บทเรียน (รัก) นอกตำรา
นพมัลลี นักศึกษาฝึกสอนที่จบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน

นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก

แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้

มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่

Tags: นพมัลลี ตุนท์ คมิก พิชญ์ปรีชา

ตอน: บทที่ 3 : เรื่องเล่า

บทที่ 3

ลมบนชั้นดาดฟ้าพัดเย็นสบายก็จริง แต่แดดยามสายก็สาดแสงลงมาอย่างแรงจนเธอต้องหยีตาเมื่อแรกเปิดประตูออกมา สายตาเธอหยุดยังร่างที่ปล่อยอารมณ์ว่างเปล่าไปกับการสูบบุหรี่ กลิ่นของบุหรี่พัดลอยตามลมมาให้นพมัลลีได้กลิ่น

ครูสาวก้าวเดินยาวๆ ไปจนหยุดอยู่ห่างจากคมิกสามก้าว ร่างสูงโย่งที่สูงเกือบร้อยแปดสิบเซนติเมตรหันกลับมามองเธออย่างเฉยเมย สองนิ้วคีบบุหรี่ทำมือทักทายแล้วอัดควันพิษเข้าปอดต่อ

“เธอมีปัญหาอะไรกับชีวิตหรือเปล่า”

“แค่สูบบุหรี่ต้องมีปัญหาชีวิตเหรอครู” หนุ่มผมสั้นเรียบร้อยหมุนร่างกลับไปเท้าแขนกับที่กั้นสูงระดับอก

“ฉันมีเรื่องจะเล่าให้เธอฟังสักเรื่องหนึ่ง อยากฟังไหม”

“ผมปฏิเสธได้เหรอครับ” คมิกแค่นหัวเราะ

นพมัลลีเดินมาหยุดอยู่ข้างๆ ลูกศิษย์หนุ่ม อดทนที่จะได้กลิ่นบุหรี่

“มีนกตัวหนึ่งเกิดมาในรังที่มีพ่อแม่พี่ นกตัวนั้นรักอิสระ มันไม่เคยสนใจว่าพี่นกของมันจะเก่งแค่ไหน ไม่สนว่าพ่อแม่จะมองตัวเองอย่างไร มันก็คิดแค่ว่ามันใช้ชีวิตของมัน อยากทำอะไรก็ทำ ยิ่งได้ออกจากกรอบเท่าไหร่ มันกลับยิ่งรู้สึกตื่นเต้น”

นกเป็นฝูงที่โผบินอยู่เหนือศีรษะขึ้นไปเป็นสิ่งที่หนึ่งครูหนึ่งนักเรียนแหงนมองพร้อมกัน

“แล้วเกิดอะไรขึ้นกับนกตัวนั้นล่ะครับ อิสระอยู่กับเขาได้นานไหม”

“นกตัวนั้นได้เรียนรู้เรื่องสำคัญด้วยตัวของมันเองมาเรื่องหนึ่ง จากความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ไม่ค่อยดีก็เหมือนเดินทางมาถึงจุดแตกหัก จากคนที่มีเพื่อนนกด้วยกันเยอะแยะ ในวันนั้นกลับไม่มีใครที่จะโอบปีกปกป้องเขา นกตัวนั้นเหลือแค่ตัวมันเอง กับสิ่งสำคัญที่หลงเหลือมาจากเศษซากแห่งปัญหา”

เกิดความเงียบขึ้นระหว่างคนสองคน คมิกขยี้มวนบุหรี่ที่เหลืออยู่เกือบครึ่งกับราวกั้น เขารู้ได้โดยที่ครูไม่ต้องบอกว่า ‘นกตัวนั้น’ คือใคร

“เรื่องนั้นคือเรื่องอะไรครับ”

นพมัลลีหายใจคล่องปอดขึ้น อากาศที่ปราศจากควันบุหรี่คือสิ่งที่ดีกับสุขภาพกว่าเป็นไหนๆ หญิงสาวยิ้มให้ลูกศิษย์ ชี้นิ้วขึ้นฟ้า

“มันเป็นความลับของท้องฟ้า”

“แล้วตอนนี้นกตัวนั้นยังต้องการอิสระไหมครับ หลังจากที่ผ่านเรื่องสำคัญมา”

นพมัลลีลากเสียงอืมยาวในคอ ก่อนจะฮัมเพลงสากลในคอเพลงหนึ่งที่มีเนื้อหาว่าถ้าหากเชื่อว่าตัวเองบินได้...ก็จะบินได้

“นกตัวนั้นถูกปัญหาบีบบังคับให้เติบโตขึ้นอย่างก้าวกระโดด ถึงในโลกนี้จะไม่มีใครสักคน ‘เชื่อ’ ในตัวของมันอีก มันก็ยังจะกางปีกบินต่อไป เพราะมันมีจุดหมายในชีวิตแล้ว ไม่ใช่แค่ล่องลอยเป็นอิสระอยู่บนท้องฟ้าไปวันๆ”

“เป้าหมาย?”

