บทเรียน (รัก) นอกตำรา
นพมัลลี นักศึกษาฝึกสอนที่จบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน
นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก
แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้
มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน
นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก
แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้
มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่
Tags: นพมัลลี ตุนท์ คมิก พิชญ์ปรีชา
ตอน: บทที่ 9 : เพื่อนเก่า
บทที่ 9
เด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายของโรงเรียนรัฐบาลนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ กางกระดานวาดรูปที่ขึงกระดาษร้อยปอนด์ไว้กับเข่าที่ชันขึ้นมา มือจับดินสอร่างภาพวิวของสนามฟุตบอลอย่างไม่รีบร้อน มืออีกข้างจุดบุหรี่อัดควันเข้าปอด และปล่อยพ่นไปในอากาศ
‘เธอหนีเรียนอีกแล้วนะ’ น้ำเสียงนุ่มนวลทักขึ้น นพมัลลีหันมองเพื่อพบกับเด็กหนุ่มหัวเกรียน โครงหน้าเรียวที่คนในห้องต่างยกให้เขาเป็นหัวหน้าห้อง
นพมัลลีรับคำในลำคออย่างเกียจคร้าน ก้มหน้ากลับมาสนใจการวาดรูปอีกครั้ง
‘ฉันเองก็ขี้เกียจฟังคนบ่น สอนอยู่สิบนาที บ่นเด็กไปครึ่งชั่วโมง’
‘...’
‘เธอเรียนยังไงนะ ถึงได้อันดับดีของชั้นไปประจำ ทั้งที่เธอก็...’
นพมัลลียิ้มหยัน เธอรู้ว่าในสายตาคนพวกนี้ เธอไม่เหมาะกับการเรียนได้เกรดสี่ หรือมีความสามารถพิเศษในเรื่องศิลปะทั้งที่ร่ำเรียนมาทางสายวิทย์ พวกเพื่อนร่วมห้องน้อยคนที่จะเชื่อว่าเธอทำได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริงๆ
‘ฉันเห็นเธอสนิทกับครูศิลปะ’
‘ฉันก็เห็นนายสนิทกับครูสอนเลข’ นพมัลลีไม่เห็นถึงความแตกต่างของสิ่งที่เธอเป็น ไม่มีสิ่งใดประหลาด
‘ว้าว เธอสังเกตความเป็นไปของฉันด้วยเหรอ’
‘เวลาเรียน ฉันรำคาญนายสุด เพราะนายจะชอบแสดงออกว่าตัวเองเก่ง ยกมือตอบตลอดเวลา’
คำอธิบายค่อนขอดของนพมัลลีทำให้คนฟังหัวเราะเหอะ ‘ได้ข่าวว่าเธอชอบเที่ยว’
‘ฉันไปล่ะนะ’ นพมัลลีลุกขึ้น ขยี้ปลายบุหรี่ด้วยเท้ากับพื้นดิน นัยน์ตาดุจ้องคนขัดความสงบของเธออย่างไม่เป็นมิตรนัก
‘เธอจะปิดกั้นตัวเองไปถึงเมื่อไหร่ ฉันพร้อมจะเป็นเพื่อนเธอนะ’
‘อยู่ให้ห่างฉันไว้’
ร่างบอบบาง ในชุดรัดรูปสีน้ำเงินเดินโซซัดโซเซออกมาจากสถานบันเทิงในตัวจังหวัด นพมัลลีรู้สึกร่างกายร้อนผ่าว และร้อนรุ่มไปทั้งตัว หัวใจรัวแรงจนเธอหายใจเกือบไม่ออก เธอถูกเพื่อนร่วมห้องเรียนที่ชวนมาคะยั้นคะยอให้ดื่ม ทั้งที่เธอปฏิเสธอยู่หลายครั้ง แต่เธอกลับ...ไม่แม้แต่เอะใจ
ปากสีแดงจัดถูกฟันขาวของตัวขบแน่นจนสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือด ความคับแค้นใจลอยอยู่ในดวงตา สลับกับอาการไร้เรี่ยวแรง ขาสองข้างที่หนักอย่างกับเอาลูกตุ้มมาถ่วงที่เท้าสองข้างก้าวได้แบบเชื่องช้า มือคลำไต่ไปตามกำแพง หน้าตาแดงก่ำด้วยพิษไอร้อนที่มาจากฤทธิ์ยา
ถึงเธอจะไม่มีเพื่อนที่คบหาอย่างสนิทใจ แต่ก็ไม่น่าโง่ถึงขนาดถูกหลอกให้ดื่มเครื่องดื่มที่ใส่ยาพวกนี้เลย
เสียงหัวเราะไล่หลังดังมาราวกับประกาศความโง่ของเธอให้โลกรู้ นพมัลลีหยุดลงข้างกองขยะถุงดำของทางร้าน มือคว้าขวดแก้วตรงนั้นมากำรอบขวดไว้มั่น และเมื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนสามชีวิตมากรูล้อม หญิงสาวก็ฟาดขวดไปยังศีรษะของคนที่ยื่นมือมาจับหน้าอกของเธออย่างแรง
เสียงโอ๊ย เลือดท่วมของมันพร่าอยู่ในสายตา นพมัลลีกัดฟันข่มความทรมานในร่าง จับคอขวดที่เหลือครึ่งขวดเป็นเศษแหลมคมจากการแตก ยกขู่พวกผู้ชายกลัดมันที่มองเธออย่างโกรธแค้น และหิวกระหาย
คนที่ถูกเธอตีหัวเลือดท่วม สบถด่ายาวเหยียด นพมัลลีรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย ออกตัววิ่ง แต่ก็ไม่ทัน แรงผลักอย่างแรงจากด้านหลังทำให้นพมัลลีล้มหน้าทิ่มไปบนกองขยะ มือของเธอที่กำอยู่ตรงคอขวดปล่อยหลุดจนพลาดโดนเหลี่ยมคมบาดจนเกิดเลือดตามฝ่ามือ
เสียงร้องครวญครางของฟ้าดังแว่วมา นพมัลลีรู้สึกตัวสั่นเทาอย่างกับเป็นไข้ เธอรู้สึกขยะแขยง ฝ่ามือที่กำลังพลิกตัวเธอให้หันกลับไป เท้าที่ยังเป็นอิสระจึงถีบออกไปเต็มแรง ด้วยเงามืดเธอจึงไม่รู้ว่าใครเป็นผู้เคราะห์ร้าย แต่ยามนี้พวกมันไม่โง่อีกแล้ว คนหนึ่งเข้ามาตรึงมือของเธอ อีกคนใช้ร่างใหญ่หนามาทับขาทั้งสองข้างจนนพมัลลีรู้สึกเจ็บอย่างกับถูกก้อนหินยักษ์ทำ น้ำตาร่วง
น้ำฝนเย็นฉ่ำเริ่มโปรยปรายมา ก่อนจะโหมแรง พอช่วยชะล้างความรู้สึกร้อนรุ่มจากฤทธิ์ยาที่เธอกำลังเผชิญได้บ้าง และให้เธอหาทางดิ้นรนออกจากฝ่ามืออันน่ารังเกียจที่กำลังยุบยับ มือใครคนหนึ่งที่มีกลิ่นคาวเลือดบีบคางเธอแน่น ลมหายใจอุ่นร้อนมีกลิ่นแอลกอฮอล์อวลค่อยๆ ลดมาใกล้ๆ
