นพมัลลีมั่นใจว่าเธอจะยันเท้าแรงๆ ถีบใส่ล้อรถจักรยานที่กำลังหมุนไปตามทางข้างๆ เธอ ให้ทั้งรถ ทั้งคนล้มกลิ้งไม่เป็นท่าแน่นอน แต่ตอนนี้สิ่งเดียวที่เธอจะทำได้คือการกัดฟันกรอด กำมือให้แน่น ทำหูทวนลม และหายใจเข้าออกให้ลึกและยาวที่สุด!
และถลึงตาใส่ให้ตุนท์รู้ว่าอีกนิดเธอจะแปลงร่างเป็นนางปีศาจ ถ้าเขายังไม่เลิกแสดงออกถึง ‘ความมีน้ำใจ’
“ผมแค่อยากให้คุณนั่งซ้อนท้าย จะได้ไม่ต้องเดินให้เมื่อยไงคุณ”
โครม!
ครั้งที่เจ็ดที่นพมัลลีถูกตื๊อให้หยุดเดิน และไปนั่งซ้อนท้ายจักรยานของเขาเสียดีๆ ขาเจ้ากรรมที่นพมัลลีพยายามอดกลั้นให้มันไม่พุ่งออกไปก็เกินต้านทานไหว ก่อนที่จักรยานจะถึงประตูใหญ่ของโรงเรียน เขาเรียวก็โจมตีใส่ล้อหลังที่ปั่นมาช้าๆ ไปเต็มแรง
ตุนท์ไม่ได้เตรียมใจรับการโจมตีจึงเสียการทรงตัว ล้มเข้าสนามหญ้าข้างทาง เพราะว่าเอาแขนลงรับน้ำหนักร่างได้ทันจึงไม่ต้องเจ็บตัวมากไปกว่าแขน
“คุณสงบปากสงบคำไม่เป็นเหรอคะ!” คนทำผิดตะโกนใส่อย่างเหลืออด หน้าตาบอกบุญไม่รับ แต่เธอก็ไม่ใช่คนหนีความผิด มือบางจึงถูกยื่นออกไปตรงหน้าตุนท์ พร้อมคำขู่ “คุณรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องมาฝึกสอนซ่อมอีกเทอม แทนที่จะจบไปตั้งแต่เทอมสองในปีการศึกษาที่แล้ว เพราะฉันทะเลาะกับผู้อำนวยการของโรงเรียนกลางที่ประชุม”
“มันคงไม่ร้ายแรงเหมือนที่ผมโดนเตะจักรยานหรอกมั้งครับ” ดร.หนุ่มรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย แต่ก็ยอมรับความช่วยเหลือ มือหนาจับมือสาก และหยาบของนพมัลลีไว้แน่น แล้วออกแรงพยุงตัวเองขึ้นไป
“จะมองว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะมองว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็มองได้”
“บอกผมได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”
นพมัลลีถอนหายใจเฮือก ก่อนสารภาพออกมา
“พวกเขาบีบให้นักเรียนหญิงคนหนึ่งออกจากโรงเรียนทั้งที่ถูกข่มขืนจนท้อง แล้วคนข่มขืนก็ดันเป็นลูกชายผอ.เขา”
ตุนท์สัมผัสได้ว่ามือของนพมัลลีที่ลืมปล่อยมือเขานั้นกำลังบีบมือเขาไว้แน่นด้วยความโกรธแค้นที่แก้ไขเรื่องในอดีตไม่ได้
“ฉันไปแฉเรื่องนี้กลางที่ประชุม แต่พวกเขาทั้งโรงเรียนกลับรวมหัวกันเล่นงานฉัน สร้างเรื่องว่าฉันไม่มีคุณสมบัติพอที่จะผ่านการฝึกสอน ส่วนเด็กคนนั้น อับอาย ไม่กล้าออกจากบ้าน สุดท้ายเขาก็คิดสั้น กรอกยาเกินขนาด ถึงจะช่วยแม่ได้ แต่เขาก็เสียลูกไป”
หญิงสาวเพิ่งได้สติตอนที่มือหนาบีบตอบมือเธอกลับมา เธอปลดมือนั้นออก และเบือนหน้าหนี “ฉันขอโทษที่ทำคุณเจ็บตัว ฉันเป็นคนที่ไม่มีความอดทนนักหรอก ตลอดการฝึกสอนที่นี่ฉันก็หวังแค่ความสงบ ฉันไม่อยากมีเรื่องให้ตัวเองเรียนไม่จบอีก หรือคุณจะไม่เชื่อฉันก็ได้นะคะ คิดเสียว่าคนเพ้อเจ้อคนหนึ่งพร่ำไปเรื่อย”
“ผมเชื่อคุณ” ตุนท์ยอมรับในความรู้สึกของตัวเอง เขาไม่ใช่คนโง่ขนาดดูคนไม่ออก และนพมัลลีก็ไม่ใช่คนที่จะมานั่งโกหกปลิ้นปล้อนในเรื่องร้ายแรงอย่างนี้ เธอดูจะมีปมฝังใจกับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
“ทำไมคุณไม่ยื่นเรื่องนี้ต่อเบื้องบนขึ้นไปอีก โรงเรียนปิดบังอย่างนี้ถือว่ามีความผิด ผอ.ต้องถูกตรวจสอบ และคุณก็ถูกกลั่นแกล้งอย่างไม่ยุติธรรม มันทำให้คุณเสียสิทธิ์ที่จะจบการศึกษา”
“เด็กคนนั้นขอร้องให้ฉันหยุด บางครั้งบาดแผลในใจมนุษย์ ถึงไม่เห็นด้วยตา แต่ไม่ได้อยากให้ใครมาขุดคุ้ยหรอกนะคะ และสิ่งเดียวที่ฉันทำได้ก็คือ...” มือบางยกขึ้นมาทำท่ารูดซิปปิดปาก ดวงตาเต็มไปด้วยความจำใจ
“คุณเชื่อใจผมได้ ไม่ว่าในโรงเรียนนี้มีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้น คุณบอกกับผมได้ทุกเรื่อง”
“ขอบคุณสำหรับคำปลอบใจนะคะ แต่ฉันคงไม่ภาวนาให้มีปัญหาเกิดขึ้นกับฉันในเทอมนี้อีก” นพมัลลีแค่นยิ้ม แล้วมุ่งหน้าเดินนำไป
ตุนท์จูงจักรยานเดินตามหลังอยู่ห่างๆ ใบหน้านิ่งขรึมจริงจัง เขารู้ว่ายังมีอีกหลายเรื่องมากมายที่โรงเรียนทุกโรงเรียนปิดบังความจริงจากสังคม สังคมยิ่งใหญ่มากเท่าไหร่ ความบริสุทธิ์ในสังคมนั้นก็ยิ่งเหลือน้อยลงทุกที สมัยนี้ผู้คนมักคำนึงถึง ผลประโยชน์ ความต้องการ เงินตรา อำนาจบารมี ชื่อเสียง มากกว่าความจริง หรือความถูกต้อง
และคนที่ทำความดี ทำถูกต้อง แต่ได้รับผลตอบรับไม่เป็นธรรมกลับมา การกระทำนี้จึงไม่ต่างอะไรจากการฆ่าคนดีให้ตายไปกับความผิดที่เขาไม่ได้ก่อ แล้วอย่างนี้ใครที่ไหนจะกล้ายืนหยัดในสิ่งที่ถูกได้อีก
ฝ่ามือหนากำแน่น ยังรู้สึกได้ถึงมือสากของนพมัลลีที่เขาบีบส่งแรงใจให้เจ้าหล่อนไป ดวงตาที่มักยิ้มปราศจากความใจดี เขาใคร่ครวญดีแล้วถึงสิ่งที่จะทำ
ถึงมันจะสายไปบ้าง แต่อย่างไรนพมัลลีก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาก็ควรปกป้องครูในโรงเรียนแห่งนี้ และภูมิใจที่อย่างน้อยๆ โรงเรียนนี้ได้มีโอกาสต้อนรับครูที่มีความกล้าเหนือใครอย่างนพมัลลี แทนที่เธอจะก้มหน้าไม่รู้ไม่ชี้ และจบการศึกษาไป เธอกลับสู้จนถึงที่สุด และถูกความไม่เป็นธรรมเล่นงาน จนต้องจบช้ากว่าเพื่อนไปอีกหนึ่งเทอม
“เดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวคุณนะ”
“เลี้ยงข้าวผม?”
