เพลิงพญาล่ารัก (ปรับปรุง)

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 2

ตอน 2
ดวงตากลมโตกะพริบปริบๆริมฝีปากอ้าค้างไม่อยากเชื่อกับคำพูดที่ได้ยิน หัวสมองหมุนเร็วอย่างใคร่ครวญคำพูดที่ว่า ‘เธอเป็นเมียฉัน’ คำๆนี้ดังสะท้อนก้องไปมา “ไม่จริง” เสียงปฏิเสธแผ่วเบาก่อนจะดังขึ้นเพราะกรุ่นโกรธ “ฉันไม่เชื่อ นายบ้าสมองกลับหรือเปล่า ฉันไปเป็นเมียนายตั้งแต่เมื่อไร”

“ตั้งแต่เมื่อวาน เสียดายอย่างเดียวที่ไม่ได้เข้าหอ” เสียงห้วนเน้นย้ำให้เธอได้ยินชัดๆและไม่มีแววล้อเล่นแม้แต่น้อย แต่ยิ่งทำให้เธอยิ่งงง

“นายโกหกแน่ๆ หน้าตานายฉันก็ไม่เคยเห็น แล้วจะไปแต่งงานกับนายได้ยังไง คนที่แต่งงานกัน ต้องคุ้นเคยกัน ชอบพอกัน และที่สำคัญต้องรักกัน แต่ฉันไม่ได้มีความรู้สึกแบบนั้นกับนายสักนิด อย่ามาแต่รักเลยแค่ชอบก็ไม่มี แล้วฉันจะแต่งงานกับนายได้ยังไง นายฝันไปหรือเปล่า”

“ไม่ได้ฝัน แต่เป็นเรื่องจริง หรือต้องให้ย้ำด้วยการกระทำ”

สิ้นเสียงพูดร่างสูงก็ปรี่เข้าอุ้มร่างอรชรไปโยนลงบนที่นอนหนานุ่ม ก้มตัวลงแนบชิดพร้อมดึงผ้าคาดหน้าไว้ที่คอแล้วก้มหน้าลงซุกไซ้ไปทั่วใบหน้าก่อนจะเลื่อนลงมาที่ซอกคอหอมกรุ่น

“กรี๊ด”

หญิงสาวร้องออกมาด้วยความตกใจและดิ้นเต็มแรง ขณะที่สองมือทั้งผลักและทุบไหล่หนาอย่างไม่สนใจว่าจะโดนตรงส่วนไหน แต่แล้วเสียงกรี๊ดก็เงียบหายไป เมื่อเรียวปากอิ่มถูกปิดด้วยริมฝีปากเขา สองมือถูกรวบไว้เหนือหัวด้วยมือหนาเพียงมือเดียว อีกมือก็ลูบไปตามเรือนร่างอรชร

เธอพยายามดิ้นรนพลางสะบัดหน้าหนีให้หลุดพ้น แต่ไม่ว่าจะทำยังไงก็ไม่สามารถหลุดไปจากอ้อมแขนเขาได้ ได้แต่นอนตัวสั่นไปกับสัมผัสแปลกใหม่ที่เธอไม่เคยรู้จัก สัมผัสของผู้ชายที่บางครั้งก็อ่อนโยน บางครั้งก็ร้อนเหมือนไฟนาบ ผะผ่าวให้เธอวาบหวามไปทั้งตัว

ความแปลกใจในความไร้เดียงสาฉายชัดในดวงตาคม เพราะเธอไม่มีการยั่วยวนดั่งกาลเก่าแต่กระตุ้นอารมณ์เขาให้อยากจะแผดเผ่าเธอ จูบที่บดขยี้อย่างลงทัณฑ์จึงเผลออ่อนโยนและเรียกร้องให้ตอบสนอง หญิงสาวถึงกับหัวหมุนและเงอะๆงะๆตามเขาไป จนลมหายใจแทบขาดก็เบี่ยงหน้าออกมาหอบอากาศเข้าปอด ขณะมองหน้าคมอย่างสุดโกรธปนอายๆ แล้วผลักตัวเขาออก ดันตัวหนีไปซุกตัวอยู่ที่หัวเตียง

มีรอยหยันปรากฏขึ้นมาแทนความแปลกใจ พร้อมกับดึงผ้ามาคาดหน้าไว้เช่นเดิม แต่ลึกลงไปคือความพึงพอใจกับจูบเมื่อกี้ไม่น้อย แต่ความจริงที่รู้อยู่แก่ใจทำให้ต้องคิดว่าสิ่งที่เห็นและได้สัมผัสนั้นคือมารยาท ชายหนุ่มยันตัวลุกขึ้นนั่ง แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร ก็มีเสียงดังขึ้นข้างหลัง

“ป๊ะเพลิง” เสียงนมสุกนมสดดังประสานขึ้น พลางก้าวข้ามธรณีประตูเข้ามาหาร่างสูง เพื่อบอกเล่าถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่เพียงอ้าปาก เสียงก็หาย ตาก็เบิกค้าง เพราะนายหญิงที่คิดว่าตายแล้ว นั่งซุกตัวอยู่ที่หัวเตียง “นายหญิง”

สองเสียงดังประสานพร้อมกันอีกครั้ง แล้วกระวีกระวาดเข้าไปหาหญิงสาว ดึงร่างอรชรมากอดไว้อย่างดีใจและไม่อยากจะเชื่อว่านายหญิงที่ตายไปแล้วจะฟื้นขึ้นมา แล้วดันตัวออกมาตวัดสายตามองไปทั่วตัวเธอทั้งที่ไม่อยากจะเชื่อ แต่เนื้อตัวอุ่นๆที่จับต้องอยู่ตอกย้ำความจริงให้ยินดีปรีดายิ่งนัก

“นายหญิง นายหญิงฟื้นแล้วจริงๆ"

“แม่คุณเอ่ย ขวัญเอ่ยขวัญมา”
แม่นมทั้งสองคนผลัดกันบอก ขณะที่น้ำตาก็เอ่อคลอขึ้นอย่างไม่อาจกลั้นความดีใจไว้ได้ ฝ่ามือลูบเรียวแขนกลมกลึงจนสุดแขนก็จับมือนุ่มบีบเบาๆให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป หญิงสาวที่นั่งอยู่ก็ได้แต่งงและสบตาหญิงชราทั้งคู่ที่มองเธออยู่ แล้วดึงตัวเธอไปกอดอีกครั้ง

“นายหญิงนายหญิงของนมโธ่! แม่คุณ มีบุญจริงๆ” เสียงแหบปร่าของนมสุกบอกพลางร่ำไห้ออกมา ขณะที่สองแขนอวบๆก็รัดตัวหญิงสาวไว้แน่น

“คุณพระคุณเจ้าคุ้มครองจริงๆ ที่ฟื้นขึ้นมา” นมสดว่าพลางยกขึ้นท่วมหัว ก่อนจะดึงตัวหญิงสาวไปกอดบ้าง
แม่นมทั้งสองคนมัวแต่ดีใจ โดยไม่ได้สังเกตว่านายหญิงที่กอดอยู่นั้นนั่งตัวแข็งทื่อ ไม่อือไม่อออะไรด้วยเลย แถมแววตาก็เต็มไปด้วยความสับสน เหมือนคนไม่รู้จักใครเลย มิหนำซ้ำเมื่อกี้ก็โดนจูบให้ใจระส่ำอีกต่างหาก คิดมาถึงตรงนี้ ก็แอบมองร่างสูงที่นั่งกอดอกมองอยู่ที่ปลายเตียง สายตาทั้งคู่ประสานกัน ก่อนที่เธอจะก้มหลบเพราะสายตาเขาทำให้ใจเธอสั่นหวิวและร้อนผ่าวไปทั้งตัว

“นายหญิง เป็นยังไงบ้างคะ” นมสดถามพร้อมกับดันตัวออกมามองนายหญิงที่นั่งนิ่ง ไม่พูดไม่ตอบอะไรออกมาเลย “ปวดหัวหรือเจ็บตรงไหนบ้างหรือเปล่า”

