สัญญารักพรางใจ
คิมหันต์ไม่เคยเชื่อเรื่องพรหมบันดาล โชคชะตา ทำบุญร่วมกันมา
เขาเชื่อว่าทุกอย่างอยู่ที่การกระทำ
หากไม่มีเหตุการณ์นั้นเขาจะแต่งงานกับมัทนาเพราะเหตุผลอะไร

Tags: ความรัก สัญญา ความลับ

ตอน: ตอนที่ 11

ตลอดสองสัปดาห์ต่อมารายละเอียดต่างๆ ของงานแต่งงานทำให้เวลายิ่งผ่านไปอย่างรวดเร็ว มัทนาลางานในวันศุกร์ แม้ว่างานจะมีขึ้นวันเสาร์ตามความต้องการของคิมหันต์เพื่อที่เราจะได้ไม่ต้องทะเลาะกัน แม้ว่าหลายวันก่อนในช่วงเย็นเธอกับเขาต้องไปตระเวนแจกการ์ดเชิญให้แขกสำคัญบางคนก็ตาม ถ้าเป็นงานแต่งงานที่เกิดจากความรักเธอกับเขาคงสนุกที่ได้ไปบอกข่าวดี
มัทนาตื่นตั้งแต่ตีสามของวันเสาร์เพื่อแต่งหน้า ทำผมสำหรับงานแต่งงานในช่วงเช้าซึ่งจะมีพิธีสู่ขอตามประเพณี เรื่องสินสอดทองหมั้นเธอไม่ค่อยรู้ในรายละเอียดนักเพราะเป็นเรื่องของผู้ใหญ่และทำเป็นการภายใน แม่อดหลับอดนอนเพื่อทำพวงมาลัยอุบะให้เจ้าบ่าวและเจ้าสาวด้วยตัวเอง เธอดีใจที่แม่มีความสุข แต่ก็รู้สึกผิดจนอยากสารภาพความจริง
มาติกาเป็นเพื่อนเจ้าสาว ในขณะที่วริศยอมลาจากห้องผ่าตัดหนึ่งวันเพื่อมาเป็นเพื่อนเจ้าบ่าว บำรุงไปรับพระมาทำพิธีหลังการสู่ขอ เพื่อเข้าสู่พิธีสวดพุทธมนต์ เจ้าบ่าวเจ้าสาวพนมมือฟังพระสวดและรับพร ก่อนจะไปตักบาตรด้วยกัน พิมพ์อรยิ้มไม่พูดอะไรเมื่อเห็นมือของลูกสาวกุมอยู่บนมือของลูกเขย
ทีปต์เป็นคนสวมมงคลแฝดบนศีรษะของเธอกับคิมหันต์ สายสิญจน์ถูกโยงไปยังขันน้ำมนต์ แล้วเจิมหน้าผากด้วยแป้งเจิม ทุกอย่างจริงไปหมด ไม่มีอะไรที่บอกว่าล้อเล่นสักอย่าง ผู้ใหญ่ทุกคนยินดีในการแต่งงาน มัทนาถอนใจอีกครั้ง พอหันไปมองคิมหันต์ถึงได้รู้ว่าเขากำลังมองเธออยู่เหมือนกัน เราต่างแบกความรู้สึกผิดไว้ แม้ว่าจะมีเจตนาดี แต่ยังไงมันก็ผิดอยู่ดี
“วันนี้ฉันชมเธอหรือยังว่าสวย”
“ฉันสวยมาตั้งนานแล้ว แต่คุณมองไม่เห็นเองต่างหาก” เธอหัวเราะรู้หรอกว่าเขาอยากให้เราหลุดพ้นจากความรู้สึกผิดไปด้วยกันทั้งคู่
ทีปต์เชิญให้พิมพ์ใจมารดน้ำสังข์ให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวเป็นคนแรก ยายอวยพรให้มีความสุข มีลูกหัวปีท้ายปี ให้อภัยกัน ช่างเป็นคำอวยพรที่เหมาะกับเราสองคนจริงๆ สองหนุ่มสาวยกมือไหว้ขอบคุณจากใจ ความร้อนรนด้วยความรู้สึกผิดเริ่มชุ่มฉ่ำด้วยความรักความปรารถนาดีของญาติผู้ใหญ่ หากว่าเรารักกันจริงๆ จะไปเป็นไปได้ไหมนะ
“ถ้าแค่ชอบแบบไม่รู้ตัว แต่งงานกันแล้วก็ค่อยๆ ทำสิ่งดีๆ ให้กัน ความรักจะก่อเกิดในใจ เชื่อปู่นะ ปู่มองไม่พลาด เผลอๆ ปลายปีคงได้ข่าวดี” ทีปต์ให้พรเป็นคนต่อมา
คิมหันต์เงยหน้ายิ้มให้ปู่ จะมีใครรู้ทันเขาเท่าผู้ชายคนนี้ไม่มีอีกแล้ว
“ขอบคุณครับปู่ ท่องโพยมาเลยใช่ไหมครับ”
ทีปต์ค้อนใส่ “ไอ้หลาน...ไม่ได้ วันมงคลห้ามพูดไม่ดี หนูมัทกำราบหลานของปู่ด้วยนะ”
“มัทจะไม่ทำให้ผิดหวังค่ะอังเคิลเค”
ทั้งสองไหว้รับพรแล้วหันมายิ้มให้กัน วินาทีนั้นคิมหันต์คิดว่าลืมสัญญาระหว่างเราไปเสียสนิท พิธีการช่างขลังจนเขาเริ่มคิดว่าทุกอย่างเป็นเรื่องจริง ไม่ว่าเราแต่งงานกันจะด้วยเหตุผลอะไรก็ตาม แต่เราได้เข้าสู่พิธีที่จะยึดโยงเราไว้แล้ว
ความเย็นของน้ำมนตร์หลั่งรดมือของเจ้าบ่าวเจ้าสาวอีกครั้ง พิมพ์อรน้ำตาคลอ ถ้าสามียังอยู่คงมีความสุขยิ่งกว่าใครในงาน
