เทหน้าตักรักนางมารร้าย (ฉบับรีไรท์ ทำ e-book)

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอนท่ี่ 14

วิศวกรหนุ่มถอนหายใจ ก็ในเมื่อคนถามตอบเอาเองเสร็จสรรพแล้วคงไม่จำเป็นต้องตอบหรอกมั้ง เขาหันไปจัดแจงห่มผ้าให้คนบนเตียงที่ทำท่าว่าจะหลับลงไปอีกครั้งเสร็จแล้วก็กดรีโมทเปิดเครื่องปรับอากาศหวังให้อีกฝ่ายได้พักผ่อนอย่างสบายตัวที่สุด แต่แล้ว… คนที่นอนอยู่ดีๆ ก็ทะลึ่งพรวดลุกขึ้นมานั่งบนเตียง!

“เฮ่ย! ผีกองกอยเข้าสิงรึไงยัยนี่” ฟารีดาขยับเท้าถอยออกห่างอัตโนมัติ

“พี่เฟย์!” ชินพัตต์อดปรามไม่ได้

“ก็มันจริงนี่” คนพูดเกินจริงยังเถียงกลับ ครั้นพอเห็นคนที่ตัวเองสันนิษฐานว่าถูกผีกองกอยเข้าสิงยกมือขึ้นอุดปากทำท่าพะอืดพะอมก็รีบแก้คำเสียงรัว “เฮ้ย! ไม่ใช่แล้ว ชิน! นายรับผิดชอบไปเลย โทษทีว่ะ พี่ไม่ถูกกับอะไรแบบนี้จริงๆ” ว่าแล้วก็หันหลังก้าวหนีออกจากห้องทันที

“อั้นไว้ก่อนคุณ!” ไม่มีประโยชน์อะไรที่จะรั้งฟารีดาเอาไว้เพราะอีกฝ่ายเคยแสดงเจตนารมณ์ให้เห็นชัดเจนมาแล้วครั้งหนึ่ง วิศวกรหนุ่มรีบขยับเข้าไปช่วยประคองล่ามสาวให้ลุกขึ้นจากเตียงแล้วลากไปที่ห้องน้ำด้วยความเร็วแสง เธอเกาะอ่างล้างหน้าก่อนจะอาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุง ส่วนเขาก็ช่วยลูบหลังและโอบประคองอยู่ไม่ห่างทั้งยังช่วยล้างหน้าล้างตาให้ด้วย
“คุณโอเคไหม ล้างหน้าหน่อยนะครับจะได้รู้สึกดีขึ้น” ชินพัตต์บอกเสียงอ่อน

ปุณยวีร์ส่งเสียง ‘อือ ออ’ ออกมาตามประสาคนดื่มเหล้าเมาและอาเจียนจนหมดสภาพก่อนจะเงยหน้าที่พราวไปด้วยหยาดน้ำขึ้นมาแล้วมองเขาตาแป๋ว “อุ้ม...” เธอบอก

คนที่เคยรับมือแต่กับภาคนางมารร้ายเหวี่ยงวีนเจ้าอารมณ์มาโดยตลอดถึงกับยืนอึ้งทำอะไรไม่ถูก

“นะ... อุ้มปุ่นหน่อย” คราวนี้ไม่ใช่แค่เสียงที่ออดอ้อนกันแต่ร่างเล็กยังโผเข้ามาซุกอยู่กับอกของเขาแล้วยกสองแขนขึ้นคล้องคออีกต่างหาก จากที่ทำอะไรไม่ถูกมาคราวนี้ชินพัตต์ถึงกับต้องยกมือขึ้นปาดเหงื่อซึ่งไม่ได้เกิดจากอากาศภายนอก หากแต่เกิดจากอารมณ์ภายในของเขาเอง

“เอ่อ... คุณ คุณปุ่น” วิศวกรหนุ่มพยายามส่งเสียงเรียกสติ ซึ่งสัญญาณตอบรับจากอีกฝ่ายก็คือ... ความเงียบ “ปุ่นครับ” คราวนี้เขาเสี่ยงเรียกแค่ชื่อโดยไม่มีคำนำหน้าดูบ้างและผลก็ยังคงเดิม เขาจึงค่อยๆ ดันร่างบางออกจากอกก่อนจะพบว่าคนที่ถูกแอลกอฮอล์ในกระแสเลือดเปลี่ยนนิสัยจากนางมารร้ายกลายเป็นลูกแมวขี้อ้อน มาบัดนี้กลับหลับตาพริ้มเป็นเจ้าหญิงนิทราไปซะแล้ว

ใบหน้าเนียนใสปราศจากสีสันของเครื่องสำอางทำให้ปุณยวีร์ดูคล้ายเด็กสาวมากกว่าจะเป็นหญิงสาวเต็มวัย ท่าทางดูปราศจากพิษสงใดๆ ต่างจากตอนที่มีสติลิบลับ

ชินพัตต์ส่ายศีรษะรอยยิ้มขำขันแกมเอ็นดูปรากฏบนใบหน้าที่ติดจะเรียบนิ่งไม่ค่อยแสดงความรู้สึก มือใหญ่เลื่อนไปปัดไรผมระหน้าระตาออกให้อย่างอ่อนโยน

“ถ้าสร่างเมาแล้วรู้ว่าเป็นผมคุณจะเป็นยังไงนะ หวังว่าจะไม่กรี๊ดจนผมหูดับนะครับ”

คำถามนี้ไม่มีคำตอบจากเจ้าของร่างเล็กในวงแขน นอกเสียจาก...

