บทเรียน (รัก) นอกตำรา
นพมัลลี นักศึกษาฝึกสอนที่จบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน

นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก

แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้

มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่

Tags: นพมัลลี ตุนท์ คมิก พิชญ์ปรีชา

ตอน: บทที่ 7 : ไม่ชอบความรู้สึกนี้!

บทที่ 7

“พวกเธอสองคนกำลังทำอะไรกันมิทราบ”

น้ำเสียงเย็นเยียบดังอยู่เบื้องหลังเด็กนักเรียนสองคนที่กำลังจูบกันอย่างดูดดื่มในห้องน้ำหญิงของโรงเรียน ในเวลาห้าโมงเย็นที่นักเรียนกลับบ้านกันไปเกือบหมดแล้ว นพมัลลีสูดหายใจลึก และนาน บังคับให้ตัวเองมีเหตุมีผล ไม่ใช้อารมณ์กับเรื่องที่บังเอิญพบเจอนี้

นยฎาผละจากแฟนหนุ่มอย่างเชื่องช้า สายตาหยามหยันยามเห็น ‘ครูลี’ ยืนอยู่ตรงกรอบประตูทางเข้าห้องน้ำ มือบางเสยผม ส่งเสียงเหอะ ไร้ท่าทีสำนึกผิด

“มันเป็นเรื่องธรรมชาติของชีวิตน่าครู”

“ไม่ใช่ที่นี่”

“ที่อื่นได้ใช่ไหมคะ” นยฎาไม่ยอมแพ้ง่ายๆ

หนุ่มฮอตประจำโรงเรียนก้มหน้าขอโทษนพมัลลี แล้วหันไปโบกมือลาแฟนสาว รีบวิ่งเร็วออกไป นยฎาแสดงสีหน้าไม่พอใจใส่นพมัลลี ไม่มีเลยที่เธอจะประทับใจในตัวของครูที่ปรึกษาคนนี้

“เธอคงลืมไปว่าตัวเองมีหน้าที่อะไรในโรงเรียนใช่ไหมคุณนยฎา ที่นี่ไม่ใช่โรงแรม กรุณาให้เกียรติสถานที่ด้วย”

“นังแก่ตายด้าน”

‘นังแก่ตายด้าน’ ยืนทำหน้าสงบ ทั้งที่มือกำเข้าหากันแน่นอย่างอดทน

“ชีวิตไม่ใช่จะใช้มันยังไงก็ได้ ก่อนที่คุณจะเสียใจ หัดมีความยับยั้งชั่งใจซะบ้าง”

นยฎาเบะปาก ไม่เชื่อถือ “พูดอย่างกับครูกำลังเสียใจ คนอย่างครูน่ะเหรอเคยทำผิดพลาด”

นพมัลลีชะงักงันไป ก่อนจะยิ้มขื่น เด็กพวกนี้คิดว่าเธอไม่เคยทำผิดทำพลาดหรือไง

“เธอไม่เคยได้ยินคำว่าผิดเป็นครูเหรอ สิ่งที่เคยเกิดขึ้นกับครู ครูไม่โทษว่ามันเป็นความโชคร้ายหรอกนะ แต่ครูโทษว่ามันเป็นความโง่ของครูเอง และครูไม่ต้องการเห็นนักเรียนของครูโง่เหมือนครู”

“ครูรู้ใช่ไหมว่าฉันกระจายข่าวเรื่องครูได้นะ”

ครูสาวไหวไหล่ ไม่ใส่ใจ ผายมือเชิญอย่างคนใจกว้างเต็มที่

“เธออยากทำอะไรก็ทำ ถ้ามันจะทำให้เธอรู้จักใช้ชีวิตที่รอบคอบ และระวังมากกว่านี้ อย่าคิดว่าเธอกินยาคุมแล้วจะปลอดภัย”

“นี่ครู!” นยฎาเดือดดาล ถึงเธอจะคิดว่าการระมัดระวังตัวแจของผู้หญิงเป็นเรื่องเสียโอกาส แต่เธอก็ไม่โง่เง่าขนาดปล่อยให้ตัวเองถลำลึกไปถึงขั้นนั้น

คนอย่างเธอยังมีพ่อแม่ให้นึกถึง และพวกท่านคงไม่ปลื้มใจนักหากเธอเอาชื่อวงศ์ตระกูลมาทำให้มัวหมองด้วยเรื่องแบบนี้

