เพลิงพญาล่ารัก (ปรับปรุง)

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 3

ตอน 3
เพลิงดึงผ้าสีดำออกจากหน้า นัยน์ตาคมกริบฉายแววหยันคนที่บอกว่าไม่ได้รักเขา แล้วยกมือขึ้นลูบแก้มเนียนนุ่ม ก่อนจะบีบพร้อมมองเข้าไปในดวงตากลมโตที่ฉายแววบอกว่าไม่ได้โกหก แต่เขารึจะเชื่อ เพราะผู้หญิงคนนี้ทำได้ทุกอย่างเพื่อความต้องการของตัวเอง แล้วผลักตัวเธอจนล้มลงบนเตียง

“ฉันดีใจที่ได้ยินเธอพูดอย่างนี้ แต่จำคำพูดของตัวเองไว้ให้ดีเหมือนกันนะ เพราะคำพูดกับการกระทำของเธอนะมันตอแหล”

พิมพ์ลดาหน้าร้อนผ่าวกับคำด่าที่ออกจากปากเขา เธอผุดลุกขึ้นยืนจ้องหน้าเขาพลางกำสองมือเข้าหากันอย่างสุดโกรธ “ฉันไม่เคยทำตัวอย่างนั้น”

“แน่ใจเหรอ”

พิมพ์ลดาเม้มริมฝีปากไว้ เมื่อไม่อาจพูดหรือเถียงออกไปได้ เพราะเธอไม่มีความทรงจำใดๆเกี่ยวกับเขาเลย จึงได้แต่ยืนโกรธตัวเองและมองหน้าหล่อคมเข้มผิวน้ำตาลนวลเนียน ที่เธอพึ่งเห็นเป็นครั้งแรก รูปร่างเขาสูงใหญ่ ดวงตาคมเฉี่ยวดำสนิทนิ่งลึกจนน่ากลัว โหนกแก้มสูงดูบึกบึนรับกับจมูกโด่งสวย คิ้วหนาดกดำและริมฝีปากหยักลึกบอกความหนักแน่น แต่ความน่ามองถูกความโหดและอำมหิตที่แผ่ออกมาจากตัวเขากลบจนหมดสิ้น

“ช่างลืมง่ายจริงนะ ผ่านมาแค่เดือนเดียวก็ลืมเสียแล้ว อยากให้ฉันทบทวนความจำให้ไหม” เสียงเขาเยาะออกมาเมื่อเห็นเธอนิ่งเงียบ

“ไม่ต้อง เพราะมันไม่สำคัญ”

“แต่ฉันจำได้ว่า มันสำคัญกับเธอมาก ถึงขนาด...”

เพลิงหยุดคำพูดไว้แต่สายตามองเธออย่างดูถูก ก่อนจะหรี่ตาลงเพียงครึ่งเพราะมีบางอย่างเริ่มไม่แน่ใจผุดขึ้นมา นั่นคือคำพูดและท่าทางที่เปลี่ยนไปของเธอ ถ้าเป็นเมื่อก่อน เขาจะไม่มีวันได้ยินคำพูดที่หยิ่งและอวดดีอย่างนี้เด็ดขาด มีแต่คำพูดที่หวานหู เรียกเขาว่าเพลิงและตัวเองว่าพิมพ์ ไม่มีฉันกับนายยอย่างตอนนี้ และยังเอาอกเอาใจเขาสารพัด ไม่มีการขัดขืนสะบัดสะบิ้งเมื่อเขาถูกตัว จะมีก็แต่อ่อนระทวยเข้าหา ยอมทอดกายให้เขาเชยชม แต่เขาก็รู้ว่าท่าทางแบบนั้นมันเป็นเพียงภาพลวงตาที่เสแสร้ง แกล้งทำเพื่อตัวเอง หาความจริงใจไม่ได้สักนิด เขาโง่ไปแล้วครั้งหนึ่งจะไม่ยอมโง่เป็นครั้งที่สองเด็ดขาด

เขากวาดตามองใบหน้าสวยหวานอีกครั้ง และให้นึกถึงตอนที่เขาเข้ามาในห้องนี้ เพื่อมาดูหน้าเธอเป็นครั้งสุดท้าย แต่ทุกอย่างกลับตาลปัตรเมื่อเธอไม่ตาย และเพียงเขาสบตาเธอ ก็รู้สึกได้ถึงความสับสบ อ้างว้าง ว่างเปล่าเหมือนไม่รู้จักเขา และท่าทางของเธอก็แปลกไป ทุกครั้งที่เห็นเขา เธอจะโผเข้าหา แต่ครั้งนั้นเธอถอยห่างมันทำให้เขาคาใจจนต้องพิสูจน์สัมผัสเธอทั้งๆที่รังเกียจ และสิ่งที่ได้เห็นทำให้เขาแปลกใจขึ้นไปอีก

พิมพ์ลดาก่อนตายจะไม่กล้าสบตาเขาเหมือนพิมพ์ลดาคนนี้ ทำไมนั้นเหรอ เพลิงได้แต่ยิ้มเยาะในใจ แล้วคิดถึงสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้ได้มาเชิดหน้าเป็นนายหญิงแห่งหุบเขาพญา ทั้งๆที่ไม่อยากจำ แต่เขาก็จำไว้เตือนความโง่ของตัวเอง

เมื่อเดือนก่อนเขากับหินและคนของเขาอีกสองสามคน เดินทางไปเจรจาตกลงเพื่อขาย ‘น้ำสีดำ’ฉายาที่เขามีไว้เรียกน้ำมันดิบ กับนายอธิป เกียรติขจร นักธุรกิจใหญ่หลายร้อยล้าน ที่ทำธุรกิจกันมาตั้งแต่สมัยพ่อของเขา หลังจากตกลงกันได้ ก็มีการเลี้ยงกันนิดหน่อย แต่งานเลี้ยงครั้งนั้นมันมีความสกปรกแอบแฝง โดยที่เขาไม่รู้ว่าในเหล้าที่เขาดื่มไปแก้วแล้วแก้วเล่าจะมียาปลุกเซ็กผสมอยู่ ส่วนของหินและคนอื่นๆ มีแต่ยานอนหลับ กว่าจะรู้ว่าพลาดก็สายเกินไปเขาได้ลูกสาวนายอธิปเป็นเมียและที่สำคัญเธอยังบริสุทธิ์!

นายอธิปเรียกร้องให้เขารับผิดชอบด้วยการแต่งงานและจดทะเบียนสมรส ตอนแรกเขาจะไม่ยอม เพราะรู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นแผนของมัน แต่นายอธิปก็วางแผนล้อมกรอบเขาไว้หมดทุกทาง เพียงเขาปฏิเสธเรื่องก็ไปถึงพ่อแม่เขา ที่พำนักอยู่กลางทะเลทราย ทั้งสองคนได้ยื่นคำขาดให้เขารับผิดชอบ เพราะมีภาพเป็นหลักฐานและพยานจากผู้ที่พ่อเขาให้ความนับถือในเชิงธุรกิจ ซึ่งรู้เห็นเหตุการณ์ในคืนนั้นด้วย ที่สำคัญสำหรับเขาแล้ว คือคนเป็นแม่ ที่บอกเขาว่า ผู้เป็นนายแห่งหุบเขาพญา เป็นผู้นำคนอื่นๆ จะมาทำตัวเลวเหมือนหมาไม่ได้

เขาจึงตกลงไปในแผนเพื่อทำให้นายอธิปสมหวัง จดทะเบียนสมรสกับเธอ แต่ขอมาจัดงานแต่งงานที่หุบเขาพญา นายอธิปยินยอมด้วยความยินดีและดีใจที่สุด แต่สำหรับเขามันคือการลงทัณฑ์ เขาพาเธอมาที่นี่แล้วบอกทุกคนว่าเป็นคนรัก ให้นมสดและนมสุก แม่นมที่เลี้ยงเขามาตั้งแต่เด็กเป็นคนดูแลเธอ และพอครบเดือนตามที่ตกลงกันไว้ นายอธิปและพ่อกับแม่ของเขาพร้อมคนสนิทก็เดินทางมาร่วมงานด้วย

ตอนนั้นเขาไม่ได้สนใจอะไรนอกจากจะทำทุกอย่างให้จบๆ จนเสร็จพิธี พ่อก็พาแม่เขากลับไปถิ่นทะเลทราย ส่วนนายอธิปก็รีบกลับด้วยท่าทางลุกลี้ลุกลน หลังจากมันกลับไปไม่นาน หุบเขาพญาของเขาก็ได้ต้อนรับพวกเลวที่อาศัยคืนแต่งงานของเขาบุกรุกเข้ามาขุดหาน้ำสีดำ ซึ่งเขาก็ไปจัดการโดยไม่สนใจเจ้าสาวแม้แต่นิดเดียว