“ยัยปุ่นเป็นยังไงบ้างชิน ไหวรึเปล่า อ้าว!” คนที่ตัดช่องน้อยแต่พอตัวถึงสองครั้งสองคราติดกันชะโงกหน้าเข้ามาในห้องน้ำก่อนจะอ้อมแอ้มว่า “เอ่อ พี่มาขัดจังหวะอะไรหรือเปล่า”

เหอะ! ยังจะมีหน้ามาถาม


บทที่ 14

‘ถ้าเขาถอนคำพูดตอนนี้จะทันไหมนะ’ ชินพัตต์ได้แค่คิดขณะมองตามหลังเมรีขี้เมาที่เพิ่งได้เจอกันเป็นครั้งแรกที่บริษัท HANO หลังจบจากงานเลี้ยงฉลองมงคลสมรสระหว่างวัชระกับสุพรรษา

แวบแรกที่เจอหน้าเขาและเธอต่างก็ชะงักกึกไปด้วยกันทั้งคู่ แต่เพียงไม่กี่วินาทีหลังตกอยู่ในภาวะสุญญากาศเธอกลับเดินผ่านเลยเขาไป ก็ไหนเคยบอกว่าเซ็นสัญญาสงบศึกต่อกันแล้วไง ทำไมถึงไม่มีคำทักทายดีๆ เลยล่ะ หรือจะพูดจากระทบกระแทกแดกดันเหมือนอย่างเคยก็ยังได้ แม้กระทั่งกรี๊ดจนหูดับกันไปข้างก็ไม่เป็นไร ขอเพียง... เธอยังมองเห็นเขาอยู่ในสายตา ไม่ว่าจะในฐานะอะไรเขาก็พร้อมที่จะทำใจยอมรับ หากไม่ใช่เป็นอากาศธาตุ! แค่ไม่มีค่าไม่มีความหมายในหัวใจเธอก็แย่พออยู่แล้ว แต่แม้กระทั่งในครรลองสายตา... มันโหดร้ายเกินที่จะรับไหวจริงๆ!





“พิมพ์...”
“ปุ่น? เป็นไรแก ทำไมเสียงเหี่ยวแบบนั้น”
“ฉันเมา...”

“หา! แล้วตอนนี้แกอยู่ที่ไหน บอกพิกัดมาฉันจะรีบไปรับ ตาย ตายๆ ฉันเตือนแกแล้วนะว่าไปอยู่ที่นั่นคนเดียวห้ามดื่มเหล้าเด็ดขาด ทำไมถึงไม่ฟังกันเลยฮะ แล้วนี่แกไปกับใคร พี่ปุ้นเหรอ โอย... แล้วจะไว้ใจได้ไหมนี่ถ้าเจอกับภาคเมรีขี้อ้อนของแกเข้าไป ฟังฉันนะปุ่นห้ามกลับกับเขาสองต่อสองเด็ดขาด รออยู่ที่นั่นอีกไม่เกินชั่วโมงฉันจะรีบไปรับ ฉันเพิ่งมาส่งพี่อี้ที่สุวรรณภูมิเหยียบอีกแป๊บเดียวก็ไปถึงแกแล้ว”

“ฮือ... มันสายไปแล้วอะแก๊”

“ไม่นะปุ่น แกล้อฉันเล่นใช่ไหม ก็ไหนแกเคยบอกฉันว่าเขาเป็นสุภาพบุรุษไง สรุปว่า... แกเรียบร้อยโรงเรียนไอ้พี่ข้าวปุ้นนั่นแล้วเหรอ โอย... เพื่อนฉัน แล้วนี่จะทำยังไง เขาจะรับผิดชะ...”

“อ๊ายยย นังพิมพ์!”

วันนั้น... หลังจากลืมตาตื่นขึ้นมาพร้อมกับอาการปวดหัวตุบๆ ราวกับมีใครเอาค้อนมาทุบ ปุณยวีร์ก็พยายามลำดับเหตุการณ์ว่าได้เกิดอะไรขึ้นบ้าง ซึ่งเธอก็นึกออกถึงแค่ตอนที่พูดประชดภควัตทั้งที่รู้จุดประสงค์ที่แท้จริงของเขาว่าอะไรเป็นอะไร และเพราะความโมโหชายหนุ่มรุ่นพี่เธอจึงสั่งตรัยให้ชงเหล้าให้ก่อนจะดื่มด้วยกันกับฟารีดา จากหนึ่งแก้วกลายเป็นสองแก้ว สามแก้ว สี่แก้ว... แล้วจากนั้นเธอก็จำอะไรไม่ได้อีก พอลืมตาขึ้นมาอีกครั้งก็พบว่าตัวเองมานอนอยู่บนเตียงในห้องพักที่อพาร์ตเมนท์ในชุดนอนแบบปาจามาตัวเก่งเรียบร้อยแล้ว ครั้นตั้งสติได้เธอก็รีบต่อสัญญาณโทรศัพท์หาฟารีดาเพื่อสอบถามอีกฝ่ายถึงช่วงต่อของเหตุการณ์ที่หายไปจากความทรงจำ ซึ่งสาวห้าวรุ่นพี่ก็หัวเราะนำมาก่อนจะทำเสียงเล็กเสียงน้อยขัดกับบุคลิกถ่ายทอดเรื่องราวต่างๆ ให้ฟัง