“เธอจะเกลียดครู ครูไม่ว่า แต่อย่าให้อารมณ์ใคร่ของเธอมาทำลายอนาคต เธอยังเป็นเด็กนักเรียน ยังมีโอกาสใช้ชีวิตสนุกๆ ได้อีก อย่าเพิ่งด่วนโตเร็วนักเลย เธออยากแก่แดดแก่ลมเร็วนักหรือไง”

นพมัลลีหันกายออกมาจากห้องน้ำ ได้ยินเสียงก่นด่าที่นยฎาพ่นออกมาแล้วได้แต่แสลงหู เธอไม่รู้ว่าจะฉุดรั้งนยฎาไว้ได้อีกนานแค่ไหน นยฎาไม่รู้หรอก ว่าถ้าวันใด ‘พลาด’ ขึ้นมา ชีวิตทั้งชีวิตจะไม่มีวันเข้ารูปเข้ารอยเหมือนเดิมตลอดกาล

และเธอไม่ต้องการให้นยฎาเป็น...เช่นเธอ



‘โรคแพ้ผู้ชาย’ ตุนท์นั่งคิดนอนคิดถึงเรื่องนี้ตั้งแต่เมื่อวานเย็นหลังเกิดเรื่องที่ทำให้เขารู้สึกสูญเสียความมั่นใจไปเป็นอย่างมาก เขากำลังแสดงออกถึงความรู้สึกดีๆ ให้บรรยากาศซาบซึ้ง แต่ทุกอย่างกลับมาสะดุดลง

ตุนท์พยายามทบทวนว่านพมัลลีรังเกียจเขาหรือเปล่า ตลอดวันนี้เขาจึงพยายามอยู่ห่างจากอีกฝ่ายมากขึ้น เวลาต้องทำหน้าที่ร่วมกันในฐานะครูที่ปรึกษาเขาก็แสดงท่าทางจริงจัง ไม่หยิบยกเรื่องเมื่อวานมากล่าวถึง นพมัลลีเองก็ไม่ได้แสดงออกถึงความอึดอัดแต่อย่างใด

เป็นเขาเองที่รู้สึกทนไม่ไหวจนต้องลุกขึ้นมาค้นหาว่าไอ้โรคแพ้ผู้ชายนี้มันมีอยู่จริงไหม แต่ค้นเท่าไหร่ก็ไม่พบสักที แล้วเขาก็นึกถึงเพื่อนที่เป็นหมออยู่ต่างประเทศขึ้นมาได้

บางทีดร.วิชาการทางด้านคณิตศาสตร์อย่างเขาก็จำต้องพึ่งผู้ถนัดสายอื่นด้วยเช่นกัน

ชายหนุ่มหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาต่อสายหาเพื่อนข้ามประเทศ เล่าถึงอาการของนพมัลลี และบอกถึงโรค ‘แพ้ผู้ชาย’ ตามที่หญิงสาวว่ามา น้ำเสียงของเขาคงจะวิตกเกินไป คำถามที่เพื่อนถามมาจึงทำให้ตุนท์คิดหาคำตอบไปพร้อมกัน

“ผู้หญิงคนนี้เป็นคนสำคัญของตุนท์ใช่ไหม”

“ฉันอยากช่วยเขาน่ะร็อบ”

“บางทีนะ เขาอาจจะเป็นโรคโฟเบีย”

หัวคิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน เขาพอเคยได้ยินมาเหมือนกัน “โรคกลัวน่ะเหรอ”

“ใช่ มันถือเป็นโรคทางจิตชนิดหนึ่ง นายเคยได้ยินไหมว่าคนบางคนชอบกลัวอะไรแปลกๆ กลัวความไม่เพอร์เฟ็กต์ กลัวที่แคบ กลัวที่สูง กลัวผู้ชาย กลัวความรัก”

ตุนท์คิดตามก็เห็นพ้อง นพมัลลีมีปมบางอย่างที่เจ้าตัวเก็บซ่อนในใจไม่เปิดเผยให้ใครรู้ หลายๆ ครั้งเวลาที่เห็นนักเรียนมีปัญหา คล้ายว่านพมัลลีจะนิ่งงันไปชั่วขณะหนึ่ง ราวกับเห็นภาพซ้อนทับ

“เกิดจากผลกระทบในอดีตใช่ไหม”

