สัญญารักพรางใจ
คิมหันต์ไม่เคยเชื่อเรื่องพรหมบันดาล โชคชะตา ทำบุญร่วมกันมา
เขาเชื่อว่าทุกอย่างอยู่ที่การกระทำ
หากไม่มีเหตุการณ์นั้นเขาจะแต่งงานกับมัทนาเพราะเหตุผลอะไร
เขาเชื่อว่าทุกอย่างอยู่ที่การกระทำ
หากไม่มีเหตุการณ์นั้นเขาจะแต่งงานกับมัทนาเพราะเหตุผลอะไร
Tags: ความรัก สัญญา ความลับ
ตอน: ตอนที่ 13 เล่นเกมแจกหนังสือค่ะ
เดชาหันมามองคิมหันต์ที่ถือรองเท้าผ้าใบมาด้วย ขนาดเขายังไม่เคยทำให้แฟนที่เลิกกันไปนานแล้วขนาดนี้เลย ร่างสูงพอกันลุกขึ้นแล้วยกมือไหว้ ตัวจริงมาแล้ว ตัวไม่จริงขืนยังนั่งอยู่ต่ออาจตกงานแบบไม่รู้ตัวได้
“ผมมางานแทนพ่อครับ พอดีเห็นมัทนั่งอยู่ตรงนี้เลยเข้ามาทัก ขอตัวเข้าไปในงานก่อนนะครับ”
คิมหันต์นั่งลงข้างๆ มัทนาแล้วส่งรองเท้าผ้าใบให้ มัทนามองคนหน้าบึ้งพลางรับรองเท้ามาวางที่พื้น คราวนี้เธอคงรบกวนเขามากไป
“ขอบคุณนะคะ ฉันไม่อยากเรื่องมากหรอกนะ แต่มันทนไม่ไหวจริงๆ ขอโทษค่ะที่ทำให้คุณลำบาก”
“มันไม่ใช่อย่างนั้น ช่างเถอะ ฉันก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน”
คิมหันต์ถอนใจไม่อยากให้มัทนาคิดไปแบบนั้นเลยลุกขึ้นแล้วมาช่วยผูกเชือกรองเท้าผ้าใบให้ หญิงสาวไม่คาดคิดครั้นบอกให้ลุกเขากลับไม่สนใจยังทำต่อ แขกที่เดินเข้างานพากันมองมาแล้วยิ้ม เธอทำหน้าไม่ถูกได้แต่ก้มหน้ามองคนใจดีที่ช่วยผูกรองเท้าให้จนเสร็จ ความน้อยใจหายไปในพริบตา
เจ้าบ่าวและเจ้าสาวยืนต้อนรับแขกอยู่ที่ซุ้มดอกไม้ที่ทำจากดอกกุหลาบสีขาวหลายร้อยดอก แขกที่มากันก็มากมาย แถมยังแต่งตัวกันอย่างไฮโซเป็นส่วนใหญ่ มัทนาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคิมหันต์ถึงได้สั่งให้ผู้ช่วยดูแลการแต่งตัวของเธอเป็นอย่างดี ชนิดที่อยู่เฉยๆ ให้แปลงโฉมก็พอ เพราะถ้าเธอมาแบบไม่รู้คงไม่พ้นเสื้อเชิ้ตสักตัวกับกางเกงสแล็คสีสุภาพ แต่คงถูกมองเหมือนมาผิดงานแน่ๆ
“ยินดีด้วยนะครับ” คิมหันต์อวยพรเจ้าบ่าวเจ้าสาว
มัทนาหันมายิ้มและรับไหว้จะอวยพรก็ไม่รู้จักเลยได้แต่เออออตามคิมหันต์ไป เขาคุยกับเจ้าบ่าวและเจ้าสาวไม่กี่คำก็ขอตัวเข้างาน เกือบจะโล่งอกได้แล้วถ้าไม่เจอสาวสวยชุดขาว แต่งตัวมาเต็ม ผมสยายเป็นลอนสวยเด่นเกือบเกินหน้าเจ้าสาว เธอเงยหน้ามองคิมหันต์ นึกแล้วมันต้องไม่ใช่แค่มางานแต่งงานอย่างเดียว ว่าแล้วก็คิดออก ตอนนั้นที่นันทินีเอาการ์ดเชิญมาให้เขาคงเป็นงานนี้สินะ
