สัญญารักพรางใจ
คิมหันต์ไม่เคยเชื่อเรื่องพรหมบันดาล โชคชะตา ทำบุญร่วมกันมา
เขาเชื่อว่าทุกอย่างอยู่ที่การกระทำ
หากไม่มีเหตุการณ์นั้นเขาจะแต่งงานกับมัทนาเพราะเหตุผลอะไร

Tags: ความรัก สัญญา ความลับ

ตอน: ตอนที่ 9

ใช้เวลาประมาณสิบห้านาทีตามที่ปวรบอกรถก็มาจอดที่สวนสาธารณะแห่งหนึ่ง มัทนาลงจากรถแล้วเดินตามคนขับรถไปยังศาลากลางสวน ชายชราซึ่งเป็นปู่ของคิมหันต์รออยู่ที่นั่นและยิ้มให้เธออย่างผู้ใหญ่ใจดี เธอเคยได้ยินพี่ๆ ในฝ่ายพูดถึงคุณทีปต์หลายครั้งด้วยความนับถือ ถ้าพบกันในเวลาอื่น เธอคงไม่กังวลเมื่อต้องมาพบเขาแบบนี้
“สวัสดีค่ะ” เธอยกมือไหว้ตามมารยาทแล้วยิ้มให้เพราะไม่รู้จะทำหน้าอย่างไรเหมือนกัน
“นั่งก่อนสิหนูมัท”
มัทนานั่งลงแล้วรอฟัง คำตอบมาจ่ออยู่ที่ปลายลิ้น ถ้าเพียงแต่ซองสีน้ำตาลหนาปึ๊กจะไม่ถูกส่งมาให้เธอเสียก่อน
“รับไปสิ แล้วปู่จะตอบทุกอย่างที่หนูสงสัย”
มัทนารับซองเอกสารมาเปิดดูของข้างในก็พบว่าเป็นกระดาษที่ปริ๊นข้อความต่างๆ แล้วเมื่ออ่านดูก็พบว่ามันช่างคุ้นในเนื้อความเหลือเกิน พออ่านอย่างตั้งใจก็พบว่ามันเป็นความในใจจากเมล์ที่เธอส่งถึงอังเคิลเคตลอดหนึ่งปีที่ผ่านมา หญิงสาวเงยหน้าขึ้นมองคุณทีปต์อย่างไม่แน่ใจนัก คนที่อยู่ในจินตนาการไม่มีอะไรที่เหมือนชายชราที่น่าเกรงขามคนนี้เลยสักนิด แต่ถ้าเขาไม่ใช่คนที่เธอคิดว่าใช่จะมีเมล์ที่เราติดต่อกันได้อย่างไร
“เป็นไปได้ยังไงคะ”
ทีปต์ยิ้มกว้าง มีหลายเหตุผลที่เขาเข้าไปช่วยมัทนาและครอบครัว แต่มีเหตุผลเดียวที่เขารักมัทนาเหมือนหลาน เพราะเด็กคนนี้จิตใจดีอย่างไรล่ะ
“มันเป็นไปแล้ว แปลกใจจนอึ้งเลยเหรอ ไหนว่าอยากพบอังเคิลเค”
เธอลุกขึ้นเพื่อเข้าไปยกมือไหว้ใกล้ๆ แล้วกอด ผู้มีประคุณ ที่ปรึกษาเหมือนพ่อ แต่ตอนนี้คงต้องเหมือนปู่แทนแล้ว ทีปต์กอดตอบยิ้มกว้างรู้สึกสบายที่ได้เปิดเผยตัวตนกับมัทนาเสียที ที่ผ่านมาเขาได้แต่รู้ความเป็นไปของเด็กคนนี้จากจดหมาย สิ่งที่ครอบครัวเธอให้กับครอบครัวของเขา น้อยไปด้วยซ้ำกับสิ่งที่เขามอบกลับไป
มัทนาคลายกอด รู้สึกสบายใจที่จะคุยกับอังเคิลเคมากกว่าคุณทีปต์ที่เป็นปู่ของคิมหันต์ขึ้นเป็นกอง คำถามหนึ่งเกิดขึ้นกลางใจทำไมผู้ชายที่ร่ำรวยและมีอิทธิพลถึงได้มาช่วยครอบครัวของเธอ สองครอบครัวไม่น่าจะรู้จักกันมาก่อนแน่ๆ แล้วมันเพราะเหตุผลอะไร
“ขอบคุณที่เป็นอีกคนบนโลกใบนี้ที่ดีกับมัทมาตลอด มัทดีใจที่ได้พบอังเคิลเคนะคะ แต่ว่ามันอึ้งมาก ไม่คิดว่าเราอยู่ใกล้ๆ กันแค่นี้เอง”
“ลุง ไม่สิ คงต้องแทนตัวเองว่าปู่แล้วล่ะ ปู่ดีใจนะที่หนูมัทเติบโตมาอย่างแข็งแกร่ง ร่าเริงทำให้คนแก่มีความสุขเหมือนได้มีหลานสาวขึ้นมาจริงๆ”
