พิมพ์ลภัส
พิมพ์ลภัสเด็กสาวร่างอ้วนแก้มยุ้ยด้วยน้ำหนักตัวเกือบร้อยกิโลกรัมแอบรักพี่ชายขัางบ้านที่โตมาด้วยกัน ทว่าภีรมัตเห็นเธอเป็นแค่น้องสาวเท่านั้น..เธอรู้
ระหว่างเธอกับภีรมัตแตกต่างกันราวผีเน่ากับเทพบุตร ใครจะไปสวยเท่าแฟนสาวสิตาภาที่ครั้งหนึ่งเขาเคยประกาศต่อหน้าเธอว่าใช่สเป็ก นั่นคือจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลงตัวเองครั้งใหญ่ และการกลับมาพบกันอีกครั้งระหว่างเธอกับภีรมัตเรื่องยุ่งๆของหัวใจจึงเริ่มต้นขึ้น

Tags: พิมพ์ลภัส ภีรมัต รักหวานซึ้งปนเศรา้้

ตอน: บทที่ 30 จอมบงการ

ตามติดและติดตามอีกนิดนะคะใกล้จะถึงกาลอวสานแล้วค่า..สำหรับภีรมัตกับพิมพ์ลภัส

ถ้าชอบก็กดไลน์ได้นะคะ


-----------------------------------------------------------------------------------*----------------------------------------------------------------

เช้าวันใหม่..ร่างบางขยับตัวนิดหลังจากนอนหลับเต็มอิ่มสติสัมปชัญญะค่อยๆเด่นชัดขึ้นก่อนจะเริ่มรู้สึกว่าหมอนที่เธอหนุนมันแปลกไป พร้อมกับเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอดังข้างหู เปลือกตาที่ขยับยุกยิกในคราวแรกเบิกโพลงอย่างตื่นๆ มองท่อนแขนที่เธอใช้หนุนแทนหมอนอึ้งๆ ในขณะที่แขนอีกข้างหนึ่งวางพาดอยู่บนเอวเธอ แล้วจู่ๆก็กอดกระชับไว้ซะแน่นเมื่อเธอขยับ พิมพ์ลภัสแหงะมองคนที่นอนกอดก่ายจึงทำให้ปลายจมูกฝังลงบนแก้มขาวๆของภีรมัตพอดิบพอดี เธอรีบกระเด้งตัวจะลุกแต่ภีรมัตกลับเกร็งท่อนแขนไม่ให้ขยับหนี เขาขึ้นมานอนบนเตียงตั้งแต่เมื่อไหร่

“อรุณสวัสดิ์ค่ะ” ภีรมัตเอ่ยทักทายยามเช้าพร้อมรอยยิ้มพราวมหาเสน่ห์

“พี่ภีม...” เธอวางหน้าไม่ถูก เพราะเธอเพิ่งจะฝังจมูกลงบนแก้มเขาเมื่อครู่นี้ และภีรมัตก็เอ่ยทักทายยามเช้าตอกย้ำให้ได้อาย ทั้งที่เปลือกตายังปิดสนิท

“หือ” ภีรมัตขานรับในลำคอก่อนจะลืมตามองสาวน้อยในอ้อมกอดนิ่ง

“ขึ้นมานอนบนเตียงได้ไงคะ” เธอโวยวายกลบเกลื่อนเรื่องบังเอิญเมื่อกี้นี้แล้วรีบสะบัดตัวออกห่างได้ในที่สุด จากนั้นก็ลงไปยืนเท้าเอวข้างเตียงจ้องเป๋งเอาเรื่อง

ภีรมัตขยับตัวนั่งพิงพนักหัวเตียงมองคนที่ตื่นมาโวยวายแต่เช้า พอรู้ว่าเขาแอบขึ้นมานอนบนเตียงด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม รู้สึกดีอย่างบอกไม่ถูกที่ตื่นมาแล้วเจอหน้าหวานๆของพิมพ์ลภัส เขาอยากให้เป็นแบบนี้ในทุกๆวัน

“ก็..มันหนาว เราไม่ให้ผ้าห่มพี่สักผืน” เขาตอบโยนความผิดให้เธอซะงั้น ก่อนจะพูดต่อหน้าตาเฉย “ก็แค่กอด ไม่ได้ทำอะไรซะหน่อย โวยวายทำไมคะ” เสียงทุ้มเอ่ยรื่นเรื่อยกลั้นขันในลำคอ

พิมพ์ลภัสมองเขาอึ้งๆอ้าปากค้างนิด เถียงไม่ออกได้แต่จ้องเขาไม่วางตา ใบหน้าร้อนผ่าว ทว่าภีรมัตกลับยิ้มพราวแล้วค่อยๆไล้สายตามองสำรวจร่างบางทีละจุดอย่างจงใจ ในแบบที่ทำให้พิมพ์ลภัสหน้าร้อนฉ่าทีเดียว

“แล้ว..มีอะไร..ตรงไหน..บุบสลายไปรึเปล่า” เขาเอ่ยช้าๆเนิบๆพร้อมกับที่ปากหยักประดับรอยยิ้มเจ้าชู้ตลอดเวลา ดวงตากระจ่างใสมองเขาตาโต ก่อนจะคว้าหมอนปาใส่เขาแล้วรีบเผ่นแน่บเข้าห้องน้ำเพราะไม่อาจทนสู้หน้าได้

“คนบ้า!”