“ใจเย็นเหมือนน้ำน่ะลูกทั้งสองคน หนักนิดเบาหน่อยก็อภัยกันชีวิตคู่ก็เหมือนลิ้นกับฟัน ให้นึกถึงสิ่งดีๆ ที่ทำให้กันไว้ มีความสุขนะลูกทั้งสองคน”
“ขอบคุณนะคะแม่” มัทนาก้มหน้าจู่ๆ น้ำตาก็ไหลออกมา มันตื้นตันใจจนกลั้นความรู้สึกที่เอ่อล้นในอกเอาไว้ไม่ได้
“ขอบคุณครับคุณแม่น้า เอ่อ คุณแม่”
คิมหันต์หันไปขอผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดน้ำตาให้เจ้าสาว เธอยิ้มเขินๆ ที่ร้องไห้ออกมา เขายิ้มใส่ตาเธอแล้วพยักหน้าให้ทำพิธีต่อ ผู้จัดการ หัวหน้าฝ่าย หัวหน้าแผนก ตลอดจนพนักงานที่มัทนารู้จักบ้าง ไม่รู้จักบ้างเข้ามารดน้ำสังข์อวยพร เดชาถือน้ำสังข์มารดให้แต่ความเสียใจจุกอกจนพูดได้แต่ขอให้มีความสุข มาติกาไม่เพียงรดน้ำสังข์ แต่ยังเอามือมาประคองหน้าเจ้าสาวแล้วหอมแก้มไปฟอดใหญ่ทั้งแก้มซ้ายแก้มขวา เจ้าบ่าวถึงกับอึ้ง เริ่มไม่แน่ใจว่าแค่จูบพิสูจน์จะพอหรือเปล่า
พิธีในช่วงเช้าผ่านไปด้วยดี อากาศเย็นสบายเป็นใจ และที่สำคัญไม่มีแขกที่ทำให้งานกร่อยอย่างนันทินี

งานเลี้ยงฉลองในตอนค่ำถูกจัดที่โรงแรมกลางเมืองชลบุรี มัทนาเปลี่ยนเป็นชุดเจ้าสาวเกาะอกสีขาวกระโปรงยาวกรอมเท้าเน้นเอว ส่วนเจ้าบ่าวมาในชุดสูทสีขาวเข้ากัน เธอยืนรับแขกกับคิมหันต์ ยิ้มจนเมื่อยหน้า แขกยังมาไม่ขาดสายขนาดว่าฉุกละหุกได้การ์ดเชิญมาต้นสัปดาห์ รองเท้าส้นสูงกัดจนเธอชักยิ้มไม่ออก แถมจู่ๆ เจ้าบ่าวก็หายไปไหนก็ไม่รู้ ยังดีที่แม่คอยอยู่เป็นเพื่อนเธอแทน
คิมหันต์เดินกลับมาแล้วบอกให้มัทนานั่งลง เธอยอมทำตามเพราะเจ็บเท้าจนจะยืนไม่ไหวอยู่แล้ว เขาถอดรองเท้าส้นสูงออกให้แล้วใส่รองเท้าผ้าใบที่สั่งให้รหัทไปหาซื้อมา เธออุ่นอยู่ในอกรับรู้ได้ว่าเขาสนใจใยดีและมีน้ำใจ แม้ไม่ใช่ปัญหาของเขาเลยสักนิด ถ้าเริ่มต้นจากความรู้สึกดีๆ ตรงนี้ เราคงยิ้มให้กันได้จนกว่าจะหย่ากัน คนเย็นชาทว่ามีน้ำใจ
พิธีในการในงานต่างๆ ดำเนินไป เจ้าบ่าวเจ้าสาวขึ้นเวทีโดยมีคุณทีปต์ แม่ของเธอเป็นคนให้คำอวยพร ยายดีใจจนร้องไห้ที่หลานสาวเป็นฝั่งเป็นฝา บำรุงกับเผือกพากันล้อที่เห็นเธอแต่งตัวหวานๆ ทั้งที่เมื่อเช้าก็ล้อไปยกหนึ่งแล้ว
พนักงานของ Blue Enterprise มากันมากมาย รวมทั้งเดชาและพี่ๆ ในฝ่าย ทุกอย่างดูจะผ่านไปด้วยดีถ้าแขกรายสุดท้ายของงานจะไม่มาถึงและจุดประเด็นความน่าสนใจด้วยชุดที่ใส่มา
“แฟนเก่าคุณมาแน่ะ”
คิมหันต์มองไปประตูทางเข้างานที่นันทินีกำลังเดินเข้ามา ชุดที่ใส่ทำให้แขกเหรื่อในงานพากันสนใจ มัทนามองชุดของตัวเองสลับกับชุดที่นันทินีใส่ ยัยแม่ม่ายคิดว่ามางานตรุษจีนหรือไงถึงได้ใส่ชุดแซคเกาะอกสีแดงเพลิงมา รูปแบบของชุดเหมือนกันทุกอย่าง เพียงแต่คนละสี แถมอกยังตู้มอย่างกับภูเขาไฟฟูจิ ทำอย่างนี้ถ้าไม่เรียกว่าจงใจก็ไม่รู้ว่าจะเรียกยังไงแล้ว
คิมหันต์มองตามสายตาของมัทนาที่กำลังก้มมองหน้าอกตัวเอง เรื่องแบบนี้ผู้หญิงยอมกันไม่ได้เลยใช่ไหม จะว่าไปแล้วเธอก็ไม่ได้เป็นไม้กระดานอย่างที่เขาปรามาสเอาไว้สักหน่อย แต่ขืนพูดไปได้ถูกหาว่าลามก
“ไม่เท่าไหร่หรอก ไม่เหมือนเดชา หน้าแห้งเหี่ยวตั้งแต่มาถึง คนไหนตัวจริงของเธอกันแน่ เพื่อนเจ้าสาวหรือว่าเพื่อนร่วมงาน” เมื่อเช้าก็หอมกันไปมา จนเขาตาค้างไปรอบนึงแล้ว