“นั่นนะซิ” นมสุกเอ่ยตามออกมาพลางยกมือขึ้นแตะที่ซอกคอ แก้ม และหน้าผากหญิงสาว ซึ่งก็ยังพูดไม่ออก เพราะไม่รู้จะพูดว่าไง “หรือว่านายหญิงยังไม่หายดีนางสด” เสียงนมสุกหวั่นออกมา แล้วรีบบอกนมสดว่า “เอ็งรีบไปบอกใครให้ไปตามคุณหมอให้มาดูอาการนายหญิงเดี๋ยวนี้ และไปจุดธูปหน้าพระ บอกเจ้าที่เจ้าทาง คุณพระคุณเจ้าที่ช่วยปกปักษ์รักษานายหญิงตามที่บนไว้ด้วยนะ”

“เออใช่ ดูซิมัวแต่ดีใจจนลืมเลย” นมสดว่าแล้วยกมือเช็ดน้ำตาที่อาบอยู่ที่แก้มพลางถอยลงมาจากเตียง เดินเร็วๆออกไปจากห้องทันที

นมสุกที่นั่งจับมือนุ่มอยู่ ก็ได้แต่ปลอบหญิงสาว “นายหญิงทำใจดีๆไว้นะคะ เดี๋ยวคุณหมอก็มาแล้ว” พูดจบก็ยิ้มให้ ก่อนจะหันไปมองชายหนุ่มที่นั่งอยู่ปลายเตียง “ป๊ะเพลิงทำยังไงนายหญิงถึงฟื้นขึ้นมา”

“ไม่ได้ทำอะไร”

“ไม่ได้ทำอะไร” นมสุกทวนเสียงสูงอย่างงงๆ “แต่พอป๊ะเพลิงเข้ามาปุ๊บ นายหญิงก็ฟื้นปั๊บ มันยังไงอยู่น่า แต่ช่างเถอะ นายหญิงฟื้นขึ้นมาก็ดีแล้ว บุญของนายหญิงจริงๆ ที่ฟื้นขึ้นมา ดีใจไหมป๊ะเพลิง” นมสุกถามโดยไม่สนใจคำตอบ เพราะมั่วแต่ดีใจจนไม่รู้ว่าหญิงสาวที่นั่งอยู่ใกล้ๆเกร็งตัวจนจะแข็งอยู่แล้ว

“ไม่เห็นจะดีใจสักนิด เสียใจนะซิไม่ว่า ตื่นขึ้นมาก็ถูกขี้ตู่ให้เป็นเมียใครก็ไม่รู้”
เสียงงึมงำดังออกมาจากริมฝีปากของหญิงสาว นมสุกที่ได้ยินมองใบหน้างามอย่างแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรมาก ผิดกับอีกคนที่ได้ยินชัดเหมือนกัน คิ้วเข้มขมวดเข้าหากัน ขณะที่ดวงตาก็มีรอยครุ่นคิด เพราะเธอดูแปลกไปเหมือนไม่ใช่ผู้หญิงที่เขารู้จัก

เพลิงขยับตัวลงมายืนอยู่ข้างเตียง ก่อนจะเดินไปยืนใกล้ร่างอรชร ที่เบียดตัวเข้าหานมสุกอย่างหาที่พึ่ง แต่ดูเหมือนจะช่วยอะไรไม่ได้ เมื่อนมสุกขยับตัวลงจากเตียงไปยืนอยู่ห่างๆ เพื่อให้คนเป็นนายได้ดูแลนายหญิง หญิงสาวจึงรีบขยับตัวหนี แต่ถูกมือหนาจับแขนไว้เสียก่อน ก่อนจะนั่งลงบนขอบเตียง รั้งร่างอรชรมาชิดตัว มองใบหน้างามที่ดูจะหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย ก็ก้มหน้าลงกระซิบบอกว่า

“เธอเสียใจ แต่ฉันดีใจ และถ้าหายดีเมื่อไร คงจะดีใจมากกว่านี้”

หญิงสาวมองนัยน์ตาคมกริบอย่างไม่ค่อยเข้าใจคำพูดเขา แล้วแก้มก็ร้อนผ่าวเมื่อเขากระซิบบอกต่อว่า “เพราะหมดเวลาเมียในนามแล้ว” จบคำพูดจมูกโด่งๆ ก็กดลงบนแก้มเนียนอย่างรวดเร็ว แล้วปล่อยมือ ยืดตัวขึ้นเดินห่างออกไปจากเตียง แต่ต้องหยุดชะงักแค่ประตูห้องเมื่อเสียงนมสุกถามขึ้นเสียก่อน

“ป๊ะเพลิงจะไปไหน ไม่อยู่รอคุณหมอมาตรวจนายหญิงก่อนเหรอ”

“หน้าแดงแก้มแดง แถมปากเก่งอย่างนั้น แสดงว่าหายแล้ว ฝากด้วยแล้วกัน ฉันมีเรื่องต้องไปจัดการ”

พูดจบร่างสูงก็เดินออกจากห้องไปเหมือนไม่สนใจ แต่จริงๆแล้วเขายังคาใจอยู่มาก แรกที่ได้รับสัญลักษณ์เขาก็เฉยชาเพราะเย็นชากับเธอมานานแล้ว พอมาถึงเรือนแม่นมทั้งสองคนบอกว่าเธอตายไปแล้ว เขาก็ยิ่งเฉย แต่พอเปิดประตูเข้ามาดู เธอกลับยังไม่ตาย ใครโกหก? ใครเล่นตลกกับเขา เพลิงถามตัวเอง และตอบตัวเองได้ในเวลารวดเร็วเช่นกันว่า

‘ไม่มี’ เพราะสองนมและหมอเป็นคนที่อยู่กับเขามานาน ไม่มีทางโกหกเขาเด็ดขาด แล้วมันเกิดอะไรขึ้น แถมเธอก็ดูแปลกไปเหมือนจำอะไรไม่ได้ ทำไม? คำถามที่เขาตอบไม่ได้ แต่คงไม่ยากจะหาคำตอบจากหมอ

หญิงสาวนั่งมองร่างสูงจนหายไปจากสายตา แต่ใจยังเต้นโครมครามกับการกระทำของเขา ก่อนจะข่มใจที่หวั่นไหวให้นิ่งสงบ ยกมือขึ้นเช็ดแก้มตัวเอง พลางต่อว่าเขาอยู่ในใจต่างๆนาๆ เพราะความหมายที่เขาพูดทิ้งไว้ให้นั้นมันน่าโมโห

‘หมดเวลาเมียในนาม’

‘หมายความว่ายังไง’

เธอถามตัวเอง แต่ยังไม่ทันได้ครุ่นคิดหาคำตอบ หญิงชราอีกคนก็พาผู้ชายวัยกลางคนเข้ามา คงเป็นคุณหมออย่างที่ได้ยินเมื่อกี้ ขณะที่นมสุกก็ยิ้มแป้นและรีบหลีกทางให้คุณหมอมาตรวจหญิงสาว แต่คุณหมอยังยืนอึ้งอยู่ เพราะไม่อยากจะเชื่อว่านายหญิงที่หมดลมหายใจไปแล้วจะฟื้นขึ้นมา ถ้าไม่เห็นกับตา แล้วมีคนไปเล่าให้ฟัง เขาไม่เชื่อเด็ดขาด เห็นทีต้องรีบกลับไปทบทวนวิชาความรู้ที่ได้เรียนมาใหม่ ว่าทำไมคนที่ตายไปแล้วถึงฟันขึ้นมา หรือว่าปฏิหาริย์มีจริง!

คุณหมอยกมือขึ้นขยับแว่นเพื่อมองให้ชัดอีกครั้ง แล้วเดินไปนั่งข้างหญิงสาว บอกให้เธอนอนลง ซึ่งก็มองอย่างไม่ค่อยไว้ใจ แต่เห็นหญิงชราสองคนอยู่ด้วยก็อุ่นใจ จึงเอนตัวลงนอน คุณหมอก็หยิบเครื่องมือมาตรวจสภาพร่างกายของเธออย่างละเอียดอีกครั้ง ผลที่ได้รับทุกอย่างปรกติเหมือนเธอไม่เคยผ่านวินาทีความตายมาก่อน มันเกิดขึ้นได้ยังไง?