แม้จะยังไม่ปักใจเชื่อถึงร้อยเปอร์เซ็นต์ แต่ปุณยวีร์ก็ต้องยอมรับว่าแปดสิบเปอร์เซ็นต์ที่อีกฝ่ายเล่ามานั้นน่าจะเป็นความจริง เพราะเมาทีไรนิสัยของเธอก็จะเปลี่ยนจากนางมารร้ายกลายเป็นยัยขี้อ้อนทุกที ซึ่งเป็นที่ทราบกันดีในครอบครัวและหมู่เพื่อนสนิท จนทุกคนถึงกับออกปากห้ามไม่ให้เธอแตะเครื่องดื่มมึนเมาโดยเด็ดขาด

“ไอ้พี่ข้าวปุ้นมันไม่รับผิดชอบเหรอแก” เหมือนพิมพ์ยังคงคาดเดาเหตุการณ์เอาเองต่อไป

“ไม่ใช่!” เธอปฏิเสธเสียงเข้มเมื่อเพื่อนยังคงเข้าใจไปคนละทิศละทาง

“อ้าว งั้นก็แปลว่าเขายอมรับผิดชอบ แล้วแกจะทำเสียงเหี่ยวหมดอาลัยตายอยากไปทำไม เขาตรงสเป็กแกทุกอย่างเป็นผู้ชายในฝันเลยไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ใช่! อ๊ายยย นังพิมพ์ กดสต็อปต่อมมโนเดี๋ยวนี้แล้วฟังที่ฉันพูด” ต้องรีบเบรกก่อนที่อีกฝ่ายจะพาออกทะเลไปไกล “เรื่องมันไม่ใช่อย่างที่แกคิด ฟังนะ ฉันยังไม่ได้เรียบร้อยโรงเรียนพี่ปุ้น เพราะฉันไม่ได้กลับกับเขา เขาไม่ได้มาส่งฉัน คนที่มาส่งฉันเป็นพี่เฟย์กับ... กับ นายชิน!”

“นายชิน? เด็กเกรียนที่ถูกแกแผลงฤทธิ์ใส่ตั้งแต่เจอกันครั้งแรกนั่นน่ะเหรอ”

“ใช่ แล้วก็อย่างที่แกรู้ดีว่าพอเมาฉันอ้อนแค่ไหน”

“นี่อย่าบอกนะว่าคนที่แกอ้อนเป็น... นายชิน”

“ฉันก็ไม่อยากจะบอกหรอกนะ แต่มันเป็นไปแล้วอะแก๊ ฮือ... ฉันจะทำยังไงดี ทำไมต้องเป็นหมอนั่นด้วย พี่เฟย์นะพี่เฟย์ฉันแค่จะอ็อกหน่อยเดียวทำเป็นรับไม่ได้ทิ้งกันเฉยเลย ปล่อยฉันให้อยู่กับหมอนั่น”

“เอ่อ แกแค่อ้อนเขาเท่านั้นใช่ไหม”

“ก็ใช่น่ะสิยะ! นี่แกคิดไปถึงไหนอีกฮะนังพิมพ์!”

“ก็ยังไม่ถึงไหนหรอกน่า แล้วถ้าแค่อ้อนแกจะนอยด์ไปทำไม ในเมื่อตอนนั้นแกเมาไร้สติมันก็ช่วยไม่ได้”

“แต่ทำไมต้องเป็นหมอนั่นด้วยล่ะแก แล้วทีนี้ฉันจะทำยังไง จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน ถ้าเจอหมอนั่นฉันจะทำหน้ายังไง”
“อืม นั่นสิ”

“นี่นังพิมพ์! ที่ฉันโทร.หาแกก็เพื่อจะให้แกช่วยฉันคิด ไม่ใช่มาอืม ออ ตามที่ฉันพูด ฮึ่ย! นังเพื่อนบ้านี่! ไม่ได้ดั่งใจเลย”

“ฟังฉันนะปุ่น ที่ฉันพูดว่าอืม นั่นสิ... ไม่ได้หมายความว่าฉันฟังเรื่องที่แกพูดแล้วจะพยักหน้าเป็นลาโง่ ไม่มีความเห็น แต่นอกจากคำว่าอืม นั่นสิ... ที่พูดออกไปแล้วฉันกำลังจะถามอีกว่า แกเป็นอะไรมากไหมนี่กับเรื่องแค่นี้ถึงกับต้องทำหน้าไม่ถูก ไม่กล้าเจอหน้าเขา อาการแบบนี้มันไม่ปกติแล้วนะยะ นอกจากจะเป็นเมรีขี้อ้อนแล้วฉันสัณนิษฐานว่าแกยังมีอาการแทรกซ้อนเป็นนางวันทองสองใจด้วยนะนี่”

“อ๊ายยย นังพิมพ์! นังเพื่อนบ้า! ฉันให้แกช่วยคิด ไม่ใช่มากล่าวหากันพล่อยๆ แบบนี้ จะด่าว่าเป็นนางมารร้ายนิสัยไม่ดีฉันยอมรับได้ แต่บังอาจมากล่าวหากันว่าเป็นมิสมะม่วงแรดนี่ถ้าพูดกันต่อหน้าล่ะก็ฉันชกแกปากแตกแน่ ฮึ่ย!”