ออดเข้าเรียนดังลั่นไปทั้งตึก นพมัลลีสวมวิญญาณครูเข้มงวดส่งท้ายก่อนจะจากไป

“บุหรี่สูบไปปากก็เหม็น สุขภาพก็แย่ ยังถือเป็นการทำร้ายคนที่อยู่ข้างๆ เธออีก แต่ถ้าเธออยากเลิกล่ะก็ให้มาหาครู ครูมีวิธี เพราะครั้งหนึ่งครูก็เคยสูบ”

คมิกยืนเท้าแขนกับราวกั้น แหงนมองฟ้าที่มีนก และความลับของครูนพมัลลีซุกซ่อนไว้อยู่ เด็กหนุ่มเหยียดยิ้ม เขาไม่รู้ว่าจะต้องสนใจเรื่องของคนแปลกหน้าคนหนึ่งไปทำไม อย่างไรปัญหาของนพมัลลีก็คงสู้เขาที่มีพ่อเป็นพ่อค้ายาเสพติดไมได้หรอก

ไม่มีใครที่จะเข้าใจเขาได้ คมิกหยิบบุหรี่อีกมวนขึ้นมาจุด และอัดควันเข้าปอดด้วยสายตาเลื่อนลอย เขาปล่อยควันขึ้นฟ้า ทำมือเป็นปีนยกขึ้นยิงนกที่กระพือปีกอิสระบนนั้น

“ปั้ง” เสียงเบาแต่มั่นคงออกจากปากสีเข้ม

เป้าหมายของเขาก็มีเหมือนกัน...คืออยากจับพ่อตัวเองเข้าคุก!


ห้องเรียนที่ไร้เป้าหมาย ไร้ความพยายาม

นักเรียนจำนวนสามสิบเอ็ดคนในห้องส่วนหนึ่งบอกกับหญิงสาวว่าอยากเป็นอะไร แต่ดูศักยภาพของพวกเขาในเวลานี้นั้น สิ่งที่พวกเขาต้องการไม่ต่างอะไรจากลมปากที่พูดจบก็หมดไป ไม่มีวันที่จะเป็นจริง

“พวกเธอเหลาะแหละ ไม่ได้เรื่องต่อไปอย่างนี้จะไปสู้รบปรบมือกับใครเขาได้”

ความอดทนกับนักเรียนที่เอาแต่วุ่นวายกับโทรศัพท์ คุยกับเพื่อน อ่านการ์ตูน อ่านนิยาย ฟังเพลง วาดรูปเล่น โดยไม่สนคนสองคนที่ยืนอยู่หน้าห้องมาถึงจุดสิ้นสุด นพมัลลีส่งเสียงฮึดฮัดหยามหยันก่อนจะกล่าวต่อ

“พวกเธออยู่ชั้นสุดท้ายในระดับมัธยม แต่ยังเป็นเต่าคลาน อะไรนะ อยากเป็นหมอ ตำรวจ พยาบาล นักบิน อยู่นาซ่า แล้วดูสิ่งที่พวกเธอทำในตอนนี้สิ ครูดูผลการเรียนของพวกเธอแล้ว มีแค่ไม่กี่คนที่คะแนนอยู่ในเกณฑ์ใช้ได้ แต่พอไปเทียบกับที่อื่น เธอจะไปสู้อะไรเขาได้ ไม่ต้องดูคนเทียบให้ไกล แค่ห้องหนึ่งพวกเธอก็สู้ไม่ได้แล้ว”

เกิดคลื่นเสียงวิจารณ์ หลายคนทำหน้าโกรธแค้นที่พวกตนถูกกดหัวซะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน ใครคนหนึ่งในห้องโยนกล่องดินสอออกมา และก่อนที่มันจะกระทบศีรษะของนพมัลลี แขนใหญ่ก็กางออกมาคว้าจับไว้ก่อน นัยน์ตาคมดุตวัดมองมือดีที่รีบก้มหน้าทำไม่รู้ไม่ชี้ หลบตาเขาไป

“มารยาทพื้นฐานในห้องเรียน การเคารพครูบาอาจารย์พวกเธอยังไม่มี!” นพมัลลีเค้นเสียงดังขึ้นอย่างโมโห สติเธอแทบขาดผึงอยู่รอมร่อ

นพมัลลีถอนหายใจเฮือกอย่างเหนื่อยอ่อน ทันทีที่สบตานุ่มลึกของตุนท์ที่ในมือยังถือกล่องดินสอผ้าไว้อยู่เธอก็เงียบอย่างรู้งาน

“อย่าได้มีอีกนะครับ ผมคงไม่หักคะแนนที่พวกคุณไม่เห็นค่า แต่จะส่งเรื่องนี้ไปให้ฝ่ายบุคคลเพื่อแจ้งต่อมารยาทของผู้เรียนกับผู้ปกครอง” ถึงใบหน้าตุนท์จะยิ้ม แต่ดวงตาเขากลับเชือดคนทำผิดให้ลนลาน และก้มหน้าต่ำจนเกือบจะนอนราบไปกับพื้นโต๊ะ