มัทนาเคยถามในเมล์ว่าทำไมต้องเรียกว่าอังเคิลเค เรียกว่าลุงเคไม่ได้หรือ คำตอบที่ได้ทำให้เธอคิดว่าอังเคิลเคเป็นคนมีอารมณ์ขัน คำตอบว่าอย่างไรน่ะหรือ ก็แค่ลุงเคฟังแล้วไม่เท่ ใครๆ ก็เรียกกัน แล้วที่สำคัญยังไม่อยากแก่
“มัทก็คิดว่าอังเคิลเคเป็นผู้ใหญ่ที่น่ารักมาก เหมือนญาติจริงๆ ค่ะ พอได้เจอกันจริงๆ มัทเลยทำอะไรไม่ถูก รู้แต่ว่าดีใจจังเลย”
“ถ้างั้นเรามาเป็นญาติกันจริงๆ ดีไหมล่ะ” ทีปต์ได้ที
มัทนาหัวเราะแฮะๆ “ถ้าผู้หญิงที่อยู่กับหลานของอังเคิลเคไม่ใช่มัท สิ่งที่กำลังเกิดขึ้นจะเหมือนเดิมไหมคะ”
เป็นคำถามที่น่าสนใจ ถ้าผู้หญิงที่คิมหันต์นอนกอดมาทั้งคืนเป็นนันทินีเขาจะตัดสินใจอย่างไร แน่ล่ะ เขาไม่ยอมรับผู้หญิงแบบนั้น แต่ถ้ามันเกิดขึ้นจริงๆ แล้วหลานชายพร้อมรับผิดชอบเขาก็คงต้องยอมรับเหมือนกัน
“ไม่ต่างกัน เพียงแต่สิ่งที่ปู่ทำก็มาจากสิ่งที่เกิดขึ้น ไม่มีใครรับได้ ปู่รับไม่ได้ถ้าต้องปล่อยให้เรื่องนี้ผ่านไป แม่ของหนูมัทก็รับไม่ได้แต่เพราะรักลูกก็เลยตามใจ ทั้งที่มันลำบากใจ”
“แต่มันไม่มีอะไรเกิดขึ้นจริงๆ นะคะ”
ทางฝั่งมัทนาของแน่ใจว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นแน่ๆ แต่ทีปต์คิดว่าทางคิมหันต์มีอาจจะมีแต่ไม่ยอมพูดออกมา
“คนอย่างเจ้าคิม ถ้ามันไม่ยอม ยังไงมันก็ไม่ยอม แต่ที่มันยอมต้องมีอะไรสักอย่าง เชื่อปู่เถอะนะ หลานปู่มันไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร แค่มันถูกหักอกมาเลยเป็นคนเก็บความรู้สึกจนน่าหมั่นไส้เท่านั้นเอง”
ถึงว่าคิมหันต์ชอบทำหน้าเหมือนคนปวดท้องอยู่ตลอดเวลา อกหักมาก่อนนี่เอง แต่นั่นยังไม่ใช่ประเด็น ตอนนี้เธอต้องคิดให้มากๆ อย่าใจอ่อนเด็ดขาด
“มัทยังมีเวลาคิดใช่ไหมคะ”
“ยังมีเวลาอีกวัน แต่เชื่อปู่เถอะ เปิดใจให้หลานปู่ แล้วจะเห็นว่าเจ้าคิมมันเป็นคนดี” คนเป็นปู่เชียร์หลานออกหน้าออกตา
มัทนายิ้มให้อังเคิลเคที่แสนจะอารมณ์ดี
“ก็ได้ค่ะ มัทจะลองคิดดู”
ทีปต์ยิ้มกว้างไม่เสียหลายที่ลงทุนมาคุยด้วยตัวเอง การที่เขาเป็นอังเคิลเคของหนูมัททำให้เกิดความไว้ใจพอที่จะพูดเปิดใจ แต่ก็นั่นล่ะ ทุกอย่างขึ้นอยู่กับการตัดสินใจของมัทนา ถ้าไม่ตอบตกลงเขาก็จะยอมรับการตัดสินใจ แต่ไม่เลิกล้มความตั้งใจที่จะทำให้เด็กคนนี้มาเป็นหลานสะใภ้ของเขาให้ได้ เจ้าคิมมันจะรู้ตัวไหมว่าเวลามองหนูมัทนั้นอ่อนโยนและใกล้เหมือนผู้ชายที่ชอบผู้หญิงสักคนเข้าแล้ว

คิมหันต์เพิ่งรู้จากปวรว่าปู่มาถึงที่นี่แล้วสั่งให้คนขับรถมาพามัทนาไปพบ พอโทรหาปู่กลับไม่ยอมรับสาย เขาไม่ได้กังวลเรื่องที่มัทนาจะถูกปู่ของเขาหว่านล้อม แต่อยากให้เรื่องนี้เป็นเรื่องของเราสองคนมากกว่า ถ้าเราจะแต่งงานกันจริงๆ ไม่ควรเกิดจาการบังคับ เขาตัดสินใจแล้วและมั่นใจว่าไม่ได้ถูกบังคับ แต่อีกฝ่ายเขาอยากให้อิสระ
