สัญญารักพรางใจ
คิมหันต์ไม่เคยเชื่อเรื่องพรหมบันดาล โชคชะตา ทำบุญร่วมกันมา
เขาเชื่อว่าทุกอย่างอยู่ที่การกระทำ
หากไม่มีเหตุการณ์นั้นเขาจะแต่งงานกับมัทนาเพราะเหตุผลอะไร

Tags: ความรัก สัญญา ความลับ

ตอน: ตอนที่ 12 เล่นเกมแจกหนังสือค่ะ

ตอนที่ 12

ใต้ต้นจามจุรีมีรถญี่ปุ่นคันเล็กจอดอยู่ คิมหันต์ขับรถเข้าไปจอดข้างๆ เงาของต้นไม้ทำให้รถไม่ร้อน แต่อาจจะต้องปัดใบไม้หากต้องใช้รถในครั้งต่อไป บางทีเขาอาจจะขอสร้างโรงจอดรถจะได้เป็นที่เป็นทาง สาวสวยหน้าตาน่ารักที่โอบแก้มมัทนามาหอมฟอดใหญ่ในวันแต่งงานยืนรออยู่ มัทนาเดินไปหาแล้วกอดเอวไว้อย่างสนิทสนม คิ้วหนาขมวดมุ่น ถึงจะบอกว่าไม่ใช่ทอมแต่เห็นแบบนี้แล้วใครจะไปสบายใจได้
“หนูมาด วันนี้ว่างหรือจ๊ะ”
“ยัยมัทโทรตามให้มาช่วยแกะของขวัญ ถ้าอันไหนไปบริจาคได้จะได้ช่วยกันขนค่ะแม่” มาติกาบอกพลางยกมือไหว้แม่ของเพื่อน
พิมพ์อรหันไปมองคิมหันต์ที่ยังทำหน้าเฉยๆ ไม่ได้ถือสากับความคิดน้อยของลูกสาว มีที่ไหนเรียกเพื่อนมาช่วยแกะของขวัญแต่งงาน แทนที่จะแกะกับสามีแค่สองคน
“งานละเอียดต้องให้มาดช่วยค่ะแม่” มัทนารีบแก้ตัว “ตามสบายนะคุณ ถ้าหิวของกินมีเพียบในครัว เดี๋ยวฉันกับมาดจะไปช่วยกันแกะของขวัญ มีอะไรไปตามก็แล้วกัน”
จะมีใครทำกับเขาอย่างที่มัทนาทำได้ บอกให้สามีถึงจะในนามก็เถอะไปหาอะไรกินเองในครัว ส่วนตัวเองเดินควงแขนเพื่อนสนิทขึ้นเรือนอย่างกระหนุงกระหนิง โดยมีเผือกตามขึ้นเรือนไปอีกคน
“สองคนนี้สนิทกันมาตั้งแต่เด็กจ้าพ่อคิม กินนอนด้วยกันมาจนโตเป็นสาวกันแล้ว ยังทำตัวติดกันเหมือนเดิม” พิมพ์อรช่วยพูดให้ ก่อนที่ลูกเขยจะเข้าใจผิดเหมือนเพื่อนผู้ชายของลูกที่เรียนมหา’ลัยมาด้วยกัน
คิมหันต์ยิ้มแม้ระอุในอก “ครับ คุณแม่ ถ้างั้นผมขอตัวไปทำงานนะครับ ยังมีงานด่วนบางงานที่ต้องสะสาง”
พิมพ์อรค่อยโล่งใจก่อนจะเดินเข้าครัวไป แม้จะแปลกใจที่คู่ข้าวใหม่ปลามันกลับอยู่กันคนละทิศละทาง บำรุงกำลังล้างจานพอดีรีบบอกว่าแม่ว่าดูแลอาหารกับยาให้พิมพ์ใจเรียบร้อยแล้ว เขารู้ว่าแม่กับน้องไปไหนมา ถึงจะไม่ได้มีสายเลือดเดียวกัน แต่เขาก็อยากเป็นลูกชายที่ดีของแม่เหมือนบดินทร์