กล่องดินสอเจ้าปัญหาวางลงบนโต๊ะหน้าห้องของครู ตุนท์หมุนตัวกลับมาอีกครั้ง เรียบเรียงคำพูดอย่างมีสติ และมองนักเรียนทุกคนในห้องที่ยามนี้ไม่มีใครไม่ฟังเขาพูด

“ห้องหนึ่งได้รับอภิสิทธิ์เหนือกว่าห้องเรียนอื่นๆ ด้วยการไม่ต้องเข้าแถวในตอนเช้า ได้รับเวลาว่างอาทิตย์หนึ่งสองชั่วโมงจากคาบเรียนปกติ พวกเขาถือเป็นหัวกะทิของโรงเรียน แล้วกับห้องห้า พวกเธอนิยามตัวเองว่าเป็นอะไรในโรงเรียนนี้กัน”

“ครูกำลังว่าว่าพวกเราเป็นเด็กเลวที่ดีแต่ก่อปัญหาอย่างนั้นใช่ไหม ทั้งที่พ่อแม่พวกเราในห้องนี้คือคนจ่ายเงินหลักให้โรงเรียนนี้อย่างนั้นเหรอ” คมน์ เด็กหนุ่มผมยาวประบ่า หน้าเรียวขาวประกาศกร้าว เขาก็คือคนที่โกรธจนพลังมือปากล่องดินสอใส่หน้านพมัลลี เขามีความเชื่อมั่นมาตลอดว่าพ่อแม่ของเขาเป็นผู้ดีเก่า เป็นเจ้าของโรงสีใหญ่ที่ต่างจังหวัดและเงินไม่น้อยเลยที่ส่งให้กับโรงเรียนนี้ เพื่อที่จะรับเขาเข้าเรียนในระดับมัธยมปลาย หลังผลการเรียนระดับมัธยมต้นของเขาไม่ผ่านขึ้นชั้นมัธยมปลายในโรงเรียนเดิม

“ครูเชื่อว่าคนทุกคนเป็นคนเก่ง คนมีความสามารถเหนือใครได้ หากมีความพยายาม ความขวนขวาย อดทน และนั่นคือสิ่งที่ครูเปรียบเพื่อให้พวกเธอเห็นว่าพวกเธอทุกคน ‘ขาด’ อะไร”

“จะให้พวกเราไปนั่งเรียนหัวฟูอย่างนั้นไม่เอาหรอกนะคะ ฉันอยากเป็นเมกอัพอาร์ทติสก์ ให้มานั่งเรียนแคลคูลัส กฎการเคลื่อนที่ไปทำไม” นยฎาทำตาหวานใส่ครูหนุ่มหน้าตาดี เล็บสีแดงผิดกฎยกขึ้นปิดปากหัวเราะคิก “ทำเหมือนห้องหนึ่ง แต่เป็นห้องหนึ่งไม่ได้ จะทำเหมือนเขาทำไมคะ”

เปาะแปะๆ นพมัลลีปรบมือให้กับความคิดอันบรรเจิดที่เธอเพิ่งเห็น และรับรู้ว่านยฎาก็มี หญิงสาวจุดรอยยิ้มพอใจ หยิบปากกาเคมีขึ้นมาเขียนบอร์ด ‘ชมรมแหวกห้า’

“มาเป็นห้องห้าอย่างที่ไม่มีรุ่นไหนเหมือนกันเถอะ ต้องขอบคุณนยฎาที่มีความคิดเป็นของตัวเอง” นพมัลลียกความดีความชอบให้นยฎาที่ในยามปกติมองเธอด้วยสายตาไม่ชอบขี้หน้า และพอทั้งห้องชื่นชมเด็กสาวกัน นยฎาก็อดไม่ได้ที่จะยิ้มภูมิอกภูมิใจ แต่เมื่อสบตากับนพมัลลีเด็กสาวก็ทำหน้าเฉยใส่ ทั้งที่ปากเม้มไว้เพื่อปิดบังรอยยิ้ม

นพมมัลลีสังเกตอาการนยฎา แล้วยิ้มพอใจกับปฏิกิริยาที่อยู่ในทางบวก

“ทีนี้ครูจะขออธิบายความคิดให้ทุกๆ คนได้ฟังนะคะ”

ตุนท์รู้สึกสนใจความคิดของครูเจ้าแผนการที่กำลังสาธยายถึงการให้นักเรียนทุกคนมีโอกาสมาให้ความรู้ในเรื่องที่ตนเองสนใจ ให้เพื่อนร่วมห้องรับบทบาทสมมติ และเป็นในสิ่งที่เพื่อนคนนั้นอยากเป็นหนึ่งวัน ผลัดเปลี่ยนกันไป โดยใช้เวลาสามวันต่ออาทิตย์หลังเลิกเรียนร่วมใช้เวลานั้นด้วยกัน