“วันนี้คิมแต่งตัวหล่อจัง นันดีใจนะคะที่คิมมางาน ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าเราต้องเจอกัน”
มือบางยื่นไปจับแขนคิมหันต์อย่างสนิมสนม กล้องในงานแพนมาได้รูปแสนจงใจทันที คิมหันต์ยิ้มก็จริง แต่ยื่นมืออีกข้างไปปลดมือของนันทินีออกจากแขนต่อหน้าต่อตาแขกคนอื่นๆ
“เจ้าสัวเชียรโทรมาเชิญผมต่างหากล่ะ ไม่ใช่เพราะคุณเอาการ์ดเชิญไปให้ผมหรอก”
คิมหันต์จับมือมัทนาพาเดินมาที่โต๊ะ เธอรู้สึกเหมือนอยู่ในสงครามของสองคนนี้ สายตาของคิมหันต์เหมือนกับเห็นนันทินีเป็นมดที่อยากบี้ ถ้าเขาฮาร์ดคอร์ได้เองขนาดนี้ เรื่องที่คิดว่าแต่งงานประชดแฟนเก่าคงไม่ใช่แล้ว
“เดี๋ยวสิคะ นันมีเรื่องอยากจะถามคิมสักหน่อย พอดีมีเพื่อนของนันต้องการซื้อเรือ”
นันทินียิ้มอย่างมั่นใจถ้าคุยกันเรื่องงานเขาไม่มีทางเมินเธอแน่ คิมหันต์ถอนใจพลางฝืนยิ้ม อีกเดี๋ยวจะมีคนยิ้มไม่ออก
“ผมไม่คุยเรื่องงานนอกเวลางาน ขอโทษนะ ผมจะให้ฝ่ายการตลาดติดต่อคุณพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
มัทนาอยากกดไลค์ให้คิมหันต์สักร้อยที คำตอบเดียวยิ่งกว่าดาบเคลือบยาพิษ นันทินีหน้าเจื่อนไม่เข้ามาวุ่นวายกับเขาอีก ยังดีแขกที่ร่วมโต๊ะไม่ใช่พวกช่างเมาท์ เธอเลยสบายหู สบายใจ แม้จะรู้สึกถึงรังสีพิฆาตจากสายตาแฟนเก่าของสามีอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
มีแขกในงานมาทักทายคิมหันต์อยู่เรื่อยๆ บางคนถามถึงปู่ของเขาด้วย บ้างก็เข้ามาคุยเรื่องธุรกิจที่ Blue Enterpriseกำลังจะมีบริษัทลูกเพิ่มอย่าง Blue Ship สาขาสอง หรือการขยายโรงงานผลิตน้ำดื่มของ Blue Water คราวนี้คิมหันต์เต็มใจคุย ถ้านันทินีมาได้ยินคงเต้นผางที่เขาเลือกปฏิบัติ เธอไม่รู้ว่าเขากับผู้หญิงคนนั้นจบไม่สวยขนาดไหน แต่เท่าที่เห็นคิมหันต์คงเจ็บฝังใจถึงได้มีท่าทางไม่เป็นมิตรไปแบบนั้น
มัทนาได้รับการแนะนำจากคิมหันต์อยู่หลายครั้ง เธอยิ้มและทักทายคนในวงการเดียวกับเขาตามมารยาท เขาช่วยได้มากเพราะคงรู้ว่าเธอพยุงบทสนทนาให้นานกว่าห้านาทีคงยาก ไม่นานนักแขกก็พากันกลับโต๊ะของตัวเอง งานเริ่มครึกครื้น
“เชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาวเปิดฟลอร์ครับ และเชิญแขกในงานเต้นรำให้เกียรติกับทั้งสองนะครับ” พิธีกรของงานประกาศ เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะได้ไม่โดดเดี่ยวอยู่กลางฟลอร์และสนุกสนานในวันสำคัญ