ทีปต์เป็นคนสั่งให้ขนของขวัญแต่งงานมาไว้ที่บ้านสวนตั้งแต่เมื่อคืน มาติกาห่อปากตื่นเต้นไม่คิดว่ามันจะมากมายขนาดนี้ เธอกางสมุดที่เตรียมมาแล้วเริ่มจด ช่วยๆ กันแกะอย่างสนุกสนาน เสียงหัวเราะดังไปถึงห้องอีกฝั่ง ของขวัญส่วนใหญ่จะเป็นพวกกรอบรูป นาฬิกาแขวนผนัง และอีกหลายอย่างที่น่าจะไปบริจาคได้อย่างพวกตุ๊กตา มาติกาหยิบกล่องของขวัญใกล้มือมาแกะไปคุยไป สีของกระดาษห่อเป็นสีแดงสวยมาก ทว่าของในกล่องกลับทำให้ตะลึงอึ้ง
“มัทนี่มันอะไรน่ะ แน่ใจหรือว่าเป็นของขวัญ”
“ไหนดูซิ” มัทนาวางของขวัญที่กำลังแกะมาดูของในกล่องอีกใบ
“ตุ๊กตาเปื้อนเลือดเนี่ยนะ สงสัยจะเป็นของยัยนันทินีละมั้ง แฟนเก่าคุณคิมหันต์น่ะ ที่ใส่ชุดแดงเพลิงมางานไงล่ะ แต่เลิกกันไปนานแล้ว”
มาติกาพอจะนึกออก ถึงว่าผู้หญิงคนนั้นแต่งตัวเด่นเวอร์ จงใจทำให้เจ้าสาวถูกเปรียบเทียบล่ะสิท่า ช่างไม่รู้เสียเลยว่าผู้ชายเลือกใครมาเป็นเจ้าสาวแล้ว
“น่ากลัวจังผู้หญิงคนนี้”
ทั้งสองหมดความสนใจของขวัญแนวแปลกไปแล้ว ถ้ามัทนาจะไม่เจอกล่องของขวัญจากนันทินีในเวลาต่อมา
“เอ สงสัยจะไม่ใช่แล้วล่ะ ของยัยนันทินีอยู่นี่ เป็นผ้าเช็ดหน้า แหม กลัวมัทหน้ามอมแมม น่ารักจริงๆ”
“คิดอย่างนี้จริงๆ น่ะ” มาติกาเบ้ปากใส่ของขวัญ คนดีๆ ที่ไหนให้ของแบบเป็นของขวัญแต่งงาน
“ประชดล้วนๆ” มัทนาหัวเราะ ถ้านันทินีให้ของดีๆ เป็นมงคลก็แปลกแล้ว
“แล้วตุ๊กตาเปื้อนเลือดมันของใครล่ะ”
“ช่างเถอะ พวกว่างจัด สมองตายมีเยอะ เดี๋ยวเอาไปทิ้งก็แล้วกัน”
มัทนาไม่สนใจของขวัญชิ้นนั้นอีก มาติกาทำบัญชีแบ่งเป็นของใช้กับของกระจุกระจิก ยัยเจ้าสาวหมาดๆ บอกไว้ว่าอะไรที่มีแล้วจะเอาไปบริจาค เก็บไว้คงได้แค่มอง แต่ไม่มีประโยชน์ ว่าแต่คุณเจ้าบ่าวรู้หรือยังว่าเจ้าสาวคิดแบบนี้ มาติกาแอบเก็บของขวัญเจ้าปัญหาไว้ ถึงมัทนาจะมองว่าไร้สาระ แต่เธอคิดว่าคิมหันต์ควรได้รู้ เผื่อมีคนไม่ดีใกล้ตัวจะได้ไม่ให้เข้ามาใกล้เพื่อนของเธอ

วันนี้พิมพ์อรทำข้าวแช่สำหรับมื้อกลางวันและเรียกเด็กๆ มานั่งกินกันที่แคร่หน้าบ้านเย็นสบาย คิมหันต์บอกให้รหัทมากินด้วยกัน สายตาของเขามองคู่ ‘เพื่อนสนิท’ อยู่หลายครั้ง พออิ่มก็ขอตามแม่ยายไปเก็บผลไม้ในสวน มาติกาขอตัวกลับไปตอนบ่ายบอกอุบอิบว่ามีนัดกับหนุ่มที่กำลังตามจีบ ส่วนของขวัญที่บริจาคเธอจะจัดการให้
บ่ายมากแล้วคิมหันต์กลับมาที่เรือนและแวะไปหาพิมพ์ใจ คุยกันครู่หนึ่งก็ขอตัวมาทำงานต่อ เขาไม่เห็นมัทนา เผือกบอกว่าเธอไปนวดให้พิมพ์ใจที่ห้อง คงสวนทางกับเขาไม่กี่นาทีกระมัง
มัทนาลงมาเข้าครัวกับแม่ในตอนเย็น แทนที่จะกลับไปห้องนอนของตัวเอง พวกงานหั่น งานล้างน่ะของถนัด แต่อย่าให้จับตะหลิว ปรุงรสเชียว ไม่ใช่ว่าทำไม่เป็น แต่ทำแล้วหาความอร่อยยาก ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงอาหารเย็นก็เสร็จ
“ไปตามพ่อคิมมากินข้าวเย็นได้แล้วลูก”
“ค่ะแม่”
“ตามอย่างเดียวนะอย่าทำอย่างอื่น” บำรุงกระเซ้าน้องสาว
มัทนาค้อนใส่ “อย่ามาลามกไอ้พี่ไม้”
คนถูกว่าหาสลดไม่ แถมยังหัวเราะชอบใจเลยถูกพิมพ์อรตีแขนโทษฐานแกล้งน้อง มัทนาเคาะให้เสียงแล้วเปิดประตูเพราะลูกบิดไม่ได้ล็อค พอเข้าไปก็เห็นคิมหันต์หลับพับอยู่กับพนักเก้าอี้ที่บุนวมนุ่ม ท่าทางเหมือนเหนื่อยหนัก บนโต๊ะมีเอกสารวางเต็ม ส่วนโน้ตบุ๊กเห็นมีแต่ตัวเลขมากมาย มือบางยื่นไปจับไหล่หนาแล้วเขย่าปลุกเบาๆ
“คุณ...ตื่นได้แล้ว แม่ให้มาตามไปกินข้าวค่ะ”
คิมหันต์ลืมตามองคนปลุก เขารู้สึกตัวตั้งแต่ได้ยินเสียงเคาะประตูแล้ว แต่อยากรู้น้ำจิตน้ำใจของมัทนาเลยไม่ขานตอบ วันนี้วันเดียวเธอทำให้เขาไม่พอใจหลายครั้ง เจ้าตัวคงไม่รู้เลย
“ฉันขอล้างหน้าสักครู่แล้วจะตามไป”
มัทนาหลีกทางให้ร่างสูงที่ทำเหมือนไม่อยากอยู่ใกล้ๆ ความจริงแล้วเธอตั้งใจมาขอโทษเขาเรื่องที่พูดแรงไปตอนอยู่ที่วัด เรื่องของขวัญแต่งงาน แล้วยังทำเหมือนหลบหน้าเขาอีก จริงๆ ก็ไม่ได้เหมือน แต่จงใจต่างหาก มันยังไม่ชิน มาเจอคิมหันต์เวอร์ชั่นหน้าเรียบเป็นไม้กระดานเลยชักหมั่นไส้ ขี้งอนขนาดนี้ อย่าเอามันเลยคำขอโทษน่ะ
คืนนั้นเราเข้านอนกันเงียบๆ ไม่พูดคุยอะไรกัน เธอเม้มปากจะพูดเรื่องที่ค้างคาใจอยู่หลายครั้ง แต่เพราะเขาทำหน้าเฉยเมย เธอเลยเกิดทิฐิต่างคนต่างเงียบจนหลับไป