นพมัลลีหลับตากรีดร้อง ร่างกายที่ขยับเขยื้อนมิได้นี้ สู้ให้เธอตายไปเลยยังดีกว่า น้ำตามากมายไหลทะลัก พวกมันหัวเราะเห็นเป็นเรื่องตลก ริมฝีปากหยาบของใครคนหนึ่งพยายามรุกล้ำเข้ามา ฟันขาวของเธอจึงงับลงไปอย่างแรง กลิ่นคาวเลือดข้นอยู่ในปากของเธอ นพมัลลีไม่รู้สึกกลัวตายอีกแล้ว เธอถุยน้ำลายผสมเลือดใส่หน้าคนที่เธอกัดลิ้นไป
‘ยัยนี่’ คนถูกกัดลิ้นตะโกนลั่นอย่างโมโห นพมัลลีหลับตา เธอรู้ว่าตัวเองคงไม่รอดอีกต่อไปแน่ หูก็ได้ยินเสียงตุบตับดังมา ภาพหัวหน้าห้องจอมวอแววาดลวดลายควงท่อเหล็กใส่เพื่อนผู้ชายในห้องคนอื่นอย่างไม่คิดชีวิต ช่วงชุลมุนนั่นเอง ที่ข้อมือของเธอถูกดึงให้ลุกขึ้น ร่างของนพมัลลียังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ยามที่เหลียวหลังไปมอง
ภาพคนที่ขึ้นชื่อว่าเพื่อนร่วมห้อง ยืนเป็นเงาทะมึนดูน่ากลัวไม่ต่างอะไรจากปีศาจ คนพวกนั้น...คือฝันร้าย
เพียงแค่นึกถึง เธอจะรู้สึกขยะแขยงตัวเอง รังเกียจคนพวกนั้นทุกขณะจิต
“ไม่มีอะไรแล้วลี ไม่มีอะไรแล้ว”
อ้อมกอดที่กอดหญิงสาวไว้แนบอก ลูบหลังลูบไหล่ด้วยความเป็นห่วง ร่างของนพมัลลีสั่นเทา ริมฝีปากกัดจนเลือดซิบ เขารู้ว่านพมัลลีต้องหวนไปนึกถึงเรื่องในอดีตอยู่แน่ๆ ทวิชลูบผมนุ่มอย่างสงสารจับใจ
“ลุงทวิช” น้ำเสียงแผ่วดังอยู่ข้างหูเขา นพมัลลีผละร่างออกจากอ้อมกอดของทวิชอย่างเหนื่อยล้า ฝันร้ายที่เธอเห็นดำเนินอย่างยาวนาน แต่นั่นก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของฝันร้ายที่ทำให้เธอรังเกียจสัมผัสของผู้ชาย การเห็นผู้ชายวัยสิบเจ็ดสิบแปดกรูเข้ามาพร้อมกันอย่างนั้น ซ้อนทับกับสิ่งที่เธอเคยพบเจอราวกับหนังม้วนเดียวกัน
“ไม่ปวดหัว หรืออยากอาเจียนใช่ไหม” ทวิชนวดขมับของนพมัลลีให้ โดยไม่ทันสังเกตว่าหญิงสาวนั่งตัวแข็ง
หัวของเธอเผลอนึกถึงคนที่เคยบีบนวดขมับของเธอ คนหลอกลวงคนนั้น เขาทำให้เธอได้ข้อพิสูจน์ว่าผู้ชายแปลกหน้าในชีวิตของเธอล้วนไว้ใจไม่ได้สักคนเดียว
“ดีขึ้นแล้วค่ะ ว่าแต่บลินก์เป็นยังไงบ้างคะ” นพมัลลีมองทั่วบริเวณที่เจ้าหน้าที่กำลังวิ่งวุ่น นักเรียนบางส่วนที่ถูกจับได้โดนถอดเสื้อ และจับนอนราบกับพื้นถนน มือไพล่หลัง มีรถหลายคันของเจ้าหน้าที่มาเปิดประตูอ้ารอ แต่หนึ่งในนั้นไม่มีนักเรียนของเธออยู่เลยสักคนเดียว
“ครูอีกคนพาเขาไปโรงพยาบาลแล้ว” ทวิชนึกถึงตุนท์ที่ละล้าละลังห่วงทั้งญาติ ห่วงทั้งหลานสาวเขาอย่างหงุดหงิด หลอกหลานเขาไว้ตั้งนานนม ยังอุตส่าห์แสดงความเป็นห่วงอย่างจริงใจอีก และที่เขาหงุดหงิดยิ่งกว่าก็ตรงที่เขาออกปากให้ตุนท์ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเขาเป็นลุงของนพมัลลีย่อมดูแลหญิงสาวได้อย่างหายห่วง
“ไปโรงพยาบาลกันค่ะ” นพมัลลีใช้มือยันกำแพงลุกขึ้น ร่างกายเธอปกติดีทุกอย่าง นอกจากอาการแปลบปลาบตรงก้นกบที่ล้มจากสะดุด อย่างอื่นก็ยังปกติดี
“ลุงว่าให้เจ้าหน้าที่จัดการไปก็พอ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันต้องไปหานักเรียน ฉันเป็นครูก็ต้องรับผิดชอบด้วย”
ทวิชโคลงศีรษะไม่เห็นด้วย แต่ทำได้เพียงเดินตามนพมัลลีออกจากที่นั้นไปขึ้นรถ แล้วขับรถไปยังจุดหมายที่นพมัลลีต้องการ
ตุนท์บรรยายไม่ถูกว่าความหนักอก กังวลใจตลอดชั่วโมงมลายหายไปง่ายๆ ทันทีที่นพมัลลีปรากฏตัวในโถงทางเดินของโรงพยาบาลในสภาพปกติดีทุกอย่าง เขาจำได้ว่าเขาเอื้อมมือไปจับมือของนพมัลลีไว้ก็พบว่าหญิงสาวกำลังตัวสั่นเทา
“บลินด์เป็นยังไงบ้างคะ” นพมัลลีใช้สายตาเฉยชาถามคนที่เธอไม่อยากแม้แต่จะมองหน้า ทั้งที่บังคับให้ตัวเลิกรู้สึกขุ่นแค้น โกรธเคือง ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนเบื้องหน้า ไม่ต้องใส่ใจ ใส่ความรู้สึกใดๆ แต่น่าแปลกที่พอเห็นเขา เชื้อไฟจากไหนไม่รู้ก็ลามเลียในใจ
ราวกับหูของเธอแว่วได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของกลุ่มเพื่อนที่ครั้งหนึ่งเคยวางยาเธอ และเรียกเธอว่า ‘หน้าโง่’ ตุนท์ก็คงคิดอย่างนั้นกับเธอไม่ต่างกัน
“หมอกำลังตรวจอย่างละเอียด อีกไม่นานน่าจะทราบผลครับ” ตุนท์ก้าวเข้ามาใกล้นพมัลลี เขาอยากถามไถ่ว่าหญิงสาวสบายดีไหม แต่ย่างก้าวของนพมัลลีกลับถอยห่างจากเขาไปอีกก้าว ไม่ปล่อยโอกาสให้เขาถึงตัว “เกิดอะไรขึ้นครูลี”
“อย่ามายุ่งกับฉัน”
“เดี๋ยวสิครับ” ตุนท์รู้สึกร้อนในอก มือเขาคว้าข้อมือเล็ก รั้งไว้ไม่ให้นพมัลลีเดินหนีไปไหน ดวงตาเป็นลูกไฟที่หญิงสาวใช้มองเขาบอกชัดว่าเขาคงไปทำอะไรสักเรื่องให้เธอขุ่นเคืองใจ
“ปล่อย!”