“ค่าที่ทำคุณเจ็บตัว” นพมัลลีพูดโดยไม่เหลียวหลังกลับมามอง
ตุนท์ยิ้มออกอีกครั้ง น้ำใจที่อีกฝ่ายแสดงออกมา ถึงจะดูไม่ใคร่แสดงออกอย่างเต็มใจเท่าไหร่ และในตอนแรกเขาก็รู้ว่าถูกรำคาญเข้าให้ แต่เขาก็ยังรู้สึกดีแปลกๆ เหมือนระยะห่างระหว่างเขากับนพมัลลีลดน้อยลง...นิดหนึ่งแล้ว
ในเวลาทำงานปกติ นพมัลลีรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่งที่ตุนท์เว้นระยะไว้ให้อย่างสุภาพ เขาไม่ทำให้เธอต้องอึดอัด โดยเฉพาะพวกสายตานักเรียนสาวๆ ที่คงจะเอาไปโพนทะนาทั่วหากเธอกับเขาสนิทกันเกินปกติ เธอยังไม่อยากสร้างประเด็นหลังจากโรงเรียนเพิ่งเปิดเทอมมาได้ไม่ถึงสามอาทิตย์
หลังจากอาทิตย์แรกผ่านไป นายบลินด์จอมสายก็เริ่มมาเรียนตรงเวลามากขึ้น กำลังยืนทำหน้าเบื่อใส่เบื้องหลังของตุนท์ที่เดินตรวจแถวอยู่
“มีอะไรกับครูตุนท์เขาอย่างนั้นเหรอ” นพมัลลีมาหยุดอยู่ข้างนักเรียนหนุ่ม ดวงตาสีมรกตของบลินด์ส่งความหน่ายมาให้เธออีกคน
“ใครจะกล้ามีเรื่องครับ” บลินด์อ้าปากหาวกว้าง หน้าตาเหลือความง่วงอยู่หลายส่วน
“แต่เธอดูไม่พอใจครูตุนท์”
“ผมถูกจ้างให้ตื่นเช้ามาเรียน ก็แค่ง่วงนิดหน่อย เอิ๊ก”
เด็กหนุ่มเรอเสียงดัง กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยออกมา พอบลินด์รู้ตัวจะตะครุบปิดปากก็ไม่ทันแล้ว
นพมัลลีหรี่ตามองเด็กลูกครึ่งหนุ่มอย่างไม่พอใจ พอนึกเรื่องราวออกว่าตอนกลางคืนเขาคงไปตะลอนเที่ยวดื่มมา อย่างไรบ้างนั้นเธอก็จำต้องสอดปากยุ่ง
“ดื่มเหล้ามาเหรอ”
“ผมไม่ได้ดื่มในเวลาเรียนนะครับครู” บลินด์ปฏิเสธเสียงเนือย แหงนหน้ามองดาดฟ้าของตึก “ไม่เหมือนหมอนั่นหรอก” ดวงตาสีมรกตมองตอบกลับนพมัลลีอย่างไม่สะทกสะท้าน
ภาพผู้ชายร่างสูงในชุดนักเรียนที่ยืนปล่อยอารมณ์ต้องดาดฟ้า ยืนทิ้งอารมณ์ปล่อยควันพวยพุ่งขึ้นฟ้า ไม่สนใจว่าเพื่อน รุ่นน้องจะกำลังเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบอย่างไรบ้าง
“นายคมิกทำไมไม่ลงมาเข้าแถว”
ครูสาวพยายามนึกใคร่ครวญว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อ ‘คมิก’ คนนั้นจะใช่คนเดียวกับเด็กหนุ่มในห้องหกทับห้าที่เธอเคยคิดว่าเขาสร้างปัญหาให้กับห้องเรียนน้อยที่สุดหรือเปล่า คมิกไม่เคยเกาะกลุ่มกับเด็กในเรื่องก่อความวุ่นวาย เวลาเธอสั่งงานเขาก็นำมาส่งให้ ถึงเขาจะไม่ได้ยิ้มแย้ม แต่ก็คงเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ใครจะคาดคิดว่า...
“ไม่มีใครสักคนในห้องที่คบหมอนั่น” บลินด์แสยะยิ้ม สองมือล้วงกระเป๋า “คนที่ไม่เคยพูด ไม่เคยช่วยเหลือใคร จะมีใครที่อยากคบด้วยล่ะครับ”
“ไม่เหมือนนายที่มาเรียนไม่เท่าไหร่ก็ไปเขม่นกับเพื่อนต่างห้องใช่ไหม” ตุนท์ที่ยืนอยู่ไม่ห่างนักได้ยินบทสนทนาของครูและลูกศิษย์จนครบถ้วน ลูกพี่ลูกน้อยของเขากำลังทำหน้ายักษ์ ปากบิดเบี้ยวใส่หลังจากถูกเขาสาธยายวีรกรรม
เพียงอาทิตย์แรกที่โรงเรียนเปิดเทอม เขาก็รู้ว่าบลินด์มาเรียนสาย บางวันก็โดดเรียนบางวิชาไป ไหนจะเอาความเป็นหลานของผู้อำนวยการโรงเรียนไปประกาศศักดา และตั้งแก๊งค์ของตัวเองขึ้นมา หากเขาไม่กลับบ้านไปทำเรื่องตกลงว่าอีกฝ่ายจะรักษาความลับกับเขา แล้วให้มาเรียนทุกวัน ห้ามขาด ห้ามสาย ห้ามโดด ด้วยค่าจ้างเรียนไม่น้อย บลินด์ก็คงพยศร้ายกว่านี้
เขาเองไม่รู้ว่าต้องใช้จิตวิทยาแบบไหนในการทำให้เด็กคนหนึ่งอ่อนข้อลงให้ นอกจากเงิน
“คุณสนใจที่จะช่วยเหลือเด็กคนหนึ่งไหมคะ” นพมัลลียังคงไม่ถอนสายตาจากเด็กหนุ่มบนชั้นดาดฟ้า
“ผมสนใจแน่ แต่แค่ยังไม่มีวิธี”
“ฉันเห็นตัวเองในตัวเด็กคนนั้น”
ตุนท์ส่งเสียงประหลาดใจ เขาเกือบคิดว่านพมัลลีพูดเล่น หากไม่เพราะหน้าตาจริงจังของเธอที่เดินเข้าไปในตัวตึก สองมือของหญิงสาวกำหมัดไว้แน่น คล้ายว่าเธอกำลังอดทนกับความรู้สึกบางอย่างในตัวเอง
“ครูตุนท์สนใจครูนพมัลลีใช่ไหม” น้ำเสียงยียวนของบลินด์พูดขึ้นอย่างรู้ทัน
“เอาเวลาไปสนใจกับเรื่องเรียนเถอะ” ตุนท์ไม่ตอบคำถาม ทั้งที่ในใจของเขารู้คำตอบนั้นดี
ความลับที่นพมัลลีซุกซ่อนอยู่ในใจของหญิงสาว กำลังทำให้เขาอยากรู้ และสนใจในตัวอีกฝ่ายมากขึ้น...และมากขึ้น
รวมทั้งเรื่องที่นพมัลลีพูดกับเขาเมื่อวันหยุดที่ผ่านมา ตุนท์วานให้เพื่อนที่เป็นตำรวจช่วยสืบเรื่องให้ ก็พบว่ามีเรื่องเกิดขึ้นกับนักเรียนหญิงคนนั้นจริง แต่ครูทุกคนในโรงเรียนไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือนักศึกษาฝึกสอนโนเนมกับเด็กนักเรียนหญิงยากจนคนหนึ่ง เพราะหากช่วยเหลือก็เท่ากับงัดข้อกับผู้อำนวยการของโรงเรียนที่ได้มาเป็นเพราะมีนักการเมืองท้องถิ่นคอยหนุนหลังให้
ไม่มีใครอยากเอาตัวเองมาเสี่ยงอย่างแน่นอน...ยกเว้นเขา
..................................
