บทเรียน (รัก) นอกตำรา
นพมัลลี นักศึกษาฝึกสอนที่จบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน
นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก
แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้
มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน
นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก
แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้
มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่
Tags: นพมัลลี ตุนท์ คมิก พิชญ์ปรีชา
ตอน: บทที่ 6 : ลัทธินพมัลลี
บทที่ 6
ช่วงนี้เธอกำลังพบเจอมนุษย์ดื้อด้าน นอกเหนือจากเหล่านักเรียนเข้าซะแล้ว
นพมัลลีค้นพบว่าชีวิตของเธอหลังจากเลิกสอนนักเรียนเสร็จ จะมีผู้ชายคนหนึ่งทำตัวรู้ใจเธอ ทำเนียนมารอในห้องศิลปะ บ้างทำเป็นพบปะเธอในห้องสมุด เขาไม่ได้รบกวน แต่แค่หากิจกรรมมาทำอะไรฆ่าเวลา เพื่อรอเวลาทานข้าวเย็นด้วยกัน แล้วเขาก็จะไป
“คุณไม่ต้องกลั้นหัวเราะนักหรอกค่ะ” นพมัลลีพูดประชด น้ำเสียงกระทั้นอย่างอดไม่อยู่ เพราะกิจกรรมชมรมหลังเลิกเรียนที่เธอให้นักเรียนออกมาแสดงความฝันแท้ๆ และวันนี้เป็นคิวของนยฎาผู้มีความฝันเป็นเมกอัพอาร์ตติสก์ ถึงได้จงใจใช้เธอเป็นแบบในการแต่งหน้า
และคนที่มีความไม่ชอบหน้าครูเป็นทุนเดิมก็จัดการหน้าเธอไม่ต่างจากตัวตลกโบโซ เป็นนางงิ้วหน้าขาววอก ปากแดง เสียงหัวเราะของนักเรียนยังดังไล่หลัง บ้างชี้หน้าสะใจกับการปั่นหัวเธอ
เด็กพวกนี้จะเกินไปแล้ว!
“ผมกลัวเส้นตรงขมับคุณจะปูดโปนไปมากกว่านี้น่ะสิ” มือหนาเอื้อมมาบีบนวดตรงขมับให้อย่างเบามือ คนไม่ทันตั้งตัวยืนอึ้ง ดวงตาขยายขนาดจนเต็มอัตรา “แค่นี้ต้องตกใจด้วยเหรอ”
นพมัลลีกระถดคอหนี ต้องกระแอมไอเรียกสติ รอยอุ่นวาบที่ตุนท์ทิ้งไว้ข้างขมับยังคงอยู่รบกวนความรู้สึกของเธอ อาการผะอืดผะอมเริ่มกลับมาเล่นงาน พอตุนท์จะเข้ามาใกล้อีก มือของเธอก็ยันอกเขาไว้ได้ทัน
“หยุดอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องตามมานะคะ”
ท่าทางหวาดกลัว กึ่งเดินกึ่งวิ่งหนีไปของนพมัลลี คล้ายตราหน้าตุนท์ให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นอะไรสักอย่างที่แย่กว่าตัวเชื้อโรค เป็นสิ่งต้องห้ามที่ไม่ควรเข้าใกล้หญิงสาว
ตุนท์ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม น่าแปลกที่เขากลับไม่รู้สึกอยากอยู่ไกลจากนพมัลลีเลย ตรงกันข้าม เขารู้สึกว่ามีบางเรื่องที่นพมัลลีปกปิด ปมปัญหาในใจที่เจ้าหล่อนไม่เคยต้องการให้ใครรับรู้ทั้งสิ้น แต่เขาก็ยังอยากจะรู้ อยากพยายามทำความรู้จักอีกฝ่ายให้มากกว่านี้
เขาอยากเห็นผู้หญิงคนนี้ยิ้มบ่อยๆ จะไม่ยิ้มให้เขาเลยก็ไม่เป็นไร แต่แค่เธอจะยิ้มง่ายกว่านี้...มีความสุขมากกว่านี้ เธอแก้ปมในใจให้เด็กนักเรียนของตัวเองได้
แล้วปมในใจของตัวเองล่ะ?
--o---o---o----o-----o----o----o----o
เด็กนักเรียนห้องมอหกทับห้าหายไปกว่าครึ่งห้องในวันไหว้ครู นพมัลลีนั่งมองความซาบซึ้งของเหล่าครูบาอาจารย์กับลูกศิษย์ห้องอื่นที่กอดคอร่ำไห้ หูสดับถึงบทกลอนอันซาบซึ้งที่นักเรียนได้ประสบมาในการเรียน ตรงข้ามกับคนที่นั่งในตำแหน่งครูที่ปรึกษาของห้องมอหกทับห้า ใบหน้าของครูพี่เลี้ยงนพมัลลีบิดเบี้ยว พยายามยิ่งยวดที่จะเก็บอารมณ์กับพานดอกเข็มไร้ราคา ไร้ศิลปะเพียงแค่จับดอกเข็มมาวางเละเทะให้เต็มพื้นที่ไปเท่านั้น
ตุนท์ที่นั่งอยู่ข้างครูพี่เลี้ยงของนพมัลลีหันมาสบตากับเธอที่นั่งอยู่ด้านข้างเวทีด้วยรอยยิ้มกลั้นขำ พวกเขาชินชากับความเซี้ยวแสบของเด็กห้องนี้เสียแล้ว นพมัลลีเองพอได้สบกับประกายขำก็เผลอยิ้มตอบไปอย่างรู้กัน ก่อนจะรีบปรับสีหน้าเป็นเรียบเฉยเมื่อครูพี่เลี้ยงตวัดตามองมาหน้าตาบูดบึ้ง
และใครอีกคนบนที่นั่งของประธานก็เก็บภาพอันน่าชื่นมื่น สบตายิ้มให้กันด้วยความเคร่งเครียด ตุลาไม่พอใจเป็นอย่างมากที่นางต้องมารับรู้เรื่องอย่างนี้ต่อหน้าต่อตา
ถึงจะแค่วินาทีเดียวที่นพมัลลียิ้มตอบให้ลูกชายนาง แต่นั่นก็เริ่มส่อเค้าไม่ดีสำหรับนางแล้ว
นพมัลลีรู้สึกได้ถึงกระแสไม่พอใจจากคนบนเวที เธอเลือกจะสงบเสงี่ยม เก็บความรู้สึกด้วยการไม่สนใจสิ่งใด ผ่านมาเพียงแค่เดือนเดียว ชีวิตในเทอมนี้เธอยังเหลืออีกสี่เดือน จะมาตะกุกตะกัก ไม่จบอย่างที่แล้วมานั้นไม่ได้จริงๆ
อย่างกับเธอทำนายถึงความไม่มั่นคงในชีวิตได้ หลังพิธีไหว้ครูเสร็จสิ้น ครูพี่เลี้ยงของเธอก็ลงมา และเรียกหญิงสาวออกไปคุย ไม่สิ ต้องเรียกว่าออกไปต่อว่า อย่างหัวเสียที่สุด ด้วยใบหน้าแดงก่ำอย่างคนที่โดนหยามเหยียดมา
“นี่อะไรคุณครูลี! พานสั่วๆ แบบนี้ครูแน่ใจเหรอว่าตัวเองควบคุมในการทำ เด็กมีครูสอนศิลปะเป็นที่ปรึกษา แต่ทำพานได้ไร้สมองมาก ผมต้องเสียหน้า ได้ยินครูท่านอื่นแอบหัวเราะเยาะยังไงบ้างรู้ไหม ถ้าเป็นครูแล้วคุมเด็กไม่ได้ อย่าเป็นมันซะดีกว่า!”