“ในวันสุดท้ายของปีการศึกษา ใครที่ขยับเข้าใกล้ความฝันของตัวเองมากที่สุด เธอจะสามารถนึกบทลงโทษเพื่อนที่ช้าเป็นเต่าคลานได้”

“คนชนะขอให้ครูไปออกเดทได้ไหมล่ะครับ” บลินด์ยกมือเสนอพร้อมผิวปาก นพพลที่อยู่กลุ่มเดียวกันโห่ฮิ้วเสริม
นพมัลลีบังคับให้ตัวเองไม่แสดงสีหน้าผะอืดผะอมใส่เด็กช่างป้อ “ถ้าพวกเธอเข้าใกล้ความฝันของตัวเองได้จริง ไว้ค่อยมาขอครูเดทใหม่นะคุณบลินด์”

คนทั้งห้องหัวเราะอย่างครื้นเครง บรรยากาศมาคุในตอนแรกผ่อนคลาย และทุกคนล้วนสนใจที่จะควบคุมห้องเรียน โดยมีเพื่อนทุกคนรับรู้ ส่วนใครที่ยังไม่รู้ว่าอยากทำอะไรก็ทำหน้านิ่วคิ้วขมวด ไม่อยากยอมแพ้เพื่อนที่ก้าวนำด้วยการรู้จุดหมายของตัวเองไปแล้ว

“แต่ครูจะอยู่แค่เทอมเดียวนะครับ” มนุษย์เงียบประจำห้องสอดปากขึ้นมา เพื่อนทั้งห้องที่คุยเป็นนกกระจอกแตกรังก่อนหน้ากลับพร้อมใจกันปิดปากเงียบกริบ ทำหน้าอยากรู้สิ่งที่คมิกจะพูด

คมิกไม่ได้สนใจคนรอบข้างนอกจากนพมัลลี “ครูจะทิ้งพวกเราไปกลางคันใช่ไหม”

“วันสุดท้ายของเทอมนี้ ถ้าพวกเธอยังอยากให้ครูอยู่ต่ออีกเทอม ครูก็จะอยู่ต่อ”

นักเรียนหลายคนในห้องส่งเสียงโห่ สีหน้าสยดสยองกับการรู้ล่วงหน้าว่าอาจต้องเผชิญกับนพมัลลีไปตลอดปีการศึกษา ความประทับใจของคนส่วนใหญ่ในห้องจึงเทคะแนนเสียงไปในด้านต่อต้านครูนพมัลลีกัน

นพมัลลีฉีกยิ้มเสแสร้งแทนการแยกเขี้ยวที่อยากจะทำเพื่อรับคำท้าทายที่คมิกส่งมาให้ เขากำลังดูถูกว่าเธอจะเอาชนะใจเด็กนักเรียนในห้องนี้ไม่ได้ คงจะรวมถึงตัวเขาเองด้วย

ตุนท์หัวเราะเบาๆ ในคอ ส่ายหน้าให้กับศึกสงครามครูนักเรียนที่กำลังจะเกิดขึ้นตลอดเทอมนี้ และเขาก็หวังให้นพมัลลีชนะ

ผมไม่ใช่ครูที่ดีนักหรอก ชายหนุ่มคิดอย่างตลกขบขัน ดวงตาของเขาทอดมองนพมัลลีอย่างอ่อนโยน ทุกๆ วันที่ได้รู้จักหญิงสาว เขารู้สึกว่าเธอจะเปิดเผยตัวตนของเธอให้เขารู้จักทีละเล็กละน้อย และเขาก็สนุกจริงๆ ที่ได้สังเกต และรู้จักตัวตนของเธออย่างไม่รู้เบื่อ

ทั้งที่แต่ก่อนเขาคิดมาตลอดว่าเขาไม่มีอะไรที่เหมาะกับการเป็น ‘ครู’ และชีวิตในกรอบรั้วโรงเรียนคงจะเต็มไปด้วยความน่าเบื่อมิใช่น้อย

วันนี้นพมัลลีได้ทำลายความคิดนั้นของเขาไปจนหมดสิ้น


นักเรียนทยอยออกจากห้องเรียนศิลปะไปจนเหลือเพียงนพมัลลีที่นั่งนวดข้อเท้าซึ่งยืนเมื่อยบนรองเท้ามีส้นที่เธอไม่เคยนึกพิศวาสที่จะใส่ตลอดทั้งวัน ปกติเธอจะใส่รองเท้าหุ้มข้อส้นเตี้ย ไม่ก็ผ้าใบ เธอไม่สนหรอกว่าใครจะมองเธอไม่เหมือนครู สำหรับเธอการแต่งตัวเป็นเพียงองค์ประกอบภายนอก คุณภาพของครูจะมาหรือน้อยอยู่ที่ตัวบุคคลมากกว่า แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นทุกอย่างย่อมต้องมีจุดผ่อนผัน เพราะต้องสอบสอน คะแนนบุคลิกภาพก็มีอยู่ในการสอนด้วย เธอจึงยอมหยิบรองเท้าคู่นี้มาใส่อีกครั้ง

