บทเรียน (รัก) นอกตำรา
นพมัลลี นักศึกษาฝึกสอนที่จบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน

นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก

แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้

มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่

Tags: นพมัลลี ตุนท์ คมิก พิชญ์ปรีชา

ตอน: บทที่ 8 : ช่วยบลินด์

บทที่ 8

รถคันกะทัดรัดสีครีมเคลื่อนมาจอดตามที่อยู่บนหน้ากระดาษที่นพมัลลีจดลอกมาจากหน้าประวัติของบลินด์ ทวิชซึ่งถูกโทรตามให้มาทำหน้าที่ขับรถให้เหลือบมองหลานสาวที่เอาแต่นั่งเงียบอย่างเป็นห่วง

“เป็นครูแล้วเหนื่อย ลาออกมาอยู่กับลุงง่ายกว่าไหม หืม”

นพมัลลีหัวเราะเบาๆ เธอส่ายหัวให้กับคำเชื้อเชิญยั่วน้ำลายสอที่ทวิชหยิบยื่นมาพร้อมเม็ดเงินจำนวนไม่น้อยเช่นเดิม หญิงสาวยังไม่รู้ว่าสุดท้ายอนาคตของตัวเองจะไปจบลงที่ตรงไหน ตอนนี้เธอต้องการก็แค่ทำตอนนี้ให้ดี เป็นครูไปให้จบในเทอมนี้อย่างที่ไม่มีทางหันกลับมาเสียใจว่าทำหน้าที่ได้ไม่ดีพอ

“ก็คิดอยู่แล้วว่าต้องปฏิเสธ”

“ลุงก็รู้ว่ามีใครอยู่ที่นี่ ฉันทิ้งตัวเล็กไม่ลงหรอกนะคะ” นพมัลลีกำมือแน่น ทุกครั้งที่นึกถึงนวมลลิ์ความสุข ความเศร้าจะผสมปนเปในอก จนแยกไม่ออกว่าควรรู้สึกอย่างไร

“แค่เดินเข้าไปบอก ลีก็จะได้เขาคืนมา” ทวิชส่งเสียงเฮ้อเบาๆ เขาเองก็ไม่ได้เรื่องพอกัน ถ้าเขาเป็นคนที่ดีกว่านี้ อยู่ที่นี่ในวันที่นพมัลลีมีปัญหา เรื่องวุ่นวายคาราคาซังเหล่านี้คงไม่เกิดขึ้น

สองลุงหลานไม่มีใครพูดออกมาอีก นพมัลลีปล่อยให้ความเงียบได้ทำงาน สายตาจดจ้องรั้วสูงของบ้านหลังใหญ่ที่อาศัยของบลินด์ต่อ ตุนท์ไม่ยอมให้เธอยื่นมือยุ่งในเรื่องนี้ ทั้งที่ครูที่ปรึกษาห้องหกทับห้านี้ไม่ได้มีเขาเป็นคนเดียว

และเขาควรรู้จักเธอให้มากกว่านี้ว่าคนอย่างนพมัลลีไม่มีทางปล่อยมือจากเรื่องที่อยากยุ่ง

นี่เธออยากให้เขารู้เรื่องส่วนตัวมากขึ้นเหรอ นพมัลลีตกใจกับความคิดตัวเอง ไม่นานดวงตาจึงเปล่งประกายความเศร้าสะท้อนเงากระจกออกมา ตอนนี้ตุนท์มีแต่ถอยห่างออกไป นั่นเป็นสิ่งที่เธอบีบให้เป็นไปเองไม่ใช่เหรอ

“มีคนออกมาจากบ้านน่ะลี”

นพมัลลีมองตามสายตาของทวิช พบว่าเป็นบุคคลทั้งสองที่เธอรู้จักดี บลินด์ กับตุนท์ นพมัลลีลดกระจกรถลง หูเงี่ยฟังว่าจะได้ยินอะไรบ้าง เพราะจากท่าทีเดือดดาลของบลินด์ก็น่าจะไม่ใช้เสียงกระซิบในการสนทนา