คุณ โอชิน ขอบคุณมากๆ ค่า ^^
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ แล้วก็ สุขสันต์วันตรุษจีนค่ะ春节快乐
ครูพี่เลี้ยงของนพมัลลีบอกแก่ตุนท์ว่าได้สั่งให้หญิงสาวไปจัดการห้องศิลปะที่ปิดใช้มานานหลายปีแล้ว เพราะหญิงสาวเกิดอยากได้ห้องที่เอาไว้ใช้เรียนศิลปะจริงๆ ตุนท์ที่เดินตามหาครูที่ปรึกษาร่วมเพื่อสอบถามถึงปัญหานักเรียนในห้องอมยิ้มอย่างถูกใจ สมัยที่เขาเรียนพ่อของเขาเป็นคนสอนวิชานี้ด้วยตัวของท่านเอง และห้องเรียนศิลปะก็อยู่ในห้องหนึ่งบนชั้นหก ถือเป็นห้องเรียนโปรดของเขาทีเดียว แต่พอพ่อเขาเสีย ห้องนี้ก็ปิดตัวลง ครูศิลปะรุ่นใหม่ชอบที่จะสอนตามห้องเรียนเด็กมากกว่า
คงเป็นโชคดีของห้องไม่น้อย ถ้ามีคนนำมาใช้เรียนใช้สอนในงานศิลปะอย่างเป็นจริงเป็นจัง ไม่ใช่ปล่อยทิ้งไว้ให้ฝุ่นขึ้นอย่างเดียว
เสียงเคลื่อนย้ายของดังครืดคราด โครมครามออกมาจากห้องที่เปิดประตูแง้มไว้ เสียงหวานบ่นพึมพำ เพราะคงคิดว่าเวลาหลังเลิกเรียน ใกล้ถึงเวลาปิดตึกนี้นั้นคงไม่มีใครเดินขึ้นมาถึงชั้นหก
“เด็กบ้าพวกนี้อยากทำให้ฉันระเบิดลงกลางห้องหรือไง คิดว่าฉันอยากมาปากเปียกปากแฉะ ท่องนะโม ท่องขันติงั้นเหรอฮะ อนาคตของตัวเองจะทำอะไรก็ยังไม่คิดถึง” หญิงสาวเงียบไป เขาได้ยินเสียงเคลื่อนโต๊ะ ช่วงเวลานั้นเขาก็ได้ยินเสียงรำพึงของนพมัลลีอีกครั้ง “อยากจะให้ตัวเองย่ำแย่กว่าสมัยที่ฉันเป็นนักเรียนเหรอ มีโอกาสดีๆ กลับไม่เห็นค่า”
ตุนท์สะดุดใจกับประโยคนั้นของนพมัลลี รู้สึกถึงปมในใจของหญิงสาวที่เคยเผชิญในอดีต
“คุณมาถึงตั้งแต่เมื่อไหร่” นพมัลลีดึงโต๊ะเก่าตัวหนึ่งออกมาจากห้อง จึงเห็นตุนท์ยืนอยู่ตรงทางเดิน ใบหน้าของตุนท์ก่อนที่จะยิ้มมาให้เธอนั้นเต็มไปด้วยความครุ่นคิด...หรือว่าเขาจะได้ยิน
หญิงสาวกัดปากตัวเองอย่างวิตก ในเมื่อตุนท์ยังไม่พูดถึงว่าเขาได้ยินอะไรบ้าง เธอก็จะคิดอย่างสบายใจว่าเขาไม่ได้อยากรู้อะไรที่เป็นเรื่องของเธอแทน
“กำลังจัดห้องเหรอ มีอะไรให้ผมช่วยไหม”
“เยอะแยะค่ะ ห้องศิลปะหรือห้องเก็บของเก่าก็ไม่รู้”
“ผมก็เคยเรียนโรงเรียนนี้นะ” ตุนท์เดินนำเข้าไปในห้องที่มีผ้าคลุมของอยู่หลายส่วน แต่พวกกรอบรูป แปรงวาดรูป ถังสี และจานสีถูกวางแยกไว้จากส่วนอื่นแล้ว เขาเดินเข้าไปหยุดหน้ากรอบรูปสีน้ำมันที่เป็นรูปดอกไม้กลางผืนดินแห้งผาก เป็นการเล่นสีมีแสงเงาอย่างมีชั้นเชิงเฉพาะตัวของผู้วาด
“ภาพนี้สวยมากค่ะ น่าเสียดายนะคะที่ฉันไม่เจอคนวาดรูปนี้แล้ว”
นพมัลลีมองลายเซ็นตรงด้านล่างขวาของรูป ที่เขียนตวัด แต่ยังอ่านออกว่า ‘กรรณ พิชญ์ปรีชา’
“ถ้าคุณเจอท่าน คุณจะบอกอะไรท่านล่ะครับ”
หญิงสาวมองค้อนคนพูด ลูบต้นแขนตัวเองไปมา เวลาเย็นเกือบค่ำอย่างนี้ ใครที่ไหนใช้ให้เขามาพูดถึงคนที่เสียชีวิตไปแล้วกัน
“ก็จะบอกว่าโรงเรียนของท่าน ไม่เหมือนเดิมค่ะ ฉันเคยได้ยินชื่อเสียงของโรงเรียนนี้มานาน ถึงฉันจะเป็นเด็กต่างจังหวัด ชื่อเสียงของพิชญ์ปรีชาก็ยังไปถึงหูของฉัน กระทั่งฉันมีโอกาสได้มาเป็นครูฝึกสอนที่นี่ ฉันถึงรู้ว่าหลายปีมานี้มีการเปลี่ยนแปลงกับโรงเรียนพิชญ์ปรีชา”
การวิจารณ์อย่างตรงไปตรงมา ไม่ได้ทำให้ตุนท์นึกโกรธ เขาออกจะขอบคุณที่อย่างน้อยนพมัลลียังมีการเอ่ยชมโรงเรียนพิชญ์ปรีชาด้วย แม้จะเป็นเรื่องของผลงานในอดีต
“ถ้าผอ.ตุลาได้ยิน คงรับฟังทั้งน้ำตา”
“แต่ถ้าไม่รับฟังอะไรเลย โรงเรียนได้ถอยหลังลงคลองแน่ๆ ค่ะ” นพมัลลีนึกถึงเด็กในห้องเรียนของตัวเองแล้วรู้สึกยัวะขึ้นมา วันนี้เธอสอนไปสามห้องเรียน เป็นห้องหกทับห้านี่แหละที่เธอเห็นว่ารับมือได้ยากสุด พวกเขาอยู่ในระดับชั้นสูงสุดของที่นี่ แต่กลับไม่จริงจังกับการเรียน ไม่มองไปถึงชีวิตในมหาวิทยาลัยเลยด้วยซ้ำ
ถ้าพวกเขาจะไม่มองไปข้างหน้าในรั้วมหาวิทยาลัย อย่างน้อยการมีแนวทางที่ชัดเจนว่าจะทำอะไรต่อไป ไม่ใช่การรอถลุงเงินพ่อแม่ใช้ไปวันๆ เธอคงสบายใจกว่านี้มาก
