เทหน้าตักรักนางมารร้าย (ฉบับรีไรท์ ทำ e-book)
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ 13 จบ
“จาปายหนายยย...”
เสียงอ้อแอ้ที่ดังขึ้นแทบชิดริมหูทำเอาชินพัตต์เกือบสะดุ้ง จู่ๆ คนที่เขาเข้าใจว่าเมาหนักจนหลับไปแล้วซึ่งเคยซุกตัวอยู่บนเบาะหลังก็ยกร่างขึ้นมาเกาะอยู่ด้านหลังเบาะคนขับ
“เอ๊... ปุ่นถามทำมายม่ายตอบล่ะฮ้า... ” เสียงอ้อแอ้ซึ่งคราวนี้เจือเค้าขุ่นมัวถูกส่งตามมา
คนไม่ตอบส่ายศีรษะยิ้มๆ แม้แต่ตอนเมาก็ยังไม่ทิ้งนิสัยเดิม เขาขยับปากกะว่าจะตอบเอาใจเสียหน่อย ครั้นแล้วก็ต้องกัดฟันกรอดเพราะคำเรียกขานที่เพิ่งหลุดออกมาให้ได้ยิน
“ลุง!”
โบราณว่า อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา หาก ณ จุดนี้ เขานึกอยากจะเหวี่ยง ‘ยัยล่ามทิงเจอร์ผสมแอลกอฮอล์’ ออกนอกรถเลยเชียวล่ะ
รถติดสัญญาณไฟแดงพอดีชินพัตต์จึงหันขวับไปให้คนเรียกได้เห็นชัดๆ หวังว่าหนังหน้าที่ยังตึงเปรี๊ยะ! ของเขาจะช่วยเรียกสติที่คงเหลือน้อยเต็มทีของเจ้าหล่อนกลับคืนมา อย่างน้อยๆ ก็ช่วยเปลี่ยนคำเรียกขานใหม่เถอะ อย่าเรียก ‘ลุง’ เลย เขารับไม่ได้จริงๆ!
คิ้วได้รูปสวยขมวดมุ่น “หือ?” แล้วเจ้าของดวงหน้าใสก็ขยับร่างใกล้เข้ามาเอนอิงศีรษะเข้ากับที่รองหัวพลางเลื่อนสายตาสำรวจไปทั่วใบหน้าของเขา
แค่ถูกดวงตาคู่กลมโตจับจ้องในระยะประชิดก็ทำเอาอกใจของชินพัตต์เต้นกระหน่ำจนเกินจะควบคุมอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อถูกปลายนิ้วนุ่มบรรจงแตะไล้ไปตามแนวคิ้วไล่ลงมาบนดวงตาและลากยาวมาถึงปลายจมูกเขาก็แทบจะหยุดหายใจ ชายหนุ่มต้องใช้ความพยายามอย่างหนักกว่าจะบังคับตัวเองให้ละสายตาออกจากริมฝีปากบางสีแดงสดที่ขบเม้มสลับคลายออกราวกับเจ้าตัวกำลังใช้ความคิด แล้วเบนหน้ากลับไปมองตัวเลขกะพริบบอกสัญญาณไฟจราจรบนท้องถนนก่อนที่ความยับยั้งชั่งใจของเขาจะขาดผึงและทำอะไร... ให้อีกฝ่ายต้องสร่างเมา
“อ๋อออ...” คนที่หลงเหลือสติอยู่เพียงนิดจนไม่รู้ตัวว่าได้กระทำการอันแสนยั่วเย้าจนคนเฝ้ามองแทบขาดใจลากเสียงยาว “ม่ายช่ายคุณลุงขายาว แต่เปนคุณน้องหน้านิ่ง ชินจางน่านเอง” หัวเราะคิกๆ เหมือนชอบใจนักหนา
‘คุณน้องหน้านิ่ง’ กลอกตา เอาเถอะ… สุดแท้แต่พอใจจะเรียกเถอะแม่คุณ
“อ๋า ม่ายด้ายๆ ปุ่นน่างตรงนี้ม่ายด้าย ชินจางม่ายช่ายคนขับรถนี่นา” ไม่ว่าเปล่าแต่ร่างโงนเงนยังผุดลุกขึ้นพยายามจะก้าวข้ามมานั่งยังเบาะที่นั่งด้านหน้า ดีที่รถยังจอดนิ่งเพราะติดสัญญาณไฟแดงอยู่จึงไม่ถึงกับเซหัวคะมำ และแม้จะส่ายศีรษะอ่อนใจแต่ชินพัตต์ก็ยังมีน้ำใจหันไปช่วยพยุงคนเจ้าปัญหาให้ก้าวข้ามมานั่งด้านหน้าโดยสวัสดิภาพพอดีกับที่ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียว
“ถึงนิสัยจาม่ายค่อยดี แต่ปุ่นก็รู้กาลเทศะน้า” เสียงอ้อแอ้ของคนที่เงียบไปนานหลังจากได้ที่นั่งเหมาะเจาะจนเขาหลงนึกว่าหลับไปแล้วดังขึ้นอีกครั้ง และเพราะร่องรอยแปลกๆ ที่เจือมากับน้ำเสียงทำให้เขาอดไม่ได้ต้องเหลือบมองไปยังเบาะที่นั่งด้านข้าง ร่างเล็กที่จับจองอยู่บนนั้นเอนอิงศีรษะเข้ากับกระจกข้างรถ เห็นแวบแรกเขาคิดว่านอกจากจะกรอกเหล้าเข้าปากไม่บันยะบันยังแล้วอีกฝ่ายคงจะหลงไปกินอะไรผิดสำแดงเข้าแหงๆ เพราะดูไปแล้วอาการแทบไม่ต่างจากวันที่เคยไปออดิทเวนเดอร์ด้วยกันเลย แต่แล้วเขาก็ต้องเปลี่ยนความคิดที่จะหายาดมยาหม่องมาเป็นคำแก้ตัวเมื่อสังเกตเห็นร่องรอยหมองหม่นจากดวงตาคู่กลมโตที่สะท้อนออกมาจากกระจกข้างรถ
”ทำไมถึงพูดอย่างนั้น ผมยังไม่ได้ว่าอะไรคุณสักคำเลยนะ”
“ถึงม่ายด้ายพูด แต่ชินจางก็คิดช่ายหมายล่ะ หยุดเลย!” เธอหันหน้ามาชี้นิ้วห้าม “ม่ายต้องมาเถียง ปุ่นรู้ว่าชินจางยางแค้นฝางหุ่นม่ายหายถึงม่ายยอมยกบูเกต์ช่อน้านห้าย ก็ปุ่นนิสายม่ายดีแกล้งชินจาง แกล้งครายๆ มาต้างเยอะนี่น้า มานก็สมควรแล้วล่ะที่จาม่ายมีครายร้าก”
“ไม่จริงสักหน่อย อย่างน้อยคุณก็ยังมี...”