นั่นมันแค่เริ่มต้นเท่านั้นถ้าไม่เป็นเพราะเขาหลงกลแผนเลวๆ และความชั่วของพ่อเธอและท่าทางซื่อบริสุทธิ์ไร้เดียงสา ไม่มีทางที่เขาจะยกย่องผู้หญิงอย่างนี้ให้เป็นนายหญิงแห่งหุบเขาพญา

ผู้หญิงที่ไม่มีอะไรเลย นอกจากจะใช้ความสวยเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง ทุกคนในหุบเขาต่างถูกหลอกลวงด้วยภาพมายาที่เธอแสดงออกมาอย่างใสซื่อ อ่อนโยน อ่อนหวานและบริสุทธิ์ แต่สำหรับเขาแล้วมันใช้ไม่ได้ผลเพราะแผนเลวๆ ของนายอธิป พ่อของเธอ คนที่มีหน้าซื่อใจคด คิดจะยึดครองหุบเขาพญาของเขาเพื่อความยิ่งใหญ่ของตัวเอง ใช้ลูกสาวเป็นนางนกต่อเพื่อให้บอกจุดน้ำสีดำ อย่าแม้แต่จะคิดว่าเขาจะยอม คนอย่างนายเพลิง เจ้าแห่งหุบเขาพญา ดีมาดีตอบ ร้ายมาเขาร้ายกว่าและจะยิงทิ้ง อย่างไม่ยอมก้มหัวและก้มหน้าให้ไอ้หน้าไหนทั้งนั้น

นัยน์ตาคมกริบนิ่งลึกจนเย็นเฉียบ เมื่อคิดถึงสิ่งที่ทำให้ผู้หญิงคนนี้เข้ามาอยู่ในห้องนอนของเขา แต่จากนี้ไปเธอจะได้รับการลงทัณฑ์ที่แท้จริงเสียที

“เมื่อก่อนเธอบอกรักฉันทุกครั้งที่เห็นหน้า เข้ามากอดออดอ้อนนัวเนียแทบจะเปลืองผ้าเปลือยกายต่อหน้าฉัน ตอนนี้ไม่รักแล้วเหรอ” น้ำเสียงเหยียดๆ กับแววตาเยาะหยันทำให้พิมพ์ลดาหน้าแดงก่ำ อายจนแทบจะวิ่งหนี แม้จะจำไม่ได้ว่าจริงตามที่เขาพูดหรือเปล่า แต่น้ำเสียงที่ดูถูกของเขามันทำให้เธอไม่ยอมให้เขามาว่าฝ่ายเดียวเหมือนกัน จึงเชิดหน้าขึ้นอย่างไม่ยอม
“ใช่ ไม่รัก แล้วก็รักไม่ลงด้วย”

“ทำไม” เสียงห้าวเหี้ยมข่มลึก จนคนฟังเกร็งไปทั้งตัว แต่แสร้งยิ้มหวาน ยั่วยวนเขาอย่างที่ว่าเธอ

“ปากก็ร้าย ใจก็ดำ หน้าก็ดุ พูดก็หยาบคาย หาความน่ารักสักนิดก็ไม่มี โชคร้ายชะมัดที่ได้นายมาเป็นผัว”

เสียงเถียงฉอดๆอยู่ตรงหน้า แทนที่เพลิงจะโกรธกลับทำให้เขารู้สึกขำและแปลกใจขึ้นไปอีก เพราะรู้สึกเหมือนว่าเธอพูดออกมาจากใจเป็นครั้งแรก ไม่ได้โกหกเขาซึ่งดูได้จากแววตา จึงสาวเท้าเข้าไปยืนชิดร่างอรชร สบตาสวยซึ้งที่มองตอบเขาอย่างไม่กลัว แล้วก้มหน้าลงเกือบชิดแก้มนุ่ม

“แล้วที่ยอมเปลือยกายให้ฉันทับ จนได้แต่งงานนะเรียกว่าอะไร ถ้าไม่เรียกว่าไร้ยางอาย”

“แล้วนายทับลงมาทำไม ถ้าฉันมันไร้ยางอายอย่างนั้น”

“ก็เธอร่าน”

พิมพ์ลดาชาไปทั้งหน้า เจ็บลึกไปทั้งใจ จ้องหน้าคมอย่างแสนชังเพราะเฉือนเชือดเธอได้อย่างเลือดเย็น แล้วสะบัดหน้าไปทางอื่น ไม่ใช่เพราะเธออายแต่เธอไม่อยากเห็นหน้าคนใจร้าย ที่ต่อว่าผู้หญิงได้อย่างน่ารังเกียจ แต่เพียงเดี๋ยวเดียวก็ต้องหันหน้ากลับมา เพราะเพลิงยกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วจับปลายคางดันให้มามองหน้าเขา

“ทนฟังไม่ได้เหรอ” น้ำเสียงเขาเยาะ “ที่จริงเธอน่าจะชินกับคำพวกนี้นะ เพราะสิ่งที่เธอทำมันเลวร้ายกว่าสิ่งที่ฉันว่าเธอมากนัก และฉันขอบอกว่า เธอจะไม่มีวันได้สิ่งที่คิดที่ลงทุนไปเด็ดขาด ฉันจะทำให้เธอรู้ว่าการเป็นเมียนายเพลิง เจ้าแห่งหุบเขาพญาไม่ได้วิเศษวิโสอย่างที่เธอหวัง แต่มันจะเหมือนเธอติดคุกไปจนตาย”

พูดจบเพลิงก็ปล่อยมือจากปลายคางมน มาจับแขนลากออกจากห้อง พิมพ์ลดาที่มัวแต่เจ็บใจกับน้ำคำของเขา ถลาไปตามแรงดึงอย่างไม่ทันตั้งตัว ต้องซอยเท้าตามพลางถามออกมาอย่างตกใจ

“นายจะพาฉันไปไหน”

“ไปอยู่ในที่ๆเธอสมควรอยู่ไง”

พิมพ์ลดานิ่งไป ก่อนจะนึกขึ้นได้ว่าเขาพูดอะไรกับเธอไว้ “คุกเหรอ นายจะพาฉันไปอยู่คุกเหรอ”

เพลิงหันมายิ้มเยาะเป็นคำตอบ ให้เธอขนลุกไปทั้งตัว ยิ่งถูกเขาลากออกมาจากเรือน จะร้องให้ใครช่วยก็ไม่เห็นมีใครโผล่มาสักคน แม่นมสองคนก็ไม่รู้ว่าหายไปไหน เขาลากเธอลงบันไดมาเจอพื้นที่เต็มไปด้วยต้นไม้เหมือนป่า ทางเดินก็เต็มไปด้วยหิน ก็ยิ่งกลัว จึงบิดข้อมือ จิกเท้ากับพื้นเพื่อไม่ให้ตามเขาไป แต่ก็ไม่เป็นผล เขาใช้แรงลากเธอจนมาหยุดที่เพิงไม้เก่าๆ ก็เหวี่ยงเธอไปยืนอยู่หน้าเพิง

“ที่อยู่เธอ”

พิมพ์ลดามองเพิงที่หลังคามุมด้วยหญ้าแห้ง พื้นไม้ยกสูง มีผนังกันทั้งสองด้าน แต่เสาเพิงก็ผุจนแทบจะพัง สภาพของมันทำให้เธอไม่แน่ใจว่าถ้าเธอขึ้นไปยืนจะพังลงมาทับตัวเธอหรือเปล่า และหวาดหวั่นไปทั้งใจเมื่อเขาประกาศกร้าวให้เธอได้ยินว่า

“เพิงหมาแหงน สำหรับผู้หญิงหน้าสวยแต่ใจคดอย่างเธอ”
*********
ตึกสีเทาหลังใหญ่ ตั้งเด่นอยู่บนพื้นที่กว้างขวาง รอบๆตัวตึกมีกำแพงสีเดียวกันกั้นเป็นรั้ว บนกำแพงมีเหล็กแหลมปักไว้โดยรอบ สนามหญ้าด้านหน้าตัดแต่งไว้อย่างดี มีน้ำพุรูปนางกินรีปล่อยน้ำพวยพุ่งออกมาจากคนโทอย่างสวยงาม ภายในตึกหรูหราและเพียบพร้อมไปด้วยความสะดวกสบาย สว่างด้วยโคมไฟระย้าชุดใหญ่ส่องให้เห็นชุดรับแขกไม้สักลายมังกรงดงาม