นพมัลลีถอดรองเท้าออก นิ้วก้อยของเธอบวมแดง และส้นเท้าก็ขึ้นรอยถูกรองเท้ากัด รองเท้าแตะที่เตรียมไว้แต่แรกเก็บไว้ใต้โต๊ะนำมาสับเปลี่ยน ครูสาวพรูลมหายใจออกมาอย่างโล่งอก ก่อนจะกลับมาสนใจแฟ้มประวัตินักเรียนห้องมอหกทับห้าที่เธออ่านค้างไว้ยังไม่จบ

“คุณขยันจัง” ตุนท์เดินเข้ามานั่งบนเก้าอี้ว่างซึ่งตั้งล้อมเป็นวงกลม ห้องนี้เมื่อสองอาทิตย์ก่อนยังเต็มไปด้วยฝุ่น บัดนี้เพราะเขาและนพมัลลีช่วยกันมันจึงเป็นห้องสะอาด เปิดโล่ง ถึงจะมีกลิ่นสีน้ำมันที่เขาเห็นนพมัลลีขึ้นมาใช้วาดรูปบนผืนผ้าใบเวลาว่างแล้ว กลิ่นหอมอ่อนของต้นมะลิข้างหน้าต่างก็ช่วยกลบกลิ่นเหม็นสีได้บ้าง

“ฉันจำเป็นต้องรู้ประวัติพวกเขา ไม่อย่างนั้นจะรู้เหรอว่าเขามีปัญหาอะไรหรือเปล่า มันอาจจะช่วยอะไรมากไม่ได้ แต่ก็ยังดีกว่าไม่ทำอะไรเลย”

“คุณเป็นครูตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมงเลยนะ”

ครูสาวหัวเราะหึ ไม่รู้จะซาบซึ้งหรือร้องไห้ดี “ก็แค่เทอมนี้เท่านั้นแหละค่ะ”

“ถ้าจบเทอมนี้ไป แล้วพวกนักเรียนขอให้คุณอยู่ต่อเพื่อพวกเขาล่ะครับ” ตุนท์ปากแข็ง ไม่ยอมปริปากว่าที่จริงเป็นเขาต่างหากที่อยากจะขอให้เธออยู่ต่อ

“ฉันเองยังไม่มีคำตอบในตอนนี้หรอกค่ะ ทุกวันนี้แค่พวกเขาเห็นหน้าฉันก็เบ้ปากใส่กันหมดแล้ว”

“ยังมีบางคนที่เขาไม่เบ้หน้าใส่เวลาเจอหน้าคุณนะ”

“คุณเหรอ” หญิงสาวโพล่งออกไปอย่างรู้ทัน

นพมัลลีเห็นหน้าดร.ตุนท์ขึ้นสี แล้วหลบตาเธอก็รู้ว่าตัวเองเข้าใจเขาได้ถูกต้อง เธอเองก็ไม่ได้โง่ถึงขนาดมองความรู้สึกที่ตุนท์พยายามแสดงออกมาหลายต่อหลายครั้งไม่ออก เขามักจะวนเวียนอยู่ใกล้ๆ เธอ เขาไม่ได้ทำให้เธออึดอัด ไม่พาตัวเองมาสร้างประเด็นให้เธอเป็นปัญหาในฐานะนักศึกษาฝึกสอน และยังคอยช่วยเหลือเธอทุกครั้งเมื่อเขาช่วยได้

“โดนรู้ทันอย่างนี้ ผมก็ขาดทุนสิ” ตุนท์กระแอมเรียกความมั่นใจ พร้อมหันมาสบตานพมัลลี ทำหน้าเสียดาย “ผมอุตส่าห์เก็บซ่อนมันไว้อย่างมิดชิด”

“มิดชิดมากๆ เลยค่ะ”

ตุนท์หัวเราะกับอาการแสร้งชมประชดใส่ ถึงเขาจะถูกนพมัลลีดูออกเขาก็จะยังแสดงออกเหมือนเดิม คงเป็นความเคยชินของเขาที่ต้องพบหน้านพมัลลีทุกวัน การแสดงออกทางอารมณ์อันมากมายของหญิงสาวทำให้เขารู้สึกสนใจจริงๆ

“ถ้าคุณรู้ตัวอย่างนี้ จากนี้ผมไม่ประหยัดความรู้สึกหรอกนะ”

“มันจะเป็นความพยายามที่สูญเปล่านะคะ หว่านเมล็ดไม่ได้ผล น้ำหยดลงหิน หินไม่ยอมกร่อน” นพมัลลีอธิบายด้วยรอยยิ้มของผู้มีเมตตา เธอโปรดมนุษย์ที่กำลังหน้ามืดคนหนึ่ง และหวังว่าเขาจะตาสว่างด้วยการไม่มองเธอเป็นเพชรมีค่าในสายตาอีก