คิมหันต์ลุกขึ้นแล้วยื่นมือมารอให้มัทนาจับ เธอไม่ลุกขึ้น แต่กวักมือให้เขาเอาหน้ามาใกล้ๆ มีอะไรจะกระซิบให้ฟังถ้าพูดดังๆ เขานั่นแหละจะอาย
“ฉันเต้นรำไม่เป็น” จริงๆ ก็เป็นบ้าง แต่มันนานมาแล้วตั้งแต่เรียนมัธยม ลืมสเต็ปไปหมดแล้ว แถมตอนเรียนเธอดันเต้นเป็นผู้ชายมาตลอดเสียด้วยสิ
“ไม่สำคัญหรอก ก้าวตามฉันไปเรื่อยๆ ไม่มีใครมองเท้าหรอกน่า ถ้าเธอไม่ให้ความร่วมมือ บางทีนันอาจจะเข้ามาทำหน้าที่ของเธอแทน ฉันคิดว่าแบบนั้นคงไม่สนุกเท่าไหร่มั้ง” คิมหันต์เดา คนอย่างนันทินีไม่ยอมแพ้ง่ายๆ มาแต่ไหนแต่ไร
มัทนาไม่อยากบอกปัด ไม่ใช่ว่ากลัวนันทินีมาแทรก แต่วันนี้คิมหันต์ช่วยเธอเรื่องรองเท้า ถึงคราวเขาบ้าง เธอก็ต้องช่วยเหมือนกัน
“นี่เห็นว่าคุณขอร้องหรอกนะ”
คิมหันต์พามัทนาไปยังฟลอร์เต้นรำเพื่อเป็นเกียรติให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่เต้นรำเปิดฟลอร์แล้ว เขาบอกขอโทษก่อนจะโอบเอวเธอไว้ แล้วสั่งเสียงเบาให้เธอยกมือขึ้นมาวางที่อกของเขา
“เต้นรำเล่นๆ ไม่ได้จะลีลาศอะไร ไม่ต้องตัวเกร็งหรอก” เขากระซิบบอกข้างหู
มัทนาขมวดคิ้วใส่ แต่เขากลับหัวเราะ วันนี้อารมณ์ดีมาจากไหน หรือเพราะกินไวน์ไปเลยหัวเราะง่ายเหลือเกิน พิธีกรของงานบอกให้เต้นรำเป็นวงกลม พอเข้าที่เข้าทางก็บอกให้สลับคู่กับคู่ข้างๆ แขกจะได้รู้จักกัน โชคยังเข้าข้างเธออยู่บ้างเพราะคู่ข้างๆ เป็นเดชา ว่าแต่เขามาเต้นรำคู่กับนันทินีได้ยังไง อะไรจะบังเอิญปานนี้
เดชายิ้มให้มัทนาแล้วเต้นรำไปตามเพลง แม้จะโอบเอวมัทนาหลวมๆ แต่ก็อดเกรงใจบอสไม่ได้ สองหนุ่มสาวพากันหัวเราะ เพราะมัทนาเหยียบเท้าเดชาหลายครั้ง จนเขาต้องหาทางหลบให้ทัน
นันทินีจำได้ว่าผู้ชายที่กำลังเต้นรำกับมัทนาเป็นคนที่มาเห็นเธอพยายามปรับความเข้าใจคิมหันต์ ถึงได้ไปชวนมาเต้นรำด้วยกัน สายตาที่คิมหันต์มองสองคนนั้นบอกชัดไม่ชอบใจ
“นันว่าภรรยาของคิมดูมีความสุขเวลาอยู่กับผู้ชายคนนั้น มากกว่าเวลาอยู่กับคิมเสียอีกนะคะ”
“ผมก็เหมือนกัน เวลาผมอยู่กับภรรยามีความสุขกว่าอยู่กับคุณจนเทียบไม่ได้” คิมหันต์พูดจากใจจริง แม้ก่อนหน้านี้มีเรื่องให้หมั่นไส้ไม่ชอบหน้า แต่มัทนายังทำให้รู้สึกดีกว่าอยู่ดี ยิ่งตอนนี้ยิ่งเทียบไม่ได้ ถ้าตัดเรื่องกวนโมโหออกไป มัทนาอยู่ด้วยแล้วสบายใจกว่าอยู่กับนันทินีมากมาย
“คิม!”