“ก็เอาสิ ถ้าข้อสันนิษฐานของฉันมันไม่มีมูลฉันยอมให้แกชกหน้าแหกเลย ลองทบทวนดูดีๆ ถ้าแกไม่ได้คิดอะไรกับนายชินแล้วแกจะต้องนอยด์ต้องเครียดไปทำไม ในเมื่อที่ผ่านมาแกก็เคยเมาอ้อนผู้ชายไปทั่วพอสร่างเมาฉันก็เห็นแกเชิดหน้าทำไม่รู้ไม่ชี้ทุกครั้งไป แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่แกถึงกับสติแตกจนต้องโทร.มาปรึกษาฉัน ซึ่งมันแปลว่าแกแคร์ผู้ชายคนนั้น เพราะอะไรล่ะปุ่น ทำไมแกถึงต้องแคร์เขา คนที่แกควรต้องแคร์ไม่ใช่พี่ปุ้นหรอกเหรอ แล้วพูดถึงพี่ปุ้น... เขาหายไปไหน ทำไมถึงไม่ใช่เขาที่เป็นคนไปส่งแกที่อพาร์ตเมนท์”

“เอ่อ คือ...”

“แกมีเรื่องหมกเม็ดอะไรอยู่ก็สารภาพมาเสียตอนนี้เลย อย่าให้ฉันต้องเสียเวลาไปรีดความจริงจากปากแกถึงที่ปราจีน” …








“นี่ฉันคิดอะไรกับ... อ๊ายยย ไม่ใช่! เป็นไปไม่ได้ นังพิมพ์บ้า! ชอบมาพูดจาแปลกๆ ให้ฉันคิดเลื่อนเปื้อนไปเรื่อย ฮึ่ย! แกทำถูกแล้วปุ่น แบบนี้แหละดีแล้ว แกกับเขาเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกันเท่านั้น ไม่จำเป็นต้อง... แต่แค่ทักทายจะเป็นไรไปล่ะ เป็นเพื่อนร่วมงานกันก็ต้องพูดคุยกันบ้างสิ แต่นี่กลับทำเมินมองไม่เห็นเขา ไม่กล้าสบตาเขา เป็นเพราะว่าแกคิด... อ๊ายยย ไม่ ไม่ๆ ฮืออออ นังพิมพ์บ้า! เป็นเพราะแกคนเดียว!”

พอกลับมาถึงห้องทำงานปุณยวีร์ก็พูดเองเออเองอยู่คนเดียวสลับกับร้องคร่ำครวญก่อนจะยกสองมือขึ้นปิดหน้าแล้วฟุบลงไปกับโต๊ะ มณฑกานต์กับทอไหมซึ่งนั่งอยู่ในห้องก่อนแล้วได้แต่มองด้วยความแปลกใจก่อนจะหันมาสบตากันแล้วส่ายศีรษะด้วยความไม่เข้าใจ

“ปุ่น โอเคไหม” ล่ามอาวุโสที่สุดในห้องอดถามไม่ได้

“ไม่ค่ะ” ล่ามน้องนุชสุดท้องตอบกลับทั้งที่ยังฟุบหน้าอยู่กับโต๊ะ

“เป็นอะไรจ๊ะ ปวดหัว? ปวดท้อง? ไปห้องพยาบาลไหม หรือว่าจะให้พี่โทร.บอกปุ้น”

“ไม่ค่ะ”

“อ้าว แล้วจะทำยังไง ปุ่นต้องตามซาโต้ซังไปมีตติ้งที่แผนกวิศวกรรมตอนสิบโมงนี่นา แล้วแบบนี้จะไหวเหรอ”

ปุณยวีร์เงยหน้าขึ้นมาทันที “จริงด้วย ฮืออออ... จะทำยังไงดี”

“ไม่สบายมากเลยใช่ไหมนี่ งั้นก็ไม่เป็นไรหรอกปุ่น หาหยูกหายากินซะแล้วก็พักผ่อนอยู่ในห้องนี่แหละ ส่วนเรื่องมีตติ้งเดี๋ยวพี่ไปแทนเอง” คงเพราะเห็นอาการคล้ายไม่ค่อยสู้ดีนักของเธอ ทอไหมถึงอดรนทนไม่ได้รีบเสนอตัวให้ความช่วยเหลือ

ปุณยวีร์ยิ้มเนือยๆ รับความหวังดีจากเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่ “ปุ่นไม่ไหวจริงๆ รบกวนพี่ไหมด้วยนะคะ ขอบคุณมากค่ะ” ขณะที่ภายในใจไชโยโห่ร้อง ‘เย้ รอดตัวไปเปลาะหนึ่ง’







“อ้าว ไหงจากปุ่นถึงกลายเป็นปุ๋ยซะล่ะ”

ทันทีที่เห็นว่าล่ามคนไหนเข้ามาทำหน้าที่เป็นสื่อกลางในการมีตติ้งร่วมกับนายญี่ปุ่นวันนี้ก้องภพก็เอ่ยปากจิกกัดขึ้นทันที