“พี่ตุนท์ พี่ไม่มีสิทธิ์มาสั่งห้ามผมนะ ไหนพี่เคยบอกว่าจะไม่เอาเรื่องที่ผมเคยทำมาบอกแม่ไง คอยดูผมจะเอาความลับพี่ไปบอกครูลีบ้าง”

‘ความลับ’ นพมัลลีรู้สึกอยากรู้ถึงสิ่งที่บลินด์หลุดปากออกมา นึกสงสัยว่าทำไมบลินด์ถึงเรียนตุนท์ว่า ‘พี่’ หรือสองคนนี้รู้จักกันมาก่อน

“แกอยากทำอะไรก็เชิญ แต่พรุ่งนี้พี่จะไม่ให้แกออกจากบ้าน”

บลินด์หัวเราะลั่น ชี้มือไปยังกำแพงที่ตระหง่านอยู่เบื้องหลัง “แค่นี้คิดว่าจะกันผมออกจากศึกแห่งศักดิ์ศรีได้เหรอครับ ตลกแล้ว”

“ถ้าแกก่อเรื่องตอนพรุ่งนี้ พี่จะไล่แกออก”

“ใช้สิทธิ์ในฐานะครูตุนท์ หรือศิษย์ของลูกชายเจ้าของโรงเรียนล่ะครับ”

บลินด์โยนระเบิดทิ้งไว้ก่อนหมุนกายกลับเข้าไปในบ้าน ปล่อยให้ตุนท์ยืนเข่นเขี้ยวเคี้ยวฟันที่จัดการให้ญาติผู้น้องให้รู้สำนึกไม่ได้

ตรงข้ามกับคนในรถที่นั่งเหมือนถูกแช่แข็ง ใบหน้าตกอกตกใจจนทวิชสัมผัสได้

“ลุงเคยพบเขาที่โรงพยาบาล เขาคุยอยู่กับแม่เขา”

นพมัลลีกัดฟันข่มความรู้สึกไม่พอใจไว้ ระยะเวลาที่รู้จักตุนท์มาสามเดือนกว่านี้ เขาไม่เคยแสดงพิรุธอะไรให้เธอเห็นว่าเขาไม่ใช่แค่ดร.ธรรมดา แล้วอย่างไรล่ะ ต่อให้เขาเป็นลูกของผู้อำนวยการตุลาจริง เธอมีเหตุผลอันน่าสมควรที่จะไปโกรธเขาอย่างนั้นหรือไง

แม้สมองจะบังคับให้เธอไม่โกรธ แต่อกที่ร้อนรุ่ม และฝังความไม่พอใจไว้ก็ยังคงอยู่ แผดเผาใจเธออยู่เงียบๆ

สุดท้าย ตุนท์ก็ไม่ได้จริงใจอะไรกับเธอสักนิด ไม่ต่างอะไรกับคนอื่นๆ ที่เธอเคยรู้จัก

“ลีเสียใจที่เขาโกหกลีใช่ไหม”

“ไม่นี่คะ” นพมัลลีปฏิเสธเสียงเครือ พยายามทำหน้าเชิดแกร่งเข้าไว้ บังคับให้ตัวเองลืมเรื่องของตุนท์ไปชั่วคราว ผู้ชายหัวเสียที่คุมแม้แต่ลูกพี่ลูกน้องของตัวเองไม่ได้ เดินขึ้นรถและขับออกไป

“แล้วจะเอาไงต่อ” ทวิชไม่สบายใจนักหรอกที่เห็นหลานสาวแผ่รังสีขุ่นเคืองออกมา พาลไม่ถูกชะตากับคนที่กล้ามาหลอกหลานสาวเขาด้วย

