พิมพ์ลภัส
พิมพ์ลภัสเด็กสาวร่างอ้วนแก้มยุ้ยด้วยน้ำหนักตัวเกือบร้อยกิโลกรัมแอบรักพี่ชายขัางบ้านที่โตมาด้วยกัน ทว่าภีรมัตเห็นเธอเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น..เธอรู้
ระหว่างเธอกับภีรมัตแตกต่างกันราวผีเน่ากับเทพบุตร ใครจะไปสวยเท่าแฟนสาวสิตาภาที่ครั้งหนึ่งเขาเคยประกาศต่อหน้าเธอว่าใช่สเป็ก นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ และการกลับมาพบกันอีกครั้งระหว่างเธอกับภีรมัตเรื่องยุ่งๆของหัวใจจึงเริ่มต้นขึ้น

Tags: พิมพ์ลภัส ภีรมัต รักหวานซึ้งปนเศรา้้

ตอน: บทที่ 25 ความวัวไม่ทันหายความ(ซวย)ก็ตามมา




เสียงโทรศัพท์มือถือหัวเตียงดังตั้งแต่ฟ้ายังไม่เปิด พิมพ์ลภัสงัวเงียหยิบขึ้นดู พอรู้ว่าเป็นเพื่อนรักที่โทร.มากวน ก็นึกโมโห ถ้าไม่ใช่เรื่องสำคัญนะ เธอจะสวดให้ยับเลย เมื่อคืนกว่าจะหลับลงได้เกือบตีสาม เพิ่งจะงีบหลับไปแค่แป๊บเดียวก็โดนเพื่อนตัวดีขโมยเวลานอน

“ว่าไงอร..” เธองัวเงียถาม

“ไอ้พิม ตื่นเดี๋ยวนี้ ความซวยกำลังมาเยือนยังไม่รู้ตัวอีก แกตื่นมาดูข่าวเดี๋ยวนี้เลย...เร็ว!” เพียงอรโวยวายเสียงดังลั่น จน พิมพ์ลภัสต้องเอาโทรศัพท์ยื่นออกไปไกลๆหู

“ข่าวใคร พี่ภีมเหรอ เอาไว้สายๆค่อยดูก็ได้” เพราะถ้าเป็นเรื่องที่เขาจะแต่งงานเธอรู้แล้วเมื่อสองวันก่อน ถึงได้นอนไม่หลับมาหลายคืนเพราะทำใจไม่ได้

“เปล่า เรื่องนั้นได้ยินจนเบื่อแล้ว แต่เรื่องที่แกประกาศจะหมั้นกับจุลกานต์กลางร้านอาหารย่านสุขุมวิทเนี่ย อำเล่นรึเปล่าวะ” เพียงอรใส่เป็นชุด

พิมพ์ลภัสกระเด้งตัวลุกนั่งทันทีเหมือนติดสปริง ตาสว่างโพลงหายง่วงเป็นปลิดทิ้ง ครุ่นคิดในหัว..อะไรอีกวะเนี่ย!

“แกหมายความว่าไง...” เธอถามกลับทั้งงงทั้งมึน

“ฉันต่างหากที่ต้องถามมันหมายความว่ายังไง คลิปที่แกประกาศหมั้นกับจุลกานต์ว่อนเน็ต ของจริงรึเปล่าวะ”
พิมพ์ลภัสอ้าปากค้าง คลิป...ประกาศหมั้นกลางร้านอาหารย่านสุขุมวิท เธอถึงกับกุมขมับตัวเองหน้าเครียด นี่เธอเป็นดาราดังรึไง ถึงมีข่าวไม่เว้นแต่ละวัน ยิ่งกว่าดาราบางคนซะอีก

-------------------------------------------------------------------********---------------------------------------------------------------------

เพียงอรตรงแหน่วมาที่บ้านพิมพ์ลภัสแต่เช้า พร้อมกับหนังสือพิมพ์ฉบับวันนี้ที่มีเธอลงหน้าหนึ่ง พิมพ์ลภัสอ่านมันในใจเงียบๆ ก่อนที่เพียงอรจะยื่นบางอย่างให้เธอดู ภาพคลิปวีดีโอที่ถูกตัดต่อเพียงบางส่วนเพื่อปล่อยข่าว แล้วมันก็มีเพียงเธอกับจุลกานต์เท่านั้นในคลิป

ภีรมัตกับสิตาภาหายไปไหน เธอคิด แสดงว่ามีคนจงใจปล่อยคลิปทำลายเธอ แม้จะดูงงๆว่าสถานะการณ์ตอนนั้นเป็นยังไง แต่ภาพและเสียงชัดเจนจนปฏิเสธไม่ออก

..ได้พักเรื่องเครียดๆแค่สองวัน ก็มีเรื่องให้ต้องคิดหนักอีกแล้วเหรอ สวรรค์แกล้งเธอชัดๆ

ป่านนี้จุลกานต์คงโดนนักข่าวล้อมหน้าล้อมหลัง นี่คงเป็นสาเหตุที่เขาโทร.มาแต่เช้า ทว่าเธอรับไม่ทัน มันก็เงียบไปซะก่อน แล้วเธอก็ไม่คิดโทร.กลับ แต่...จะแก้ปัญหาครั้งนี้ยังไงเนี่ย

-----------------------------------------------------------------******--------------------------------------------------------------------------

ก่อนหน้าที่เพียงอรจะมาถึง เธอถูกมารดาซักซะยับแต่ก็พูดไม่ออกจนคำเดียว โชคดีที่บิดาออกไปตีกอล์ฟแต่เช้ากับลุงหมอ แต่อีกไม่นานท่านก็จะกลับคงจะรู้เรื่องแล้วเช่นกัน จะอธิบายกับท่านได้ไงว่าเธอแค่พูดประชดภีรมัตเท่านั้น

พิมพ์ลภัสเงยขึ้นสบตากับเพียงอรหลังจากก้มดูคลิปในไอโฟนหน้าเครียด

“นี่มันเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตแกวะ..” เพียงอรเอ่ยงงๆ สีหน้าไม่ต่างจากพิมพ์ลภัสซึ่งเธอเองก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตเธอเช่นกัน