คุณหมอทั้งงงทั้งแปลกใจ แม้จะเคยได้ยินมาบ้างที่คนตายแล้วสามารถฟื้นขึ้นมาได้อีก แต่เขาก็ไม่เคยเจอกับตัว พึ่งจะเจอครั้งนี้เป็นครั้งแรก และสรุปกับตัวเองว่าคงเป็นสภาวะร่างกายของเธอที่อาจจะช็อกไป แล้วได้รับแรงกระตุ้นบางอย่างจนทำให้ฟื้นขึ้นมาได้ หรือว่า... คุณหมอหวนคิดถึงคำพูดของนมสดที่บอกก่อนจะเข้ามาในห้องนี้

‘พอป๊ะเพลิงเข้าไปในห้อง ไม่นานก็ได้ยินเสียงนายหญิงร้อง ก็เลยเข้ามาดู แล้วก็อย่างที่เห็น นายหญิงฟื้นขึ้นมาอยู่ในอ้อมแขนของป๊ะเพลิง

“คุณหมอคะ” เสียงหวานที่ดังขึ้นทำให้หมอต้องปัดเรื่องที่คิดคำนึงอยู่ออกไป แล้วยิ้มให้หญิงสาวอย่างปราณี ก่อนจะถามออกมา

“มีอะไรครับ”

“คือ” เสียงเธอไม่ค่อยมั่นใจ ก่อนจะบอกว่า “ฉันเป็นอะไรคะ ทำไมต้องตรวจด้วย”

คุณหมอนิ่งไปก่อนจะปรายตาไปมองนมสุกกับนมสด เพราะคำถามของนายหญิงนั้นเหมือนไม่รู้อะไรมาก่อน จึงบอกว่า “ไม่ได้เป็นอะไรหรอกครับ หมอแค่ตรวจร่างกายให้นายหญิงตามปรกติ และผลที่ออกมาก็ไม่ได้เป็นอะไร” พูดจบคุณหมอก็เก็บอุปกรณ์ใส่กระเป๋า

หญิงสาวมองอย่างไม่เชื่อ แต่ไม่รู้จะถามหมอยังไง เพราะเธอก็ไม่ได้รู้สึกเจ็บปวดตรงไหนเหมือนกัน “แล้วที่นี่ที่ไหน ทำไมฉันรู้สึกว่าจำอะไรไม่ได้เลย หรือว่าที่หมอมาตรวจเพราะว่าอาการเหล่านี้”

คุณหมอขมวดคิ้วอย่างแปลกใจ มือดันแว่นตาขึ้นสูงและอดไม่ได้ที่จะหันไปมองแม่นมทั้งสองคนอีกครั้ง ซึ่งทั้งสองคนก็ได้แต่ทำหน้าแปลกใจไม่ต่างจากคุณหมอ แล้วขยับตัวมานั่งที่ขอบเตียงพลางมองนายหญิงที่ยังดูงงๆ ก็หันไปมองหน้าคุณหมอที่พูดออกมาว่า


“หมอว่านายหญิงนอนพักก่อนดีกว่า บางทีทุกอย่างอาจจะดีขึ้น ไม่ต้องกังวลไปหรอกครับ ไม่มีอะไรจริงๆ ร่างกายนายหญิงแข็งแรงดี”

“นั่นนะซิ นมว่านายหญิงนอนพักเถอะ เดี๋ยวนมจะออกไปส่งคุณหมอ”

ทั้งสามคนขยับตัวลุกจากเตียง แต่ยังไม่ทันก้าวไปไหน เสียงหวานก็ถามขึ้นอีกครั้ง “แล้วที่นี่ที่ไหนคะ” ทั้งสามคนปรายตามองหน้ากัน แล้วนมสดก็เป็นคนบอกว่า

“หุบเขาพญา”

สิ้นคำตอบ ทั้งสามคนก็เดินออกจากห้องไป ส่วนหญิงสาวได้แต่คิดว่าหุบเขาพญาคือที่ไหน อยู่ที่ไหนของแผ่นดินที่เธออยู่ แล้วทำไมไม่รู้สึกคุ้นเคยหรือได้ยินมาก่อน ก็จะลุกขึ้นตามไปถามทั้งสามคนให้รู้เรื่อง แต่ประตูห้องที่ปิดลงนั้น บอกเธอว่าคงไม่ได้คำตอบมากกว่าที่บอกมาแล้ว จึงได้แต่ถอนหายใจแล้วล้มตัวลงนอน เพราะความเพลีย

ส่วนแม่นมทั้งสองคนหลังจากคุณหมอลงบันไดไปแล้ว ก็เดินกลับมานั่งบนแคร่ที่วางอยู่บนชานเรือน แต่สายตามองไปยังห้องที่นายหญิงนอนอยู่แล้วหันกลับมามองหน้ากันเมื่อรู้สึกว่ามีปัญหาบางอย่างเกิดขึ้น ก่อนหน้านี้ระหว่างยืนส่งคุณหมอก็ได้ถามถึงอาการแปลกๆของนายหญิง ที่มีท่าทางเหมือนคนที่จำอะไรไม่ได้ ซึ่งคุณหมอก็ยังหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้เหมือนกันนอกจากเหตุผลที่บอกไปก่อนหน้านี้แล้ว ก็บอกให้รอเวลา บางทีความทรงจำอาจจะกลับคืนมา

‘แล้วถ้าไม่กลับคืนมา’

นั่นคือสิ่งที่แม่นมทั้งสองคนหนักใจอยู่ แล้วพากันถอนหายใจออกมาเพราะความกังวล โดยไม่เห็นว่าหลังต้นไม้ใหญ่ข้างเรือน มีคนแอบมองอยู่ ดวงตานั้นวาบวับไปด้วยความอาฆาต สองมือกำแน่นแล้วทุบลงบนต้นไม้ ก่อนจะถอยห่างหมุนตัวเดินลัดเลาะไปตามซอกหินพร้อมเสียงที่ดังก้องอยู่ในใจ

‘วันนี้ไม่ตาย แต่วันหน้าก็ต้องตาย’
********
บนฟ้ากว้างพญาอินทรีกางปีกบินร่อนอยู่เหนือลม สายตามองลงมายังเบื้องล่าง ท่ามกลางต้นไม้สูงใหญ่และก้อนหินที่สลับซับซ้อน ม้าสีดำตัวใหญ่เยาะย่างไปตามเส้นทางที่นายแห่งหุบเขาบังคับให้วิ่งไป ไม่นานก็มาหยุดยืนบนหน้าผาสูง ซึ่งมีคนนั่งอยู่บนหลังม้ารออยู่แล้ว ดวงตาที่โผล่พ้นผ้าปิดหน้าสบตากัน ก่อนจะมีเสียงทรงพลังดังขึ้น

“จัดการเรียบร้อยหรือเปล่า”

“เรียบร้อย แต่พวกมันปิดปากเงียบไม่ยอมพูดอะไรออกมา” เสียงตอบทรงพลังไม่ต่างกัน แต่แฝงความนบนอบคนถาม ซึ่งมีรอยเหยียดหยันผุดขึ้นในแววตา

“ตอนนี้พวกมันอยู่ไหน”

“ลานทมิฬ”

นัยน์ตาคมฉายความพอใจ แล้วทั้งคู่ก็บังคับม้าให้ควบลงมาจากหน้าผาสูงตรงไปยังลานทมิฬ ที่ๆมีไว้สำเร็จโทษพวกล้ำเส้นเข้ามาในหุบเขาพญา ซึ่งเป็นเหมือนคุกขนาดใหญ่ มีที่คุมขัง มีเรือนพัก มีหินล้อมเป็นรั้วเป็นแนวบอกอาณาเขต ตรงทางเข้าออกมีชายหน้าเหี้ยมสองคนยืนเป็นยักษ์ปักหลั่นกรองคนเข้าออก ที่สำคัญมีผู้คุมกฎที่น่ากลัวและหัวหน้าคุกที่โหดไม่แพ้นายแห่งหุบเขา

ดวงอาทิตย์ส่งคลื่นความร้อนไปทุกย่อมหญ้า พวกที่ถูกจับขึงมัดมือมัดเท้าโยงไว้กับเสาหิน ทุกข์ทรมานอย่างแสนสาหัส เพราะถูกลอกคราบให้เหลือแค่ตัวล่อนจ้อน จึงถูกความร้อนแผดเผาให้ทรมาน ผิวเริ่มแดงเพราะแสงอาทิตย์แผดเผาไปเกือบทั้งตัว ริมฝีปากแตก ลำคอแห้งผากเพราะขาดน้ำ แต่ดวงตาของพวกมันยังฉายความเด็ดเดี่ยว และไม่ใช่แค่นั้นยังมีบาดแผลจากการต่อสู้ให้เจ็บปวดด้วย