“อ๊ายยย... ไอ้บ้าปืน! มีแฟนดีๆ น่ารักก็หัดออสโมซิสเอานิสัยดีๆ ของน้องเค้ามาบ้างสิยะ ไม่ใช่เอาแต่ปากเสียหมักหมมหนักขึ้นทุกวัน”

ทอไหมท้าวสะเอวสั่งสอนก่อนจะถอนหายใจ “แต่เอาเถอะ คราวนี้ฉันยกให้ก็ได้ เพราะจะว่าไปปากหมามันก็เรื่องธรรมดาของผู้ชาย แต่ไอ้พวกทำนิ่งๆ เป็นงูดินกินลึกนี่สิที่ฉันรับไม่ได้” พูดพลางก้าวไปหยุดอยู่ที่หน้าพาร์ทิชั่นของภควัตก่อนจะตบโต๊ะดังปัง! จนเจ้าของโต๊ะต้องเงยหน้าขึ้นมอง

“มัวแต่นั่งเอ๋อใจลอยไปถึงตลาด!(เน้นเสียง)ที่ไหน เหรอยะ ขอความกรุณาช่วยแปลกใจแล้วก็ถามไถ่สักนิดได้ไหมว่าทำไมถึงเป็นฉันที่มาเป็นล่ามให้วันนี้ ไม่ใช่น้องปุ่นที่หลังๆ ซาโต้ซังมักเรียกใช้งานจนเหมือนล่ามประจำตัวของแกไปแล้ว”

“เอ่อ…” ภควัตอึกอัก “แล้วปุ่นหายไปไหนล่ะไหม ไม่ว่างเหรอ”

ทอไหมแค่นเสียง ‘เฮอะ!’ ก่อนจะต่อประโยคว่า “ถ้ายังสนใจใส่ใจน้องเค้าอยู่จริงๆ ก็รู้จักสังเกตดูเอาเองสิ ไม่ใช่เพิ่งมานึกได้ตอนที่ฉันกระแทกถาม ทีแม่มาร์เก็ตติ้งนั่นไม่มีใครสะกิดสักนิดยังดอดตามเขาไปถึงบ้าน”

“ไหม จะได้เวลาที่ซาโต้ซังมาถึงแล้วแก” วนิดาปรามพลางดึงมือทอไหมไปที่ห้องประชุมของแผนก

ทอไหมฮึดฮัด “ก็ได้ แต่อย่าให้รู้นะว่าใครที่บังอาจทำน้องสาวฉันเจ็บอีก ถึงตอนนั้นฉันไม่ไว้หน้าแน่” พูดส่งท้ายก่อนจะยอมเดินตามวนิดาไป

“คุณปุ่นเป็นอะไรมากไหมคะพี่ไหม” กีรฎาถามด้วยน้ำเสียงบอกความเป็นห่วง

“มากจนแก้วนึกไม่ถึงเลยเชียวล่ะ” ทอไหมให้คำตอบที่ไม่เฉพาะคนถามเท่านั้นที่ถึงกับอึ้งงันไป หากชินพัตต์ซึ่งนั่งประจำอยู่ที่พาร์ทิชั่นของตัวเองดูคล้ายจดจ่ออยู่กับหน้าจอคอมพิวเตอร์เหมือนไม่สนใจเรื่องราวอื่นใดก็พลันชะงักงันไปด้วย เนื้อความในอีเมลที่เขาต้องรวบรวมสมาธิอ่านไม่ต่ำกว่าฉบับละสามครั้งถึงจะเข้าใจ มาบัดนี้… แม้จะอ่านซ้ำไปซ้ำมาถึงสามสิบครั้งก็คงไม่มีความหมาย เนื่องเพราะใจมันหลุดลอยไปไกลถึงคนที่ตึกอำนวยการเสียแล้ว








“ขอบคุณพี่ไหมมากนะคะสำหรับทุกเรื่องในวันนี้” ปุณยวีร์เอ่ยกับทอไหมขณะกำลังเดินไปที่ลานจอดรถด้วยกัน

“ขอบคงขอบคุณอะไรกันล่ะ พี่ก็ทำไปตามปกติไม่เห็นมีอะไรพิเศษสักหน่อย” อีกฝ่ายทำไขสือไม่ยอมรับทั้งที่ได้ยื่นมือให้ความช่วยเหลือเธอหลายอย่าง เริ่มตั้งแต่เข้ามีตติ้งแทน เป็นเนวิเกเตอร์ขับรถลัดเลาะเข้าซอยเล็กซอยน้อยพาไปรับประทานอาหารมื้อเที่ยงที่ร้านก๋วยสุดแสนลึกลับซึ่งแน่ใจว่าจะไม่เจอกับคนรู้จัก ช่วยให้เธอไม่ต้องทนกับเสียงแสร้งทำเป็นกระซิบกระซาบแต่ตั้งใจให้ได้ยินชัดและสายตาบอกความสมเพชจากเหล่าผู้หวังดีแต่ประสงค์ร้ายทั้งหลาย ครั้นพอตกเย็นได้เวลาเลิกงานก็ยังรับอาสาเป็นโชเฟอร์ขับรถไปส่งที่อพาร์ตเมนท์อีก