คิมหันต์นั่งอ่านงานจากไอแพดระหว่างเดินทางไปทำงาน มัทนาหลับไปตั้งแต่ห้านาทีก่อน เป็นความรู้สึกแปลกใหม่ยามเห็นเธอตื่นนอนเป็นครั้งแรก คำว่าตื่นก่อนนอนที่หลังคงใช้กับมัทนาไม่ได้ ตรงข้ามกับภรรยาทั่วไปอย่างเห็นได้ชัด เมื่อคืนพออาบน้ำเสร็จกลับเข้ามาในห้อง เธอหลับไปแล้วพร้อมสร้างกำแพงเมืองจีนบนที่นอนเสร็จสรรพ ใต้หมอนมีสนับมือ เขานอนที่นอนอีกฝั่งแม้จะนอนไม่ค่อยหลับนัก แต่ก็ตื่นก่อนคนหลับสบายที่ทำลายกำแพงแล้วกอดหมอนข้างไว้เสียเอง
เกือบเจ็ดโมงครึ่ง พนักงานยังทยอยกันมาทำงาน รหัทจอดรถที่หน้าตึกสำนักงาน มัทนาลงมาจากรถแล้วเดินไปก่อน แต่คิมหันต์กลับเดินไม่กี่ก้าวก็ทัน เขาคว้าข้อมือของเธอไว้ ทั้งที่เธออยากเลี่ยงไม่ให้เราสองคนเป็นหัวข้อสนทนาของพนักงานในวันนี้
“จะทำอะไรอีกล่ะคุณ ฉันจะไปทำงาน”
“เธอมีโต๊ะทำงานใหม่แล้ว ไปที่เดิมเสียเวลาเปล่า ไปกับฉันดีกว่า อย่างน้อยเธอก็ไม่ต้องเหนื่อยเทียวไปเทียวมา เดี๋ยวจะหาว่าฉันไม่บอก”
มัทนาปลดมือของคิมหันต์ออก “ฉันจะไปทำงานที่เดิม คุณสัญญาแล้วนี่คะ”
ถ้าฝ่ายวิจัยและพัฒนาที่มัทนาอยู่ไม่ได้มีแต่ผู้ชายรายล้อม เขาคงไม่ต้องทำแบบนี้หรอก
“แต่เธอได้ชื่อว่าเป็นภรรยาของฉัน จะไปทำงานในช็อปกับผู้ชายทั้งโขยงได้ยังไง ขอล่ะนะ เธอช่วยเข้าใจฉันตรงนี้ด้วย”
มัทนาฟังแล้วคิดตามก็พอเข้าใจ ตอนนั้นเธอยังไม่มีพันธะกับใคร จึงดูพอรับได้ แต่ตอนนี้เขาได้ชื่อว่าเป็นสามี ถ้าทำแบบนั้นอีกเขาคงถูกเมาท์ลับหลัง แต่ถ้าย้ายไปทันที งานที่ค้างของเธอล่ะ ถึงจะเข้าใจเขา แต่เธอยังต้องรับผิดชอบงานของตัวเองเหมือนกัน
“แล้วถ้าฉันยืนกรานคำเดิมล่ะคะ ฉันยังมีงานค้างอยู่ขอเคลียร์งานให้เสร็จก่อนได้หรือเปล่า”
“ถ้างั้นเรามาตกลงกันครึ่งทาง” คิมหันต์เสนอ มัทนาพยักหน้ารอฟัง “พอเธอผ่านการประเมิน ฉันจะย้ายเธอมาอยู่แผนกเขียนแบบเป็นการถาวร ถ้าจะลงช็อปบ้างก็ได้ แต่นานๆ ที”
“โอเคเลย ขอบคุณนะ ถ้าคุณยืนกรานไม่ยอม สงสัยเราคงจบกันภายในสัปดาห์เดียว”
คิมหันต์เลิกคิ้ว เราสองคนจะจบกันไวขนาดนั้นเชียวหรือ ถ้าเรื่องแค่นี้เขาจัดการไม่ได้ ปู่คงต้องริบตำแหน่ง CEO ก้าวแรกของเราคือการไม่เอาแต่ใจ คิดถึงอีกฝ่ายให้มาก ก่อนจะตัดสินใจหักหาญให้โกรธเคือง
“ไปทำงานได้แล้ว เย็นนี้กลับด้วยกัน”
“เดี๋ยวก่อนคุณ” เธอเรียกคิมหันต์ไว้ “เนคไทเบี้ยว”
คิมหันต์เดินมายืนตรงหน้ามัทนาแล้วชี้มาที่เนคไทที่เพิ่งรู้ว่าเบี้ยวของตัวเอง “หน้าที่ภรรยา”
มัทนายื่นมือไปยอมจัดเนคไทให้เพราะคำพูดร้ายๆ เมื่อวาน แล้วยังที่เขายอมตามใจเธอบ้าง ไม่ใช่เอาแต่สั่งแล้วรอให้เธอต้องทำตาม
“เสร็จแล้ว”
คิมหันต์ยิ้มให้เป็นรางวัลสำหรับคนมีน้ำใจ เขาไม่ได้ถือสาคำพูดของมัทนาจนเก็บมาเป็นอารมณ์ แต่มีปัญหาในการแสดงออกทางความรู้สึก ถ้าการแต่งงานเป็นการเปลี่ยนฐานะจากคนรู้จักมาเป็นเพื่อนเขาต้องอยู่บนพื้นฐานไม่คาดหวัง ทว่าไม่รู้ทำไมเขาเหมือนหายใจสะดุดเวลามัทนากอดผู้หญิงหรือแม้แต่อยู่ท่ามกลางผู้ชายทุกที