รู้ว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น แต่ความใกล้ชิดมันทำให้เธอเสียศูนย์ หัวใจสั่นหวั่นไหว เขาจะอยากกอดเธอทำไมกัน

--------------------------------------------------------------------------*------------------------------------------------------------------------
ราวชั่วโมงพิมพ์ลภัสจึงก้าวออกจากห้องน้ำเพราะมัวดับอารมณ์ปั่นป่วนและความตื่นเต้นให้คลายลง มองไปที่เตียงกว้างพบแต่ความว่างเปล่า ภีรมัตไม่ได้อยู่ตรงนั้นแล้ว เขาคุยโทรศัพท์อยู่ที่ระเบียง คงจะโทร.หาแฟนสาวเหมือนเคย แม้สมองจะคิดแบบนั้น ทว่าเท้ากลับขยับไปข้างหน้า..ไปหาเขา

เธอไม่ได้อยากแอบฟังหรืออยากรู้ว่าเขาคุยอะไรกับสิตาภา แต่อยากใช้โทรศัพท์บ้าง กระเป๋าสะพายที่ติดตัวมาด้วยหายไปตั้งแต่วันที่ถูกลักพาตัวมา มือถือก็อยู่ในนั้น เธอหยุดเท้าลงหน้าประตูระเบียง ซึ่งภีรมัตหันกลับมาพอดีหลังจากวางสาย

“ขอใช้โทรศัพท์ได้มั้ยคะ”

ภีรมัตชักสีหน้าตึงขึ้นมาทันที ทั้งที่เมื่อกี้เขายังยิ้มให้เธออยู่เลย

“จะโทร.หาใคร” เขาถามห้วนๆ

น้ำเสียงตึงๆพิกล แค่ขอใช้โทรศัพท์ทำไมจะต้องโกรธขนาดนั้นด้วย เธออยากโทร.หาที่บ้าน ทว่าภีรมัตกลับคิดตรงกันข้าม นึกว่าสาวน้อยจะโทร.รายงานจุลกานต์เพื่อบอกว่าเธอกำลังจะกลับกรุงเทพฯ

“ที่บ้านค่ะ ไม่รู้พ่อกับแม่..ว่ายังไงบ้าง” เธอบอกตามจริง พอได้ฟังคำตอบ สีหน้าตึงๆของภีรมัตจึงคลายลงก่อนจะบอกบางอย่างกับเธอ ..บางอย่างที่ฟังแล้วทำให้เธอปวดหัวตึบ อยากจะเป็นลมล้มพับขึ้นมาทันที

“ไม่ต้องหรอก พวกท่านรู้แล้ว” พูดจบเขาก็เดินผ่านหน้าเธอหายไปในห้องน้ำ

“คะ!” พิมพ์ลภัสเผลออุทานเสียงดัง มองตามแผ่นหลังร่างสูงที่ชะงักเท้านิดแต่ไม่คิดจะหันมาอธิบายอะไรเลย

คิ้วเรียวขมวดยุ่งพันกัน พวกท่านรู้แล้ว รู้ว่ายังไง..แล้วรู้อะไรบ้าง โอ๊ย!อยากจะบ้า! พิมพ์ลภัสกุมขมับตัวเอง หนักใจกับสิ่งที่ต้องเผชิญนับจากนี้

--------------------------------------------------------------------------*------------------------------------------------------------------------
ทั้งสองเช็คเอ้าท์ออกจากโรงแรมตอนเจ็ดโมงเช้ากว่าๆ แวะข้างทางหาอาหารและกาแฟลงท้องก่อนออกเดินทาง ภีรมัตยังคงนั่งจิบกาแฟเงียบกริบโดยไม่ให้ความกระจ่างใดๆทั้งที่เธอจ้องเขาเขม็ง สุดท้ายก็เลิกคาดคั้น ถ้าอยากบอกก็คงจะพูดออกมาเอง แต่ที่แน่ๆทุกคนคงรู้แล้วว่าเธออยู่กับภีรมัต ไม่ว่าเขาจะบอกอะไรกับพวกท่าน นั่น!เป็นปัญหาระดับชาติที่เธอต้องเผชิญ

มือบางจิ้มไส้กรอกเข้าปากอีกชิ้น แม้จะกินไม่ค่อยลงนัก แต่สมองก็ต้องการสารอาหารเพื่อหาวิธีแก้ปัญหาเพราะฉะนั้น..ก็ต้องฝืนกลืนมันลงไปเงียบๆเช่นกัน

ภีรมัตจมดิ่งกับความคิดตัวเองพักใหญ่ พิมพ์ลภัสคงอยากรู้ว่าเขาบอกอะไรกับทางบ้านบ้าง เมื่อเช้าตอนที่โทร.หามารดาแล้วบอกว่าจะกลับกรุงเทพฯ ท่านดีใจมากทั้งยังสั่งให้เขาช่วยตามหาพิมพ์ลภัสอีกแรง แต่พอเขาบอกว่าเธออยู่กับเขาตลอดเวลา มารดาก็เงียบไป คงจะตกใจไม่น้อยถึงได้เงียบนานซะขนาดนั้นก่อนจะถามกลับมา

“ภีมเป็นคนลักพาตัวน้องไปเรอะ”

“ครับ” เขาตอบสั้นๆ เท่านั้นคนเป็นแม่ก็เข้าใจเรื่องราวทั้งหมดโดยที่เขาไม่ต้องเล่า มารดายังพูดคล้ายคนละเมอกลับมาอีกว่า

“แม่ต้องไปบ้านโน้นแล้วล่ะลูก”

จากนั้นท่านก็ตัดสายไปโดยที่เขาไม่ได้คัดค้านห้ามปรามอะไร เพราะคิดเอาไว้แล้วว่าจะรับผิดชอบต่อเรื่องทั้งหมดที่เป็นคนก่อนี้ยังไง