เธอเป็นได้แค่ก้อนกรวด เม็ดทรายที่มีมากมายในสังคม ไม่ใช่คนวิเศษวิโสเลอเลิศแต่อย่างใด

“ผมเองยังไม่มีคำตอบในตอนนี้หรอกครับ ทุกวันนี้แค่เห็นหน้าคุณ ปากมันก็ยิ้มออกมาเองแล้ว” ตุนท์ลอกคำตอบของนพมัลลีก่อนหน้ามาได้เกือบครบถ้วน แล้วดัดแปลงมันเล็กน้อยให้ตรงกับความเป็นเขาที่สุด รอยยิ้มที่กว้างขวางทั้งปากและตาของเขา สื่ออารมณ์ได้ชัดเจนกว่าคำพูดเป็นพันเท่า

คนถูกลอกคำพูดย่นจมูกใส่ ก่อนจะส่ายหัวไม่ถือสาหาความ เขาอยากทำอะไรเธอจะห้ามอะไรได้ อยากสนใจเธอ เธอจะเอาน้ำสาดไล่ก็ใช่ที่ ตราบใดที่เธอไม่ได้แสดงอาการให้ความหวังกับเขากลับไป ไม่นานดร.ตุนท์จะเลิกสนใจเธอไปเอง

“วันเสาร์นี้คุณว่างไหม ผมอยากให้คุณไปที่ๆ หนึ่งกับผม” เจอสายตาหรี่มองไม่ไว้ใจมา ตุนท์รีบยกมือสารภาพ “ไม่ใช่เรื่องที่ผมสนใจคุณ คุณไว้ใจได้มันไม่ใช่เดทแน่นอน”

“เกี่ยวกับฉันเหรอคะ”

“มันเป็นเรื่องของคุณเลยครับ”


“ฉันอยากฆ่าคุณหมกส้วม!”

เป็นประโยคแรกที่นพมัลลีนึกออกหลังจากรถของตุนท์เคลื่อนมาจอดยังหน้าบ้านไม้เก่าหลังหนึ่ง สีสภาพบ้านทั้งหลังลอกล่อนหลุดเป็นแผ่น ไม้ที่นำมาทำบ้านก็ดูง่อนแง่น จากระยะเวลาที่ผ่านร้อนผ่านฝนมาไม่น้อย โดยไร้ซึ่งการปรับปรุงดูแลอย่างดี

ตุนท์ดับเครื่องรถ เขาพอจะเดาอาการหน้าแดงก่ำ ตัวสั่นเทิ้มด้วยความโกรธของนพมัลลีออกทีเดียวตั้งแต่ครั้งแรกที่คิดพาเจ้าหล่อนมาในสถานที่ที่มีเด็กสาวคนหนึ่งอาศัยอยู่

“คุณไม่ได้ทำอะไรผิด ไม่เคยทำผิด แล้วมีอะไรต้องกลัว ผมกำลังเรียกร้องความยุติธรรมคืนให้คุณกับเด็กคนนั้นอยู่ อย่างน้อยๆ คนที่ทำผิดก็ไม่ควรเสวยสุข มีชีวิตสุขสบายโดยไม่มีสำนึก”

“ดูคุณจะรู้จักเรื่องของฉันเยอะเกินไปแล้วนะคะ” นพมัลลีเค้นเสียงต่อว่า นอกจากผลของเรื่องจะจบลงแบบที่เธอเผชิญ เรื่องคราวนี้อาจทำให้เธอโดนเพ่งเล็ง และเรียนไม่จบ

“คุณเป็นครู จะทิ้งลูกศิษย์ของตัวเองไปง่ายๆ เหรอครับ” ตุนท์ยังคงใจเย็น หน้าตาของเขาไม่ได้มีรอยยิ้มประดับใบหน้าอีก เขารู้ว่าตัวเองจุ้นจ้านกับเรื่องของนพมัลลี แต่ถ้าเขาไม่ข้องเกี่ยว เขาจะรับรู้ได้อย่างไรว่าชีวิตของนักเรียนคนนั้นกำลังพบเจอกับอะไรอยู่

นพมัลลีสะอึก น่าแปลกเหลือเกินที่คนแปลกหน้าบนโลกใบนี้ รู้จักกันไม่นาน กลับมีภาระหน้าที่อันหนักหนาที่ต้องรับผิดชอบชีวิตของคนไปช่วงหนึ่ง ตลอดระยะเวลาที่ตัวเองพึงระลึกเสมอว่าเป็น ‘ครู’

ความเงียบที่นพมัลลีหยิบยื่นแทนการคัดค้านเป็นการรับฟังสิ่งที่ตุนท์ต้องการให้เธอรู้กรายๆ หญิงสาวมองบ้านที่เธอเคยดั้นด้นมาอยู่หลายครั้งในอดีต คล้ายเห็นความเจ็บปวดของเด็กคนหนึ่ง เด็กนักเรียนที่เธอฉุดรั้ง และพาเขาก้าวข้ามผ่านปัญหาไปไม่ได้