วรรณากับเฟื่องฟ้าเดินมาเห็นมัทนาพากันก้มหน้าเดินหลบ เธอไม่รู้ว่าคิมหันต์เรียกสองคนนั้นไปคุยอะไรบ้าง แล้วบทลงโทษคืออะไร แต่เท่าที่เห็นคงมีอะไรเกิดขึ้นบ้าง เธอเดินต่อไปผ่านฝ่ายต่างๆ ที่เคยยิ้มทักทาย แต่วันนี้พากันยกมือไหว้จนรับไหว้แทบไม่ทัน เหมือนมีเงาของคิมหันต์ตามมาด้วยเลยแฮะ ประตูกระจกถูกผลักเปิด ยังไม่ทันก้าวเข้าไปด้วยซ้ำ พี่ๆ ในฝ่ายก็พากันแซ็ว
“มาแล้วเจ้าสาวหมาดๆ ไฟแรงจริงๆ แต่งงานวันเสาร์ วันจันทร์มาทำงาน” พี่มนนำทีมแซ็วก่อนใคร
มัทนาหัวเราะดีใจแทบแย่ที่ไม่มีใครยกมือไหว้แล้วพากันหลบตาทำงานกันอย่างเอาเป็นเอาตาย
“อย่าแซ็วมัทเลยพี่ๆ ก็รีบมาทำงานจะได้เก็บเงินไง”
เกิดเสียงหัวเราะครืนใหญ่จากคนแซ็วและรอฟัง แต่ยังไม่วายถูกพี่วันแซ็วต่อ
“บอสรวยไม่รู้เท่าไหร่ แหมนึกว่าจะไปดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ ต่อไปจะกล้าขอให้ช่วยงานไหมวะเนี่ย”
“ทำตัวเหมือนเดิมนั่นแหละค่ะทุกคน ถ้าไม่เหมือนเดิม เดี๋ยวมัทจะเตือนความจำให้เอง”
จิรัฐยกนิ้วโป้งให้ ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงแม้ว่ามัทนาจะเลื่อนฐานะมาเป็นเจ้านายของทุกคนในฝ่ายวิจัยและพัฒนา มัทนาก็สบายใจเหมือนกัน เดชาเดินไปเปิดแอร์แล้วมายืนใกล้ๆ แต่ก็รักษาระยะห่างไว้
“ดีใจที่มัทยังมาที่นี่นะ นึกว่าบอสจะให้ไปเป็นคุณนายอยู่บ้านเสียแล้ว”
“คิดอะไรไปโน่น ทำงานๆ”
บรรยากาศเดิมๆ กลับมา บางคนเดินไปทดลองที่ช็อป เดชาไปท่าเรือ จิรัฐมอบหมายงานให้พนักงานที่เพิ่งมาเริ่มงานวันนี้ มัทนาถูกโทรเรียกให้ไปช่วยงานที่ช็อป เธอเดินผ่านห้องประชุมไม่ทันมองว่าใครอยู่ในห้อง คิมหันต์เดินตามไปห่างๆ เพราะการประชุมยังไม่ได้เริ่มจนเห็นว่าเธอเข้าห้องทดลองในช็อป จึงกลับมาห้องประชุมทำงานของตัวเอง