มัทนามองไปทางเดชาซึ่งยืนใกล้ๆ กับมาติกา เธอไม่ทันสังเกตว่าดวงตาของเขาดูเศร้าๆ อย่างที่คิมหันต์บอกจริงๆ นั่นล่ะ วันนี้มีคนมากมายที่เธอไม่รู้จัก แต่ถูกแนะนำให้ต้องรู้จัก จะมีเวลาไปมองสีหน้าของใครนักหนา เขานี่คงมีตาหลัง
“ถ้าฉันไม่กวนโมโห คุณก็ต้องทำด้วยสิ เอาไง แฟนเก่าของคุณยิ้มหวานมาให้แล้ว”
“สบายมาก” เขากระซิบบอกจงใจให้ริมฝีปากใกล้แก้มเนียน ยังดีที่มัทนากำลังสนใจแขกรายล่าสุดเลยไม่หันมาค้อนใส่
นันทินีไม่สนใจจะไปไหว้คุณทีปต์ แม้ว่าชายชราคนนั้นจะปรายตามองมา มันเรื่องอะไรที่เธอต้องไปไหว้คนที่มองมาอย่างรังเกียจ เธอเองก็รังเกียจผู้ชายคนนั้นเหมือนกัน นันทินีไม่เคยบอกคิมหันต์ว่าตอนเพิ่งกลับมาเธอไปไหว้ทีปต์ถึงที่คฤหาสน์ ใครจะคิดว่าผู้ชายแต่งตัวมอซอที่เธอเคยเห็นตอนเรียนมหา’ลัยจะรวยล้นฟ้า แต่การต้อนรับกลับเป็นการบอกว่าอย่ามายุ่งกับหลานของเขาอีก
คงน่าสะใจไม่น้อยถ้าคิมหันต์หย่าอย่างรวดเร็วแล้วมาคืนดีกับเธอ ในอดีตเธออาจจะยอมแพ้แก่โชคชะตา แต่อะไรที่เคยเป็นของเธอ ไม่ว่าผ่านไปนานเท่าไหร่มันก็จะเป็นอยู่อย่างนั้น
พนักงานมอมแมมถูกแปลงโฉมเสียอย่างกับผ้าขี้ริ้วที่เอาไปซักจนสะอาดสะอ้าน ให้ทำอย่างไรก็เทียบไม่ได้กับผ้าเช็ดหน้าลายลูกไม้คู่ควรกับผู้ชายที่กลายเป็นเจ้าบ่าวของผู้หญิงแปลกหน้า นันทินียิ้มหวานให้คิมหันต์ แต่เบ้ปากส่ายหน้ายามมองเจ้าสาว
“นันมาไม่ทันรดน้ำสังข์ พอดีบ้านไกล กันดารเหลือเกิน แต่ถึงมาทันนันคงอวยพรได้แค่ว่าขอให้คิมมีความสุขนะคะ ส่วนเธอก็คงได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของคิมได้ไม่นานนักหรอก เกาะตำแหน่งนี้ให้แน่นๆ ล่ะ”
มัทนาไม่โมโหไม่โวยวายเพราะคิดไว้อยู่แล้วว่าถูกต้องยั่วให้โกรธ แล้วจะโกรธคนบ้ากว่าทำไม เรื่องของนันทินีเธอพอรู้มาบ้างจากอังเคิลเค เพราะฉะนั้นคิมหันต์ต้องใจแข็งไว้ ผู้หญิงที่ทิ้งเขาเพราะเงิน มือหนาจับมือบางของเจ้าสาวไว้เพื่อแสดงความเจ้าของและเรียกความมั่นใจของเขากลับมา
“มัทนาคงไม่ต้องเกาะเพราะผมเป็นฝ่ายจับมือเธอไว้เองต่างหาก ผมรู้แล้วว่าผู้หญิงคนไหนคบแค่ฆ่าเวลาและผู้หญิงคนไหนสมควรให้เกียรติมาเป็นเจ้าของเรือนใจ มาเป็นแม่ของลูก”
“ตามใจค่ะ นันดูออกว่าตอนไหนคิมโกหก ตอนไหนคิมพูดจริง”
ไม่รอให้ถูกย้อน นันทินีเดินออกจากงานทันที ตอนนี้เธอมั่นใจแล้วว่าการแต่งงานคราวนี้มีอะไรแปลกๆ รอคนของเธอสืบได้เรื่องก่อนเถอะ
“โห นางอิจฉาในละครชัดๆ ถามจริงๆ เถอะถ้าวันหนึ่งฉันทนไม่ไหวต่อยยัยนี่เข้า คุณจะโกรธแทนแฟนเก่าหรือเปล่า” ไม่ได้กวนโมโหแม้แต่นิดเดียว แค่ถามไว้ก่อน ดูท่าทางนันทินีคงมาเยี่ยมคิมหันต์บ่อยๆ
“เมียกับแฟนเก่า ไม่ต้องคิดด้วยซ้ำ ถ้าไม่เลือกเมียให้ไปเลือกแมวที่ไหน”
คิมหันต์ตอบเองยังหัวเราะ เขาไม่ได้กลัวเมียไม่ว่าแต่งงานจริงๆ หรือว่าแต่งงานหลอกๆ แล้วถ้าดูจากหน่วยก้านแล้ว เขาคิดว่าถ้านันทินีไม่อยากหาเรื่องใส่ตัวก็ไม่ควรมายุ่งกับมัทนา แว่วๆ จากพี่เขยว่าตอนเรียนมหา’ลัย มัทนาเคยไปแข่งชกมวยหญิงแล้วชนะเลิศเสียด้วย อย่าว่าแต่นันทินีจะเจ็บหนัก เขาเองชักไม่แน่ใจเหมือนกัน