คนถูกตราหน้าต่อว่าหน้าชาไปเป็นแถบ หญิงสาวซ่อนมือไว้ด้านหลัง กำเป็นหมัด พร่ำให้ใจตัวเองอดทน ใจเย็น ห้ามวู่วาม หรือพ่นคำไม่ดีออกไปเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอนาคตคงจบตามปากไป
“ผมจะหักคะแนนคุณครู หวังว่าจะเข้าใจ เป็นครูภาษาอะไรไม่ได้เรื่องเลย”
“ขอโทษค่ะ” นพมัลลีกลั้นลมหายใจพูดออกไป ยังดีที่มันฟังไม่แย่เหมือนคนกัดฟันพูดนัก
“อย่าให้มีอีกล่ะ”
ครูพี่เลี้ยงเดินจากไป แต่นพมัลลีกลับก้าวขาไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่ง สัมผัสความเจ็บช้ำที่ใจจากการโดนต่อว่า โดนดูถูก และใบหน้าที่ยังชาไม่หาย เธอโกรธมาก แต่ทำอะไรตอบโต้กลับไปไม่ได้จริงๆ ได้แต่กลืนก้อนขมรสเจ็บให้ใจมันชินไป
“ครูควรตอกหน้าเขากลับไปนะ” เสียงยียวนดังอยู่บนต้นไม้ นพมัลลีแหงนหน้าขึ้นมอง พบเด็กหนุ่มกำลังนอนเอกเขนก ในปากคาบก้านดอกหญ้าอย่างสบายอารมณ์ คงได้ยินทุกบทสนทนาเมื่อครู่นี้ “เป็นครูภาษาอะไร เป็นที่ปรึกษาของห้องมอหกทับห้าจริงๆ แท้ๆ แต่กลับโบ้ยงานในนักศึกษาฝึกสอน แล้วมารอเอาหน้าในวันงาน”
“ถ้าเรื่องแค่นี้ครูอดทนไม่ได้ ครูก็ไม่ควรเป็นครู”
คมิกส่งเสียงจิ๊ๆ ในปาก “ครูก็มีสิทธิ์ของครูนะครับ ใช่ว่าจะไม่มีสักหน่อย เขาเองก็โตแต่ตัวซะเปล่า ความเป็นครูของเขาถึงได้คือการมาต่อว่าผู้น้อย แทนที่จะเล่นงานที่ตัวนักเรียนที่ทำพานอย่างนั้นมาให้”
“เหมือนที่ครูต้องลงโทษที่เธอไม่ไปเข้าร่วมพิธีไหว้ครูใช่ไหมคุณคมิก” ตุนท์รู้สึกสังหรณ์ใจตั้งแต่เห็นนพมัลลีถูกครูพี่เลี้ยงตัวเองเรียกตัวมา ถ้าแม่ของเขาไม่มัวแต่แนะนำครูฝรั่งเศสผู้หญิงคนใหม่ให้เขารู้จัก เขาก็คงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นมากกว่านี้
คมิกกระโดดลงจากกิ่งไม้สูงสามเมตรกว่าอย่างคล่องแคล่ว จงใจเดินไปใกล้ครูที่ปรึกษาหนุ่ม จงใจกระซิบยั่วอารมณ์ “ครูมาช้ากว่าผมไปก้าวหนึ่งนะครับ” แล้วก็ผิวปากหวือจากไป ปล่อยให้ตุนท์ต้องกำหมัดแน่นอย่างอดทนด้วยอีกคน
“คุณไม่ต้องโกรธแทนฉันขนาดนั้นก็ได้นะคะ ฉันไม่เป็นอะไรหรอก” นพมัลลีเผลอคิดว่าเขาจะโกรธแทนเธอ
ตุนท์ส่งเสียงหือ สมองประมวลผลอันรวดเร็วก่อนจะเห็นประโยชน์จากการที่คมิกสร้างความขุ่นเคืองให้เขา
“ถ้าคุณไม่เป็นอะไรจริงๆ ก็ไปหาข้าวเที่ยงทานกันได้ใช่ไหมครับ”
“คุณเลี้ยงนะคะ”
“ยินดีเลี้ยง(ตลอดชีพ)ครับ” ตุนท์ละคำที่เขานึกไว้ในใจ ส่งประกายยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดให้กับนพมัลลี และครั้งนี้เธอยิ้มเขาตอบกลับมาบ้างแล้ว แค่นิดหนึ่ง แต่เขารู้ว่านพมัลลีกำลังพยายาม “ที่โรงเรียนนี้ คุณยังมีผมที่อยู่ข้างคุณนะครับครูลี”
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาสนใจผู้หญิงคนหนึ่งที่กล้าวิจารณ์อะไรออกมาตรงๆ โดยไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ผู้หญิงที่ดูเย็นชา แต่ที่จริงกลับมีน้ำใจ ถึงกับเคยช่วยเด็กคนหนึ่งจนตัวเองเรียนไม่จบ แต่ในทางกลับกัน นพมัลลีก็มีมุมที่ขลาดกลัว ดวงตาวิตกยามต้องเลือกตัดสินใจทำอะไรสักอย่างที่น่าจะเกี่ยวพันถึงเรื่องที่เขาไม่รู้ จากความสนใจ ความอยากรู้ ไม่รู้ว่ามันแปรเปลี่ยนเป็นอยากปกป้อง ทะนุถนอมอีกฝ่ายไปตั้งแต่เมื่อไหร่
เขาอยากโอบกอดเธอไว้ ขจัดเรื่องราวเลวร้ายที่ต้องพบเจอให้หมด
“เฮ่!”
เสียงเฮจากท้ายโรงอาหารขัดบรรยากาศที่ตุนท์กำลังถือชามก๋วยเตี๋ยวเข้ามาวางบนโต๊ะที่นั่งตรงข้ามกันกับนพมัลลี เขายังไม่ทันนั่ง หญิงสาวก็ลุกพรึ่บ ยกนิ้วชี้แตะปากให้เขาเงียบ แล้วส่งสัญญาณด้วยการชี้ซ้ำๆ ไปยังกลุ่มคนที่จองที่นั่งอยู่หลังโรงอาหาร เวลานี้เป็นคาบสาม นักเรียนต้องอยู่ในห้องเรียนกัน แต่ถ้าไม่ได้เข้าเรียนล่ะก็...
“จ่ายมาเลยสองร้อย” เสียงหัวโจก เจ้าของผมบลอนด์ที่เห็นชัดเมื่ออยู่ห่างจากโต๊ะที่พวกนี้นั่งรวมกลุ่มอยู่ด้านหลังไม่กี่ก้าว บลินด์แบมือหราทวงเงินเพื่อนที่แพ้พนันยิกๆ ที่กำลังบ่นครวญหยิบเงินออกมาอย่างไม่เต็มใจ นพพลที่อยู่ข้างเดียวกับบลินด์ช่วงเก็บเพื่อนเก็บเงินอยู่นั้นมองขึ้นมาปะทะสายตากับครูที่ปรึกษาทั้งสองที่ยืนกอดอกมองอยู่แล้ว
“ตายโหง” นพพลลุกขึ้นเตรียมวิ่ง เสียงเย็นก็ลอยมาเข้าหูเสียก่อน
“ใครที่หนีไปตอนนี้ เรื่องนี้ถึงหูพ่อแม่พวกคุณแน่ เอาสิ ลุกเลย”
ทั้งวงพนันของเด็กนักเรียนเงียบกริบ แม้แต่หายใจยังไม่กล้าหายใจแรง
และเมื่อวงไพ่แตกกระเจิง บลินด์หันมายักคิ้วหลิ่วตากวนให้ครู อีกหลายชีวิตมายืนในที่ที่มีแสงตกกระทบลงบนร่างชัดเจน สองครูหนุ่มสาวก็ถึงกับอึ้งงันไป
“ไปทำอะไรมา!” ตุนท์ตะคอกลั่นอย่างเหลืออด จ้องหน้าลูกพี่ลูกน้องหนุ่มที่ทำท่าไหวไหล่ไม่ใส่ใจ
“ไปตีกับเด็กต่างโรงเรียนมาไงครู มันเป็นศักดิ์ศรี โดนหยามว่าไอ้ลูกคุณหนู ใครมันจะไปทนไหว”
“ไม่เจ็บกายเลยใช่ไหม” นพมัลลียื่นมือไปกดตรงรอยช้ำรอบดวงตาเด็กหนุ่ม
บลินด์ปัดมือ กระโดดโหยง ร้องลั่น “ไม่เจ็บก็บ้าสิครู”
“ถ้าใจมันเจ็บแค้น จนสมองควบคุมร่างกายไม่ได้ กายก็ต้องอยู่เหนือความควบคุมสมองสิ จะเจ็บทำไม ตอนตีกันก็คงคิดว่าร่างกายเป็นนวม เป็นต้นกล้วย เตะได้ ต่อยได้ไม่ใช่เหรอ”
“ครูไม่เคยมีเรื่องทะเลาะหรือไง วันก่อนผมเคยดูคลิปโรงเรียนหญิงล้วนตบ จิกหัวกันกลางโรงเรียน ครูมาห้ามก็ไม่สน บางคนก็ถ่ายคลิปตบคู่อริแย่งผู้ชาย หัวเราะกันลั่น ไหนจะพวกแย่งหัวเข็มขัดกันกลางเมือง พกไม้กอล์ฟ พกสปาต้า พกมีด พกปืน พวกนั้นไม่ผิดเลยเหรอครู”
“แล้วเธออยากจะเป็นเหมือนพวกนั้นหรือไง ถ้าอยากเป็นอย่างนั้นก็มาลาออก อย่าเอาอกที่มีตราโรงเรียนไปทำในสิ่งที่เธอคิดว่ามันถูกต้อง ถ้าอยากไปมีเรื่องก็ไปคนเดียว”
“ครูจะสนับสนุนให้เธอลาออกวันนี้เลยก็ได้นะ” ตุนท์ยิ้มกริ่ม สีหน้าท้าทายเต็มที่ เขาสนับสนุนนพมัลลีทุกเหตุผล
“ผมจะไม่ทำอีก” บลินด์ย่นปากบอก เมินหน้าไปทางอื่น กำลังคิดจะออกไป อีกครั้งที่นพมัลลีขวางไว้
“วันนี้ทุกคนที่โดดพิธีไหว้ครูจะต้องอยู่เรียนเสริม ส่วนคนที่ไปเตะตีกับชาวบ้านต้องอยู่ทำเวรห้องทุกเย็นตลอดเดือน”
นพพลเป็นหน่วยกล้าตาย ยกมือขอพูดบ้าง “จะไม่บอกพ่อแม่พวกเราใช่ไหมครู”
“สัญญาว่าจะไม่บอก ถ้าพวกเธอไม่ทำตัวนอกลู่นอกทางกันอีก” ตุนท์ตอบให้แทนนพมัลลี ส่งสายตาดุแกมข่มขู่ให้กับบลินด์ ซึ่งไม่ต้องใช้กฎนั้นผู้ปกครองก็รู้พฤติกรรมที่เขาก่อครบถ้วนกระบวนความแล้ว
ตุนท์มองไปทางก๋วยเตี๋ยวสองชามบนโต๊ะว่างเปล่าแล้วนึกเสียดาย เพราะเจ้าเด็กพวกนี้มานั่งปั่นแปะหลังโรงอาหารแท้ๆ เขาเลยพลาดโอกาสอยู่กับนพมัลลีอย่างสงบสุข
“คุณเชื่อเด็กพวกนี้ไหม” นพมัลลีถามตุนท์คล้อยหลังนักเรียนวิ่งแตกกระเจิงหายเข้าตึกไปหมด
“ถ้าเชื่อ ผมก็ต้องเป็นครูที่โง่มากนะครับ”
“ไม่เชื่อได้นะคะ แต่ห้ามไม่ไว้ใจพวกเขา ห้ามหมดศรัทธาในเด็กของเราเด็ดขาด พวกเขามาจากต่างบ้าน ต่างที่ การเลี้ยงดูที่ไม่เหมือนกัน พวกเราคือคนที่จะต้องคอยเกลา คอยสอนในสิ่งที่พวกเขาขาด พวกเขามองไม่เห็น แล้วก็ต้องเชื่อว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงได้ ถึงจะไม่ใช่ในวันนี้วันพรุ่งนี้ แต่ต้องมีวันนั้น”
ประกายตาของตุนท์เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขาทอดมองนพมัลลีจนหญิงสาวต้องแก้เก้อด้วยการมองไปทางอื่น...เธอไปพูดให้เขาเข้าใจผิดเข้าข้างตัวเองหรือไง
“เพราะมีคนอย่างครูลี ผมไม่เคยหมดศรัทธา หรือความเชื่อลงเลยนะครับ”
นพมัลลีรู้สึกใจเต้นแปลกๆ กับความเชื่อในดวงตาของตุนท์ กอปรคำพูดที่ดูจริงใจของเขา ตุนท์แสดงออกมาเสมอว่าเขาเชื่อถือทุกการกระทำของเธอ หากเขารู้ล่ะว่ากว่าเธอจะมีวันนี้ได้นั้น ชีวิตของเธอไม่ได้ใสสะอาด เขาจะยังเชื่อถือคนอย่างเธออยู่อีกเหรอ
“คุณเชื่อในตัวเด็กนักเรียนเถอะค่ะ แต่อย่าเชื่อในตัวฉันเลยนะคะ”
“ไม่เชื่อถือคุณนี่ยากกว่าให้เชื่อพวกนักเรียนอีกนะครับ”
“คุณนี่มัน...”