“ไม่รู้สิ” สั้นๆแต่แววตาสับสน...มาก

เพียงอรเห็นหัวคิ้วเรียวของพิมพ์ลภัสขมวดผูกปมตรงกลางจากด้านข้าง ใต้ตามีรอยคล้ำเกือบจะเป็นสีเข้ม คงเกิดจากการพักผ่อนไม่เพียงพอ ก่อนหน้านั้นพิมพ์ลภัสคงมีเรื่องที่ทำให้ต้องคิดหนัก ไม่งั้นสภาพคงไม่ดูอิดโรยเพียงนี้ พิมพ์ลภัสถอนใจอีกแล้ว ครั้งที่เท่าไหร่แล้วไม่รู้ตั้งแต่เธอนั่งอยู่ตรงนี้ด้วย

“พิมแกรู้ตัวมั้ย พักหลังๆมานี่แกถอนใจบ่อยมากเลยนะ” เพียงอรเอ่ย หลังจากที่พิมพ์ลภัสถอนใจอีกครั้ง

เธอเหลือบตามองเพียงอรนิด ทำไมจะไม่รู้ว่าช่วงหลังเธอถอนหายใจบ่อยแค่ไหน ก็มันมีเรื่องหนักใจไม่ว่างเว้น แล้วเธอก็หาทางออกไม่ได้สักเรื่องเดียว แม้แต่เรื่องนี้และก่อนหน้านั้น ใบหน้าหวานเครียดขรึมลงไปอีก

"แล้วแกจะเอาไงกับเรื่องนี้” เพียงอรถามอีกครั้ง ขณะที่พิมพ์ลภัสเอาแต่นิ่วหน้ายุ่ง

“ไม่รู้เหมือนกัน ขอจุลกานต์หมั้นมั้ง เรื่องจะได้จบ” เธอตอบติดตลกยิ้มแห้งๆ ทั้งที่ไม่ไม่ใช่เรื่องน่าขำ อยากร้องไห้มากกว่า เตรียมตัวเตรียมใจรับคำสั่งจากคุณหญิงปานทิพย์ได้เลย

เพียงอรมองใบหน้าหมองคล้ำเจือรอยเศร้าในแววตาที่เคยกระจ่างใสของพิมพ์ลภัสตอนนี้ ไม่ต่างอะไรกับคนที่แบกความทุกข์ทั้งโลกไว้คนเดียว สงสารเพื่อนจับจิตที่ต้องมาประสบพบเจอเรื่องราววุ่นวายแบบนี้ เธออยากเอ่ยถามถึงเรื่องราวต่างๆให้หายข้องใจ แต่พิมพ์ลภัสคงยังไม่อยากเล่าถึงปิดปากเงียบๆม่พูดสักคำ เธอรู้จักพิมพ์ลภัสมานานถ้าอยากจะบอกเล่าก็คงจะพูดมาเอง คล้ายพิมพ์ลภัสจะเข้าใจสิ่งที่เธอคิด ถึงยอมเปิดปาก

“ฉันก็อยากจะเล่าให้แกฟังเหมือนกันนะอร ว่าเกิดอะไรขึ้นกับชีวิตฉันบ้าง มันไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนจริงๆว่ะ” เธอเอ่ย สายตามองทอดไปไกลไร้จุดหมาย มีเรื่องราวมากมายที่เธอยังไม่ได้เล่าให้เพื่อนรักฟัง อยากจะระบายมันออกมาอยู่หรอกนะ แต่ไม่รู้จะเริ่มจากตรงไหนก่อนดี

“แกยังไหวอยู่รึเปล่าพิม” เพียงอรกอดบ่าบอบบางที่นานวันก็ยิ่งบางลง พยายามถ่ายทอดกำลังใจและความห่วงใยไปถึงเพื่อนเพื่อน “ไม่เป็นไรนะ ฟ้าหลังฝนย่อมงดงามเสมอ แกยังมีฉันนะเว้ย” เพียงอรกอดกระชับไหล่มนเบาๆให้กำลังใจ

พิมพ์ลภัสฝืนยิ้มจืดชืด เพราะตอนนี้เธอเหนื่อยเหลือเกิน เหนื่อยจนยิ้มไม่ออก ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าตัวเองยังไหวอยู่รึเปล่า สองสามเดือนที่ผ่านมา เกิดเรื่องราวมากมายและมันก็คอยแต่จะบั่นทอนกำลังใจให้ลดลง โดยเฉพาะเรื่องของภีรมัต หรือว่านี่จะเป็นสิ่งที่ชะตากำหนดมาให้เธอต้องพบเจอ เพื่อพิสูจน์รักแท้ด้วยรึเปล่าล่ะ เธอเฝ้าครุ่นคิดหน้ายุ่ง

-------------------------------------------------------------------------******-----------------------------------------------------------------
ทันทีที่เห็นข่าวภีรมัตก็ชักสีหน้าตึงเคร่ง เขาเหวี่ยงหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นลงพื้นและมันก็ไปตกอยู่ปลายเท้าสิตาภาพอดี เขาเป็นคนให้คีย์การ์ดกับเธอเองตั้งแต่เริ่มคบกันและคิดว่าจะจริงจังถ้าสิตาภาไม่แอบมีไบรอันซุกซ่อนไว้ซะก่อน แต่ตอนนี้นึกอยากจะขอคืน เพราะต้องการอยู่เงียบๆ

สิตาภาก้มหยิบหนังสือพิมพ์ฉบับนั้นขึ้นดู ใบหน้าสวยแสยะยิ้มกับพาดหัวข่าวหน้าหนึ่ง มันเป็นฝีมือเธอเอง แต่ทั้งหมดในภาพก็คือความจริงไม่ได้กุสร้างเรื่องขึ้น เธอถือมันไว้ก่อนจะเดินนวยนาดเข้ามากอดเขา