“บางคนก็กลัวอย่างไม่มีสาเหตุ ไม่รู้ตัว แต่กับบางราย ครอบครัว เรื่องที่เจอมาในอดีตก็ถือเป็นผลกระทบได้ ถ้าไม่ได้กลัวร้ายแรงนักก็ใช้ชีวิตได้ตามปกติ บางคนอย่างคนไข้รายหนึ่งที่ฉันเคยรักษา เขาเป็นคนชอบอยู่คนเดียว โลกส่วนตัวสูง และหวาดกลัวการไปในที่แจ้ง สาเหตุมาจากในวัยเด็กเขาเป็นคนขี้อาย ชอบถูกเพื่อนแกล้ง และทำให้อายในที่สาธารณะบ่อยๆ โตขึ้นมาเขาเลยอยากลบความกลัว ฉันไม่คาดคิดว่าเขาจะเลือกวิธีกลับไปแก้แค้นคนที่เคยทำให้เขาอับอายอย่างการเอามีดจ้วงแทงคนเหล่านั้น”

ตุนท์พรูลมหายใจอย่างโล่งอก อย่างน้อยๆ นพมัลลีก็ไม่แสดงอาการซ่อนจิตวิปลาส อยากคว้ามีดมาฆ่าใครเขา จิตใจของเธอยังขาวสะอาด และปรารถนาดีต่อนักเรียนเสมอ

“แล้วมีตัวอย่างที่ดีกว่านี้ไหม อาทิเช่น คนไข้ที่รักษาโรคนี้ได้หายขาด”

“ถ้าผู้หญิงคนนั้นไม่มีอาการอยากเอามีดฆ่าใครน่ะนะ ก็ไม่น่ากังวลนักหรอก อย่างมากเวลาเจอนายก็จะอาเจียน และขอให้นายอยู่ห่างใช่ไหม กับผู้ชายคนอื่นเขาก็ยังปกติดี?” ท้ายเสียงคุณหมอร็อบถามเสียงสูง

“ใช่”

“ถ้าอย่างนั้นฉันขอถามว่าปกตินายแสดงออกกับคุณผู้หญิงเขายังไง”

ดร.หนุ่มส่งเสียงเฮ้อ เชื่อว่าหากบอกไปว่าทำตัวเป็นเงาที่สองนพมัลลี จะต้องถูกต่อว่าแน่ๆ

“สรุปฉันจะแก้ไขเรื่องนี้ได้ไหม”

“ส่วนใหญ่โรคโฟเบียก็คล้ายกับเราะที่ป้องกันคนไข้ให้ไกลจากสิ่งที่กลัว วิธีแก้น่ะง่ายมาก คือการให้เขาเผชิญหน้ากับสิ่งที่กลัว ยอมรับมันให้ได้”

“ง่ายตรงไหน” ตุนท์บ่น

“บางรายใช้เวลาหลายปี ทุกอย่างอยู่ที่ตัวคนที่เป็น คนรอบข้างต้องใจเย็นๆ อดทน”

“ขอบคุณนายมากนะร็อบ” ตุนท์วางสายกับเพื่อน ดวงตาทอดมองไปยังนอกหน้าต่าง ที่ตรงนั้นมีร่างแสนคุ้นตากำลังก้มๆ เงยๆ อยู่ตรงแปลงดอกไม้หน้าบ้าน นพมัลลีส่งเสียงหัวเราะสดใสกับนิลุบลที่ย้ายมาอยู่ด้วยกันอย่างรื่นเริง

เขาไม่ควรปลุกหรือแตะต้องในสิ่งที่นพมัลลีพยายามหลีกหนีใช่ไหม

ตุนท์ดันบานหน้าต่างออกเพื่อจะได้มองเห็นนพมัลลีได้ชัดขึ้น คล้ายคนถูกจ้องจะรู้ตัว ครูสาวหันกลับมาเลิกคิ้วใส่เขา ก่อนจะโบกมือทักทายอย่างปกติ ตุนท์ยิ้มกลับไปทั้งที่ในใจรู้สึกถึงการเปลี่ยนแปลงของตัวเอง

เป็นเขาต่างหากที่ต้องยอมรับนพมัลลี และถ้าหากนพมัลลีใช้เวลาทั้งชีวิตก็ยังอาเจียนใส่หน้าเขา และขอให้เขาอยู่ห่างไปอีกก้าวหนึ่งล่ะ ตุนท์ยิ้มเศร้า พึมพำกับตัวเองให้แค่ตัวเขาได้ยิน