“ไม่ครับ”
ท่าทางดื้อดึง ยื้อยุดของคนสองคนกลายเป็นภาพตลกร้ายสำหรับตุลาที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับลินดาที่กำลังสะอึกสะอื้นตัวโยนหลังรับรู้เรื่องลูกชาย ผู้อำนวยการหญิงเดินดุ่มเข้ามาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ กำลังตัดสินใจที่จะไม่สนความลับที่ตุนท์บอกให้ปิดบัง นพมัลลีก็โพล่งทะลุปล้องขึ้นมาก่อนนาง
“แม่คุณมาแล้ว ปล่อยเถอะค่ะ”
“คุณรู้” ตุนท์ครางเสียงแผ่ว เขาอ่านความหมายของดวงตาที่กำลังด่าทอว่าเขาเป็นผู้ชายหลอกลวงออกทางสายตานพมัลลีก็ในตอนนี้ ตรงข้ามกับมือของเขาที่กลับกุมมือของเธอไว้แน่นขึ้น เขาไม่มีทางปล่อยให้ความเข้าใจผิดนี้คาราคาซังไปจนเขาแก้ไขอะไรไม่ได้เด็ดขาด
“มากับผม”
“ตุนท์ แม่ไม่อนุญาตให้ลูกไปไหนนะ แล้วตาบลินด์ล่ะ” ตุลาไม่เห็นด้วยเลยที่ลูกชายระดับดร.ของนางกลับมางอนง้อผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังไม่แม้แต่จะมีปริญญาสักใบติดตัว ผู้หญิงคนนี้ไม่มีอะไรที่ควรคู่กับตุนท์สักนิดเดียว
“ผมโตแล้วนะครับ อีกอย่างบลินด์อยู่ในมือหมอแล้ว น้าลินดาก็มาแล้ว ผมถือว่าผมได้ช่วยน้องแล้วนะครับ”
“ตาตุนท์!” ตุลาอยากจะวิ่งตามไป ก็พบว่าลินดารั้งไว้ทั้งน้ำตา ไม่ยอมปล่อยนาง “เธอล่ะก็” นางหันไปดุน้องสาวต่างพ่ออย่างไม่พอใจนัก
“คุณพี่คะ อยู่เป็นเพื่อนน้องก่อน น้องใจคอไม่ดี กลัวตาบลินด์จะเป็นอะไรร้ายแรง”
ตุลาส่งเสียงจิ๊ขัดใจ แต่จำต้องนั่งลง และเริ่มปลอบลินดาที่กำลังครวญครางอย่างกับลูกชายจะจากไปวันนี้วันพรุ่ง ถ้านางไร้เมตตาธรรมกว่านี้คงจะด่าไปแล้วว่า
‘นั่นเพราะลูกชายหล่อนกระโดดไปหาเรื่องเขาเองนะ’
นพมัลลีนึกเสียใจที่เธอขอให้ทวิชกลับไปพักผ่อน ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องช่วยกันเธอออกจากตุนท์ได้แน่ ไม่ใช่ให้เธอโดนมนุษย์จอมโกหกลากมานั่งในรถของเขาอย่างนี้
“คุณใช้สิทธิ์อะไรมาทำกับฉันอย่างนี้คะ” นพมัลลีอยากจะฉวยโอกาสปลดล็อกรถ แล้วเดินลงไป แต่เธอรู้ว่าจะทำให้คนในโรงพยาบาลแตกตื่นกับหนังอินเดียเรื่องประหลาดนี้เปล่าๆ สู้เธอสงบเสงี่ยม และใช้เหตุผลให้มากๆ และแสดงออกว่าไม่เป็นอะไร...ทั้งที่เธอรู้ว่าไม่จริง
ตุนท์รัดเข็มขัดให้ตัวเอง สายตาเลิกมองว่านพมัลลีจะคาดเองไหม โชคยังดีที่หญิงสาวอ่านสายตาเขาออกจึงทำหน้าซังกะตายยอมคาดเข็ดขัดเอง ก่อนที่คนขับจะมาทำหน้าที่ให้แทน
รถทะยานไปบนถนนเส้นหลัก ตุนท์เหลือบมองเสี้ยวหน้าที่เชิดตรง ปากเม้มแน่น อดไม่ได้ที่เขาจะยิ้ม ที่ผ่านมาเขาไม่เคยพบเจออารมณ์ด้านนี้ของนพมัลลีมาก่อนเลยสักครั้ง
“ผมขอโทษที่หลอกคุณ ผมก็แค่อยากสำรวจโรงเรียนก่อนจะทำงานจริง”
“ไม่ต้องมาอธิบายให้ฉันฟังหรอกค่ะ ฉันไม่อยากรู้”
“คุณโกรธเห็นๆ” ตุนท์เก็บรอยยิ้มไว้ เขายังไม่นึกอยากให้นพมัลลีเดือดมากขึ้น
“คุณจะเป็นใคร ทำอะไร มันเรื่องของคุณ ฉันเองก็มีหน้าที่แค่ครูที่ปรึกษาของนักเรียนหกทับห้า ก็เท่านั้น”
“คุณเคยมีความลับในชีวิตไหม” จู่ๆ ตุนท์ก็วกเข้าเรื่องหลักด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ “สำหรับผม ผมยินดีให้คุณรู้ทุกเรื่องของผม ตอนนี้คุณอยากรู้อะไร ก็ถามผมได้เลย”
“ฉันไม่อยากรู้ค่ะ” นพมัลลีอยากกรีดเสียง แล้วด่าเขากลับไปว่าเธอเกลียดคำว่า...ความลับ แต่มันจะดูเป็นการโยงเรื่องวกกลับมาเข้าหาตัวเองเสียเปล่าๆ
“แต่ผมอยากรู้จักคุณจริงๆ นะครูลี ผมอยากช่วยคุณ”
“ช่วยอะไรคะ”
ตุนท์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาอยากอยู่ใกล้ๆ นพมัลลีโดยที่หญิงสาวไร้ซึ่งความกังวล ความเครียด ไม่มีอาการอยากอาเจียนใส่หน้าเขา ตราบใดที่เธอยังปิดกั้นตัวเองอย่างนี้ นพมัลลีไม่เท่ากับเลือกที่จะให้ตัวเองจมอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเหรอ
“คุณไม่บอกแล้วผมจะรู้ไหมล่ะครับ ผมจริงใจ...”