ภีรมัตเหลือบมองเพียงนิด เขารำคาญแต่ไม่แกะมือบางออกเหมือนอย่างที่ใจคิด เขากับสิตาภาคบกันมานาน นึกถึงสิ่งดีๆที่เคยมีต่อกันก็พอจะคลายความรู้สึกนั้นได้บ้าง เธอพยายามปลุกอารมณ์ในตัวเขาให้ตื่น ทว่าตอนนี้เขาไม่มีอารมณ์

“สิตา คุณกลับไปก่อน ผมอยากอยู่คนเดียว” เสียงทุ้มเอ่ยเรียบนิ่ง แต่เธอรู้ดีว่าเขากำลังอารมณ์ไม่ดี

“คุณยังโกรธที่สิตาให้ข่าวเมื่อวันก่อน” สิตาภาไม่ยอมทำตามง่ายๆมือบางยังคงลูบไล้แผงอกหนาอย่างหลงไหล ก่อนที่มือหนาของภีรมัตจะตะปบมันไว้แน่น แล้วพูดประโยคเดิม

“ผมบอกให้คุณกลับไปก่อน ไม่ได้ยินหรือไง” เสียงทุ้มเข้มอีกนิด แต่หนนี้สิตาภากลับไม่กล้าขัดคำสั่งเขา

ภีรมัตไม่ชอบคนเซ้าซี้และพูดไม่รู้เรื่อง ถ้าเขาบอกว่าไม่ก็คือไม่ บอกว่าให้กลับก็ต้องกลับ เธอไม่เคยเห็นเขาโกรธหัวฟัดหัวเหวี่ยงขนาดนี้ ข่าวพิมพ์ลภัสคงมีอิทธิพลต่อความรู้สึกเขามาก หน้าสวยๆบูดบึ้งโทสะแล่นขึ้นมาสุมอก เพราะพิมพ์ภัสคนเดียว ที่ทำให้ภีรมัตคนเดิมที่เคยหลงเธอจนโงหัวไม่ขึ้นคนนั้นหายไป

“ก็ได้ค่ะ โทร.หาสิตาบ้างนะคะ” สิตาภาก้มลงจูบเขาจนเปื้อนคราบลิปสติกที่แก้ม

เสี่ยงประตูปิดลงแล้ว ภีรมัตจึงผ่อนกายพิงพนักโซฟา พักหลังมานี่ไม่รู้เป็นอะไร ทำไมเขาถึงปฏิเสธสิตาภาตลอด เรื่องอย่างว่าหายไปจากความรู้สึกตั้งแต่มีเรื่องของพิมพ์ลภัสเข้ามาให้คิดหนัก ทุกครั้งที่เธอเข้าใกล้กลับสร้างความรำคาญ ทั้งที่เมื่อก่อนเขาไม่เคยต้องปล่อยให้สิตารอนาน

ความสัมพันธ์ระหว่างเธอกับเขา มีกฎว่าจะไม่ก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวของอีกฝ่าย และถ้าใครมีคนใหม่ก็ขอให้บอกกันก่อน เขาไม่ว่าอะไรอยู่แล้ว เขาไม่เคยยุ่งเรื่องส่วนตัวเธอ ทั้งที่รู้ว่าระยะหลังสิตาภาแอบมีสัมพันธ์ลึกซึ้งกับนายแบบหนุ่มลูกครึ่งที่ชื่อว่า ไบรอัน นี่เป็นอีกเหตุผลที่เขาตัดสินใจยุติความสัมพันธ์กับสิตาลงเพียงแต่ยังไม่คิดจะเอ่ยปากว่าเขารู้ความจริง เธอคงคิดว่าเขาเป็นไอ้โง่สินะถึงสวมเขาให้ ที่ไม่พูดเพราะยังเห็นเธอเป็นเพื่อนอยู่จึงไม่อยากทำร้ายความรู้สึกกัน แต่เรื่องที่เธอให้ข่าวออกไปแบบนั้น มันทำให้เขาโกรธ

“ค่ะ กำลังจะมีข่าวดีเร็วๆนี้แน่นอน ใช่มั้ยคะภีม บอกไปสิคะว่าเรากำลังดูฤกษ์แต่งงานอยู่” เธอพูดขึ้น จนเขาอึ้งไป ไม่คิดว่าจะถูกมัดมือชกต่อหน้าสื่อแบบนี้ เขาเป็นสุภาพบุรุษพอที่จะไม่ฉีกผู้หญิง จึงเพียงยิ้มบางๆกลับกลายเป็นว่าเขายอมรับ แต่นั่นมันสำหรับเมื่อวาน แต่ตอนนี้สิ!ใจร้อนรุ่มเป็นไฟเพราะข่าวพิมพ์ลภัส
--------------------------------------------------------------***************------------------------------------------------------------------
จุลกานต์เป็นห่วงความรู้สึกของพิมพ์ลภัส เขาโทร.ไปหลายครั้ง แต่เธอก็ไม่มีทีท่าว่าจะรับสาย คงกำลังจับต้นชนปลายไม่ถูกสำหรับเรื่องที่เกิดขึ้น นักข่าวตามเฝ้าเขาทุกที่จนทำงานไม่ได้ต้องหนีกลับมาตั้งหลักที่บ้านแม่ ยังไม่วายโดนคุณหญิงแสงพิไลบ่นเสียยืดยาว ท่านไม่ได้โกรธถ้าเขาจะหมั้นกับพิมพ์ลภัสจริง แต่ที่โกรธเพราะเขาไม่ยอมฉวยโอกาสนี้มัดมือพิมพ์ลภัสแล้วจัดงานหมั้นให้เป็นเรื่องเป็นราวต่างหาก

เขาเป็นดาราเป็นนายแบบ ข่าวแบบนี้ไม่ใช่เรื่องใหญ่โตอะไร แต่ทุกถ้อยคำที่หลุดออกมาจากคลิปนั้น ล้วนมาจากปากพิมพ์ลภัสมันทำให้หาข้อแก้ต่างยาก ลึกๆเขายังมีความเห็นแก่ตัวอยู่อยากเป็นเจ้าของพิมพ์ลภัส แล้วโอกาสแบบนี้ก็ใช่จะมีบ่อยๆ เขาจะรอให้เธอเป็นคนจัดการเรื่องนี้ เธอจะเลือกวิธีไหน เขาก็จะเห็นด้วยทั้งนั้น