ปุณยวีร์ยักไหล่ “โอเคค่ะ ไม่พิเศษก็ไม่พิเศษ งั้นปุ่นเปลี่ยนจากคำขอบคุณเป็นให้พี่ไหมถามคำถามอะไรก็ได้หนึ่งข้อดีไหมคะ” เธอสังเกตเห็นเพื่อนร่วมงานรุ่นพี่หันมามองหน้าเหมือนมีอะไรจะถามแต่ก็ไม่ยอมเปิดปากถามเสียที คงจะเพราะเกรงใจกันอยู่นั่นแหละ สุดท้ายเลยต้องเป็นฝ่ายเอ่ยเข้าประเด็นเสียเอง

“พี่ถามได้เหรอ” อีกฝ่ายทำท่าเกรงๆ

“ถามได้ค่ะ”

“ปุ่นจะเอายังไงต่อไป เรื่อง... ปุ้น”

ปุณยวีร์เม้มปากก่อนจะส่ายศีรษะ “ไม่รู้สิคะ ก่อนหน้านี้ปุ่นก็เคยถามแล้วแต่เขาก็ยืนยันว่ามันเป็นแค่อดีต ไม่มีอะไร”

“ไม่มีอะไร!” ทอไหมว่าเสียงสูงปรี๊ด “แต่ตามแม่นั่นไปถึงทาวเฮาส์แล้วทิ้งปะ… เอ่อ พี่ขอโทษ” ท้ายประโยคบอกเสียงจืดเจื่อน

“ไม่ต้องขอโทษหรอกค่ะ ปุ่นก็รู้ก็เห็นเหมือนที่พี่ไหมและคนอื่นๆ เห็นนั่นแหละ” เพียงแต่... เธอยังไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรต่อไปก็เท่านั้น เพราะติดคำว่า ‘โอกาส’ ที่เคยรับปากเขาเอาไว้ ทั้งยังคำ ‘สัญญา’ ที่เขาเคยให้คำมั่น นอกจากนั้นแล้วเธอยังสับสนว้าวุ่นใจกับความรู้สึกแปลกๆ ที่เพื่อนสนิทสะกิดสะเกาขึ้นมาอีก เฮ้อ… จะทำยังไงดี

“ปุ่น พี่โทร.หาตั้งแต่เช้าไม่เห็นรับสายเลย ไม่ได้เอาโทรศัพท์มารึเปล่าครับ” เสียงห้าวทุ้มฟังคุ้นหูดังขึ้นใกล้ๆ ปุณยวีร์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะหันกลับไปเผชิญหน้ากับคนที่อุตส่าห์วิ่งกระหืดกระหอบตามกันมา

“พี่ปุ้นมีธุระอะไรกับปุ่นเหรอคะ” นอกจากจงใจไม่ตอบคำถามแล้วเธอยังถามเขากลับแสดงออกถึงความห่างเหินชัดเจนจนภควัตถึงกับอึ้งงันไปเลยทีเดียว “ถ้าไม่มีอะไรแล้วงั้นปุ่นขอตัวนะคะ ไปกันเถอะค่ะพี่ไหม” หันไปชักชวนคนข้างกายหมดความสนใจในตัวชายหนุ่มรุ่นพี่ทันที

“ปุ่น!” ภควัตไม่เพียงแค่เอ่ยรั้งไว้ แต่มือใหญ่ของยังจับข้อมือของเธอเอาไว้แน่น

ปุณยวีร์หยุดเดินแต่ไม่ยอมหันกลับไปหาเขา เป็นทอไหมที่หันไปแหวเสียงขุ่น “อะไรของนายเนี่ย มัวแต่ยึกๆ ยักๆ อยู่ได้ มีอะไรก็พูดออกมาสิ ฉันกับปุ่นจะได้กลับไปพักผ่อนเสียที ทำงานมาทั้งวันเหนื่อยจะแย่”

“งั้นไหมก็กลับไปก่อนสิ ส่วนปุ่นมากับพี่จะไปรบกวนคนอื่นทำไม” บทจะเผด็จการขึ้นมาคนที่เคยมีบุคลิกอบอุ่นแสนดีก็ทำได้เยี่ยม! ไม่แพ้ใคร แต่มีหรือที่คนดื้อเอาแต่ใจตัวเองจะยอมตามไปง่ายๆ เธอหยุดยืนนิ่งและพยายามบิดข้อมือเพื่อให้หลุดพ้นจากพันธนาการของเขา“พี่ปุ้น ปล่อยปุ่น!” สั่งเสียงขุ่นคลั่ก

ภควัตส่ายศีรษะก่อนจะบอกเสียงอ่อน “ไปด้วยกันกับพี่ นะครับ”

‘เหอะ! ตบหัวกันแล้วทำมาเป็นลูบหลัง ฝันไปเถอะว่าจะยอม’ ปุณยวีร์เม้มปากอย่างดื้อดึง

“ได้ยินว่าไม่ค่อยสบาย หายหรือยังครับ ไหน พี่ดูหน่อยซิตัวยังร้อนอยู่หรือเปล่า” เขายื่นมือออกมาจะอังที่หน้าผากซึ่งโดยปกติเธอไม่เคยมีปัญหากับการแสดงความห่วงใยอย่างคนที่ใกล้ชิดสนิทสนมกัน หากวินาทีที่เหลือบไปเห็นว่านอกจากก้องภพ กีรฎา อนุพงษ์ วนิดาและตรัยที่กำลังเดินตรงเข้ามาหาแล้วยังมีโยษิตา อรพินท์ และชินพัตต์ตามหลังมาด้วย อะไรบางอย่างก็สั่งให้เธอปัดมือชายหนุ่มรุ่นพี่ออกและสะบัดหน้าหนี

ภควัตชะงัก ดวงตาคู่เรียวรีฉายรอยตัดพ้อ “ปุ่น… ทำไม?”