หลายครั้งที่คิมหันต์พูดจาตัดรอน เธอไม่เคยเสียกำลังใจ แต่ทำไมเขาต้องเปรียบเทียบเธอกับเด็กกะโปโลคนนั้น เราสองคนนั้นต่างกันราวหงส์กับกา เขาไม่เห็นถึงความแตกต่างหรือไง
“ต้องสลับคู่แล้ว ลาก่อน” คิมหันต์ปล่อยมืออย่างไร้เยื่อใยเพื่อก้าวไปหามัทนาแล้วพากันออกไปจากฟลอร์เต้นรำ
นันทินีมองตามยิ้มสาแก่ใจ ไม่รู้สึกผิดอีกต่อไป อีกเดี๋ยวเถอะคนโกหกจะเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมา มัทนาจะถูกมองข้ามและถูกทิ้งให้อับอายท่ามกลางแขกเหรื่อในงาน ยังเดินไปไม่ถึงโต๊ะด้วยซ้ำมัทนาก็รู้สึกว่าร่างกายกำลังผิดปกติ
“เดี๋ยวฉันมานะคุณ”
คิมหันต์พยักหน้าแต่พอเห็นเหงื่อที่ผุดตามหน้าผากจนถึงไรผมจนเปียกเลยจับมือมัทนาไว้
“เป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่ารองเท้าผ้าใบยังรังแกเธออีก”
มัทนาหัวเราะแม้จะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ บางทีเข้าห้องน้ำสักหน่อยคงดีขึ้น
“ไม่ใช่ค่ะฉันรู้สึกไม่สบายตัว เหมือนจะอาเจียนน่ะ เดี๋ยวฉันมานะ”
เธอรีบดึงแขนมือออกมาเมื่อรู้สึกว่ากำลังจะทนไม่ไหว อาการมันคล้ายกับอาหารเป็นพิษ แต่เธอไม่ได้ปวดท้องบิดๆ เลยสักนิด เหมือนเมาเหล้าแล้วแฮงค์มากกว่า แต่ว่าเธอกินแต่น้ำอัดลมสลับกับน้ำเปล่าเท่านั้น แล้วจะเมาได้ยังไง
มัทนาหายไปนานจนผิดสังเกต คิมหันต์ขอให้บริกรเดินไปห้องน้ำแล้วมองหาผู้หญิงใส่ชุดราตรีสีชมพูอ่อน แต่หาอยู่เป็นนานก็ไม่พบ เขาลองเดินตามหาภายในงานเผื่อว่าเธอจะพบคนที่รู้จักแล้วคุยกันอยู่ แต่ก็ไม่พบอยู่ดี แล้วยิ่งเห็นสายตาของนันทินีที่มองมาเขายิ่งผิดสังเกต นันทินีไม่เคยปล่อยโอกาสที่จะได้เข้ามาพบเขา แต่คราวนี้กลับมามองเฉยๆ แล้วยิ้ม รหัทถูกโทรตามมาเช่นเดียวกับคนของปู่อีกสามคนเพื่อไม่ให้แขกในงานผิดสังเกต
การตามหาเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ แม้ว่าคิมหันต์จะกลับมาที่โต๊ะด้วยสีหน้าปกติ ผ่านไปเกือบสิบนาที ข่าวดีก็ยังไม่เกิดขึ้น ที่นั่งว่างๆ ถูกใช้งานเมื่อนันทินีเข้ามานั่ง แขกหลายคนมองมาอย่างสนใจ แต่ก็ยังสงวนท่าที
“มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าคะ แล้วภรรยาของคิมไปไหนล่ะ น่าสงสัยจริงๆ”
“น่าสงสัยอะไรไม่ทราบ”
แม่ม่ายสาวยิ้มหวานได้เวลาหยอดเมล็ดพันธุ์ที่ชื่อว่าความระแวงแล้ว คนมีปมอย่างคิมหันต์มีหรือที่จะฟังแล้วไม่เจ็บแปลบในใจ
“บางทีภรรยาของคิมอาจจะไปธุระแถวๆ นี้ก็ได้ละมั้งคะ ตรงนี้คนมันเยอะ ทำอะไรไม่สะดวก ถ้าการแต่งงานเริ่มต้นด้วยการโกหก อยู่ด้วยกันทำไมจะไม่โกหกกันล่ะคะ”
คิมหันต์ยิ้มเต็มริมฝีปาก เขาเรียนรู้ที่จะรับมือคนโกหก ผู้หญิงคนแรกที่สอนเขาให้รู้จักแยกแยะคำพูดไหนจริง คำพูดไหนหลอกลวงมาจากนันทินีไม่ใช่หรือ