ชายสี่คนนั่งอยู่ในห้อง เบื้องหน้าของพวกเขามีตำแหน่งใหญ่โต รับใช้ประชาชน แต่เบื้องหลังกลับใช้อำนาจที่มีไปในทางที่ผิด ทั้งขายอาวุธรับซื้อของโจร และเปิดทางให้พวกโลภมากได้ทำลายแผ่นดิน และตอนนี้ละโมบโลภมากถึงขนาดจะเอาของคนอื่นมาเป็นของตัวเอง

หนึ่งในสี่เป็นบุรุษวัยกลางคน รูปร่างขาวท้วม หน้าอวบอูมดวงตาเล็กเฉียงขึ้น จมูกโด่งงองุ้มตรงปลายรับกับริมฝีปากหนา ปลายคางอูมสองชั้น ชื่อเขาคือนายพลกฤษ พิทักษ์ทรัพย์โยธิน เป็นนักการเมืองรุ่นเก๋า ในมือถือแก้วไวน์ขาวสุดแพง ปากคาบไปป์รูปมังกร อัดสารที่อยู่ในปล่องเข้าปอด ก่อนจะพ่นควันสีขาวออกมา แล้วชูแก้วที่ถืออยู่ในมือให้ทุกคนซึ่งก็คือผู้ร่วมอุดมการณ์อันชั่วร้าย

“สำหรับแผนการขั้นแรกของเรา”

ทั้งสามคนยกแก้วในมือขึ้นมาชนก่อนจะดื่มพร้อมๆกัน จากนั้นก็เริ่มพูดคุยถึงแผนการที่เริ่มไปด้วยดี “ดีใจด้วยครับท่าน และหวังว่าขั้นต่อๆไปจะเรียบร้อยเหมือนขั้นนี้” หนึ่งในสาม ชื่นชมออกมา

“มันแน่นอนอยู่แล้ว เพราะงานของท่านไม่เคยพลาด” อีกหนึ่งเสียงชื่นชมออกมาไม่ต่างกัน คนที่ถูกยกยอจึงยิ้มอย่างพอใจ

“ขอบใจ แต่ไม่ใช่ฉันคนเดียวที่ควรจะได้รับคำชม ยังมีหนอนของเราที่วางแผนดีจนเราสามารถเข้าไปในหุบเขาพญาได้”

ทั้งสามคนพยักหน้าเห็นด้วย ก่อนจะมีเสียงถามออกมาอีก “แล้วคนของเราจะขุดเจอหรือเปล่า”

“จะไม่เจอได้ยังไง ในเมื่อคนที่ชี้จุดนั้นเป็นคนของหุบเขาพญาที่แปรพักต์มาเป็นหนอนให้เรา จากนี้ไปเราจะรวยกันไม่รู้เรื่องแล้ว ฮะๆๆๆ”

นายพลกฤษหัวเราะออกมาดังลั่น อีกสามคนก็พลอยหัวเราะออกมาด้วย แล้วชูแก้วฉลองกันอีกครั้ง ดื่มจนหมดก็วางแก้วลงบนโต๊ะฝังมุก ผู้นำของกลุ่มยกมือขึ้นตบส่งสัญญาณเพียงครั้งเดียว ลูกน้องก็นำอาหารชั้นเลิศมาเสิร์ฟพร้อมห่อของขวัญชิ้นเล็กและซองสีทองวางตรงหน้าทุกคน ทั้งสามคนมองของกำนัลอย่างพึงพอใจ และไม่ต้องเปิดออกดูก็รู้ว่าข้างในนั้นเป็นสิ่งที่เพิ่มจำนวนตัวเลขในธนาคารให้สูงขึ้นอีกหลายเท่า

“นี่คือผลตอบแทนสำหรับความสำเร็จก้าวแรกของเรา รออีกไม่นานก้าวต่อไปกำลังจะมาถึง และเมื่อนั้นเราก็จะรวยกันไม่รู้เรื่อง”

ทุกคนยิ้มฝันกันถึงวิมานกลางอากาศ พลางดื่มกินกันอย่างเต็มที แต่ไม่นานลูกน้องของนายพลกฤษก็เดินเข้ามากระซิบที่ข้างหูเขา แต่ละคำพูดที่ได้ยินทำให้รอยยิ้มที่แต้มอยู่บนใบหน้าค่อยๆหายไป กลายเป็นตึงเครียดกระทั่งแดงก่ำ ร่างสูงใหญ่ผุดลุกขึ้นยืนขึ้นอย่างโกรธจัด

“ไปลากตัวมันมา” คำสั่งกร้าวจนชายสามคนที่นั่งอยู่ หันมามองหน้ากันอย่างสงสัย ว่ามีอะไรเกิดขึ้น ท่าทีของท่านจึงน่ากลัวขนาดนี้

“มีอะไรหรือครับท่าน”

หนึ่งในสามถามออกมา แต่ไม่มีคำตอบจึงรู้สึกถึงความไม่ชอบมาพากล ก็รีบเก็บของขวัญและซองที่วางอยู่ตรงหน้าใส่กระเป๋าเสื้อตัวเองก่อนจะมีลูกหลง พลางมองไปที่ต้นทาง แล้วก็ได้เห็นร่างของใครคนหนึ่งใส่กางเกงตัวเดียว ถูกลากเข้ามาในห้อง หน้าตาเนื้อตัวสะบักสะบอมไปด้วยรอยแผลและเลือด ใบหน้าแตกยับช้ำเขียวและมีเลือดเกรอะกรังทั้งที่คิ้วและริมฝีปาก มันถูกเหวี่ยงลงกลางห้องตรงหน้าทุกคน

นายพลกฤษเดินออกมายืนจังก้าตรงหน้ามัน ก่อนจะเค้นเสียงกร้าวคำรามออกมา “ระยำจริง พลาดได้ไง”

“เรา เราถูกหลอกครับท่าน” เสียงมันดังตะกุกตะกักออกมา “ที่ตรงนั้นไม่มีน้ำสีดำมีแต่ดินและหิน”

“ไม่มี หมายความว่าไงที่ไม่มี จุดที่พวกมึงไปขุด ก็อยู่ในแผนที่ที่ระบุว่ามีน้ำสีดำชัดเจน และคนที่ชี้จุดให้ก็เป็นหนอนของเราจะไม่มีได้ยังไง บัดซบ”

“ผัวะ”ฝ่ามืออวบใหญ่สะบัดลงบนหน้ามันจนหันไปอีกทาง มุมปากมีเลือดไหลย้อยลงมาบนพื้น มันยกมือขึ้นกุมแก้มตัวเอง ก่อนจะกัดฟันข่มความเจ็บพูดออกมาอย่างหวั่นๆ

“ไม่ ไม่มีจริงๆครับท่าน พวกเราขุดหาทุกจุดตามแผนที่แต่ก็ไม่เจอ จน จนถูกจับได้”

“แล้วพวกที่เหลือ”

“คุกทมิฬ”

“ระยำ” นายพลกฤษโกรธจนหนังหน้ากระตุก ดวงตาแข็งกร้าวสั่นระริกด้วยความแค้น แล้วเก็บกดไว้แต่น้ำเสียงยังกระด้างอย่างน่ากลัว “แล้วมึงรอดมาได้ยังไง”

“มัน มันปล่อยมาครับ”

“งั้นเหรอ มันใจดีจริงๆนะ” เสียงชมออกมาอย่างน่าหวาดกลัว “แล้วมึงสำรอกบอกอะไรพวกมันไปบ้าง”

“ไม่ครับ ไม่บอก ไม่รู้อะไรเลยครับ”

“ดี ดีมาก แล้วมึงมีข่าวอะไรจะบอกกูอีกไหม”

“ไม่ ไม่มีแล้วครับ”

“ดี งั้นกูจะตอบแทนมึงที่ทำงานได้ดี ให้สมกับที่ภักดีต่อกู” พูดจบใบหน้าของเขาก็เหี้ยมเกรียม แล้วสั่งไอ้คนที่ลากมันมาว่า “เอามันไปลงนรกที”

“ท่าน” มันร้องออกมาขณะหน้าซีด ตาเหลือก เพราะรู้ชะตากรรมของตัวเอง ก่อนจะละล่ำละลักออกมา “ไม่นะท่าน ท่านอย่าทำอะไรผมเลย ปล่อย ปล่อยผมไปเถอะ ผมสาบานได้ ผมไม่ได้บอกอะไรกับพวกมันเลย”