------------------------------------------------------------------------------***********------------------------------------------------------
หนังสือพิมพ์ ทีวี โลกโซเชียวเน็ตเวิร์คประโคมข่าวทุกวี่วันจนเรื่องบานปลายไปใหญ่โต พ่อแม่เธอพลอยต้องหลบกองทัพนักข่าวไปด้วย จนแทบไม่กล้าออกงานสังคมที่ไหน เพราะมักจะถูกนักข่าวห้อมล้อมพร้อมทั้งยิงคำถามอีกเป็นชุดจนกระดิกตัวไม่ได้ เธอรู้สึกผิดที่ทำให้พวกท่านต้องพลอยวางหน้าลำบากเวลาถูกถามถึงเรื่องเธอ เพราะลูกสาวดันไปประกาศหมั้นผู้ชายก่อน

จึงเป็นที่มาที่ไปของวันนี้ซึ่งบนโต๊ะอาหารมีแขกเพิ่มอีกสามคน คือครอบครัวจุลกานต์ เธอไม่ได้ฟังด้วยซ้ำว่าพวกเขาคุยอะไรกัน และเมื่อใครคนใดคนหนึ่งเอ่ยถาม เธอก็จะตอบเพียงว่า ค่ะ จะพูดอะไรได้ล่ะ ก็มารดาบอกว่า เธอจะต้องจบปัญหานี้ด้วยการรับหมั้นจุลกานต์ เพื่อให้นักข่าวเลิกเขียนข่าวซะที และมันก็ไม่มีทางเลือกอื่น ท่านอายผู้คนในวงสังคม

หน้าตาทางสังคมและหน้าที่การงานของบิดามารดา เป็นเรื่องสำคัญ เธอไม่อาจดื้อแพ่งเอาแต่ใจได้อีก จึงจำใจยอมตกลงรับหมั้นจุลกานต์เพื่อจบปัญหาข่าวฉาว และมันก็ได้ผลดีเกินคาด

หลังจากวันแถลงข่าวเรื่องหมั้นหมาย นักข่าวที่เคยมาวนเวียนหน้าบ้านหายหมด แต่ข่าวเรื่องงานหมั้นถูกลงต่อเนื่องเกือบอาทิตย์กลบข่าวสิตาภาและภีรมัตไปเลย หนังสือพิมพ์บางเล่มมีเขียนกระเซ้าเหย้าแหย่บ้างว่าเธอขอหมั้นฝ่ายชายก่อน ทว่าเธอขี้เกียจใส่ใจ เรื่องหนักอกยังมีให้คิด

จุลกานต์เองก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร เขายังบอกกับเธอว่า ถ้าเรื่องเงียบลงเมื่อไหร่ ค่อยถอนหมั้นก็ได้ เขาเข้าใจ ยิ่งเขาพูดแบบนี้มันยิ่งทำให้เธอรู้สึกแย่ เพราะใช้เขาเป็นเครื่องมือ

ท้องฟ้าด้านนอกมืดครึ้มลงเรื่อยๆ อีกไม่นานฝนคงจะตก บรรยากาศรอบตัวอึมครึมขมุกขมัวอย่างกับรู้ว่าเธอกำลังทุกข์ใจหนักหนา หันไปทางใดก็เจอแต่มุมทุกด้าน ภีรมัตคงเห็นข่าวงานหมั้นเธอแล้ว พิธีถูกกำหนดเป็นต้นเดือนหน้า ซึ่งตอนนี้เหลือเวลาเพียงสองอาทิตย์เท่านั้น ยิ่งวันหมั้นกระชั้นชิดมันก็ยิ่งบีบคั้นหัวใจเธอแทบจะหยุดเต้น

เพียงอึดใจเดียวเมฆก็กลายสายฝน เทลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตา เธอมองด้านลงเบื้องล่าง ผู้คนวิ่งหลบฝนกันจ้าล่ะหวั่น ทั้งที่รู้ว่าฝนกำลังจะลงเม็ดแต่ผู้คนก็ยังเดินขวักไขว่ อาจจะเพราะด้วยหน้าที่หรืออะไรก็แล้วแต่ที่ทำให้ต้องลุยฝน เหมือนกับเธอเลยปัญหาครั้งนี้เลี่ยงไม่ได้ จำต้องเดินหน้าชนอย่างเดียว

เสียงประตูเปิดเข้ามาแผ่วเบา พิมพ์ลภัสไม่ได้ละสายตาจากภาพผู้คนที่อยู่เบื้องล่าง ยืนมองจากตึกสูงแล้วดูเหมือนฝูงมดเดินกันเป็นสายวุ่นวาย

เลขาหน้าห้องวางเอกลงบนโต๊ะ แล้วยืนนิ่งอยู่ที่เดิม อึกๆอักๆไม่กล้าเอ่ยปากเรียกเกรงจะรบกวนนายสาว อดนึกแปลกใจไม่ได้ว่าคนที่กำลังจะเข้าพิธีหมั้นในอีกไม่กี่วันแล้ว ทำไมถึงยืนหน้าเครียดเหมือนคนไม่อยากหมั้น เธอเข้ามาสองครั้งแล้ว และพบว่าเจ้านายคนสวยยังอยู่ที่เดิม ยืนกอดอกมองออกไปข้างนอกเงียบๆนานนับชั่วโมง

พิมพ์ลภัสหันกลับมาสนใจเลขาสาวหลังจากได้ยินเพียงเสียงประตูเปิดแต่กลับไม่ได้ยินเสียงประตูปิดลงเสียที

“มีอะไรรึเปล่าคะ” เธอเอ่ยเสียงแห้งผาก ไม่ใช่แค่เสียงหัวใจก็เหี่ยวเฉาเช่นกัน

“เอกสารการสั่งซื้อวัตถุดิบเพิ่มเติมค่ะ..รอคุณพิมอนุมัติอยู่ ” เดือนเต็มแจ้งต่อเธอ

