บทเรียน (รัก) นอกตำรา
นพมัลลี นักศึกษาฝึกสอนที่จบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน
นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก
แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้
มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน
นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก
แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้
มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่
Tags: นพมัลลี ตุนท์ คมิก พิชญ์ปรีชา
ตอน: บทที่ 5 : การเปลี่ยนแปลง
บทที่ 5
การนอนเฉยๆ รอให้หมอพยาบาลมาตรวจร่างกายเป็นเวลาสองวันติดนี้ทำให้นพมัลลีเกิดอาการคันไม้คันมืออยากฆ่าคน เธอที่ไม่เป็นอะไรมากมายนอกจากปวดท้อง และอาเจียน ต้องโดนฉีดยา ได้รับการตรวจอย่างใกล้ชิดตลอดทั้งวันเพราะผู้ชายคนหนึ่งระแวงว่าเธอจะได้รับผลกระทบจากการดื่มสารหนูเข้าไป
หากมันจะมีจริงก็ในปริมาณน้อยนิด และเธอก็อาเจียนเอามันออกมาหมดไปแล้วล่ะ!
นอกจากนั้นเธอยังต้องทนฟังเสียงสะอื้นของคนเฝ้าไข้ ที่ประเดี๋ยวก็แอบร้องไห้ด้วยความรู้สึกผิด ประเดี๋ยวก็ตีโพยตีพายว่าเธอไม่น่าทำอย่างนี้
ไม่กี่วันมานี้เธอยังมีแขกไม่คิดว่าจะมาอีกหลายคน ครูจากโรงเรียนเดิมที่เธอเคยฝึกสอนเมื่อเทอมที่แล้วหลายชีวิตนั่งอยู่ข้างเตียงของหญิงสาวในตอนนี้
“ในตอนนั้นไม่ใช่พวกเราไม่อยากช่วย แต่เธอก็รู้ว่าเรามีครอบครัว มีหน้าที่การงานที่ต้อง...”
นพมัลลียิ้มเซียว ยกมือที่ยังติดสายน้ำเหลือขึ้นห้ามครูอาวุโสที่กำลังพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือ
“ไม่มีครูที่ไหนทำร้ายลูกศิษย์ได้ลงคอหรอกค่ะ ครูสุดท้ายก็ยังปรารถนาที่จะเห็นชีวิตลูกศิษย์ได้ดี ลูกศิษย์ก็เหมือนลูกเหมือนครอบครัว ในเวลาที่เขาทำผิดเราเตือน เราตีเขาได้ แต่ในเวลาที่เขาพลาดเราย่อมไม่เหยียบเขาซ้ำอยู่แล้ว...จริงไหมคะ”
รอยยิ้มอาบยาพิษสาดใส่ใบหน้าอึ้งงันของครูสี่ชีวิต นพมัลลีรู้สึกว่าตอนนั้นเธอเป็นเพียงนักศึกษาฝึกสอนธรรมดาที่ไม่มีแรงไปสู้รบกับใครได้ ส่วนในตอนนี้เธอก็ยังอยู่ในฐานะเดิม เพียงแต่ไม่จำเป็นแล้วที่เธอจะต้องตัวสั่น ไหล่ลู่เวลาที่ครูคนอื่นกำลังทอดทิ้งไป
“ฉันขอโทษเธอจริงๆ ตอนนี้พวกเราอยากรื้อฟื้นเรื่องในอดีตขึ้นมาแก้ไข”
“เพราะอะไรคะ”
หัวหน้ากลุ่มครูมีสีหน้าลังเล เหลือบมองนพมัลลีก็พบว่าดวงตาคู่นั้นมีความดุฉายออกมา
“ผอ.โรงเรียนพวกเรา สมควรถูกไล่ออก เขาโกงเงินโรงเรียนไม่พอ ยังไม่เคยเอาเงินมาพัฒนาอะไรโรงเรียน เขาไม่เคยฟังเสียงใคร ตอนนี้เหิมเกริมหนักเรียกแป๊ะเจี๊ยะเพิ่มมาอีกห้องเรียน ใครที่รวยกว่านั้นก็ขายข้อสอบให้พวกที่สอบเข้ามาใหม่ ชื่อเสียงโรงเรียนกำลังติดลบ มีคนเอาไปพูดในโลกโซเชี่ยลเสียๆ หายๆ เขากลับไม่รู้สึกรู้สา”
“ทำไมถึงเพิ่งคิดได้คะ ไม่คิดว่าสายไปหรือเปล่า”
พวกเขาไม่รู้เลยว่าได้เหยียบอนาคตเด็กคนหนึ่งด้วยการปล่อยเด็กชั่วๆ คนหนึ่งให้ลอยนวลตัวปลิวไป และเธอก็พลอยรับเคราะห์ แต่ในส่วนของเธอนั้นถือว่าน้อยนิดหากเทียบกับสิ่งที่นิลุบลเจอ
“พวกเราเห็นตำรวจไปหาลูกผอ.ที่โรงเรียน เลยรู้ว่าเกี่ยวกับเธอด้วย ถ้าพวกเราช่วยกัน เรื่องในตอนนั้นต้องทำให้ผอ.เด้งไปได้แน่ๆ” ครูคนเดิมพยายามหยิบเหตุผลมากมายมา
“ถ้าพวกเราไม่มีประโยชน์ พวกคุณก็จะไม่แยแสกันเลยใช่ไหมคะ” นิลุบลที่นั่งฟังมานานสอดปากอย่างอดไม่อยู่ เธอไม่มีทางให้อภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดชีวิตตัวเองแน่นอน
“แล้วทำไมคุณไม่เอาเรื่องที่คุณรู้หลายๆ เรื่อง ไปฟ้องกับทางคุรุสภาล่ะคะ”
ท่าทีการพูดเย็นชาของคนป่วยไม่ต่างจากหมุดแหลมที่เพียรปักซ้ำครูอาวุโสเหล่านี้
“พวกเราเป็นคนใน เกรงว่า...”
“ถ้าคุณไม่เริ่มที่จะทำก่อน พวกเราก็จะไม่ยื่นมือเข้ายุ่งในเรื่องพวกนี้แน่นอน พวกเราผ่านมาแล้ว ถูกกันออกจากปัญหาพวกนั้นโดยพวกคุณเองนะคะ”
ความจริงที่เกิดขึ้นทำให้ผู้รับฟังทั้งสี่เกิดอาการน้ำท่วมปาก จำนนด้วยเหตุผล
“การเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องมีความกล้า อยากให้เปลี่ยนแปลงมาก นอกจากหวังให้คนอื่นเปลี่ยน ตัวเองก็ต้องเริ่มกล้าที่จะเปลี่ยนก่อนค่ะ”
“พวกเราจะทำ!”