“ม่ายมี!” ปุณยวีร์ตวาดแหว “ผู้หญิงนิสายม่ายดีอย่างปุ่นใครจะร้ากลง”
“คุณนิสัยดีแถมยังใจดีมากด้วย คุณถึงรับอุปการะเจ้าเข้มไง จำไม่ได้เหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะใจดีคุณคงไม่ทำแบบนั้นหรอก จริงไหม” ชินพัตต์พยายามยกเอาเหตุผลมาปลอบโยนเสียงอ่อน
“หึ!” เธอแค่นเสียงเยาะ “ก็คงมีแต่หมาอย่างจ้าวเข้มท่าวน้านแหละที่ร้าก นอกน้านก็มีแต่คนม่ายจริงใจหลอกกานปายวานๆ ซ้ำๆ ซากๆ ปุ่นมานม่ายช่ายคนเรียบร้อย อ่อนหวาน นิสายดีเหมือนป้าอ้อนแอ้นจืดชืดน่านนี่ ครายเหน ครายก็ร้าก เปนอารายนิดๆ หน่อยๆ ก็มีแต่คนสนใจ ชินจางก็ชอบเค้าด้วยช่ายหมายล่ะ เหนไปช่วยดูแลเค้าหญ่ายเลย ราวางน้าเดี๋ยวจะเกิดศึกชิงนาง เอิ๊ก!”
พล่ามยาวเหยียดจนน้ำลายแตกฟองก่อนจะชะงักไปเพราะสะอึก “เอ๊ หรือว่าจะเกิดศึกชิงนาย ตกลงว่าชอบสายห้าวหรือสายหวานฮ้า ราวน่ะ เห็นยกบูเกต์ให้เจ้เฟย์อยู่หยกๆ พออีกเดี๋ยวก็เปนอัศวินขี่ม้าขาวไปพิท้ากป้าอ้อนแอ้นซะละ แค่วันเดียวก็ซิวสองเลย ร้ายน้ากน้าราว”
ชินพัตต์อ้าปากยังไม่ทันได้เถียงก็ต้องเปลี่ยนเป็นเสียงร้อง “โอ๊ย!” เนื่องเพราะปุณยวีร์ไม่แค่กล่าวหากันเปล่าๆ แต่ยังทุบอั้กเข้าที่ไหล่เขาอีกด้วย
“ไม่ใช่สักหน่อย” เขาตอบกลับเสียงห้วน “ผมให้พี่เฟย์ก็เพราะว่าเค้าเป็นคนเดียวที่ได้สัมผัสกับบูเกต์ก่อนที่มันจะหล่นลงบนตักผม ส่วนคุณอ้อนผมก็แค่มีมนุษยธรรมไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้น แค่วันเดียวซิวสองอะไรกัน ผมไม่ได้ชอบสองคนนั้นสักหน่อย ส่วนคนที่ผมชอบน่ะหรือ หึ! ผ่านมาจะครึ่งปีอยู่แล้วเค้ายังไม่รู้ตัวเลย แต่ก็ยังดีที่อย่างน้อยเขาก็มองเห็นหัวผมบ้าง ถึงจะในฐานะคู่แค้นก็ตาม” ถอนหายใจไว้อาลัยให้กับชีวิตสุดแสนอาภัพเฮือกหนึ่ง
“สำหรับผมแล้วการจะชอบใครสักคน มันไม่จำเป็นหรอกว่าคนคนนั้นจะต้องเป็นผู้หญิงแสนดี เรียบร้อย อ่อนหวาน ผมต้องการคนรัก... ไม่ได้ต้องการกุลสตรีศรีสยามหรือผู้หญิงมารยาทงามไว้ไปเดินสายประกวดเอามงกุฎจากเวทีไหน ถามว่าผมชอบสายไหนน่ะหรือ ขอย้ำว่าไม่ใช่! ทั้งสองสายที่คุณว่ามา เพราะสายเดียวที่ผมเฝ้ามองมาเกือบหกเดือนและจะเป็นสายเดียวที่อยู่ในใจตลอดไปก็คือ...”