“หยุดพูดคำว่าจริงใจ” นพมัลลีกรัดเสียงอย่างทนไม่ไหว “โลกนี้ไม่มีใครที่จริงใจกับฉันหรอกค่ะ”
ดร.หนุ่มไม่อยากทำให้นพมัลลีขุ่นเคืองไปมากกว่านี้ ที่จริงเขาเองก็ผิดที่ปกปิดตัวตนของตัวเอง และถึงมีเหตุผลมากมายขนาดไหน ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการแก้ตัว เขาโกหก นั่นคือเรื่องจริงที่นพมัลลีรับรู้
รถของนพมัลลีแล่นมาจอดอยู่ตรงลานกว้างของสวนสาธารณะ หญ้าเขียวยามบ่าย สระน้ำใหญ่ กับผู้คนไม่หนาตาอาจพอบรรเทาให้สถานการณ์ระหว่างพวกเขาไม่ย่ำแย่เกินไปนัก
นพมัลลีลงจากรถเดินนำลิ่วทิ้งเขาไปไกล ตุนท์เดินตามอยู่เบื้องหลัง ในตำแหน่งที่เขาจะไม่ทำให้นพมัลลีอึดอัด และไม่ไกลเกินกว่าที่เขาจะมองไม่เห็นเธอ
สุนัขโกลเด้นท์ตัวหนึ่งวิ่งตะบึงมาหานพมัลลี คนที่เดินเหม่อไม่ทันระวัง ตุนท์รีบพุ่งไปดึงให้นพมัลลีหลบวิถี แต่กลายเป็นว่าสุนัขตัวนั้นกลับมีเป้าหมายเป็นนพมัลลี พวกเขาจึงล้มกลิ้ง ตุนท์ใช้ตัวเองรองรับร่างของนพมัลลี กอดไว้แนบอก เขาไม่อยากให้นพมัลลีเจ็บตัวอีกแล้ว แม้ว่าเขากำลังจุกเพราะหลังกระแทกกับพื้นดินก็ตาม
“ลีลี่มานี่” เสียงเรียกห้าว และชื่อของเจ้าสุนัขทำให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดของตุนท์ตัวแข็งค้าง นพมัลลีไม่ยอมลุกขึ้น มือของเธอโอบล้อมรอบตัวของตุนท์กลายเป็นกอดเขาไว้แน่น เธออยากให้เสียงหัวใจของตุนท์กลบเสียงคุ้นหูที่เธอไม่เคยลืม เสียงของคนที่เธอเกลียดที่สุด ทำไมถึงคล้ายกันขนาดนี้
“เป็นอะไรไหมครับคุณ”
“คุณลีครับ” ตุนท์อยากจะดีใจหรอกที่จู่ๆ นพมัลลีอยากกอดเขา แต่ที่สาธารณะอย่างนี้ไหนจะต่อหน้าคนแปลกหน้า โดยที่เขาไม่รู้ว่านพมัลลีมาในอารมณ์ไหน หรือเธอเจ็บตรงไหน
“ลี?” เจ้าของสุนัขทวนชื่อนั้นอย่างแปลกใจ เขาตัดสินใจก้มลงมาเพื่อมองใบหน้าของหญิงสาว
นพมัลลีเงยหน้าคนที่เธอนอนทับอยู่ด้วยสายตาครุ่นคิด เธอมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อครู่นี้เองว่าเป็น ‘เขา’ แน่ๆ คนที่มีปฏิกิริยากับชื่อของเธอ
“นพมัลลี”
หญิงสาวกระเถิบกายมานั่งบนพื้นหญ้า ยกมือเสยผมไม่รู้สึกรู้สากับเพื่อนเก่าที่แต่งตัวดีตั้งแต่ผมยันรองเท้า มือของวากูรปล่อยสายเชือกสุนัขไปยังไม่รู้ตัว นพมัลลีเหยียดยิ้มหยัน มือของเธอฉุดให้ตุนท์ลุกขึ้นมานั่ง ทำหน้างงๆ กับบรรยากาศแปลกประหลาด ดูอิหลักอิเหลื่อนี้
“พวกคุณรู้จักกันเหรอครับ”
“ผมเป็นแฟนเก่าของลี เป็นหัวหน้าห้องสมัยเรียนมัธยมปลาย” คำว่าแฟนเก่าจุดประกายตาวูบไหวในดวงตาของหญิงสาว และตุนท์ก็สังเกตได้ชัดเจน
วากูรไม่ปล่อยช่วงเวลาที่เขารอคอยนี้ให้เลือนหายไปอีก “ฉันตามหาเธอมาตั้งนานรู้ไหม ตอนนั้นจู่ๆ เธอก็มาลาออกไปจากโรงเรียน”
“เรื่องเก่าๆ ฉันไม่อยากจำนักหรอกค่ะ” นพมัลลีเหยียดปากพูด มือคล้องแขนหนาของตุนท์ เผลอจิกเล็บเข้าใต้ท้องแขนของเขาไปโดยไม่รู้ตัว
“นี่คือคุณตุนท์ ผู้ชายคนปัจจุบันของฉัน”
..............................................................
คุณ ร้อยวจี ปมของลีจะค่อยๆ เผยจากนี้นะคะ นี่ยังไม่ถึงเสี้ยวเลย
คุณ konhin ปมของลีมีไม่น้อยค่ะ จะค่อยๆ เผยไป
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
เด็กสาวในชุดนักเรียนมัธยมปลายของโรงเรียนรัฐบาลนั่งพิงต้นไม้ใหญ่ กางกระดานวาดรูปที่ขึงกระดาษร้อยปอนด์ไว้กับเข่าที่ชันขึ้นมา มือจับดินสอร่างภาพวิวของสนามฟุตบอลอย่างไม่รีบร้อน มืออีกข้างจุดบุหรี่อัดควันเข้าปอด และปล่อยพ่นไปในอากาศ
‘เธอหนีเรียนอีกแล้วนะ’ น้ำเสียงนุ่มนวลทักขึ้น นพมัลลีหันมองเพื่อพบกับเด็กหนุ่มหัวเกรียน โครงหน้าเรียวที่คนในห้องต่างยกให้เขาเป็นหัวหน้าห้อง
นพมัลลีรับคำในลำคออย่างเกียจคร้าน ก้มหน้ากลับมาสนใจการวาดรูปอีกครั้ง
‘ฉันเองก็ขี้เกียจฟังคนบ่น สอนอยู่สิบนาที บ่นเด็กไปครึ่งชั่วโมง’
‘...’