หัวหน้าครูประกาศกร้าว นางกลายเป็นคนอ่อนแอหลังจากรับฟังเด็กรุ่นลูกสาธยายมา เพราะวันๆ ครูต่างนึกถึงตัวเอง นึกว่าปีหนึ่งๆ จะได้ขึ้นขั้นเงินเดือนกี่ขั้น ได้รับสวัสดิการอะไรเพิ่ม ทุกคนล้วนมองว่าการเป็นครู คืออาชีพที่มั่นคง และบางทีสิ่งมั่นคงเหล่านี้ทำให้เรายึดติด จนไม่กล้าขยับตัวเคลื่อนไหวอะไร ทำเป็นหลับตาลงข้างหนึ่ง มองข้ามสิ่งที่ไม่ควรจะมองข้าม
ต่างกลัว ‘ความไม่มั่นคง’ มากกว่า ‘ความไม่ถูกต้อง’
“ขอโทษถ้าฉันเสียมารยาทกับพวกคุณครูนะคะ”
“พวกฉันต่างหากที่ต้องขอโทษเธอสองคน” หัวหน้าครูสบตาอย่างรู้สึกผิดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ
กลุ่มครูลากลับไปพร้อมบอกว่าให้พวกเธอรอพบการเปลี่ยนแปลงที่พวกเขาจะร่วมมือกันก่อขึ้นภายในโรงเรียน นพมัลลีสัญญาว่าเธอจะใช้ความกล้าของตัวเองหลังจากพวกเขายื่นมือออกไปก่อนอย่างแน่นอน ในห้องพักกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
“แล้วเธอล่ะ มีความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ยังไง” นิลุบลถามอย่างผ่อนคลาย ภาระบางสิ่งคล้ายได้รับการปลดพันธนาการลงจากอดีต
ลูกศิษย์สาวแค่นยิ้ม “ถ้าฉันไม่กล้า ฉันจะกลายเป็นคนขี้ขลาดที่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวลใช่ไหมครู”
“ไม่ลำบากใจแน่นะ”
“ถือว่าตอบแทนที่ครูไม่ทำให้ฉันกลายเป็นฆาตกร ฉันเป็นหนี้บุญคุณครูหลายครั้งแล้วนะคะ”
“แค่ตั้งใจเรียน เป็นคนดี รู้ผิดชอบชั่วดี ครูต้องการแค่นั้นจากเธอ”
“แต่ว่าเรื่องเรียน...” นิลุบลบอกเสียงอ่อย หลังจากเกิดเรื่องในตอนนั้นเธอก็ลาออก ไม่มีหน้าไปเผชิญกับใครอีก
“ถ้าเธอกล้า เธอก็ต้องพร้อมเผชิญทุกสิ่งที่จะเข้ามา ครูจะคอยประคองเธอ จนกว่าเธอจะเดินไปถึงฝั่ง ตกลงไหม”
เด็กสาวน้ำตาคลอ พยักหน้าหงึกหงัก ซาบซึ้งกับสิ่งที่นพมัลลีทำเพื่อเธอมาตลอด
“ขอบคุณค่ะครู ขอบคุณจริงๆ”
---------------------------------------------
แขกคนล่าสุดของห้องพักพิเศษในโรงพยาบาลทำให้บรรยากาศเรียบเรื่อยระหว่างนพมัลลีที่ดูข่าวในโทรทัศน์ และตุนท์ที่นั่งตรวจการบ้านเด็กอยู่ตื่นตัว ตุลาปรายตามองบุตรชายอย่างไม่ใคร่จะพอใจกับข่าวที่นางได้ยินมาในช่วงนี้ โดยเฉพาะจากปากหลานชายตัวดี
‘พี่ตุนท์ดูสนิทกับครูลีดีนะครับ ปกป้อง ดูแลทุกอย่าง’
‘ครูลีนี่ใคร’
‘ครูที่ปรึกษาผม ที่ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลไงครับ’
นพมัลลีนั่งตัวตรง รู้สึกเกร็งกับการปรากฏกายอย่างไม่ให้ตั้งตัวของผู้อำนวยการใหญ่ของโรงเรียนพิชญ์ปรีชา ที่จริงอาการทางกายของเธอก็ปกติดีแล้ว แต่ตุนท์กลับขอให้เธอออกจากโรงพยาบาลในเช้าวันพรุ่งนี้
เขาน่ะเป็นดร.ระแวงไม่เลือกจริงๆ
หญิงสาวค่อนแคะตุนท์ในใจที่ทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากับตุล โดยไม่ทันสังเกตอากัปกิริยาผิดแผกของตุนท์ ชายหนุ่มกำลังหลบตามารดา มือกำเข้าหากันแน่น หวั่นในใจว่าความลับของเขาจะมาแตกเอาในวันนี้
“เป็นยังไงบ้างครูลี ฉันได้ข่าวว่าคุณต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะไปช่วยเด็กนักเรียน”
ตุลาหรี่ตามองบุตรชายอย่างคาดโทษ หลังนางรู้เรื่อง ‘ครูลี’ ที่บลินด์กล่าวถึง คนที่นางนึกถึงคนแรกเพื่อเค้นข่าวคือทวี และนางก็รู้ ว่าทวีวุ่นวายเรื่อง ‘อะไร’ มาตลอดอาทิตย์ และเพื่อ ‘ใคร’
ร้อยวันพันปี นอกจากการเรียนตุนท์แทบไม่เคยสนใจลูกท่านหลานเธอบ้านไหนมาก่อน นางเพียรเสนอหลายต่อหลายคน ตุนท์กลับเมินเฉย และเห็นค่าของหนังสือในมือที่อ่านอยู่สำคัญกว่าหญิงที่แม่พามา ไม่เหมือนในตอนนี้ นอกจากเรื่องระหว่างตุนท์กับนพมัลลีจะเกิดขึ้นลับหูลับตานาง ตุนท์กลับเปลี่ยนไปจากที่นางรู้จักมาก ลูกชายถึงขั้นย้ายที่นอนเพื่อจะพักอาศัยอยู่ข้างบ้านครูฝึกสอนที่ประวัติที่บ้านแสนธรรมดา ที่สำคัญนพมัลลียังมีประวัติอย่างการลาออกจากโรงเรียน หายเงียบไปสองปีกว่าก่อนที่จะใช้วุฒิกศน.สอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย และขนาดเข้ามาเรียน ก็ยังจบตามเกณฑ์ที่เขาตั้งไม่ได้ ด้วยการไปมีเรื่องทะเลาะกับโรงเรียนเดิมที่ฝึกสอนมา
“พรุ่งนี้ก็ออกได้แล้วค่ะ ขอบคุณท่านผอ.ที่กรุณามาเยี่ยมนะคะ”
ผู้อำนวยการหญิงเชิดคอมองสำรวจคนที่เธอคิดว่าไม่มีอะไรควรคู่กับบุตรชาย พยายามปกปิดประกายตาดูแคลนไว้
“เรื่องค่ารักษาอย่าลืมเอามาเบิกกับทางโรงเรียนล่ะ เรื่องการสอนไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”
“ไม่มีปัญหาค่ะ” นพมัลลีสัมผัสถึงกระแสความไม่เป็นมิตรที่แผ่มาจากตุลา อย่างไรเธอก็เป็นเพียงผู้น้อย ในชีวิตนี้คงไม่ต้องไปเจอะเจออีกฝ่ายบ่อยนักหรอก
“ครูตุนท์ ฉันมีธุระจะคุยกับครูหน่อย” การเยี่ยมปุบปับที่มาไวไปไวของตุลาไม่ได้ทำให้นพมัลลีประหลาดใจเพิ่มจากเดิมนัก เธอออกจะโล่งใจ และรู้สึกหายใจคล่องปอดขึ้น
หญิงสาวไม่อยากจะหาคำตอบว่าเพราะอะไรผอ.ตุลาจึงไม่ปลื้มเธอ และเข้าขั้นไม่เป็นมิตร อย่างไรในชีวิตนี้เธอก็พบคนไม่ชอบมากกว่ามิตรอยู่แล้ว จะมีคนไม่ถูกชะตา เกลียดขี้หน้าเธอเพิ่มอีกสักคน ชีวิตของเธอก็คงไม่ดิ่งลงเหวเพิ่มขึ้นนักหรอก
มีคนแบบตุนท์ในชีวิตต่างหากที่ทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลง
โทรศัพท์ของนพมัลลีดังขึ้น หญิงสาวหยิบมาเปิดดูด้วยรอยยิ้มสว่างไสว ยังมีอีกคนที่ทำให้เธอยิ้มได้เสมอไม่ว่าเมื่อไหร่
“ว่าไงคะตัวเล็ก”
---------------------------------------------
“นี่มันอะไรกันตุนท์ แม่ให้ลูกมาดูแลโรงเรียน ไม่ใช่มาตามจีบคนแบบ...” ตุลาผายมือไปยังห้องพัก นางยั้งปากที่จะวิจารณ์ผู้หญิงคนหนึ่งเสียๆ หายๆ ออกมาได้ทัน เพราะประกายตาของลูกชายกำลังส่องแสงน่ากลัวปรามมา
ระยะเวลาไม่เท่าไหร่ลูกชายก็ลอยละลิ่วติดพันไปกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว ตุลายิ่งคิดยิ่งไม่พอใจ
“ครูลีเป็นคนดีครับ เขาไม่มีอะไรที่น่าเสียหาย”
“แม่ไม่เชื่อ ประวัติเขาไม่ได้ดีเด่อะไรนักหรอก เรียนก็ไม่จบ กับที่เดิมก็มีปัญหา คนแบบนี้แม่ไม่ปลื้มหรอกนะ”
สีหน้าตุนท์ราบเรียบ เขาย้ำให้ตัวเองไม่โกรธ “แม่รู้จักครูลีเขากี่วันกันครับ”
“นี่ลูก...”