นายแห่งหุบเขาพร้อมผู้ติดตามเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้าทันทีที่มาถึง ทั้งคู่เดินมายังลานกว้าง หยุดยืนอยู่เหนือหัวพวกมัน ซึ่งเหลือกตาขึ้นมา ความสูงใหญ่ที่เห็นดูไม่น่ากลัวเท่ากับสายตาที่มองลงมา ผู้คุมกฎสี่คนซึ่งปิดหน้าเหลือแต่ดวงตา ยืนล้อมพวกมันอยู่เดินมาหานายแห่งหุบเขา แล้วหนึ่งในสี่ก็รายงานให้ฟัง

“ยังไม่มีใครสารภาพออกมาครับป๊ะเพลิง ว่าเข้ามาในเขตหุบเขาพญาทำไม และต้องการอะไร”

“มันไม่รู้ หรือไม่ตอบ”

“มันรู้ แต่ไม่ตอบมากกว่า”

“งั้นก็ไม่ต้องเสียน้ำลาย ไปเอาสิ่งที่มันต้องการมา”

สิ้นเสียงคำสั่ง หนึ่งในผู้คุมกฎก็เคลื่อนไหวไปอย่างเงียบกริบ ไม่นานก็ถือถังใส่สิ่งที่ต้องการมาวางให้ตรงหน้า เพลิงไม่สนใจของ เขาสนใจพวกมันที่เหลือกตามองด้วยความอยากรู้ แววเหี้ยมปรากฏออกมาให้น่าสะพรึงกลัว แต่พวกมันยังไม่รู้เพราะไม่รู้ว่าตอนนี้กำลังอยู่ต่อหน้าใคร

“ฉันมีทางง่ายๆให้พวกแกเลือกอยากเห็นมันก่อนตายหรืออยากตายก่อนเห็น”
หน้าของพวกมันซีดลงทันที เพราะคิดแล้วไม่ว่าจะเลือกทางไหนผลสรุปก็คือความตาย จึงยังคงปิดปากเงียบ เพลิงจึงเลือกให้เอง เขาหันไปมองคนที่ตามมาตั้งแต่หน้าผา ซึ่งก็ไม่ใช่ใคร หินหรือศิลา ผู้เป็นทั้งเพื่อนทั้งหัวหน้าคุกทมิฬนั้นเอง หินสบตาที่มองมาอย่างรู้ใจ แล้วเดินมาหยิบถังราดลงบนตัวพวกมัน ซึ่งพอได้เห็นถึงกับตกตลึง

“น้ำมันดิบ”

เสียงพวกมันดังออกมาเกือบพร้อมกัน เพราะประจักษ์กับตาแล้วว่าคำร่ำลือนั้นเป็นจริง ในหุบเขาพญามีน้ำมันอยู่จริง แต่ทำไมหลายคนที่เข้ามาค้นหาถึงไม่พบ แม้แต่พวกเดนสังคมที่มีฝีมือระดับเซียนลักลอบเข้ามาครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ไม่เคยเจอ มีเพียงข่าวที่เล่าลือเล่าอ้างไปต่างๆนาๆ ว่าคนที่เข้ามาส่วนใหญ่ไม่หายสาบสูญก็เสียชีวิต เพราะนายแห่งหุบเขาพญาที่มีนามว่าป๊ะเพลิงนั้นโหดเหี้ยมและดุร้ายมาก ถ้าไม่อยากตายก็อย่าข้ามเขตเหยียบเข้ามาในหุบเขาแห่งนี้เด็ดขาด แต่ความโลภ และกิเลสที่มีอยู่ในตัวคน ยอมเสี่ยงชีวิตรับเงินจากพวกนายทุนมาขุดหา ไม่เว้นแม้แต่พวกมัน

“สิ่งที่พวกแกอยากได้ มันหอมมากมั๊ย” เสียงห้าวเหี้ยมของเพลิงดังขึ้น แต่ไม่มีใครตอบเหมือนเดิม “งั้นฉันมีอีกทางให้เลือกถ้ายังอยากมีชีวิตออกไปจากที่นี่ ก็พูดออกมาว่าพวกแกทำงานให้ใคร”

“ไม่มี”

ในที่สุดก็มีเสียงตอบมา เพลิงยิ้มที่มุมปากแล้วยกหน้าที่ให้หิน ซึ่งโยนถังน้ำสีดำออกไปแล้วทรุดตัวลงนั่งบนส้นเท้าข้างพวกมัน ยิ้มราวเพชฌฆาตให้ที่ถือดาบก่อนประหารให้ แล้วดีดนิ้วส่งสัญญาณเพียงครั้งเดียว หนึ่งในผู้คุมกฎก็ไปเอาคบเพลิงติดไฟมาส่งให้ถึงมือ เปลวไฟที่พลิ้วไหวไปตามลมทำให้พวกมันตาเหลือก เพราะตัวที่เต็มไปด้วยน้ำมันนั้นเป็นเชื้อเพลิงอย่างดี

หนึ่งในพวกที่ถูกมัดอยู่จึงเริ่มละล่ำละลักคายความลับออกมาเพราะไม่อยากถูกย่างสด “พะ พูด พูดแล้ว ยะอย่าทำอะไรเราเลย ท่าน ท่านนายพลจ้างเรามา”

“นายพลอะไร”

“มะ ไม่รู้ รู้แค่นี้”

“แล้วตำแหน่งที่ขุดพวกมึงขุดกัน ได้มาจากไหน”

“คนที่มาจ้างบอก แต่ แต่พวกเราไม่เห็นหน้ามัน เพราะมันปิดหน้าไว้เหมือนทุกคนที่ยืนอยู่ และพอมันชี้เสร็จก็หายตัวไป”
สิ้นเสียงพูดของมัน ทุกคนก็นิ่งเงียบ แต่นายแห่งหุบเขาคิดไปถึงข่าวได้มาจากพญาอินทรี กระดาษแผ่นเล็กที่คาบมาให้บอกให้ระวังหนอนนั้นช่างประจวบเหมาะกับคำพูดของมันนัก จึงไม่มีอะไรที่จะต้องถามพวกมันอีก นอกจากเขาต้องไปหาให้ได้ว่าใครมันเป็นหนอน

“ปล่อยคนพูดไป” เพลิงบอกแค่นั้นแล้วเดินออกไปจากลานทมิฬ ทิ้งให้ผู้คุมกฎกับหัวหน้าคุกเป็นผู้พิพากษาชีวิตของไอ้เดนคนที่เหลือ ซึ่งก็รีบละล่ำละลักขอชีวิตออกมา

“ไว้ชีวิตพวกเราเถอะนาย เราสัญญาเราไม่ทำอีกแล้ว”

“ใช่ เราจะลืมที่นี่ ลืมให้หมด สาบานว่าจะไม่บอกใคร”

“นะนายนะ ไว้ที่ชีวิตพวกเราเถอะ”

“สายไปแล้ว”

เสียงที่ดังขึ้นทำให้หัวใจของพวกมันแทบจะหยุดเต้น แล้วดิ้นรนเพื่อให้หลุดพ้นจากมัจจุราชที่ใกล้เข้ามาทุกขณะ แต่ก็เหนื่อยเปล่า เพราะไม่มีทางที่เชือกจะขาดออกจากกันถ้าไม่มีคนตัดให้ จากความกลัวจึงกลายเป็นความแค้น เสียงก่นด่าสาปแช่งจึงดังออกมา

“ไอ้พวกชั่ว พวกเลว ปล่อยนะโว้ย ปล่อยกู”

“กูจะแช่งให้พวกมึงตายโหงตายห่า ไม่ต่างจากพวกกู กูสาบาน ไอ้... อ้าก! อ้าก!”