“ผมคงตกอยู่ในลัทธินพมัลลีเข้าแล้วล่ะ” ตุนท์พูดกลั้วหัวเราะ ไม่มีอะไรที่เขาต้องปิดบังต่อนพมัลลี เขาอยากให้เธอเห็นว่าเขาจริงใจไม่มีหลอก
“คุณมันโรคจิต”
นพมัลลีไม่รู้ว่าความรู้สึกในตอนนี้คืออะไร หัวใจของเธอที่มักโดดเดี่ยวอ้างว้างกำลังรู้สึกอิ่มเอิบ ปากที่อยากจะให้บึ้ง ปฏิเสธไม่รับวาจาของเขาก็โค้งเป็นรอยยิ้ม
อ่า...ร่างกายที่มักผะอืดผะอมกับผู้ชายที่เข้ามา ไม่ทำงานชั่วคราวอย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเสียงหัวเราะสดใสของตุนท์ฟังแล้วดูดีชะมัด!
--o---o---o----o-----o----o----o----o
คนทำอาหารฝีมือเพียงแค่พอรับประทานคนเดียวฮัดชิ่วหลายครั้งติดๆ กัน กลิ่นกระเทียมโขกพริกที่ซู่ซ่าลงไปในกระทะทำให้หญิงสาวฉุนจมูกกึก ดมกลิ่นใดๆ ไม่ได้ไปชั่วขณะ ควันเข้าตาแสบนัยน์ตาน้ำตาเล็ด นพมัลลีทำจมูกฟุดฟิด มือจับตะหลิวคนอาหารไปเรื่อยๆ ใส่หมู ปรุงรส แล้วตบท้ายด้วยการใส่ใบกะเพรา
“กะเพราหอมไปถึงหน้าบ้านเลยค่ะครู” เสียงใสของนิลุบลดังมาจากในบ้าน ก่อนเดินตัดเข้ามาจนถึงด้านหลังที่เป็นลานกว้างเล็กสำหรับทำครัว เมื่อเห็นสภาพของครูที่มีน้ำมูก น้ำตาไหลพรากก็รีบกุลีกุจอมาแย่งตะหลิวไปทำอาหารเอง “ครูไปนั่งพักเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง”
“ครูตั้งใจทำต้อนรับเธอเลยนะ เธออุตส่าห์จะมาอยู่ที่นี่ทั้งที”
นิลุบลหันมายิ้มประทับใจให้ครูสาว นับจากเกิดเรื่องที่สถานบันเทิงวันนั้น ถึงอชิระจะถูกจับไปชั่วคราวด้วยมุมกล้องที่คมิกถ่ายไว้ได้ว่าอชิระใส่ยาลงไปในเครื่องดื่มของเธอ แต่ไม่นานหลังจากนั้นอชิระก็เป็นอิสระ เว้นแต่ชื่อเสียงเสียๆ ที่เริ่มรุมเร้าทั้งพ่อ และตัวอชิระมากขึ้น
เด็กสาวตัดสินใจให้แม่กลับไปอยู่กับญาติที่ต่างจังหวัด เพราะหลายเดือนมานี้แม่ไม่สบายใจ และเครียดมากที่เธอเจอเรื่องร้ายๆ หากตอนที่ครูนพมมัลลีไม่ป่วยจนเข้าโรงพยาบาล และเธอพาแม่ไปเยี่ยม แม่คงไม่ไป เพราะไม่มั่นใจว่าเธอจะแข็งแรงขึ้นกว่าแต่ก่อน ให้เหลือแค่เธอที่ต้องสู้รบปรบมือกับลมปากของผู้คนที่ตีตราค่าของคนเพียงแค่สิ่งที่ตัวเองรู้ตื้นๆ มาเท่านั้นพอ ไม่มีอะไรที่เธอต้องกลัวอีกแล้ว
“ครูไปจัดจานรอเลยค่ะ ว่าแต่ครูตุนท์ไม่อยู่เหรอคะ ไม่เห็นเลย แปลกมาก”
“แปลกตรงไหน” นพมัลลีไปหยิบจานและช้อนในชั้นวางออกมาเตรียม หัวคิ้วขมวดมุ่นเพราะรู้ดีว่าวันนี้ทำไมตุนท์มาช้า ก็เธอสั่งให้เด็กนักเรียนจอมโดดในห้องของเธออยู่เรียนต่อ และก็เป็นตุนท์ที่อาสาสอนแทนให้ด้วยเหตุผลที่ว่า
‘เด็กพวกนี้มีปัญหากับวิชาคณิตศาสตร์ มากกว่าวิชาศิลปะนะครับ ให้ผมสอนน่ะดีแล้ว’
ถึงจะรู้ว่าเป็นข้ออ้างทำดีของตุนท์แต่เธอก็รู้สึกประทับใจเขาไม่น้อย
“ปกติครูตุนท์จะอยู่กับครูลี เป็นเงาตามตัวเลยนะคะ”
คนมีเงาอื่นนอกจากเงาตัวเองรู้สึกเก้อกระดาก ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึก แต่มนุษย์ตุนท์เป็นประเภทที่ไล่ก็ไม่ไป ยังอุตส่าห์มีหน้ามาทำเนียนอยู่ใกล้เธอเสมอ ไม่รู้ว่าเธอไปสร้างความรู้สึกสบายอกสบายใจอะไรให้แก่เขา ทั้งที่ปกติคนส่วนใหญ่ล้วนมองว่าเธอเป็นตัวปัญหา เป็นบุคคลที่ดึงดูดความโชคร้าย
ตุนท์เองก็พบเศษเสี้ยวปัญหาในชีวิตของเธอบ้างแล้ว แต่กลับไม่หวั่น ไม่หนี
“สมองเขาคงมีความผิดปกติน่ะ ผ่านไปสักพักพอเขารู้จักครูมากขึ้น ขี้คร้านมีคลองอยู่ตรงหน้าก็จะกระโดดหนีแทบไม่ทัน”
“การที่ครูผ่านเรื่องมาไม่น้อยในชีวิต แต่ยังแกร่ง และยืนหยัดอย่างเข้มแข็ง สอนสั่งลูกศิษย์อีกมากมายไม่ให้เดินหลงทาง นี่ล่ะค่ะเสน่ห์ของครู ฉันไม่รู้นะคะว่าครูเคยเจออะไรมาบ้าง แต่ก็คงไม่น้อยกว่าฉัน...ใช่ไหมคะ” นพมมัลลีทำเพียงแค่ยิ้มรับ แต่ไม่ยืนยันทางวาจา นิลุบลจึงกล่าวต่อ “ครูลีเหมือนต้นไม้ที่เจอลมแรง มีเอนลู่บ้าง แต่ไม่มีวันถอนรากไปจากดิน ครูมั่นคง แล้วก็อ่อนโยน สำหรับฉัน ครูไม่เหมือนครูคนอื่นที่ฉันเคยรู้จักมาเลยนะคะ”
“ถ้าเธอไม่ใช่ลูกศิษย์ แต่เป็นหนุ่มมาสารภาพรัก ครูคงจะขนลุก คลื่นไส้ใส่หน้าแน่ๆ”
“ครูก็เป็นอย่างนี้ตลอด” นิลุบลส่ายหน้าไม่จริงจัง ตักกะเพราร้อนๆ ใส่จาน และนำผักคะน้ามาผัดต่อ ด้วยปริมาณของวัตถุดิบในจาน เธอก็สังเกตว่ามันมากกว่าปกติ ที่แน่ๆ ผู้หญิงสองคนทานไม่หมดแน่
“ปกติครูจะกินข้าวเย็นยังไงคะ”
“ครูตุนท์ทำ เอ่อ...” นพมัลลีเงียบไปหลังจากรู้ว่าหลุดพูดอะไรออกมา เธอหันกลับมาจัดวางจานบนโต๊ะจนเสร็จ หน้ารู้สึกร้อนผ่าวยามมีสายตาลูกศิษย์สาวมองล้อเลียนมา
“ทำอาหารไปเถอะน่า” นพมัลลีโบกมือไล่ แต่พอเธอหันมาทางประตูบ้าน ก็พบว่ามีร่างสูงยืนทำหน้ายิ้มปลื้มปิติ เต็มตาเต็มแก้ม ความรู้สึกของเขาชัดเจนจนเธอรู้สึกหัวใจเต้นผิดจังหวะไปจังหวะหนึ่ง “มานานหรือยังคะ”