‘เธอเรียนยังไงนะ ถึงได้อันดับดีของชั้นไปประจำ ทั้งที่เธอก็...’
นพมัลลียิ้มหยัน เธอรู้ว่าในสายตาคนพวกนี้ เธอไม่เหมาะกับการเรียนได้เกรดสี่ หรือมีความสามารถพิเศษในเรื่องศิลปะทั้งที่ร่ำเรียนมาทางสายวิทย์ พวกเพื่อนร่วมห้องน้อยคนที่จะเชื่อว่าเธอทำได้ด้วยความสามารถของตัวเองจริงๆ
‘ฉันเห็นเธอสนิทกับครูศิลปะ’
‘ฉันก็เห็นนายสนิทกับครูสอนเลข’ นพมัลลีไม่เห็นถึงความแตกต่างของสิ่งที่เธอเป็น ไม่มีสิ่งใดประหลาด
‘ว้าว เธอสังเกตความเป็นไปของฉันด้วยเหรอ’
‘เวลาเรียน ฉันรำคาญนายสุด เพราะนายจะชอบแสดงออกว่าตัวเองเก่ง ยกมือตอบตลอดเวลา’
คำอธิบายค่อนขอดของนพมัลลีทำให้คนฟังหัวเราะเหอะ ‘ได้ข่าวว่าเธอชอบเที่ยว’
‘ฉันไปล่ะนะ’ นพมัลลีลุกขึ้น ขยี้ปลายบุหรี่ด้วยเท้ากับพื้นดิน นัยน์ตาดุจ้องคนขัดความสงบของเธออย่างไม่เป็นมิตรนัก
‘เธอจะปิดกั้นตัวเองไปถึงเมื่อไหร่ ฉันพร้อมจะเป็นเพื่อนเธอนะ’
‘อยู่ให้ห่างฉันไว้’
ร่างบอบบาง ในชุดรัดรูปสีน้ำเงินเดินโซซัดโซเซออกมาจากสถานบันเทิงในตัวจังหวัด นพมัลลีรู้สึกร่างกายร้อนผ่าว และร้อนรุ่มไปทั้งตัว หัวใจรัวแรงจนเธอหายใจเกือบไม่ออก เธอถูกเพื่อนร่วมห้องเรียนที่ชวนมาคะยั้นคะยอให้ดื่ม ทั้งที่เธอปฏิเสธอยู่หลายครั้ง แต่เธอกลับ...ไม่แม้แต่เอะใจ
ปากสีแดงจัดถูกฟันขาวของตัวขบแน่นจนสัมผัสได้ถึงกลิ่นคาวเลือด ความคับแค้นใจลอยอยู่ในดวงตา สลับกับอาการไร้เรี่ยวแรง ขาสองข้างที่หนักอย่างกับเอาลูกตุ้มมาถ่วงที่เท้าสองข้างก้าวได้แบบเชื่องช้า มือคลำไต่ไปตามกำแพง หน้าตาแดงก่ำด้วยพิษไอร้อนที่มาจากฤทธิ์ยา
ถึงเธอจะไม่มีเพื่อนที่คบหาอย่างสนิทใจ แต่ก็ไม่น่าโง่ถึงขนาดถูกหลอกให้ดื่มเครื่องดื่มที่ใส่ยาพวกนี้เลย
เสียงหัวเราะไล่หลังดังมาราวกับประกาศความโง่ของเธอให้โลกรู้ นพมัลลีหยุดลงข้างกองขยะถุงดำของทางร้าน มือคว้าขวดแก้วตรงนั้นมากำรอบขวดไว้มั่น และเมื่อเพื่อนร่วมชั้นเรียนสามชีวิตมากรูล้อม หญิงสาวก็ฟาดขวดไปยังศีรษะของคนที่ยื่นมือมาจับหน้าอกของเธออย่างแรง
เสียงโอ๊ย เลือดท่วมของมันพร่าอยู่ในสายตา นพมัลลีกัดฟันข่มความทรมานในร่าง จับคอขวดที่เหลือครึ่งขวดเป็นเศษแหลมคมจากการแตก ยกขู่พวกผู้ชายกลัดมันที่มองเธออย่างโกรธแค้น และหิวกระหาย
คนที่ถูกเธอตีหัวเลือดท่วม สบถด่ายาวเหยียด นพมัลลีรวบรวมแรงเฮือกสุดท้าย ออกตัววิ่ง แต่ก็ไม่ทัน แรงผลักอย่างแรงจากด้านหลังทำให้นพมัลลีล้มหน้าทิ่มไปบนกองขยะ มือของเธอที่กำอยู่ตรงคอขวดปล่อยหลุดจนพลาดโดนเหลี่ยมคมบาดจนเกิดเลือดตามฝ่ามือ
เสียงร้องครวญครางของฟ้าดังแว่วมา นพมัลลีรู้สึกตัวสั่นเทาอย่างกับเป็นไข้ เธอรู้สึกขยะแขยง ฝ่ามือที่กำลังพลิกตัวเธอให้หันกลับไป เท้าที่ยังเป็นอิสระจึงถีบออกไปเต็มแรง ด้วยเงามืดเธอจึงไม่รู้ว่าใครเป็นผู้เคราะห์ร้าย แต่ยามนี้พวกมันไม่โง่อีกแล้ว คนหนึ่งเข้ามาตรึงมือของเธอ อีกคนใช้ร่างใหญ่หนามาทับขาทั้งสองข้างจนนพมัลลีรู้สึกเจ็บอย่างกับถูกก้อนหินยักษ์ทำ น้ำตาร่วง
น้ำฝนเย็นฉ่ำเริ่มโปรยปรายมา ก่อนจะโหมแรง พอช่วยชะล้างความรู้สึกร้อนรุ่มจากฤทธิ์ยาที่เธอกำลังเผชิญได้บ้าง และให้เธอหาทางดิ้นรนออกจากฝ่ามืออันน่ารังเกียจที่กำลังยุบยับ มือใครคนหนึ่งที่มีกลิ่นคาวเลือดบีบคางเธอแน่น ลมหายใจอุ่นร้อนมีกลิ่นแอลกอฮอล์อวลค่อยๆ ลดมาใกล้ๆ
นพมัลลีหลับตากรีดร้อง ร่างกายที่ขยับเขยื้อนมิได้นี้ สู้ให้เธอตายไปเลยยังดีกว่า น้ำตามากมายไหลทะลัก พวกมันหัวเราะเห็นเป็นเรื่องตลก ริมฝีปากหยาบของใครคนหนึ่งพยายามรุกล้ำเข้ามา ฟันขาวของเธอจึงงับลงไปอย่างแรง กลิ่นคาวเลือดข้นอยู่ในปากของเธอ นพมัลลีไม่รู้สึกกลัวตายอีกแล้ว เธอถุยน้ำลายผสมเลือดใส่หน้าคนที่เธอกัดลิ้นไป