งานเกือบจะผ่านไปด้วยดีจนจบอยู่แล้วถ้าจู่ๆ จะไม่เกิดเสียงระเบิดขึ้นที่ลานจอดรถ ภุชงค์ซึ่งเป็นตำรวจเจ้าของคดีที่คิมหันต์ถูกลอบยิงไปดูที่เกิดเหตุ กลับพบว่าเป็นระเบิด Stun Grenade ทำให้เกิดเสียงเท่านั้น ไม่ก่อความเสียหายต่อทรัพย์สินใด ๆ เป็นไปได้ว่าเป็นการก่อกวนมากกว่า แต่ตำรวจก็รับเรื่องไปตามความต้องการของเจ้าทุกข์

ฤกษ์เข้าหอเวลา 23.19 นาที เจ้าบ่าวเจ้าสาวเดินทางกลับมาที่บ้านสวน โดยมีญาติผู้ใหญ่มาพร้อมหน้าพร้อมตากัน สีหน้าของมัทนาดูไม่ค่อยดีนักเพราะเสียงระเบิดนั่น อีกทั้งรองเท้าผ้าใบที่เปลี่ยนเริ่มกัดจนทรมานอีกแล้ว คิมหันต์กระซิบถามก็ได้คำตอบที่ทำให้ยิ้มกว้าง เจ้าสาวถูกรองเท้ากัด เดือดร้อนเจ้าบ่าวต้องสั่งเลขาให้ไปหารองเท้ามาให้เธอเปลี่ยน ในเวลาแบบนี้เลยได้รองเท้าฟองน้ำมา คราวนี้ถูกใจเจ้าสาวล่ะ ถึงกระโปรงจะยาวลากพื้นไม่ดูสูงสง่า แต่ว่าสีหน้าของเจ้าสาวดีขึ้นก็พอแล้ว
ห้องนอนของมัทนาถูกจัดเสียใหม่และมีเฟอร์นิเจอร์ที่คิมหันต์ต้องการเพิ่มเข้าไปอย่างโต๊ะทำงานและชั้นหนังสือ ส่วนผ้าปูที่นอน ผ้าห่มรวมถึงผ้าม่าน พิมพ์อรเป็นธุระจัดการให้เพื่อเป็นของขวัญให้กับลูกสาวและลูกเขย ยามนี้สองหนุ่มสาวเจ้าของงานมงคลนั่งอยู่กับพื้นกระดานขัดมัน พิธีกำลังเริ่มอีกครั้ง
ลุงกับป้าใกล้บ้านมาปูที่นอนและนอนลงบนที่นอนให้คู่บ่าวสาวตามคำขอ เพื่อถือเคล็ดว่าเจ้าบ่าวเจ้าสาวจะได้มีชีวิตคู่ที่ดีเช่นเดียวกัน คำอวยพรจากแม่และยายทำให้มัทนาน้ำตาคลอ ทีปต์ให้พรหลานทั้งสองแล้วพาทุกคนออกไปจากห้อง เหลือไว้เพียงเจ้าบ่าวเจ้าสาว
คิมหันต์ขยับลุกขึ้นบิดตัวเพราะนั่งพับเพียบมานาน แล้วเดินไปที่หน้าต่างมองลงไปก็เห็นคนบ้านใกล้เรือนเคียงของมัทนายังมาแสดงความยินดี พอหันหน้ามาเจ้าสาวของเขากลับยังนั่งอยู่ที่เดิม ร่างสูงเดินมายืนใกล้ๆ แล้วจับต้นแขนของเธอไว้
“จะทำอะไร” มัทนาถามเสียเหนื่อยๆ แต่สีหน้าที่มองคิมหันต์บอกชัดว่าไม่ไว้ใจ
“ฉันไม่ทำอะไรเธอหรอกน่า วันนี้เพลีย แค่จะช่วยพาไปนั่งที่เตียง นั่งนานๆ ไม่เมื่อยบ้างหรือไง”
มัทนาพยักหน้า แต่ยังไม่วายจ้อง “วันอื่นก็ไม่ได้”
คิมหันต์แกล้งถอนใจยาวๆ ใส่ ต่อให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่แต่งงานเพราะความรักก็เถอะ เหนื่อยกับงานแต่งงานมาทั้งวัน ถ้ายังแรงเหลือแสดงความรักบนเตียงได้ต่อก็เกินไปล่ะ
“มีอารมณ์ขันหน่อยสิ รองเท้ากัดจนเจ็บไม่ใช่หรือ ไปนั่งที่เตียงแล้วจะดูให้ ผู้หญิงอะไรคิดลามกอยู่เรื่อย”
“ก็ใครจะไปรู้ล่ะ”
คนถูกกล่าวหาหัวเราะแก้เก้อ หลังจากเห็นแฟนเก่าหุ่นสะบึมของคิมหันต์แล้ว เธอก็ไม่คิดเข้าข้างตัวเองหรอกว่าเขาจะมาคิดอะไร แต่กันไว้ก่อนเพื่อความสบายใจ ว่าแต่ระเบิดนั่นฝีมือแฟนเก่าของเขาหรือเปล่านะ สงสัย แต่คงไม่ถาม บางทีอาจจะเป็นคนอื่นก็ได้ เขาก็ใช่ว่าไม่มีศัตรูที่ไหน
คิมหันต์ช่วยถอดรองเท้าฟองน้ำออกให้ ถึงจะเปลี่ยนรองเท้าแล้ว แต่เธอคงเจ็บเท้ามาตลอดทั้งวัน ไม่บ่นจนกระทั่งเจ็บจนทนไม่ไหว เขาเดินไปเปิดประตูแล้วก้าวขาออกไปได้แค่ข้างเดียวก็ถูกพี่เขยไล่ให้กลับเข้ามาในห้อง สีหน้าจริงจังมาก บอกว่าห้ามเจ้าบ่าวเจ้าสาวออกจากห้องในคืนส่งตัว เขาเปลี่ยนใจเดินไปห้องน้ำแทนแล้วหยิบผ้าขนหนูมาชุบน้ำบิดหมาดๆ
บำรุงกับเผือกอาหูมาแนบบานประตูแล้วพากันยิ้ม มีเสียงเดิน เสียงกุกกัก และเสียง...