เสียงมันอ้อนวอนอย่างไม่หยุดหย่อน แต่ไม่ได้ผล ไม่ว่าจะพูดออกมาแค่ไหน ก็ไม่มีคำสั่งเปลี่ยนแปลง นอกจากถูกลากออกไปกระทั่งเสียงขาดหายไป นายพลกฤษก็เดินกลับมากระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้ เขาเสียเงินไปจำนวนไม่น้อย เพื่อซื้อความลับนี้ แต่สุดท้ายก็คว้าน้ำเหลว แล้วมันยังปล่อยตัวไอ้คนทำงานผิดพลาดมาเย้ยเขาอีก มันหยามหน้าเขาชัดๆ

‘ไอ้ป๊ะเพลิง’ เสียงเขาคำรามด้วยความแค้นอยู่ในใจ พลางกำมือเข้าหากันแน่น เพราะแผนที่คิดหวังว่าสำเร็จ กลับล้มเหลว ความหวัง ความฝันความร่ำรวยพังราบไม่มีเหลือ แล้วที่น่าเจ็บใจยิ่งกว่าก็คือ ไอ้หนอนที่ขายข่าวให้เขา มันหลอกเขาหรือไง แต่ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะข่าวที่มันบอกนั้นมาจากพิมพ์ลดานายหญิงแห่งหุบเขาพญา
**********
เสียงกรีดร้องดังมาจากเรือนหลังหนึ่งในหุบเขาพญา เจ้าของเสียงเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย แต่ตอนนี้ความสวยถูกกลบด้วยความโกรธเกลียดแค้น แค้นที่อัดแน่นอยู่ในใจ ใบหน้าจึงบึ้งตึงและระบายด้วยการทำลายข้าวของจนไม่มีใครกล้าโผล่เข้ามาดู กระทั่งมีคนเดินขึ้นมาบนเรือน สาวใช้ที่แอบอยู่จึงค่อยๆโผล่หน้าที่หวั่นๆออกมาให้เห็น

“นายชาติ”

คนที่ถูกเรียกหันมามอง เขาเป็นคนรูปร่างหน้าตาดูดี แต่แววตาเจ้าเล่ห์ราวจิ้งจอกที่คอยมองหาเหยื่อ “มีอะไร” ถามพลางเดินมาหาสาวใช้ที่เห็นสีหน้ากังวลชัดเจน

“คุณหนูนะคะ ไม่ทราบว่าเป็นอะไร อารมณ์ไม่ดีมาพักใหญ่แล้ว”

“งั้นเหรอ” ชาติว่าพลางหันไปมองห้องคุณหนูของสาวใช้ ยิ้มในใจเล็กน้อยแล้วโบกมือให้สาวใช้ไปได้ ส่วนตัวก็เดินไปยังห้องที่พอเข้าไปใกล้ ก็ได้ยินเหมือนเสียงตกหล่น จึงยกมือขึ้นเคาะประตูก่อนเปิดเข้าไป และเบี่ยงตัวหลบเกือบไม่ทันเมื่อมีบางอย่างปามาหาอย่างรวดเร็ว “ปัง” เสียงวัตถุกระทบกับผนัง ก่อนจะร่วงไปกลิ้งอยู่บนพื้นไม้ขัดมันวาว

คิ้วเข้มเลิกขึ้นก่อนจะส่ายหน้าเมื่อเห็นสภาพห้องที่รกไปด้วยของตกแต่งและเครื่องสำอาง ชาติเดินหลบหลีกไปหาเจ้าของห้อง ‘เดือนประดับ’ ชื่อของเธอ เจ้าของเรือนหลังนี้ ซึ่งนั่งหน้าบึ้งอยู่บนเตียงและมองมาอย่างกระด้าง เสียงพูดก็ห้วนไม่ต่างกัน

“เสนอหน้าเข้ามาทำไม”

“ใครทำอะไรให้ขุ่นเคืองใจเหรอที่รัก”

“ถามมาได้ว่าใคร ไปมุดหัวอยู่ที่ไหนมาละ ถึงไม่รู้ ว่าตอนนี้คนที่ฉันอยากให้มันตายๆไปกลับไม่ตาย มันฟื้นขึ้นมาเป็นหนามทิ่มแทงใจฉันอยู่อีก”

“ใคร นายหญิงพิมพ์ลดานั่นเหรอ” ชาติถามออกมาอย่างพอจะรู้บางอย่างอยู่บ้าง เพราะมีความสัมพันธ์กันอยู่ลับๆ “แล้วเธอเป็นอะไร ทำไมต้องตาย”
คำถามนี้ทำให้เดือนประดับนิ่งไปเพราะเริ่มรู้ตัวว่าเกือบจะพลาดคายความลับตัวเองออกไป จึงรีบกลบเกลื่อนแบบรวดรัดว่า “ใช่ แต่จะเป็นอะไรนั้นฉันไม่รู้หรอก เห็นแต่หมอไปรักษาตั้งแต่เช้า แกก็รู้ว่าฉันเกลียดมัน แช่งชักหักกระดูกมาเป็นเดือนแล้วให้ตายๆไป ก็ไม่ตายไปเสียที”

คนถามเออออตามทั้งๆที่ยังสงสัย แต่ฉลาดที่จะไม่คาดคั้นเอาตอบที่แท้จริง นอกจากปลอบใจว่า “จะรีบร้อนไปไหนละ อีกอย่างที่ผ่านมาก็เห็นอยู่แล้วว่าเธอไม่ได้มีพื้นที่ในใจของป๊ะเพลิงเลย เพราะพามาทิ้งๆขว้างๆให้แม่นมสองคนดูแล”

“แต่ยอมแต่งงานกับมันแต่งตั้งมันขึ้นมาเป็นนายหญิง เหยียบหน้าฉัน ที่เฝ้าหวังมาเป็นปี มิหนำซ้ำยังยกย่องให้ทุกคนยอมรับมันอีก”

“ใจเย็นๆน่า” เขาว่าพลางเดินเข้าไปนั่งใกล้ๆ ยกมือขึ้นโอบไหล่เธอไว้ ซึ่งก็ถูกปัดออก เพราะอารมณ์ที่ยังขุ่นมัวอยู่ ชาติหัวเราะออกมาก่อนจะพูดเอาใจว่า “ฉันจะช่วยเธอเอง”

หญิงสาวมองคนบอกว่าช่วย แต่ในใจเหยียดเยาะ เพราะเกือบเดือนมาแล้วที่เธอยอมเอาตัวเข้าแลก เพื่อให้คำว่าช่วยสำเร็จ แต่ไม่เคยเป็นอย่างที่พูดสักที เธออยากจะต่อว่าให้เจ็บๆ แต่มันยังมีประโยชน์กับเธออยู่ จึงต้องเก็บอารมณ์ไว้ก่อน “จะช่วยยังไงอีก”

“ก็ยืมมือคนอื่นไง”

“ใคร”

ชาติยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์แล้วบอกว่า “ฉันชอบนอนคุยมากกว่า ที่จะนั่งหายใจทิ้งแบบนี้ อีกอย่างมันได้อรรถรสมากกว่ากันเยอะ”

เดือนประดับรู้ทันทีว่ามันต้องการอะไร จึงยิ้มหวานให้พลางยกปลายนิ้วไล้ข้างแก้ม เฉียดเข้าใกล้ริมฝีปากยั่วเย้าราคะมันให้ร้อนขึ้น ก่อนจะบอกว่า “ของอย่างนี้ต้องยื่นหมูยื่นแมว จะแก้ผ้ากันง่ายๆคงไม่ได้แล้ว”

“ไม่ไว้ใจกันเหรอ”

“เปล่า แต่ไม่อยากเสียใจอีกแล้วมากกว่า ตั้งแต่ป๊ะเพลิงพานังพิมพ์ลดาเข้ามาฉันเปลืองตัวแต่ไม่อะไรคืบหน้ามาเยอะ จากนี้ไปก็ควรจะได้อะไรกลับมาบ้าง ถ้าไม่มีอะไรชัดเจน ก็อย่าคุยกันอีกเลย”

“ไม่ชอบกันเลยเหรอ” ชาติถามแต่ในใจนั้นรู้สึกเคืองขุ่นที่เธอไม่ว่าง่ายเหมือนก่อน เกิดฉลาดขึ้นมาต่อรองกับมัน แล้วกัดปลายนิ้วพลางลูบหน้าขาเธอเพื่อ เรียกเสน่หาที่เคยได้มาฟรีๆให้ติดไฟขึ้นมา แต่ครั้งนี้กลับใช้ไม่ได้ผล
เดือนประดับยิ้มเหยียดให้มันเล็กน้อยแล้วปัดมือมันออก ลุกขึ้นเดินไปที่ประตู เปิดออกกว้างเป็นการบอกให้มันออกไป