ทันทีที่ถึงกรุงเทพฯ เขาจะจัดการเรื่องพิมพ์ลภัสให้เรียบร้อย จะได้ไม่ต้องกังวลว่าจุลกานต์จะมาวุ่นวายอีก เมื่อพิมพ์ลภัสแต่งงานเป็นภรรยาถูกต้องตามกฎหมายของเขาแล้ว จุลกานต์คงจะไม่กล้ามาข้องแวะด้วย เธอจะรักหรือไม่รักเขานั้นมันไม่สำคัญแล้วตอนนี้ รู้เพียงอย่างเดียว เขาไม่อาจทนรอให้เธอรักเขาก่อนแต่งงานได้อีกต่อไป เกรงจะไม่มีวันนั้น

ภีรมัตจ้องใบหน้าเนียนใสไร้เครื่องสำอางของสาวน้อยที่เขาเห็นมาตั้งแต่เด็กนิ่งๆ เจ้าตัวคงไม่รู้ว่ามีอิทธิพลต่อเขามากมายเพียงใดถึงนั่งจิบกาแฟใจเย็น คงไม่ทุกข์ไม่ร้อนในขณะที่เขาแทบจะเป็นบ้าไปทุกทีๆ ตั้งแต่รู้ว่าหัวใจมันรักเธอ เขาก็ไม่เคยรออะไรได้สักอย่างเดียว

“กลับถึงกรุงเทพฯ เราจะแต่งงานกันทันที” เขาเอ่ยสิ่งที่กำลังคิดอยู่ในหัวออกมา โดยไม่มองเธอ

มือบางที่กำลังยกถ้วยกาแฟขึ้นจรดริมฝีปากอิ่มอ่อนแรงทันที ถึงกับปล่อยให้ถ้วยกาแฟหลุดร่วงลงกระทบพื้นเสียงดัง มือชาจนรู้สึกว่าถ้วยมันหนักเกินไปก่อนจะหันมาจ้องเขาไม่วางตาคล้ายไม่เชื่อสิ่งที่ตัวเองเพิ่งจะได้ยิน

“คะ!” เธอต้องการคำอธิบาย

“ชัดแล้วนี่ ไม่ผิดหรอก เราจะแต่งงานกัน” ตอบเพียงเท่านั้นภีรมัตก็ลุกจากเก้าอี้เพื่อชำระค่าอาหารก่อนออกเดินทาง เธอมองตามร่างสูงด้วยความไม่เข้าใจ เขาจะแต่งงานกับเธอทำไม

-----------------------------------------------------------------------------------*--------------------------------------------------------------
พิมพ์ลภัสกลับมารอที่รถปล่อยให้ภีรมัตจัดการเคลียร์ค่าอาหารพร้อมค่าเสียหายที่เธอทำถ้วยกาแฟหลุดมือแตกกระจาย ประโยคเมื่อครู่จากภีรมัตไม่ได้ทำให้เธอดีใจ แต่กลับเป็นกังวลและไม่เข้าใจมากกว่า

ภีรมัตกลับมาที่รถ เขาชะงักเท้านิดเมื่อเห็นพิมพ์ลภัสเดินวนกลับไปกลับมาคล้ายกำลังคิดหนัก เธอคงกลุ้มใจเรื่องที่เขาเพิ่งจะบอกไป ถึงได้เดินไปมาเหมือนหนูติดจั่นแบบนั้น คงไม่อยากแต่งงานกับเขา ยิ่งคิดก็ยิ่งหงุดหงิด พอคิดว่าเธออยากหมั้นและแต่งกับจุลกานต์มากกว่าจะเป็นเขามันทำให้ภีรมัตชักโกรธ พอมาถึงรถก็ดิ่งไปที่ประตูฝั่งคนขับโดยไม่พูดอะไรสักคำแม้พิมพ์ลภัสจะจ้องเขาตาไม่กระดิกเพื่อรอฟังคำอธิบาย

เธอรีบกระโจนตามขึ้นรถ เหลือบเห็นกระเป๋าสะพายตัวเองซึ่งคิดว่าจะถามอยู่พอดี มันวางตรงกลางระหว่างเธอกับภีรมัต เขาคงเอามาคืนหลังจากที่ซ่อนไว้ที่ไหนสักแห่งในรถ บรรยากาศภายในเงียบกริบจนน่าวังเวง ภีรมัตยังคงนิ่งไม่คิดจะอธิบายใดสักคำเดียวทั้งที่ความสงสัยมีจนคับอกแทบล้นทะลัก

“กลับถึงกรุงเทพเราจะแต่งงานกันทันที” ประโยคนี้ยังคงดังก้องในหัวตลอดเวลา

พิมพ์ลภัสจ้องเสี้ยวหน้าหล่อเหลาเขย่าใจเธอให้สั่นคลอนทุกครั้งที่พบเจอตาไม่กะพริบ ทว่าภีรมัตกลับเฉยมองถนนเพียงอย่างเดียว เธอจึงเบนสายตากลับทางเดิมบ้างคือมองถนนเหมือนกันกับเขา เผลอถอนใจเบาๆหนักอกอย่างบอกไม่ถูก

ภีรมัตกำลังคิดหาเหตุผลถ้าเกิดเธออยากรู้ขึ้นมา เขาจะพูดอย่างไรเพื่อให้พิมพ์ลภัสยอมแต่งงานกับเขาโดยไม่มีข้อโต้แย้ง แล้วสิ่งที่นึกกลัวก็เกิด..เมื่อพิมพ์ลภัสเปิดฉากถามขึ้นมาจริงๆ