“ถ้ามีคลองมาอยู่ตรงหน้า แล้วคุณอยู่ในคลอง ผมถึงจะกระโดดลงไป” ตุนท์ตอบเรียบเรื่อย แต่สีหน้ากลั้นขำเต็มที่ รู้สึกมีความสุขที่มาพบอาการถลึงตาดุ แต่แก้มแดงก่ำของหญิงสาว แทนที่จะน่ากลัว เขากลับรู้สึกว่านพมัลลียิ่งน่ามองมากขึ้น
“พระอาทิตย์ตกไปนานแล้ว แต่รอยยิ้มของคุณยังสว่างไสวอยู่เลยนะคะ”
คำค่อนขอดแก้เขินของนพมัลลีมีแต่จะทำให้ใบหน้าสว่างไสวเฉิดฉายกว่าเดิม
“คุณไม่รู้เหรอครับ ว่าตอนกลางคืน ฟ้ามืดๆ มันก็ยังมีแสงจันทร์ วันไหนที่พระจันทร์มืดก็ยังมีแสงดาว”
“คุณต้องการพูดอะไร” นพมัลลีหรี่ตามองไม่ไว้ใจ
ตุนท์มาช่วยนิลุบลวางจานอาหารบนโต๊ะ ตอบเรียบเรื่อย เขาอยากให้ทุกคำของเขาเข้าถึงใจคนฟังบ้าง
“ในโลกนี้ไม่มีอะไรมืดมิดไปหมดหรอกนะครับ ยกเว้นว่าเราจะหลับตา”
“คุณจะพูดว่าคุณเป็นแสงสว่าง?” นพมัลลีดักคออย่างรู้ทัน เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ตอแยต่อปากต่อคำกับเขา “ฉันคงต้องหลับตา” เปลือกตาบางปิดลงพร้อมคำพูด
ปกติเวลาที่เธอปฏิเสธตุนท์ เธอไม่เคยรู้สึกวูบโหวงมาก่อน แต่ครั้งนี้นอกจากอาการโหวงไหวในอก เธอยังกลัว...กลัวว่าเขาจะไม่ทนเธอ
นี่เธอเป็นอะไร หญิงสาวขมวดคิ้ว ก่อนจะตกใจเมื่อจู่ๆ มือของเธอก็ถูกกุมไว้อย่างนุ่มนวลด้วยมือหนาที่กำลังแผ่ไออุ่นลามเลียมาถึงใจเธอ
“ถ้าคุณมองไม่เห็น ผมก็จะจับมือคุณเดินไปเอง ไม่ต้องมีดาว มีจันทร์ มีตะวัน มี...แค่ผม”
นพมัลลีลืมตาขึ้นสบกับประกายคมกล้าที่สะท้อนเธอในแววตาของเขา ความจริงจัง จริงใจที่ตุนท์มีมาพร้อมแรงบีบกระชับในมือทำให้เธอรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง คล้ายว่าร่างของเธอจะยืนต่อไปไม่ไหว ชาไปทั้งศีรษะ ตอนนี้ใครเอาค้อนปอนด์มาทุบหัวเธอก็คงไม่เจ็บ
ตุนท์ขมวดคิ้ว เริ่มเอะใจกับอาการนิ่งเป็นหุ่นยนต์ของนพมัลลี
“ครูลีครับ”
“อุ๊บ” มือบางยกขึ้นปิดปาก แล้ววิ่งจู๊ดด้วยความเร็วสูงสุดของตัวเองไปจองคอห่านในห้องน้ำ โก่งคออาเจียนด้วยอาการคลื่นไส้ เมื่อหลังของเธอรู้สึกอุ่นวาบ สัมผัสแผ่วเบาทะนุถนอมที่ลูบหลังขึ้นลงให้นั้นมีแต่จะไปกระตุ้นให้เธออาเจียน
“คุณเป็นอะไร”
นพมัลลีเบี่ยงตัวออกจากมือของตุนท์อย่างแสนเสียดาย หญิงสาวกัดริมฝีปากกลั้นอาการคลื่นเหียนที่แล่นริ้วขึ้นมาอีกครั้ง พักนี้สมองเธออาจยังมีเรื่องให้คิดไม่มากพอ ถึงยังเหลือพื้นที่เรื่องของตุนท์อีกหลายต่อหลายเรื่องให้เธอได้นึกในหลายช่วงเวลา
ตุนท์สะเทือนใจกับท่าทางหวาดระแวง และกระเถิบตัวถอยหนีของนพมัลลี หญิงสาวยกมือปิดปาก อุบอิบตอบด้วยใบหน้าแดงจัด
“ฉันคิดว่าฉันเป็นโรคแพ้ผู้ชาย”
“แพ้ผู้ชาย!”
คนรู้สาเหตุดีปิดปากเงียบ ได้แต่แสร้งทำท่าไร้หัวใจ ไม่แยแสตุนท์ ตอนเดินออกจากห้องน้ำหญิงสาวก็เบี่ยงตัว หาองศาที่ลงตัวที่สุดในการออกมาโดยไม่เฉียดผิวเนื้อผ้าของเขา
ไม่ใช่แค่ตุนท์ที่กำลังตกใจกับอาการประหลาดของหญิงสาว นพมัลลีเองก็เริ่มเสียใจ ที่เธอปิดฉากความสัมพันธ์ที่ยังไม่ได้เริ่มนี้ด้วยอดีตของตัวเอง
จนถึงวันนี้ เธอไม่เคยก้าวข้ามอดีตได้เลย!
“ครูลีไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ” นิลุบลส่งผ้าสะอาดที่หามาจากราวตากผ้าให้นพมัลลีซับหน้า เธออุตส่าห์คิดว่าเหตุการณ์เมื่อสิบนาทีก่อนจะเต็มไปด้วยความหวาน ชุ่มชื่นหัวใจ ไม่ยักรู้ว่าครูลีของเธอจะมาตกม้าตาย
ไอ้โรคแพ้ผู้ชายนี่มันมีในบัญญัติทางการแพทย์ด้วยเหรอ เธออยากรู้จริงๆ
_________________________________________
คุณ konhin นอกจากประเด็นคุณแม่ ตัวนพมัลลีเองก็จะเป็นอีกหนึ่งปัญหานะคะ แต่แม่จะมาป่วนชีวิตสองคนนี้ยังไงต้องรอกันไปค่า
คุณ OhLaLa อยากให้สังคมน่าอยู่เช่นกันค่ะ นิยายเรื่องนี้ค่อนข้างสะท้อนสังคมเล็กๆ (ไม่รู้คนอ่านรู้สึกไหม ฮา) ลียังต้องเจออะไรอีกเยอะค่ะ บทนี้คนเขียนทำร้ายตุนท์ไปหลายเลย
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มากดถูกใจนะคะ จะมาอัพอีกทีวันพุธดึก ไม่ก็พฤหัสเลยนะคะ ติชมกันได้ค่า ^_^
ช่วงนี้เธอกำลังพบเจอมนุษย์ดื้อด้าน นอกเหนือจากเหล่านักเรียนเข้าซะแล้ว
นพมัลลีค้นพบว่าชีวิตของเธอหลังจากเลิกสอนนักเรียนเสร็จ จะมีผู้ชายคนหนึ่งทำตัวรู้ใจเธอ ทำเนียนมารอในห้องศิลปะ บ้างทำเป็นพบปะเธอในห้องสมุด เขาไม่ได้รบกวน แต่แค่หากิจกรรมมาทำอะไรฆ่าเวลา เพื่อรอเวลาทานข้าวเย็นด้วยกัน แล้วเขาก็จะไป
“คุณไม่ต้องกลั้นหัวเราะนักหรอกค่ะ” นพมัลลีพูดประชด น้ำเสียงกระทั้นอย่างอดไม่อยู่ เพราะกิจกรรมชมรมหลังเลิกเรียนที่เธอให้นักเรียนออกมาแสดงความฝันแท้ๆ และวันนี้เป็นคิวของนยฎาผู้มีความฝันเป็นเมกอัพอาร์ตติสก์ ถึงได้จงใจใช้เธอเป็นแบบในการแต่งหน้า
และคนที่มีความไม่ชอบหน้าครูเป็นทุนเดิมก็จัดการหน้าเธอไม่ต่างจากตัวตลกโบโซ เป็นนางงิ้วหน้าขาววอก ปากแดง เสียงหัวเราะของนักเรียนยังดังไล่หลัง บ้างชี้หน้าสะใจกับการปั่นหัวเธอ
เด็กพวกนี้จะเกินไปแล้ว!