ชินพัตต์อมยิ้มกับท้องถนนก่อนจะผินหน้าไปหวังจะต่อประโยคที่ยังขยักเอาไว้กับเจ้าของเบาะที่นั่งด้านข้าง แต่แล้ว...
‘หวังอะไร! คาดหวังอะไรอยู่! ในเมื่อสมัครใจเลือกทางสายนางมาร! แล้วเขาจะคิดหวังถึงซีนโรแมนติก
ฟรุ้งฟริ้งที่มันไม่มีวันเป็นไปได้ไปทำไม เหอะ!’ ชินพัตต์ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจละเหี่ยกับคนที่จู่ๆ ก็หนีไปเฝ้าพระอินทร์โดยไม่บอกไม่กล่าว ปล่อยให้เขาพูดพล่ามอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า
“สายนางมาร นิสัยแสบเป็นทิงเจอร์แบบคุณไง ผู้หญิงใจร้าย...” ปากก็บ่นไปงั้น ขณะที่มือใหญ่เอื้อมไปปรับหน้ากากแอร์ก่อนจะเลื่อนมาปัดลูกผมระหน้าระตาออกให้ สุดท้ายก็ไม่วายยิ้มเอ็นดูเจ้าของดวงหน้าใสนิสัยแสบทั้งในยามปกติและยามเมา
“อ้าวไหงมานั่งอยู่เบาะหน้าได้ล่ะ ก่อนออกรถพี่จำได้ว่ายัยนี่ปีนขึ้นไปซุกอยู่บนเบาะหลังไม่ใช่เหรอ” ฟารีดาที่ขับรถตามหลังกันมาถามขึ้นน้ำเสียงแปลกใจ เมื่อทั้งเขาและเธอมาถึงอพาร์ตเมนท์ที่ปุณยวีร์พักอาศัยอยู่ และกำลังจะช่วยกันพาคนขี้เมาขึ้นไปยังห้องพัก
ชินพัตต์ถอนหายใจ “จะเอาอะไรแน่นอนกับคนเมาล่ะครับพี่เฟย์ รีบมาช่วยกันเถอะครับจะได้กลับไปพักผ่อน” เขาเปิดประตูหยิบกระเป๋าถือที่ถูกวางทิ้งไว้บนเบาะหลังก่อนจะหันมาประคองร่างบางที่เริ่มงัวเงียรู้สึกตัวพาออกจากรถ
หากฟารีดากลับทำเพียงคว้ากระเป๋าของคนเมาไปถือไว้เองแล้วเดินนำไปพร้อมกับบอกว่า “จะหิ้วปีกคนละข้างทำไมให้ยุ่งยาก นายอุ้มไปคนเดียวเลยเดี๋ยวพี่ดูต้นทาง เอ้ย! เดี๋ยวพี่จะคอยเปิดประตูให้ หอพักนี้มันมีหลายด่าน ไหนจะคีย์การ์ดประตูส่วนกลาง ประตูห้องก็ล็อคกุญแจอีกตั้งหลายชั้น ยุ่งยากจะตาย”
คนที่ต้องรับภาระหนักอยู่คนเดียวส่ายศีรษะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยหน่ายอย่างที่ควรนักยิ่งเมื่อหันกลับไปมองเจ้าของใบหน้าใสนัยน์ตาฉ่ำเยิ้มที่เพิ่งลืมขึ้นมามองหน้ากัน “ลุกไหวไหม ให้ผมอุ้มคุณไปส่งที่ห้องนะ” ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำเพียงมองมาตาแป๋วไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ คงจะไม่หลงเหลือสติไว้คิดตัดสินใจอะไรแล้วจริงๆ
“หนักปะ” คนที่ตัดช่องน้อยแต่พอตัวเลือกรับผิดชอบแค่กระเป๋าถือใบเล็กๆ แล้วเดินนำไปเปิดประตูถามเมื่อทั้งเขาและเธอพาคนเมาไร้สติขึ้นมาส่งถึงในห้องพักและวางลงบนเตียงเรียบร้อยแล้ว “คงไม่หรอกเนอะยายปุ่นตัวบางนิดเดียว”
วิศวกรหนุ่มถอนหายใจ ก็ในเมื่อคนถามตอบเอาเองเสร็จสรรพแล้วคงไม่จำเป็นต้องตอบหรอกมั้ง เขาหันไปจัดแจงห่มผ้าให้คนบนเตียงที่ทำท่าว่าจะหลับลงไปอีกครั้งเสร็จแล้วก็กดรีโมทเปิดเครื่องปรับอากาศหวังให้อีกฝ่ายได้พักผ่อนอย่างสบายตัวที่สุด แต่แล้ว… คนที่เคยนอนอยู่ก็ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมานั่งบนเตียง!