‘ยัยนี่’ คนถูกกัดลิ้นตะโกนลั่นอย่างโมโห นพมัลลีหลับตา เธอรู้ว่าตัวเองคงไม่รอดอีกต่อไปแน่ หูก็ได้ยินเสียงตุบตับดังมา ภาพหัวหน้าห้องจอมวอแววาดลวดลายควงท่อเหล็กใส่เพื่อนผู้ชายในห้องคนอื่นอย่างไม่คิดชีวิต ช่วงชุลมุนนั่นเอง ที่ข้อมือของเธอถูกดึงให้ลุกขึ้น ร่างของนพมัลลียังสั่นเทาด้วยความหวาดกลัว ยามที่เหลียวหลังไปมอง
ภาพคนที่ขึ้นชื่อว่าเพื่อนร่วมห้อง ยืนเป็นเงาทะมึนดูน่ากลัวไม่ต่างอะไรจากปีศาจ คนพวกนั้น...คือฝันร้าย
เพียงแค่นึกถึง เธอจะรู้สึกขยะแขยงตัวเอง รังเกียจคนพวกนั้นทุกขณะจิต
“ไม่มีอะไรแล้วลี ไม่มีอะไรแล้ว”
อ้อมกอดที่กอดหญิงสาวไว้แนบอก ลูบหลังลูบไหล่ด้วยความเป็นห่วง ร่างของนพมัลลีสั่นเทา ริมฝีปากกัดจนเลือดซิบ เขารู้ว่านพมัลลีต้องหวนไปนึกถึงเรื่องในอดีตอยู่แน่ๆ ทวิชลูบผมนุ่มอย่างสงสารจับใจ
“ลุงทวิช” น้ำเสียงแผ่วดังอยู่ข้างหูเขา นพมัลลีผละร่างออกจากอ้อมกอดของทวิชอย่างเหนื่อยล้า ฝันร้ายที่เธอเห็นดำเนินอย่างยาวนาน แต่นั่นก็เป็นเพียงเศษเสี้ยวของฝันร้ายที่ทำให้เธอรังเกียจสัมผัสของผู้ชาย การเห็นผู้ชายวัยสิบเจ็ดสิบแปดกรูเข้ามาพร้อมกันอย่างนั้น ซ้อนทับกับสิ่งที่เธอเคยพบเจอราวกับหนังม้วนเดียวกัน
“ไม่ปวดหัว หรืออยากอาเจียนใช่ไหม” ทวิชนวดขมับของนพมัลลีให้ โดยไม่ทันสังเกตว่าหญิงสาวนั่งตัวแข็ง
หัวของเธอเผลอนึกถึงคนที่เคยบีบนวดขมับของเธอ คนหลอกลวงคนนั้น เขาทำให้เธอได้ข้อพิสูจน์ว่าผู้ชายแปลกหน้าในชีวิตของเธอล้วนไว้ใจไม่ได้สักคนเดียว
“ดีขึ้นแล้วค่ะ ว่าแต่บลินก์เป็นยังไงบ้างคะ” นพมัลลีมองทั่วบริเวณที่เจ้าหน้าที่กำลังวิ่งวุ่น นักเรียนบางส่วนที่ถูกจับได้โดนถอดเสื้อ และจับนอนราบกับพื้นถนน มือไพล่หลัง มีรถหลายคันของเจ้าหน้าที่มาเปิดประตูอ้ารอ แต่หนึ่งในนั้นไม่มีนักเรียนของเธออยู่เลยสักคนเดียว
“ครูอีกคนพาเขาไปโรงพยาบาลแล้ว” ทวิชนึกถึงตุนท์ที่ละล้าละลังห่วงทั้งญาติ ห่วงทั้งหลานสาวเขาอย่างหงุดหงิด หลอกหลานเขาไว้ตั้งนานนม ยังอุตส่าห์แสดงความเป็นห่วงอย่างจริงใจอีก และที่เขาหงุดหงิดยิ่งกว่าก็ตรงที่เขาออกปากให้ตุนท์ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเขาเป็นลุงของนพมัลลีย่อมดูแลหญิงสาวได้อย่างหายห่วง
“ไปโรงพยาบาลกันค่ะ” นพมัลลีใช้มือยันกำแพงลุกขึ้น ร่างกายเธอปกติดีทุกอย่าง นอกจากอาการแปลบปลาบตรงก้นกบที่ล้มจากสะดุด อย่างอื่นก็ยังปกติดี
“ลุงว่าให้เจ้าหน้าที่จัดการไปก็พอ”
“ไม่ได้หรอกค่ะ ฉันต้องไปหานักเรียน ฉันเป็นครูก็ต้องรับผิดชอบด้วย”
ทวิชโคลงศีรษะไม่เห็นด้วย แต่ทำได้เพียงเดินตามนพมัลลีออกจากที่นั้นไปขึ้นรถ แล้วขับรถไปยังจุดหมายที่นพมัลลีต้องการ
ตุนท์บรรยายไม่ถูกว่าความหนักอก กังวลใจตลอดชั่วโมงมลายหายไปง่ายๆ ทันทีที่นพมัลลีปรากฏตัวในโถงทางเดินของโรงพยาบาลในสภาพปกติดีทุกอย่าง เขาจำได้ว่าเขาเอื้อมมือไปจับมือของนพมัลลีไว้ก็พบว่าหญิงสาวกำลังตัวสั่นเทา
“บลินด์เป็นยังไงบ้างคะ” นพมัลลีใช้สายตาเฉยชาถามคนที่เธอไม่อยากแม้แต่จะมองหน้า ทั้งที่บังคับให้ตัวเลิกรู้สึกขุ่นแค้น โกรธเคือง ทำเหมือนเขาไม่มีตัวตนเบื้องหน้า ไม่ต้องใส่ใจ ใส่ความรู้สึกใดๆ แต่น่าแปลกที่พอเห็นเขา เชื้อไฟจากไหนไม่รู้ก็ลามเลียในใจ
ราวกับหูของเธอแว่วได้ยินเสียงหัวเราะเยาะของกลุ่มเพื่อนที่ครั้งหนึ่งเคยวางยาเธอ และเรียกเธอว่า ‘หน้าโง่’ ตุนท์ก็คงคิดอย่างนั้นกับเธอไม่ต่างกัน
“หมอกำลังตรวจอย่างละเอียด อีกไม่นานน่าจะทราบผลครับ” ตุนท์ก้าวเข้ามาใกล้นพมัลลี เขาอยากถามไถ่ว่าหญิงสาวสบายดีไหม แต่ย่างก้าวของนพมัลลีกลับถอยห่างจากเขาไปอีกก้าว ไม่ปล่อยโอกาสให้เขาถึงตัว “เกิดอะไรขึ้นครูลี”
“อย่ามายุ่งกับฉัน”
“เดี๋ยวสิครับ” ตุนท์รู้สึกร้อนในอก มือเขาคว้าข้อมือเล็ก รั้งไว้ไม่ให้นพมัลลีเดินหนีไปไหน ดวงตาเป็นลูกไฟที่หญิงสาวใช้มองเขาบอกชัดว่าเขาคงไปทำอะไรสักเรื่องให้เธอขุ่นเคืองใจ
“ปล่อย!”