เกือบชั่วโมงต่อมา คิมหันต์ประชุมเสร็จแล้ว แต่ยังมีนัดทานข้าวกับลูกค้าสำคัญ แต่ถึงจะรีบสายตาของเขาก็มีเวลาพอที่จะมองไปห้องช็อป มัทนายังนั่งทำงานกับพนักงานคนอื่นๆ ข้าวกล่องวางอยู่บนโต๊ะใกล้ๆ เสียงหัวเราะดังทะลุออกมาจากกระจก
“น่าสนุกดีนะครับ” ปวรมองนายแล้วแอบยิ้ม
“ไปกันเถอะ ป่านนี้ลูกค้าคงรอแล้ว”
คิมหันต์เดินต่อไปทันที มัทนาหันมาเห็นพอดี เธอขยับออกมาห่างจากเดชาที่เพิ่งมาสมทบนิดหนึ่ง ถึงจะบริสุทธิ์ใจ แต่รู้สึกเกรงใจคิมหันต์เหมือนกัน หวังว่าเขาจะไม่เปลี่ยนใจยกเลิกสัญญาเมื่อเช้าของเรา

มัทนามายืนรอรถของคิมหันต์ เขาโทรบอกว่าจะมารับหลังเลิกงาน ตลอดบ่ายเขามีนัดกับลูกค้าและต้องไปตรวจสุขภาพที่โรงพยาบาล รถจอดตามเวลานัด เธอเข้าไปนั่ง น้ำเย็นๆ ส่งมาให้ มัทนารับมาแบบงงๆ แต่ก็ยิ้มให้เขา แล้วหยิบคุกกี้ที่มักมีติดกระเป๋ามาให้คิมหันต์เป็นการตอบแทน
เธอถามถึงเรื่องตรวจสุขภาพแทนที่จะนั่งกันไปเงียบๆ เขาบอกว่าสุขภาพดีเหมือนเดิมและบอกให้เธอไปตรวจบ้าง แถมยังใจดีจะนัดหมอให้ น่าสงสัยว่าเขาใจดีมาก่อนหน้านี้แต่เธอไม่รู้ หรือว่าเพิ่งมาใจดี แต่ไม่ว่าเพราะอะไรมันคงดีกว่าเรามานั่งทะเลาะกันให้เสียสุขภาพจิตล่ะน่า
เวสป้าจอดใต้ต้นจามจุรี แสดงว่าบำรุงกลับมาแล้ว มัทนาลงมาจากรถแล้วเดินมากับคิมหันต์ แต่เปลี่ยนใจเดินไปครัวแทนที่จะขึ้นเรือน
“หอมจังเลยค่ะแม่” เธอส่งเสียงไปก่อนตัว
“วันนี้ให้ไม้โทรไปถามพ่อคิมว่าอยากกินอะไรน่ะ เราต้องใส่ใจรู้ไหมยัยมัท ทำกับข้าวไม่ค่อยเก่งก็ต้องทำให้คล่องได้แล้ว ว่างเมื่อไหร่แม่จะติวเข้มวิชาทำอาหาร ไม่งั้นอายพ่อคิมแย่”
มัทนามองไปข้างหลังเพิ่งรู้ว่าคิมหันต์เดินตามมาด้วย แถมได้หน้าไปเต็มๆ ดูท่าทางแล้วลูกสาวและลูกชายทุกคนคงตกกระป๋องเร็วๆ นี้
“ผมสมัครเป็นลูกศิษย์ด้วยได้ไหมครับ”
“ได้เลยจ้า”
“ดีเลย ถ้างั้นคุณทำกับข้าวให้ฉันกินแล้วกัน น่าจะง่ายกว่า” มัทนาได้ทีเรื่องทำอาหารน่ะเธอเกี่ยงกับพี่ไม้ประจำ แต่มือพิฆาตกลับฟาดป้าบที่ต้นแขน “โอ๊ย! เจ็บนะแม่”
“ทำไปเถอะยัยมัท พี่จะได้สบายด้วย กำราบไปหนักๆ เลยนะน้องเขย” บำรุงมาทันได้ยินรีบผสมโรง ถ้ามีน้องสาวกับน้องเขยทำกับข้าวคล่อง เขาก็สบายไปด้วยน่ะสิ
มัทนาค้อนใส่พี่ชายได้คนเดียว แม่รักและเคารพห้ามหือเด็ดขาด ส่วนคิมหันต์มีคนเข้าข้างเยอะไป เธอรับมือไม่ไหว เหลือแต่พี่ชายนี่แหละ
“ดี มัทจะไปยุพี่ยุพาบ้าง งานนี้เกลือจิ้มเกลือ”
บำรุงแกล้งยิ้มประจบ รู้หรอกว่าน้องที่ดีต้องไม่เผาเรือนพี่ชาย คิมหันต์ยิ้มบางๆ เขาไม่เคยต่อปากต่อคำกับใครก่อนกินข้าว ถ้ากลับบ้านตรงเวลาก็จะได้กินข้าวกับปู่ ถ้าช้าเราต่างต้องกินข้าวคนเดียว อยากรู้จริงๆ ถ้ามัทนาไปค้างที่บ้านของเขาบ้าง บรรยากาศแบบนี้จะติดตามไปด้วยไหม