“ที่จริงฉันไม่ได้อยากเป็นครูเลยนะคะ” นพมัลลีสารภาพอย่างไม่อาย ก้มตัวยกกรอบรูปเปล่าไปวางรวมกัน ส่วนโต๊ะหนักๆ มีตุนท์คอยช่วยเคลื่อนย้ายให้
“ผมก็เหมือนกัน ไม่เคยคิดว่าจะมาเป็นครู”
นพมัลลีรู้สึกเป็นมิตรกับตุนท์มากขึ้น “แต่คุณก็อยู่ที่นี่”
“เหมือนคุณ”
รอยยิ้มถูกใจของนพมัลลีดูฉลาดในสายตาตุนท์ หญิงสาวพยักหน้ารับให้เขา ตลอดการจัดห้องศิลปะ นพมัลลีหรือเขาไม่มีใครสานต่อบทสนทนาเพิ่มเติม ชายหนุ่มคิดว่าเธอจะคิดสงสัยเหมือนที่เขาสงสัยในตอนนี้ไหม
เหตุผลอะไรที่ทำให้เธอและเขามาเป็นในสิ่งที่ไม่เคยนึกฝัน
อย่างการที่เขาและเธอมาพบกัน ตุนท์แอบยิ้มเมื่อเห็นนพมัลลีร้องหงุดหงิดกับซากหนูตายที่นอนอืดอยู่หลังตู้ ถือเป็นการยืนยันในความแปลกของเจ้าหล่อนได้ดี ผู้หญิงเจอซากหนูตายส่วนใหญ่มักกรีดร้อง แต่เธอไม่ใช่ เขายังเห็นเธอไปหยิบเศษกระดาษหนังสือพิมพ์ออกมาจับร่างเน่าเหม็นของหนูตัวนั้นออกมาด้วยใบหน้ายับย่นอยู่เลย
“ทิ้งหนูตายนั่นเสร็จ วันนี้ก็พอแค่นี้ก่อนเถอะครับ”
“ฉันก็คงไม่มีอารมณ์มาทำต่อหรอก” นพมัลลีทำท่าผะอืดผะอม วางเศษหนูตายลงกับพื้น แล้วผายมือเชื้อเชิญผู้ช่วยเหลือให้มาจัดการต่อ ส่วนตัวเองพุ่งไปหากระเป๋าสะพายของตัวเอง แล้วเดินออกไปจนถึงกรอบประตู ร่างบางหยุด และหันกลับมา
“วันนี้ขอบคุณมากนะคะ อะไรที่คุณได้ยินแล้วคิดว่าไม่ควรนำไปพูดต่อล่ะก็...”
นพมัลลีทำมือรูดซิปปิดปาก ขยิบตาข้างหนึ่งให้ แล้วเร่งเดินดุ่มจากไปไม่เหลียวหลังกลับมาอีก
ตุนท์หยุดมองรูปภาพที่พ่อของเขาเป็นคนวาด รอยยิ้มระบายบนหน้าอย่างสนุกสนาน
“พ่อส่งเธอมา เพื่อให้มาช่วยผมเปลี่ยนแปลงที่นี่ใช่ไหมครับ”
“น้าตื่นแล้ว เห็นไหม วันนี้วันเสาร์ น้าก็ยังตื่นเวลาตัวเล็กมาดูการ์ตูน”
หญิงสาวใช้ผ้าขนหนูสะอาดซับหยดน้ำบนหน้า อีกมือถือโทรศัพท์แนบหู มาหยุดยืนตรงกรอบประตูบ้านพักครู มองท้องฟ้าที่ยังสว่างใสไม่มาก พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้นท้องฟ้าดี หลานตัวน้อยของเธอก็โทรมาปลุกอย่างรู้เวลา
“หนูมลคิดถึงน้าลีจังค่ะ” เสียงเล็กเอ่ยอย่างหงอยเหงาผ่านทางโทรศัพท์
คนฟังชะงักไป ริมฝีปากรูปกระจับยิ้มออกมาแผ่วเบา ดวงตามองขอบฟ้าสีส้มที่มีดวงอาทิตย์กลมโตซุกซ่อนอยู่เบื้องหลังกลุ่มเมฆ สายลมเย็นยังคงพัดปลิดปลิวใบไม้ให้หลุดร่วงจากต้นไม้ใหญ่ เวลาของชีวิตยังคงดำเนินต่อไป
“อีกไม่นานนะตัวเล็ก อดทนรอนน้านะคะ เข้าใจไหม หืม”
เสียงสะอื้นเบาๆ ดังมาแทนคำตอบรับ นพมัลลีอยากให้ตัวเธอไปหยุดยืนเบื้องหน้าเด็กน้อยจะได้ดึงมากอดปลอบไว้ได้ เธอรู้ว่าวันที่นวมลลิ์ยืนส่งเธอในตอนนั้น และกอดลาเธอนานเป็นพิเศษที่จริงกำลังอดทนที่จะไม่ร้องไห้ ถึงเธอจะจากมา แต่หูคล้ายยังแว่วเสียงสะอื้นไห้ของเด็กหญิงให้ลอยตามลมมา
หนึ่งชีวิตของหลานสาวตัวน้อยทำให้เธอไม่เหนื่อยที่จะเดินหน้ากับเทอมสุดท้ายในชีวิตการศึกษานี้ของเธอ
น่าเสียดายที่เทอมที่แล้วที่เธอควรจะเรียนจบกลับมีอุปสรรคมาขวาง นพมัลลีเม้มปากด้วยความอัดอั้นตันใจ ด้วยรู้ดีว่าเวลาที่เคลื่อนคล้อยผ่านมาแล้วไม่สามารถย้อนกลับไปแก้ไขอะไรได้อีก
“น้าลีจะซื้อขนมฝากส่งไปให้ หรืออยากได้ตุ๊กตาอะไรไหมตัวเล็ก”
“หนูมลอยากได้น้าลีมากอด”
“ตุ๊กตามัลลีในห้องตัวเล็กน่าจะกอดอุ่นแทนน้าได้นะ” หญิงสาวยิ้มแก้มปริ เธออยากจะฟัดแก้มนวมลลิ์ให้หายหมั่นเขี้ยวที่พูดจาน่ารัก ยังดีที่เธอมีตุ๊กตา ‘มัลลี’ ตุ๊กตาหมีตัวใหญ่ที่เธอซื้อให้นวมลลิ์ตั้งแต่อายุไม่ถึงสองขวบเป็นตัวแทนเธอได้
“หนูมลกอดอยู่ แต่มันไม่อุ่นเหมือนกอดน้าลีเลย”
“ช่างปากหวานฉอเลาะจริงเชียว หลานใครเนี่ย”
นวมลลิ์หัวเราะคิกมาให้ได้ยิน นพมัลลีลอบถอนหายใจโล่งอกที่หลานสาวไม่สะอื้นมาให้ได้ยินแล้ว
“น้าลี แม่เรียกหนูมลไปกินข้าวแล้ว น้าลีอย่าลืมกินข้าวนะ เดี๋ยวปวดท้อง น้าลีสอนหนูมลมา จำได้ไหมคะ”
“น้าเกือบลืมไปเลยนะเนี่ย” นพมัลลียิ้มจาง มองท้องฟ้าโปร่งที่มีพระอาทิตย์สาดแสงไปทั่วแล้ว “รีบไปกินข้าวนะคะ อย่าเลือกกินแต่เนื้อ ต้องกินผักด้วย”