“โอ๊ย! เจ็บนะ อย่าทำแรงสิ”
“นิ่งๆ สิ ถ้าดิ้นก็ยิ่งเจ็บ”
บำรุงยื่นมือไปดึงหัวเผือกออกมา แต่ตัวเองยังฟังต่อแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ทีปต์เดินมายืนใกล้ๆ ตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้อีกก็ตอนหันไปตอนเผือกสะกิด
“สงสัยจะมีลูกหัวปีท้ายปีนะครับ” บำรุงบอกยิ้มๆ แล้วรีบพาเผือกแจวไปจากหน้าห้องของเจ้าบ่าวเจ้าสาว รีบลงจากเรือนไปหายุพา น้องสาวดันแต่งงานนำหน้าพี่ชายไปแล้ว
ทีปต์ยิ้มกว้างถ้าได้อย่างนั้นจริงๆ ก็เป็นข่าวดีน่ะสิ เขาเดินลงมาจากเรือนโดยมีพิมพ์อรเดินมาส่ง มือก็ชี้ไปตรงที่ดินที่เคยประกาศขายแล้วบอกว่าซื้อไว้ กะว่าจะเอาไว้สร้างเรือนหอให้คิมหันต์กับมัทนาอยู่ด้วยกัน อีกทั้งยังสะดวกไปมาระหว่างสองบ้าน พิมพ์อรยกมือไหว้ขอบคุณ รู้สึกหมดห่วง ลูกสาวได้แต่งงานกับคนดีและยังได้ญาติผู้ใหญ่ที่ดีเอ็นดู

คิมหันต์ถูกไล่ให้ไปอาบน้ำก่อนหลังจากบ่งตุ่มน้ำที่มาจากรองเท้ากัดให้มัทนาจนคนช่วยถูกค้อนใส่ แต่พอเห็นเธอดึงกิ๊บดำออกจากผมที่ถักเปียรอบไว้ไม่ถนัดนักก็ชักสงสารเลยต้องเข้าไปช่วย ดีหน่อยที่ไม่ถูกค้อนอีกรอบ น้ำเย็นสบายใช้ขันตักอาบไม่มีฝักบัวอย่างที่คุ้นเคย กลับสู่วิถีสามัญธรรมดา
มัทนาอาบน้ำไม่นาน บางทีอาจจะเร็วกว่าเขาด้วยซ้ำ เธอออกมาจากห้องน้ำด้วยชุดที่คิมหันต์เห็นแล้วนึกขำ ถ้าอากาศไม่หนาวจนเธอทนไม่ไหวก็คงเป็นเพราะไม่ไว้ใจกันอยู่นั่นเอง
“บ้านสวนของเธอน่าอยู่ดีนะ เงียบสงบดี” เขาชวนคุยพลางเบือนหน้าจากหน้าต่างมามองมัทนาหวีผม แต่พอเห็นชุดอีกรอบก็อดไม่ได้ “นี่ชุดนอนของเธอเหรอ กะว่าตอนเช้าไปเดินตลาดได้สบายใจเลยหรือไง ไม่ร้อนใช่ไหม”
มัทนาวางหวีหันหน้ามามองคิมหันต์ในแบบที่ไม่เคยเห็น เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น ดูธรรมดาๆ แต่พออยู่บนตัวเขากลับดูแพงมีมูลค่า ไม่เหมือนเธอเลยแฮะ
“ปกติฉันก็ใส่แบบนี้ ถ้าอยากเห็นพวกซีทรูเว้าหน้า เว้าหลังก็ไปหาเอาข้างหน้าแล้วกัน” เธอแกล้งว่าพลางขึ้นไปนั่งบนเตียงเหนื่อยจนจะหลับอยู่แล้ว “จะทำอะไร”
คิมหันต์ขึ้นมานั่งอยู่บนเตียงสบายใจเฉิบ ตอนนี้มันเกือบจะตีสองเข้าไปแล้ว ใครจะไปทำอะไรได้
“ก็จะนอนน่ะสิ หรือเธอไม่ยังไม่เหนื่อย”
“ถ้างั้นฉันนอนพื้นเอง เตรียมที่นอนปิกนิกมาแล้ว คุณก็นอนบนเตียงแล้วกัน”
มัทนาเดินไปหลังตู้ที่ซึ่งแอบเก็บที่นอนปิกนิกไว้ รู้ว่าถ้าแต่งงานแล้วคงต้องใช้ แต่คนตัวใหญ่เดินเสียงเบากริบมายืนซ้อนหลังใกล้ๆ แล้วพอหันไปมองก็ดึงแขนให้ตามไปที่เตียง
“มานอนด้วยกันเถอะน่า”
เธอสะบัดแขนออกมองคิมหันต์อย่างเอาเรื่อง “เอาแล้วไง คุณนี่มัน...”