“เฮ่ย! ผีกองกอยเข้าสิงรึไงยัยนี่” ฟารีดาขยับเท้าถอยออกห่างอัตโนมัติ
“พี่เฟย์!” ชินพัตต์อดปรามไม่ได้
“ก็มันจริงนี่” คนพูดเกินจริงยังเถียงกลับ ครั้นพอเห็นคนที่ตัวเองสันนิษฐานว่าถูกผีกองกอยเข้าสิงยกมือขึ้นอุดปากทำท่าพะอืดพะอมก็รีบแก้คำเสียงรัว “เฮ้ย! ไม่ใช่แล้ว ชิน! นายรับผิดชอบไปเลย โทษทีว่ะ พี่ไม่ถูกกับอะไรแบบนี้จริงๆ” ว่าแล้วก็หันหลังก้าวหนีออกจากห้องทันที
“อั้นไว้ก่อนคุณ!” ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะรั้งฟารีดาเอาไว้เพราะอีกฝ่ายเคยแสดงเจตนารมณ์ให้เห็นชัดเจนมาแล้วครั้งหนึ่ง วิศวกรหนุ่มรีบขยับเข้าไปช่วยประคองล่ามสาวให้ลุกขึ้นจากเตียงแล้วลากไปที่ห้องน้ำด้วยความเร็วแสง เธอเกาะอ่างล้างหน้าก่อนจะอาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุง ส่วนเขาก็ช่วยลูบหลังและโอบประคองอยู่ไม่ห่างทั้งยังช่วยล้างหน้าล้างตาให้ด้วย
“คุณโอเคไหม ล้างหน้าหน่อยนะครับจะได้รู้สึกดีขึ้น” ชินพัตต์บอกเสียงอ่อน
ปุณยวีร์ส่งเสียง ‘อือ ออ’ ออกมาตามประสาคนดื่มเหล้าเมาและอาเจียนจนหมดสภาพก่อนจะเงยหน้าที่พราวไปด้วยหยาดน้ำขึ้นมาแล้วมองเขาตาแป๋ว “อุ้ม...” เธอบอก
คนที่เคยรับมือแต่กับภาคนางมารร้ายเหวี่ยงวีนเจ้าอารมณ์มาโดยตลอดถึงกับยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก
“นะ... อุ้มปุ่นหน่อย” คราวนี้ไม่ใช่แค่เสียงที่ออดอ้อนกันแต่ร่างเล็กยังโผเข้ามาซุกอยู่กับอกของเขาแล้วยกสองแขนขึ้นคล้องคออีกต่างหาก จากที่ทำอะไรไม่ถูกมาคราวนี้ชินพัตต์ถึงกับต้องยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อซึ่งไม่ได้เกิดจากอากาศภายนอก หากแต่เกิดจากอารมณ์ภายในของเขาเอง
“เอ่อ... คุณ คุณปุ่น” วิศวกรหนุ่มพยายามส่งเสียงเรียกสติ ซึ่งสัญญาณตอบรับจากอีกฝ่ายก็คือ... ความเงียบ “ปุ่นครับ” คราวนี้เขาเสี่ยงเรียกแค่ชื่อโดยไม่มีคำนำหน้าดูบ้างและผลก็ยังเหมือนเดิม เขาจึงค่อยๆ ดันร่างบางออกจากอกก่อนจะพบว่าคนที่ถูกแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดเปลี่ยนนิสัยจากนางมารเป็นลูกแมวขี้อ้อน มาบัดนี้กลับหลับตาพริ้มเป็นเจ้าหญิงนิทราไปซะแล้ว
ใบหน้าขาวใสปราศจากสีสันของเครื่องสำอางทำให้ปุุุุณยวีร์ดูคล้ายเด็กสาวมากกว่าจะเป็นหญิงสาวเต็มวัย ท่าทางดูปราศจากพิษสงใดๆ ต่างจากตอนที่มีสติลิบลับ
ชินพัตต์ส่ายศีรษะรอยยิ้มขำขันแกมเอ็นดูปรากฏบนใบหน้าที่ติดจะเรียบนิ่งไม่ค่อยแสดงความรููููู้สึก มือใหญ่เลื่อนไปปัดไรผมระหน้าระตาออกให้อย่างอ่อนโยน
“ถ้าสร่างเมาแล้วรู้ว่าเป็นผมคุณจะเป็นยังไงนะ หวังว่าจะไม่กรี๊ดจนผมหูดับนะครับ”
คำถามนี้ไม่มีคำตอบจากเจ้าของร่างเล็กในวงแขน นอกเสียจาก...
“ยัยปุ่นเป็นยังไงบ้างชิน ไหวรึเปล่า อ้าว!” คนที่ตัดช่องน้อยแต่พอตัวถึงสองครั้งสองคราติดต่อกันชะโงกหน้าเข้ามาในห้องน้ำก่อนจะอุทานเสียงแปลกใจ “เอ่อ พี่มาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า”
เหอะ! ยังมีหน้ามาถาม
>>>TBC<<<
เย้ จบตอนที่ 13 แล้ว ขอโทษนะคะ // \\ ที่หายไปนาน พอดีช่วงนี้ภาระงานรัดตัวมากๆ ยังไงก็ช่วยติดตามกันต่อไปด้วยนะคะนักอ่านที่น่ารักผู้มีอุปการะคุณทั้งหลาย ทั้งคุุณ sai คุณตามหาฝัน คุณ Zephyr คุณปลาวาฬสีน้ำเงิน และนักอ่านเงาทกๆ ท่านด้วยค่ะ แล้วพบกับตอนดราม่าเร็วๆ นี้ ค่ะ
เสียงอ้อแอ้ที่ดังขึ้นแทบชิดริมหูทำเอาชินพัตต์เกือบสะดุ้ง จู่ๆ คนที่เขาเข้าใจว่าเมาหนักจนหลับไปแล้วซึ่งเคยซุกตัวอยู่บนเบาะหลังก็ยกร่างขึ้นมาเกาะอยู่ด้านหลังเบาะคนขับ
“เอ๊... ปุ่นถามทำมายม่ายตอบล่ะฮ้า... ” เสียงอ้อแอ้ซึ่งคราวนี้เจือเค้าขุ่นมัวถูกส่งตามมา
คนไม่ตอบส่ายศีรษะยิ้มๆ แม้แต่ตอนเมาก็ยังไม่ทิ้งนิสัยเดิม เขาขยับปากกะว่าจะตอบเอาใจเสียหน่อย ครั้นแล้วก็ต้องกัดฟันกรอดเพราะคำเรียกขานที่เพิ่งหลุดออกมาให้ได้ยิน
“ลุง!”