“อีกอย่างแม่สบายใจได้ ครูลีเขาไม่ได้คิดอะไรกับผม ผมก็แค่สนใจเขาอยู่ข้างเดียว”
“เห็นไหมผู้หญิงคนนั้นแปลก คนอย่างลูกชายแม่มีอะไรไม่ดีตรงไหน ลูกอย่าไปสนใจคนอย่างนี้เลยนะ คนที่ดีกว่าทั้งหน้าที่การงาน การศึกษายังมีอีกเป็นกอง แม่ช่วยลูกได้”
ตุลารู้สึกว่าความหวังของนางที่จะขัดขวางลูกชายดูแล้วคงไม่ต้องออกแรงมากมายอะไรสักเท่าไหร่ เพราะตุนท์ถึงกับออกปากมาเองว่านพมัลลีไม่ได้สนใจเขาเลย
เมื่อหน้าของมารดาเริ่มแปรเป็นรอยยิ้ม ตุนท์กลับหงุดหงิดใจ
“ผมจะพยายามต่อไป ผมสนใจของผม ครูลีเธอเป็นคนดี เป็นคนตั้งใจจริง เรื่องรวยเรื่องจนสำหรับผมไม่เคยสำคัญเลย”
“ไม่ได้นะตาตุนท์!”
“ทำไมไม่ได้ล่ะครับ” บุตรชายย้อนถามหน้าตาย ส่วนหนึ่งที่เขามีนิสัยเอาแต่ใจตัวก็เพราะอยากได้อะไรก็ต้องได้ตามแบบของลูกคนเดียว
“แม่จะประกาศออกไปว่าตุนท์เป็นลูกแม่”
คนที่เตรียมพร้อมสำหรับคำขู่นี้ยิ้มรับ ค้อมศีรษะให้ตุลาอย่างนอบน้อมอีกทีหนึ่ง “ถ้าแม่ประกาศเรื่องนี้ก่อนเวลาที่ผมเคยตกลงไว้กับแม่ ผมจะหนี จะทิ้งหน้าที่ที่แม่สร้างไว้รอผม แล้วไม่กลับมาอีกเลย ที่ต่างประเทศคงพอมีที่ให้ดร.เจ้าของรางวัลงานวิจัยมากมายได้เข้าทำงาน”
“ตาตุนท์!” คนเป็นแม่โกรธจนตัวสั่นเทิ้ม นางโบ้ยความผิดส่วนใหญ่นี้ไปให้กับนพมัลลี เพราะผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในชีวิตลูกชาย ตุนท์ถึงกล้าแข็งข้อ และถึงกับกล้าเอาเรื่องนี้มาขู่แม่ตัวเอง
“ตุนท์ทำอย่างนี้แม่ยิ่งไม่ปลื้มผู้หญิงคนนั้นนะ”
คล้ายตุนท์จะพึ่งกระจ่างในจุดนี้ ชายหนุ่มลดท่าทีกวนโมโหหญิงวัยกลางคนลง และกลับสู่ความสงบ มีเหตุผล เขาเองจำต้องฉลาดให้มากกว่านี้ อย่างน้อยเผื่อสักวัน...ในอนาคต เขาก้าวเข้าไปใกล้นพมัลลีมากขึ้น หญิงสาวจะได้ไม่เกิดปัญหากับแม่ของเขา
ดร.หนุ่มส่ายหัว เผยรอยยิ้มตอบรับความคิดตัวเองที่ค่อนข้างไกลเกินจริงในเวลานี้
“ลูกจะไม่ยุ่งกับครูนพมัลลีแล้วใช่ไหม” ตุลาถามอย่างมีความหวัง
“ผมแค่จะให้แม่เตรียมใจไว้ล่วงหน้าน่ะครับ แล้วก็เปิดใจมอง ผู้หญิงคนนี้มีดีกว่าที่แม่คิด”
“มีอะไรมาพิสูจน์ไหมล่ะ” ใบหน้าที่แต่งสมวัยเชิดถาม ประกายไม่พอใจสาดใส่บานประตูห้องพักคนป่วยที่อยู่สุดทางเดิน
“ถ้าเด็กนักเรียนหกทับห้าขอร้องให้ครูลีอยู่ที่นี่ต่อในเทอมสองได้ แปลว่าเขามีดีจริงๆ”
“ทั้งห้องต้องลงคะแนนเป็นเอกฉันท์” ตุลายื่นคำขาด สีหน้าสะใจที่เห็นลูกชายมีอาการลังเลคล้ายไม่เต็มใจ แต่เพียงเสี้ยววินาที แค่ตุนท์กะพริบตา และมองไปยังห้องพักของนพมัลลี เขาก็ประกาศด้วยท่าทางที่มั่นใจเต็มเปี่ยม
“แม่รอได้เลยครับ” ตุนท์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา “ไปกินข้าวกันนะครับ”
ตุลามองค้อน เห็นท่าเดินมาโอบกอดของบุตรชาย และออเซาะด้วยการพาออกเดินไปตามโถงของโรงพยาบาล คนที่ไม่เคยโกรธลูกชายได้จริงๆ จังๆ ก็ใจอ่อนยวบ ปากยังคงบ่นพึมพำ
“นี่ถ้าแม่ไม่มาที่นี่ จะได้กินข้าวกับลูกชายบ่อยมากกว่าวันศุกร์ไหมเนี่ย”
“แม่จะได้หาทางเปิดโปงความลับผมด้วยการเชิญแขกมาร่วมบ้านเยอะๆ น่ะสิครับ”
“เบื่อคนรู้ทัน”
ตุลาสะบัดหน้าอย่างคนแสนงอน แต่ก็ลอบยิ้มกับการดูแลของบุตรชาย
เอาเถอะ นางเชื่อว่าอย่างไรตัวเองย่อมสำคัญกว่าผู้หญิงแปลกหน้า ที่ไม่มีอะไรคนนั้นเลย คิดได้ดังนั้นตุลาจึงพลอยยิ้มออก
---------------------------------------------
ร่างสูงในชุดเสื้อหนังสีน้ำตาล ผมเผ้าไร้ทรง และคล้ายว่าจะทะเลาะกับหวีทุกครั้งที่หยิบขึ้นมาสางผม โผล่หน้าออกมาจากตรงทางเดิน หลังมองเห็นบุคคลสองคนหายลับเข้าไปในลิฟต์ เขาคงจะไม่ใส่ใจคนทั้งสองหากว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่ผายมือไปยังห้องพักของ...หลานสาวเขา
และไอ้หนุ่มนั่นก็ดูท่าจะไม่ยอมแพ้ต่อปราการสูงที่นพมัลลีสร้างกันไว้จากผู้ชายทุกคน
“ลุงทวิช” เสียงหวานใสของคนป่วยดังขึ้นอย่างตื่นเต้น และเหนือความคาดหมาย ร่างบางที่มือไร้สายน้ำเหลือแล้ววิ่งผึงลงจากเตียงไปกอดผู้มาใหม่แน่น