“ผมกลัวเส้นตรงขมับคุณจะปูดโปนไปมากกว่านี้น่ะสิ” มือหนาเอื้อมมาบีบนวดตรงขมับให้อย่างเบามือ คนไม่ทันตั้งตัวยืนอึ้ง ดวงตาขยายขนาดจนเต็มอัตรา “แค่นี้ต้องตกใจด้วยเหรอ”
นพมัลลีกระถดคอหนี ต้องกระแอมไอเรียกสติ รอยอุ่นวาบที่ตุนท์ทิ้งไว้ข้างขมับยังคงอยู่รบกวนความรู้สึกของเธอ อาการผะอืดผะอมเริ่มกลับมาเล่นงาน พอตุนท์จะเข้ามาใกล้อีก มือของเธอก็ยันอกเขาไว้ได้ทัน
“หยุดอยู่ตรงนั้น ไม่ต้องตามมานะคะ”
ท่าทางหวาดกลัว กึ่งเดินกึ่งวิ่งหนีไปของนพมัลลี คล้ายตราหน้าตุนท์ให้รู้สึกว่าตัวเองเป็นอะไรสักอย่างที่แย่กว่าตัวเชื้อโรค เป็นสิ่งต้องห้ามที่ไม่ควรเข้าใกล้หญิงสาว
ตุนท์ถอนหายใจอย่างกลัดกลุ้ม น่าแปลกที่เขากลับไม่รู้สึกอยากอยู่ไกลจากนพมัลลีเลย ตรงกันข้าม เขารู้สึกว่ามีบางเรื่องที่นพมัลลีปกปิด ปมปัญหาในใจที่เจ้าหล่อนไม่เคยต้องการให้ใครรับรู้ทั้งสิ้น แต่เขาก็ยังอยากจะรู้ อยากพยายามทำความรู้จักอีกฝ่ายให้มากกว่านี้
เขาอยากเห็นผู้หญิงคนนี้ยิ้มบ่อยๆ จะไม่ยิ้มให้เขาเลยก็ไม่เป็นไร แต่แค่เธอจะยิ้มง่ายกว่านี้...มีความสุขมากกว่านี้ เธอแก้ปมในใจให้เด็กนักเรียนของตัวเองได้
แล้วปมในใจของตัวเองล่ะ?
--o---o---o----o-----o----o----o----o
เด็กนักเรียนห้องมอหกทับห้าหายไปกว่าครึ่งห้องในวันไหว้ครู นพมัลลีนั่งมองความซาบซึ้งของเหล่าครูบาอาจารย์กับลูกศิษย์ห้องอื่นที่กอดคอร่ำไห้ หูสดับถึงบทกลอนอันซาบซึ้งที่นักเรียนได้ประสบมาในการเรียน ตรงข้ามกับคนที่นั่งในตำแหน่งครูที่ปรึกษาของห้องมอหกทับห้า ใบหน้าของครูพี่เลี้ยงนพมัลลีบิดเบี้ยว พยายามยิ่งยวดที่จะเก็บอารมณ์กับพานดอกเข็มไร้ราคา ไร้ศิลปะเพียงแค่จับดอกเข็มมาวางเละเทะให้เต็มพื้นที่ไปเท่านั้น
ตุนท์ที่นั่งอยู่ข้างครูพี่เลี้ยงของนพมัลลีหันมาสบตากับเธอที่นั่งอยู่ด้านข้างเวทีด้วยรอยยิ้มกลั้นขำ พวกเขาชินชากับความเซี้ยวแสบของเด็กห้องนี้เสียแล้ว นพมัลลีเองพอได้สบกับประกายขำก็เผลอยิ้มตอบไปอย่างรู้กัน ก่อนจะรีบปรับสีหน้าเป็นเรียบเฉยเมื่อครูพี่เลี้ยงตวัดตามองมาหน้าตาบูดบึ้ง
และใครอีกคนบนที่นั่งของประธานก็เก็บภาพอันน่าชื่นมื่น สบตายิ้มให้กันด้วยความเคร่งเครียด ตุลาไม่พอใจเป็นอย่างมากที่นางต้องมารับรู้เรื่องอย่างนี้ต่อหน้าต่อตา
ถึงจะแค่วินาทีเดียวที่นพมัลลียิ้มตอบให้ลูกชายนาง แต่นั่นก็เริ่มส่อเค้าไม่ดีสำหรับนางแล้ว
นพมัลลีรู้สึกได้ถึงกระแสไม่พอใจจากคนบนเวที เธอเลือกจะสงบเสงี่ยม เก็บความรู้สึกด้วยการไม่สนใจสิ่งใด ผ่านมาเพียงแค่เดือนเดียว ชีวิตในเทอมนี้เธอยังเหลืออีกสี่เดือน จะมาตะกุกตะกัก ไม่จบอย่างที่แล้วมานั้นไม่ได้จริงๆ
อย่างกับเธอทำนายถึงความไม่มั่นคงในชีวิตได้ หลังพิธีไหว้ครูเสร็จสิ้น ครูพี่เลี้ยงของเธอก็ลงมา และเรียกหญิงสาวออกไปคุย ไม่สิ ต้องเรียกว่าออกไปต่อว่า อย่างหัวเสียที่สุด ด้วยใบหน้าแดงก่ำอย่างคนที่โดนหยามเหยียดมา
“นี่อะไรคุณครูลี! พานสั่วๆ แบบนี้ครูแน่ใจเหรอว่าตัวเองควบคุมในการทำ เด็กมีครูสอนศิลปะเป็นที่ปรึกษา แต่ทำพานได้ไร้สมองมาก ผมต้องเสียหน้า ได้ยินครูท่านอื่นแอบหัวเราะเยาะยังไงบ้างรู้ไหม ถ้าเป็นครูแล้วคุมเด็กไม่ได้ อย่าเป็นมันซะดีกว่า!”
คนถูกตราหน้าต่อว่าหน้าชาไปเป็นแถบ หญิงสาวซ่อนมือไว้ด้านหลัง กำเป็นหมัด พร่ำให้ใจตัวเองอดทน ใจเย็น ห้ามวู่วาม หรือพ่นคำไม่ดีออกไปเด็ดขาด ไม่อย่างนั้นอนาคตคงจบตามปากไป
“ผมจะหักคะแนนคุณครู หวังว่าจะเข้าใจ เป็นครูภาษาอะไรไม่ได้เรื่องเลย”
“ขอโทษค่ะ” นพมัลลีกลั้นลมหายใจพูดออกไป ยังดีที่มันฟังไม่แย่เหมือนคนกัดฟันพูดนัก
“อย่าให้มีอีกล่ะ”
ครูพี่เลี้ยงเดินจากไป แต่นพมัลลีกลับก้าวขาไม่ออก ได้แต่ยืนนิ่ง สัมผัสความเจ็บช้ำที่ใจจากการโดนต่อว่า โดนดูถูก และใบหน้าที่ยังชาไม่หาย เธอโกรธมาก แต่ทำอะไรตอบโต้กลับไปไม่ได้จริงๆ ได้แต่กลืนก้อนขมรสเจ็บให้ใจมันชินไป
“ครูควรตอกหน้าเขากลับไปนะ” เสียงยียวนดังอยู่บนต้นไม้ นพมัลลีแหงนหน้าขึ้นมอง พบเด็กหนุ่มกำลังนอนเอกเขนก ในปากคาบก้านดอกหญ้าอย่างสบายอารมณ์ คงได้ยินทุกบทสนทนาเมื่อครู่นี้ “เป็นครูภาษาอะไร เป็นที่ปรึกษาของห้องมอหกทับห้าจริงๆ แท้ๆ แต่กลับโบ้ยงานในนักศึกษาฝึกสอน แล้วมารอเอาหน้าในวันงาน”
“ถ้าเรื่องแค่นี้ครูอดทนไม่ได้ ครูก็ไม่ควรเป็นครู”
คมิกส่งเสียงจิ๊ๆ ในปาก “ครูก็มีสิทธิ์ของครูนะครับ ใช่ว่าจะไม่มีสักหน่อย เขาเองก็โตแต่ตัวซะเปล่า ความเป็นครูของเขาถึงได้คือการมาต่อว่าผู้น้อย แทนที่จะเล่นงานที่ตัวนักเรียนที่ทำพานอย่างนั้นมาให้”
“เหมือนที่ครูต้องลงโทษที่เธอไม่ไปเข้าร่วมพิธีไหว้ครูใช่ไหมคุณคมิก” ตุนท์รู้สึกสังหรณ์ใจตั้งแต่เห็นนพมัลลีถูกครูพี่เลี้ยงตัวเองเรียกตัวมา ถ้าแม่ของเขาไม่มัวแต่แนะนำครูฝรั่งเศสผู้หญิงคนใหม่ให้เขารู้จัก เขาก็คงรู้เรื่องที่เกิดขึ้นมากกว่านี้
คมิกกระโดดลงจากกิ่งไม้สูงสามเมตรกว่าอย่างคล่องแคล่ว จงใจเดินไปใกล้ครูที่ปรึกษาหนุ่ม จงใจกระซิบยั่วอารมณ์ “ครูมาช้ากว่าผมไปก้าวหนึ่งนะครับ” แล้วก็ผิวปากหวือจากไป ปล่อยให้ตุนท์ต้องกำหมัดแน่นอย่างอดทนด้วยอีกคน
“คุณไม่ต้องโกรธแทนฉันขนาดนั้นก็ได้นะคะ ฉันไม่เป็นอะไรหรอก” นพมัลลีเผลอคิดว่าเขาจะโกรธแทนเธอ
ตุนท์ส่งเสียงหือ สมองประมวลผลอันรวดเร็วก่อนจะเห็นประโยชน์จากการที่คมิกสร้างความขุ่นเคืองให้เขา
“ถ้าคุณไม่เป็นอะไรจริงๆ ก็ไปหาข้าวเที่ยงทานกันได้ใช่ไหมครับ”
“คุณเลี้ยงนะคะ”
“ยินดีเลี้ยง(ตลอดชีพ)ครับ” ตุนท์ละคำที่เขานึกไว้ในใจ ส่งประกายยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดให้กับนพมัลลี และครั้งนี้เธอยิ้มเขาตอบกลับมาบ้างแล้ว แค่นิดหนึ่ง แต่เขารู้ว่านพมัลลีกำลังพยายาม “ที่โรงเรียนนี้ คุณยังมีผมที่อยู่ข้างคุณนะครับครูลี”
ตั้งแต่ครั้งแรกที่เขาสนใจผู้หญิงคนหนึ่งที่กล้าวิจารณ์อะไรออกมาตรงๆ โดยไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร ผู้หญิงที่ดูเย็นชา แต่ที่จริงกลับมีน้ำใจ ถึงกับเคยช่วยเด็กคนหนึ่งจนตัวเองเรียนไม่จบ แต่ในทางกลับกัน นพมัลลีก็มีมุมที่ขลาดกลัว ดวงตาวิตกยามต้องเลือกตัดสินใจทำอะไรสักอย่างที่น่าจะเกี่ยวพันถึงเรื่องที่เขาไม่รู้ จากความสนใจ ความอยากรู้ ไม่รู้ว่ามันแปรเปลี่ยนเป็นอยากปกป้อง ทะนุถนอมอีกฝ่ายไปตั้งแต่เมื่อไหร่
เขาอยากโอบกอดเธอไว้ ขจัดเรื่องราวเลวร้ายที่ต้องพบเจอให้หมด
“เฮ่!”