คิมหันต์เดินไปที่นอนอีกฝั่ง หน้าตาของเขาไม่เหมือนพวกหื่นกามสักหน่อย
“ฟังให้จบก่อนสิ ฉันไม่ค่อยชอบพูดคำว่าสัญญากับใคร แต่ฉันจะให้คำสัญญากับเธอ นอนด้วยกันบนเตียงนั่นแหละ เธอจะเอาหมอนข้างมากั้น สร้างกำแพงเมืองจีนก็ตามใจ วันนี้เราเหนื่อยมาด้วยกัน ก็อย่ามาลำบากเรื่องที่หลับที่นอนเลย บอกตรงๆ วันนี้ฉันเหนื่อย ไม่มีแรงมาทำอะไรเธอหรอก”
มัทนายังไม่วางใจยังรอจนคิมหันต์ขึ้นไปนอนแล้วหลับตาลง เขาไม่มีทีท่าว่าจะทำอะไรให้โมโหจนต้องใช้กำลังก่อนนอน เธอขยับขึ้นมานั่งบนเตียงอีกฝั่งที่เปลี่ยนใหม่ใหญ่พอนอนได้สองคน มือบางควานไปในปลอกหมอนที่เข้ามาซ่อนบางอย่างไว้ตั้งแต่เมื่อวาน
“โอเค แต่ขออุ่นใจไว้ก่อน”
คิมหันต์ลืมตามองแล้วหัวเราะ “สนับมือเนี่ยนะ”
มัทนาร้องอืออยู่ในลำคอ นี่แค่เบาะๆ ถ้าเขาทำอะไรไม่ชอบมาพากล วิชามวยไทยจะถูกขุดออกมาใช้ทันที
“ตามใจเถอะ นอนได้แล้ว เหนื่อย ห้ามลักหลับฉันล่ะ เดี๋ยวเผลอให้ความร่วมมือจะยุ่ง”
ฟังแล้วอยากประทุษร้ายชะมัด มัทคว้าหมอนค้างมาอยากฟาดใส่ตัวเขาสักทีนัก แต่เปลี่ยนใจวางลงตรงกลางระหว่างเราสองคน รู้หรอกว่าแค่หมอนข้างช่วยอะไรไม่ได้ แต่มันก็ช่วยให้ไม่รู้สึกแปลกๆ เวลามีคนแปลกหน้ามานอนเตียงเดียวกัน เธอนอนลงปรายตามองคิมหันต์อยู่บ่อยครั้ง จนกระทั่งความเหนื่อยล้าทำให้หลับไปในที่สุด
คิมหันต์เป็นฝ่ายลุกจากเตียงไปปิดไฟ เรียวปากหนายิ้มขัน ผู้หญิงต่อให้ห้าวทอมบอยขนาดไหนก็กลัวผู้ชายเหมือนกันล่ะน่า

คิมหันต์ตื่นมาตอนเช้าก็ไม่เห็นมัทนาบนเตียงแล้ว ตลอดทั้งคืนเขากลับสนิท ไม่รู้สึกตัวด้วยว่าภรรยาหมาดๆ ลุกไปตอนไหน ผ้าห่มถูกพับเก็บไว้ที่ปลายเท้าอย่างเรียบร้อย รวมทั้งหมอนข้างก็ถูกวางไว้ที่เดียวกัน เห็นกระโดกกระเดกโฉ่งฉ่างก็ยังพับผ้าเป็น เขาลงจากเตียงเปิดตู้เสื้อผ้าอย่างเคยชิน เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ที่มีเสื้อผ้าของเขาแขวนรวมกับเสื้อผ้าของผู้หญิงที่เพิ่งแต่งงานด้วยกัน
มีเสียงคุยกันเบาๆ อยู่ที่ห้องครัวชั้นล่าง คิมหันต์เดินมาตามเสียงก็เห็นแม่ยายออกมาจากครัวพร้อมปิ่นโต มัทนามีดอกไม้กับปิ่นโตอีกเถาในมือ ส่วนเผือกมีธูป ทำอย่างกับจะไปวัดกัน วันนี้วันพระงั้นหรือ
“จะไปไหนกันหรือครับ ผมขับรถให้ดีไหมครับ”
มัทนาเงยหน้ามองเจ้าของเสียง รู้สึกแปลกนิดๆ เวลามองคิมหันต์ พิมพ์อรยิ้มให้ลูกเขย ก่อนจะมองเทียบกันระหว่างลุงริชาร์ดกับรถยนต์สีดำมันปราบ
“ดีเหมือนกันจ้า เผื่อลุงริชาร์ดเกเร”
“ส่งของมาสิจะช่วยถือ”
มัทนาทำเฉย แต่พอแม่มองมาก็ส่งปิ่นโตให้คิมหันต์อย่างว่าง่าย ของทั้งหมดถูกเก็บไว้ที่กระโปรงท้ายรถ พิมพ์อรกับเผือกพร้อมกันไปนั่งที่เบาะหลัง เหลือที่เบาะข้างคนขับเอาไว้ให้ พอมัทนาเข้าไปนั่ง คนเป็นแม่ก็ส่งน้ำเต้าหูที่ซื้อมาจากตลาดแจกทุกคน
“เอาน้ำเต้าหู้ให้พ่อคิมกินรองท้องหน่อยยัยมัท ตื่นเช้าแบบนี้เผื่อจะหิว”
มัทนาส่งน้ำเต้าหู้ให้คิมหันต์ตามคำสั่งของแม่ คนถูกให้หันมาแล้วสั่งบ้าง
“เจาะรูให้ด้วยสิ เห็นไหมมือไม่ว่าง”
“แล้วต้องถือป้อนให้ด้วยหรือเปล่า”
รู้หรอกว่าถูกมัทนาย้อนเข้าให้ แต่เช้านี้ตื่นมาแล้วอารมณ์ดีจะไม่ถือสา แต่ว่าจะต่อปากต่อคำ