“ไม่ครับ”
ท่าทางดื้อดึง ยื้อยุดของคนสองคนกลายเป็นภาพตลกร้ายสำหรับตุลาที่เพิ่งเดินเข้ามาพร้อมกับลินดาที่กำลังสะอึกสะอื้นตัวโยนหลังรับรู้เรื่องลูกชาย ผู้อำนวยการหญิงเดินดุ่มเข้ามาด้วยสีหน้าบอกบุญไม่รับ กำลังตัดสินใจที่จะไม่สนความลับที่ตุนท์บอกให้ปิดบัง นพมัลลีก็โพล่งทะลุปล้องขึ้นมาก่อนนาง
“แม่คุณมาแล้ว ปล่อยเถอะค่ะ”
“คุณรู้” ตุนท์ครางเสียงแผ่ว เขาอ่านความหมายของดวงตาที่กำลังด่าทอว่าเขาเป็นผู้ชายหลอกลวงออกทางสายตานพมัลลีก็ในตอนนี้ ตรงข้ามกับมือของเขาที่กลับกุมมือของเธอไว้แน่นขึ้น เขาไม่มีทางปล่อยให้ความเข้าใจผิดนี้คาราคาซังไปจนเขาแก้ไขอะไรไม่ได้เด็ดขาด
“มากับผม”
“ตุนท์ แม่ไม่อนุญาตให้ลูกไปไหนนะ แล้วตาบลินด์ล่ะ” ตุลาไม่เห็นด้วยเลยที่ลูกชายระดับดร.ของนางกลับมางอนง้อผู้หญิงคนหนึ่งที่ยังไม่แม้แต่จะมีปริญญาสักใบติดตัว ผู้หญิงคนนี้ไม่มีอะไรที่ควรคู่กับตุนท์สักนิดเดียว
“ผมโตแล้วนะครับ อีกอย่างบลินด์อยู่ในมือหมอแล้ว น้าลินดาก็มาแล้ว ผมถือว่าผมได้ช่วยน้องแล้วนะครับ”
“ตาตุนท์!” ตุลาอยากจะวิ่งตามไป ก็พบว่าลินดารั้งไว้ทั้งน้ำตา ไม่ยอมปล่อยนาง “เธอล่ะก็” นางหันไปดุน้องสาวต่างพ่ออย่างไม่พอใจนัก
“คุณพี่คะ อยู่เป็นเพื่อนน้องก่อน น้องใจคอไม่ดี กลัวตาบลินด์จะเป็นอะไรร้ายแรง”
ตุลาส่งเสียงจิ๊ขัดใจ แต่จำต้องนั่งลง และเริ่มปลอบลินดาที่กำลังครวญครางอย่างกับลูกชายจะจากไปวันนี้วันพรุ่ง ถ้านางไร้เมตตาธรรมกว่านี้คงจะด่าไปแล้วว่า
‘นั่นเพราะลูกชายหล่อนกระโดดไปหาเรื่องเขาเองนะ’
นพมัลลีนึกเสียใจที่เธอขอให้ทวิชกลับไปพักผ่อน ไม่อย่างนั้นเขาจะต้องช่วยกันเธอออกจากตุนท์ได้แน่ ไม่ใช่ให้เธอโดนมนุษย์จอมโกหกลากมานั่งในรถของเขาอย่างนี้
“คุณใช้สิทธิ์อะไรมาทำกับฉันอย่างนี้คะ” นพมัลลีอยากจะฉวยโอกาสปลดล็อกรถ แล้วเดินลงไป แต่เธอรู้ว่าจะทำให้คนในโรงพยาบาลแตกตื่นกับหนังอินเดียเรื่องประหลาดนี้เปล่าๆ สู้เธอสงบเสงี่ยม และใช้เหตุผลให้มากๆ และแสดงออกว่าไม่เป็นอะไร...ทั้งที่เธอรู้ว่าไม่จริง
ตุนท์รัดเข็มขัดให้ตัวเอง สายตาเลิกมองว่านพมัลลีจะคาดเองไหม โชคยังดีที่หญิงสาวอ่านสายตาเขาออกจึงทำหน้าซังกะตายยอมคาดเข็ดขัดเอง ก่อนที่คนขับจะมาทำหน้าที่ให้แทน
รถทะยานไปบนถนนเส้นหลัก ตุนท์เหลือบมองเสี้ยวหน้าที่เชิดตรง ปากเม้มแน่น อดไม่ได้ที่เขาจะยิ้ม ที่ผ่านมาเขาไม่เคยพบเจออารมณ์ด้านนี้ของนพมัลลีมาก่อนเลยสักครั้ง
“ผมขอโทษที่หลอกคุณ ผมก็แค่อยากสำรวจโรงเรียนก่อนจะทำงานจริง”
“ไม่ต้องมาอธิบายให้ฉันฟังหรอกค่ะ ฉันไม่อยากรู้”
“คุณโกรธเห็นๆ” ตุนท์เก็บรอยยิ้มไว้ เขายังไม่นึกอยากให้นพมัลลีเดือดมากขึ้น
“คุณจะเป็นใคร ทำอะไร มันเรื่องของคุณ ฉันเองก็มีหน้าที่แค่ครูที่ปรึกษาของนักเรียนหกทับห้า ก็เท่านั้น”
“คุณเคยมีความลับในชีวิตไหม” จู่ๆ ตุนท์ก็วกเข้าเรื่องหลักด้วยน้ำเสียงเป็นงานเป็นการ “สำหรับผม ผมยินดีให้คุณรู้ทุกเรื่องของผม ตอนนี้คุณอยากรู้อะไร ก็ถามผมได้เลย”
“ฉันไม่อยากรู้ค่ะ” นพมัลลีอยากกรีดเสียง แล้วด่าเขากลับไปว่าเธอเกลียดคำว่า...ความลับ แต่มันจะดูเป็นการโยงเรื่องวกกลับมาเข้าหาตัวเองเสียเปล่าๆ
“แต่ผมอยากรู้จักคุณจริงๆ นะครูลี ผมอยากช่วยคุณ”
“ช่วยอะไรคะ”
ตุนท์ถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาอยากอยู่ใกล้ๆ นพมัลลีโดยที่หญิงสาวไร้ซึ่งความกังวล ความเครียด ไม่มีอาการอยากอาเจียนใส่หน้าเขา ตราบใดที่เธอยังปิดกั้นตัวเองอย่างนี้ นพมัลลีไม่เท่ากับเลือกที่จะให้ตัวเองจมอยู่กับสิ่งที่เกิดขึ้นเหรอ
“คุณไม่บอกแล้วผมจะรู้ไหมล่ะครับ ผมจริงใจ...”