“ทำไมเราต้องแต่งงานกันด้วยคะ” เธอเอียงคอมองเขารอคอยคำตอบหลังจากเปิดฉากขึ้นมาก่อน ทว่าภีรมัตก็เอาแต่นิ่งเงียบ..เป็นพักกว่าที่เขาจะยอมเปิดปาก

“พี่ต้องรับผิดชอบกับเรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้น” เขาตอบราบเรียบไม่สบตาเธอเช่นเคย

พิมพ์ลภัสสะอึกไปนิด เหลียวมองคนข้างกายที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆแล้วหันกลับทางเดิม นึกอยากร้องไห้ ขึ้นมา เขาแค่ต้องการรับผิดชอบในฐานะที่เป็นคนก่อเรื่องวุ่นวาย ไม่ได้มีความรักเป็นองค์ประกอบ เธออยากแต่งงานกับเขา..แน่นอนที่สุดแต่ต้องไม่ใช่แบบนี้

พ่อกับแม่คงทราบเรื่องแล้ว ถ้าจะกลับไปหมั้นกับจุลกานต์สังคมจะมองเธออย่างไร แต่การที่เธอหายออกมาจากงานหมั้น แล้วกลับไปอีกครั้งเพื่อเข้าพิธีวิวาห์กับพระเอกยอดนิยมอย่างภีรมัต สถานการณ์ที่ต้องเจอก็ไม่ต่างกันอยู่ดี คำครหามากมายคงตามมาไม่หยุดหย่อน สังคมจะไม่มองว่าเธอเป็นนางวันทองสองใจหรือ

อีกทั้งหน้าตาทางสังคมของบิดามารดาก็เป็นเรื่องสำคัญ ภีรมัตคิดจะรับผิดชอบที่ทำให้เธอด่างพร้อย แล้วความรู้สึกเธอล่ะ.. การแต่งงานมันเป็นเรื่องสำคัญที่สุดในชีวิตผู้หญิง ถ้าต้องเป็นสมบัติของใครสักคน เธอก็อยากให้มีองค์ประกอบหลักๆครบถ้วนสมบูรณ์ ขอให้มีความรักเป็นตัวแปรสำคัญไม่ใช่แค่ความรับผิดชอบอย่างเดียว โอย!กลุ้ม

ถึงเธอจะรักเขามากมายเพียงใด แต่ภีรมัตไม่ได้รักเธอ เขามีคนที่รักอยู่แล้ว มันจะไม่โหดร้ายไปหน่อยเหรอถ้าต้องแต่งงานกับเธอซึ่งเขาไม่ได้รัก คำครหาทางสังคมไม่สำคัญเท่าความรู้สึก เธอไม่ได้เห็นแก่ตัวมากพอที่จะใช้วิธีนี้ผูกมัดเขาให้อยู่กับเธอไปตลอดชีวิตทั้งที่หัวใจมอบให้คนอื่น ปากอิ่มถอนใจยาวติดๆกัน คิดไม่ตกว่าจะจัดการเรื่องนี้ยังไง

ภีรมัตเหลือบมองคนข้างกายนิด เสียงถอนใจหนักหน่วงทำให้รู้ว่าเธอไม่เห็นด้วยกับการแต่งงานครั้งนี้ ความเจ็บปวดทรมานเข้าจู่โจมจิตใจ ยอมรับว่าเห็นแก่ตัวอย่างร้ายกาจ ที่ยกเรื่องนี้มาเป็นข้ออ้างเพื่อบังคับให้เธอแต่งงานกับเขา เธอเจ็บปวด เขาเองก็ไม่ต่างกัน แต่ก็ไม่อาจทานทนแบกรับความเจ็บปวดเพียงลำพังแล้วปล่อยมือจากพิมพ์ลภัสได้ เขาไม่อาจเสียเธอให้กับใครทั้งนั้น จึงต้องใช้เรื่องนี้ผูกมัดตัวเธอให้อยู่กับเขาทั้งที่พิมพ์ลภัสไม่เต็มใจ

เธออาจจะมีใจให้จุลกานต์จริงๆแค่คิดว่าพิมพ์ลภัสรักจุลกานต์ ก้อนเนื้อในอกก็เจ็บร้าวระบมใจจะขาดรอนๆ มือหนากำพวงมาลัยแน่น ถ้ามันแตกได้คงแหลกละเอียดคามือเพราะโทสะ ก่อนจะเหยียบคันเร่งเพิ่มความเร็วขึ้นอีก ยิ่งคิดว่าเธอไม่อยากแต่งงานกับเขา มันก็ยิ่งโกรธ

พิมพ์ลภัสเหลียวมองภีรมัตนิดเพราะรู้สึกว่าความเร็วของรถเพิ่มขึ้นแต่ก็ไม่คิดจะห้ามปรามอะไร ใจเธอก็อยากให้ถึงกรุงเทพฯเร็วๆเหมือนกัน

---------------------------------------------------------------------------*-----------------------------------------------------------------------
ภีรมัตขับรถรวดเดียวจากสุราษฎร์ถึงกรุงเทพฯใช้เวลาเกือบแปดชั่วโมงโดยไม่แวะพักและไม่มีบทสนทนาเพิ่มเติม จึงไม่ต่างกับการโดยสารรถประจำทางที่มีเพื่อนร่วมทางเต็มคันแต่ไม่รู้จักสักคนเดียว รถสปอร์ตสีดำขลับเลี้ยวจอดเทียบคฤหาสน์วีรภากานต์ราวจรวด กระทั่งคนสวนที่ทำงานอยู่บริเวณนั้นกระโดดหลบเข้าข้างทางแทบไม่ทัน