“อยู่เฝ้าบลินด์ไปเรื่อยๆ นี่แหละค่ะ” นพมัลลีไม่รู้ว่าจะมีประโยชน์อะไรไหม เกิดบลินด์ปีนออกทางรั้วด้านหลัง หรือมุดออกจากบ้านในทางที่เธอไม่รู้ จะเป็นการสูญเปล่าหรือ แต่หากไม่ทำอะไรตามที่ตุนท์ขอนั้น เธอทำให้ไม่ได้ จรรยาบรรณที่เธอมีมาคงป่นปี้เพราะเมินเฉยต่อสวัสดิภาพของนักเรียน

และจะไม่สนใจเขา ไม่ว่าเขาจะพูดขอร้องเธอเรื่องอะไรอีก



เสียงดนตรีขบวนพาเหรตเดินรอบโรงเรียนอย่างอลังการของแต่ละสีดึงดูดความสนใจคนไปหมด นพพลรับโทรศัพท์จากบลินด์ที่บอกว่าเตรียมไปพบกันด้านนอกเลย เพราะตนจะไม่มาโรงเรียน และให้ระวังตัว เรื่องนี้ครูตุนท์รู้เรื่องแล้ว

คมิกเดินตามพวกเพื่อนที่ลากตัวไปกร่างในนามโรงเรียนอย่างเอื่อยเฉื่อยไม่เดือดร้อนเท่าไหร่นัก ผู้ชายห้องมอหกทับห้ากว่าสิบชีวิตลอบออกจากขบวนพาเหรตอย่างแนบเนียนที่สุด ลัดเลาะไปตามเงาตึกเพื่อมุ่งไปยังจุดช่องโหว่ของแนวกำแพงรั้วของโรงเรียนพิชญ์ปรีชา

นพพลเป็นคนแรกที่จับมือเกาะกำแพง แล้วโหนตัวขึ้นไป ก่อนจะกระโดดลงไปยืนอีกฝั่งของแนวรั้ว ส่งเสียงห้าวมา

“ทางโล่งสะดวก เร็วๆ รีบมา”

คนที่สอง คนที่สาม และไปเรื่อยๆ จนเหลือแค่คมิก ชายหนุ่มเหลียวหลังหวังให้นพมัลลีปรากฏตัว แต่ฝ่ายนั้นกลับยังเงียบเชียบ หรือเขาจะพูดไว้ไม่ชัดเจนกันนะ เด็กหนุ่มส่ายหัวดิก หากเขาไม่ปีนข้ามไป เท่ากับสร้างความสงสัยให้กับนพพลเสียเปล่าๆ เด็กหนุ่มโยนกระเป๋าเป้ออกไปก่อน แล้วโหนตัวขึ้น ใช้กำลังแขนโหนร่างตัวเองขึ้นไปอย่างไม่ยากเย็น

เสียงรำคาญของนพพลบ่นในความเชื่องช้าของคมิก แต่เขาก็ยังเอื่อยเฉื่อย พิธีรีตองทำท่าหวาดกลัว เสียวไส้กับความสูงอีกนิดให้สมจริงกับฉายา ‘ไอ้เงียบ’ ที่เพื่อนๆ ชอบกล่าวขานหน่อย

“ชักช้า ไปถึงตลาดได้วายหมดพอดี”

คมิกแอบนึกเถียงในใจกับ ‘ตลาด’ ที่อาจเอากันถึงตายนั้น เขารู้ว่านพพลแอบพกปืนใส่กระเป๋ามาโรงเรียน และอีกหลายคนในที่นี้ก็คงเช่นเดียวกัน ตรงข้ามกับเขา นอกจากไฟแช็กไว้จุดบุหรี่สูบ กำปั้น และขาสองข้าง ก็ไม่มีอาวุธอื่นใดอีก

“ไหนล่ะรถ” คมิกถามเสียงเนือย หน้าตาปิดบังความเบื่อหน่ายไม่มิด

“ต้องนั่งรถเมล์สิ เผื่อเจอมันบนรถ”