“ดีใจขนาดนั้นเชียว”
“ฉันเกือบลืมว่ามีลุงเป็นลุงไปแล้วนะคะ”
ทวิชหัวเราะลั่น ลูบผมหลานสาวที่คลายอ้อมกอดออกมายืนทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ยิงคำถามสำคัญใส่ทันที
“ห้าปีมานี้ ลุงคงไม่ได้เที่ยวเล่นขายประมูลภาพ เป็นวิทยากรไปทั่วโลกอย่างเดียวใช่ไหมคะ” นพมัลลีลงเสียงถามในส่วนสำคัญ “ลุงพบคนสำคัญของลุงไหมคะ”
ทวิชเป็นลุงแท้ๆ ที่ทางบ้านไม่เคยพูดถึง ออกจะตัดเขาออกจากสารบบ เพราะลุงรักอิสระเกินไป มักเดินทางอยู่บ่อยครั้ง และครั้งหนึ่งก็จะหายไปนานๆ ขนาดเธอที่ขึ้นชื่อว่า ‘หลานรัก’ ก็นานทีปีหนจึงจะพบหน้ากันสักครั้ง บางทีทวิชก็จะส่งโปสการ์ดมาให้ แต่ก็นานๆ ครั้งหนึ่ง ลุงเคยบอกกับเธอว่าที่เขาออกเดินทางเพื่อจะตามหาคนที่เขารัก เดินทางไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่โลกนี้จะเอื้ออำนวยชีวิตศิลปินธรรมดาคนหนึ่ง
ศิลปินธรรมดา ลุงของเธอช่างถ่อมตัวเกินเหตุ ผลงานของศิลปินไร้เงา ‘เหินเวหา’ จัดอยู่ในผลงานหายากระดับโลกที่มีผู้กระหายอยากครอบครองมากที่สุดหนึ่งในร้อยของโลก
หนุ่มวัยกลางคนส่ายหน้าช้าๆ ดวงตาเป็นประกายยามทอดมองหลานสาวที่คล้ายว่าจะแตกต่างจากครั้งล่าสุดที่เขาได้เจอไม่น้อย
“ลุงยังไม่เจอเขาเลย”
นพมัลลีมีสีหน้าผิดหวัง เธอจับจูงลุงรักของเธอมานั่งลงยังเตียงนอนสำหรับคนเฝ้าไข้ “แล้วลุงรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”
“ลุงก็ไปหาเราที่มหา’ลัย เขาบอกว่าเราฝึกสอนอยู่ที่โรงเรียนพิชญ์ปรีชา ก็ตามมาเรื่อยๆ จนถึงที่นี่นั่นแหละ” ทวิชเล่ารวบรัด เขาไม่อยากสาธยายว่าตัวเองกลับมาที่นี่ได้หนึ่งเดือน กว่าจะออกตามหาหลานสาวจริงๆ จังๆ ก็เมื่อวานนี้เอง ไม่อย่างนั้นนพมัลลีคงได้มีน้อยใจเขาแน่ๆ
“ลุงไม่ได้กลับบ้านใช่ไหมคะ”
“บ้านลุงที่ไหนล่ะ” ทวิชแสร้งถามหน้าตาย ไหวไหล่ด้วยรู้ดีว่าในความหมายของทั้งเขา และนพมัลลี บ้านที่เคยอยู่อาศัยมาแต่เกิด ล้วนเป็นบ้านที่ไม่ใช่บ้าน
บ้านที่ไม่เคยมีความรักจริงๆ
“สนใจไปทำงานกับลุงไหม ลุงอยากหาลูกมือมาช่วยบริหารเงินให้หน่อย”
เรื่องสำคัญของทวิชทำให้คนฟังอ้าปากค้างอย่างเหลือเชื่อ หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ทวิชไม่รู้หรอกว่าเธอเฝ้ารอวันที่จะได้ออกจากกรงขังที่เคยยึดติดมาตลอดชีวิตนี้นานแค่ไหน แต่วันนี้ความฝันนั้นถูกพับเก็บไปนานแล้ว
“ไม่ทันแล้วค่ะลุง ฉันไปจากที่นี่ไม่ได้แล้วจริงๆ”
ทวิชส่งเสียงเฮ้อ “ลุงคิดว่าลุงรู้เหตุผลนั้นนะ แต่ลุงก็จะยังอยากให้ลีไปอยู่ดี ลุงจะอยู่รอคำตอบ”
นพมัลลีกัดฟัน กลืนความรู้สึกขมปร่าในปากลงไป หัวใจของเธอเคยเฝ้ามองท้องฟ้าทุกวี่วัน ปรารถนาถึงการมีปีกบินไปที่ไหนก็ได้ แล้วอย่างไร วันหนึ่งเธอก็พบว่าปีกที่พร้อมกางกลับไม่ทำงาน และร่างของเธอก็ร่วงหล่นจากที่สูง กระแทกกับพื้นอย่างแรง ถูกบังคับให้ต้องตื่นจากฝัน
และไม่กล้าฝันถึงสิ่งที่ลอยออกไปไกลจากเธอเรื่อยๆ อีก
...............................................................
คุณ OhLaLa อ่านคอมเมนต์ครบทุกตอนแล้วค่า ขอบคุณที่ช่วยบอกเรื่องชื่อพิมพ์ผิดนะคะ ^^ เรื่องนี้ตุนท์จะน่ารักค่ะ ชีวิตนางเอกเครียดแล้ว อย่าได้เพิ่มภาระทางพระเอกหนักหนาเลย ฮา รู้สึกตอนนี้จะมีเค้าลางปัญหาทางพระเอกโผล่มาเล็กๆ แล้วด้วย ฮา ส่วนเรื่องของความลับ ความสัมพันธ์ของน้าหลาน ต้องรอต่อไปค่ะ เป็นธีมหลักทีเดียว ^_^ ขอบคุณที่อ่านจนครบนะคะ ปลื้มปริ่ม
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มากดถูกใจนะคะ ^^
การนอนเฉยๆ รอให้หมอพยาบาลมาตรวจร่างกายเป็นเวลาสองวันติดนี้ทำให้นพมัลลีเกิดอาการคันไม้คันมืออยากฆ่าคน เธอที่ไม่เป็นอะไรมากมายนอกจากปวดท้อง และอาเจียน ต้องโดนฉีดยา ได้รับการตรวจอย่างใกล้ชิดตลอดทั้งวันเพราะผู้ชายคนหนึ่งระแวงว่าเธอจะได้รับผลกระทบจากการดื่มสารหนูเข้าไป
หากมันจะมีจริงก็ในปริมาณน้อยนิด และเธอก็อาเจียนเอามันออกมาหมดไปแล้วล่ะ!