ร่างสูงเดินมายืนรอปู่กับมัทนาหน้าตึก พนักงานเดินมาพากันยกมือไหว้คงสงสัยว่าบอสมายืนแถวๆ นี้ทำไม รหัทตามนายมาตามที่ปวรบอก ในบริษัทเขาจะไม่ตามคิมหันต์แบบเห็นชัดเจน พนักงานคงแตกตื่นคิดว่าจะถูกถล่ม คิมหันต์ถอนใจเมื่อเห็นรถคันหนึ่งขับเข้ามา ไม่ใช่รถของปู่หรอก แต่เป็นรถที่แต่งมาอย่างกับถนนเมืองไทยเป็นสนามแข่งรถ ภาวัตจอดรถคันเก่งแล้วเดินมาหาลูกพี่ลูกน้องที่มีศักดิ์เป็นพี่
“มาทำไมวะ” คนกันเองไม่ต้องพิธีรีตองมาก ถามมันตรงๆ นี่แหละ
ภาวัตหัวเราะสงสัยคิมหันต์จะความจำสั้น แถมทำหน้าเหมือนไม่อยากรับแขก มายืนตรงนี้ทำอย่างกับรู้ว่าเขาจะมาอย่างไรอย่างนั้น
“อ้าว ก็มาหาว่าที่แฟนน่ะสิ ไหนล่ะ อยู่ฝ่ายไหนจะไปทำความรู้จักสักหน่อย”
“อยู่ฝ่ายวิจัยและพัฒนา”
ภาวัตทำหน้าเหมือนถูกหวย ถ้าได้แฟนฉลาดเขาจะได้ใช้สมองน้อยลง ยังไม่ทันได้ไปหาว่าที่แฟนรถอีกคันก็แล่นเข้ามาจอดข้างหน้า ทีปต์ก้าวลงมาตามด้วยมัทนาที่ไม่นึกว่าคิมหันต์อยู่บริษัทวันนี้ ทั้งที่ปกติถ้าเป็นวันนี้ของทุกสัปดาห์เขาต้องอยู่สำนักงานใหญ่ไม่ใช่หรือ
“ทำไมมาด้วยกันได้ล่ะครับปู่”
ภาวัตยังอารมณ์ดีต่อ แถมยังแจกยิ้มให้มัทนาอีกด้วย คิมหันต์ถอนใจใหญ่เมินหน้าไม่อยากมอง
“ก็อยากมาหาว่าที่หลานสะใภ้ มากันก็ดีแล้ว คิมไปกับปู่ นานๆ เข้าบริษัททีอยากดูโน่นดูนี่ ส่วนเจ้าวัตพาหนูมัทไปส่งที่ฝ่ายวิจัยฯ ทีนะ” ทีปต์ยิ้มมีเลศนัย
คิมหันต์หันมามองสายตาบอกชัดกำลังอยากเตะใครสักคนที่กำลังยิ้มให้มัทนา
“ถ้างั้นก็ไปส่งคนสำคัญกันหมดนี่แหละครับ แล้วค่อยไปโน่นไปนี่ต่อ”
มัทนาเห็นว่าจะกลายเป็นเรื่องใหญ่ เธอเนี่ยแหละจะถูกเมาท์จากบรรดาผู้หญิงที่มีเพียงน้อยนิดใน Blue Ship
“มัทไปเองดีกว่าค่ะ ลานะคะ”
ภาวัตยังไม่ทันได้ออกปากห้าม ว่าที่แฟนก็ไหว้เร็วๆ แล้วเดินจ้ำอ้าวเข้าตึกไปแล้ว ครั้นจะตามไปก็ใช่ที่ยังไม่รู้จักกันเป็นเรื่องเป็นราวด้วยซ้ำ ใครล่ะที่ทำให้เสียเรื่องหมด
“อ้าว! อดเลย อะไรวะพี่คิม”
ทีปต์หัวเราะ คิมหันต์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้
“ไปกันครับปู่”
ภาวัตหัวเราะแบบไม่เข้าใจแล้วเดินตามปู่กับพี่ชายเข้าไปในบริษัท รหัทมองตามแล้วยิ้ม เจ้านายจะรู้ตัวไหมว่าเริ่มออกนอกหน้า ทีปต์ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้ยามที่คิมหันต์จงใจจ้องอย่างกับกำลังอยากถามว่าทำแบบนี้ทำไม ภาวัตไม่ได้มาเสียเที่ยว เขาได้ไปเดินชมบริษัทและได้รู้จักมัทนาในที่สุด แต่เธอไม่มีทีท่าสนใจเขาแม้แต่นิดเดียว มาเสียเที่ยวเสียแล้วกระมัง
ตกบ่ายคิมหันต์ไปสถานีตำรวจเพื่อคุยเรื่องที่ถูกลอบยิงซึ่งปวรรับธุระมาแจ้งความให้เมื่อเช้า หลักฐานที่ตำรวจพบจากมือปืนที่ถูกฟ้าผ่าตายไม่ช่วยอะไรมาก โทรศัพท์ที่พบอยู่ด้วยถูกนำไปหาเงื่อนงำอย่างการติดต่อกับผู้ว่าจ้าง ภุชงค์กำลังพุ่งประเด็นไปที่การขัดแย้งทางธุรกิจจากที่คิมหันต์ถูกลอบยิงทั้งสองครั้ง