ไอ้พวกนี้นี่! คมิกกลอกตาด้วยความรู้สึกสะอิดสะเอียนในเลือดร้อนๆ ของพวกเพื่อนร่วมรุ่นที่คิดอะไรกันอย่างไม่กลัวตาย หากอยากตีกันนักทำไมไม่สู้รบ อาสาไปเป็นทหารตามชายแดน ให้ตายก็มีธงชาติคลุมหน้าเสียล่ะ

เด็กหนุ่มได้แต่กลืนความคิดเหล่านั้นลงคอ ยืนพิงกำแพง ไม่เคลื่อนตัวต่อ เพราะหูของเขาได้ยินเสียงสัญญาณที่ใครหลายคนหวาดกลัว แต่เขากลับรักเสียงๆ นั้นในเวลานี้

เสียงของรถตำรวจ

กลุ่มนักเรียนชายกลุ่มย่อมส่งเสียงฮือ และวิ่งกันกระเจิง แต่ตำรวจที่รอพวกเขาอยู่ก่อนแล้วก็รอให้นักเรียนออกมาจนครบเสียก่อนแล้วจึงเปิดตัวออกมา ตีวงล้อมปิดทางหนี แม้แต่รั้วที่พวกเขาปีนข้ามมา ก็มีตำรวจเอาบันไดมาพาดวาง และประกาศเสียงผ่านโทรโข่ง

“ขอให้นักเรียนทุกคนอยู่ในความสงบ พวกเราได้รับเบาะแสมาว่าจะมีการก่อความวุ่นวายกลางเมืองวันนี้ ขอให้นักเรียนให้ความร่วมมือพวกเราตรวจค้นกระเป๋าด้วย”

คมิกลอบยิ้มสะใจขณะมองเพื่อนๆ หลายคนปลดสัมภาระ และจำต้องเดินตามเจ้าหน้าที่ไปยังรถของทางราชการ จู่ๆ นพพลก็มีสายโทรศัพท์เข้ามา ทุกคนถูกปรามให้เงียบเชียบ นพพลมีสีหน้าเคร่งเครียดหลังได้รับข้อมูลจากบลินด์

“นายควรจะออกมาจากที่นั่นนะ” นพพลเอ่ยเตือนเสียงกังวล ก่อนจะส่งให้ทางเจ้าหน้าที่ มันเกินขอบเขตที่เขาจะอารมณ์ร้อนใช้ปืนไปช่วยเพื่อนแล้ว

“บอกให้เขาอยู่ตรงนั้นครับ” ตุนท์ที่กลืนมากับตำรวจจนไม่มีใครสังเกตเดินฝ่าวงล้อมตำรวจเข้ามา หัวคิ้วของตุนท์มีปมผูกไว้แน่น เขามีลางสังหรณ์ไม่ดีมาตลอดเช้า กระทั่งมาโรงเรียนแล้วยังไม่พบนพมัลลี และญาติผู้น้องตัวแสบที่มาหนีออกจากบ้านไปเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน เขาไม่รู้แล้วว่าตอนนี้สองคนนั้นจะเป็นอย่างไรบ้าง

หวังว่านพมัลลีจะไม่พาตัวเองไปหาอันตราย

“จับพวกเขาขังไว้จนกว่าเรื่องจะคลี่คลายนะครับ”

เด็กนักเรียนหลายชีวิตประท้วงไม่เห็นด้วย แต่ไม่มีใครในที่นั้นฟัง พวกเขาทำได้แค่ก้มหน้าเดินต่อไป ในใจพวกเขาล้วนเป็นห่วงเพื่อนหนึ่งเดียวที่รอดจากการจับกุมครั้งนี้ไปคนเดียว

และเพราะเขาไร้เพื่อนในวงล้อมนักเลงเหล่านั้น เพื่อนของเขาที่ต่อยเตะแค่พอไปวัดไปวา มีสิบหมัดหลบพ้นแค่สาม จะไปรอดพ้นการรุมสกรัมได้อย่างไร