“ยังมองเห็นกันอยู่ตรงนี้ก็ดีแล้วล่ะ”

ไม่รู้ว่าทุกอย่างกลายเป็นความเคยชินของตุนท์ไปตั้งแต่เมื่อไหร่ เขาไม่เคยสนใจผู้หญิงคนไหนมาก่อน ถึงแม่จะพยายามหาคนที่คู่ควรในสายตาท่านมาให้เขาเลือกเสมอ แต่เขาก็แค่อยากได้ชีวิตธรรมดา ได้ทำงานร่วมกัน ทานข้าวพร้อมกัน และแก้ปัญหาไปด้วยกัน

เพียงแต่สำหรับนพมัลลี เขาคงไม่อยู่ในตัวเลือกที่หญิงสาวจะเลือกเขาไว้เคียงข้างกัน



ช่วงเวลาของกีฬาสีมาเยือน นพมัลลีมองนักเรียนกลุ่มใหญ่จากบนตึกเห็นนักเรียนซ้อมกีฬาหลายชนิดอย่างครึกครื้น และหนึ่งในนั้นคือร่างสูงของโค้ชกีฬาบาสเกตบอล ปกติตุนท์มักจะชอบแต่งตัวด้วยเสื้อเชิ้ตเนี้ยบอยู่เสมอ สวมเสื้อยืดแขนสั้น กับกางเกงวอร์ม คอห้อยนกหวีดคอยยืนสั่งให้ลูกทีมวิ่งชู้ตบาสอย่างเป็นจังหวะ

ตลอดเวลาที่ตุนท์มักดูแลกัน หญิงสาวกลับไม่เคยมองเห็นเขาได้ชัด แต่พอเขาก้าวถอยห่างออกไปตามที่เธอเคยร้องขอ เธอกลับเอาแต่เฝ้ามองหาเขา

สาวๆ ข้างสนามยกกล้องมาถ่าย บ้างส่งน้ำ ส่งขนมให้กับชายหนุ่มและนักบาสในทีมสีม่วงกันไม่ขาดสาย นพมัลลีหัวเราะเบาๆ กับผู้ชายที่ต้องรับทุกอย่างไว้เต็มสองมือ เพราะไม่รู้จะปฏิเสธอย่างไรดี

ต้องห่างจากตุนท์มากขนาดนี้ เธอจึงไม่เป็นอะไรใช่ไหม นพมัลลีสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะหิ้วหูกระป๋องสีเดินไปตามทางเดิน ตัดใจจากภาพมีชีวิตชีวาของตุนท์ เธอไม่เคยคิดดึงผู้ชายคนไหนเข้ามาในชีวิต โดยเฉพาะคนดีๆ อย่างตุนท์ เขาไม่ควรมาผจญกับปัญหาร้อยแปดในชีวิตของเธอ

เธอกลัวว่าเขาจะรับไม่ได้...

หูกระป๋องถูกมือดีแย่งไป เมื่อนพมัลลีตั้งใจประท้วง คมิกก็เลิกคิ้วพูดกลับมาด้วยสีหน้ายียวนก่อน “สีของผม จะให้ครูแบกภาระได้ยังไง” คมิกชูริบบิ้นสีเขียวที่ผูกอยู่ตรงข้อมือ กับเสื้อยืดกีฬาสีสีเดียวกันกับครูฝึกสอนสาว

“ทำไมไม่สวมเสื้อกีฬาสีล่ะ”

คนสวมเสื้อยืดลายมังกรไหลไหล่ “ผมไม่ชอบเหมือนใคร”

เมื่อเห็นว่าการสวมเสื้อต่างจากชาวบ้านไม่ใช่เรื่องร้านแรงระดับชาติ นพมัลลีจึงไม่คิดห้ามปรามหรือเตือน เด็กหนุ่มคงอยากโดดเด่นในหมู่คนที่แต่งตัวเหมือนๆ กัน

“พรุ่งนี้วันแข่งกีฬาสีใหญ่ของโรงเรียน ครูรู้ไหมว่าปกติที่โรงเรียนเราจะปิดประตูโรงเรียนไม่ให้คนนอกเข้า ไม่ให้คนในออก”

“ทุกโรงเรียนก็เป็น”