เสียงพูดของมันกลายเป็นเสียงร้อง เพราะตีนผู้คุมกฎกระทืบลงบนปากให้เงียบ ก่อนจะก้มหน้าลงแสยะยิ้มให้และบอกมันว่า “ถ้าพวกมึงไม่ชั่ว ไม่เลว รู้จักพอ ไม่อยากได้อยากมีจนบุกรุกเข้ามาในที่ๆของคนอื่น กูก็คงไม่ชั่วไม่เลวไปด้วย แต่เพราะพวกมึงมันยิ่งกว่าชั่วกว่าเลว เขาให้ชีวิตมาให้ทำความดี กลับมาทำเรื่องชั่วช้า ฉะนั้นก็ต้องตายโหงตายห่า และกูก็สาบานว่าจะทำให้พวกมึงลงไปชดใช้ในนรกแน่นอน”

พูดจบก็ดึงตีนออก แล้วปรายตาไปมองหัวหน้าคุก ซึ่งมีสายตาสมเพชพวกมันที่ตอนมีโอกาสกลับไม่คว้า พอเห็นโลงศพมาวางตรงหน้าก็รักตัวกลัวตายกันขึ้นมา ช่างน่าสงสาร คิดแล้วหินก็เหยียดริมฝีปากออกหยัน พลางมองคบเพลิงในมือที่กำลังจะจบชีวิตพวกมัน แล้วจดจ่อลงมาให้พวกมันได้ทรมานพร้อมกับบอกว่า

“กฎของหุบเขาพญาต้องเป็นไปตามคำสั่งของป๊ะเพลิง พวกมึงไม่มีสิทธิมาต่อรอง เมื่อกล้าที่จะทำชั่ว ก็ต้องยอมรับผลชั่วที่ตามมา กี่คนแล้วที่เข้ามาหาความร่ำรวยจากหุบเขาพญา สุดท้ายก็ไม่ได้สิ่งที่ต้องการ แม้แต่ชีวิตที่เหลืออยู่ก็ไร้ซึ่งความสุข เพราะกฎที่ต้องชดใช้นั้นมีมานานหลายปี ถึงไม่ตาย ก็ต้องอยู่ที่นี่ ที่คุกทมิฬที่ไร้ซึ่งอิสรภาพ พวกมึงก็รู้ แต่ยังอยากเป็นแมงเม่าบินเข้ามาหากองไฟ ก็ถูกไฟครอบตายไปเถอะ”

“แล้วไอ้คนสำนึก”

“ปล่อยมันไป”

หนึ่งในผู้คุมกฎทำตามคำสั่งทันที แก้มัดไอ้คนสำนึกลากตัวออกไปจากคุกทมิฬแล้วหินก็ยืดตัวขึ้น โยนคบเพลิงให้ผู้คุมกฎใช้จัดการกับพวกมัน ซึ่งไม่มีอะไรที่จะต้องสั่งสอนอีกแล้วนอกจาก “พรึบ อ้าก อ้าก”
**********
กลุ่มควันสีดำสัญลักษณ์ของการจากไปของพวกโลภลอยขึ้นเหนือยอดไม้ สะท้อนเข้านัยน์ตาป๊ะเพลิงที่ยืนอยู่บนหน้าผาสูง พลางคิดถึงความเป็นมาของหุบเขา ที่พวกคนโลภอยากเข้ามาครอบครอง... เมื่อก่อนหุบเขาพญาเป็นเพียงหมู่บ้านที่ซ่อนตัวอยู่ในป่า ล้อมรอบด้วยภูเขาที่สลับซับซ้อน มีบรรพบุรุษของเขาเป็นหัวหน้า ดูแลทุกคนที่นี่ให้อยู่กันอย่างสงบสุข อยู่กันอย่างพี่อย่างน้องเหมือนคนในครอบครัวเดียวกัน ทำมาหากินปลูกผัก ขุดดินหาแร่เลี้ยงตัวเองไปตามประสา แม่ของเขาเป็นลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้าน โดยมีแม่ของหินเป็นเพื่อนรัก

แล้ววันหนึ่งก็มีกลุ่มคนสามคน เป็นนักท่องเที่ยวมาพบหมู่บ้านนี้เข้า ทั้งสามชื่นชอบทุกอย่างที่นี่ ที่เต็มไปด้วยธรรมชาติ ที่สำคัญหนึ่งในสามที่เป็นชาวต่างชาติ เกิดถูกตาต้องใจลูกสาวของหัวหน้าหมู่บ้าน ทั้งคู่ดูใจกันไม่นาน เขาก็ได้ขอเธอแต่งงาน ซึ่งเธอก็ตกลงเพราะใจที่ชื่นชอบเขาเหมือนกัน การแต่งงานเริ่มขึ้นโดยที่ไม่มีใครรู้เบื้องหลังของเขา นอกจากหน้าตาดี มีความคิด ลักษณะท่าทางตลอดจนบุคลิกนั้นโดดเด่นกว่าคนอื่นๆ และขยันไม่น้อย ตลอดเวลาที่อยู่ที่หุบเขา มักจะออกไปสำรวจทุกที่ แล้วกลับมาคิดว่าจะทำอะไรยังไง จนวันหนึ่งเขาก็เปิดเผยทุกอย่างให้คนรักได้รู้

ชีคอิมาอัลล์ บิล บิลาเราะห์ คือชื่อเต็มของเขา เป็นเจ้าของบ่อน้ำมันขนาดใหญ่ ในดินแดนทะเลทรายที่ตั้งอยู่ในประเทศที่ร่ำรวยมากๆ และยังมีธุรกิจโรงแรมและอื่นๆอีกมากมาย และที่ชอบมาท่องเที่ยวจนกระทั่งเจอที่นี่นั้น ก็เพื่อหาลู่ทางขยายธุรกิจของตัวเอง แต่นั้นไม่น่าตกใจเท่ากับสิ่งสุดท้ายที่เขาบอกว่า มีภรรยาอยู่แล้วถึงสามคนตามประเพณีที่สืบทอดกันมา เธอตกใจและหวั่นไปต่างๆนาๆว่าภรรยาทั้งสามคนของเขาจะไม่พอใจ และอาจจะมาต่อว่าเธอถึงที่นี่ แต่เขารับรองว่าทุกคนเป็นคนดี และจะไม่มายุ่งด้วยเด็ดขาด แรกนั้นเธอก็ไม่เชื่อ แต่เมื่อเวลาผ่านไป ทุกอย่างก็เป็นไปตามที่เขาพูด ทั้งคู่อยู่กันอย่างมีความสุข หลังจากนั้นไม่นานเพื่อนรักของเธอก็แต่งงานกับผู้ชายในหุบเขาเหมือนกัน

จากนั้นอีกสองปีทั้งคู่ก็มีลูกชาย ซึ่งก็คือเขา ระหว่างนั้นพ่อก็จะไปมาระหว่างเมืองของพ่อกับที่นี่ ซึ่งพ่อก็ทำหน้าที่สามีและพ่อได้ดี แต่ไม่นานหุบเขาพญาที่เคยสงบสุขต้องลุกเป็นไฟ เพราะพวกคนชั่วเริ่มมาเห็นความอุดมสมบูรณ์ของหุบเขาพญา จึงที่ใช้อิทธิพลบุกรุกเข้ามาทำลายที่นี่ เพื่อต้องการเป็นเจ้าของ แต่ทุกคนในหุบเขาไม่ยอมโดยเฉพาะหัวหน้าของหุบเขาซึ่งเป็นตาของเขา ต้องการรักษาแผ่นดินที่มีมาตั้งแต่บรรพบุรุษเอาไว้ให้ลูกหลาน จึงต่อสู้จนตัวตายแม้แต่พ่อของหินก็ตายไปด้วย
ขณะที่เกิดเรื่องพ่อของเขาไม่อยู่ ท่านเดินทางกลับไปยังทะเลทราย แม่ของเขาหาทางส่งข่าวให้ท่านทราบ โดยให้พญานกอินทรีคาบข่าวไปบอก ทุกคนในหุบเขาโดนจับเป็นเชลย และถูกให้ทำงานเยี่ยงทาส ถ้าใครขัดขืนไม่ทำก็จะโดนฆ่า แม่บอกให้ทุกคนยอมพวกมันไปก่อนเพื่อรักษาชีวิตไว้ ผ่านไปสามวันพ่อเขาก็กลับมาพร้อมคนของพ่อ มาช่วยทุกคนไว้ได้ และฆ่าไอ้คนที่มันทำร้ายเมีย ทำร้ายลูก ทำร้ายทุกคนในหุบเขาพญา