“เขาไม่หยุด” เจ้าหน้าที่ส่งโทรศัพท์ของนพพลเก็บไว้เป็นหลักฐาน สีหน้าเคร่งเครียด สั่งการให้กับตำรวจชั้นผู้น้อยไปปฏิบัติ “รีบประสานงานกับเจ้าหน้าที่ทางนั้น ให้กุมกำลังเตรียมให้พร้อม”

ตุนท์วิ่งออกไปจากที่นี้อย่างรวดเร็ว คมิกได้แต่ส่งสายตาตามไป เพราะยังไม่อยากถูกเพื่อนเพ่งเล็งมากกว่านี้ ในใจภาวนาให้นพมัลลีปลอดภัย เขาเชื่อว่านพมัลลีต้องอยู่ที่นั่นกับบลินด์แน่



โชคยังดีที่บลินด์ไม่มุดออกทางสุนัขรอด หรือออกหลังบ้านอย่างที่หญิงสาวกังวลมาตลอด เขาวิ่งฝ่าวงล้อมคนในบ้านออกมา แล้วขึ้นรถแท็กซี่ที่น่าจะโทรเรียกให้มาจอดรอออกไป

ทวิชอ้าปากหาวหลังต้องเฝ้าความเคลื่อนไหวในบ้านหลังนี้นานกว่าแปดชั่วโมง หลับๆ ตื่นๆ กระทั่งโดนหลานสาวปลุกให้มาทำหน้าที่ขับรถต่อเมื่อครึ่งชั่วโมงก่อน นพมัลลีกัดปาก กุมมือบีบไว้แน่น ไม่ยอมเคลื่อนสายตาหนีจากรถแท็กซี่คันข้างหน้าไปแม้สักวินาที

“ไม่ได้พักเลยใช่ไหมลี”

“ฉันนอนหลับไม่ลงหรอกค่ะ นักเรียนของฉันจะไปมีเรื่องอย่างนี้ทั้งคน”

“น่าจะให้รางวัลครูดีเด่นจริงๆ ไม่ยุติธรรมเลยที่คนอย่างลียังเรียนไม่จบ” ทวิชย่นปากบ่น มือบังคับพวงมาลัยให้เลี้ยวเข้าไปย่านใจกลางเมืองที่วุ่นวาย เขาอุตส่าห์กะเวลาที่นพมัลลีน่าจะเรียนจบแล้ว และมารับนพมัลลีไปอยู่ที่ออสเตรียด้วยกัน ไม่คิดว่าหลานสาวจะพบคนชั่วคนหนึ่งทำให้ยังเรียนไม่จบ

“ชีวิตคนเราต่อให้ใช้อย่างระวังตัวยังไง ผลที่เกิดขึ้นอาจมาจากปัจจัยอื่นที่อยู่นอกเหนือที่เรากำหนดนะคะ บางคนอาจจะบอกว่าฉันไม่ควรเอามือเข้าไปยุ่งในเรื่องบางเรื่อง แต่สำหรับฉัน การเมินเฉย และหันหลังให้นักเรียนที่เดือดร้อน มิสู้ลาออกจากครูไปทำอย่างอื่นเลยจะดีกว่านะคะ ครูจะสอนเด็กได้ยังไง ถ้าตัวครูยังสอนจิตใจของตัวเองไม่ได้”

“น่าเสียดายที่ลุงเกิดมาเร็วนะ เลยไม่ได้เรียนกับครูลี” ทวิชดวงตาเปี่ยมด้วยความยินดีล้น ความคิด ทัศนคติของนพมัลลีแตกต่างจากอดีตไปราวกับหนังคนละม้วน หญิงสาวยืนหยัดชีวิตเพื่อคนอื่นจริงๆ นานเท่าไหร่แล้วที่นพมัลลีเติบโตขึ้นมาขนาดนี้