แล้วคนที่คิมหันต์ขัดแย้งด้วยก็มีเพียงคนเดียวตั้งแต่เข้ามาบริหารงานของ Blue Ship เสี่ยทรงชัยถูกติดตามความเคลื่อนไหวตั้งแต่วันนี้จนกว่าจะพบหลักฐานที่พุ่งเป้าไปที่ผู้บงการอื่น

มัทนายังคงมาทำงานในวันสุดสัปดาห์ พอจะโล่งใจอยู่บ้างเพราะรู้ว่าคิมหันต์อยู่สำนักงานที่กรุงเทพฯ มันเป็นเรื่องที่ทำให้สมาธิในการทำงานของเธอลดลง ถามว่ารำคาญตัวเองไหม บอกเลยว่ามากๆ แต่พอคิดตกแล้วก็พอจะมีสติทำงานคุ้มเงินค่างจ้างหน่อย วันนี้อู่โทรมาบอกว่าลุงริชาร์ดหายดีแล้ว พอเลิกงานเธอเลยเดินมารอรถสองแถวโดยมีเดชามายืนรอเป็นเพื่อนและขอตามไปที่อู่ เธอปฏิเสธไปไม่อยากให้ต้องมาลำบากไปด้วย
เย็นวันศุกร์เป็นเหมือนวันนรกแตก รถวิ่งกันขวักไขว่ รออยู่เป็นนานสองนานรถสองแถวก็ไม่มาสักที เธอมองแล้วถอนใจ ถ้ากลับบ้านมืดคงไม่ดี คราวนี้รถคงไม่เสียกลางทาง แต่กลับบ้านเร็วๆ เป็นดีที่สุด รถคันหนึ่งแล่นมาแล้วจอดตรงหน้า มัทนาไม่ได้สนใจจนกระทั่งกระจกที่เบาะหลังเลื่อนลง คนที่คิดว่าอยู่กรุงเทพฯ ส่งเสียงมา
“ขึ้นรถมาสิ วันนี้เราต้องคุยกันสามวันตามสัญญา”
เดชาหูผึ่งสงสัยขึ้นมาครามครันว่าสามวันที่บอสพูดกับมัทนาหมายถึงอะไร คนถูกเรียกยังยืนเฉย คิมหันต์เลยเปิดประตูออกมาแล้วจับมือลากไปที่รถ ขืนซัดอีตาคิมตรงนี้มีหวังถูกเมาท์คู่ ทำได้เพียงพูดเร็วๆ กับเดชา
“เราไปก่อนนะเดช วันจันทร์เจอกัน”
เธอถูกดันเข้าไปนั่งในรถ คนก่อเรื่องก็ตามติดมาแล้วปิดประตูรถอย่างว่องไว รหัทขับรถออกไปจากตรงนั้นทันที เดชาได้แต่มองตามอย่างไม่เข้าใจ มัทนาหันไปมองแล้วถอนใจก่อนหันมามองคนทำอะไรไม่ปรึกษาตาขวาง
“มองฉันแล้วกอดอกใส่ทำไม”
“นี่คือเหตุผลที่เธอปฏิเสธการสู่ขอหรือเปล่า”
คิมหันต์เคยเห็นมัทนาอยู่กับเดชาบ่อยๆ แทบจะตัวติดกันก็ว่าได้ แค่เห็นสายตาก็รู้แล้วว่าเจ้านั่นคิดยังไง ไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงมาดทอมบอยจะไปเตะตาใครต่อใคร
มัทนามองหน้าคิมหันต์ ป่วยการคุยกันเรื่องที่ไม่ใช่เรื่อง ในเมื่อเดชาไม่ใช่ประเด็นที่เขาอยากคุยกับเธอ ตอนนี้เจอหน้ากันแล้ว ถึงเขาไม่คุย เธอก็จะคุยให้จบ ฟังคำตอบของเขาแล้วค่อยตัดสินใจอีกรอบ
“เราไปหาที่คุยกันเถอะ”
รถแล่นเลียบชายหาดในยามเย็น พอถึงบริเวณที่คนไม่พลุกพล่านรหัทจอดรถแล้วทำหน้าที่บอดี้การ์ดของเขา มัทนาเดินตามคิมหันต์ไปเรื่อยๆ คิดอยู่ว่าเขาจะเดินลงทะเลไปเลยหรือเปล่า คนถูกนินทาในใจหันมากอดอกมองแล้วรอฟัง คำถามที่สงสัยมาจ่ออยู่ปลายลิ้น ถามๆ ไปเถอะน่า เธอสั่งตัวเอง
“คุณรักฉันหรือเปล่า”