“แหม ถ้าทำแล้วไม่ถูกค้อนใส่ ก็ไม่อยากขัดศรัทธาหรอกนะ”
มัทนาก้มหน้าลงกัดถุงน้ำเต้าหู้จัดการเสียบหลอดแล้วส่งให้คิมหันต์ เรื่องที่จะจับถุงคอยถือป้อนให้เขาฝันไปได้เลย คิมหันต์รับน้ำเต้าหู้มากิน พิมพ์อรกับเผือกพากันยิ้ม ชายหนุ่มเห็นรอยยิ้มจากกระจกมองหลังเลยยิ้มตอบ มัทนาหันมาเห็นเลยหลุดขำ ก็มันตลกนี่ สามคนนี้ทำอย่างกับมีความลับอะไรกัน
รถคันหนึ่งขับตามมา คิมหันต์เห็นจากกระจกข้างแล้วได้แต่ส่ายหน้า เขาสั่งให้รหัทพักหนึ่งวัน แต่หมอนั่นกลับมาทำงานตามปกติ

วัดใกล้บ้านคือปลายทางของครอบครัวใหม่ที่คิมหันต์กำลังทำความคุ้นเคย โดยมีจุดเชื่อมอย่างมัทนา ที่แม้ว่าจะไม่ให้ร่วมมือเท่าไหร่ แต่เธอก็คอยบอกทางว่าต้องไปทางไหน รถจอดใต้ต้นพิกุลที่ส่งกลิ่นหอม เขาเหมาถือปิ่นโต ส่วนของอื่นๆ ก็แบ่งๆ กันถือ มัทนาบอกเขาว่าเราจะไปที่ส่วนเก็บอัฐิก่อน แล้วค่อยไปหาท่านเจ้าอาวาท
พิมพ์อรเดินนำทุกคนไปแล้ววางของลง สายตามองป้ายหินอ่อนที่ติดรูปของสามีกับลูกชาย สามีจากนางไปโดยไม่ทันได้เอ่ยลา ส่วนลูกชายนางเป็นคนเลือกให้จากไปอย่างสงบ ความเศร้าผ่านไปนานแล้ว ตอนนี้ที่เหลือในหัวใจมีเพียงความคิดถึงที่ไม่ทุรนทุราย การปลงได้นำความสุขมาให้เสมอ
คิมหันต์วางปิ่นโตแล้วมองรูปที่ซีดไปบ้างตามกาลเวลาของผู้ชายสองคน คนหนึ่งเป็นพ่อของมัทนา เขายกมือไหว้ แล้วหันมองผู้ชายอีกคนในรูป มือหนายกขึ้นมาตบอกเบาๆ เมื่อรู้สึกเจ็บจี๊ดขึ้นมา สัปดาห์หน้าไปหาวริศพอดีคงต้องบอกถึงความผิดปกตินี้
“บดินทร์เป็นพี่ชายของยัยมัท เป็นลูกชายคนโตของแม่จ้ะ”พิมพ์อรยิ้มลบรอยเศร้าแล้วเล่าต่อ “เกิดอุบัติเหตุเมื่อปีก่อนน่ะ ดินทร์กับพ่อของยัยมัทขับรถไปด้วยกัน วันนี้วันเกิดของดินทร์ แม่กับยัยมัทเลยมาทำบุญให้”
“เสียใจด้วยนะครับ” เขาเข้าใจการสูญเสีย คนที่รักจากไปโดยไม่ทันได้เตรียมใจ ให้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ก็ไม่มีวันลืม มัทนาต้องเข้มแข็งกว่าเด็กผู้หญิงทั่วไปเพราะเหตุผลนี้หรือเปล่านะ
“มันผ่านมานานแล้วล่ะจ้ะ เพียงแต่ยังคิดถึงกัน”
“เป็นเรื่องบังเอิญจังเลยครับ พ่อกับแม่ของผมก็จากไปเพราะอุบัติเหมือนกัน เมื่อปีก่อน แต่อย่าบอกว่าเสียใจเลยนะครับ ตอนนี้ผมทำได้ใจได้แล้ว”
พิมพ์อรพยักหน้ายิ้มบางๆ พลางหยิบดอกไม้ออกจากถุง คิมหันต์คงเข้มแข็งกว่านางกับลูกสาว มัทนาเพิ่งรู้ว่าเขาผ่านเรื่องเศร้ามาเหมือนกัน พ่อแม่จากไปพร้อมกันถึงได้อยู่กับปู่แค่สองคนนั่นเอง อย่างน้อยคนที่ดูสมบูรณ์แบบก็ใช่ว่าไม่เคยร้องไห้เสียใจ การสูญเสียเหมือนกันทำให้เธอยื่นธูปให้เขาด้วยความเต็มใจ อย่างน้อยเราก็เป็นครอบครัวเดียวกัน
เผือกรับหน้าที่จ่อไฟแช็กให้ทุกคนจุดธูป ทั้งหมดไหว้แล้วอธิษฐานให้ผู้เป็นที่รักจากไปและเกิดใหม่ในชาติภพที่ดี คิมหันต์รวบรวมธูปของทุกคนมาปักในแก้วที่ใส่ทรายไว้ มัทนาช่วยวางดอกไม้ พิมพ์อรน้ำตาคลอแต่ไม่ไหลออกมา ถ้าสามีและลูกชายยังอยู่คนเห็นว่านางกับลูกๆ มีสมาชิกใหม่เพิ่มเข้ามา
“มัทว่าเราขึ้นไปหาท่านเจ้าอาวาสกันดีกว่าไหมคะ”