“หยุดพูดคำว่าจริงใจ” นพมัลลีกรัดเสียงอย่างทนไม่ไหว “โลกนี้ไม่มีใครที่จริงใจกับฉันหรอกค่ะ”
ดร.หนุ่มไม่อยากทำให้นพมัลลีขุ่นเคืองไปมากกว่านี้ ที่จริงเขาเองก็ผิดที่ปกปิดตัวตนของตัวเอง และถึงมีเหตุผลมากมายขนาดไหน ก็ไม่ได้ต่างอะไรกับการแก้ตัว เขาโกหก นั่นคือเรื่องจริงที่นพมัลลีรับรู้
รถของนพมัลลีแล่นมาจอดอยู่ตรงลานกว้างของสวนสาธารณะ หญ้าเขียวยามบ่าย สระน้ำใหญ่ กับผู้คนไม่หนาตาอาจพอบรรเทาให้สถานการณ์ระหว่างพวกเขาไม่ย่ำแย่เกินไปนัก
นพมัลลีลงจากรถเดินนำลิ่วทิ้งเขาไปไกล ตุนท์เดินตามอยู่เบื้องหลัง ในตำแหน่งที่เขาจะไม่ทำให้นพมัลลีอึดอัด และไม่ไกลเกินกว่าที่เขาจะมองไม่เห็นเธอ
สุนัขโกลเด้นท์ตัวหนึ่งวิ่งตะบึงมาหานพมัลลี คนที่เดินเหม่อไม่ทันระวัง ตุนท์รีบพุ่งไปดึงให้นพมัลลีหลบวิถี แต่กลายเป็นว่าสุนัขตัวนั้นกลับมีเป้าหมายเป็นนพมัลลี พวกเขาจึงล้มกลิ้ง ตุนท์ใช้ตัวเองรองรับร่างของนพมัลลี กอดไว้แนบอก เขาไม่อยากให้นพมัลลีเจ็บตัวอีกแล้ว แม้ว่าเขากำลังจุกเพราะหลังกระแทกกับพื้นดินก็ตาม
“ลีลี่มานี่” เสียงเรียกห้าว และชื่อของเจ้าสุนัขทำให้คนที่อยู่ในอ้อมกอดของตุนท์ตัวแข็งค้าง นพมัลลีไม่ยอมลุกขึ้น มือของเธอโอบล้อมรอบตัวของตุนท์กลายเป็นกอดเขาไว้แน่น เธออยากให้เสียงหัวใจของตุนท์กลบเสียงคุ้นหูที่เธอไม่เคยลืม เสียงของคนที่เธอเกลียดที่สุด ทำไมถึงคล้ายกันขนาดนี้
“เป็นอะไรไหมครับคุณ”
“คุณลีครับ” ตุนท์อยากจะดีใจหรอกที่จู่ๆ นพมัลลีอยากกอดเขา แต่ที่สาธารณะอย่างนี้ไหนจะต่อหน้าคนแปลกหน้า โดยที่เขาไม่รู้ว่านพมัลลีมาในอารมณ์ไหน หรือเธอเจ็บตรงไหน
“ลี?” เจ้าของสุนัขทวนชื่อนั้นอย่างแปลกใจ เขาตัดสินใจก้มลงมาเพื่อมองใบหน้าของหญิงสาว
นพมัลลีเงยหน้าคนที่เธอนอนทับอยู่ด้วยสายตาครุ่นคิด เธอมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นต์เมื่อครู่นี้เองว่าเป็น ‘เขา’ แน่ๆ คนที่มีปฏิกิริยากับชื่อของเธอ
“นพมัลลี”
หญิงสาวกระเถิบกายมานั่งบนพื้นหญ้า ยกมือเสยผมไม่รู้สึกรู้สากับเพื่อนเก่าที่แต่งตัวดีตั้งแต่ผมยันรองเท้า มือของวากูรปล่อยสายเชือกสุนัขไปยังไม่รู้ตัว นพมัลลีเหยียดยิ้มหยัน มือของเธอฉุดให้ตุนท์ลุกขึ้นมานั่ง ทำหน้างงๆ กับบรรยากาศแปลกประหลาด ดูอิหลักอิเหลื่อนี้
“พวกคุณรู้จักกันเหรอครับ”
“ผมเป็นแฟนเก่าของลี เป็นหัวหน้าห้องสมัยเรียนมัธยมปลาย” คำว่าแฟนเก่าจุดประกายตาวูบไหวในดวงตาของหญิงสาว และตุนท์ก็สังเกตได้ชัดเจน
วากูรไม่ปล่อยช่วงเวลาที่เขารอคอยนี้ให้เลือนหายไปอีก “ฉันตามหาเธอมาตั้งนานรู้ไหม ตอนนั้นจู่ๆ เธอก็มาลาออกไปจากโรงเรียน”
“เรื่องเก่าๆ ฉันไม่อยากจำนักหรอกค่ะ” นพมัลลีเหยียดปากพูด มือคล้องแขนหนาของตุนท์ เผลอจิกเล็บเข้าใต้ท้องแขนของเขาไปโดยไม่รู้ตัว
“นี่คือคุณตุนท์ ผู้ชายคนปัจจุบันของฉัน”
..............................................................
คุณ ร้อยวจี ปมของลีจะค่อยๆ เผยจากนี้นะคะ นี่ยังไม่ถึงเสี้ยวเลย
คุณ konhin ปมของลีมีไม่น้อยค่ะ จะค่อยๆ เผยไป
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะคะ
ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.พ. 2558, 11:22:53 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ก.พ. 2558, 11:22:53 น.
จำนวนการเข้าชม : 1446
<< บทที่ 8 : ช่วยบลินด์ | บทที่ 10 : ความจริงที่ไม่เคยลืม >> |
ร้อยวจี 28 ก.พ. 2558, 12:27:03 น.
น่าสงสาร
น่าสงสาร
konhin 1 มี.ค. 2558, 04:36:13 น.
ง่ะ อ่านแล้วเศร้าอ่ะ
ง่ะ อ่านแล้วเศร้าอ่ะ
OhLaLa 2 มี.ค. 2558, 22:37:48 น.
อยากบอกชีวิตลีนี่สาหัส
อยากบอกชีวิตลีนี่สาหัส