“อ้อ..” เธอลืมซะสนิท เดือนเต็มคงเข้ามาตามเอกสารการสั่งซื้อ เพียงแต่ไม่กล้าเอ่ยรบกวน จึงยืนรอเงียบๆ พิมพ์ลภัสเดินกลับมาที่โต๊ะ เพื่อจรดปากกาเซ็นอนุมัติเอกสาร ซึ่งนำกลับไปตรวจทานที่บ้านตั้งแต่เมื่อวาน เธอส่งแฟ้มกลับคืนให้กับเดือนเต็ม ทว่าเจ้าตัวกลับยืนอึกๆอักๆอยู่ที่เดิม

“มีอะไรอีกรึเปล่าคะ” เธอเอ่ย พิมพ์ลภัสให้เกียรติผู้แก่กว่าเสมอ แม้บุคคลนั้นจะเป็นเพียงพนักงานในบริษัท

“ค่ะ บ่ายนี้คุณพิมต้องไปลองชุดไทยสำหรับวันหมั้น คุณหญิงท่านสั่งเอาไว้ให้เตือนค่ะเกรงว่าคุณพิมจะลืม” พิมพ์ล-ภัสสะอึกนิด เธอลืมจริงๆนั่นแหล่ะ ใกล้วันแล้วหรือ

“ค่ะ..” เธอรับคำสั้นๆ ยิ้มบางให้กับเลขาสาวหน้าห้อง
หัวใจกระตุกวูบ เมื่อนึกถึงอิสรภาพที่กำลังจะหมดลง และไม่รู้ว่าจะมีโอกาสได้มันกลับมาอีกครั้งรึเปล่า

---------------------------------------------------------------***********---------------------------------------------------------------------
“ภีมคะ!คุณจะดื่มอะไรนักหนา สิตาเห็นคุณเอาแต่ดื่มเหล้าแทบทุกวัน ถามจริงๆเถอะคุณยังแคร์สิตาบ้างรึเปล่า” ร่างโปร่งสวยเฉี่ยวตรงเข้าแย่งแก้วเหล้าในมือหน้าตาบูดบึ้ง

ตั้งแต่รู้ข่าวว่าพิมพ์ลภัสจะเข้าพิธีหมั้น ภีรมัตก็เปลี่ยนไป เอาแต่คลุกอยู่ที่คอนโดดื่มเหล้าทั้งวัน งานการที่ติดต่อเข้ามาก็ปฏิเสธซะหมด ไม่สนใจโลกภายนอกแม้แต่เธอก็ถูกปล่อยลอยเคว้ง ทว่าภีรมัตกลับไม่สนใจเสียงสิตาภา เขาดึงแก้วเหล้าจากมือบางแล้วยกขึ้นจิบต่อเงียบๆ

“คุณกำลังซีเรียสเรื่องพิมพ์ลภัสอยู่รึเปล่า..” เธอเก็บไม่ไหวอีกต่อไป ยังไงซะก็ต้องคุยกันให้รู้เรื่อง

สามสี่เดือนหลัง ภีรมัตไม่ให้ความสำคัญกับเธอเหมือนอย่างเคย เลิกงานก็กลับบ้านแม่ พอมาค้างที่คอนโดเขาก็บ่ายเบี่ยงมีข้ออ้างหลบหลีกตลอด คอยสังเกตอยู่ว่าเขาแอบมีใครรึเปล่า แต่ก็ไม่พบพิรุธ ลองจ้างนักสืบแอบตามก็ไม่เห็นมีอะไรน่าสงสัย คนที่น่าสงสัยมากที่สุดคงจะเป็นพิมพ์ลภัส ความรู้สึกบางอย่างบอกเธอระหว่างพิมพ์ลภัสกับภีรมัตมีอะไรบางอย่างซ่อนเร้นอยู่

“อะไรทำให้คุณคิดอย่างนั้น” เขาเอ่ยโดยไม่มองหน้า

“ถ้าไม่ใช่ แล้วมันเพราะอะไรกันคะภีม ทั้งที่สิตายืนอยู่ตรงนี้แล้วก็เป็นเมียคุณ แต่คุณกลับไม่เคยสนใจสิตาเลย สิตาไม่ยอม คุณจะต้องหาฤกษ์หมั้นให้เร็วที่สุด ไม่งั้นสิตาจะบอกให้คุณพ่อเรื่องนี้เอง” เธอเป็นลูกสาวนักการเมืองผู้มีอิทธิ เพราะฉะนั้นถ้าเธอต้องการอะไร เธอก็จะใช้อำนาจบิดาบีบบังคับเอามาจนได้ร่วมทั้งตัวภีรมัตด้วย เธอจะต้องบังคับให้เขารับผิดชอบในตัวเธอเสียที

ภีรมัตเหลียวมองสิตาภาหน้าตึง เขาไม่ชอบให้ใครมาบังคับกะเกณฑ์ว่าต้องทำหรือไม่ทำอะไร การที่สิตาภาพูดแบบนี้แสดงว่าเธอกำลังบีบบังให้เขาต้องเอ่ยสิ่งที่ไม่คิดจะทำในฐานะสุภาพบุรุษ เธอหาเรื่องใส่ตัวเองแท้ๆ ความอดทนของภีรมัตขาดผึงหลังจากดื่มแอลกอฮอร์เข้าไปหลายแก้ว สมองที่เคยควบคุมอารมณ์ได้ดีตอนนี้มีสติยั้งคิดน้อยลง

“ถ้าคุณจะทวงสิทธิ์ คนๆนั้นน่าจะเป็นไบรอัน” เขาเอ่ยเสียงแข็ง สีหน้าเย็นชาจนเป็นกระด้าง นึกรำคาญใจที่ถูกรบกวน