นอกจากนั้นเธอยังต้องทนฟังเสียงสะอื้นของคนเฝ้าไข้ ที่ประเดี๋ยวก็แอบร้องไห้ด้วยความรู้สึกผิด ประเดี๋ยวก็ตีโพยตีพายว่าเธอไม่น่าทำอย่างนี้
ไม่กี่วันมานี้เธอยังมีแขกไม่คิดว่าจะมาอีกหลายคน ครูจากโรงเรียนเดิมที่เธอเคยฝึกสอนเมื่อเทอมที่แล้วหลายชีวิตนั่งอยู่ข้างเตียงของหญิงสาวในตอนนี้
“ในตอนนั้นไม่ใช่พวกเราไม่อยากช่วย แต่เธอก็รู้ว่าเรามีครอบครัว มีหน้าที่การงานที่ต้อง...”
นพมัลลียิ้มเซียว ยกมือที่ยังติดสายน้ำเหลือขึ้นห้ามครูอาวุโสที่กำลังพูดด้วยเสียงอันสั่นเครือ
“ไม่มีครูที่ไหนทำร้ายลูกศิษย์ได้ลงคอหรอกค่ะ ครูสุดท้ายก็ยังปรารถนาที่จะเห็นชีวิตลูกศิษย์ได้ดี ลูกศิษย์ก็เหมือนลูกเหมือนครอบครัว ในเวลาที่เขาทำผิดเราเตือน เราตีเขาได้ แต่ในเวลาที่เขาพลาดเราย่อมไม่เหยียบเขาซ้ำอยู่แล้ว...จริงไหมคะ”
รอยยิ้มอาบยาพิษสาดใส่ใบหน้าอึ้งงันของครูสี่ชีวิต นพมัลลีรู้สึกว่าตอนนั้นเธอเป็นเพียงนักศึกษาฝึกสอนธรรมดาที่ไม่มีแรงไปสู้รบกับใครได้ ส่วนในตอนนี้เธอก็ยังอยู่ในฐานะเดิม เพียงแต่ไม่จำเป็นแล้วที่เธอจะต้องตัวสั่น ไหล่ลู่เวลาที่ครูคนอื่นกำลังทอดทิ้งไป
“ฉันขอโทษเธอจริงๆ ตอนนี้พวกเราอยากรื้อฟื้นเรื่องในอดีตขึ้นมาแก้ไข”
“เพราะอะไรคะ”
หัวหน้ากลุ่มครูมีสีหน้าลังเล เหลือบมองนพมัลลีก็พบว่าดวงตาคู่นั้นมีความดุฉายออกมา
“ผอ.โรงเรียนพวกเรา สมควรถูกไล่ออก เขาโกงเงินโรงเรียนไม่พอ ยังไม่เคยเอาเงินมาพัฒนาอะไรโรงเรียน เขาไม่เคยฟังเสียงใคร ตอนนี้เหิมเกริมหนักเรียกแป๊ะเจี๊ยะเพิ่มมาอีกห้องเรียน ใครที่รวยกว่านั้นก็ขายข้อสอบให้พวกที่สอบเข้ามาใหม่ ชื่อเสียงโรงเรียนกำลังติดลบ มีคนเอาไปพูดในโลกโซเชี่ยลเสียๆ หายๆ เขากลับไม่รู้สึกรู้สา”
“ทำไมถึงเพิ่งคิดได้คะ ไม่คิดว่าสายไปหรือเปล่า”
พวกเขาไม่รู้เลยว่าได้เหยียบอนาคตเด็กคนหนึ่งด้วยการปล่อยเด็กชั่วๆ คนหนึ่งให้ลอยนวลตัวปลิวไป และเธอก็พลอยรับเคราะห์ แต่ในส่วนของเธอนั้นถือว่าน้อยนิดหากเทียบกับสิ่งที่นิลุบลเจอ
“พวกเราเห็นตำรวจไปหาลูกผอ.ที่โรงเรียน เลยรู้ว่าเกี่ยวกับเธอด้วย ถ้าพวกเราช่วยกัน เรื่องในตอนนั้นต้องทำให้ผอ.เด้งไปได้แน่ๆ” ครูคนเดิมพยายามหยิบเหตุผลมากมายมา
“ถ้าพวกเราไม่มีประโยชน์ พวกคุณก็จะไม่แยแสกันเลยใช่ไหมคะ” นิลุบลที่นั่งฟังมานานสอดปากอย่างอดไม่อยู่ เธอไม่มีทางให้อภัยกับเรื่องที่เกิดขึ้นตลอดชีวิตตัวเองแน่นอน
“แล้วทำไมคุณไม่เอาเรื่องที่คุณรู้หลายๆ เรื่อง ไปฟ้องกับทางคุรุสภาล่ะคะ”
ท่าทีการพูดเย็นชาของคนป่วยไม่ต่างจากหมุดแหลมที่เพียรปักซ้ำครูอาวุโสเหล่านี้
“พวกเราเป็นคนใน เกรงว่า...”
“ถ้าคุณไม่เริ่มที่จะทำก่อน พวกเราก็จะไม่ยื่นมือเข้ายุ่งในเรื่องพวกนี้แน่นอน พวกเราผ่านมาแล้ว ถูกกันออกจากปัญหาพวกนั้นโดยพวกคุณเองนะคะ”
ความจริงที่เกิดขึ้นทำให้ผู้รับฟังทั้งสี่เกิดอาการน้ำท่วมปาก จำนนด้วยเหตุผล
“การเปลี่ยนแปลงจำเป็นต้องมีความกล้า อยากให้เปลี่ยนแปลงมาก นอกจากหวังให้คนอื่นเปลี่ยน ตัวเองก็ต้องเริ่มกล้าที่จะเปลี่ยนก่อนค่ะ”
“พวกเราจะทำ!”