ความกล้าของนักเรียนคนหนึ่งที่เดินเข้ามาสารภาพกับเธอว่าถูก ‘ใคร’ กระทำย่ำยีต่อร่างกายในวันหนึ่งซึ่งเธอจวนจะฝึกสอนสำเร็จ สร้างความตกใจแก่เธอ เด็กสาวผอมบางที่มีประวัติเรียนดี รักดี เข้าร่วมกิจกรรมกับโรงเรียน แม้ที่บ้านจะมีฐานะยากจนก็ไม่เคยย่อท้อ ขอทุนจากโรงเรียนได้ตลอด

ทุกอย่างก็พังทลายลงไปในระยะเวลาอันสั้น เด็กสาวพยายามลืมความรู้สึกที่ถูกเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่งย่ำยีไป แต่ฝันร้ายยังคงมาเยือนเมื่อมีสิ่งมีชีวิตเล็กๆ อันบริสุทธิ์เกิดขึ้นในท้องของเธอ

‘ฉันไม่รู้จะทำยังไงค่ะครู ฉันไม่กล้าบอกแม่’

‘เธอยังมีครู เธอต้องอดทน มีสติ ห้ามทำร้ายเด็กในท้องเด็ดขาด เขาก็เป็นผู้บริสุทธิ์เหมือนๆ กับเธอ’

เด็กสาวร้องไห้หนัก ได้แต่บอกออกมาอย่างเจ็บปวดว่า

‘ไม่มีความยุติธรรมบนโลกใบนี้ ไม่เคยมีเลยจริงๆ’

‘ความถูกต้องไม่มีทางไม่ยุติธรรม’


ความถูกต้องถูกสาดโคลนกลายเป็นความผิด นพมัลลีรู้ซึ้งก็ตอนที่เธอถูกคนทั้งโรงเรียนปิดประตูดับความหวังในการช่วยลูกศิษย์ และได้แต่มองผอ.ของโรงเรียนส่งลูกชายไปอยู่ที่ต่างประเทศ และโยนความผิด ราดน้ำกรดใส่ใจเด็กคนหนึ่งจนแทบไม่เป็นผู้เป็นคน

นพมัลลีได้รับโทรศัพท์กลางดึกจากโรงพยาบาล เพื่อพบว่านิลุบลอยู่โรงพยาบาลเพราะทานยาไปเกินขนาด ด้วยความเครียดจัด ประจวบกับฤทธิ์ยาที่กลายเป็นพิษกับครรภ์ ในที่สุดเด็กในท้องก็ลาจากนิลุบลไป

‘ครูไม่ต้องทำอะไรแล้ว ไม่ต้องยุ่งเรื่องของฉัน! เขาไม่อยู่กับฉันแล้ว’ เสียงร้องไห้ของนิลุบลเป็นความผิดพลาดที่นพมัลลีไม่เคยลืมเลือน ขณะที่เธอกอดลูกศิษย์ผู้อ่อนแรงไว้ น้ำตาของเธอก็ไหลออกมาเงียบๆ ด้วยเช่นกัน

‘ครูขอโทษ’


จนถึงนาทีนี้นพมัลลีได้แต่ถามกับตัวเอง ความยุติธรรมคืออะไร ความถูกต้องคืออะไร ทำไมคนดีๆ อย่างนิลุบลต้องมาพบเจอเรื่องราวอย่างนี้

“เขาออกมาแล้ว”

นพมัลลีดึงสติของตัวเองกลับสู่ปัจจุบัน สายตาจดจ้องไปยังร่างของอดีตลูกศิษย์ที่เดินออกมาจากในบ้าน สภาพลูกศิษย์ของเธอที่มีภาพลักษณ์ต่างไปจากเดิม ผมที่เคยยาวจรดหลังก็ตัดซอยสั้น ใบหน้าธรรมชาติแต่งจัดจ้านด้วยสีโทนแดง นิลุบลสวมเสื้อคลุมตัวยาวมิดชิดออกจากบ้าน ไม่ทันเห็นเธอซึ่งอยู่ในรถ

“ฉันยังทำอะไรได้อีกคะ”

“เกลี้ยกล่อมเขาให้ไปแจ้งความกับทางตำรวจ”

“เราจะรื้อฟื้นเรื่องพวกนี้ไปทำไมคะ!” นพมัลลีหลุดอารมณ์ด้านมืดของตัวเองออกมา สีหน้าซีดเผือด “คุณไม่เคยเจอะเจอเรื่องแบบนี้กับตัว คุณก็แค่คนนอก จะไปเข้าใจอะไร ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่อยากสู้ แต่เราสู้แล้วมีแต่เจ็บตัวเพิ่ม คุณจะหาว่าฉันขี้ขลาดก็ได้”

“แล้วจะปล่อยให้มันเป็นบาดแผลในใจคนๆ หนึ่งไปทั้งชีวิตเหรอ คุณจะใจดำ เหมือนคนพวกนั้นเหรอครับ” ตุนท์ออกรถ และขับตามแท็กซี่ที่นิลุบลขึ้นไปอยู่ห่างๆ ไม่ให้อีกฝ่ายรู้ตัว เขาเหลือบมองนพมัลลีที่นิ่งเงียบ และเมินเขาด้วยการมองไปนอกหน้าต่าง