หลังจากเหตุการณ์เลวร้ายผ่านพ้นไป ทุกคนในหุบเขาต่างก็ยกให้พ่อเป็นผู้ปกครองหุบเขา และเรียกพ่อว่าป๊ะ ตามศาสนาที่พ่อนับถือ ป๊ะที่แปลว่าพ่อ มันเป็นคำเรียกที่ยกย่องเพื่อให้ทุกคนรู้ว่า พ่อคือเจ้าแห่งหุบเขาพญา พ่อไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากให้ทุกคนอยู่กันอย่างปกติ แต่พ่อได้ทำที่นี่ให้เป็นฐานส่งน้ำมันดิบอย่างลับๆ แต่ถึงจะเป็นความลับก็ยังมีไอ้พวกโลภมากอยากได้บุกรุกเข้ามาบ่อยๆ แต่ไม่เคยมีใครได้อะไรไป เพราะคนของพ่อพวกนักล่าทะเลทราย ดูแลที่นี่ได้อย่างดีเยี่ยม พวกเขาโหดเหี้ยมและไม่เคยไว้ชีวิตคนที่บุกรุกเข้ามา จนทำให้ใครๆก็กลัว ไม่กล้าเข้ามาที่นี่ และสร้างคุกทมิฬขึ้นมาเพื่อเป็นคุกสำหรับจัดการกับคนเลวๆ

พอเขาสิบขวบพ่อก็ส่งเขาให้ไปไปเรียนและใช้ชีวิตอยู่ในดินแดนทะเลทรายโดยมีหินถูกส่งไปเป็นเพื่อนด้วย แม้ไม่อยากจะจากแม่ไป แต่ด้วยเหตุผลของแม่ที่บอกว่า ต้องการให้เขาดูแลรักษาหุบเขาพญาไว้เหมือนที่บรรพบุรุษได้รักษาไว้จนตัวตายมาแล้วนั่นเอง

เขาถูกพ่อและพวกนักล่าทะเลทรายฝึกอย่างหนัก เรียนรู้ทุกอย่างๆลูกทะเลทราย ถ้าพ่อกลับมาหุบเขาพญา พวกนักล่าก็จะดูแลเขาแทน จนเขาแกร่งและเก่งสมใจพ่อ ก็ได้กลับมาที่หุบเขาพญา มาอยู่กับแม่และพ่อก็จะไปๆมาๆเหมือนเดิม

จนวันหนึ่งพ่อก็บอกเขาว่าเขาโตพอที่จะปกครองที่นี่ได้แล้ว เพราะที่ผ่านมาเขาได้พิสูจน์ให้ทุกคนเห็นว่าเขาสามารถที่จะดูแลทุกคนที่นี่ได้ พ่อก็เลยประกาศสละตำแหน่งแล้วยกให้เขาเป็นป๊ะของทุกคนแทน และให้หินที่พิสูจน์ตัวเองเคียงบ่าเคียงไหล่เขามาตลอดขึ้นเป็นหัวหน้าคุกทมิฬ หลังจากนั้นไม่นาน ภรรยาทั้งสามคนของพ่อได้เสียชีวิตลงจากเหตุการณ์เครื่องบินตก พ่อก็เลยกลับมารับแม่ไปอยู่ที่ทะเลทรายด้วยกัน และแม่ของหินก็ตามไปด้วย

เสียงฟ้าที่ร้องมาไกลๆ หยุดความคิดของเพลิงไว้แค่นั้น แล้วมองเมฆสีดำที่รวมตัวเป็นกลุ่มก้อนคล้อยต่ำลงบอกให้รู้ว่าอีกไม่นานสายฝนก็จะมาโปรยลงมา เขาถอนหายใจออกมาแล้วหมุนตัวจะเดินไปหาเจ้าพยัคฆ์ม้าของเขา แต่ม้าของหินกลับเดินเหยาะย่างมาหาให้เขายืนรออยู่ก่อน

หินเหวี่ยงตัวเองจากหลังม้า แล้วเดินมายืนเคียงข้างนายแห่งหุบเขา รายงานสิ่งที่ทำให้รู้ว่าเรียบร้อย การเผาหลอกให้พวกมันหวาดกลัวยังใช้ได้ผลอยู่ ตอนนี้ก็ถูกโยนเข้าคุกไปเรียบร้อยแล้ว จบรายงานความเป็นนายกับลูกน้องก็หายไป เหลือแค่เพื่อนกันเท่านั้น

“เกิดอะไรขึ้นที่เรือนเชิงผา”

“ไม้ประดับไม่ได้ดับไปอย่างใบไม้สีน้ำตาลที่ร่วงลงมาจากต้น”

“แล้วเธอเป็นอะไร”

“ไม่รู้ ยังไม่ได้คุยกับหมอ แต่กำลังสงสัยว่าใครเล่นตลกหรือเป็นเรื่องจริง คนตายแล้วฟื้นมันจะเป็นไปได้ยังไง”

“ความเหนือธรรมชาติ”

“แต่ฉันคิดว่าไม่ใช่ นายก็รู้จักเธอดี ฉะนั้นเรื่องที่เกิดขึ้น ก็คงเป็นแค่มารยาเท่านั้น” ว่าแล้วเพลิงก็ยิ้มเยาะออกมา

“ถ้าเป็นอย่างที่คิดแล้วนายจะทำยังไง”

เพลิงไม่มีคำตอบให้ แต่แววตาเขานิ่งลึกอย่างน่ากลัว แล้วเดินไปหาเจ้าพยัคฆ์ เหวี่ยงตัวขึ้นนั่งบนหลังมัน บังคับให้เหยาะย่างลงจากหน้าผา หินมองตามไปพลางเดินไปที่ม้าของตัวเอง แล้วขึ้นนั่งบนหลังมันควบตามนายแห่งหุบเขาไป ทิ้งสายฟ้าที่พาดผ่านเมฆสีดำให้คำรามตามหลังไป
********
เสียงฟ้าร้องทำให้ร่างอรชรที่หลับสนิทอยู่บนเตียง ลืมตาตื่นขึ้นมาอีกครั้ง สมองว่างเปล่าความทรงจำใดๆไม่มีให้หวนคิดถึง ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร มาจากไหน พ่อแม่พี่น้องชื่ออะไร แล้วเธอมาอยู่ที่นี่ได้ยังไง ก็ไม่อาจรู้ได้ทั้งนั้น ไม่ว่าจะพยายามคิดกี่ครั้ง ก็จำอะไรไม่ได้เหมือนเดิม

ความทรงจำที่มีอยู่คือตอนที่ลืมตาขึ้นมาในห้องนี้ครั้งแรก และได้รู้เพิ่มขึ้นมาว่าที่นี่คือหุบเขาพญา แต่อยู่ที่ไหนเธอก็ไม่รู้ และคนสี่คนที่เธอได้พบ ก็ไม่มีความรู้สึกคุ้นเคยหรือว่ารู้จักเลย โดยเฉพาะเขาคนนั้นที่บอกว่าเธอเป็นเมียเขา ก็จำเขาไม่ได้เหมือนกัน แต่นั้นไม่ร้ายเท่ากับการกระทำของเขา เธอหันไปมองกระจกที่แตกละเอียด ซึ่งโดนเก็บกวาดไปหมดแล้ว แล้วยกมือขึ้นจับแก้มตัวเองเพราะไปคิดถึงเรื่องที่เขาจูบเธอ จนร้อนผ่าวไปทั้งหน้า

“คนบ้า”

เธอพึมพำออกมา แล้วสลัดความคิดคำนึงทิ้งไป กลับมาคิดถึงเรื่องเดิม แต่ทุกอย่างก็สับสน เพราะทุกอย่างว่างเปล่า แม้แต่ชื่อตัวเองเธอก็จำไม่ได้ นี่คือสิ่งที่เจ็บปวดที่สุด น้ำตาเอ่อขึ้นมาคลอเบ้าก่อนจะไหลรินลงมาสู่แก้ม แล้วปล่อยให้ไหลอยู่อย่างนั้น กระทั่งมีบางอย่างผุดขึ้นมา

‘ความจำเสื่อม’
หญิงสาวลุกขึ้นนั่งทันที สองมือยกมือปาดน้ำตาพลางยิ้มอย่างดีใจ แต่เพียงเดี๋ยวเดียวก็หายไป เมื่อมีเหตุผลมาแย้ง ว่าถ้าเธอความจำเสื่อม เธอก็ต้องมีความคุ้นเคยกับสถานที่หรือคนบ้าง ไม่ใช่จำอะไรไม่ได้เลยแบบนี้ สีหน้ากลับมาทุกข์ตรมเหมือนเดิมก่อนจะปลอบใจตัวเองออกมา

“ไม่เป็นไร เดี๋ยวถามคุณยายที่น่ารักสองคนนั้นก็ได้” สรุปกับตัวเองแล้ว เธอก็จะลุกขึ้นจากเตียง แต่ต้องชะงักอยู่แค่นั้น เมื่อมีคนเปิดประตูเข้ามา ซึ่งก็ไม่ใช่ใครหญิงชราสองคนนั่นเอง คนหนึ่งประคองถาดเข้ามา อีกคนที่ตามมาก็ปิดประตู ก่อนจะเดินมาที่เธอนั่งอยู่