โบราณว่า อย่าถือคนบ้า อย่าว่าคนเมา หาก ณ จุดนี้ เขานึกอยากจะเหวี่ยง ‘ยัยล่ามทิงเจอร์ผสมแอลกอฮอล์’ ออกนอกรถเลยเชียวล่ะ
รถติดสัญญาณไฟแดงพอดีชินพัตต์จึงหันขวับไปให้คนเรียกได้เห็นชัดๆ หวังว่าหนังหน้าที่ยังตึงเปรี๊ยะ! ของเขาจะช่วยเรียกสติที่คงเหลือน้อยเต็มทีของเจ้าหล่อนกลับคืนมา อย่างน้อยๆ ก็ช่วยเปลี่ยนคำเรียกขานใหม่เถอะ อย่าเรียก ‘ลุง’ เลย เขารับไม่ได้จริงๆ!
คิ้วได้รูปสวยขมวดมุ่น “หือ?” แล้วเจ้าของดวงหน้าใสก็ขยับร่างใกล้เข้ามาเอนอิงศีรษะเข้ากับที่รองหัวพลางเลื่อนสายตาสำรวจไปทั่วใบหน้าของเขา
แค่ถูกดวงตาคู่กลมโตจับจ้องในระยะประชิดก็ทำเอาอกใจของชินพัตต์เต้นกระหน่ำจนเกินจะควบคุมอยู่แล้ว ยิ่งเมื่อถูกปลายนิ้วนุ่มบรรจงแตะไล้ไปตามแนวคิ้วไล่ลงมาบนดวงตาและลากยาวมาถึงปลายจมูกเขาก็แทบจะหยุดหายใจ ชายหนุ่มต้องใช้ความพยายามอย่างหนักกว่าจะบังคับตัวเองให้ละสายตาออกจากริมฝีปากบางสีแดงสดที่ขบเม้มสลับคลายออกราวกับเจ้าตัวกำลังใช้ความคิด แล้วเบนหน้ากลับไปมองตัวเลขกะพริบบอกสัญญาณไฟจราจรบนท้องถนนก่อนที่ความยับยั้งชั่งใจของเขาจะขาดผึงและทำอะไร... ให้อีกฝ่ายต้องสร่างเมา
“อ๋อออ...” คนที่หลงเหลือสติอยู่เพียงนิดจนไม่รู้ตัวว่าได้กระทำการอันแสนยั่วเย้าจนคนเฝ้ามองแทบขาดใจลากเสียงยาว “ม่ายช่ายคุณลุงขายาว แต่เปนคุณน้องหน้านิ่ง ชินจางน่านเอง” หัวเราะคิกๆ เหมือนชอบใจนักหนา
‘คุณน้องหน้านิ่ง’ กลอกตา เอาเถอะ… สุดแท้แต่พอใจจะเรียกเถอะแม่คุณ
“อ๋า ม่ายด้ายๆ ปุ่นน่างตรงนี้ม่ายด้าย ชินจางม่ายช่ายคนขับรถนี่นา” ไม่ว่าเปล่าแต่ร่างโงนเงนยังผุดลุกขึ้นพยายามจะก้าวข้ามมานั่งยังเบาะที่นั่งด้านหน้า ดีที่รถยังจอดนิ่งเพราะติดสัญญาณไฟแดงอยู่จึงไม่ถึงกับเซหัวคะมำ และแม้จะส่ายศีรษะอ่อนใจแต่ชินพัตต์ก็ยังมีน้ำใจหันไปช่วยพยุงคนเจ้าปัญหาให้ก้าวข้ามมานั่งด้านหน้าโดยสวัสดิภาพพอดีกับที่ไฟแดงเปลี่ยนเป็นไฟเขียว
“ถึงนิสัยจาม่ายค่อยดี แต่ปุ่นก็รู้กาลเทศะน้า” เสียงอ้อแอ้ของคนที่เงียบไปนานหลังจากได้ที่นั่งเหมาะเจาะจนเขาหลงนึกว่าหลับไปแล้วดังขึ้นอีกครั้ง และเพราะร่องรอยแปลกๆ ที่เจือมากับน้ำเสียงทำให้เขาอดไม่ได้ต้องเหลือบมองไปยังเบาะที่นั่งด้านข้าง ร่างเล็กที่จับจองอยู่บนนั้นเอนอิงศีรษะเข้ากับกระจกข้างรถ เห็นแวบแรกเขาคิดว่านอกจากจะกรอกเหล้าเข้าปากไม่บันยะบันยังแล้วอีกฝ่ายคงจะหลงไปกินอะไรผิดสำแดงเข้าแหงๆ เพราะดูไปแล้วอาการแทบไม่ต่างจากวันที่เคยไปออดิทเวนเดอร์ด้วยกันเลย แต่แล้วเขาก็ต้องเปลี่ยนความคิดที่จะหายาดมยาหม่องมาเป็นคำแก้ตัวเมื่อสังเกตเห็นร่องรอยหมองหม่นจากดวงตาคู่กลมโตที่สะท้อนออกมาจากกระจกข้างรถ
”ทำไมถึงพูดอย่างนั้น ผมยังไม่ได้ว่าอะไรคุณสักคำเลยนะ”
“ถึงม่ายด้ายพูด แต่ชินจางก็คิดช่ายหมายล่ะ หยุดเลย!” เธอหันหน้ามาชี้นิ้วห้าม “ม่ายต้องมาเถียง ปุ่นรู้ว่าชินจางยางแค้นฝางหุ่นม่ายหายถึงม่ายยอมยกบูเกต์ช่อน้านห้าย ก็ปุ่นนิสายม่ายดีแกล้งชินจาง แกล้งครายๆ มาต้างเยอะนี่น้า มานก็สมควรแล้วล่ะที่จาม่ายมีครายร้าก”
“ไม่จริงสักหน่อย อย่างน้อยคุณก็ยังมี...”