ทวิชจอดรถเข้าข้างทางห่างจากจุดที่แท็กซี่จอดประมาณสามช่วงคันรถ นพมัลลีขอบคุณทวิช แล้วจะเปิดประตูลงอย่างรีบเร่ง

“ระวังตัวนะลี ช่วยนักเรียนได้ แต่อย่าถึงกับเอาชีวิตมาทิ้ง ลุงไม่อยากเห็นลีเป็นอะไร”

นพมัลลีพยักหน้ารับทั้งรอยยิ้ม หัวใจอบอุ่น เธอไม่ได้เสียครอบครัวไปเสียทีเดียว ยังมีคนอีกคนนอกจากตุนท์ที่บอกให้เธอระวังตัว

ตุนท์...นพมัลลีกัดปากตัวเองจนเจ็บเมื่อสมองกระหวัดถึงเขาอีกครั้ง สองขาเธอซอยเท้าเร็วรี่ตามหลังบลินด์ไปไม่ให้คลาดจากกัน โทรศัพท์ของเธอดังขึ้น แต่นพมัลลีไม่มีเวลามากดรับ

ภาพผู้คนที่วิ่งแตกตื่นสวนทางกับเธอหลายชีวิต ปากต่างหวีดเสียงร้องระงมระคนตกใจ ปากพร่ำด่าไม่หยุด

“นักเรียนหรือนักเลงเนี่ย”

“ทำคนอื่นเดือดร้อนกันไปหมด”

“เอาปืนผาหน้าไม้มาทวงศักดิ์ศรีอะไรไม่รู้ คุ้มไหมนั่น!”

นพมัลลีได้ยินเสียงก่นด่า ความว้าวุ่น กรุ่นโกรธของประชาชนทั่วไปตลอดทางที่เธอมุ่งไปข้างหน้า หญิงสาวซอยเท้าวิ่งเร็วมากขึ้นจนกระทั่งถึงตัวของเด็กหนุ่มผมบลอนด์ มือเธอคว้าหมับที่ข้อมือของเขา และขืนร่างเขาไว้ไม่ให้เดินต่อไป

“ครูลี” บลินด์ผินร่างกลับมา ทำหน้าคาดไม่ถึง

“อย่าไป กลับไปพร้อมครูเถอะ”

“ไม่เอาน่าครู” บลินด์พยายามบิดมือตัวเองออก สีหน้าเหยเก ไม่คิดว่ามือเล็กๆ ของนพมัลลีไม่ต่างอะไรจากคีมเหล็ก “ผมไม่รู้นะว่าครูมาทำไม แต่ครู่ต่างหากที่ไม่ควรอยู่ที่นี่ นี่ไม่ใช่เรื่องของครู”

“ทำไมจะไม่ใช่!” นพมัลลีตั้งใจอธิบาย และโน้มน้าวลูกศิษย์ให้หยุด พวกคู่อริของบลินด์ก็มาล้อมตัวพวกเธอเสียก่อน

“เอาแม่มาด้วยเหรอวะ ไอ้แหง่ ไอ้คุณหนู”

ผู้ชายผมตั้ง หน้าเรียวยาว ด้านหลังมีด้ามมีดยาวโผล่อยู่ด้านหลัง นพมัลลีรีบเพิ่มแรงบีบข้อมือของบลินด์ เธอจะปล่อยให้เขาเอาเนื้อหนังของตัวเองไปรับคมมีดไม่ได้

“ใจเย็นๆ อย่าโกรธ” นพมัลลีรู้สึกได้ว่าร่างของบลินด์กำลังสั่นเทิ้ม แต่ยังดีที่เขาไม่บุ่มบ่ามกระโดดเข้าหาคนเหล่านั้น ตรงกันข้าม เด็กหนุ่มกลับเอาร่างตัวเองยืนขวางเธอไว้อย่างเหนือความคาดหมาย

“เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับครู อย่าได้แตะต้องครูของฉันเด็ดขาด”

“แน่จริงก็ออกมาสิวะ”