หัวหน้าครูประกาศกร้าว นางกลายเป็นคนอ่อนแอหลังจากรับฟังเด็กรุ่นลูกสาธยายมา เพราะวันๆ ครูต่างนึกถึงตัวเอง นึกว่าปีหนึ่งๆ จะได้ขึ้นขั้นเงินเดือนกี่ขั้น ได้รับสวัสดิการอะไรเพิ่ม ทุกคนล้วนมองว่าการเป็นครู คืออาชีพที่มั่นคง และบางทีสิ่งมั่นคงเหล่านี้ทำให้เรายึดติด จนไม่กล้าขยับตัวเคลื่อนไหวอะไร ทำเป็นหลับตาลงข้างหนึ่ง มองข้ามสิ่งที่ไม่ควรจะมองข้าม
ต่างกลัว ‘ความไม่มั่นคง’ มากกว่า ‘ความไม่ถูกต้อง’
“ขอโทษถ้าฉันเสียมารยาทกับพวกคุณครูนะคะ”
“พวกฉันต่างหากที่ต้องขอโทษเธอสองคน” หัวหน้าครูสบตาอย่างรู้สึกผิดต่อสิ่งที่เกิดขึ้นจริงๆ
กลุ่มครูลากลับไปพร้อมบอกว่าให้พวกเธอรอพบการเปลี่ยนแปลงที่พวกเขาจะร่วมมือกันก่อขึ้นภายในโรงเรียน นพมัลลีสัญญาว่าเธอจะใช้ความกล้าของตัวเองหลังจากพวกเขายื่นมือออกไปก่อนอย่างแน่นอน ในห้องพักกลับสู่ความเงียบอีกครั้ง
“แล้วเธอล่ะ มีความคิดเห็นต่อเรื่องนี้ยังไง” นิลุบลถามอย่างผ่อนคลาย ภาระบางสิ่งคล้ายได้รับการปลดพันธนาการลงจากอดีต
ลูกศิษย์สาวแค่นยิ้ม “ถ้าฉันไม่กล้า ฉันจะกลายเป็นคนขี้ขลาดที่ปล่อยให้คนชั่วลอยนวลใช่ไหมครู”
“ไม่ลำบากใจแน่นะ”
“ถือว่าตอบแทนที่ครูไม่ทำให้ฉันกลายเป็นฆาตกร ฉันเป็นหนี้บุญคุณครูหลายครั้งแล้วนะคะ”
“แค่ตั้งใจเรียน เป็นคนดี รู้ผิดชอบชั่วดี ครูต้องการแค่นั้นจากเธอ”
“แต่ว่าเรื่องเรียน...” นิลุบลบอกเสียงอ่อย หลังจากเกิดเรื่องในตอนนั้นเธอก็ลาออก ไม่มีหน้าไปเผชิญกับใครอีก
“ถ้าเธอกล้า เธอก็ต้องพร้อมเผชิญทุกสิ่งที่จะเข้ามา ครูจะคอยประคองเธอ จนกว่าเธอจะเดินไปถึงฝั่ง ตกลงไหม”
เด็กสาวน้ำตาคลอ พยักหน้าหงึกหงัก ซาบซึ้งกับสิ่งที่นพมัลลีทำเพื่อเธอมาตลอด
“ขอบคุณค่ะครู ขอบคุณจริงๆ”
---------------------------------------------
แขกคนล่าสุดของห้องพักพิเศษในโรงพยาบาลทำให้บรรยากาศเรียบเรื่อยระหว่างนพมัลลีที่ดูข่าวในโทรทัศน์ และตุนท์ที่นั่งตรวจการบ้านเด็กอยู่ตื่นตัว ตุลาปรายตามองบุตรชายอย่างไม่ใคร่จะพอใจกับข่าวที่นางได้ยินมาในช่วงนี้ โดยเฉพาะจากปากหลานชายตัวดี
‘พี่ตุนท์ดูสนิทกับครูลีดีนะครับ ปกป้อง ดูแลทุกอย่าง’
‘ครูลีนี่ใคร’
‘ครูที่ปรึกษาผม ที่ตอนนี้อยู่โรงพยาบาลไงครับ’
นพมัลลีนั่งตัวตรง รู้สึกเกร็งกับการปรากฏกายอย่างไม่ให้ตั้งตัวของผู้อำนวยการใหญ่ของโรงเรียนพิชญ์ปรีชา ที่จริงอาการทางกายของเธอก็ปกติดีแล้ว แต่ตุนท์กลับขอให้เธอออกจากโรงพยาบาลในเช้าวันพรุ่งนี้
เขาน่ะเป็นดร.ระแวงไม่เลือกจริงๆ
หญิงสาวค่อนแคะตุนท์ในใจที่ทำให้เธอต้องเผชิญหน้ากับตุล โดยไม่ทันสังเกตอากัปกิริยาผิดแผกของตุนท์ ชายหนุ่มกำลังหลบตามารดา มือกำเข้าหากันแน่น หวั่นในใจว่าความลับของเขาจะมาแตกเอาในวันนี้
“เป็นยังไงบ้างครูลี ฉันได้ข่าวว่าคุณต้องเข้าโรงพยาบาลเพราะไปช่วยเด็กนักเรียน”
ตุลาหรี่ตามองบุตรชายอย่างคาดโทษ หลังนางรู้เรื่อง ‘ครูลี’ ที่บลินด์กล่าวถึง คนที่นางนึกถึงคนแรกเพื่อเค้นข่าวคือทวี และนางก็รู้ ว่าทวีวุ่นวายเรื่อง ‘อะไร’ มาตลอดอาทิตย์ และเพื่อ ‘ใคร’
ร้อยวันพันปี นอกจากการเรียนตุนท์แทบไม่เคยสนใจลูกท่านหลานเธอบ้านไหนมาก่อน นางเพียรเสนอหลายต่อหลายคน ตุนท์กลับเมินเฉย และเห็นค่าของหนังสือในมือที่อ่านอยู่สำคัญกว่าหญิงที่แม่พามา ไม่เหมือนในตอนนี้ นอกจากเรื่องระหว่างตุนท์กับนพมัลลีจะเกิดขึ้นลับหูลับตานาง ตุนท์กลับเปลี่ยนไปจากที่นางรู้จักมาก ลูกชายถึงขั้นย้ายที่นอนเพื่อจะพักอาศัยอยู่ข้างบ้านครูฝึกสอนที่ประวัติที่บ้านแสนธรรมดา ที่สำคัญนพมัลลียังมีประวัติอย่างการลาออกจากโรงเรียน หายเงียบไปสองปีกว่าก่อนที่จะใช้วุฒิกศน.สอบเข้าเรียนต่อในมหาวิทยาลัย และขนาดเข้ามาเรียน ก็ยังจบตามเกณฑ์ที่เขาตั้งไม่ได้ ด้วยการไปมีเรื่องทะเลาะกับโรงเรียนเดิมที่ฝึกสอนมา
“พรุ่งนี้ก็ออกได้แล้วค่ะ ขอบคุณท่านผอ.ที่กรุณามาเยี่ยมนะคะ”
ผู้อำนวยการหญิงเชิดคอมองสำรวจคนที่เธอคิดว่าไม่มีอะไรควรคู่กับบุตรชาย พยายามปกปิดประกายตาดูแคลนไว้
“เรื่องค่ารักษาอย่าลืมเอามาเบิกกับทางโรงเรียนล่ะ เรื่องการสอนไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม”
“ไม่มีปัญหาค่ะ” นพมัลลีสัมผัสถึงกระแสความไม่เป็นมิตรที่แผ่มาจากตุลา อย่างไรเธอก็เป็นเพียงผู้น้อย ในชีวิตนี้คงไม่ต้องไปเจอะเจออีกฝ่ายบ่อยนักหรอก
“ครูตุนท์ ฉันมีธุระจะคุยกับครูหน่อย” การเยี่ยมปุบปับที่มาไวไปไวของตุลาไม่ได้ทำให้นพมัลลีประหลาดใจเพิ่มจากเดิมนัก เธอออกจะโล่งใจ และรู้สึกหายใจคล่องปอดขึ้น
หญิงสาวไม่อยากจะหาคำตอบว่าเพราะอะไรผอ.ตุลาจึงไม่ปลื้มเธอ และเข้าขั้นไม่เป็นมิตร อย่างไรในชีวิตนี้เธอก็พบคนไม่ชอบมากกว่ามิตรอยู่แล้ว จะมีคนไม่ถูกชะตา เกลียดขี้หน้าเธอเพิ่มอีกสักคน ชีวิตของเธอก็คงไม่ดิ่งลงเหวเพิ่มขึ้นนักหรอก
มีคนแบบตุนท์ในชีวิตต่างหากที่ทำให้ชีวิตของเธอเปลี่ยนแปลง
โทรศัพท์ของนพมัลลีดังขึ้น หญิงสาวหยิบมาเปิดดูด้วยรอยยิ้มสว่างไสว ยังมีอีกคนที่ทำให้เธอยิ้มได้เสมอไม่ว่าเมื่อไหร่
“ว่าไงคะตัวเล็ก”
---------------------------------------------
“นี่มันอะไรกันตุนท์ แม่ให้ลูกมาดูแลโรงเรียน ไม่ใช่มาตามจีบคนแบบ...” ตุลาผายมือไปยังห้องพัก นางยั้งปากที่จะวิจารณ์ผู้หญิงคนหนึ่งเสียๆ หายๆ ออกมาได้ทัน เพราะประกายตาของลูกชายกำลังส่องแสงน่ากลัวปรามมา
ระยะเวลาไม่เท่าไหร่ลูกชายก็ลอยละลิ่วติดพันไปกับผู้หญิงคนนั้นแล้ว ตุลายิ่งคิดยิ่งไม่พอใจ
“ครูลีเป็นคนดีครับ เขาไม่มีอะไรที่น่าเสียหาย”
“แม่ไม่เชื่อ ประวัติเขาไม่ได้ดีเด่อะไรนักหรอก เรียนก็ไม่จบ กับที่เดิมก็มีปัญหา คนแบบนี้แม่ไม่ปลื้มหรอกนะ”
สีหน้าตุนท์ราบเรียบ เขาย้ำให้ตัวเองไม่โกรธ “แม่รู้จักครูลีเขากี่วันกันครับ”
“นี่ลูก...”