“ม่ายมี!” ปุณยวีร์ตวาดแหว “ผู้หญิงนิสายม่ายดีอย่างปุ่นใครจะร้ากลง”
“คุณนิสัยดีแถมยังใจดีมากด้วย คุณถึงรับอุปการะเจ้าเข้มไง จำไม่ได้เหรอ ถ้าไม่ใช่เพราะใจดีคุณคงไม่ทำแบบนั้นหรอก จริงไหม” ชินพัตต์พยายามยกเอาเหตุผลมาปลอบโยนเสียงอ่อน
“หึ!” เธอแค่นเสียงเยาะ “ก็คงมีแต่หมาอย่างจ้าวเข้มท่าวน้านแหละที่ร้าก นอกน้านก็มีแต่คนม่ายจริงใจหลอกกานปายวานๆ ซ้ำๆ ซากๆ ปุ่นมานม่ายช่ายคนเรียบร้อย อ่อนหวาน นิสายดีเหมือนป้าอ้อนแอ้นจืดชืดน่านนี่ ครายเหน ครายก็ร้าก เปนอารายนิดๆ หน่อยๆ ก็มีแต่คนสนใจ ชินจางก็ชอบเค้าด้วยช่ายหมายล่ะ เหนไปช่วยดูแลเค้าหญ่ายเลย ราวางน้าเดี๋ยวจะเกิดศึกชิงนาง เอิ๊ก!”
พล่ามยาวเหยียดจนน้ำลายแตกฟองก่อนจะชะงักไปเพราะสะอึก “เอ๊ หรือว่าจะเกิดศึกชิงนาย ตกลงว่าชอบสายห้าวหรือสายหวานฮ้า ราวน่ะ เห็นยกบูเกต์ให้เจ้เฟย์อยู่หยกๆ พออีกเดี๋ยวก็เปนอัศวินขี่ม้าขาวไปพิท้ากป้าอ้อนแอ้นซะละ แค่วันเดียวก็ซิวสองเลย ร้ายน้ากน้าราว”
ชินพัตต์อ้าปากยังไม่ทันได้เถียงก็ต้องเปลี่ยนเป็นเสียงร้อง “โอ๊ย!” เนื่องเพราะปุณยวีร์ไม่แค่กล่าวหากันเปล่าๆ แต่ยังทุบอั้กเข้าที่ไหล่เขาอีกด้วย
“ไม่ใช่สักหน่อย” เขาตอบกลับเสียงห้วน “ผมให้พี่เฟย์ก็เพราะว่าเค้าเป็นคนเดียวที่ได้สัมผัสกับบูเกต์ก่อนที่มันจะหล่นลงบนตักผม ส่วนคุณอ้อนผมก็แค่มีมนุษยธรรมไม่ได้คิดอะไรมากกว่านั้น แค่วันเดียวซิวสองอะไรกัน ผมไม่ได้ชอบสองคนนั้นสักหน่อย ส่วนคนที่ผมชอบน่ะหรือ หึ! ผ่านมาจะครึ่งปีอยู่แล้วเค้ายังไม่รู้ตัวเลย แต่ก็ยังดีที่อย่างน้อยเขาก็มองเห็นหัวผมบ้าง ถึงจะในฐานะคู่แค้นก็ตาม” ถอนหายใจไว้อาลัยให้กับชีวิตสุดแสนอาภัพเฮือกหนึ่ง
“สำหรับผมแล้วการจะชอบใครสักคน มันไม่จำเป็นหรอกว่าคนคนนั้นจะต้องเป็นผู้หญิงแสนดี เรียบร้อย อ่อนหวาน ผมต้องการคนรัก... ไม่ได้ต้องการกุลสตรีศรีสยามหรือผู้หญิงมารยาทงามไว้ไปเดินสายประกวดเอามงกุฎจากเวทีไหน ถามว่าผมชอบสายไหนน่ะหรือ ขอย้ำว่าไม่ใช่! ทั้งสองสายที่คุณว่ามา เพราะสายเดียวที่ผมเฝ้ามองมาเกือบหกเดือนและจะเป็นสายเดียวที่อยู่ในใจตลอดไปก็คือ...”
ชินพัตต์อมยิ้มกับท้องถนนก่อนจะผินหน้าไปหวังจะต่อประโยคที่ยังขยักเอาไว้กับเจ้าของเบาะที่นั่งด้านข้าง แต่แล้ว...