“หนูมลชอบกินผักที่สุดเลยค่า” เด็กหญิงหันไปรับคำกับคนที่เรียก แล้วกลับมาต่อบทสนทนากับคนทางนี้จนจบ “คิดถึงน้าลีนะคะ จุ๊บ”
เด็กหญิงตัดสายไปหลังจุ๊บเสร็จ แต่นพมัลลียังคงถือโทรศัพท์ค้างอยู่อย่างนั้น บอกเสียงแผ่วกลับไป ทั้งที่น้ำตากำลังคลอหน่วย
“น้าก็คิดถึงตัวเล็กเหมือนกันนะ”
ร่างบางออกมายืนรับไอแดดอุ่น และสายลมเย็น ทุกชีวิตในวันหยุดละแวกบ้านพักครูในรั้วโรงเรียนเงียบเชียบเป็นพิเศษ ส่วนใหญ่พวกครูจะกลับบ้านของตัวเองกันหมด แต่คนบ้านไกลกว่าชาวบ้านเขาก็ทำได้แค่อาศัยที่นี่อยู่ต่อไป ปล่อยให้เวลาทุกเช้าของเธอมีเสียงเล็กๆ ของนวมลลิ์โทรมาปลุกแบบนี้
กริ๊งๆ...
เสียงกระดิ่งรถจักรยานที่มาหยุดยังหน้าบ้านพักเรียกความสนใจของนพมัลลี หญิงสาวเลิกคิ้วมองครูที่ปรึกษาร่วมที่วันนี้สวมชุดลำลองง่ายๆ ผมหวีปาดๆ ไม่พิถีพิถันอย่างทุกวันด้วยความแปลกใจ
กว่าสองอาทิตย์ที่ทำงานร่วมกันมา เขาไม่ต้องปากเปียกปากแฉะกับเด็กให้เหนื่อยเหมือนเธอเลย ตุนท์ใช้บุคลิกเป็นมิตร ยิ้มให้ทุกคน เป็นครูใจดีที่ไม่ถือสาในนิสัยเกเรของนักเรียน ถึงอย่างนั้นเธอยังแอบได้ยินมาว่าเขากลับเข้มงวดในเรื่องคะแนนและการสอบ มีการสอบย่อยตั้งแต่เรียนไปได้แค่สองอาทิตย์
“อยู่คนเดียวเหรอครับครูลี”
นพมัลลีแสร้งหันมองรอบตัวที่รู้อยู่แล้วว่าว่างเปล่า ก่อนหันกลับมาถามเขาหน้าซื่อตาใส
“คุณเห็นพลังงานบางอย่างอยู่รอบตัวฉันเหรอคะ”
“อยู่เป็นเงาตะคุ่มๆ ด้านหน้าผมนี่ไงครับ”
‘เงาตะคุ่ม’ แยกเขี้ยวใส่ตุนท์ ก่อนจะเปิดปากถามเขา “ว่าแต่คุณมาทำอะไรที่นี่ล่ะคะ”
“ผมย้ายมาอยู่บ้านหลังนั้น” ตุนท์ชี้นิ้วไปยังบ้านหลังติดกัน
ที่จริงบ้านพักที่นี่ก็สร้างอย่างเรียบง่ายด้วยอิฐ มีหนึ่งห้องนอน หนึ่งห้องนั่งเล่น หนึ่งห้องน้ำ และด้านหลังบ้านมีพื้นที่สำหรับทำครัวหรือตากผ้าได้ สำหรับนพมัลลีบ้านพักที่นี่ยังสบาย และกว้างขวางกว่าหอพักในมหาวิทยาลัยที่เธออยู่อาศัยมาตลอดห้าปีนี้เสียอีก
“คุณก็เลยมาทักทายเพื่อนบ้าน”
ตุนท์หัวเราะกับท่าทีไม่หือไม่อือ ไม่แม้แต่จะตื่นเต้นของนพมัลลี เธอคงถนัดที่จะแสดงอารมณ์หงุดหงิด ไม่พอใจเวลาอยู่ตัวคนเดียวเท่านั้น เขาสังเกตมาหลายครั้งแล้วเวลาที่นพมัลลีอยู่ต่อหน้าคนหมู่มาก อาทิ มากกว่าตัวเองเป็นต้นไป ใบหน้าของนพมัลลีหากไม่ฉาบไว้ด้วยน้ำแข็งหนาๆ ชั้นหนึ่ง ก็จะมีรอยยิ้มเสแสร้งแข็งๆ ที่เป็นยิ้มเฉพาะปาก แต่ตาของเธอก็ยังว่างเปล่า
ยกเว้นเมื่อครู่...ตุนท์ไม่อยากจะบอกว่าการแอบสังเกตครูที่ปรึกษาร่วมของเขาทำโน่นทำนี่คนเดียวจะว่าไปก็เพลิดเพลินสำหรับเขาไม่น้อย เขากำลังกลายเป็นคนโรคจิตนิดๆ ที่แค่เห็นอารมณ์ของนพมัลลีแตกต่างจากปกติแล้วจะนึกสนใจ และใครบางคนที่นพมัลลีคุยโทรศัพท์ด้วยเมื่อครู่นี้คงจะสำคัญกับเธอไม่น้อย เพราะดวงตาของนพมัลลีส่งประกายรอยยิ้มจริงๆ ออกมาได้
“เลยโรงเรียนไปหน่อยมีตลาด คุณสนใจไหม ผมแนะนำของอร่อยให้คุณได้นะ ผมเป็นเจ้าของที่เก่า”
“แถวนี้คงไม่มีใครจะซ้อนท้ายจักรยานของคุณล่ะสิ” อดไม่ได้ที่ปากรูปกระจับจะพูดหาเรื่องตุนท์ หญิงสาวรู้สึกหมั่นไส้ความเป็นคนยิ้มง่ายของเขา พูดเสร็จเขาก็ยิ้มอีกแล้ว
“มีคนอยากซ้อนท้ายผมเยอะนะครับ แต่ผม ‘เลือก’ คนที่จะซ้อน”
“หลงตัวเองชะมัด”
เสียงที่เบาลงคล้ายบ่นกับตัวเองของนพมัลลีอย่างไรก็ยังดังไปถึงหูของตุนท์ ‘คนหลงตัวเอง’ พอได้ยินกลับยิ้มกว้างขึ้น ตบเบาะหลังจักรยานป้าบๆ เสนออย่างเต็มใจ
“มันยังว่างอยู่ คุณสนใจไหมล่ะ บริการถีบจักรยานให้ฟรีไม่คิดเงินนะครับ”
นพมัลลีหรี่ตามองผู้ชายที่เธอดูไม่ออกว่าเขากำลังเสนอมิตรภาพดีๆ หรือคิดไม่ซื่อกับเธอ เมื่อดูไม่ออกเธอจึงต้องถามออกไปตรงๆ
“คุณคงไม่ได้กำลังจีบฉันหรอกใช่ไหม”
“น้ำใจของผมถูกตีค่าเป็นเล่ห์ลูกไม้ไว้ใช้จีบคุณอย่างเดียวเหรอครับ”