นมสุกวางถาดข้าวต้มไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง แล้วขึ้นมานั่งบนเตียงข้างเธอ ส่วนนมสดเดินไปนั่งอีกด้าน ทั้งสองคนจับมือเธอไปกุมไว้ด้วยความรู้สึกสงสาร พลางมองใบหน้างามที่ยังมีคราบน้ำตาติดอยู่ นมสดแอบสบตากับนมสุกแล้วยิ้มให้ก่อนจะถามถึงสิ่งที่หนักใจอยู่

“จำอะไรได้บ้างหรือยังคะนายหญิง”

น้ำตาเอ่อขึ้นมากลบตาอีกครั้งเมื่อเจอคำถามแทงใจ แต่ก็พยายามกลั้นไว้ แล้วส่ายหน้าให้รู้ก่อนจะบอกว่า “ยังค่ะ ทุกอย่างมันว่างเปล่า แม้แต่ชื่อตัวเองหนูก็จำไม่ได้”

ความหนักใจเพิ่มพูนขึ้นในอกแม่นมทั้งสองคน พลางบีบมือนุ่มให้กำลังใจ แล้วบอกว่า “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ นายหญิงเพิ่งฟื้นขึ้นมาคงยังเบลอๆ”

“ใช่” นมสดเห็นด้วยกับนมสุก “จำไม่ได้ก็จำใหม่ นมชื่อนมสดแล้วคนนี้ที่สวยน้อยกว่าชื่อนมสุก” พูดจบนมสดก็หัวเราะออกมาเบาๆ ขณะที่นมสุกก็มองค้อน ก่อนจะบอกว่า

“นมสองคนเป็นคนดูแลเรือนหลังนี้ ดูแลป๊ะเพลิงและดูแลนายหญิงด้วย”

หญิงสาวยกมือขึ้นไหว้ขอบคุณพร้อมกับยิ้มหวานให้ ทั้งสองนมยกมือขึ้นรับไหว้แทบไม่ทัน เพราะไม่คิดว่าหญิงสาวจะทำ แถมยังลดมือมาจับมือของทั้งคู่ของทั้งสองคนไว้ด้วย “หนูเป็นเด็ก นมทั้งสองไม่ต้องรับไหว้ก็ได้นี่จ๊ะ”

แม่นมทั้งสองคนได้แต่แปลกใจ กับกริยาที่เปลี่ยนไปในทางที่น่ารักของเธอ

“แล้วหนูชื่อว่าอะไรคะ”

“พิมพ์ลดา” นมสดเป็นคนบอกทั้งๆที่ยังอึ้งๆอยู่

“พิมพ์ลดา” หญิงสาวทวนชื่อที่ได้ยินพร้อมครุ่นคิดว่าคุ้นเคยกับชื่อนี้หรือไม่ แต่ก็เหมือนเดิมเธอไม่รู้สึกคุ้นเคยเลย แต่ก็ท่องไว้ในใจว่าเธอชื่อ...พิมพ์ลดา

“ใช่แล้วค่ะ นายหญิงชื่อพิมพ์ลดา ป๊ะเพลิงเป็นคนพานายหญิงมาที่นี่เมื่อเดือนก่อน แล้วบอกกับนมว่าให้ดูแลนายหญิงให้ดี เพราะนายหญิงเป็นคนรักของป๊ะเพลิง

“คนรัก”

หญิงสาวอุทานเสียงดังหน้าตาตื่นตกใจ พลางคิดถึงคำพูดเขาที่บอกว่าเธอเป็นเมีย แต่ทำไมเธอนึกภาพของคนรักกัน จนแต่งงานกันไม่ออก และหน้าเขาเธอก็ยังไม่เคยเห็น เห็นแต่ดวงตาคมกริบที่นิ่งลึก ไม่มีแววเสน่หา หรือความห่วงใยอย่างที่คนรักกันมีให้เลย เธอยังจำตอนที่เจอเขาได้ ดวงตาที่เขามองเธอมีแต่ความว่างเปล่าและเจือด้วยความโกรธ แถมเจอหน้ากันครั้งแรก เขาก็...

พิมพ์ลดายกมือขึ้นแตะริมฝีปากตัวเอง ใบหน้าเริ่มร้อนผ่าวขึ้นมาอีกครั้ง เมื่อนึกถึงความอุกอาจของเขาที่ลวนลามเธอ แต่เสียงของนมสุกที่ดังขึ้นก็เรียกสติเธอกลับมา

“เป็นอะไรคะนายหญิง”

“เปล่า เปล่าค่ะ” เธอรีบปฏิเสธแล้วถามต่อ “แล้วป๊ะเพลิง เขาเป็นใครคะ”

“ป๊ะเพลิงเป็นเจ้าของที่นี่ เป็นนายแห่งหุบเขาพญา” นมสุกบอกแล้วเล่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นกับเธอให้ฟัง “เมื่อวานซืนเป็นวันแต่งงานของนายหญิงกับป๊ะเพลิง แต่เมื่อคืนนายหญิงนอนอยู่ในห้องหอคนเดียวเพราะป๊ะเพลิงมีงานต้องทำ พอเช้าขึ้นมา นมสองคนก็มาหานายหญิงเพื่อดูแลตามปกติ แต่เรียกยังไงนายหญิงก็ไม่เปิดประตูห้องให้สักที นมก็เลยตัดสินใจเปิดประตูเข้ามา ก็พบว่านายหญิงนอนนิ่ง ไม่รู้สึกตัวอยู่บนเตียง เส้นชีวิตก็แผ่วเหลือเกิน นมเลยให้นมสดไปตามหมอมา แต่พอหมอมาถึงนายหญิงก็จากนมไปแล้ว”

“จากไปแล้ว หมายความว่าไงคะ หรือหมายถึงความตาย”

“ใช่ค่ะ นายหญิงไม่หายใจ เรียกเท่าไร ทำยังไง ก็ไม่ฟื้น” เสียงนมสุกสั่นเครือด้วยความสะเทือนใจ

“แล้วหนูฟื้นขึ้นมาได้ยังไง”

“นมก็ไม่รู้หรอก หมอมาตรวจก็บอกให้นมทำใจ แต่พอป๊ะเพลิงกลับมา นายหญิงก็ฟื้นขึ้นมา นมว่าคงเป็นเพราะบุญกุศลที่เกื้อหนุนกันมา เป็นเนื้อคู่กันจึงไม่พรากจากกัน”
พิมพ์ลดาหน้างอลงนิดหนึ่ง แต่ยังยิ้มให้กับสองนม “งั้นที่หนูจำอะไรไม่ได้ อาจจะเป็นเพราะตายไปแล้วฟื้นขึ้นมาใหม่ก็ได้”

“นมก็คิดอย่างนั้นเหมือนกัน ไว้ให้คุณหมอมาตรวจอาการนายหญิงอีกครั้งก็แล้วกัน ระหว่างนี้ถ้านายหญิงอยากรู้อะไรก็ถามนมได้ นมจะบอกทุกอย่าง เท่าที่จะบอกได้”

พิมพ์ลดายิ้มอย่างไม่แน่ใจว่าจะถามอะไรอีก เพราะทุกอย่างยังมืดแปดด้านสำหรับเธอ “ถ้างั้นหนูเรียกแทนตัวว่าพิมพ์นะคะ และตอนนี้ก็แข็งแรงมากรับรองว่าจะอยู่ให้สองนมเลี้ยงให้เบื่อไปเลย” เสียงหวานดังอ้อนแม่นมทั้งสองคน ซึ่งก็ได้แต่ยิ้มอย่างเอ็นดู

“ขอให้จริงเถอะค่ะ มีนายหญิงที่สวยน่ารักอย่างนี้ นมไม่เบื่อหรอก จะอยู่จนกว่าจะได้เลี้ยงลูกๆ ของนายหญิงกับป๊ะเพลิงด้วย” นมสุกพูดขึ้นแล้วนมสดก็สำทับต่อทันที

“ใช่แล้วนายหญิง นมจะอยู่รอเลี้ยง นายหญิงรีบมีเร็วๆล่ะ”