คิมหันต์เลิกคิ้วไม่คิดว่าจะเจอคำถามแบบนี้ “ถามทำไม ฉันรักหรือไม่รักเธอมันสำคัญตรงไหน หรือว่าเธอกำลังจะเปลี่ยนใจ”
“ตอบมาก่อนเถอะน่า” ถูกจ้องนานๆ มันไม่สึกหรอก็จริง แต่มันเสียเซลฟ์รู้ไหมอีตาบ้า
“สำหรับตอนนี้คิดว่าไม่ได้รัก”
มัทนาถอนใจโล่งอกคิดไว้อยู่แล้วว่าเขาจะมารักเธอได้ยังไง ที่ไม่ปฏิเสธคำสั่งของอังเคิลเคก็เพราะความเป็นหลานและเขาคงมีความเป็นสุภาพบุรุษอยู่เหมือนกันเท่านั้นเอง
“ก็ดีเพราะฉันก็ไม่ได้รักคุณเหมือนกัน” มัทนาเห็นคิมหันต์อ้าปากจะพูด เธอรีบยกมือห้าม “เดี๋ยวให้ฉันพูดจบก่อน การที่คุณกับฉันไม่ได้รักกัน ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้นหลังจากนี้หนึ่งปีมันย่อมไม่มีอะไรน่าจดจำใช่ไหมล่ะ”
“หมายความว่ายังไง”
“ฉันตกลงรับการสู่ขอ”
เธอตัดสินใจได้แล้วค่อยโล่งอก อย่างไรเสียก็ไม่ได้แต่งงานกันจริงๆ ก็แค่เพื่อความสบายใจของผู้ใหญ่ทั้งสองฝ่ายเท่านั้นเอง
คิมหันต์ส่ายหน้ารู้แล้วว่ามัทนาถามเขาแบบนั้นทำไม เธอไม่รู้เลยหรือว่าแต่งงานหมายถึงอะไร แล้วที่สำคัญผู้ชายสามารถมีอะไรกับผู้หญิงที่ไม่ได้รักได้ ไม่กลัวเขาปล้ำบ้างหรือไง
“ทำไมเธอถึงยอมตกลง”
“จะสนใจทำไม คุณก็ทำเพราะปู่สั่ง ฉันก็ทำเพราะมีเหตุผลส่วนตัว ยังไงแต่งงานกันไปเราก็ยังคงสภาพการเป็นคนอื่นต่อกัน รู้เท่าที่อยากบอกก็พอแล้วล่ะมั้ง”
จริงๆ แล้วเขาน่าจะดีใจด้วยซ้ำที่เราจะเลิกกันภายในหนึ่งปี แค่ไม่ได้ยินคำปฏิเสธคงสรุปแบบเข้าข้างตัวเองได้ว่าเขาตกลง
“แต่ฉันมีเงื่อนไข”
คิมหันต์ก้าวเข้ามาใกล้ ไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้เขารู้สึกว่าไม่มีค่าในสายตาได้เท่ากับที่มัทนาทำอยู่ในตอนนี้ แม้แต่นันทินียังเทียบไม่ได้ เขาถูกขอให้แต่งงานด้วยกันแค่หนึ่งปี หลังจากนั้นก็เลิกกัน ถ้าชีวิตง่ายดายขนาดนั้นโลกนี้คงไม่เกิดการแก่งแย่ง เข่นฆ่ากันหรอก
“เงื่อนไขอะไร ทำไมฉันกลายเป็นคนที่ง่าย แต่เธอกลายเป็นคนที่ยากนักฮึ”
กระดาษขนาดเอสี่(A4)หนึ่งแผ่นส่งไป “เอาไปอ่านดู ถ้าคุณโอเค เราจะเซ็นเอกสารฉบับนี้ด้วยกัน”
คิมหันต์รับเอกสารฉบับนั้นมาอ่านเร็วๆ เพื่อให้รู้ว่ามันคืออะไร เขาอยากจะบ้าตาย ไม่ใช่เพราะข้อตกลงที่มัทนาอุตส่าห์ปริ๊นออกมาเตรียมไว้คุยกับเขาซึ่งนับว่าเป็นทางเลือกที่ดี แต่รายละเอียดที่เห็นนี่ให้ตายเถอะ ถ้าเป็นคนอื่นยัยนี่ได้ถูกอุ้มลงทะเล
“ไม่ตกลง ทำไมเราไม่ร่างสัญญาด้วยกัน” เขาเสนอแล้วจับมือดึงแกมลากให้มัทนากลับมาที่รถอีกครั้ง “มาด้วยกันเลย เสร็จเรื่องแล้วจะพาไปส่งบ้าน”
มัทนาเขยิบไปนั่งอีกฝั่งของประตูแม้จะโล่งใจหน่อยๆ ที่ไม่ถูกถามกลับว่าเอาอะไรคิด เขาคงเห็นด้วยที่เราควรมีข้อตกลงก่อนแต่งงานแบบเฉพาะกิจ เธอทำเพื่อให้แม่สบายใจและไม่อยากทำให้อังเคิลเคผิดหวัง เมื่อถึงเวลาที่เราต้องหย่ากันทางบ้านของเธอและเขาคงเห็นว่าเราสองคนคงเป็นได้แค่เพื่อนกันเท่านั้น เธอมองอะไรง่ายไปหรือเปล่านะ