พิมพ์ลภัสกระโจนลงจากรถทันทีที่ความเร็วชะลอลงทั้งที่ข้อเท้ายังเจ็บ จนลืมคว้ากระเป๋าสะพายติดมือลงมาด้วย สลอและแววดาวปรี่มารับนายสาวอย่างยินดี เธอจะก้าวเข้าบ้านอยู่แล้วเชียวถ้าไม่มีเสียงห้วนๆของภีรมัตดังขึ้นมาตามหลัง

“เดี๋ยว” เขาเลื่อนกระจกฝั่งที่พิมพ์ลภัสยืนอยู่ลงครึ่งเดียว ก่อนจะก้าวลงจากรถพร้อมกระเป๋าสะพายในมือ “กระเป๋า” ภีรมัตฉวยมือบางวางกระเป๋าสะพายลงบนมือนุ่มแผ่วเบา

“พรุ่งนี้ พี่จะให้พ่อกับแม่มาคุยเรื่องงานแต่งของเรา” พูดจบก็ก้าวขึ้นรถเร่งเครื่องยนต์ออกไปปานพายุ

พิมพ์ลภัสมองส่งจนพ้นรอบแนวรั้ว เธอคิดไม่ออกเลยว่าชีวิตคู่ระหว่างเธอกับภีรมัตจะเป็นอย่างไร สลอและแววดาวมองหน้ากันเลิ่กลั่กก่อนจะร้องเสียงก้องดีใจ ทั้งสองไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นระหว่างพิมพ์ลภัสกับภีรมัต แต่สิ่งที่เพิ่งจะได้ยินจากปากภีรมัตเมื่อครู่นี้ถือเป็นเรื่องน่ายินดีและเป็นข่าวดีที่สุดในรอบปี ก่อนที่นายสาวจะหันมาทำตาดุๆใส่ที่ทั้งสองดีใจเกินกว่าเหตุ

“พาพิมเข้าบ้านเถอะ” สลอและแววดาวต่างช่วยกันพยุงเจ้านายสาวเข้าบ้าน ทั้งยังพูดคุยเรื่องงานมงคลระหว่างพิมพ์ลภัสกับภีรมัตด้วยท่าทีตื่นเต้นไม่เลิก

พอเข้ามาในบ้านก็พบบิดามารดานั่งรออยู่ก่อนแล้ว สถานการณ์ไม่ได้ดีกว่าที่เธอเพิ่งผ่านพ้นมา มารดานั่งคอตั้งบ่า หน้าตึงไม่เหลือบแลเธอสักนิด มีเพียงบิดาที่อ้าแขนรอให้เธอเข้าไปสวมกอด

“อยู่กันครบเชียว” เธอเอ่ยใบหน้าจืดเจื่อน ก่อนที่มารดาจะรัวคำพูดไม่ยั้ง

“งามหน้ามั้ยเนี่ย จะให้ฉันเอาหน้าไปไว้ที่ไหนพิมพ์ลภัส ลองบอกมาสิ!” พิมล์ภัสน้ำตาคลอ

“พิมขอโทษค่ะคุณแม่” เธอพนมมือไหว้มารดา

“ขอโทษ! แล้วมันแก้ไขอะไรได้รึเปล่าล่ะ” คุณหญิงปานทิพย์ลุกขึ้นมาชี้หน้าบุตรสาวตวาดกร้าว สามีจึงต้องปราม

“ใจเย็นๆสิคุณหญิง” คุณหญิงปานทิพย์มองหน้าสามีนิดก่อนจะสูดลมหายใจเข้าปอดลึกๆเพื่อระงับสติอารมณ์

ตนกับสามีรู้เรื่องจากเพ็ญมณีเมื่อเช้า ทางโน้นแสดงความรับผิดชอบเต็มที่เพียงแค่รอให้ทั้งคู่กลับถึงกรุงเทพฯ ก่อนอีกทั้งยังยอมรับผิดทุกอย่างแทนภีรมัต ถ้าภีรมัตและพิมพ์ลภัสกลับมาเมื่อไหร่จะเข้ามาหารือถึงเรื่องที่เกิดขึ้นว่าจะจัดการอย่างไรดี

คุณหญิงปานทิพย์เพ่งพิศใบหน้าอ่อนใสของบุตรสาวที่ยืนน้ำตานองแก้มมองพื้นก่อนจะยื่นมือไปคว้ามือบางมากุมไว้เพียงหลวมๆ แล้วเอ่ยเสียงนุ่มลง จากนั้นก็สั่งเสียงเฉียบ

“ลูกพิม.. แม่จะไม่ถามถึงเรื่องที่เกิดขึ้น แต่ถ้าจะหนีงานหมั้นงานแต่งอีกล่ะก็..อย่ามาเรียกฉันว่าแม่เด็ดขาด!..” พูดจบท่านก็ผละขึ้นข้างบนไป พิมพ์ลภัสมองตามแผ่นหลังมารดาอึ้งๆราวกับท่านรู้ทันความคิดว่าเธอกำลังจะทำอะไรต่อจากนี้ ถึงได้สั่งเสียงเฉียบขาดในแบบที่เธอไม่เคยเห็นมารดาเป็นมาก่อน

เธอโผเข้าหาอกอุ่นของบิดาอย่างต้องการคนปลอบใจและเธอก็ไม่ผิดหวัง ท่านลูบศีรษะเธอแผ่วเบาด้วยความรักและเอื้ออาทร