เพื่อลดความเหนื่อยล้าจากการเดินทางวันต่อมาคิมหันต์กับมัทนาตกลงกันว่าจะค้างที่คอนโดหนึ่งคืน แล้วเดินทางไปพักที่บ้านในกรุงเทพฯ เป็นคืนต่อไป ผ่านไปแล้วห้าวันสำหรับการต้องปรับตัว คิมหันต์เป็นฝ่ายดึงที่นอนปิกนิกไปนอนกับพื้น ไม่บอกเหตุผลว่าเพราะอะไร และไม่ได้มีท่าทีว่ามีเรื่องโกรธในใจ
ตอนนี้มัทนาติดต่อกับอังเคิลเคด้วยการโทรหาแทนการส่งเมล์ เร็วกว่าและได้ยินเสียงด้วย อุ่นใจเหมือนมีญาติผู้ใหญ่ดูแลตลอดเวลา
มัทนายังคงทำงานของเธอไปและเริ่มชินกับมนุษยสัมพันธ์ที่ดีขึ้นมากจากพนักงานฝ่ายอื่นๆ วันก่อนแม่ไปช่วยไหว้เจ้าที่เจ้าทางตรงที่ดินข้างๆ สำหรับให้ช่างมาตีผัง พอถามว่าใครซื้อที่ดินตรงนั้นไปแม่กลับไม่ยอมบอก แถมยังยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อย่างกับมีเรื่องอะไรดีๆ แต่ไม่ยอมเล่าสู่กันฟังบ้าง
“บอสให้มาตามครับ มีเรื่องปรึกษา”
ไม่ใช่เรื่องแปลกให้ทุกสายตาหันมามองเมื่อมัทนาถูกตามตัวมาหลายครั้งแล้ว เธอเดินตามปวรไปห้องทำงานของคิมหันต์ที่ไม่ได้เข้ามาอีกเลยหลังจากที่ได้พบนันทินีไปคราวนั้น เขากำลังอ่านเอกสารหน้าตาเคร่งเครียด เธอหาที่นั่งให้ตัวเอง
“นั่งรอก่อน อีกเดี๋ยวของที่สั่งคงมา” เขาเงยหน้าขึ้นมาบอก
“ไหนว่ามีเรื่องจะปรึกษาไงคุณ ถ้ายังยุ่งอยู่ ฉันกลับไปก่อนไหม คุณจะได้มีสมาธิทำงาน”
“อยู่ตรงนั้นเถอะน่า”
มัทนาหยิบหนังสือพิมพ์ใกล้มือมาอ่านฆ่าเวลา ตอนนี้เขาเป็นเจ้านายเพราะฉะนั้นอย่าหือเดี๋ยวตกงาน ยังไม่ทันได้เริ่มอ่านด้วยซ้ำประตูห้องก็เปิดออก แม่บ้านอีกคนที่ไม่ใช่เฟื่องฟ้าเข็นโต๊ะตัวเล็กที่มีจานหลายใบวางอยู่เข้ามาในเวลาเที่ยงตรงพอดี
“เปิดดูสิ” คิมหันต์บอกเสียงอ่อนๆ เดี๋ยวจะเข้าใจผิดว่ากำลังสั่ง
ไม่มีปัญหา มัทนาเดินไปเปิดผาครอบของจานแต่ละใบ คิมหันต์วางงานบนโต๊ะแล้วเดินมาสมทบ หลายวันแล้วที่เขาเห็นเธอกินข้าวจากข้าวกล่องหรือไม่ก็ไปกับพนักงานชายกลุ่มใหญ่
“ถ้าจะให้มากินข้าวกลางวันด้วยกันไม่ต้องบอกว่าปรึกษาก็ได้”
“ถ้าบอกดีๆ จะมาดีๆ ไหมล่ะ” เขาถามเสียงจริงจัง
“ทำไมคุณไม่ลองไปกินข้าวที่โรงอาหารหรือร้านอาหารแถวๆ นี้บ้างล่ะ ฉันว่ารสชาติมันก็ใช้ได้นะ กินข้าวคนเดียวในห้องน่าเบื่อจะตาย”
“ฉันเป็นผู้บริหาร”
พนักงานหัวเราะผู้บริหารต่อหน้าต่อตา “แล้วไง เป็นผู้บริหารต้องกินอาหารหรูๆ เท่านั้นหรือคะ ใครออกกฎหรือเปล่า”
คิมหันต์เลิกคิ้ว ไม่ใช่ว่าเขาไม่เคยไปกินข้าวที่โรงอาหารหรือร้านอาหารหน้าบริษัท มันนานมาแล้ว ตอนนั้นเขามาทำงานเป็นพนักงานธรรมดาๆ ตามคำสั่งของปู่
“เธอจะเป็นไกด์ให้ฉันไหมล่ะ”
“ได้อยู่แล้ว”
เป็นอันตกลงกันง่ายๆ มัทนาเหมือนกระจก เขาพูดดีๆ เธอก็จะพูดดีๆ กลับ คนหิวลงมือกินอย่างเมามัน พอถูกมองก็ยิ้มเขินๆ กับเขา เธอคงไม่ต้องวางมาดอะไร
“เย็นนี้ไปงานกับฉันนะ ปวรให้ผู้ช่วยเตรียมชุดให้เธอแล้ว พอเลิกงานฉันจะไปรับที่ฝ่ายวิจัยแล้วไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่คอนโดแล้วค่อยไปงาน ตกลงไหม”
“ก็ได้ค่ะ แต่บอกไว้ก่อนนะ ถ้าฉันทำอะไรให้คุณขายหน้าห้ามโมโห” มัทนาพูดเผื่อไว้ พวกรองเท้าส้นสูงเธอสู้กับมันได้แต่ไม่นาน แถมใครเป็นใครบ้างคงไม่ถนัด
“ไม่ว่าหรอกน่า เธอเป็นตัวเองก็พอ ฉันไม่ได้คาดหวังอะไรจากเธอมาตั้งแต่แรก แล้วตอนนี้จะคาดหวังทำไมล่ะ”
ฟังแล้วเหมือนถูกด่าเลยแฮะ แต่สีหน้าของคิมหันต์ไม่ได้สะใจอะไรเวลาพูดออกมา แน่ล่ะ เราจะคาดหวังอะไรจากกันและกันได้ เท่าที่ประคองกันไม่ให้เกิดการทะเลาะก็แทบแย่แล้ว ว่าแต่งานนี้เธอจะเจอคนที่ไม่อยากเจอหรือเปล่า พักนี้เงียบหายไปเลย