เสียงเฮจากท้ายโรงอาหารขัดบรรยากาศที่ตุนท์กำลังถือชามก๋วยเตี๋ยวเข้ามาวางบนโต๊ะที่นั่งตรงข้ามกันกับนพมัลลี เขายังไม่ทันนั่ง หญิงสาวก็ลุกพรึ่บ ยกนิ้วชี้แตะปากให้เขาเงียบ แล้วส่งสัญญาณด้วยการชี้ซ้ำๆ ไปยังกลุ่มคนที่จองที่นั่งอยู่หลังโรงอาหาร เวลานี้เป็นคาบสาม นักเรียนต้องอยู่ในห้องเรียนกัน แต่ถ้าไม่ได้เข้าเรียนล่ะก็...
“จ่ายมาเลยสองร้อย” เสียงหัวโจก เจ้าของผมบลอนด์ที่เห็นชัดเมื่ออยู่ห่างจากโต๊ะที่พวกนี้นั่งรวมกลุ่มอยู่ด้านหลังไม่กี่ก้าว บลินด์แบมือหราทวงเงินเพื่อนที่แพ้พนันยิกๆ ที่กำลังบ่นครวญหยิบเงินออกมาอย่างไม่เต็มใจ นพพลที่อยู่ข้างเดียวกับบลินด์ช่วงเก็บเพื่อนเก็บเงินอยู่นั้นมองขึ้นมาปะทะสายตากับครูที่ปรึกษาทั้งสองที่ยืนกอดอกมองอยู่แล้ว
“ตายโหง” นพพลลุกขึ้นเตรียมวิ่ง เสียงเย็นก็ลอยมาเข้าหูเสียก่อน
“ใครที่หนีไปตอนนี้ เรื่องนี้ถึงหูพ่อแม่พวกคุณแน่ เอาสิ ลุกเลย”
ทั้งวงพนันของเด็กนักเรียนเงียบกริบ แม้แต่หายใจยังไม่กล้าหายใจแรง
และเมื่อวงไพ่แตกกระเจิง บลินด์หันมายักคิ้วหลิ่วตากวนให้ครู อีกหลายชีวิตมายืนในที่ที่มีแสงตกกระทบลงบนร่างชัดเจน สองครูหนุ่มสาวก็ถึงกับอึ้งงันไป
“ไปทำอะไรมา!” ตุนท์ตะคอกลั่นอย่างเหลืออด จ้องหน้าลูกพี่ลูกน้องหนุ่มที่ทำท่าไหวไหล่ไม่ใส่ใจ
“ไปตีกับเด็กต่างโรงเรียนมาไงครู มันเป็นศักดิ์ศรี โดนหยามว่าไอ้ลูกคุณหนู ใครมันจะไปทนไหว”
“ไม่เจ็บกายเลยใช่ไหม” นพมัลลียื่นมือไปกดตรงรอยช้ำรอบดวงตาเด็กหนุ่ม
บลินด์ปัดมือ กระโดดโหยง ร้องลั่น “ไม่เจ็บก็บ้าสิครู”
“ถ้าใจมันเจ็บแค้น จนสมองควบคุมร่างกายไม่ได้ กายก็ต้องอยู่เหนือความควบคุมสมองสิ จะเจ็บทำไม ตอนตีกันก็คงคิดว่าร่างกายเป็นนวม เป็นต้นกล้วย เตะได้ ต่อยได้ไม่ใช่เหรอ”
“ครูไม่เคยมีเรื่องทะเลาะหรือไง วันก่อนผมเคยดูคลิปโรงเรียนหญิงล้วนตบ จิกหัวกันกลางโรงเรียน ครูมาห้ามก็ไม่สน บางคนก็ถ่ายคลิปตบคู่อริแย่งผู้ชาย หัวเราะกันลั่น ไหนจะพวกแย่งหัวเข็มขัดกันกลางเมือง พกไม้กอล์ฟ พกสปาต้า พกมีด พกปืน พวกนั้นไม่ผิดเลยเหรอครู”
“แล้วเธออยากจะเป็นเหมือนพวกนั้นหรือไง ถ้าอยากเป็นอย่างนั้นก็มาลาออก อย่าเอาอกที่มีตราโรงเรียนไปทำในสิ่งที่เธอคิดว่ามันถูกต้อง ถ้าอยากไปมีเรื่องก็ไปคนเดียว”
“ครูจะสนับสนุนให้เธอลาออกวันนี้เลยก็ได้นะ” ตุนท์ยิ้มกริ่ม สีหน้าท้าทายเต็มที่ เขาสนับสนุนนพมัลลีทุกเหตุผล
“ผมจะไม่ทำอีก” บลินด์ย่นปากบอก เมินหน้าไปทางอื่น กำลังคิดจะออกไป อีกครั้งที่นพมัลลีขวางไว้
“วันนี้ทุกคนที่โดดพิธีไหว้ครูจะต้องอยู่เรียนเสริม ส่วนคนที่ไปเตะตีกับชาวบ้านต้องอยู่ทำเวรห้องทุกเย็นตลอดเดือน”
นพพลเป็นหน่วยกล้าตาย ยกมือขอพูดบ้าง “จะไม่บอกพ่อแม่พวกเราใช่ไหมครู”
“สัญญาว่าจะไม่บอก ถ้าพวกเธอไม่ทำตัวนอกลู่นอกทางกันอีก” ตุนท์ตอบให้แทนนพมัลลี ส่งสายตาดุแกมข่มขู่ให้กับบลินด์ ซึ่งไม่ต้องใช้กฎนั้นผู้ปกครองก็รู้พฤติกรรมที่เขาก่อครบถ้วนกระบวนความแล้ว
ตุนท์มองไปทางก๋วยเตี๋ยวสองชามบนโต๊ะว่างเปล่าแล้วนึกเสียดาย เพราะเจ้าเด็กพวกนี้มานั่งปั่นแปะหลังโรงอาหารแท้ๆ เขาเลยพลาดโอกาสอยู่กับนพมัลลีอย่างสงบสุข
“คุณเชื่อเด็กพวกนี้ไหม” นพมัลลีถามตุนท์คล้อยหลังนักเรียนวิ่งแตกกระเจิงหายเข้าตึกไปหมด
“ถ้าเชื่อ ผมก็ต้องเป็นครูที่โง่มากนะครับ”
“ไม่เชื่อได้นะคะ แต่ห้ามไม่ไว้ใจพวกเขา ห้ามหมดศรัทธาในเด็กของเราเด็ดขาด พวกเขามาจากต่างบ้าน ต่างที่ การเลี้ยงดูที่ไม่เหมือนกัน พวกเราคือคนที่จะต้องคอยเกลา คอยสอนในสิ่งที่พวกเขาขาด พวกเขามองไม่เห็น แล้วก็ต้องเชื่อว่าพวกเขาจะเปลี่ยนแปลงได้ ถึงจะไม่ใช่ในวันนี้วันพรุ่งนี้ แต่ต้องมีวันนั้น”
ประกายตาของตุนท์เต็มไปด้วยความภาคภูมิใจ เขาทอดมองนพมัลลีจนหญิงสาวต้องแก้เก้อด้วยการมองไปทางอื่น...เธอไปพูดให้เขาเข้าใจผิดเข้าข้างตัวเองหรือไง
“เพราะมีคนอย่างครูลี ผมไม่เคยหมดศรัทธา หรือความเชื่อลงเลยนะครับ”
นพมัลลีรู้สึกใจเต้นแปลกๆ กับความเชื่อในดวงตาของตุนท์ กอปรคำพูดที่ดูจริงใจของเขา ตุนท์แสดงออกมาเสมอว่าเขาเชื่อถือทุกการกระทำของเธอ หากเขารู้ล่ะว่ากว่าเธอจะมีวันนี้ได้นั้น ชีวิตของเธอไม่ได้ใสสะอาด เขาจะยังเชื่อถือคนอย่างเธออยู่อีกเหรอ
“คุณเชื่อในตัวเด็กนักเรียนเถอะค่ะ แต่อย่าเชื่อในตัวฉันเลยนะคะ”
“ไม่เชื่อถือคุณนี่ยากกว่าให้เชื่อพวกนักเรียนอีกนะครับ”
“คุณนี่มัน...”