“แม่กำลังโกรธ เดี๋ยวเดียวก็หาย อย่าคิดมากเลยลูก”

--------------------------------------------------------------------------------*------------------------------------------------------------------
เสียงเครื่องยนต์ดับลงแล้วทว่าภีรมัตกลับนั่งนิ่งไม่ลงจากเลยทันที เขาไม่คิดจะเข้าบ้านพิมพ์ลภัสตอนนี้เพราะยังไม่พร้อมจะพบกับบิดาพิมพ์ลภัส นึกกลัวใจคุณอาบรรพตซึ่งไม่รู้ว่าเตรียมลูกปืนรออยู่รึเปล่า ก่อนจะปลดเข็มขัดนิรภัยลงจากรถแล้วเดินเข้าบ้าน ไม่แปลกใจที่พบบิดามารดานั่งรออยู่ ทั้งสองไม่ได้ตำหนิเขาต่อเรื่องที่เกิดขึ้น

ก่อนจะพบหน้าบุตรชายนางเพ็ญมณีและสามีนั่งปรึกษากันมาพักใหญ่แล้ว และก็ได้บทสรุปว่าจะจบเรื่องนี้ยังไง ตนและสามีพอจะเข้าใจถึงสาเหตุที่ทำให้ภีรมัตต้องก่อเรื่องวุ่นวายแบบนี้ และถ้ามองไม่ผิด ภีรมัตรักพิมพ์ลภัสแน่นอน เพียงรอฟังจากปากบุตรชายว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไงเท่านั้น

ภีรมัตสบตาทั้งสองท่านหลังจากทิ้งตัวลงนั่งบนเก้าอี้

“ถ้าจะแค่ขอขมา..ไม่ได้นะภีม” นายแพทย์ประจักษ์เอ่ยขึ้นมาก่อน

“จริงด้วยลูก แม่ทิพย์คงไม่ยอม” มารดาเสริมขึ้นมาอีก ภีรมัตสบตาบิดามารดานิดสีหน้าเคร่งเครียด พวกท่านก็คงหนักอกหนักใจไม่ต่างจากเขานัก ภีรมัตนิ่งไปพักใหญ่ก่อนจะเอ่ยเสียงหนักแน่น

“ผมจะแต่งงานกับพิมครับ”

สองสามีภรรยาหันสบตากันนิด ยิ้มพอใจ เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ทั้งคู่คิดเอาไว้อยู่แล้วเพียงแค่อยากฟังจากปากบุตรชายเท่านั้น เดิมทีคิดเอาไว้ ถ้าภีรมัตปฏิเสธที่จะรับผิดชอบด้วยการแต่งงานก็คงจะต้องบังคับกันล่ะ แต่นี่..มาจากปากบุตรชายเองเรื่องก็ง่ายขึ้น

-------------------------------------------------------------------------*----------------------------------------------------------------------
เย็นวันเดียวกัน หลังจากแทนไทและเพียงอรรู้ข่าวว่าพิมพ์ลภัสกลับถึงบ้านแล้ว ทั้งคู่ก็ดิ่งมาหาหลังจากเลิกงาน โดยแทนไทเป็นฝ่ายไปรับเพียงอร แต่พอมาถึงกลับพบพิมพ์ลภัสนั่งเงียบริมสระน้ำ ทั้งที่แววดาวเพิ่งจะบอกว่าพิมพ์ลภัสกำลังจะแต่งงานกับภีรมัต เพียงอรดุนหลังให้แทนไทเป็นฝ่ายเดินนำเข้าไปก่อน เสียงฝีเท้าสองคู่ทำให้พิมพ์ลภัสต้องเงยขึ้นมอง

“เป็นไงบ้างพิม” แทนไทเอ่ยอย่างไม่รู้จะพูดอะไรดีไปกว่านี้ อกซ้ายสะเทือนตั้งแต่รู้ว่าพิมพ์ลภัสจะแต่งงานกับคนที่เธอรักมาตลอด
แต่ความเจ็บปวดไม่เทียบเท่ากับความยินดี เขาอยากเห็นพิมพ์ลภัสมีความสุข แต่ท่าทางพิมพ์ลภัสไม่ใช่อาการของคนที่มีความสุขจะได้แต่งงาน คล้ายคนที่กำลังประสบทุกข์หนักหนาสาหัสถึงได้หน้ายุ่งคิ้วพันกันแบบนี้

พิมพ์ลภัสเบนสายตาไปทางอื่น จะตอบอย่างไรดี เธอเองก็พูดไม่ออก เป็นอย่างไรล่ะ ก็อย่างที่เห็นไง เธอถอนใจเฮือกใหญ่

“หมดทุกข์หมดโศกซะทีนะแก” เพียงอรพูดขึ้นบ้าง ยิ้มกว้างให้เพื่อนสาว ทว่าพิมพ์ลภัสกลับมองมานิ่งๆหน้าเครียด ทำให้เพียงอรหุบยิ้มฉับจ๋อยลงไปสนิท

หมดทุกข์ที่ไหนกัน ทุกข์หนักยิ่งกว่าเดิมสิไม่ว่า เธอเครียดตั้งแต่รู้ว่าจะต้องเข้าพิธีวิวาห์ ทุกข์ทรมานใจยิ่งกว่าที่รู้ว่าการแต่งงานครั้งนี้ไม่ได้มีความรักเป็นองค์ประกอบ