“คุณเองก็มีบาดแผลในอดีตมาเหมือนกันใช่ไหมครับ”

ท่าทางสงบเยือกเย็น ใบหน้าเย็นเยียบกว่าปกติของหญิงสาวตอบคำถามคาใจเขาได้เปลาะหนึ่ง เธอยังมีโลกใบหนึ่งของตัวเธอที่ซ่อนเร้นจากทุกคน

“อดีตเป็นสิ่งที่ผ่านไปแล้ว” นพมัลลีปิดบังแววตาเจ็บปวดไว้ไม่มิด “สิ่งไหนเกิดขึ้นไปแล้ว ไปแก้ให้มันไม่เกิดขึ้นก็ไม่ได้ ขนาดจะร้องหาความเป็นธรรม เรายังทำไม่ได้เลย คนขี้ขลาด ไม่คิดสู้ ก็ทำได้แค่ยอมรับ หรือไม่ก็ลืม”

“แล้วคุณจัดการมันด้วยการยอมรับ หรือลืมล่ะครับ”

รถของตุนท์เลี้ยวไปในสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า นพมัลลีสัมผัสได้ว่าอัตราการเต้นของหัวใจเธอนั้นรัวกระหน่ำ หญิงสาวคิดว่าคำตอบของเธอคงตรงใจกับนิลุบลที่สุด

“เมื่อลืมไม่ได้ เราก็ต้องอยู่กับมันให้ได้ ทั้งชีวิตฉันไม่มีทางยอมรับบทเรียนที่ ‘พลาด’ ไปหรอกค่ะ แต่ฉันไม่มีทางเลือกอื่น ฉันต้อง ‘อยู่’ ต่อไป ชีวิตของฉันถูกบีบให้ต้องเป็นอย่างนั้น”

นพมัลลียิ้มขมขื่น ได้แต่กัดฟันบังคับเท้าอันหนักอึ้งให้เดินลงจากรถ และก้าวไปยังโรงอาหารกว้างของสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า

นิลุบลที่กำลังอุ้มเด็กเล็กอายุไม่กี่ขวบขึ้นแนบอกหันมองมาตามสายตาเด็กๆ ภาพครูสาวที่เธอไม่พบหน้ามาหลายเดือนหยุดยืนอยู่ตรงนั้น และกำลังยิ้มให้เธอ

“ครูลี”

“เธอสบายดีไหม”

........................................................


คุณ ร้อยวจี บทหน้าจะยิ่งกว่าบทที่แล้วค่ะ แต่ยังไม่ต้องเตรียมทิชชู่มานะคะ ฮา
คุณ โอชิน นพมัลลี แปลว่า ดอกมะลิซ้อน ค่ะ เป็นชื่อที่เคยตั้งใจไว้ใช้ในเรื่องอื่นค่ะ แต่แค่วางโครง ฮา อันนี้หยิบชื่อนี้มาเป็นนางเอกเลยดีกว่าค่ะ ส่วนเรื่องโรงเรียนที่จริงคนเขียนก็เติบโตมาในสภาพโรงเรียนที่ครูดี เพื่อนดีนะคะ สังคมในเรื่องจะไปใกล้กับคนใกล้ตัวมากกว่า เขาเจอประสบการณ์หลายๆ อย่างที่เป็นจริงมาไม่น้อย ฮา เป็นอีกมุมในชีวิตของครูค่ะ เหรียญย่อมมีสองด้าน ^^

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ บทนำก็น้ำตาคลอแล้ว บทเรื่อยๆ มานี่ยังเรียบๆ ค่อยๆ เหยาะดราม่าไปทีละนิด สไตล์คนเขียนโรคจิตหน่อยๆ นะคะ ฮา นางเอกของปวราต้องมีความแข็งแรงทนทานค่ะ ฮ่าๆ มีหลายเรื่องก่อนหน้าเป็นพยาน

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอให้มีความสุขในการอ่านค่า ตอนเขียนไปก็ปาดเหงื่อไป เตรียมความดราม่าไว้รอมิใช่น้อยเลย แต่...พระเอกน่ารักนะเออ :)




ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 20 ก.พ. 2558, 03:25:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.พ. 2558, 23:41:46 น.

จำนวนการเข้าชม : 1470





<< บทที่ 2 : เรื่องเก่าที่ไม่อยากพูดถึง   บทที่ 4 : ติดตาม >>
OhLaLa 21 ก.พ. 2558, 17:41:49 น.
กลัวว่าปมของลีจะคล้ายกับลูกศิษย์หรือเปล่าคะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 3 มี.ค. 2558, 23:28:50 น.
ขอตามอ่านไปเรื่อยๆ นะคะ เด๋วจะโกยน้ำตามาฝาก ฮี่ๆๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account