นันทินีเพิ่งวางสายจากลูกพี่ลูกน้องที่เย็นนี้จะมีงานฉลองสมรสกับลูกชายเจ้าสัวเชียร แขกคงมาเฉียดพันเพราะพ่อของเจ้าบ่าวกว้างขวางไม่น้อย คิมหันต์ต้องมาตามคำเชิญของการ์ดที่เธอเอาไปให้เขาด้วยตัวเอง วินมองนันทินีแล้วรินเครื่องดื่มซึ่งเป็นน้ำผลไม้ให้ แม้ว่าผับจะยังไม่เปิดในเวลานี้ก็ตาม
“นันแน่ใจนะว่าคิมหันต์จะพาเมียมาด้วย”
“ถ้าการแต่งงานเป็นการโกหกมาตั้งแต่แรก คิมต้องพาเด็กนั่นออกงานเพื่อให้ทุกอย่างแนบเนียน” ถึงจะเลิกกันไปหลายปี แต่เธอยังจำนิสัยของคิมหันต์ได้ ถ้าโกหกเมื่อไหร่เขาจะย้ำให้ฟังจนเธอยอมบอกว่าเชื่อ
“ถ้างั้นนันก็ทำตามแผน ส่วนที่เหลือผมจัดการเอง”
แม่ม่ายสาวมองเพื่อนต่างวัยของอดีตสามี “อย่าให้พลาดนะ คราวนี้สำคัญกับนันมาก อยากโกหกก็ต้องถูกจับโกหกกันบ้างล่ะ”
“แล้วถ้ามันเป็นเรื่องจริงขึ้นมา” วินถามเผื่อไว้
“ไม่มีทาง”
เรียวปากสวยเหยียดยิ้ม เธอมั่นใจว่ามองไม่พลาด คนอย่างคิมหันต์ไม่เคยยอมทำอะไรให้ใครง่ายๆ ถ้าไม่รักไม่มีทาง เหตุผลเดียวที่เขายอมแต่งงานกับเด็กนั่นต้องมาปู่ของเขา นักข่าวยังเขียนแซ็วด้วยซ้ำว่าทีปต์พอใจหลานสะใภ้คนนี้มาก ต้องมีอะไรที่ทำให้เด็กคนนั้นได้รับความเอ็นดู แล้วที่ทำให้เธอยังคงมั่นใจอยู่คือสายตาของคิมหันต์ ทำไมเธอจะจำสายตาที่มองเธอด้วยความรักไม่ได้ เขายังไม่ได้มองมัทนาด้วยสายตาแห่งความรัก