“แต่ปีนี้ผมได้ยินว่ามันไม่ธรรมดาน่ะสิครับ” คมิกยิ้มเจ้าเล่ห์ เดินนำครูไปยังคนละปีกตึก หยุดตรงระเบียงบันได ชี้ไปยังบริเวณหนึ่งตรงรั้วกำแพงสูง ตรงนั้นมีช่องว่างไร้ลวดหนาม ไร้เหล็กดัด ที่มีระยะความยาวไม่ถึงเมตรดี เมื่อปีนขึ้นไปได้ ก็กระโดดออกไปอย่างสะดวก

“ใครจะปีนเข้ามาโรงเรียนหรือไง”

“ไม่ใช่ปีนเข้า แต่เป็นปีนออกครับ” คมิกทำสุ้มเสียงตื่นเต้น “พรุ่งนี้บลินด์ไปท้ารบกับพวกต่างโรงเรียน เห็นว่าหลายโรงเรียนจะไปตีกันกลางเมือง”

“อะไรนะ!”

“น่าตื่นเต้นดีออกครู โรงเรียนเราปกติไม่เคยมีเรื่องกับใครมาก่อนด้วย”

นพมัลลีตาโตเท่าไข่ห่าน หัวใจจวนจะหยุดเต้น ในสมองด่าทอเด็กพวกนี้ที่ดีแต่สร้างปัญหา ก่อเรื่องไม่หยุดหย่อน ใช้อารมณ์ชั่ววูบเข้าห้ำหั่นกันท่าเดียว

ไม่รู้จักโต เธอก็พร้อมด่าผู้ใหญ่ที่ทะเลาะกันด้วยคำด่านี้เช่นกัน

“มีคนรู้เรื่องนี้เยอะไหม”

“ใครแพร่งพรายเรื่องนี้ พวกมันบอกว่ารอตายได้เลย”

“แล้วเธอ...” นพมัลลีจ้องหน้าคมิกด้วยความไม่เข้าใจ เหตุใดคมิกจึงนำเรื่องนี้มาบอกแก่เธอ เขาควรรู้ว่าเธอจะกระโดดเข้าห้ามศึกนี้โดยไม่คิดชีวิตเช่นกันสิ!

“โรงเรียนเราเป็นลูกคุณหนูกันนี่ครับครู จะไปสู้รบปรบมือกับใครเขาได้ สู้แข่งสมอง แข่งความสำเร็จ กันไม่ดีกว่าเหรอครับ สู้รบกันไป มีแต่เจ็บตัว ถ้ารุนแรงหน่อยก็ตาย ผมเสียดายชีวิต”

นพมัลลียิ้มเครียด เธอรู้สึกว่าตัวเองมองคมิกพลาดไปหลายอย่าง ถึงเด็กหนุ่มจะมองเรื่องพวกนี้น่าตื่นเต้น แต่ไม่ยอมกระโดดเข้าไปใจกลางปัญหา เอาตัวเองเข้าเสี่ยง ถือว่าคมิกฉลาดไม่น้อย

“ขอบคุณที่มาบอกครู”

“ถ้าผมมีปัญหา ผมเชื่อว่าครูก็จะช่วยผม”

“เธออยากให้ครูช่วยอะไรล่ะ”

คมิกเดินถือกระป๋องสีล่าถอยไป ยกมือโบกลาเพราะรู้ว่านพมัลลีต้องไปแก้ไขในเรื่องที่เขานำมาบอกเล่า

“ผมนึกออกเมื่อไหร่จะบอกนะครู”



นยฎาที่ซ้อมบาสหญิงอยู่ เห็นครูที่เธอแสนเกลียดขี้หน้าเดินลงมาจากตัวตึกจึงไม่ลังเลที่จะปาบาสอัดใส่หน้า โดยแกล้งทำทีเป็นลูกบาสหลุดมือ แต่โชคยังเข้าข้างนพมัลลี

“ระวังหน่อยคุณนยฎา” น้ำเสียงเย็น กับสายตาตำหนิของโค้ชสีม่วงที่พุ่งมารับลูกบาสไว้ทันก่อนที่ลูกจะพุ่งกระแทกหน้านพมัลลี ตุนท์รอจนแน่ใจว่านยฎากระฟัดกระเฟียดไปดูแลกัปตันทีมบาส แล้วเลิกสนใจนพมัลลีจึงหันกลับมาพิจารณาทางสายตาว่านพมัลลีไม่ได้รับผลกระทบใดๆ

“ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ”

“ดีแล้วล่ะครับ”