ชาติหน้าเสียไปเล็กน้อยแล้วรีบปรับให้กรุ่มกริ่มพลางลุกขึ้นเดินไปที่ประตูเหมือนจะก้าวออกไป แต่กลับหมุนตัวไปกอดตัวเธอไว้พร้อมดันประตูให้ปิด ซบหน้าลงที่ซอกคอซุกไซร้หาความหอมหวาน เดือนประดับกรุ่นโกรธขึ้นมา ยกมือขึ้นจะดันตัวมันออก แต่ต้องค้างไว้เมื่อได้ยินเสียงมันบอกสิ่งที่เธอต้องการออกมา

“นายพลกฤษ”

“เขาเป็นใคร”

“หนึ่งคำถามต่อหนึ่งชิ้น” ชาติเงยหน้าขึ้นต่อรองขณะที่มือก็ป้วนเปี้ยนอยู่ที่กระดุมเสื้อเธอ เดือนประดับหรี่ตามอง ก่อนจะบอกว่า

“ถ้าฉันพอใจ ถอดหมดเลยก็ยังได้”

“งั้น...” ชาติทำหน้าเจ้าเล่ห์ แล้วอุ้มเธอไปที่เตียง แล้วจะถอดเสื้อผ้าเธอออก แต่เดือนประดับยังไม่ยอมง่ายๆ จับมือมันไว้พลางบอกว่า

“บอกมาก่อน”

“อ่อนข้อให้หน่อยไม่ได้เหรอ”

“ฉันจะอ่อนระทวยให้เลย ถ้าบอกมา”

ชาติกลอกตาไปมาคล้ายขัดเคืองใจ แต่ในที่สุดก็ทำท่ายอมจำนนต่อเธอแต่ในใจนั้นช่างเหยียดหยัน แล้วพูดเรื่องจริงผสมเรื่องเท็จให้เธอฟังเพื่อประโยชน์ของตัวเอง

“นายพลกฤษ ท่านเป็นผู้กว้างขวาง มีอำนาจบารมีและมีตำแหน่งหน้าที่การงานใหญ่โต ท่านสนใจที่นี่เพราะเห็นว่ามีทรัพยากรมากมายที่สามารถเอาไปทำเงินให้อย่างมหาศาล ก็เคยเจรจากับป๊ะเพลิงแล้วแต่โดนปฏิเสธ ฉันจึงคิดว่าน่าจะร่วมมือกับท่าน จะได้ช่วยให้สิ่งที่หวังไว้เป็นจริงขึ้นมา”

“ฆ่านังพิมพ์ลดานั่นเหรอ”

“ถ้าเธอต้องการ”

“ฉันต้องการอยู่แล้ว แต่...” เดือนประดับมีบางอย่างอยากจะถามให้หายข้องใจ แต่เสียงชาติดังขัดขึ้นเสียก่อน

“อย่าเพิ่งคิดเรื่องอื่นในตอนนี้ซิ ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป ให้ฉันไปตกลงกับท่านให้เรียบร้อยก่อน แล้วทุกอย่างคงง่ายขึ้น เพราะท่านมีคนมีอาวุธมีทุกอย่างที่จะทำให้เธอสมหวัง” ชาติหลอกล่อแล้วก็สมใจเมื่อเดือนประดับบอกว่า

“ก็ได้” ว่าแล้วเธอก็ยกมือไปคล้องคอมัน ยิ้มหวานให้ แต่น้ำคำนั้นเชือดเฉือน “แต่อย่าให้รู้ว่าโกหกหรือแตะต้องให้ป๊ะเพลิงเจ็บเด็ดขาด ฉันเอาตาย”

“ฉันรู้ และไม่กล้าหรอกที่จะทำอย่างนั้นกับลูกสาวท่านชีคหรอก นอกจากทำให้เธอมีความสุข และยอมเป็นทาสรักให้เธอ”

“งั้นก็” เดือนประดับลุกขึ้นนั่ง เพื่อถอดเสื้อผ้าออกจากตัว แต่ชาติจับมือไว้พร้อมกับบอกว่า

“ฉันชอบถอดเองมากกว่าจะได้ตื่นเต้น”

เดือนประดับยิ้มเยือนแล้วปล่อยตัวให้อยู่ในน้ำมือมัน ซึ่งก็ยิ้มแล้วเริ่มร่ายรักบนตัวเธอ จูบผ่านผ้าบางๆที่สวมใส่อยู่ไปทั่วตัว ก่อนจะวนมาจูบเรียวปากอิ่มบดขยี้แรงๆเพิ่มพิศวาสที่คุกกรุ่นขึ้นมา จากนั้นก็ค่อยถอดเสื้อผ้าออกจากตัวเธอ พร้อมกับจูบที่เคลื่อนตามให้เดือนประดับรู้สึกอยากรักกับมัน ซึ่งก็ดูจะได้ผลไม่น้อย เพราะเธอเริ่มเบียดตัวเข้าหาแถมลูบไล้ตัวมันบอกให้รู้ว่าเป็นนัยๆแล้ว

ไอ้ชาติได้แต่ยิ้มอยู่ในใจ แล้วซุกหน้าหาความหวานจากทรวงอก พลางเคล้นคลึงให้เต่งตึงขึ้นมา จากนั้นก็จูบไล้วนยอดอกให้เดือนประดับวาบหวาม “ชาติ” เสียงเธอดังแผ่ว ขณะที่ชาติก็เลื่อนริมฝีปากมาจูบที่หน้าท้อง ขบเม้มสร้างอารมณ์กระสันสวาทให้เธอ ก่อนจะถามออกมา

“ต้องการอะไรหรือเดือน”

เดือนประดับครางในลำคอเบาๆแต่ไม่ตอบ แม้จะถูกพิศวาสเล่นงานเพราะรู้ทันเกมที่มันแกล้งให้เธอโหยหาพิศวาส จึง ยกตัวขึ้นจะดันตัวมันออก แต่ชาติไว้กว่าจับมือเธอกดกับที่นอนแล้วทำตัวคล้ายภมรที่หาน้ำหวานจากดอกไม้ หนักบ้างเบาบางสร้างความกระสันจนร่างอรชรบิดส่าย ครางออกมาให้ชาติย่ามใจปรนเปรอจนเธอกรีดร้องออกมา นอนหอบอากาศไปหายใจ กระทั่ง..

“จะยั่วฉันเหรอ” เสียงเธอดังกระท่อนกระแท่นออกมา
“ก็เธอต้องการ” ชาติว่าพลางไล้ปลายนิ้วไปที่ดอกไม้ของเธอ ซึ่งหรุบตามองตาม แล้ว...

“มีแค่นี้เองเหรอ”

ชาติตวัดสายตาขึ้นสบตาหยาดเยิ้ม แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็ตัวมันก็เป็นภมรสร้างบทพิศวาสให้เธอจนร้อนระอุ ซุกไซร้ซอกซอนไปทุกส่วนของร่างกาย จนใกล้จะขึ้นสวรรค์ก็รีบถอดเสื้อผ้าออก นำพาเธอไปเยือนวิมานที่มีมันเป็นผู้สร้าง เธอเป็นผู้ตาม และบางครั้งมันก็ปล่อยให้เธอเป็นผู้สร้าง ส่วนมันเป็นผู้ตาม

ทั้งสองคนจมอยู่ในเพลิงเสน่หา ที่ต่างก็มอบให้กันและกันโดยไม่สนใจใคร เดือนประดับนั้นไม่แคร์ที่จะเปลืองตัว เพราะมันทุกอย่างมันสายเกินกว่าจะมาหวงตัวแล้ว ตั้งแต่วันที่ป๊ะเพลิงพานังพิมพ์ลดาเข้ามาในหุบเขา และบอกว่าเป็นคนรัก ความหวังที่เธออยากเป็นของเขา จนถึงขั้นได้เป็นนายหญิงของที่นี่ ก็ย่อยยับลง ทุกสิ่งที่เธอทำมาเพื่อเขา แม้กระทั่งทิ้งความเป็นคุณหนูที่แสนสุขสบายในดินแดนทะเลทรายลงก็ตาม