“ผมคงตกอยู่ในลัทธินพมัลลีเข้าแล้วล่ะ” ตุนท์พูดกลั้วหัวเราะ ไม่มีอะไรที่เขาต้องปิดบังต่อนพมัลลี เขาอยากให้เธอเห็นว่าเขาจริงใจไม่มีหลอก
“คุณมันโรคจิต”
นพมัลลีไม่รู้ว่าความรู้สึกในตอนนี้คืออะไร หัวใจของเธอที่มักโดดเดี่ยวอ้างว้างกำลังรู้สึกอิ่มเอิบ ปากที่อยากจะให้บึ้ง ปฏิเสธไม่รับวาจาของเขาก็โค้งเป็นรอยยิ้ม
อ่า...ร่างกายที่มักผะอืดผะอมกับผู้ชายที่เข้ามา ไม่ทำงานชั่วคราวอย่างนั้นเหรอ แล้วทำไมเธอถึงรู้สึกว่าเสียงหัวเราะสดใสของตุนท์ฟังแล้วดูดีชะมัด!
--o---o---o----o-----o----o----o----o
คนทำอาหารฝีมือเพียงแค่พอรับประทานคนเดียวฮัดชิ่วหลายครั้งติดๆ กัน กลิ่นกระเทียมโขกพริกที่ซู่ซ่าลงไปในกระทะทำให้หญิงสาวฉุนจมูกกึก ดมกลิ่นใดๆ ไม่ได้ไปชั่วขณะ ควันเข้าตาแสบนัยน์ตาน้ำตาเล็ด นพมัลลีทำจมูกฟุดฟิด มือจับตะหลิวคนอาหารไปเรื่อยๆ ใส่หมู ปรุงรส แล้วตบท้ายด้วยการใส่ใบกะเพรา
“กะเพราหอมไปถึงหน้าบ้านเลยค่ะครู” เสียงใสของนิลุบลดังมาจากในบ้าน ก่อนเดินตัดเข้ามาจนถึงด้านหลังที่เป็นลานกว้างเล็กสำหรับทำครัว เมื่อเห็นสภาพของครูที่มีน้ำมูก น้ำตาไหลพรากก็รีบกุลีกุจอมาแย่งตะหลิวไปทำอาหารเอง “ครูไปนั่งพักเถอะค่ะ เดี๋ยวฉันจัดการต่อเอง”
“ครูตั้งใจทำต้อนรับเธอเลยนะ เธออุตส่าห์จะมาอยู่ที่นี่ทั้งที”
นิลุบลหันมายิ้มประทับใจให้ครูสาว นับจากเกิดเรื่องที่สถานบันเทิงวันนั้น ถึงอชิระจะถูกจับไปชั่วคราวด้วยมุมกล้องที่คมิกถ่ายไว้ได้ว่าอชิระใส่ยาลงไปในเครื่องดื่มของเธอ แต่ไม่นานหลังจากนั้นอชิระก็เป็นอิสระ เว้นแต่ชื่อเสียงเสียๆ ที่เริ่มรุมเร้าทั้งพ่อ และตัวอชิระมากขึ้น
เด็กสาวตัดสินใจให้แม่กลับไปอยู่กับญาติที่ต่างจังหวัด เพราะหลายเดือนมานี้แม่ไม่สบายใจ และเครียดมากที่เธอเจอเรื่องร้ายๆ หากตอนที่ครูนพมมัลลีไม่ป่วยจนเข้าโรงพยาบาล และเธอพาแม่ไปเยี่ยม แม่คงไม่ไป เพราะไม่มั่นใจว่าเธอจะแข็งแรงขึ้นกว่าแต่ก่อน ให้เหลือแค่เธอที่ต้องสู้รบปรบมือกับลมปากของผู้คนที่ตีตราค่าของคนเพียงแค่สิ่งที่ตัวเองรู้ตื้นๆ มาเท่านั้นพอ ไม่มีอะไรที่เธอต้องกลัวอีกแล้ว
“ครูไปจัดจานรอเลยค่ะ ว่าแต่ครูตุนท์ไม่อยู่เหรอคะ ไม่เห็นเลย แปลกมาก”
“แปลกตรงไหน” นพมัลลีไปหยิบจานและช้อนในชั้นวางออกมาเตรียม หัวคิ้วขมวดมุ่นเพราะรู้ดีว่าวันนี้ทำไมตุนท์มาช้า ก็เธอสั่งให้เด็กนักเรียนจอมโดดในห้องของเธออยู่เรียนต่อ และก็เป็นตุนท์ที่อาสาสอนแทนให้ด้วยเหตุผลที่ว่า
‘เด็กพวกนี้มีปัญหากับวิชาคณิตศาสตร์ มากกว่าวิชาศิลปะนะครับ ให้ผมสอนน่ะดีแล้ว’
ถึงจะรู้ว่าเป็นข้ออ้างทำดีของตุนท์แต่เธอก็รู้สึกประทับใจเขาไม่น้อย
“ปกติครูตุนท์จะอยู่กับครูลี เป็นเงาตามตัวเลยนะคะ”
คนมีเงาอื่นนอกจากเงาตัวเองรู้สึกเก้อกระดาก ใช่ว่าเธอจะไม่รู้สึก แต่มนุษย์ตุนท์เป็นประเภทที่ไล่ก็ไม่ไป ยังอุตส่าห์มีหน้ามาทำเนียนอยู่ใกล้เธอเสมอ ไม่รู้ว่าเธอไปสร้างความรู้สึกสบายอกสบายใจอะไรให้แก่เขา ทั้งที่ปกติคนส่วนใหญ่ล้วนมองว่าเธอเป็นตัวปัญหา เป็นบุคคลที่ดึงดูดความโชคร้าย
ตุนท์เองก็พบเศษเสี้ยวปัญหาในชีวิตของเธอบ้างแล้ว แต่กลับไม่หวั่น ไม่หนี
“สมองเขาคงมีความผิดปกติน่ะ ผ่านไปสักพักพอเขารู้จักครูมากขึ้น ขี้คร้านมีคลองอยู่ตรงหน้าก็จะกระโดดหนีแทบไม่ทัน”
“การที่ครูผ่านเรื่องมาไม่น้อยในชีวิต แต่ยังแกร่ง และยืนหยัดอย่างเข้มแข็ง สอนสั่งลูกศิษย์อีกมากมายไม่ให้เดินหลงทาง นี่ล่ะค่ะเสน่ห์ของครู ฉันไม่รู้นะคะว่าครูเคยเจออะไรมาบ้าง แต่ก็คงไม่น้อยกว่าฉัน...ใช่ไหมคะ” นพมมัลลีทำเพียงแค่ยิ้มรับ แต่ไม่ยืนยันทางวาจา นิลุบลจึงกล่าวต่อ “ครูลีเหมือนต้นไม้ที่เจอลมแรง มีเอนลู่บ้าง แต่ไม่มีวันถอนรากไปจากดิน ครูมั่นคง แล้วก็อ่อนโยน สำหรับฉัน ครูไม่เหมือนครูคนอื่นที่ฉันเคยรู้จักมาเลยนะคะ”
“ถ้าเธอไม่ใช่ลูกศิษย์ แต่เป็นหนุ่มมาสารภาพรัก ครูคงจะขนลุก คลื่นไส้ใส่หน้าแน่ๆ”
“ครูก็เป็นอย่างนี้ตลอด” นิลุบลส่ายหน้าไม่จริงจัง ตักกะเพราร้อนๆ ใส่จาน และนำผักคะน้ามาผัดต่อ ด้วยปริมาณของวัตถุดิบในจาน เธอก็สังเกตว่ามันมากกว่าปกติ ที่แน่ๆ ผู้หญิงสองคนทานไม่หมดแน่
“ปกติครูจะกินข้าวเย็นยังไงคะ”
“ครูตุนท์ทำ เอ่อ...” นพมัลลีเงียบไปหลังจากรู้ว่าหลุดพูดอะไรออกมา เธอหันกลับมาจัดวางจานบนโต๊ะจนเสร็จ หน้ารู้สึกร้อนผ่าวยามมีสายตาลูกศิษย์สาวมองล้อเลียนมา
“ทำอาหารไปเถอะน่า” นพมัลลีโบกมือไล่ แต่พอเธอหันมาทางประตูบ้าน ก็พบว่ามีร่างสูงยืนทำหน้ายิ้มปลื้มปิติ เต็มตาเต็มแก้ม ความรู้สึกของเขาชัดเจนจนเธอรู้สึกหัวใจเต้นผิดจังหวะไปจังหวะหนึ่ง “มานานหรือยังคะ”
“ถ้ามีคลองมาอยู่ตรงหน้า แล้วคุณอยู่ในคลอง ผมถึงจะกระโดดลงไป” ตุนท์ตอบเรียบเรื่อย แต่สีหน้ากลั้นขำเต็มที่ รู้สึกมีความสุขที่มาพบอาการถลึงตาดุ แต่แก้มแดงก่ำของหญิงสาว แทนที่จะน่ากลัว เขากลับรู้สึกว่านพมัลลียิ่งน่ามองมากขึ้น