น้ำเสียงอ่อน ติดจะน้อยใจของผู้ชายตัวโตที่จับแฮนด์จักรยานแล้วทำหน้าเศร้ามาให้นพมัลลีในตอนนี้นั้นมีแต่สร้างความคลื่นเหียนให้หญิงสาว มากกว่ามานึกสงสารเห็นใจ
หญิงสาวส่งเสียงหึ เดินเข้าไปในบ้านหยิบกระเป๋าเงิน ปิดประตูลงกลอนเรียบร้อย เพื่อออกมาพบพระอาทิตย์บานแฉ่งดวงที่สองที่กลับจักรยาน หันที่นั่งว่างมารอเธอถึงหน้าบ้าน
“ขอบคุณในความหวังดีนะคะ”
นพมัลลีออกตัวเดินโดยไม่เหลียวแลความหวังดีที่ตุนท์หยิบยื่นมาให้
“แล้วคุณก็เมินเฉยความหวังดีของผมเนี่ยนะ” ตุนท์กวนประสาทใส่ด้วยการปั่นจักรยานอยู่ข้างๆ บางครั้งนึกอยากดีดกระดิ่งจักรยานเขาก็ทำขึ้นมา ก่อกวนใบหน้าฉาบน้ำแข็งของนพมัลลีให้ละลายและกลายเป็นหน้ายักษ์บูดบึ้งที่พร้อมขย้ำมนุษย์จอมวุ่นวาย
หากเป็นเมื่อก่อน นพมัลลีมั่นใจว่าเธอจะยันเท้าแรงๆ ถีบใส่ล้อรถจักรยานที่กำลังหมุนไปตามทางข้างๆ เธอ ให้ทั้งรถ ทั้งคนล้มกลิ้งไม่เป็นท่าแน่นอน แต่ตอนนี้สิ่งเดียวที่เธอจะทำได้คือการกัดฟันกรอด กำมือให้แน่น ทำหูทวนลม และหายใจเข้าออกให้ลึกและยาวที่สุด!
และถลึงตาใส่ให้ตุนท์รู้ว่าอีกนิดเธอจะแปลงร่างเป็นนางปีศาจ ถ้าเขายังไม่เลิกแสดงออกถึง ‘ความมีน้ำใจ’
“ผมแค่อยากให้คุณนั่งซ้อนท้าย จะได้ไม่ต้องเดินให้เมื่อยไงคุณ”
โครม!
ครั้งที่เจ็ดที่นพมัลลีถูกตื๊อให้หยุดเดิน และไปนั่งซ้อนท้ายจักรยานของเขาเสียดีๆ ขาเจ้ากรรมที่นพมัลลีพยายามอดกลั้นให้มันไม่พุ่งออกไปก็เกินต้านทานไหว ก่อนที่จักรยานจะถึงประตูใหญ่ของโรงเรียน เขาเรียวก็โจมตีใส่ล้อหลังที่ปั่นมาช้าๆ ไปเต็มแรง
ตุนท์ไม่ได้เตรียมใจรับการโจมตีจึงเสียการทรงตัว ล้มเข้าสนามหญ้าข้างทาง เพราะว่าเอาแขนลงรับน้ำหนักร่างได้ทันจึงไม่ต้องเจ็บตัวมากไปกว่าแขน
“คุณสงบปากสงบคำไม่เป็นเหรอคะ!” คนทำผิดตะโกนใส่อย่างเหลืออด หน้าตาบอกบุญไม่รับ แต่เธอก็ไม่ใช่คนหนีความผิด มือบางจึงถูกยื่นออกไปตรงหน้าตุนท์ พร้อมคำขู่ “คุณรู้ไหมว่าทำไมฉันถึงต้องมาฝึกสอนซ่อมอีกเทอม แทนที่จะจบไปตั้งแต่เทอมสองในปีการศึกษาที่แล้ว เพราะฉันทะเลาะกับผู้อำนวยการของโรงเรียนกลางที่ประชุม”
“มันคงไม่ร้ายแรงเหมือนที่ผมโดนเตะจักรยานหรอกมั้งครับ” ดร.หนุ่มรู้สึกเสียหน้าไม่น้อย แต่ก็ยอมรับความช่วยเหลือ มือหนาจับมือสาก และหยาบของนพมัลลีไว้แน่น แล้วออกแรงพยุงตัวเองขึ้นไป
“จะมองว่าใหญ่ก็ใหญ่ จะมองว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นเลยก็มองได้”
“บอกผมได้ไหมว่าเกิดอะไรขึ้น”
นพมัลลีถอนหายใจเฮือก ก่อนสารภาพออกมา
“พวกเขาบีบให้นักเรียนหญิงคนหนึ่งออกจากโรงเรียนทั้งที่ถูกข่มขืนจนท้อง แล้วคนข่มขืนก็ดันเป็นลูกชายผอ.เขา”
ตุนท์สัมผัสได้ว่ามือของนพมัลลีที่ลืมปล่อยมือเขานั้นกำลังบีบมือเขาไว้แน่นด้วยความโกรธแค้นที่แก้ไขเรื่องในอดีตไม่ได้
“ฉันไปแฉเรื่องนี้กลางที่ประชุม แต่พวกเขาทั้งโรงเรียนกลับรวมหัวกันเล่นงานฉัน สร้างเรื่องว่าฉันไม่มีคุณสมบัติพอที่จะผ่านการฝึกสอน ส่วนเด็กคนนั้น อับอาย ไม่กล้าออกจากบ้าน สุดท้ายเขาก็คิดสั้น กรอกยาเกินขนาด ถึงจะช่วยแม่ได้ แต่เขาก็เสียลูกไป”
หญิงสาวเพิ่งได้สติตอนที่มือหนาบีบตอบมือเธอกลับมา เธอปลดมือนั้นออก และเบือนหน้าหนี “ฉันขอโทษที่ทำคุณเจ็บตัว ฉันเป็นคนที่ไม่มีความอดทนนักหรอก ตลอดการฝึกสอนที่นี่ฉันก็หวังแค่ความสงบ ฉันไม่อยากมีเรื่องให้ตัวเองเรียนไม่จบอีก หรือคุณจะไม่เชื่อฉันก็ได้นะคะ คิดเสียว่าคนเพ้อเจ้อคนหนึ่งพร่ำไปเรื่อย”
“ผมเชื่อคุณ” ตุนท์ยอมรับในความรู้สึกของตัวเอง เขาไม่ใช่คนโง่ขนาดดูคนไม่ออก และนพมัลลีก็ไม่ใช่คนที่จะมานั่งโกหกปลิ้นปล้อนในเรื่องร้ายแรงอย่างนี้ เธอดูจะมีปมฝังใจกับเรื่องนี้ด้วยซ้ำ
“ทำไมคุณไม่ยื่นเรื่องนี้ต่อเบื้องบนขึ้นไปอีก โรงเรียนปิดบังอย่างนี้ถือว่ามีความผิด ผอ.ต้องถูกตรวจสอบ และคุณก็ถูกกลั่นแกล้งอย่างไม่ยุติธรรม มันทำให้คุณเสียสิทธิ์ที่จะจบการศึกษา”