“ขอโทษค่ะ” เห็นแววตาของเขาแล้ววูบหนึ่งปุณยวีร์ก็อดรู้สึกผิดไม่ได้ “ปุ่นไม่เป็นไรแค่รู้สึกเหนื่อย เราอย่าเพิ่งคุยกันเลยนะคะพี่ปุ้น กลับกันเถอะค่ะพี่ไหม” หันไปหาหญิงสาวรุ่นพี่ซึ่งยังยืนคอยอยู่ไม่ได้ไปไหน หากพอพ้นจากภควัตมาได้ก็ยังไม่วายมีอีกคนเข้ามาขัดจังหวะ

“เดี๋ยวค่ะคุณปุ่น ขอเวลาฉันสักครู่ได้ไหมคะ ขอให้ฉันได้อธิบายเรื่องเมื่อวานระหว่างฉันกับ… ปุ้นก่อน” อรพินท์เรียกไว้แล้วรีบเดินเข้ามาหาก่อนที่เธอกับทอไหมจะไปถึงรถ

ปุณยวีร์ถอนหายใจไม่ปิดบังความรู้สึกเบื่อหน่าย “คุณมีอะไรก็รีบพูดมาเถอะค่ะ ก็อย่างที่บอกว่าฉันเหนื่อย อยากกลับไปพักเสียที”

“ขอโทษที่รบกวนค่ะ” ฝ่ายนั้นบอกเสียงจืดเจื่อน “แต่บอกตามตรงนะคะว่าฉันไม่สบายใจเลยที่เห็นคุณกับปุ้นมีปัญหากัน เรื่องเมื่อวานไม่มีอะไรเลยนะคะปุ้นก็แค่ไป… ไปส่งฉันในฐานะพะ… เอ่อ คนที่เคยรู้จักกันมาก่อนเท่านั้น ไม่มีอะไรเลยจริงๆ”

“เท่านี้ใช่ไหมคะเรื่องที่คุณต้องการบอก เอาเป็นว่าฉันรับทราบแล้ว ขอตัวก่อนนะคะ” ปุณยวีร์บอกเสียงเรียบก่อนจะก้าวเดินอีกครั้ง

“ปุ้นรักคุณมากนะคะ ไม่มีใครแทนที่คุณได้หรอก อย่าให้เรื่องเล็กๆ น้อยๆ ไร้สาระมาทำลายความสัมพันธ์ของพวกคุณสองคนเลยค่ะ ฉันไม่เคยคิดจะแทรกกลางระหว่างความสัมพันธ์ของพวกคุณเลยจริงๆ” น้ำเสียงหวานยังคงดังตามหลังมา

ปุณยวีร์เงยหน้าขึ้นกลอกตากับฟ้าที่เต็มไปด้วยเมฆทึบทึมแทบไม่ต่างไปจากความรู้สึกของตัวเอง “หมดหรือยัง” เธอหันหน้ากลับมาพลางเปรยถามน้ำเสียงเรียบเย็น

“เอ่อ อะไรคะ” อรพินท์อึกอัก คงไม่ใคร่เข้าใจนัยคำถาม

“คำพูดสวยหรูเพื่อสร้างความชอบธรรมให้ตัวเองตามแบบฉบับนางเอกที่แสนดีอย่างคุณ... หมดหรือยัง!” ชัดเจน ตรงประเด็นเสียจนคนมีภาพลักษ์เป็นนางเอกที่แสนดีหน้าถอดสีไปเลยทีเดียว

“คุณปุ่น...” อรพินท์ครางเสียงแห้งโหย

“หึ!” ปุณยวีร์แค่นยิ้ม “รับไม่ได้สินะ มันก็อย่างว่าแหละ คำพูดตรงๆ ไม่ได้ประดิดประดอยสวยหรู ผู้หญิงแสนดีแบบคุณคงไม่ค่อยชินหูเท่าไหร่ แต่ไหนๆ คุณก็เป็นฝ่ายเริ่มก่อน งั้นก็ทนแสลงหูเอาหน่อยแล้วกัน” บอกท่าทางไม่ยี่หระ

“คุณบอกว่าไม่คิดที่จะแทรกกลางความสัมพันธ์ระหว่างเขากับฉัน แล้วคุณมาที่นี่ทำไม ในเมื่อจบกันไปแล้วแยกทางกันไปแล้วก็ทางใครทางมันสิ จะมาเสนอหน้าให้เขาเห็นอีกทำไม จะมาทำสำออยเรียกร้องความสนใจจากเขาไปถึงเมื่อไหร่”