“พระอาทิตย์ตกไปนานแล้ว แต่รอยยิ้มของคุณยังสว่างไสวอยู่เลยนะคะ”
คำค่อนขอดแก้เขินของนพมัลลีมีแต่จะทำให้ใบหน้าสว่างไสวเฉิดฉายกว่าเดิม
“คุณไม่รู้เหรอครับ ว่าตอนกลางคืน ฟ้ามืดๆ มันก็ยังมีแสงจันทร์ วันไหนที่พระจันทร์มืดก็ยังมีแสงดาว”
“คุณต้องการพูดอะไร” นพมัลลีหรี่ตามองไม่ไว้ใจ
ตุนท์มาช่วยนิลุบลวางจานอาหารบนโต๊ะ ตอบเรียบเรื่อย เขาอยากให้ทุกคำของเขาเข้าถึงใจคนฟังบ้าง
“ในโลกนี้ไม่มีอะไรมืดมิดไปหมดหรอกนะครับ ยกเว้นว่าเราจะหลับตา”
“คุณจะพูดว่าคุณเป็นแสงสว่าง?” นพมัลลีดักคออย่างรู้ทัน เธอไม่รู้ว่าทำไมถึงได้ตอแยต่อปากต่อคำกับเขา “ฉันคงต้องหลับตา” เปลือกตาบางปิดลงพร้อมคำพูด
ปกติเวลาที่เธอปฏิเสธตุนท์ เธอไม่เคยรู้สึกวูบโหวงมาก่อน แต่ครั้งนี้นอกจากอาการโหวงไหวในอก เธอยังกลัว...กลัวว่าเขาจะไม่ทนเธอ
นี่เธอเป็นอะไร หญิงสาวขมวดคิ้ว ก่อนจะตกใจเมื่อจู่ๆ มือของเธอก็ถูกกุมไว้อย่างนุ่มนวลด้วยมือหนาที่กำลังแผ่ไออุ่นลามเลียมาถึงใจเธอ
“ถ้าคุณมองไม่เห็น ผมก็จะจับมือคุณเดินไปเอง ไม่ต้องมีดาว มีจันทร์ มีตะวัน มี...แค่ผม”
นพมัลลีลืมตาขึ้นสบกับประกายคมกล้าที่สะท้อนเธอในแววตาของเขา ความจริงจัง จริงใจที่ตุนท์มีมาพร้อมแรงบีบกระชับในมือทำให้เธอรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเอง คล้ายว่าร่างของเธอจะยืนต่อไปไม่ไหว ชาไปทั้งศีรษะ ตอนนี้ใครเอาค้อนปอนด์มาทุบหัวเธอก็คงไม่เจ็บ
ตุนท์ขมวดคิ้ว เริ่มเอะใจกับอาการนิ่งเป็นหุ่นยนต์ของนพมัลลี
“ครูลีครับ”
“อุ๊บ” มือบางยกขึ้นปิดปาก แล้ววิ่งจู๊ดด้วยความเร็วสูงสุดของตัวเองไปจองคอห่านในห้องน้ำ โก่งคออาเจียนด้วยอาการคลื่นไส้ เมื่อหลังของเธอรู้สึกอุ่นวาบ สัมผัสแผ่วเบาทะนุถนอมที่ลูบหลังขึ้นลงให้นั้นมีแต่จะไปกระตุ้นให้เธออาเจียน
“คุณเป็นอะไร”
นพมัลลีเบี่ยงตัวออกจากมือของตุนท์อย่างแสนเสียดาย หญิงสาวกัดริมฝีปากกลั้นอาการคลื่นเหียนที่แล่นริ้วขึ้นมาอีกครั้ง พักนี้สมองเธออาจยังมีเรื่องให้คิดไม่มากพอ ถึงยังเหลือพื้นที่เรื่องของตุนท์อีกหลายต่อหลายเรื่องให้เธอได้นึกในหลายช่วงเวลา
ตุนท์สะเทือนใจกับท่าทางหวาดระแวง และกระเถิบตัวถอยหนีของนพมัลลี หญิงสาวยกมือปิดปาก อุบอิบตอบด้วยใบหน้าแดงจัด
“ฉันคิดว่าฉันเป็นโรคแพ้ผู้ชาย”
“แพ้ผู้ชาย!”
คนรู้สาเหตุดีปิดปากเงียบ ได้แต่แสร้งทำท่าไร้หัวใจ ไม่แยแสตุนท์ ตอนเดินออกจากห้องน้ำหญิงสาวก็เบี่ยงตัว หาองศาที่ลงตัวที่สุดในการออกมาโดยไม่เฉียดผิวเนื้อผ้าของเขา
ไม่ใช่แค่ตุนท์ที่กำลังตกใจกับอาการประหลาดของหญิงสาว นพมัลลีเองก็เริ่มเสียใจ ที่เธอปิดฉากความสัมพันธ์ที่ยังไม่ได้เริ่มนี้ด้วยอดีตของตัวเอง
จนถึงวันนี้ เธอไม่เคยก้าวข้ามอดีตได้เลย!
“ครูลีไม่เป็นอะไรใช่ไหมคะ” นิลุบลส่งผ้าสะอาดที่หามาจากราวตากผ้าให้นพมัลลีซับหน้า เธออุตส่าห์คิดว่าเหตุการณ์เมื่อสิบนาทีก่อนจะเต็มไปด้วยความหวาน ชุ่มชื่นหัวใจ ไม่ยักรู้ว่าครูลีของเธอจะมาตกม้าตาย
ไอ้โรคแพ้ผู้ชายนี่มันมีในบัญญัติทางการแพทย์ด้วยเหรอ เธออยากรู้จริงๆ
_________________________________________
คุณ konhin นอกจากประเด็นคุณแม่ ตัวนพมัลลีเองก็จะเป็นอีกหนึ่งปัญหานะคะ แต่แม่จะมาป่วนชีวิตสองคนนี้ยังไงต้องรอกันไปค่า
คุณ OhLaLa อยากให้สังคมน่าอยู่เช่นกันค่ะ นิยายเรื่องนี้ค่อนข้างสะท้อนสังคมเล็กๆ (ไม่รู้คนอ่านรู้สึกไหม ฮา) ลียังต้องเจออะไรอีกเยอะค่ะ บทนี้คนเขียนทำร้ายตุนท์ไปหลายเลย
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มากดถูกใจนะคะ จะมาอัพอีกทีวันพุธดึก ไม่ก็พฤหัสเลยนะคะ ติชมกันได้ค่า ^_^
ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 24 ก.พ. 2558, 00:31:33 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 24 ก.พ. 2558, 00:46:49 น.
จำนวนการเข้าชม : 1486
<< บทที่ 5 : การเปลี่ยนแปลง | บทที่ 7 : ไม่ชอบความรู้สึกนี้! >> |
konhin 24 ก.พ. 2558, 11:06:15 น.
ยากนะ อคติในใจคน พอคิดว่าคนอื่นไม่ดีก็ยากจะเปลี่ยน ตอนนี้สงสารก็แต่ครูตุนท์ โดนแบบนี้เข้าไปอย่างอึ้ง
ยากนะ อคติในใจคน พอคิดว่าคนอื่นไม่ดีก็ยากจะเปลี่ยน ตอนนี้สงสารก็แต่ครูตุนท์ โดนแบบนี้เข้าไปอย่างอึ้ง
OhLaLa 24 ก.พ. 2558, 11:55:06 น.
อยากมีเงาที่ชื่อว่าตุนท์ ตุนท์จะทำยังไงกับโรคแพ้ผู้ชายของลีล่ะนี่ มันมีโรคนี้ด้วยหรอค่ะ คล้ายกับอาการแพ้ท้องใช่มั้ย เราว่ามีคนประเภทครูพี่เลี้ยงของลีเยอะนะคะ เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น
อยากมีเงาที่ชื่อว่าตุนท์ ตุนท์จะทำยังไงกับโรคแพ้ผู้ชายของลีล่ะนี่ มันมีโรคนี้ด้วยหรอค่ะ คล้ายกับอาการแพ้ท้องใช่มั้ย เราว่ามีคนประเภทครูพี่เลี้ยงของลีเยอะนะคะ เอาดีเข้าตัว เอาชั่วให้คนอื่น