“เด็กคนนั้นขอร้องให้ฉันหยุด บางครั้งบาดแผลในใจมนุษย์ ถึงไม่เห็นด้วยตา แต่ไม่ได้อยากให้ใครมาขุดคุ้ยหรอกนะคะ และสิ่งเดียวที่ฉันทำได้ก็คือ...” มือบางยกขึ้นมาทำท่ารูดซิปปิดปาก ดวงตาเต็มไปด้วยความจำใจ
“คุณเชื่อใจผมได้ ไม่ว่าในโรงเรียนนี้มีอะไรที่ไม่ดีเกิดขึ้น คุณบอกกับผมได้ทุกเรื่อง”
“ขอบคุณสำหรับคำปลอบใจนะคะ แต่ฉันคงไม่ภาวนาให้มีปัญหาเกิดขึ้นกับฉันในเทอมนี้อีก” นพมัลลีแค่นยิ้ม แล้วมุ่งหน้าเดินนำไป
ตุนท์จูงจักรยานเดินตามหลังอยู่ห่างๆ ใบหน้านิ่งขรึมจริงจัง เขารู้ว่ายังมีอีกหลายเรื่องมากมายที่โรงเรียนทุกโรงเรียนปิดบังความจริงจากสังคม สังคมยิ่งใหญ่มากเท่าไหร่ ความบริสุทธิ์ในสังคมนั้นก็ยิ่งเหลือน้อยลงทุกที สมัยนี้ผู้คนมักคำนึงถึง ผลประโยชน์ ความต้องการ เงินตรา อำนาจบารมี ชื่อเสียง มากกว่าความจริง หรือความถูกต้อง
และคนที่ทำความดี ทำถูกต้อง แต่ได้รับผลตอบรับไม่เป็นธรรมกลับมา การกระทำนี้จึงไม่ต่างอะไรจากการฆ่าคนดีให้ตายไปกับความผิดที่เขาไม่ได้ก่อ แล้วอย่างนี้ใครที่ไหนจะกล้ายืนหยัดในสิ่งที่ถูกได้อีก
ฝ่ามือหนากำแน่น ยังรู้สึกได้ถึงมือสากของนพมัลลีที่เขาบีบส่งแรงใจให้เจ้าหล่อนไป ดวงตาที่มักยิ้มปราศจากความใจดี เขาใคร่ครวญดีแล้วถึงสิ่งที่จะทำ
ถึงมันจะสายไปบ้าง แต่อย่างไรนพมัลลีก็ยังเป็นผู้บริสุทธิ์ เขาก็ควรปกป้องครูในโรงเรียนแห่งนี้ และภูมิใจที่อย่างน้อยๆ โรงเรียนนี้ได้มีโอกาสต้อนรับครูที่มีความกล้าเหนือใครอย่างนพมัลลี แทนที่เธอจะก้มหน้าไม่รู้ไม่ชี้ และจบการศึกษาไป เธอกลับสู้จนถึงที่สุด และถูกความไม่เป็นธรรมเล่นงาน จนต้องจบช้ากว่าเพื่อนไปอีกหนึ่งเทอม
“เดี๋ยวฉันเลี้ยงข้าวคุณนะ”
“เลี้ยงข้าวผม?”
“ค่าที่ทำคุณเจ็บตัว” นพมัลลีพูดโดยไม่เหลียวหลังกลับมามอง
ตุนท์ยิ้มออกอีกครั้ง น้ำใจที่อีกฝ่ายแสดงออกมา ถึงจะดูไม่ใคร่แสดงออกอย่างเต็มใจเท่าไหร่ และในตอนแรกเขาก็รู้ว่าถูกรำคาญเข้าให้ แต่เขาก็ยังรู้สึกดีแปลกๆ เหมือนระยะห่างระหว่างเขากับนพมัลลีลดน้อยลง...นิดหนึ่งแล้ว
ในเวลาทำงานปกติ นพมัลลีรู้สึกโล่งใจไปเปลาะหนึ่งที่ตุนท์เว้นระยะไว้ให้อย่างสุภาพ เขาไม่ทำให้เธอต้องอึดอัด โดยเฉพาะพวกสายตานักเรียนสาวๆ ที่คงจะเอาไปโพนทะนาทั่วหากเธอกับเขาสนิทกันเกินปกติ เธอยังไม่อยากสร้างประเด็นหลังจากโรงเรียนเพิ่งเปิดเทอมมาได้ไม่ถึงสามอาทิตย์
หลังจากอาทิตย์แรกผ่านไป นายบลินด์จอมสายก็เริ่มมาเรียนตรงเวลามากขึ้น กำลังยืนทำหน้าเบื่อใส่เบื้องหลังของตุนท์ที่เดินตรวจแถวอยู่
“มีอะไรกับครูตุนท์เขาอย่างนั้นเหรอ” นพมัลลีมาหยุดอยู่ข้างนักเรียนหนุ่ม ดวงตาสีมรกตของบลินด์ส่งความหน่ายมาให้เธออีกคน
“ใครจะกล้ามีเรื่องครับ” บลินด์อ้าปากหาวกว้าง หน้าตาเหลือความง่วงอยู่หลายส่วน
“แต่เธอดูไม่พอใจครูตุนท์”
“ผมถูกจ้างให้ตื่นเช้ามาเรียน ก็แค่ง่วงนิดหน่อย เอิ๊ก”
เด็กหนุ่มเรอเสียงดัง กลิ่นแอลกอฮอล์ลอยออกมา พอบลินด์รู้ตัวจะตะครุบปิดปากก็ไม่ทันแล้ว
นพมัลลีหรี่ตามองเด็กลูกครึ่งหนุ่มอย่างไม่พอใจ พอนึกเรื่องราวออกว่าตอนกลางคืนเขาคงไปตะลอนเที่ยวดื่มมา อย่างไรบ้างนั้นเธอก็จำต้องสอดปากยุ่ง
“ดื่มเหล้ามาเหรอ”
“ผมไม่ได้ดื่มในเวลาเรียนนะครับครู” บลินด์ปฏิเสธเสียงเนือย แหงนหน้ามองดาดฟ้าของตึก “ไม่เหมือนหมอนั่นหรอก” ดวงตาสีมรกตมองตอบกลับนพมัลลีอย่างไม่สะทกสะท้าน
ภาพผู้ชายร่างสูงในชุดนักเรียนที่ยืนปล่อยอารมณ์ต้องดาดฟ้า ยืนทิ้งอารมณ์ปล่อยควันพวยพุ่งขึ้นฟ้า ไม่สนใจว่าเพื่อน รุ่นน้องจะกำลังเข้าแถวอย่างเป็นระเบียบอย่างไรบ้าง
“นายคมิกทำไมไม่ลงมาเข้าแถว”
ครูสาวพยายามนึกใคร่ครวญว่าเด็กหนุ่มที่ชื่อ ‘คมิก’ คนนั้นจะใช่คนเดียวกับเด็กหนุ่มในห้องหกทับห้าที่เธอเคยคิดว่าเขาสร้างปัญหาให้กับห้องเรียนน้อยที่สุดหรือเปล่า คมิกไม่เคยเกาะกลุ่มกับเด็กในเรื่องก่อความวุ่นวาย เวลาเธอสั่งงานเขาก็นำมาส่งให้ ถึงเขาจะไม่ได้ยิ้มแย้ม แต่ก็คงเป็นเด็กธรรมดาคนหนึ่ง ใครจะคาดคิดว่า...