ร่างกายเธอตกเป็นทาสราคะของไอ้ชาติ แต่หัวใจและความคิดเธอล่องลอยไปหานายแห่งหุบเขา เธอติดตาต้องใจเขาตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกัน พ่อของเธอเป็นเพื่อนสนิทมิตรสหายกับพ่อของเขาที่ร่วมทำธุรกิจกันมาช้านาน ทั้งคู่นัดทานข้าวพูดคุยกันบ่อย ทำให้เธอได้เจอเขาด้วย เมื่อแรกนั้นเขาก็เฉยเมยกับเธอ แต่เมื่อเจอกันบ่อยก็เริ่มพูดคุย ไปไหนมาไหนด้วยกัน แม้จะไม่เคยสองต่อสอง แต่ทุกคนก็มองว่าเธอคือผู้หญิงของเขาไปแล้ว ยิ่งได้รู้ว่ายังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนครอบครองหัวใจเขาได้ เธอก็คิดก็ฝันก็หวังว่าเธอจะเป็นผู้หญิงคนนั้น

แต่ทุกสิ่งเกือบล่มสลายเมื่อเขาบอกว่าจะมาปกครองหุบเขาพญา ตอนนั้นเธอร้องไห้มากมาย แล้วตัดสินใจตามเขามาอยู่ที่นี่ แม้คนเป็นพ่อกับแม่คัดค้านเพราะไม่มีอะไรชัดเจนจากฝ่ายเขา ท่าทีใดๆก็ไม่มี แต่เธอก็ยังยืนยันเพราะ...

‘หนูรักเขา’

เหตุผลอันหนักแน่นของเธอ รวมถึงฟูมฟายประท้วงด้วยวิธีต่างๆ คนเป็นพ่อจึงยินยอมให้เธอมาอยู่ที่นี่ พร้อมสาวใช้และคนดูแลอีกสามคน แต่สิ่งที่เกือบล่มสลายได้สลายลงไปไม่เหลือชิ้นดี เมื่อเขาพานังพิมพ์ลดาเข้ามา เธอจึงต้องหาทางที่เขี่ยมันออกไป แต่ไม่มีทางใดเลยที่เธอจะทำได้ โดยไม่มีใครช่วย ลำพังคนของพ่อเธอนั้นไม่สามารถทำได้เลย เพราะจะเป็นที่จับตาได้ง่าย จึงต้องหาคนอื่น และคนๆนั้นต้องพอจะมีอิทธิพลอยู่ที่นี่บ้าง ที่สำคัญต้องไม่เป็นที่จับตาของใคร และเธอสามารถเรียกใช้ได้ตลอดเวลา

‘ไอ้ชาติ’ จึงเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เพราะมันเป็นผู้คุมคนงาน ซึ่งพอจะใช้ให้คนงานไปทำอะไรให้มันก็ได้ และเธอก็เคยเห็นความทะเยอทะยานของมัน จึงคิดว่าจะใช้เงินซื้อตัวมันได้ง่ายๆ แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิดเมื่อเธอลดตัวลงไปคุยกับมัน เสนอค่าตอบแทนให้มากมาย มันตกลงแต่ไม่ต้องการผลตอบแทนที่เธอให้ไป นอกจากตัวเธอเท่านั้น

เธอยอมแปดเปื้อนเพื่อทุกอย่างที่หวังไว้ ความเจ็บปวดจากสิ่งที่มันพรากไปยิ่งทำให้เธอโกรธเกลียดนังพิมพ์ลดามากขึ้น เพราะถ้าไม่มีมันโผล่มา ป่านนี้เจ้าของหัวใจเขาและตำแหน่งนายหญิงคงเป็นของเธอไปแล้ว

“คิดอะไรอยู่” เสียงชาติถาม เมื่อเห็นว่าเธอเหม่อลอย ไม่คล้อยตามพิศวาสที่มันกำลังปรนเปรอ แถมยังผลักตัวมันออก คว้าเสื้อผ้ามาใส่ แล้วเดินไปยืนอิงประตูห้อง มองตรงมาที่มันด้วยสีหน้าที่เฉยเมยพร้อมบอกว่า

“ฉันอยากอยู่คนเดียว”

“มันไม่ได้ช่วยอะไรเลยนะ ให้ฉันช่วย...”

“ฉันหมดอารมณ์แล้ว” เดือนประดับปิดทางจะสานต่อสวาทกับมัน

ชาติจึงได้แต่ขบฟันข่มอารมณ์ค้างคาอยู่ ยกมือขึ้นยินยอม เพราะรู้ดีว่าถ้ายังดื้อดึงไปมากกกว่านี้มันจะไม่ได้อะไรเลย และสิ่งที่คิดหวังไว้ก็อาจจะสูญเปล่าไปด้วย จึงลุกขึ้นใส่เสื้อผ้า แล้วเดินมาหยุดยืนตรงหน้าเธอ สบตาเธออย่างเข้าใจแล้วหอมแก้มปลอบใจอีกนิดหน่อยก็เปิดประตูเดินออกจากห้องไป

เดือนประดับรีบปิดประตู แล้วเดินเข้าห้องน้ำ เปิดน้ำล้างราคีคาวจากตัวมันให้ออกไปพร้อมกับน้ำตาของความเจ็บแค้นไหลออกมา ไม่นานเธอก็ปาดมันออกไป เชิดหน้าขึ้นพร้อมแววตาที่มุ่งมั่นและมุ่งร้ายต่อคนที่เป็นเสี้ยนหนามหัวใจเธอ
*********
แสงอาทิตย์ส่องผ่านใบไม้ลงมายังเพิงพักที่หญิงสาวขะมักเขม้นทำความสะอาดอยู่ มือนุ่มยกขึ้นปาดเหงื่อที่ซึมอยู่เต็มหน้า เพราะการปัดกวาดเช็ดถูเพิงหมาแหงน ที่ๆจะเป็นที่อยู่ใหม่ของเธอให้น่าอยู่ขึ้นมา ภายในเพิงเป็นห้องโล่ง มีหน้าต่างบานเล็กไว้ให้ลมพัดเข้ามาไล่ความอับ ตู้เก่าๆที่เก็บอุปกรณ์เครื่องนอน เข็มด้าย เสื้อผ้า ที่พอจะให้เธอเอามาทำเป็นผ้าขี้ริ้ว ผ้าม่านกันแสงแดดที่หน้าต่าง และม่านตรงประตู นอกจากมียังมีไม้กวาดกับตุ่มน้ำด้านหลังเพิงให้เธอได้ใช้อีกด้วย

ที่นี่คงเคยเป็นที่อยู่ของใครสักคน เธอคิดระหว่างทำทุกอย่างโดยไม่สนใจคนที่พาเธอมาเหวี่ยงเอาไว้ ว่าจะหายไปไหน และทำไมเธอถึงทำงานพวกนี้ได้อย่างคนที่ทำเป็น ชุดนอนสีขาวที่ใส่อยู่เปื้อนเป็นรอยด่างดำจากฝุ่น จนแทบจะไม่เห็นสีขาวอยู่แล้ว ตัวเธอก็ไม่ต่างกัน แต่ก็ไม่ได้สนใจ ยังคงจะทำให้เพิงเก่าๆ กลายเป็นบ้าน แม้จะไม่สมบูรณ์แต่ก็จะทำเท่าที่ทำได้

หลังจากแสงอาทิตย์ลับฟ้า พิมพ์ลดาก็วางมือจากทุกอย่าง เธอนั่งลงพิงเสาเพิง เช็ดเหงื่อที่ไหลซึมลงมาที่ข้างแก้ม พลางกวาดตามองรอบเพิงที่มีหญ้าขึ้นสูง ก็คิดว่าพรุ่งนี้เธอต้องหามีดหรือจอบมาถากหญ้าพวกนี้ออก และปลูกไม้ดอกให้รอบเพิง คงจะน่าอยู่ขึ้นมาก

แต่ความคิดต้องหยุดอยู่แค่นี้ เมื่อท้องร้องหาอาหาร จึงนึกได้ว่า เธอยังไม่ได้ทานอะไรเลยตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา และที่นี่ก็ไม่มีอะไรให้เธอทำกินได้เลย แล้วจะทำยังไง จะนั่งรอความตายอยู่ที่นี่ หรือจะไปตายเอาดาบหน้า เธอคิดแล้วลุกขึ้นยืน มองไปรอบบริเวณที่เต็มไปด้วยต้นไม้เหมือนๆกันไปหมด จะเดินกลับไปทางที่โดนลากมาก็จำไม่ได้