เขาไม่เคยคิดอยากจะทำแบบนี้ แต่หนนี้สิตาภายังไม่รู้ตัวเอง กล้ามาเรียกร้องสิทธิ์ทั้งที่เธอเป็นฝ่ายนอกใจเขาก่อนบวกกับความตึงเครียดจากเรื่องที่กำลังทุกข์ใจอยู่ ซ้ำยังต้องมาเจอสิตาภากวนใจอีก จึงเกิดความรำคาญ ทำให้เขาต้องจบเรื่องสิตาภาโดยการเอ่ยความจริงที่เขารู้มาเนิ่นนาน สิตาภาจะได้เลิกคาดหวังในตัวเขาซะที

“คุณพูดเรื่องอะไร อย่ามาหาข้ออ้างไม่อยากรับผิดชอบสิตาหน่อยเลย” แม้จะรู้สึกหน้าชา แต่คนอย่างสิตาภาหรือจะยอมจนมุมง่ายๆ

“คุณจะให้ผมบอกมั้ย ว่าคุณสองคนแอบไปมีอะไรกันที่ไหน แล้วก็เมื่อไหร่” เขาเอ่ยเสียงเข้มเกือบจะเป็นตะคอก สิตาภาหน้าถอดสีทันที เมื่อภีรมัตหยิบรูปถ่ายใบหนึ่งที่เขาแอบถ่ายเก็บไว้เมื่อหลายเดือนก่อน ไม่คิดว่าวันนี้จะได้ใช้มันช่วยตัวเอง นี่เป็นเหตุผลที่เขาไม่อยากแตะต้องสิตาภาอีกเลยตั้งแต่รู้เรื่องเธอกับไบรอัน เห็นแก่เธอที่คบกันมานานจึงไม่อยากหักหาญน้ำใจในทันที ปล่อยคาราคาซังจนตัวเองแทบดิ้นไม่หลุด

สิตาภาได้แต่ยืนอึ้งอ้าปากค้างเติ่ง แย้งไม่ออกเพราะหลักฐานมัดตัวแน่นหนาซึ่งเป็นภาพของเธอกับไบรอันขณะที่กำลังกอดรัดฟัดเหวี่ยงกันเข้าห้องพัก เธอพลาดจนได้ ยังนึกทึ่งในตัวเขาทั้งที่มีงานรุมตอมเยอะทว่ายังหาหลักฐานมาแก้มัดให้ตัวเองจนได้ เขาฉลาดกว่าที่เธอคิดเอาไว้มาก ก่อนจะก้มลงหยิบรูปถ่ายใบนั้นใส่กระเป๋าเตรียมจะก้าวออกจากห้อง

“เดี๋ยว..” ภีรมัตเอ่ย สิตาภาหันมาหาเขาทั้งน้ำตาคลอเบ้า

“คุณจะให้โอกาสสิตาได้มั้ยคะภีม” เธอเอ่ยเสียงสั่นเครือน้ำตานอง

“ผมเสียใจ คืนคีย์การ์ดด้วยครับ ” ภีรมัตเอ่ยเสียงนุ่ม เขาแพ้น้ำตาผู้หญิงแต่หนนี้จะไม่ยอมใจอ่อนเด็ดขาด เพราะมันหมายถึงอิสรภาพทั้งหมดทั้งมวลจะต้องถูกสิตาภายึดครองตลอดชีวิต

----------------------------------------------------------*****------------------------------------------------------------------------
สิตาภากลับไปแล้ว ทั้งห้องเงียบสงบลงอีกครั้ง ทว่าเพียงไม่นานเสียงประตูกลับดังขึ้นมาอีกหน ไม่ต้องหันไปมองก็เดาได้ว่าใคร มีเพียงสองคนเท่านั้นที่มีคีย์การ์ดคอนโดเขาคือศสินและสิตาภา แต่เสียงฝีเท้าใครอีกคนทำให้รู้ว่าศสินไม่ได้มาลำพัง
ทันทีที่ศสินโทร.บอกว่าตอนนี้อยู่ที่กรุงเทพฯ เขาโทร.หาภีรมัตจะให้มารับหน่อย ทว่าเพื่อนเกลอกลับไม่ยอมรับสาย จึงโทร.หาต๋อยแทนแล้วชวนกันมาที่นี่

ต๋อยตั้งใจจะมาหาภีรมัตหลายวันแล้ว มัวแต่ยุ่งจึงปลีกตัวไม่ได้สักที ภีรมัตเงียบหายไปเฉยๆไม่ยอมรับสายใคร งานเก่าก็ยกเลิกงานใหม่ก็ปฏิเสธ โชคดีหน่อยที่ละครปิดกล้องไปหมดแล้ว แต่ก็อดห่วงไม่ได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เพราะภีรมัตไม่เคยทำตัวเหลวไหลมาก่อน

กระทั่งเห็นข่าวบนหน้าหนังสือพิมพ์ถึงเข้าใจ ไม่รู้ป่านนี้ คนที่ยังไม่รู้หัวใจตัวเองจะได้คำตอบรึยัง แต่ดูจากสภาพที่เห็นคิดว่าน่าจะได้คำตอบแล้วล่ะ

ภีรมัตนั่งดื่มเหล้าเงียบๆโดยไม่เหลือบตาแลมองผู้มาใหม่ ตั้งแต่รู้ว่าพิมพ์ลภัสจะหมั้น ความรู้สึกแรกคือหวิวโหวง ต่อมาคืออาการเจ็บแปลบที่หน้าอกหนักขึ้นเรื่อยๆ เขายอมรับว่ายังสับสน เมื่อก่อนเคยคิดว่าตัวเองรักสิตาภา ทว่าความรู้สึกแบบนี้กลับไม่เคยเกิดขึ้น ความเจ็บปวดร้อนรุ่มกระวนกระวายใจจนอยู่ไม่เป็นสุข หัวใจเจ็บร้าวจวนเจียนจะขาดใจพอคิดว่าพิมพ์ลภัสกำลังจะหมั้นกับจุลกานต์มันคืออะไร

เขาเฝ้าถามตัวเองหลายวันที่ผ่านมา ความรู้สึกแบบนี้คืออะไรกัน อาการเจ็บหนึบกลางทรวงอกเกิดขึ้นทุกครั้งที่เห็นเธออยู่กับคนอื่นซึ่งไม่ใช่เขา