‘หวังอะไร! คาดหวังอะไรอยู่! ในเมื่อสมัครใจเลือกทางสายนางมาร! แล้วเขาจะคิดหวังถึงซีนโรแมนติก
ฟรุ้งฟริ้งที่มันไม่มีวันเป็นไปได้ไปทำไม เหอะ!’ ชินพัตต์ส่ายศีรษะพลางถอนหายใจละเหี่ยกับคนที่จู่ๆ ก็หนีไปเฝ้าพระอินทร์โดยไม่บอกไม่กล่าว ปล่อยให้เขาพูดพล่ามอยู่คนเดียวเหมือนคนบ้า
“สายนางมาร นิสัยแสบเป็นทิงเจอร์แบบคุณไง ผู้หญิงใจร้าย...” ปากก็บ่นไปงั้น ขณะที่มือใหญ่เอื้อมไปปรับหน้ากากแอร์ก่อนจะเลื่อนมาปัดลูกผมระหน้าระตาออกให้ สุดท้ายก็ไม่วายยิ้มเอ็นดูเจ้าของดวงหน้าใสนิสัยแสบทั้งในยามปกติและยามเมา
“อ้าวไหงมานั่งอยู่เบาะหน้าได้ล่ะ ก่อนออกรถพี่จำได้ว่ายัยนี่ปีนขึ้นไปซุกอยู่บนเบาะหลังไม่ใช่เหรอ” ฟารีดาที่ขับรถตามหลังกันมาถามขึ้นน้ำเสียงแปลกใจ เมื่อทั้งเขาและเธอมาถึงอพาร์ตเมนท์ที่ปุณยวีร์พักอาศัยอยู่ และกำลังจะช่วยกันพาคนขี้เมาขึ้นไปยังห้องพัก
ชินพัตต์ถอนหายใจ “จะเอาอะไรแน่นอนกับคนเมาล่ะครับพี่เฟย์ รีบมาช่วยกันเถอะครับจะได้กลับไปพักผ่อน” เขาเปิดประตูหยิบกระเป๋าถือที่ถูกวางทิ้งไว้บนเบาะหลังก่อนจะหันมาประคองร่างบางที่เริ่มงัวเงียรู้สึกตัวพาออกจากรถ
หากฟารีดากลับทำเพียงคว้ากระเป๋าของคนเมาไปถือไว้เองแล้วเดินนำไปพร้อมกับบอกว่า “จะหิ้วปีกคนละข้างทำไมให้ยุ่งยาก นายอุ้มไปคนเดียวเลยเดี๋ยวพี่ดูต้นทาง เอ้ย! เดี๋ยวพี่จะคอยเปิดประตูให้ หอพักนี้มันมีหลายด่าน ไหนจะคีย์การ์ดประตูส่วนกลาง ประตูห้องก็ล็อคกุญแจอีกตั้งหลายชั้น ยุ่งยากจะตาย”
คนที่ต้องรับภาระหนักอยู่คนเดียวส่ายศีรษะ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกเหนื่อยหน่ายอย่างที่ควรนักยิ่งเมื่อหันกลับไปมองเจ้าของใบหน้าใสนัยน์ตาฉ่ำเยิ้มที่เพิ่งลืมขึ้นมามองหน้ากัน “ลุกไหวไหม ให้ผมอุ้มคุณไปส่งที่ห้องนะ” ซึ่งอีกฝ่ายก็ทำเพียงมองมาตาแป๋วไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ คงจะไม่หลงเหลือสติไว้คิดตัดสินใจอะไรแล้วจริงๆ
“หนักปะ” คนที่ตัดช่องน้อยแต่พอตัวเลือกรับผิดชอบแค่กระเป๋าถือใบเล็กๆ แล้วเดินนำไปเปิดประตูถามเมื่อทั้งเขาและเธอพาคนเมาไร้สติขึ้นมาส่งถึงในห้องพักและวางลงบนเตียงเรียบร้อยแล้ว “คงไม่หรอกเนอะยายปุ่นตัวบางนิดเดียว”
วิศวกรหนุ่มถอนหายใจ ก็ในเมื่อคนถามตอบเอาเองเสร็จสรรพแล้วคงไม่จำเป็นต้องตอบหรอกมั้ง เขาหันไปจัดแจงห่มผ้าให้คนบนเตียงที่ทำท่าว่าจะหลับลงไปอีกครั้งเสร็จแล้วก็กดรีโมทเปิดเครื่องปรับอากาศหวังให้อีกฝ่ายได้พักผ่อนอย่างสบายตัวที่สุด แต่แล้ว… คนที่เคยนอนอยู่ก็ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมานั่งบนเตียง!