พิมพ์ลดาอึ้งไปกับคำพูดของสองนม รอยยิ้มที่สดใสเจื่อนเลือนเกือบหายไป แต่หน้าแดงให้สองนมคิดไปว่าเธออาย ทั้งๆที่ไม่ได้อายแต่รู้สึกหวั่นใจมากกว่า

“เดี๋ยวป๊ะเพลิงกลับมา นายหญิงก็ทานข้าวกับป๊ะเพลิง นมจัดมาให้แล้ว วันนี้ทานในห้องนอนไปก่อน อย่าเพิ่งไปทานข้างนอกเลย เดี๋ยวโดนลมจะไม่สบายอีก”

เพียงได้ยินว่าต้องทานข้าวกับป๊ะเพลิง พิมพ์ลดาก็ลุกขึ้นยืนทันที “พิมพ์ไม่เป็นไรแล้วค่ะ ไม่หิวด้วย อยากจะออกไปเดินเล่นข้างนอกมากกว่า นมพาพิมพ์ไปหน่อยนะคะ”

“ไม่ได้ ไม่ได้ นายหญิงไปไม่ได้ อย่าดื้อ อยู่รอทานข้าวกับป๊ะเพลิงนะดีแล้ว แนะ เสียงเคาะไม้ดังขึ้นหน้าเรือนแสดงว่าป๊ะเพลิงกลับมาแล้ว”

สองนมรีบลุกขึ้นจะเดินไปที่ประตู พิมพ์ลดาก็ลุกมาจับแขนอวบๆไว้ คล้ายยื้อให้อยู่กับเธอ อย่าทิ้งเธอไป และส่งสายตาอ้อนวอนให้นมสดทีนมสุกที แต่คงไม่ทันแล้ว เพราะเสียงประตูห้องถูกเลื่อนออก แล้วร่างสูงใหญ่ ใบหน้าปิดคาดไว้ด้วยผ้าสีดำ ก็เดินเข้ามายืนอยู่กลางห้อง สายตาคมกริบมองมายังร่างอรชรที่ยืนเบียดอยู่กับร่างอวบๆของแม่นม

นมสดตบหลังมือนุ่มพลางยิ้มให้อย่างปลอบใจ ก่อนจะหันไปพยักหน้ากับนมสุก แล้วพากันเดินออกไปจากห้องเพื่อให้ป๊ะเพลิงได้อยู่กับหญิงสาว พิมพ์ลดาอยากจะยื้อสองคนไว้ แต่สายตาที่จับจ้องมองอยู่ทำให้ไม่กล้าพูด ได้แต่ถอยไปนั่งที่เตียง แต่เพียงเดี๋ยวเดียวเสียงห้วนห้าวก็ดังขึ้น
“ทำหน้าที่เมียหน่อย”

หญิงสาวนิ่งเฉยทำหูทวนลมไม่สนใจคำพูดเขา แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเพราะแขนกลมกลึงถูกดึงขึ้น จนตัวเธอปลิวมาปะทะกับอกแกร่ง สองแขนแข็งแรงก็กอดเอวเธอไว้แน่น นัยน์ตาคมมองใบหน้าที่ฉายความตกใจ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นไม่พอใจ

“ปล่อย” เธอบอกพร้อมกับดันตัวเขาออก แต่กลับถูกกอดแน่นขึ้นและตอกกลับมาให้เธอเริ่มโกรธ

“หาอะไรมาแล้วแลกเปลี่ยน แล้วฉันจะปล่อย”

“หาอะไร ฉันไม่มีจะให้”

“แน่ใจหรือว่าไม่มี แล้วที่มีทำไมไม่ให้”

พิมพ์ลดานิ่วหน้าด้วยความงง ก่อนจะถามออกมา “นายหมายถึงอะไร”

“กินอยู่กับปากอยากอยู่กับท้อง ยังจะบอกว่าไม่รู้อีกเหรอ แต่ไม่เป็นไร เพราะมันถูกตอบแทบอย่างสาสมแล้ว”

คำพูดของเขายิ่งทำให้เธองงมากขึ้น แล้วเลิกสนใจเพราะคิดไปก็เท่านั้น และดิ้นเพื่อให้หลุดจากอ้อมแขนที่รัดแน่นอยู่เสียที “ปล่อยซิ” เธอบอกพร้อมผลักดันเต็มแรงแต่ก็เหมือนเดิม เพราะแรงเธอหรือจะสู้แรงเขาได้ จึงต้องจำยอมอยู่ในอ้อมแขนเขาต่อไป แต่หน้านั้นบอกอารมณ์กำลังขุ่นมัวขึ้นสุดๆ

“ทำหน้าที่เมียที่ฉันบอกก่อนแล้วจะปล่อย”

“ไม่ทำ เพราะฉันไม่ได้เป็นเมียนาย”

“อยากให้ฉันพิสูจน์เหรอ”

“พิสูจน์อะไร” เธอถามแล้วลมหายใจก็หยุดไปชั่วขณะ เพราะเขาก้มหน้าลงมาจนริมฝีปากชิดเรียวปากเธอ แม้จะมีผ้าสีดำกั้นไว้แต่เธอก็ยังรู้สึกร้อนผ่าวไปทั้งหน้า แล้วเบี่ยงหน้าหนีหาอากาศ แต่ไม่อาจพ้นเพราะเขาตามติดพร้อมเสียงที่คุกคามออกมา

“จะทำหรือเปล่า”

เธออยากบอกว่าไม่ทำ แต่เสียงเมื่อกี้บอกให้เธอระวัง มิหนำซ้ำลมหายใจอุ่นๆที่รินรดอยู่ ก็ช่างอันตรายนัก แต่ใช่ว่าจะกลัว ใบหน้างามเชิดขึ้นอย่างถือดี “จะให้ทำอะไร” เธอถามแต่เขาไม่บอกนอกจากเหยียดเยาะออกมา

“ยอมแล้วเหรอ งั้นจำไว้อีกอย่างว่าหน้าที่ของเมียที่ดี คือการเอาใจผัว ไม่ใช่เถียงคำไม่ตกฟาก และถ้าจะให้ดีต้องกราบฉันก่อนนอนด้วย”

“บ้า ฉันไม่ทำ ฉันไม่ได้เป็นทาสอย่างสมัยโบราณ ที่จะต้องทำตามคำสั่งนาย”

“แต่เมียก็เหมือนทาส เมื่อฉันสั่ง เธอก็ต้องทำ”

“ฉันจะทำเมื่อฉันเต็มใจเท่านั้น และนายก็จำคำพูดที่บอกว่าฉันเป็นเมียนายไว้ให้ดี เพราะฉันจะไม่ยอมเป็นเมียที่เดินตามหลังนายต้อยๆ เหมือนช้างเท้าหลังเด็ดขาด ถ้าจะเดินก็ต้องเดินไปพร้อมกัน”

“แล้วเธอจะทำอะไรให้ฉันเดินไปพร้อมเธอ”

พิมพ์ลดาอึ้งไป เพราะจำอะไรไม่ได้ ในหัวสมองจึงไม่มีความคิดอะไรเลย เพลิงที่รอฟังอยู่จึงยิ้มเยาะออกมา แล้วปล่อยตัวเธอ พลางกวาดตามองพร้อมบอกว่า “ผู้หญิงที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่ออย่างเธอ เดินลอยชายไปลอยชายมา หาอะไรดีไม่ได้สักอย่างนอกจากความสวย คงทำทุกอย่างไปพร้อมกับฉันได้เพียงอย่างเดียวเท่านั้น ก็คือการมีเซ็ก”

พิมพ์ลดาเงื้อมือขึ้นฟาดใบหน้าคมอย่างสุดโกรธ ที่แสนจะดูถูกและหยาบคายกับเธอ แต่กลับไม่ระคายผิวเขา เมื่อเพลิงยกมือขึ้นรับและบีบไว้แน่น

“จำไว้นะพิมพ์ลดา ว่ายังมีเรื่องอีกเยอะที่เธอต้องเรียนรู้”

“แต่ที่ฉันรู้ก็คือ ฉันไม่ได้รักนาย”
**********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 ก.พ. 2558, 16:25:24 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 ก.พ. 2558, 16:25:24 น.

จำนวนการเข้าชม : 2790





<< ตอน 1   ตอน 3 >>
แว่นใส 25 ก.พ. 2558, 20:40:38 น.
เดี๋ยวได้เจอดีหรอก


Zephyr 26 ก.พ. 2558, 17:02:13 น.
โหด แรง เถื่อน อิอิ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account