หลายปีที่ผ่านมา เขาเฝ้าคิดว่าตัวเองรักสิตาภามาโดยตลอด แต่กลับไม่เคยรู้สึกเจ็บปวดแทบขาดใจยามที่เธออยู่กับคนอื่น เขาไม่เคยทรมานใจเท่าวันนี้เลย

ประโยคที่ต๋อยเคยพูดเตือนในอดีตยังดังก้องอยู่ในหัว “ลองดูหัวใจตัวเองดีๆ ถามมันดูว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้..มันคืออะไร” แว๊บเข้ามาในหัว เขาได้คำตอบแล้ว ใช่!เขารักพิมพ์ลภัส ไม่ใช่ในแบบพี่ชายอย่างที่เขาเฝ้าบอกตัวเองมาตลอด แต่เป็นในแบบที่ผู้ชายคนหนึ่งรักผู้หญิงทั้งหัวใจ

เสียงฝีเท้าสองคู่ขยับเข้ามาใกล้ ต๋อยนั่งลงข้างๆ ภีรมัตเตรียมจะยกแก้วน้ำสีอำพันในมือขึ้นจรดริมฝีปาก ทว่ากลับถูกศสินฉวยแย่งไปซะก่อน ภาพพระเอกขวัญใจมหาชนที่เคยหล่อเหลากระชากใจสาวๆ บัดนี้ไม่ต่างอะไรกับตัวประกอบที่รับบทเป็นผู้ร้าย หนวดเคราเริ่มยาวรุงรัง แสดงว่าเจ้าตัวเลิกใส่ใจตัวเองมาได้พักใหญ่แล้ว

“ที่นั่งดื่มเหล้าเป็นน้ำนี่ รู้ใจตัวเองแล้วใช่มั้ย” ต๋อยพูดเย้าแหย่

ภีรมัตไม่ตอบ แต่เอื้อมไปชิงแก้วเหล้าในมือศสินซึ่งตอนนี้ไม่มีน้ำสีส้มจางลอยอยู่ เพราะศสินเพิ่งจะกระดกลงคอไป เขาเทเหล้าต่อเงียบๆ

ศสินไม่เข้าใจว่าต๋อยกำลังพูดถึงอะไร ภีรมัตรู้ใจตัวเองเรื่องอะไรกัน ในเมื่อเพื่อนมีคนรักอยู่แล้วทั้งคนคือสิตาภา แล้วไอ้การที่ภีรมัตดื่มหนักขนาดนี้ เขาเรียกว่าเฮิร์ตใช่รึเปล่า แต่เมื่อครู่ เขากับต๋อยเพิ่งจะขับรถสวนกับสิตาภาที่แล่นออกไปอย่างรวดเร็ว หรือว่าทะเลาะกัน เฮ้อ..ปวดกะบาลที่จะคิดถามเลยแล้วกัน

“ไอ้ภีม แกอกหักรึไง” ศสินถามหน้ายุ่ง ภีรมัตสบตาทั้งสองครั้งแรกตั้งแต่สองคนเหยียบย่างเข้ามา ทว่าเขากลับย้อนถาม มาแทน

“แกขึ้นจากเรือเมื่อไหร่”

“วันนี้..” ศสินตอบสั้นๆมองภีรมัตยกแก้วเหล้าสาดลงคออีกครั้งและอีกครั้งอย่างไม่เข้าใจ

“ไอ้ภีม สภาพแกตอนนี้เหมือนคนอกเลยว่ะ” ศสินเอ่ยต่อพลางส่ายหน้า แล้วเดินไปหยิบแก้วเปล่าจากครัวมาเพิ่มอีกสองใบ รินเหล้าให้ต๋อยและตัวเองนั่งดื่มเป็นเพื่อนภีรมัต ทั้งยังไม่หายสงสัย ก่อนที่ต๋อยจะพูดขึ้นมาบ้าง

“อาการแบบนี้เขาเรียกว่า..เพิ่งรู้ใจตัวเอง” ต๋อยตอบแทนและเจ้าตัวก็ไม่ได้ปฏิเสธ จึงพูดต่ออย่างนึกสนุก “บ้านโน้นกำลังจะมีงาน เตรียมสถานที่กันให้วุ่น คึกคักน่าดู”

ภีรมัตชะงักมือนิด แก้วเหล้าที่เตรียมจะยกเข้าปากวางลงบนโต๊ะกระแทกเสียงดังปัง ศสินสะดุ้งเหล้าแทบจะพุ่งออกจากปาก หัวใจเจ็บร้าวระบมตอนที่ต๋อยบอก

ใช่..เขาเพิ่งรู้ใจตัวเอง แล้วมันจะมีประโยชน์อะไรในเมื่อพิมพ์ลภัสกำลังจะหมั้นกับคนที่เธอรัก

“สมน้ำหน้าผมได้ตามสบายเลยพี่ต๋อย รู้ตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์” เขาเอ่ย สีหน้าขรึมจัด จนสัมผัสได้ถึงอารมณ์เจ็บปวด

ต๋อยยิ้มกว้างที่พระเอกหนุ่มยอมรับออกมาสักที ในขณะที่ศสินก็เริ่มจับต้นชนปลายถูกเป็นครั้งแรก ภีรมัตทุกข์ใจเรื่อง พิมพ์ลภัสกำลังจะหมั้นกับจุลกานต์นี่เอง เพื่อนหลงรักน้องข้างบ้านเข้าให้แล้ว

มิน่าเล่า..พอเขาถามถึงสาวน้อยหน้าหวานทีไร เพื่อนมักจะออกอาการหงุดหงิดทุกที แล้วก็หาเรื่องเบี่ยงประเด็นไปเรื่อยคอยกันท่าตลอด ที่แท้..ก็กันไว้ให้ตัวเอง ศสินหัวเราะหึๆในลำคอ เพราะตอนนี้ แห้วทั้งคู่ครับ พิมพ์ลภัสกำลังจะเข้าพิธีหมั้นอาทิตย์หน้า