ปลายทางเปลี่ยนจากห้องสุดหรูในคอนโดของคิมหันต์มาเป็นบ้านพักหลังเล็กของมัทนาที่เขาเห็นจากห้องพักชั้นสิบเก้า เธอมีโน้ตบุ๊กและปริ๊นเตอร์พร้อมใช้งาน มันคงดีกว่าเธอขึ้นคอนโดไปกับเขา คิมหันต์เห็นดีด้วยเพราะนันทินียังไม่ละความพยายาม
หลายครั้งที่เห็นเธอนั่งรอตรงล้อบบี้ แต่เขาก็แกล้งไม่เห็นรีบเดินเข้าลิฟต์ไป ความจริงแล้วให้นันทินีรู้ว่าเขามีคนใหม่แล้วก็น่าจะดี แต่เพื่อชีวิตอันสงบสุขของมัทนา เอาไว้ใกล้เวลางานสำคัญแล้วค่อยเปิดตัวน่าจะดีกว่า
คิมหันต์นั่งรออยู่ที่โซฟากลางห้องที่มีทีวีอยู่เครื่องเดียว ไม่มีของกระจุกกระจิกอย่างที่ผู้หญิงมีกันอย่างพวกตุ๊กตาหรือรูปถ่ายสวยๆ ทุกอย่างดูเรียบๆ ไม่มีอะไรหวือหวา แต่ว่าสบายตา มัทนาเดินกลับมาพร้อมแก้วสองใบกับน้ำเย็นอีกหนึ่งเหยือก งานนี้คุยยาวจนคอแห้งแน่ๆ
“ทำไมต้องหนึ่งปี”
คิมหันต์สงสัยแต่ไม่ถนัดที่จะพูดในรถ รหัทก็เหมือนหูข้างที่สามของปู่นั่นเอง ถ้าจะตกลงกัน เขาต้องรู้ว่ามัทนาคิดอะไรอยู่กันแน่
“ก็ครึ่งปีมันน้อยไป ผู้หญิงหย่าไวมีแต่ถูกด่า ผู้ชายสบายใจเฉิบ แล้วตอบเผื่อเลยนะ ที่ไม่เลือกสองปี หรือมากกว่านั้นมันนานไป ทั้งคุณและฉันอาจจะหวานอมขมกลืนไปแล้วก็ได้ เพราะฉะนั้นหนึ่งปีนานพอที่จะทำให้ผู้ใหญ่ของเราสองคนรู้ว่าการเป็นเพื่อนกันนั่นแหละดีที่สุด ฉันพิมพ์แล้วนะ”
แล้วถ้าเราเลิกกันไปภายในสามเดือนล่ะ เขาไม่น่าจะมีความอดทนต่ำขนาดนั้น แต่ถ้าครบหนึ่งปีแล้วมีฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งไม่อยากหย่าล่ะ จะเป็นใคร เขาหรือว่าเธอ จะคิดไปทำไม ตอนนี้เขายังไม่แน่ใจตัวเองด้วยซ้ำว่ามาทำสัญญากับมัทนาทำไม ถ้าไม่ทำแล้วเธอจะไม่ยอมแต่งงานหรือไง สายตาวาววามแฉลบมอง ชายหนุ่มตั้งสติรีบดึงตัวเองกลับมา
“เราต้องทำหน้าที่สามีภรรยาให้สังคมรับรู้ ฉันจะให้เกียรติเธอในฐานะภรรยา และเธอต้องให้เกียรติฉันในฐานะสามี แต่เราจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของกันและกัน”
“โอเค ข้อนี้ฉันเห็นด้วย แต่เราจะแยกเตียงนอน แยกห้อง แยกกันนอน ตามสะดวก หรือถ้าสุดวิสัยต้องนอนเตียงเดียวกันคุณก็ห้ามคิดลามก จะไม่มีการล่วงเกินกันตลอดหนึ่งปี”
“ไม่ได้ ถ้าเราออกงานด้วยกันจะให้ยืนห่างกันเป็นวาหรือไง” เขาแย้งทันควัน
“ถ้างั้น คุณต้องบอกฉันก่อน อย่าทำอะไรที่ฉันไม่อนุญาต”
คิมหันต์พยักหน้ามองมัทนาเหมือนอยากบอก ทำอย่างกับว่าเขาอยากทำอะไรเธอนักหนา แต่ก็น่ากังวลไม่น้อยจะเป็นอย่างไรถ้าเขาเป็นฝ่ายทำผิดข้อนี้เสียเอง ไม่หรอกน่า เขาก็แค่แต่งงานกับเธอเพื่อปู่ เพื่อมัทนาสำหรับอุบัติเหตุในคืนนั้น และเพื่อ... ช่างเถอะ เขาตัดสินใจไปแล้ว