“ไม่มีใครสักคนในห้องที่คบหมอนั่น” บลินด์แสยะยิ้ม สองมือล้วงกระเป๋า “คนที่ไม่เคยพูด ไม่เคยช่วยเหลือใคร จะมีใครที่อยากคบด้วยล่ะครับ”
“ไม่เหมือนนายที่มาเรียนไม่เท่าไหร่ก็ไปเขม่นกับเพื่อนต่างห้องใช่ไหม” ตุนท์ที่ยืนอยู่ไม่ห่างนักได้ยินบทสนทนาของครูและลูกศิษย์จนครบถ้วน ลูกพี่ลูกน้อยของเขากำลังทำหน้ายักษ์ ปากบิดเบี้ยวใส่หลังจากถูกเขาสาธยายวีรกรรม
เพียงอาทิตย์แรกที่โรงเรียนเปิดเทอม เขาก็รู้ว่าบลินด์มาเรียนสาย บางวันก็โดดเรียนบางวิชาไป ไหนจะเอาความเป็นหลานของผู้อำนวยการโรงเรียนไปประกาศศักดา และตั้งแก๊งค์ของตัวเองขึ้นมา หากเขาไม่กลับบ้านไปทำเรื่องตกลงว่าอีกฝ่ายจะรักษาความลับกับเขา แล้วให้มาเรียนทุกวัน ห้ามขาด ห้ามสาย ห้ามโดด ด้วยค่าจ้างเรียนไม่น้อย บลินด์ก็คงพยศร้ายกว่านี้
เขาเองไม่รู้ว่าต้องใช้จิตวิทยาแบบไหนในการทำให้เด็กคนหนึ่งอ่อนข้อลงให้ นอกจากเงิน
“คุณสนใจที่จะช่วยเหลือเด็กคนหนึ่งไหมคะ” นพมัลลียังคงไม่ถอนสายตาจากเด็กหนุ่มบนชั้นดาดฟ้า
“ผมสนใจแน่ แต่แค่ยังไม่มีวิธี”
“ฉันเห็นตัวเองในตัวเด็กคนนั้น”
ตุนท์ส่งเสียงประหลาดใจ เขาเกือบคิดว่านพมัลลีพูดเล่น หากไม่เพราะหน้าตาจริงจังของเธอที่เดินเข้าไปในตัวตึก สองมือของหญิงสาวกำหมัดไว้แน่น คล้ายว่าเธอกำลังอดทนกับความรู้สึกบางอย่างในตัวเอง
“ครูตุนท์สนใจครูนพมัลลีใช่ไหม” น้ำเสียงยียวนของบลินด์พูดขึ้นอย่างรู้ทัน
“เอาเวลาไปสนใจกับเรื่องเรียนเถอะ” ตุนท์ไม่ตอบคำถาม ทั้งที่ในใจของเขารู้คำตอบนั้นดี
ความลับที่นพมัลลีซุกซ่อนอยู่ในใจของหญิงสาว กำลังทำให้เขาอยากรู้ และสนใจในตัวอีกฝ่ายมากขึ้น...และมากขึ้น
รวมทั้งเรื่องที่นพมัลลีพูดกับเขาเมื่อวันหยุดที่ผ่านมา ตุนท์วานให้เพื่อนที่เป็นตำรวจช่วยสืบเรื่องให้ ก็พบว่ามีเรื่องเกิดขึ้นกับนักเรียนหญิงคนนั้นจริง แต่ครูทุกคนในโรงเรียนไม่มีใครกล้ายื่นมือเข้าช่วยเหลือนักศึกษาฝึกสอนโนเนมกับเด็กนักเรียนหญิงยากจนคนหนึ่ง เพราะหากช่วยเหลือก็เท่ากับงัดข้อกับผู้อำนวยการของโรงเรียนที่ได้มาเป็นเพราะมีนักการเมืองท้องถิ่นคอยหนุนหลังให้
ไม่มีใครอยากเอาตัวเองมาเสี่ยงอย่างแน่นอน...ยกเว้นเขา
..................................
คุณ โอชิน ขอบคุณมากๆ ค่า ^^
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ แล้วก็ สุขสันต์วันตรุษจีนค่ะ春节快乐
ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 ก.พ. 2558, 09:43:04 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.พ. 2558, 23:40:50 น.
จำนวนการเข้าชม : 1570
<< บทที่ 1 : วันแรกพบ | บทที่ 3 : เรื่องเล่า >> |
ร้อยวจี 18 ก.พ. 2558, 21:00:22 น.
น่าสงสาร
น่าสงสาร
โอชิน 19 ก.พ. 2558, 21:32:55 น.
เราชอบชื่อนางเอกนะคะ นพมัลลี มีความหมายมั้ยคะ เก๋มากอะ
เรื่องเกี่ยวกับครู-นักเรียนนี่เราไม่กล้าแตะเลยอะ คือภาพคุณครูในดวงใจเรามันดีมาก ภาพเด็กนักเรียนในดวงใจก็มีแต่ภาพเด็กดีๆน่ารัก ไม่มีภาพเด็กแสบในหัว ชื่นชมคนเขียนค่ะ น่าจะมีมุมมองอะไรใหม่ๆมาเปิดโลกคนอ่านอย่างเราแน่ๆเลย
เราชอบชื่อนางเอกนะคะ นพมัลลี มีความหมายมั้ยคะ เก๋มากอะ
เรื่องเกี่ยวกับครู-นักเรียนนี่เราไม่กล้าแตะเลยอะ คือภาพคุณครูในดวงใจเรามันดีมาก ภาพเด็กนักเรียนในดวงใจก็มีแต่ภาพเด็กดีๆน่ารัก ไม่มีภาพเด็กแสบในหัว ชื่นชมคนเขียนค่ะ น่าจะมีมุมมองอะไรใหม่ๆมาเปิดโลกคนอ่านอย่างเราแน่ๆเลย
นักอ่านเหนียวหนึบ 20 ก.พ. 2558, 00:43:53 น.
เรื่องนี้ นางเอกดูเป็นพระเอกในตัวด้วยนะฮะ หล่ออ้ะ><
เรื่องนี้ นางเอกดูเป็นพระเอกในตัวด้วยนะฮะ หล่ออ้ะ><
OhLaLa 21 ก.พ. 2558, 17:10:37 น.
ดูเหมือนลีมีปม ทำให้อยากรู้ว่าเกิดอะไรกับลีที่ทำให้จบช้ากว่าเพื่อนที่ไม่ใช่แค่เทอมเดียว เพราะตอนนี้ลีอายุ 25 แล้ว
ดูเหมือนลีมีปม ทำให้อยากรู้ว่าเกิดอะไรกับลีที่ทำให้จบช้ากว่าเพื่อนที่ไม่ใช่แค่เทอมเดียว เพราะตอนนี้ลีอายุ 25 แล้ว