“เค้าแค่หมั้นนี่หว่า ไม่ได้แต่งซะหน่อย อะไรๆก็เปลี่ยนแปลงได้” ศสินพูดลอยๆ สมัยเป็นนักเรียนศสินมักจะชอบทำอะไรบ้าระห่ำเสมอ ถึงได้สอบทหารเรือออกไปรบกับโจรสลัดกลางทะเล

ต๋อยพยักหน้าเห็นด้วยกับศสิน ทว่าคิดกันคนละอย่าง ศสินคิดวางแผนการให้ภีรมัตลักพาตัวว่าที่คู่หมั้นของจุลกานต์ ทว่าต๋อยกลับให้ใช้วิธีนุ่มนวล คือการให้ภีรมัตบอกความในใจของตัวเองให้พิมพ์ลภัสรับรู้

“เค้ารักกัน ฉันจะไปเปลี่ยนแปลงอะไรได้” ภีรมัตเอ่ยเสียงขืนแล้วสาดเหล้าเข้าคออีก รอยร้าวลึกในแววตาฉายชัดให้คนอื่นรับรู้เป็นครั้งแรกอย่างไม่นึกจะปิดบัง

“แน่ใจได้ไงว่าเขารักกัน” ต๋อยเอ่ยขึ้นมาอีก พร้อมเลิกคิ้วมองภีรมัตขณะที่เจ้าตัวเริ่มมีทีท่าหงุดหงิด

“ถ้าเค้าไม่รักกัน แล้วจะหมั้นทำไม” ภีรมัตออกอาการเหวี่ยงเล็กน้อย หางเสียงสะบัดเข้มอย่างหัวเสีย เขาไม่เป็นอันทำอะไรตั้งแต่รู้ข่าว เบื่อทุกสิ่งทุกอย่างรอบตัว มองอะไรเห็นอะไรก็ขวางหูขวางตาไปซะหมด

“แล้วจะนั่งอยู่เฉยๆโดยไม่ทำอะไรเลยรึไง จะปล่อยให้พิมพ์ลภัสหมั้นแล้วก็แต่งงานกับจุลกานต์จริงๆเหรอ งั้นก็ตามใจนะ” ต๋อยโพล่งออกมา หงุดหงิดแทนคนที่เอาแต่เมาอย่างเดียวไม่คิดจะต่อสู้เพื่อความรักของตัวเองบ้างเลย

จากนั้นทั้งห้องก็ตกอยู่ในความเงียบ ศสินและต๋อยออกไปดื่มต่อข้างนอก ชวนแล้วแต่ภีรมัตกลับไม่อยากออกไปเจอเสียงดังๆเขาไม่มีอารมณ์สนุก อยากคิดอะไรเงียบๆลำพังมากกว่า ทั้งสองจึงไม่อยากเซ้าซี้

--------------------------------------------------------------*******------------------------------------------------------------------
หลังจากนั้นสองวันพอเคลียร์งานทุกอย่างเสร็จเขาก็ปลีกวิเวกเก็บตัวเงียบที่ตรัง งานไหนยุ่งยากก็เลื่อนถ่ายไปก่อน ตอนนี้เขาไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรทั้งนั้น อีกอย่าง สิตาภายังคอยมาวนเวียนอ้อนวอนขอร้องให้กลับไปเป็นเหมือนเดิม โดยสัญญาว่าจะทำตัวใหม่ ทว่าเขาไม่อาจทำใจให้กลับไปเป็นอย่างเดิมได้ ในเมื่อเขารู้ใจตัวเองแล้วว่ามันรักใคร ฝืนคบต่อไปก็มีแต่ทำให้สิตาภาเสียใจเปล่าๆ อีกทั้งไม่อยากฝืนใจตัวเอง นี่คือสาเหตุที่ทำให้เขาต้องระเห็จตัวเองมาอยู่ที่นี่

การที่เห็นน้ำตาสิตาภาทุกวัน ไม่ใช่เป็นผลดีสำหรับเขา เขาแพ้น้ำตาผู้หญิงกลัวตัวเองจะใจอ่อนสงสารแล้วปล่อยให้มีอะไรเลยเถิดไปอีก

เสียงเกลียวคลื่นม้วนตัวกระทบฝั่งเป็นจังหวะสม่ำเสมอ ไม่ได้ช่วยให้ความฟุ้งซ่านในใจสงบลงแม้แต่น้อย กลิ่นอายของน้ำเค็มไม่ได้ทำให้เขาดื่มด่ำกับธรรมชาติรอบกาย ความเงียบสงบที่เคยโหยหามานานตอนที่ทำงานหนักทุกวันไม่ได้มีความหมายต่อเขาในเวลานี้ ทุกอย่างรอบกายหมดความสวยงามลงตั้งแต่รู้หัวใจตัวเอง และเขากำลังจะเสียเธอไป
ประโยคของต๋อยยังคงดังก้องอยู่ในหัว หรือว่าเขาควรจะต้องทำอะไรสักอย่างจริงๆ


-------------------------------------------------------*-*--------------------------------------------------------------------

มาลงให้อ่านก่อนค่ะ ไม่มีเวลาตอบเม้นเรย..
By. รจนาไฉน




รจนาไฉน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 26 ก.พ. 2558, 14:41:15 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 26 ก.พ. 2558, 15:13:42 น.

จำนวนการเข้าชม : 1468





<< บทที่ 24 ความลับไม่มีในโลก   บทที่ 30 จอมบงการ >>
Zia 26 ก.พ. 2558, 17:46:08 น.
รอต่อจ้าา


กาซะลองพลัดถิ่น 26 ก.พ. 2558, 19:52:13 น.
ผู้ชายมักแพ้น้ำตาผู้หญิง แต่บางครั้งก็ต้องพิจารณาบ้างว่าคน ๆ นั้นควรได้รับโอกาสอีกไหม
ถ้าเขาไม่ได้รักกันแล้วจะหมั้นกันทำไม เฮ้อ นายน่าจะรู้นะว่าทำไมพิมถึงได้พูดแบบนั้นออกไป
กินหญ้าแทนข้าวอีกล่ะ ภีม


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account