“เฮ่ย! ผีกองกอยเข้าสิงรึไงยัยนี่” ฟารีดาขยับเท้าถอยออกห่างอัตโนมัติ
“พี่เฟย์!” ชินพัตต์อดปรามไม่ได้
“ก็มันจริงนี่” คนพูดเกินจริงยังเถียงกลับ ครั้นพอเห็นคนที่ตัวเองสันนิษฐานว่าถูกผีกองกอยเข้าสิงยกมือขึ้นอุดปากทำท่าพะอืดพะอมก็รีบแก้คำเสียงรัว “เฮ้ย! ไม่ใช่แล้ว ชิน! นายรับผิดชอบไปเลย โทษทีว่ะ พี่ไม่ถูกกับอะไรแบบนี้จริงๆ” ว่าแล้วก็หันหลังก้าวหนีออกจากห้องทันที
“อั้นไว้ก่อนคุณ!” ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะรั้งฟารีดาเอาไว้เพราะอีกฝ่ายเคยแสดงเจตนารมณ์ให้เห็นชัดเจนมาแล้วครั้งหนึ่ง วิศวกรหนุ่มรีบขยับเข้าไปช่วยประคองล่ามสาวให้ลุกขึ้นจากเตียงแล้วลากไปที่ห้องน้ำด้วยความเร็วแสง เธอเกาะอ่างล้างหน้าก่อนจะอาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุง ส่วนเขาก็ช่วยลูบหลังและโอบประคองอยู่ไม่ห่างทั้งยังช่วยล้างหน้าล้างตาให้ด้วย
“คุณโอเคไหม ล้างหน้าหน่อยนะครับจะได้รู้สึกดีขึ้น” ชินพัตต์บอกเสียงอ่อน
ปุณยวีร์ส่งเสียง ‘อือ ออ’ ออกมาตามประสาคนดื่มเหล้าเมาและอาเจียนจนหมดสภาพก่อนจะเงยหน้าที่พราวไปด้วยหยาดน้ำขึ้นมาแล้วมองเขาตาแป๋ว “อุ้ม...” เธอบอก
คนที่เคยรับมือแต่กับภาคนางมารร้ายเหวี่ยงวีนเจ้าอารมณ์มาโดยตลอดถึงกับยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก
“นะ... อุ้มปุ่นหน่อย” คราวนี้ไม่ใช่แค่เสียงที่ออดอ้อนกันแต่ร่างเล็กยังโผเข้ามาซุกอยู่กับอกของเขาแล้วยกสองแขนขึ้นคล้องคออีกต่างหาก จากที่ทำอะไรไม่ถูกมาคราวนี้ชินพัตต์ถึงกับต้องยกมือขึ้นเช็ดเหงื่อซึ่งไม่ได้เกิดจากอากาศภายนอก หากแต่เกิดจากอารมณ์ภายในของเขาเอง
“เอ่อ... คุณ คุณปุ่น” วิศวกรหนุ่มพยายามส่งเสียงเรียกสติ ซึ่งสัญญาณตอบรับจากอีกฝ่ายก็คือ... ความเงียบ “ปุ่นครับ” คราวนี้เขาเสี่ยงเรียกแค่ชื่อโดยไม่มีคำนำหน้าดูบ้างและผลก็ยังเหมือนเดิม เขาจึงค่อยๆ ดันร่างบางออกจากอกก่อนจะพบว่าคนที่ถูกแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดเปลี่ยนนิสัยจากนางมารเป็นลูกแมวขี้อ้อน มาบัดนี้กลับหลับตาพริ้มเป็นเจ้าหญิงนิทราไปซะแล้ว
ใบหน้าขาวใสปราศจากสีสันของเครื่องสำอางทำให้ปุุุุณยวีร์ดูคล้ายเด็กสาวมากกว่าจะเป็นหญิงสาวเต็มวัย ท่าทางดูปราศจากพิษสงใดๆ ต่างจากตอนที่มีสติลิบลับ
ชินพัตต์ส่ายศีรษะรอยยิ้มขำขันแกมเอ็นดูปรากฏบนใบหน้าที่ติดจะเรียบนิ่งไม่ค่อยแสดงความรููููู้สึก มือใหญ่เลื่อนไปปัดไรผมระหน้าระตาออกให้อย่างอ่อนโยน
“ถ้าสร่างเมาแล้วรู้ว่าเป็นผมคุณจะเป็นยังไงนะ หวังว่าจะไม่กรี๊ดจนผมหูดับนะครับ”
คำถามนี้ไม่มีคำตอบจากเจ้าของร่างเล็กในวงแขน นอกเสียจาก...
“ยัยปุ่นเป็นยังไงบ้างชิน ไหวรึเปล่า อ้าว!” คนที่ตัดช่องน้อยแต่พอตัวถึงสองครั้งสองคราติดต่อกันชะโงกหน้าเข้ามาในห้องน้ำก่อนจะอุทานเสียงแปลกใจ “เอ่อ พี่มาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า”
เหอะ! ยังมีหน้ามาถาม
>>>TBC<<<
เย้ จบตอนที่ 13 แล้ว ขอโทษนะคะ // \\ ที่หายไปนาน พอดีช่วงนี้ภาระงานรัดตัวมากๆ ยังไงก็ช่วยติดตามกันต่อไปด้วยนะคะนักอ่านที่น่ารักผู้มีอุปการะคุณทั้งหลาย ทั้งคุุณ sai คุณตามหาฝัน คุณ Zephyr คุณปลาวาฬสีน้ำเงิน และนักอ่านเงาทกๆ ท่านด้วยค่ะ แล้วพบกับตอนดราม่าเร็วๆ นี้ ค่ะ
พนาศิลป์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 ก.พ. 2558, 20:53:39 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 22 ก.พ. 2558, 09:26:02 น.
จำนวนการเข้าชม : 1309
<< ตอนที่ 13/3 | ตอนท่ี่ 14 >> |
sai 22 ก.พ. 2558, 07:31:00 น.
ขัดมากกกกคะพี่เฟย์ๆๆๆ ขัดใจคนอ่านด้วย555
ขัดมากกกกคะพี่เฟย์ๆๆๆ ขัดใจคนอ่านด้วย555
ตามหาฝัน 23 ก.พ. 2558, 12:43:16 น.
จบแบบนี้ ขัดใจตนอ่านค่ะ
จบแบบนี้ ขัดใจตนอ่านค่ะ
sunflower 23 ก.พ. 2558, 19:25:15 น.
เมื่อไหร่ปุ่นจะรู้นะ
เมื่อไหร่ปุ่นจะรู้นะ