เรามาถึงงานก่อนเวลาเกือบครึ่งชั่วโมง ตลอดชั่วโมงก่อนมัทนาไม่รู้เหมือนกันว่ามีใครทำอะไรกับผมและหน้าของเธอบ้าง เดี๋ยวสั่งให้นั่งตรงๆ เดี๋ยวหลับตา ลืมตา แทบไม่ต่างจากตอนแต่งตัววันแต่งงาน คิมหันต์จะพาเธอไปงานอะไร ทำไมต้องแต่งตัวหรูๆ ชุดที่เตรียมให้ก็สวยจนเธอเริ่มสยอง ชุดราตรีสีชมพูอ่อนเปิดไหล่เข้ารูป กระโปรงยาวกรอมเท้า ผ้าเบาพลิ้ว ตอนที่รับปากก็คิดว่าคงไปงานโต๊ะจีนสบายๆ ใส่ส้นสูงพองาม
แถมพอช่างบอกว่าคอของเธอโล่ง เขาเดินไปไหนก็ไม่รู้ แป๊บเดียวกลับมาพร้อมสร้อยเพชรที่แสบตาอยู่หรอก แต่พอทน แล้วจัดการสวมให้โดยไม่ถามกันสักคำว่าเธอรับผิดชอบไหวไหม ถ้าเกิดซวยทำหายขึ้นมา
เครื่องสำอางบนหน้าเริ่มทำให้รู้สึกคัน แต่จะใช้มือตะกุยหน้าตัวเองคงไม่ไหว เลยได้แต่เกาบางจุด แล้วปัญหาเดิมก็มาจนได้ รองเท้าต่อให้แพงหรือดูดีเท่าไหร่ มันจะสำแดงความร้ายกาจออกมาให้รู้สึกเจ็บยิบๆ จนต้องก้มเกาแล้วสะบัดเท้าอยู่หลายครั้ง ท่าทางของเธอคงเหมือนลิงเข้าไปทุกที
“เป็นอะไร เห็นยุกยิกตั้งแต่แต่งตัวเสร็จ” คิมหันต์กลั้นหัวเราะไม่ไหวแล้ว ผู้หญิงอะไรเปิดเผยจนเขาเริ่มทำตัวไม่ถูก กับเขาไม่เท่าไหร่หรอก แต่เรากำลังจะเข้าไปในงาน ถ้าเธอยังยุกยิกตลอดเวลาคงไม่ดีแน่ๆ
มัทนายิ้มแหย เอียงหน้ากระซิบบอกอย่างเกรงใจ “ก็มันคัน แล้วที่สำคัญ บอกตรงๆ ฉันกลัวตกส้นสูง ขอใส่รองเท้าผ้าใบแทนได้ไหม”
นั่นไง เขาก็ลืมไปว่ามัทนาใส่รองเท้าส้นสูงแล้วมีสภาพยังไง เขามองไปทางเดินเข้างาน แขกมากันเรื่อยๆ ถ้าเข้างานช้าไปสักนิดคงไม่น่าเกลียดอะไร
“ก็ได้ ไปนั่งตรงนั้น เดี๋ยวฉันไปหยิบรองเท้าผ้าใบมาให้ กระโปรงยาวคงไม่มีใครเห็นว่าใส่รองเท้าแบบไหน ถ้าเธอไม่ไปจระเข้ฟาดหางใส่ใครเข้า คงไม่มีปัญหา”
มัทนาหัวเราะรู้สึกผ่อนคลาย เห็นพูดเป็นแต่เรื่องงาน ไม่นึกว่าจะปล่อยมุขก็เป็นเหมือนกัน แถมไม่แป้กเสียด้วย เขามาส่งเธอที่เก้าอี้ไม้ตัวยาวแล้วเดินกลับไปที่รถซึ่งจอดไม่ไกลออกไปนัก งานนี้รหัทอยู่โยงเฝ้ารถ
“นึกแล้วว่าต้องใช่มัท”
มัทนามองตามเสียงทักทายคุ้นหูแล้วยิ้มกว้างดีใจที่เจอเพื่อน “เดชมางานนี้เหมือนกันเหรอ”
เดชายิ้มกริ่มรีบเดินมาหา มัทนาดูสวยแปลกตา ผู้หญิงที่แต่งงานแล้วจะสวยที่สุดในวันแต่งงาน และหลังจากนั้นจะสวยขึ้นไปเรื่อยๆ กระมัง เขานั่งลงที่เก้าอี้อีกตัวเพราะมั่นใจว่าคิมหันต์น่าจะมางานนี้เหมือนกัน ว่าแต่ไปไหน
“พ่อของผมเป็นเพื่อนสมัยเรียนของเจ้าสัวเชียรน่ะ แล้วมัทล่ะ ทำไมมานั่งตรงนี้”
“รองเท้ากัด คุณคิมกำลังไปหยิบรองเท้าผ้าใบมาให้เปลี่ยนน่ะ”
ไม่รู้ทำไมเขาฟังแล้วยิ้ม ถึงจะอกหัก แต่ทำใจได้แม้ใช้เวลาไม่นาน เขาเป็นฝ่ายคิดไปเองคนเดียว ถ้ามัทนามีท่าทีชอบพอเขาคงไม่ยอมแพ้ง่ายๆ หรอก
“บอสดูรักมัทมากเลยนะ ผมไม่เคยเห็นบอสใส่ใจใครแบบนี้มาก่อนเลย”
มัทนาได้แต่ยิ้ม เท่าที่ทำมาก่อนหน้านี้ก็ผิดศีลไปมากแล้ว ถ้าขืนเออออคงผิดเข้าไปอีก คิมหันต์ไม่ได้รักเธอ แต่เขาเป็นคนดีและมีน้ำใจต่างหาก ถ้าคนที่เจ็บเท้าเป็นคนอื่น เขาก็คงทำแบบนี้เหมือนละมั้ง
“คุณมางานนี้ด้วยเหรอ”
เสียงของคิมหันต์ดังมาก่อน เขากำลังเดินมาหาสองหนุ่มสาวที่ยิ้มให้กัน


เล่นเกมแจกหนังสืออยู่ที่คอมเมนต์ค่ะ



บรรพตี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 มี.ค. 2558, 11:16:28 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 มี.ค. 2558, 11:16:28 น.

จำนวนการเข้าชม : 1247





<< ตอนที่ 11   ตอนที่ 13 เล่นเกมแจกหนังสือค่ะ >>


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account