“อีกอย่างแม่สบายใจได้ ครูลีเขาไม่ได้คิดอะไรกับผม ผมก็แค่สนใจเขาอยู่ข้างเดียว”
“เห็นไหมผู้หญิงคนนั้นแปลก คนอย่างลูกชายแม่มีอะไรไม่ดีตรงไหน ลูกอย่าไปสนใจคนอย่างนี้เลยนะ คนที่ดีกว่าทั้งหน้าที่การงาน การศึกษายังมีอีกเป็นกอง แม่ช่วยลูกได้”
ตุลารู้สึกว่าความหวังของนางที่จะขัดขวางลูกชายดูแล้วคงไม่ต้องออกแรงมากมายอะไรสักเท่าไหร่ เพราะตุนท์ถึงกับออกปากมาเองว่านพมัลลีไม่ได้สนใจเขาเลย
เมื่อหน้าของมารดาเริ่มแปรเป็นรอยยิ้ม ตุนท์กลับหงุดหงิดใจ
“ผมจะพยายามต่อไป ผมสนใจของผม ครูลีเธอเป็นคนดี เป็นคนตั้งใจจริง เรื่องรวยเรื่องจนสำหรับผมไม่เคยสำคัญเลย”
“ไม่ได้นะตาตุนท์!”
“ทำไมไม่ได้ล่ะครับ” บุตรชายย้อนถามหน้าตาย ส่วนหนึ่งที่เขามีนิสัยเอาแต่ใจตัวก็เพราะอยากได้อะไรก็ต้องได้ตามแบบของลูกคนเดียว
“แม่จะประกาศออกไปว่าตุนท์เป็นลูกแม่”
คนที่เตรียมพร้อมสำหรับคำขู่นี้ยิ้มรับ ค้อมศีรษะให้ตุลาอย่างนอบน้อมอีกทีหนึ่ง “ถ้าแม่ประกาศเรื่องนี้ก่อนเวลาที่ผมเคยตกลงไว้กับแม่ ผมจะหนี จะทิ้งหน้าที่ที่แม่สร้างไว้รอผม แล้วไม่กลับมาอีกเลย ที่ต่างประเทศคงพอมีที่ให้ดร.เจ้าของรางวัลงานวิจัยมากมายได้เข้าทำงาน”
“ตาตุนท์!” คนเป็นแม่โกรธจนตัวสั่นเทิ้ม นางโบ้ยความผิดส่วนใหญ่นี้ไปให้กับนพมัลลี เพราะผู้หญิงคนนั้นเข้ามาในชีวิตลูกชาย ตุนท์ถึงกล้าแข็งข้อ และถึงกับกล้าเอาเรื่องนี้มาขู่แม่ตัวเอง
“ตุนท์ทำอย่างนี้แม่ยิ่งไม่ปลื้มผู้หญิงคนนั้นนะ”
คล้ายตุนท์จะพึ่งกระจ่างในจุดนี้ ชายหนุ่มลดท่าทีกวนโมโหหญิงวัยกลางคนลง และกลับสู่ความสงบ มีเหตุผล เขาเองจำต้องฉลาดให้มากกว่านี้ อย่างน้อยเผื่อสักวัน...ในอนาคต เขาก้าวเข้าไปใกล้นพมัลลีมากขึ้น หญิงสาวจะได้ไม่เกิดปัญหากับแม่ของเขา
ดร.หนุ่มส่ายหัว เผยรอยยิ้มตอบรับความคิดตัวเองที่ค่อนข้างไกลเกินจริงในเวลานี้
“ลูกจะไม่ยุ่งกับครูนพมัลลีแล้วใช่ไหม” ตุลาถามอย่างมีความหวัง
“ผมแค่จะให้แม่เตรียมใจไว้ล่วงหน้าน่ะครับ แล้วก็เปิดใจมอง ผู้หญิงคนนี้มีดีกว่าที่แม่คิด”
“มีอะไรมาพิสูจน์ไหมล่ะ” ใบหน้าที่แต่งสมวัยเชิดถาม ประกายไม่พอใจสาดใส่บานประตูห้องพักคนป่วยที่อยู่สุดทางเดิน
“ถ้าเด็กนักเรียนหกทับห้าขอร้องให้ครูลีอยู่ที่นี่ต่อในเทอมสองได้ แปลว่าเขามีดีจริงๆ”
“ทั้งห้องต้องลงคะแนนเป็นเอกฉันท์” ตุลายื่นคำขาด สีหน้าสะใจที่เห็นลูกชายมีอาการลังเลคล้ายไม่เต็มใจ แต่เพียงเสี้ยววินาที แค่ตุนท์กะพริบตา และมองไปยังห้องพักของนพมัลลี เขาก็ประกาศด้วยท่าทางที่มั่นใจเต็มเปี่ยม
“แม่รอได้เลยครับ” ตุนท์ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดูเวลา “ไปกินข้าวกันนะครับ”
ตุลามองค้อน เห็นท่าเดินมาโอบกอดของบุตรชาย และออเซาะด้วยการพาออกเดินไปตามโถงของโรงพยาบาล คนที่ไม่เคยโกรธลูกชายได้จริงๆ จังๆ ก็ใจอ่อนยวบ ปากยังคงบ่นพึมพำ
“นี่ถ้าแม่ไม่มาที่นี่ จะได้กินข้าวกับลูกชายบ่อยมากกว่าวันศุกร์ไหมเนี่ย”
“แม่จะได้หาทางเปิดโปงความลับผมด้วยการเชิญแขกมาร่วมบ้านเยอะๆ น่ะสิครับ”
“เบื่อคนรู้ทัน”
ตุลาสะบัดหน้าอย่างคนแสนงอน แต่ก็ลอบยิ้มกับการดูแลของบุตรชาย
เอาเถอะ นางเชื่อว่าอย่างไรตัวเองย่อมสำคัญกว่าผู้หญิงแปลกหน้า ที่ไม่มีอะไรคนนั้นเลย คิดได้ดังนั้นตุลาจึงพลอยยิ้มออก
---------------------------------------------
ร่างสูงในชุดเสื้อหนังสีน้ำตาล ผมเผ้าไร้ทรง และคล้ายว่าจะทะเลาะกับหวีทุกครั้งที่หยิบขึ้นมาสางผม โผล่หน้าออกมาจากตรงทางเดิน หลังมองเห็นบุคคลสองคนหายลับเข้าไปในลิฟต์ เขาคงจะไม่ใส่ใจคนทั้งสองหากว่าผู้หญิงคนนั้นจะไม่ผายมือไปยังห้องพักของ...หลานสาวเขา
และไอ้หนุ่มนั่นก็ดูท่าจะไม่ยอมแพ้ต่อปราการสูงที่นพมัลลีสร้างกันไว้จากผู้ชายทุกคน
“ลุงทวิช” เสียงหวานใสของคนป่วยดังขึ้นอย่างตื่นเต้น และเหนือความคาดหมาย ร่างบางที่มือไร้สายน้ำเหลือแล้ววิ่งผึงลงจากเตียงไปกอดผู้มาใหม่แน่น
“ดีใจขนาดนั้นเชียว”
“ฉันเกือบลืมว่ามีลุงเป็นลุงไปแล้วนะคะ”
ทวิชหัวเราะลั่น ลูบผมหลานสาวที่คลายอ้อมกอดออกมายืนทำหน้ากึ่งยิ้มกึ่งบึ้ง ยิงคำถามสำคัญใส่ทันที