การแสดงออกว่าห่วงของตุนท์จุดประกายอุ่นในใจนพมัลลี เธอรู้สึกสบายใจทุกครั้งที่มีเขาอยู่ใกล้เสมอ ขนาดเคยอาเจียนใส่ เขายังไม่แสดงออกว่ารังเกียจเธอเลย

นพมัลลียิ้มหยันให้ตัวเอง ที่เผลอคิดอะไรนอกทางเกินจุดประสงค์ที่มาในคราวนี้ ปรับสีหน้าเป็นเคร่งเครียดจริงจัง เธอจำต้องขอให้เขาร่วมมือกับเธอด้วย

“ฉันมีเรื่องจะคุยกับคุณค่ะ เรื่องสำคัญ”

หญิงสาวเดินตามตุนท์เข้าไปในห้องทำงานที่ร้างครูบาอาจารย์เพราะส่วนใหญ่มุ่งไปดูแลกิจกรรมของเด็กนักเรียนกันหมด ตุนท์รับฟังสิ่งที่นพมัลลีรู้มาด้วยความเคร่งเครียด โดยเฉพาะเรื่องนั้นเกี่ยวพันกับลูกพี่ลูกน้องต่างวัยของเขา

“บลินด์!” ตุนท์กัดฟันคำรามชื่อญาติออกมาอย่างขุ่นเคือง คิดอยู่แล้วว่าบลินด์จะต้องก่อเรื่องหนักข้อขึ้นในสักวัน แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้

ตุนท์เคาะนิ้วกับโต๊ะ คิดหาทางขวางเหตุเด็กกัดกันกลางเมืองด้วยความเครียด เขารู้ว่าทุกอย่างต้องจัดการอย่างรอบคอบที่สุด เขาไม่เคยไว้ใจในความบ้าเลือดของวันลุ่ยพวกนี้เลย

นิ้วที่เคาะกับโต๊ะหยุดลง หน้าตาคิ้วผูกเป็นโบคลายปม ดวงตาหรี่ลง และเปล่งประกายหมายมาดออกมา

“ผมคิดออกแล้วครับ”

“อะไรคะ”

“ผมไม่อยากให้คุณมายุ่งกับเรื่องนี้ ผมจะจัดการเอง”

“นี่คุณ!”

ตุนท์ยกมือยันมือที่เตรียมมากระทบกายเขาไว้ สายตาของตุนท์มีความสับสน แต่ก็ยังมั่นคงอยู่มาก เมื่อเทียบกับสายตาร้าวรานของคนที่ถูกกันออกจากปัญหา ใบหน้าของนพมัลลีเผือดลงจากการถูกตุนท์ปฏิเสธใส่

มันเจ็บที่ใจดี!

“เพราะผมเป็นห่วงคุณ” ตุนท์พูดจบก็หันหลังจากไป ทิ้งให้นพมัลลีทรุดตัวลงนั่งกับเก้าอี้ของเขา ยกมือจับที่หัวใจที่กำลังสร้างความรู้สึกแปลกแปร่งออกมา

เธอไม่ชอบความรู้สึกนี้เลย


................................................


คุณ konhin ตุนท์เจอไปแบบนั้นถึงกับนอนไม่หลับค่ะ มารอดูว่าคู่นี้เขาจะก้าวผ่านไปได้ไหมนะคะ

คุณ OhLaLa โรคโฟเบียมีอยู่จริงนะคะ มนุษย์เราสามารถกลัวทุกสิ่งได้บนโลกนี้ แต่จะเกิดจากปมเก่าก่อนไรงี้ค่ะ ไปเรื่อยๆ เรื่องจะเคลียร์ปมลีแน่นอน แต่ต้องอดใจรอนิดนึงนะคะ ^^

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านค่า



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.พ. 2558, 19:13:17 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.พ. 2558, 19:13:17 น.

จำนวนการเข้าชม : 1292





<< บทที่ 6 : ลัทธินพมัลลี   บทที่ 8 : ช่วยบลินด์ >>
konhin 26 ก.พ. 2558, 23:44:07 น.
ความหวังดี บางทีก็ถูกมองเป็นความหวังร้ายอ่ะ สงสารครูจริงๆ


OhLaLa 2 มี.ค. 2558, 21:50:33 น.
ปวดหัวแทนครูลี ยิ่งมากคนก็มากความ ปัญหารอบด้านเลยที่นี้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account