ผลพลอยได้อีกอย่างก็คือเขาจะไม่เสียอะไรไป ทรัพย์สินทุกอย่างยังคงอยู่
“ข้อต่อไปเลยแล้วกัน หลังแต่งงานแล้ว ฉันจะอยู่บ้านสวนของเธอสามวัน และเธอต้องมาอยู่ที่บ้านของฉันที่กรุงเทพฯ สองวัน นอกเหนือจากนั้นแล้วแต่ความสะดวกในการเดินทาง”
“ก็พอรับได้ ข้อต่อไปของฉันบ้าง คุณต้องให้ฉันได้ต่อทำงาน”
“ทำไม แต่งงานกับฉันแล้วเธอจะทำงานทำไมอีก” ภรรยาของ CEO ไปทำงานกับหนุ่มๆ ในช็อป แค่คิดเขาก็ไม่ปลื้มแล้ว
“อ้าว ก็อีกหนึ่งปีเราก็หย่ากันแล้ว คุณให้จะฉันกินแกลบหลังจากนั้นหรือไง ถึงแต่งงานกัน ฉันก็ไม่สนใจเงินของคุณหรอกนะ”
คิมหันต์อึ้งไปเหมือนกัน วินาทีแรกที่เธอยอมรับการสู่ขอ สิ่งที่ฝังใจจู่โจมเขาทันที บางทีเธออาจจะยอมแต่งงานกับเขาเพราะฐานะ แต่พอเธอพูดมาอย่างนี้เขาคงได้แต่ขอโทษและชื่นชมอยู่ในใจ
“แต่ในฐานะสามีฉันก็ต้องเลี้ยงดูภรรยาตามสมควร เรื่องทำงานฉันโอเค แต่ฉันอยู่ที่ไหน เธอก็ต้องอยู่ที่นั่น ฉันจะย้ายแผนกเขียนแบบมาไว้ที่สำนักงานใหญ่ เธอจะได้ทำงานทั้งสองที่”
“เอาอย่างงั้นก็ได้”
แผนกเขียนแบบเป็นส่วนหนึ่งของฝ่ายวิจัยและพัฒนา ทำอย่างที่คิมหันต์บอกก็ไม่ดูน่าเกลียดอะไร มัทนายอมลงให้เขาบ้างก็มันเป็นสัญญาระหว่างเราสองคนนี่ ถ้าคนหนึ่งไม่เต็มใจทำข้อตกลง แล้วมันจะรอดไปถึงหนึ่งปีได้อย่างไรล่ะ
“ข้อสุดท้าย เธอกับฉันต้องเก็บสัญญานี้ไว้เป็นความลับ ห้ามให้ใครรู้เด็ดขาด”
มัทนาพยักหน้าเห็นด้วยแล้วพิมพ์ตามที่คิมหันต์บอก ก่อนจะเลื่อนจอโน้ตบุ๊กมาให้เขาเห็นถนัด
“คุณตรวจอีกทีแล้วกันนะ ถ้าเรียบร้อยดีแล้วฉันจะได้สั่งพิมพ์”
คิมหันต์อ่านสัญญาแต่งงานอย่างตั้งใจ ไม่เคยมีสัญญาฉบับไหนที่มองไม่เห็นว่าจะได้กำไรหรือว่าขาดทุนเท่าสัญญาฉบับนี้ หนึ่งปีสำหรับคนที่เรารัก แต่เราไม่ได้รักกัน ถ้าไม่มีเรื่องราวเกิดขึ้นในคืนนั้น น่าสงสัยตัวเองเหมือนกันว่าเขาจะสนใจมัทนาบ้างไหม แล้วถ้าเกิดมีการรักข้างเดียวเกิดขึ้นจะทำอย่างไร แล้วถ้าเรารักกันจริงๆ ล่ะ
คิดไปทำไม ตอนนี้เราไม่ได้รักกัน ความประทับใจอะไรก็ไม่มี เรื่องที่จะรักกันจริงๆ มันคงยากมาก
“สั่งปริ๊นได้เลย”
มัทนากดสั่งปริ๊นแล้วหันมายิ้มให้คิมหันต์ เขาทำหน้าเฉยใส่ เธอเลยแยกเขี้ยวให้ พอได้เอกสารมาแล้วก็จัดการเซ็นในเอกสารทั้งสองฉบับที่หน้าตาเหมือนกันเปี๊ยบ
“เก็บไว้คนละฉบับ ต่อไปนี้เรามีสัญญาร่วมกัน”
“ถ้างั้นก็กลับบ้านได้แล้ว ฉันจะบอกแม่ของเธอและปู่ของฉันเอง ไม่ว่าเราจะแต่งงานกันเพราะสาเหตุอะไร ฉันสัญญาว่าตลอดหนึ่งปี ฉันจะดูแลเธอ”
“ฉันจะกวนโมโหให้น้อยลง คุณจะได้ไม่เส้นเลือดในสมองแตกก็แล้วกัน โอเคไหม”
มือบางยื่นมารอ คิมหันต์มองแล้วเกือบหัวเราะยื่นมือไปจับมือบางไว้ นี่มันสัญญาแต่งงานหรือว่าเรากำลังจะร่วมมือก่อวินาศกรรมกันแน่ ทำไมมัทนาถึงตั้งใจขนาดนี้