แววทุกข์ตรมบนใบหน้าพิมพ์ลภัสทำให้เพียงอรรู้สึกผิด นี่เธอช่วยให้เพื่อนมีความสุขหรือทุกข์ยิ่งกว่าการเข้าพิธีหมั้นกับจุลกานต์กันแน่ เครียดว่ะ.. นึกว่าจะเข้าใจกันแล้วซะอีกเห็นกลับมาถึงก็จะจัดงานแต่งทันที แต่ไหง๋พิมพ์ลภัสถึงทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แบบนี้ล่ะ

“พี่แววบอกว่าพิมกำลังจะแต่งานกับเอ่อ...” แทนไทละชื่อของคนที่ทำให้เขาต้องพบกับความผิดหวัง ไม่อยากพูดต่อ พิมพ์ลภัสเงยสบตาแทนไทและเพียงอรนิดแล้วถอนใจยาวกว่าเดิม จู่ๆแทนไทก็ร้องเสียงหลงขึ้นมา

“โอ้ย! เจ็บนะเว้ย แกหยิกฉันทำไมวะ” แทนไทดุเพียงอรเสียงเข้มที่จู่ๆก็หยิกหมับเข้าที่เอวเขาเต็มแรง เพียงอรเอียงหน้าเข้ามากระซิบ

“จะถามอะไร หัดสังเกตสีหน้าคนบ้าง ดูสิ!หน้าเป็นปลาบู่ขาดน้ำซะขนาดนั้น”
แทนไทเห็นจริงอย่างที่เพียงอรบอก แวววิตกกังวลฉายชัดเต็มดวงหน้างดงาม หาได้มีความสุขอย่างที่ควรจะเป็น สร้างความสงสัยให้เขาไม่น้อย

“คุยเรื่องอื่นก่อนได้มั้ย พิมยังไม่อยากพูดถึงเรื่องนี้” น้ำเสียงที่เอื้อนเอ่ยออกมาเบาหวิวจนแทบไม่มีเสียง ตาแดงๆคล้ายจะร้องไห้ ก้อนแข็งๆตีรื้นจุกกลางลำคอ พูดไม่ออกเมื่อถูกถามถึงเรื่องที่กำลังทุกข์ใจอยู่ขณะนี้

“ไทขอโทษ” รู้สึกแย่ที่ถามไม่สังเกตสีหน้าพิมพ์ลภัสก่อนอย่างที่เพียงอรเพิ่งตำหนิไป ใบหน้าหวานละมุนขรึมลงไปอีก

พิมพ์ลภัสไม่โกรธที่ถูกถาม แต่เธอกำลังเครียดซะจนไม่อยากได้ยินเรื่องหนักใจอยู่ เธอเครียดตั้งแต่ภีรมัตบอก..จนถึงเดี๋ยวนี้ สมองปวดตุบหนักอึ้งจนแทบจะทรงตัวไม่อยู่ ทั้งที่ก็เพลียและง่วง ทว่าไม่อาจข่มตาให้หลับลงได้เพราะเสียงของภีรมัตยังดังก้องอยู่ในหัว จนต้องระเห็จตัวเองออกมานั่งอยู่ตรงนี้นานนับชั่วโมง

เสียงโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงแทนไทดังขึ้นทำลายความเงียบ เขาจึงปลีกตัวออกมาคุยเพราะเป็นสายสำคัญ เพียงอรมองตามแผ่นหลังแทนไทนิดก่อนจะขยับเท้าเข้าใกล้พิมพ์ลภัสยืนเก้ๆกังๆ ขลาดกลัวต่อสิ่งที่ตนกระทำลงไป เธอห่วงเพื่อนสุดใจ แต่ไม่รู้จะปลอบใจยังไง เพราะมีส่วนร่วมช่วยให้ภีรมัตลักพาตัวพิมพ์ลภัสจนสำเร็จ ความผิดมันคาคออยู่ เดี๋ยวจะเผลอพูดอะไรให้พิมพ์ลภัสสงสัยได้ เพียงมองพิมพ์ลภัสตาปริบๆอ้ำอึ้งอยากจะพูด

“มีอะไรอร อึกอักอยู่ได้”

“..แกดูเครียดจังพิม”

“ใครจะไปยิ้มออกวะ..แกลองมาเจอแบบฉันดูม๊ะ”

เพียงอรขยับเข้ามาใกล้ก่อนจะตบไหล่เพื่อนรักเบาๆปลอบใจ

“ฉันไม่ชอบที่แกเป็นแบบนี้เลยว่ะ” ฉันขอโทษ ประโยคหลังเธออยากจะพูดออกไป แต่ก็เกรงว่าพิมพ์ลภัสจะจับได้ พิมพ์ลภัสสบตาเธอเศร้าๆ ไม่คิดว่าเรื่องจะกลายเป็นแบบนี้ ไม่ถึงว่าความหวังดีของเธอจะทำให้พิมพ์ลภัสต้องพบเจอกับเรื่องราวอะไรก็ตามที่ทำให้ทุกข์ใจอย่างแสนสาหัส ใบหน้าที่เคยงดงามซูบซีดหมองคล้ำจนน่าเห็นใจ

แทนไทกลับมาร่วมวงอีกครั้งหลังจากคุยธุระเสร็จ

“มีงานด่วน พี่เอกให้ฉันไปทำแทนหน่อย เมียแกกำลังจะคลอด” เขาบอกเพียงอรก่อนจะหันมาพูดกับพิมพ์ลภัสบ้าง “ไทกลับก่อนนะพิม แล้วจะแวะมาใหม่” แทนไทตบมือนุ่มเบาๆ พิมพ์ลภัสยิ้มบางเบาให้เขา มันเป็นรอยยิ้มที่ฝืนเต็มทีในความคิดเขา แล้วหันมาถามเพียงอร “จะกลับพร้อมกันเลยมั้ยอร”