บลินด์หันมามองมือของครูอย่างขอโทษ เขาใช้อีกมือปลดมือของนพมัลลีออก รู้สึกผิดที่ลากครูเข้ามาในเรื่องนี้ ใช่ เพียงเพราะความคึกคะนองของเขา ดีมากแล้วที่เพื่อนของเขาไม่ได้มาอยู่ที่นี่ ด้วยจำนวนคนของพวกมันที่มากันครึ่งร้อย อาวุธครบมือ พวกเขาจะไม่ต่างอะไรจากการเอาชีวิตมาทิ้ง สภาพรอยสักลายเต็มตัว หน้าตาเถื่อนโหด พวกเขายอมถูกเรียกว่าเป็นลูกคุณหนูดังเดิมดีกว่า

“อย่าออกไปนะ”

“ทำฉันคนเดียว” บลินด์ไม่สนคำห้ามของครู เขาเดินมุ่งหน้าไป มือยกตั้งการ์ดเตรียมพร้อม นพมัลลีทันเห็นแค่ใครคนหนึ่งยันเท้าออกมาถีบบลินด์จนล้มกลิ้ง หลังจากนั้นเท้าอีกหลายคู่ก็กระหน่ำย่ำไปบนร่างของเขา นพมัลลีพยายามจะเข้าไปในวงล้อม แต่กลับถูกผลักจนเสียหลักล้มลง ความเจ็บตรงก้นกบไม่ทรมานเท่าความอึดอัดที่เริ่มเข้ามารุมล้อมตัวเธอ

นักเรียนพวกนั้นแสยะยิ้ม หัวเราะเสียงเหี้ยม สมองของนพมัลลีขาวโพลน ร่างกายของเธอสั่นเทา สองมือยกกุมศีรษะไว้แน่น ภาพมากมายไหลทะลักอยู่ในหัว หูสองข้างของเธอไมได้ยินใดๆ อีกนอกจากเธอกำลังจมลึกลงสู่สิ่งที่เธอเพียรหลีกหนีมาตลอด

“กรี๊ดดด..กรี๊ดดด”

เสียงกรีดร้องของนพมัลลียุติการรุมกระหน่ำที่บลินด์กำลังเผชิญได้ ทุกสายตาหยุดลงยังร่างที่คุดคู้ไม่ได้สติของนพมัลลี และก่อนที่ทุกอย่างจะคืนสู่ปกติ ความรุนแรงจะดำเนินต่อไป เสียงนกหวีดของเจ้าหน้าที่ก็มาถึง กลุ่มนักเรียนแตกฮือไปคนละทิศ บลินด์คลานร่างที่บอบช้ำ เลือดออกทางริมฝีปากจากอาการช้ำในมาหาครู น้ำตานองหน้า ร้องเรียกชื่อครูก่อนจะหมดสติไปอีกคน

“ครูลีครับ”

.................................

คุณ konhin หลังจากตอนนี้ไป ปมของครูลีจะค่อยๆ เผยออกมานะคะ เชื่อว่าครูทุกคนหวังดีกับลูกศิษย์เนอะ

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ^_^



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 ก.พ. 2558, 12:34:30 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 ก.พ. 2558, 12:34:30 น.

จำนวนการเข้าชม : 1335





<< บทที่ 7 : ไม่ชอบความรู้สึกนี้!   บทที่ 9 : เพื่อนเก่า >>
ร้อยวจี 27 ก.พ. 2558, 16:54:57 น.
อ่านแล้วกลัวแทนนางเอกค่ะ ชักอยาหรู้เร็วๆแล้วว่า เธอมีปมอะไร รอค่ะ


konhin 27 ก.พ. 2558, 23:15:16 น.
อดีตตามมาหลอน? เสียสติเลย


OhLaLa 2 มี.ค. 2558, 22:04:36 น.
สงสารครูลีจัง ใช้ชีวิตให้รอดก็ยาก แถมอดีตก็ตามมาหลอกหลอนอีก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account