“นี่! พูดแบบนี้มันเกินไปแล้วนะ” เป็นโยษิตาที่เอ่ยขึ้นเสียงกร้าว

ปุณยวีร์ยักคิ้ว “เกินไป? ไม่มั้ง ฉันว่าน้อยไปเสียด้วยซ้ำกับการกระทำของพวกคุณ กล้าพูดไหมล่ะว่าที่พวกคุณเลือกเข้ามาทำงานที่นี่มันเป็นแค่เรื่องบังเอิญ คุณไม่ได้รู้มาก่อนเลยว่าพี่ปุ้นกับพี่ปืนทำงานอยู่ที่นี่ ไม่ได้หวังสักนิดเลยว่า
ถ้าได้พบกันอีกครั้งความสัมพันธ์ของพวกคุณกับพวกเขาจะกลับไปเป็นเหมือนเดิม ว่าไง กล้าพูดไหมว่าที่พยายามทำตัวเรียกเรตติ้งอย่างทุกวันนี้ไม่ได้หวังให้ถ่านไฟเก่ามันปะทุขึ้นมาอีกครั้ง”

“ใช่ หรือไม่ใช่แล้วไงล่ะ เธอควรพิจารณาตัวเองไม่ดีกว่าเหรอ ถ้าดีจริงจะกลัวไปทำไม ผู้ชายเขาคงไม่นอกใจกลับไปหาแฟนเก่าหรอก เว้นก็แต่ว่าจืดชืดไร้เสน่ห์จนเขาทนไม่ไหว ซึ่งมันก็ช่วยไม่ได้” เจ้าหล่อนเบ้ปากยักไหล่ เห็นแล้วชวนให้รู้สึกหมั่นไส้จนอยากจะชกให้หน้าแหก!

“แหม! ทำโยกโย้อ้อมโลก แต่สรุปสุดท้ายก็อยากได้ผู้ชายจนตัวสั่นริกๆ นั่นแหละ แล้วทำเป็นแอ๊บนางเอกหน้าซื่อ แสนดี ราวีใครไม่เป็น ปากก็ดี๊ดี เค้ารักคุณนะ เค้าไม่เลิกกับคุณหรอก ฉันไม่คิดจะแทรกกลางระหว่างใคร เหอะ! ตอแหลชัดๆ” วนิดาเข้าร่วมทำสงครามน้ำลายด้วยอีกคน

“ใครตอแหล! เธอว่าใคร” โยษิตาถามท่าทางเอาเรื่อง

“พอเถอะโย อย่ามีเรื่องเลย เรากลับกันเถอะ” อรพินท์ปรามพลางรั้งมือเพื่อนเอาไว้

“ไม่! ฉันไม่ยอมให้ใครด่าฟรีหรอก”

“โย... แค่นี้พวกเขาก็มองเราแย่พออยู่แล้ว เลิกแล้วต่อกันไปเถอะ ไม่มีประโยชน์หรอก” คราวนี้อรพินท์ขอร้องทั้งน้ำตา ซึ่งมันก็ได้ผล แม้โยษิตาจะยังกระฟัดกระเฟียดอยู่บ้างแต่สรุปสุดท้ายเธอก็ยอมตามคนที่มีน้ำตานองหน้าไปขึ้นรถ

"เฮอะ! พอเถียงไม่ออกก็บีบน้ำตาเรียกความสงสาร" วนิดาพูดด้วยน้ำเสียงหมั่นไส้

ปุณยวีร์ถอนหายใจ บอกไม่ถูกว่าระหว่างความรู้สึกสาสมใจกับสมเพชตัวเอง เธอควรจะรู้สึกอย่างไหนมากกว่ากัน

"ไอ้ปุ้น!!" เป็นเสียงห้าวเข้มของก้องภพที่ดังขึ้นบ้าง หากปุณยวีร์ไม่นึกอยากรู้ว่าเพราะอะไร ด้วยตอนนี้เธอรู้แน่แล้วว่า ตัวเธอเองช่างดูน่าสมเพชเหลือเกิน...

TBC...

หายไปนานเหลือเกิน ไม่มีคำแก้ตัวใดๆ นอกจากคำว่าขอโทษนะคะ และขอบคุณมากที่ติดตาม ได้โปรดติดตามต่อไปด้วยนะคะ^^






พนาศิลป์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 พ.ค. 2558, 19:38:09 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 พ.ค. 2558, 19:38:09 น.

จำนวนการเข้าชม : 1202





<< ตอนที่ 13 จบ   ตอนที่ 14 จบ >>
konhin 13 พ.ค. 2558, 22:16:05 น.
ชอบ ด่าได้สะใจดี พวกชอบทำตัวเป็นนางเอกเข้ามาแย่งแฟนคนอื่น น่าจะโดนตบซักทีเผื่อจะได้สมราคาที่อยากเป็นนางเอกไม่สู้คนไง


Zephyr 14 พ.ค. 2558, 00:13:35 น.
ปุ่นสู้ๆๆๆๆ
พี่ปุ้นก็ไม่เคยจะชัดเจน
นายชินหายไปๆๆๆๆ ฮีไม่มีบทเลยอ่า นอกจากท้าวความหลังและออกมานั่งอ่าน จม ไม่รู้เรื่อง หึหึ


ตามหาฝัน 14 พ.ค. 2558, 07:09:51 น.
อย่าหายไปนานนะคะ คิดถึง อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account