“ห้าปีมานี้ ลุงคงไม่ได้เที่ยวเล่นขายประมูลภาพ เป็นวิทยากรไปทั่วโลกอย่างเดียวใช่ไหมคะ” นพมัลลีลงเสียงถามในส่วนสำคัญ “ลุงพบคนสำคัญของลุงไหมคะ”
ทวิชเป็นลุงแท้ๆ ที่ทางบ้านไม่เคยพูดถึง ออกจะตัดเขาออกจากสารบบ เพราะลุงรักอิสระเกินไป มักเดินทางอยู่บ่อยครั้ง และครั้งหนึ่งก็จะหายไปนานๆ ขนาดเธอที่ขึ้นชื่อว่า ‘หลานรัก’ ก็นานทีปีหนจึงจะพบหน้ากันสักครั้ง บางทีทวิชก็จะส่งโปสการ์ดมาให้ แต่ก็นานๆ ครั้งหนึ่ง ลุงเคยบอกกับเธอว่าที่เขาออกเดินทางเพื่อจะตามหาคนที่เขารัก เดินทางไปให้ได้มากที่สุดเท่าที่โลกนี้จะเอื้ออำนวยชีวิตศิลปินธรรมดาคนหนึ่ง
ศิลปินธรรมดา ลุงของเธอช่างถ่อมตัวเกินเหตุ ผลงานของศิลปินไร้เงา ‘เหินเวหา’ จัดอยู่ในผลงานหายากระดับโลกที่มีผู้กระหายอยากครอบครองมากที่สุดหนึ่งในร้อยของโลก
หนุ่มวัยกลางคนส่ายหน้าช้าๆ ดวงตาเป็นประกายยามทอดมองหลานสาวที่คล้ายว่าจะแตกต่างจากครั้งล่าสุดที่เขาได้เจอไม่น้อย
“ลุงยังไม่เจอเขาเลย”
นพมัลลีมีสีหน้าผิดหวัง เธอจับจูงลุงรักของเธอมานั่งลงยังเตียงนอนสำหรับคนเฝ้าไข้ “แล้วลุงรู้ว่าฉันอยู่ที่นี่ได้ยังไงคะ”
“ลุงก็ไปหาเราที่มหา’ลัย เขาบอกว่าเราฝึกสอนอยู่ที่โรงเรียนพิชญ์ปรีชา ก็ตามมาเรื่อยๆ จนถึงที่นี่นั่นแหละ” ทวิชเล่ารวบรัด เขาไม่อยากสาธยายว่าตัวเองกลับมาที่นี่ได้หนึ่งเดือน กว่าจะออกตามหาหลานสาวจริงๆ จังๆ ก็เมื่อวานนี้เอง ไม่อย่างนั้นนพมัลลีคงได้มีน้อยใจเขาแน่ๆ
“ลุงไม่ได้กลับบ้านใช่ไหมคะ”
“บ้านลุงที่ไหนล่ะ” ทวิชแสร้งถามหน้าตาย ไหวไหล่ด้วยรู้ดีว่าในความหมายของทั้งเขา และนพมัลลี บ้านที่เคยอยู่อาศัยมาแต่เกิด ล้วนเป็นบ้านที่ไม่ใช่บ้าน
บ้านที่ไม่เคยมีความรักจริงๆ
“สนใจไปทำงานกับลุงไหม ลุงอยากหาลูกมือมาช่วยบริหารเงินให้หน่อย”
เรื่องสำคัญของทวิชทำให้คนฟังอ้าปากค้างอย่างเหลือเชื่อ หญิงสาวกะพริบตาปริบๆ ทวิชไม่รู้หรอกว่าเธอเฝ้ารอวันที่จะได้ออกจากกรงขังที่เคยยึดติดมาตลอดชีวิตนี้นานแค่ไหน แต่วันนี้ความฝันนั้นถูกพับเก็บไปนานแล้ว
“ไม่ทันแล้วค่ะลุง ฉันไปจากที่นี่ไม่ได้แล้วจริงๆ”
ทวิชส่งเสียงเฮ้อ “ลุงคิดว่าลุงรู้เหตุผลนั้นนะ แต่ลุงก็จะยังอยากให้ลีไปอยู่ดี ลุงจะอยู่รอคำตอบ”
นพมัลลีกัดฟัน กลืนความรู้สึกขมปร่าในปากลงไป หัวใจของเธอเคยเฝ้ามองท้องฟ้าทุกวี่วัน ปรารถนาถึงการมีปีกบินไปที่ไหนก็ได้ แล้วอย่างไร วันหนึ่งเธอก็พบว่าปีกที่พร้อมกางกลับไม่ทำงาน และร่างของเธอก็ร่วงหล่นจากที่สูง กระแทกกับพื้นอย่างแรง ถูกบังคับให้ต้องตื่นจากฝัน
และไม่กล้าฝันถึงสิ่งที่ลอยออกไปไกลจากเธอเรื่อยๆ อีก
...............................................................
คุณ OhLaLa อ่านคอมเมนต์ครบทุกตอนแล้วค่า ขอบคุณที่ช่วยบอกเรื่องชื่อพิมพ์ผิดนะคะ ^^ เรื่องนี้ตุนท์จะน่ารักค่ะ ชีวิตนางเอกเครียดแล้ว อย่าได้เพิ่มภาระทางพระเอกหนักหนาเลย ฮา รู้สึกตอนนี้จะมีเค้าลางปัญหาทางพระเอกโผล่มาเล็กๆ แล้วด้วย ฮา ส่วนเรื่องของความลับ ความสัมพันธ์ของน้าหลาน ต้องรอต่อไปค่ะ เป็นธีมหลักทีเดียว ^_^ ขอบคุณที่อ่านจนครบนะคะ ปลื้มปริ่ม
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มากดถูกใจนะคะ ^^
ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 ก.พ. 2558, 00:01:03 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 ก.พ. 2558, 00:01:03 น.
จำนวนการเข้าชม : 1499
<< บทที่ 4 : ติดตาม | บทที่ 6 : ลัทธินพมัลลี >> |
konhin 23 ก.พ. 2558, 00:11:09 น.
คุณแม่แรงนะ ไม่ปลื้มซะแล้ว
คุณแม่แรงนะ ไม่ปลื้มซะแล้ว
OhLaLa 23 ก.พ. 2558, 10:49:31 น.
ลีท่าจะเจอศึกรอบด้าน น่าสงสารลีเหมือนกันชีวิตที่ผ่านมาคงสาหัส แต่ก็ต้องยอมรับผลการกระทำของตัวเอง ถ้าคนในสังคมไม่เพิกเฉยการกระทำผิด สังคมคงน่าอยู่ขึ้นนะคะ
ลีท่าจะเจอศึกรอบด้าน น่าสงสารลีเหมือนกันชีวิตที่ผ่านมาคงสาหัส แต่ก็ต้องยอมรับผลการกระทำของตัวเอง ถ้าคนในสังคมไม่เพิกเฉยการกระทำผิด สังคมคงน่าอยู่ขึ้นนะคะ