เพียงอรพยักหน้ารับ ตอนนี้พิมพ์ลภัสคงอยากอยู่คนเดียวมากกว่าทั้งที่เธอไม่อยากจะทิ้งพิมพ์ลภัสไว้แบบนี้นัก แต่พิมพ์ลภัสคงอยากคิดอะไรเงียบๆลำพังไม่อยากให้ใครรบกวนมากกว่าก่อนจะเอื้อมมือวางทาบทับบนมือพิมพ์ลภัสแล้วตบหลังมือเบาๆปลอบใจ พยายามถ่ายทอดความรู้สึกห่วงใยทั้งหมดที่มีผ่านดวงตา

“ฉันเสียใจว่ะ ที่เห็นแกเป็นแบบนี้” เธออยากพูดมากกว่านั้น อยากเอ่ยคำขอโทษ ทว่าขลาดเกินจะเอ่ยออกมาได้ ถ้าพิมพ์ลภัสรู้ว่าเธอร่วมมือกัภีรมัตอาจจะโกรธจนตัดเพื่อนก็ได้

พิมพ์ลภัสสบตาเพียงอรนิด ประโยคเมื่อครู่และแววตาเสียใจมันสะดุดหูและความคิดเธอ ทว่าสมองไม่ว่างพอจะใส่ใจเพราะมีเรื่องราวมากมายให้เธอได้ครุ่นคิดจนไม่ทันสังเกตุแววผิดบาปในสายตาเพียงอร

พอขึ้นรถได้เพียงอรก็เอาแต่เงียบคิ้วขมวดพันกันยุ่งจนผิดสังเกต ทว่าเขาก็ไม่คิดจะถาม แล้วจู่ๆเธอก็โพล่งลอยๆออกมา เปรยบ่นกับตัวเอง

“นี่ฉันทำผิดรึเปล่าวะ” แทนไทหันมามองเสี้ยวหน้าด้านข้างของเพียงอรนิด ก่อนที่เพียงอรจะคายความลับออกมาที่ทำให้แทนไทแทบจะเหยียบคันเร่งพุ่งชนรถท้ายคันข้างหน้า

“ฉันร่วมมือกับพี่ภีมลักพาตัวไอ้พิมว่ะ” แทนไทตบไฟขอทางแล้วหักพวงมาลัยจอดเทียบฟุตบาต เขาเหยียบเบรกเต็มฝ่าเท้า ทำให้เพียงอรซึ่งลืมคาดเข็มขัดหน้าคะมำไปกระแทกกับคอนโซลรถเสียเต็มแรง

“เป็นบ้าอะไรวะ..” เพียงอรคลำหน้าผากป้อยๆ มองแทนไทตาเขียวขุ่นเตรียมจะโวยต่อว่า แต่กลับพบกับสายตาเข้มดุกลับมาแทนจึงเงียบปากซะก่อนจะโดนทิ้งไว้ตรงนี้ จึงได้แต่ยิ้มแหยๆเท่านั้น


“...นึกอยู่แล้วเชียว ฉันจะทำยังไงกับจอมวางแผนอย่างแกดีนะไอ้อร”



---------------------------------------------------------------------***----------------------------------------------------------------------------


หมดเวลาหวานต้องกลับมาพบกับความจริงแล้วค่าสำหรับ...พิมพ์ลภัส

ตอบเม้นจ้า

คุณZia...ความกลัวบดบังความกล้าที่ภีรมัตมีจนสิ้น

คุณCoonx3...เห็นด้วยค่า

คุณร้อยวจี...ต้องลุ้นค่ะ

คุณPeeno...ยินดีต้อนรับสู่โลกของรจนาไฉนค่า

ว่าแต่เอ๊ะ...คุณกาสะลองพลัดถิ่นไปเที่ยวไหนเอ่ย


สุดท้าย..ขอบคุณนักอ่านทุกท่านที่คอยติดตามจนใกล้จะถึงวาระสุท้ายแล้วค่ะ

by..รจนาไฉน





รจนาไฉน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 17 มี.ค. 2558, 15:54:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 20 มี.ค. 2558, 08:41:23 น.

จำนวนการเข้าชม : 1480





<< บทที่ 25 ความวัวไม่ทันหายความ(ซวย)ก็ตามมา   บทที่ 31 สละโสด >>
ร้อยวจี 17 มี.ค. 2558, 16:19:21 น.
ลุ้นกันต่อไป เรื่องเก่ายังไม่เคลียเลย เดี๋ยวนางร้ายแผลงฤิทธิ์อีกหรือ


เคสิยาห์ 17 มี.ค. 2558, 16:41:34 น.
คุยกันแบบเปิดใจไปเลย ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว


กาซะลองพลัดถิ่น 17 มี.ค. 2558, 18:18:55 น.
ยกมือรายงานตัวว่าอยู่จ้าอ่านทุกตอนจ้า
จะรอดูว่าเมื่อไหร่นายภีมจะสารภาพรักซะที สงสารพิมที่ต้องหาคำตอบให้ตัวเอง มันเครียดเน้อ


Zia 17 มี.ค. 2558, 20:37:36 น.
โอยยยยย เดี๋ยวนี้พระเอกเล่นตัวแทนนางเอกละหรอคะ แหม พิมพยังไม่ปากหนักเท่าพี่ภีมเลย แค่บอกรักมันจะยายอะไรรรรรร


ChaCha 19 มี.ค. 2558, 22:30:10 น.
พระเอกปากหนักอ่ะ !!!!!


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account