คิมหันต์ช่วยถือปิ่นโต แต่คราวนี้มัทนาแย่งมาถือเถาหนึ่ง อย่างน้อยก็น่าจะช่วยๆ กันใช่ไหมล่ะ เผือกวิ่งนำไปยังกุฏิเจ้าอาวาส ก่อนที่เด็กน้อยจะมาเป็นลูกชายของแม่อร ที่กฏิของเจ้าอาวาสเคยเป็นเหมือนบ้านหลังแรกของเขา เผือกเคยร้องไห้เสียใจที่แม่เอามาทิ้งให้พระเลี้ยง แต่ตอนนี้เขาได้มีชีวิตกับครอบครัวใหม่แล้ว
พิมพ์อรทำบุญให้ลูกชายด้วยการถวายภัตตาหารให้พระ เสียงสวดมนต์ทำให้คิมหันต์รู้สึกว่าเขาห่างจากการเข้าวัดมานาน จำได้เพียงรางๆ ว่าครั้งสุดท้ายที่เข้าวัดเป็นงานครบร้อยวันของพ่อกับแม่ เขาไม่ได้เกลียดวัด แต่ความจำฝังใจทำให้เขาเลือกที่จะบุญใส่ซองมากกว่ามาที่วัด ผ่านมานานพอได้เข้าวัดอีกครั้ง เขาคิดว่าความทรงจำไม่ได้ทำร้ายเขาอีกแล้ว

ทำบุญเสร็จแล้ว พิมพ์อรให้คิมหันต์กับมัทนามารอที่รถก่อนในระหว่างที่นางมีเรื่องปรึกษาท่านเจ้าอาวาทเรื่องที่ทีปต์ฝากไว้ สัปดาห์หน้าช่างจะเข้ามาตีผังเลยต้องรู้ว่าต้องเตรียมอะไรบ้าง เผือกวิ่งเล่นอยู่ที่ลานวัดกับเด็กหลายคน มัทนานั่งมองไปเรื่อยๆ จนมาเห็นรหัทยืนระวังภัยให้นายอยู่ไม่ห่าง
“ทำไมยังต้องมีบอดี้การ์ดตามคุณอีก คนร้ายยังไม่ถูกจับอีกหรือคะ” หลังวันที่เกิดเรื่อง เธอไปให้ปากคำกับตำรวจหลังเลิกงาน แต่ก็ไม่ได้ตามว่าการสอบสวนไปถึงไหนแล้ว
“มีแต่ผู้ต้องสงสัย แต่ยังไม่มีหลักฐานมากพอให้พาตัวมาดำเนินคดีน่ะสิ”
หญิงสาวพยักหน้า พอจะเข้าใจล่ะ จากที่เคยบอกว่าเขาเป็นมาเฟียกิ๊กก๊อกมีคนติดตามแค่คนเดียว แต่วันนั้นเห็นคนของเขามีเยอะอย่างกับจะไปยกพวกตีกับใคร ซ่อนคนไว้รอเรียกเวลาสำคัญนี่เอง
“แล้วที่คุณถูกตามยิงเมื่อคราวก่อน ตอนที่เราพบกันครั้งแรกล่ะ คนบงการน่าจะคนเดียวกันหรือเปล่า”
คิมหันต์หันมามองคนถามเต็มตา การถามแบบนี้ทำให้เขารู้สึกว่าช่องว่างระหว่างเราค่อยๆ ลดลง
“สอบสวนแล้วหลักฐานยังไม่พอเลยต้องปล่อยไป ถามทำไม เป็นห่วงฉันเหรอ”
มัทนาขมวดคิ้วเพิ่งรู้สึกตัวว่าถามมากไปแล้ว มันเป็นเรื่องของเขา หนึ่งปีถึงจะไม่นาน แต่ถ้าเกิดเธอเป็นฝ่ายที่ตกหลุมรักทั้งที่เรามีสัญญาต่อกัน ย่อมไม่ใช่เรื่องดี
“ใครว่า”
“ฉันนี่แหละ” เขาหัวเราะแกล้งต่อปากต่อคำ
“ถ้าคุณเป็นตัวอันตราย ครอบครัวฉันก็อันตรายไปด้วยน่ะสิ ฉันห่วงแม่ ยาย พี่ไม้ เจ้าเผือก ไม่ได้ห่วงคุณสักหน่อย” เธอบอกสีหน้าจริงจัง
รอยยิ้มหายไปกลายเป็นริมฝีปากเม้มปิดดุจเดิมที่คิมหันต์เคยทำมาตลอด เขาไม่ได้คาดหวังให้มัทนามาห่วงใย แต่การไม่ใยดีและมองเขาเป็นคนพาปัญหาเข้ามาทำให้ระยะห่างของเรากลับไปเท่าเดิม
“ไปกันเถอะ คุณแม่ลงมาจากศาลาแล้ว”
คิมหันต์เดินไปที่รถและสตาร์ทรอ พิมพ์อรเก็บกระดาษจดของที่ต้องเตรียมใส่กระเป๋าแล้วเข้ามาในรถ บรรยากาศในรถเปลี่ยนไป ไม่มีใครบอกได้ว่าอะไรที่เปลี่ยน รู้แต่เสียงหัวเราะเหลือเพียงแค่เบาะหลัง มัทนาชำเลืองมองคิมหันต์บ่อยครั้ง รู้สึกตัวแล้วว่าพูดแรงไป ครั้นจะบอกเขาว่า...ขอโทษ ตอนนี้ก็ไม่ได้ แม่คงสงสัยว่าเรามีเรื่องอะไรกัน



บรรพตี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 28 ก.พ. 2558, 10:45:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 28 ก.พ. 2558, 10:45:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 1104





<< ตอนที่ 10   ตอนที่ 12 เล่นเกมแจกหนังสือค่ะ >>
เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account