เธอถอนหายใจออกมา แล้วตัดสินใจที่จะเดินไปตายเอาดาบหน้า อย่างน้อยก็น่าจะเจอคนบ้าง แต่เพียงลุกขึ้นยืน เสียงม้าก็ร้องดังมาให้ได้ยิน ก่อนจะโผล่ออกมาจากแนวป่า พิมพ์ลดามองม้าตัวใหญ่สีดำแล้วคอยเลื่อนสายตาขึ้นไปมองคนที่นั่งอยู่บนหลังมัน สบตาคู่คมที่มองมา แล้วเมินหน้าหนี

เพลิงหยันด้วยสายตา ก่อนจะตวัดไปมองเพิงหมาแหงนที่ดูสะอาดผิดกับก่อนหน้านี้ที่รกรุงรัง เต็มเป็นไปด้วย หยากไย่ ฝุ่นละอองที่เคยเกาะอยู่ก็หายไปหมด เขาลงจากหลังม้า เดินเข้าไปดูภายใน แทบไม่น่าเชื่อว่าผู้หญิงที่เหยียบขี้ไก่ไม่ฝ่อจะเป็นคนทำ แต่ก็ต้องเชื่อเพราะไม่มีใครหน้าไหนกล้ามาช่วยเธอเด็ดขาด ร่างสูงเดินออกมามองหน้าเธอ สภาพยังกับควายจมปลักทำให้เขาสมเพช แล้วยื่นมือมาจับแขนเรียว

พิมพ์ลดาดึงแขนหนีไม่ยอมให้จับ พลางถามออกมาอย่างไม่ไว้ใจ “จะทำอะไร”

เพลิงไม่ตอบ เขาคว้าหมับเข้าที่ข้อมือเธอ แล้วดึงให้เดินตาม พิมพ์ลดาจิกเท้ากับพื้นขืนตัวไว้อย่างไม่ยอม จึงถูกเขากระชากให้เดินตามไปจนหัวแทบคะมำ จนมาหยุดยืนตรงตุ่มน้ำหลังเพิง น้ำในตุ่มก็ถูกตักราดลงบนหัวเธอ

“ว้าย” เธอกรีดร้องออกมาอย่างตกใจ แล้วหันหน้าหนีน้ำที่ราดลงมาอีก “นี่คุณ! ทำบ้าอะ...” เสียงเธอหายไปเพราะน้ำที่ราดอีกหลายขัน กระทั่งเธอเปียกไปทั้งตัว เสียงเขาก็ดังขึ้น

“ล้างคราบสกปรกออกจากตัวเธอไง”

“ก็บอกกันดีๆซิ ทำไมต้องทำอย่างนี้ด้วย”

“ฉันพอใจ”

พูดจบเพลิงก็โยนขันพลาสติกลงในตุ่มแล้วเดินจากไป ทิ้งให้พิมพ์ลดามองตามหลังไปอย่างสุดโกรธ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้มากไปกว่ายกมือขึ้นลูบน้ำออกไปจากหน้าตัวเอง กัดฟันข่มความโกรธไว้ลึกสุดใจ ก็ก้มลงดูตัวเอง ชุดนอนเปียกแนบไปกับตัว แต่นั้นไม่สำคัญเท่ากับว่าแล้วเธอจะเอาเสื้อผ้าที่ไหนเปลี่ยน!

ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากันอย่างครุ่นคิด และยกมือขึ้นกอดแขนเมื่อสายลมพัดอากาศเย็นๆมาโดนตัว ฟ้าก็ขมุกขมัวเพราะใกล้จะมืด พิมพ์ลดาเริ่มที่จะกลัว รีบอาบน้ำล้างคราบสกปรกออกจากตัว เพราะถ้าไม่รีบเธออาจจะไม่สบายเพราะความหยาบคายของคนป่าเถื่อน แต่กว่าจะอาบน้ำทั้งชุดที่ใส่ให้สะอาดเธอก็สั่นไปทั้งตัว แล้วรีบเดินกลับไปที่เพิงที่เพิ่งคิดได้ว่ามีเสื้อผ้าเก่าๆให้เปลี่ยน

ร่างอรชรเดินกอดอกมาหน้าเพิง ก็เห็นแสงตะเกียงที่คนที่ยืนกอดอกพิงเสาเพิงเป็นคนจุดให้มีแสงสว่างขึ้นมา เธอสบตาที่มองมาคล้ายจะไม่ให้เธอเดินผ่านเข้าไปข้างใน แค่นั้นยังไม่พอเธอยังรู้สึกเหมือนว่าสายตาเขาจะมองผ่านทะลุผ้าเปียกๆไปถึงผิวเนื้อเธอ จึงกอดตัวเองแน่นขึ้นและคิดว่าจะทำยังไงดีถ้าเขาไม่ให้เธอเข้าไปในเพิง จะต้องยืนตากน้ำค้างอยู่อย่างนี้ หรือจะไปไหนดี เธอถามตัวเอง

“ตายแล้วนายหญิง มายืนตัวเปียกอยู่ทำไมตรงนี้”

พิมพ์ลดาหันไปมองเสียงที่ดังขึ้นข้างหลัง แววตาเธอมีความยินดีพลางเปิดรอยยิ้มให้กับแม่นมทั้งสองคน ซึ่งเดินมายืนขนาบข้างตัวเธอพร้อมของหอบมาเต็มสองมือ แล้วดึงผ้าผืนหนึ่งมาห่มให้เธอ โดยไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่นั้นสร้างความไม่พอใจให้นายแห่งหุบเขา

“ฉันใช้ให้เอาของมาให้ แล้วก็กลับไป ไม่ได้ให้มาช่วยใคร”

“พูดไม่น่าฟังเลยนะป๊ะเพลิง” นมสดดุออกมา แล้วหันมามองหญิงสาวที่เริ่มสั่นเป็นลูกนกตกน้ำ “ไปค่ะนายหญิงเข้าไปข้างใน” พูดจบก็พยักหน้าให้นมสุก พาหญิงสาวเดินเข้าไปในเพิง วางข้าวของที่หอบมาไว้ที่มุมห้องแล้วนมสดก็เดินไปเปิดตู้ หยิบเสื้อผ้าที่พอใช้ได้มาให้เธอ “รีบเปลี่ยนเถอะค่ะ ตัวจะได้อุ่นๆ”

“ขอบคุณค่ะ” พิมพ์ลดายิ้มให้ทั้งสองคน แล้วรับเสื้อผ้ามาถือไว้ แต่ยังอายที่จะเปลี่ยนต่อหน้าทั้งสองคน ซึ่งก็รู้จึงเดินไปดึงผ้าม่านที่ประตูลงให้ และออกไปยืนข้างนอก

เพลิงหันมามองทั้งสองนมที่ขัดคำสั่งเขา แล้วสั่งด้วยเสียงที่เรียบแต่จริงจัง “เรียบร้อยแล้วก็กลับไปได้แล้ว”

“ป๊ะเพลิงจะทำอะไรนายหญิง แล้วพามาอยู่ที่นี่ทำไม”

“สั่งสอน”

คำตอบสั้นๆ อธิบายทุกอย่างให้แม่นมทั้งสองคนรู้โดยไม่ต้องถามหาเหตุผล ถึงกระนั้นริมฝีปากก็เผยขึ้นคล้ายจะร้องขอ แต่ต้องหุบไว้เพราะรู้นิสัยนายหนุ่มดีว่า ท่าทีนิ่งๆที่เห็นอยู่ ถ้ายิ่งพูดก็เหมือนยิ่งราดน้ำมันลงไปบนกองไฟ จึงผ่อนลมหายใจออกมาอย่างหนักใจ แล้วหันไปมองผ้าม่าน ส่งความเห็นใจห่วงใยไปให้หญิงสาว ที่ยังไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง ก็หันกลับมาพากันเดินลงจากเพิงกลับไปที่เรือนพัก

เพลิงมองตามไปเพียงเดี๋ยวเดียวก็หมุนตัวเดินเข้าไปข้างใน เสียงผ้าม่านที่ถูกเปิดออก ทำให้เสียงหวานๆดังขึ้น

“เสร็จแล้วค่ะนม” พิมพ์ลดาบอกพร้อมกับหันมามอง แล้วชะงักไปนิดเมื่อไม่ใช่คนที่คิดไว้ เธอรีบยกมือขึ้นกอดอก เพราะเสื้อคอกระเช้าที่ใส่ไร้แขนและคอกว้างจนเห็นเนินทรวง พลางมองผ่านผ้าม่านออกไปข้างนอกด้วยหวังว่าจะเห็นแม่นมทั้งสองคนยืนอยู่ แต่เงียบอย่างนี้คงกลับไปแล้ว ไม่งั้นเขาคงไม่เดินเข้ามา