“มาถึงตอนนี้ไม่มีอะไรที่ตกลงไม่ได้แล้วละมั้ง”
มัทนาหัวเราะไม่คิดว่าคนทำหน้าบูดยังมีอารมณ์ขัน อาจจะเป็นอย่างที่เขาบอกก็ได้ ทำไมเขาถึงทำให้ทุกอย่างง่าย แต่เธอกลับทำให้ทุกอย่างยาก แต่เราก็ร่วมมือกันจนได้ใช่ไหมล่ะ ไม่น่าเชื่อเหมือนกันว่าคนที่ทำงานเพื่อหวังผลกำไรเป็นที่ตั้งจะมาร่วมมือกับเธอ เหตุผลของเขานอกจากเรื่องปู่แล้ว ยังไม่มีอะไรอีกหรือเปล่า

คิมหันต์มาส่งมัทนาที่บ้านสวนและเป็นคนบอกการตัดสินใจที่แน่นอนของเราสองคน ความน่าเชื่อถือของคิมหันต์ทำให้แม่ไม่สงสัยในคำพูดของเขา การแต่งงานอาจจะเกิดขึ้นอีกหนึ่งปีข้างหน้าก็ได้ เมื่อถึงเวลานั้นสัญญาที่เราสองคนทำด้วยกันก็คงไม่ต้องใช้อีกเพราะคงมีทางออกทางอื่นที่ไม่ใช่การแต่งงาน
เธอได้แต่หวังว่าฤกษ์แต่งงานจะทอดเวลายาวนานออกไป คิมหันต์ขอตัวกลับไปโดยไม่อยู่ทานอาหารเย็นเพราะเขาต้องไปบอกคุณทีปต์เช่นกัน
พิมพ์ใจยังหลับอยู่ในห้อง พิมพ์อรเลยเข้ามาคุยกับลูกสาวที่ขอตัวเข้ามาอาบน้ำก่อนแล้วค่อยไปกินข้าว มัทนาเดินเข้ามากอดแม่แล้วแกล้งจี๋เอว คนบ้าจี้ร้องเสียงหลง ก่อนตีแขนให้ลูกหยุดเพื่อที่จะได้คุยกันเป็นเรื่องเป็นราว
“แน่ใจแล้วนะมัท”
“มากที่สุดเลยค่ะแม่ แม่สบายใจได้ค่ะว่ามัททำเพราะอยากทำ แต่ถ้าทำแล้วแม่สบายใจก็ยิ่งดีเข้าไปใหญ่”
คนเป็นแม่ค่อยถอนใจโล่งอกได้หน่อย ดูๆ ไปแล้วพ่อคิมก็ไม่ได้เลวเกวอะไร เรื่องที่ได้ข่าวมาว่าเคยถูกลอบยิงก็มาจากเรื่องธุรกิจที่เขาสั่งสอนคนทุจริต แล้วเท่าที่ไม้ไปตามอ่านทางอินเตอร์เน็ต พ่อคิมไม่มีข่าวเสียหายเรื่องผู้หญิง หรือมีประวัติถูกตำรวจจับ
“พรุ่งนี้แม่จะได้ไปหาฤกษ์กับหลวงพ่อ ไม่น่าเชื่อเหมือนกันลูกสาวแม่ นึกว่าจะได้ลูกสะใภ้แทนเสียแล้ว”
“โธ่...แม่ก็” มัทนายิ้มกว้างกลบเกลื่อน
พิมพ์อรค่อยสบายใจนั่งมองลูกสาวหวีผมที่แม้จะยาวแค่ถึงบ่า ดูเหมือนทอมบอยมากกว่าผู้หญิง แต่ตลอดเวลาที่ผ่านมาลูกสาวไม่เคยทำอะไรให้นางผิดหวัง มัทนาเป็นเด็กดี ตั้งใจเรียน ไม่เคยทำเรื่องเสียหาย กับหนูมาติกาก็แค่สนิทกันมาแต่เด็กเท่านั้น แต่งงานไปแล้วคงปรับตัวได้เอง



บรรพตี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ก.พ. 2558, 15:23:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.พ. 2558, 15:23:22 น.

จำนวนการเข้าชม : 1138





<< ตอนที่ 8   ตอนที่ 10 >>
กาซะลองพลัดถิ่น 25 ก.พ. 2558, 19:45:02 น.
ข้อตกลงการแต่งงานนี้ช่างดีจังเลย 55555 ตอนนี้ยังไม่ได้รัก แต่ต่อไปไม่แน่ใช่ป่ะ


บรรพตี 27 ก.พ. 2558, 10:46:16 น.
ใช่แล้วค่ะ^^ คุณกาซะลองพลัดถิ่น


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account