“จะยืนให้รากงอกหรือไง ไปหยิบปิ่นโตมา ฉันหิว”

พิมพ์ลดาเม้มริมฝีปากไม่อยากจะทำให้ แต่รู้ดีว่าไม่มีประโยชน์ที่จะขัดคำสั่งเขา จึงเดินไปหยิบปิ่นโตกับขันน้ำใบใหญ่มาจัดวางไว้ให้ใกล้ร่างสูงที่นั่งชันเข่าข้างหนึ่ง พิงผนังเพิงมองเธออย่างจับผิด เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ถอยออกไปนั่งที่มุมห้อง

เพลิงหยิบช้อนมาตักข้าวกินอย่างไม่สนใจหญิงสาวอีกคนว่าจะหิวหรือไม่ เขากินอย่างอร่อย ขณะที่พิมพ์ลดาต้องแอบกลืนน้ำลายเพราะกลิ่นอาหารที่โชยมายั่วน้ำย่อยในท้องและยังส่งเสียงร้องประท้วงความหิวขึ้นมา จึงพลิกหน้าเข้าหาผนังเพื่อไม่ให้เห็นรูปแม้จะยังได้กลิ่นแต่ไม่เสียงร้องขอจากเธอ และจะไม่มีวันขอความเมตตาจากเขา

“นั่งบื้ออยู่ทำไม จะกินไหมเนี๋ยข้าว”

เสียงห้าวที่ดังขึ้น ทำให้พิมพ์ลดาลืมตาขึ้นก่อนจะหันไปสบตาคมที่จ้องอยู่อย่างกระด้าง และสะดุ้งเมื่อเขาโยนจานข้าวพร้อมช้อนมาตรงหน้าเธอ เกิดเสียงดังสนั่น แค่นั้นยังไม่พอยังเอาข้าวกับกับข้าวที่เหลือเทรวมกันในจานเดียวกัน แล้วผลักมาให้เธอ

“กินเสีย กินจานฉันนั่นแหละ”

“ฉันไม่กิน”

“ขยะแขยงเหรอ หึ ทีตอนเป็นเมียฉัน ไม่เห็นเธอรังเกียจ”

“ฉันไม่เคยเป็นเมียนาย”

“แล้วใครมันแหกปากร้อง ตอนที่น้ำเชื้อฉันเข้าไปอยู่ในตัวเธอ”

พิมพ์ลดานิ่งอึ้งไป ก่อนจะที่หน้าจะเห่อแดงขึ้นมาเมื่อเข้าใจว่าเขาหมายถึงตอนที่มีอะไรกัน “ทุเรศที่สุด”

“หึ” เสียงเยาะหยันทำให้เธอเม้มริมฝีปากไว้แน่น และโกรธเขาแต่เกลียดตัวเองที่จำอะไรไม่ได้ ต้องมาทนฟังคำพูดที่หยาบคายไม่สามารถจะตอบโต้เขาได้เลย

“แสลงหูเหรอ อีเดียดชัดๆ”

“นายนะซิ ทั้งทุเรศ ทั้งปากเสีย”

“อยากจะโดนฉันเอาข้าวยัดปากหรือไง”

พิมพ์ลดาอยากจะหยิบจานข้าวปาใส่หน้าเขาหนัก แต่คิดว่าคนหยาบอย่างเขาโดนอะไรไปก็คงไม่สะดุ้งสะเทือน จึงได้แต่มองหน้าคมอย่างเกลียดชัง แต่บางเสี้ยวของอารมณ์ก็อยากจะลองดีกับเขานัก แต่คงเป็นการหาเรื่องใส่ตัวและอาจจะตายเปล่าอยู่ที่นี่ เก็บชีวิตไว้แล้วหาทางหนีไปดีกว่า แม้ยังไม่รู้อะไรเลย เธอก็จะหนี แล้วหยิบจานกับช้อนขึ้นมาตักข้าวกิน เพลิงจับตามองท่าทางที่สงบนิ่ง ไร้การรังเกียจ ไร้การกรีดกรายอย่างที่เคยเห็นด้วยความสงสัย แต่ไม่นานก็กลายเป็นความเย็นชา เพราะคิดว่าเป็นมารยาของเธอ

พิมพ์ลดากลืนข้าวคำสุดท้ายลงคอ ก่อนจะดื่มน้ำตาม แต่เพียงวางขันลงบนพื้น เสียงกระด้างก็ดังขึ้นมา “นั่งเซ่ออยู่ทำไม ไม่มีคนมาให้เธอใช้หรอก กินเสร็จก็เอาไปล้างซิ แล้วมากางมุง ปูที่นอนให้ฉันด้วย”

“ปูที่นอน หมายความว่าไง นายจะนอนที่นี่เหรอ” เธอถามอย่างหวั่นใจ และใจร่วงไปอยู่ที่ตาตุ่ม เมื่อเขายอมรับออกมา

“ใช่ แต่ไม่ต้องดีใจว่าฉันจะปล่อยน้ำเชื้อเข้าไปในตัวเธอหรอก เพราะครั้งสองครั้งที่ผ่านมาฉันก็ขยะแขยงเธอพอแล้ว”

พิมพ์ลดาอยากจะกรี๊ดกับความหยาบคายของเขา แต่แล้วก็เปลี่ยนใจ ดังคำเขาว่าพูดไปสองไบ่เบี้ย นิ่งหนึ่งตำลึงทอง รีบเก็บปิ่นโตไปล้าง และอยากจะอวดดีอวดเก่งไม่กลับเข้าไปทำตามคำสั่งเขา แต่ความคิดต้องหายไป เมื่อยุงเข้ามารุมกัด ปัดแทบไม่ไหว รีบล้างปิ่นโต แล้วเดินกลับเข้าไปในเพิง ปรายตามองร่างสูงที่นอนเอกเนกอย่างเคืองๆ ก็เดินลงส้นเท้าไปหยิบเสื่อผืนหมอนใบมาปูเป็นที่นอนให้เขา พร้อมมุ้งมากางให้เรียบร้อย

หญิงสาวทำทุกอย่างๆคล่องแคล้ว โดยไม่เฉลียวใจเลยว่าทำไมตัวเองจำอะไรไม่ได้ แต่ทำไมทำทุกอย่างได้อย่างคนที่เคยทำ และทำให้เพลิงที่มองอยู่สงสัยปนแปลกใจอีกครั้ง ว่าผู้หญิงที่สวยแต่รูปจูบไม่หอมทำอะไรไม่เป็น ที่เขาเคยเห็น นั้นหายไปไหน หรือเธอแกล้งทำ แต่จากที่เห็นบอกเขาว่าไม่ใช่ คนที่แกล้งกับไม่แกล้งทำไมเขาจะดูไม่ออก หรือที่ผ่านมาเขาจะมองเธอผิดไป

‘ไม่มีทาง’

เสียงเขาปฏิเสธลั่นอยู่ในใจ ภาพที่เธอทำยังติดตาเขาอยู่ แล้วอะไรทำให้เธอเปลี่ยนไป หรือว่าเป็นเพียงมายาที่เธอสร้างขึ้นมาเพื่อหลอกเขาอีก ถ้าเป็นอย่างนั้น เธอก็เหมาะแล้วที่จะโดนทรมาน
********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มี.ค. 2558, 16:36:12 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มี.ค. 2558, 16:36:12 น.

จำนวนการเข้าชม : 3071





<< ตอน 2   ตอน 4 >>
เคสิยาห์ 5 มี.ค. 2558, 20:56:49 น.
รอตอนต่อไป ฉบับปรับปรุงทำให้เห็นที่มาที่ไปของตัวละครนางเอก ที่ตอนที่แล้วไม่ทราบความเป็นมา เอ๊ะ หรือนานจนเราลืม แต่ชอบเรื่องนี้ที่สุด ในชุดนี้นะคะ ขอบคุณที่รีไรท์แล้วลงให้อ่านค่ะ หวังว่าจะได้อ่านจนจบนะคะ


พรรณราย 5 มี.ค. 2558, 21:19:47 น.
มาลงบ่อยๆนะคะ ชอบมากค่ะ


Zephyr 7 มี.ค. 2558, 22:56:53 น.
เริ่มจะผิดสังเกตสินะ


konhin 13 มี.ค. 2558, 13:13:15 น.
ว้าววว คิดถึงเรื่องนี้อ่ะ ชอบๆ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account