“ผมเกลียดการโกหก แต่ไม่เท่าคนที่โกหก”
นันทินีถึงกับหน้าชา สายตาของเธอมองเขาอย่างเจ็บปวดก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะตัวเอง เธอจะยอมทำตัวไร้เกียรติอีกแค่ครั้งเดียว ถ้าคิมหันต์ไม่เห็นค่าเธอจะคิดเสียว่าเขาต่างหากที่ไม่มีค่ายิ่งกว่า อีกประเดี๋ยวเถอะเขาจะได้รู้ว่าตัดสินใจผิดที่ไปแต่งงานกันเด็กนั่น
ไม่ถึงสิบนาทีต่อมา รหัทก็เดินเข้ามาในงานอีกครั้ง หลังจากค้นหาแล้วไม่พบมัทนาในงาน แต่ไปพบที่อื่น เขารีบเดินไปหานายแล้วกระซิบบอกเรื่องสำคัญ
“พบคุณมัทนาแล้วครับ”
“ที่ไหน”
“ที่ลานจอดรถครับ” รหัทตอบแล้วเดินนำทางออกไปจากงาน
นันทินีมองตามทุกอย่างกำลังเป็นไปตามแผน แขกกำลังเดินไปที่ลานจอดรถ เธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
คิมหันต์เดินตามไปบอดี้การ์ดไป แม้จะใจร้อนรุ่มเพียงใด แต่ปู่สอนเขาไว้เสมอว่าอย่าได้แสดงจุดอ่อนให้ใครเห็นเด็ดขาด ลานจอดรถอยู่ไม่ไกลนัก เดินไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงรถซึ่งจอดกันเป็นแถวยาวเต็มพื้นที่ของที่ดินเปล่า ปลายทางไม่ใช่รถของเขา แต่เป็นรถของผู้ชายที่อยู่กับภรรยาของเขา
“บอสมาแล้วมัท” เดชากระซิบบอกแล้วพยุงร่างอ่อนปวกเปียกขึ้นมา
แขกที่ทยอยกลับหันมามองอย่างสงสัย อีกทั้งคนของบอสสามคนยังมายืนบังคล้ายๆ ล้อมยิ่งใจคอไม่ดีใหญ่ ถ้าเกิดบอสเข้าใจผิดขึ้นมามีหวังตกงาน คิมหันต์ปรี่เข้าไปคว้ามัทนามาอุ้มไว้ เนื้อตัวของเธอมีกลิ่นเหล้าหึ่ง ทั้งที่เขาเห็นมาตลอดว่าเธอไม่ได้ดื่มเหล้าแม้แต่หยดเดียว
“มัทมาอยู่กับคุณได้ยังไง”
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ พอกลับมาที่รถก็เห็นมัทนั่งอยู่กับพื้นข้างรถ เรียกเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกตัว ผมเลยโทรบอกคุณปวร” สีหน้าของเดชาไม่สบายใจนัก แล้วคนยังมายืนมองกัน เขาถอดสูทแล้วช่วยปิดใบหน้าของมัทนาไว้
“ขอบใจมาก”
นันทินีเดินเข้ามากลางวง ทำทียกมือขึ้นมาปิดจมูกแล้วมองมาที่มัทนาซึ่งอ่อนปวกเปียกอยู่ในอ้อมแขนของคิมหันต์
“ใจแตกแล้วมั้งคะ ที่แท้ก็มาหาผู้ชาย แถมยังเป็นเมรีขี้เมา กินเหล้าไปเท่าไหร่ล่ะถึงได้อ้วกจนเลอะเทอะแบบนี้ คนมองกันใหญ่แล้ว น่าขายหน้าชะมัด นันว่าคิมกลับไปที่รถก่อนดีไหมคะ ตรงนี้คนของคิมคงจัดการได้” ม่ายสาวพูดเสียงดังจงใจให้บรรดาไทยมุงได้ยินกันชัดๆ จะได้รู้ว่าภรรยาของคิมหันต์กำลังทำเรื่องน่าอับอาย ถ้าเขาอยากรักษาหน้าตาในสังคมคงรู้ได้เองว่าควรทำยังไง ทิ้งผู้หญิงคนนี้ไว้ให้ลูกน้องดูแลต่อ หรือว่าบากหน้ารับความอับอายไปด้วยกัน แค่แต่งงานหลอกๆ ไม่ต้องลงทุนขายหน้าก็ได้มั้ง
คิมหันต์มองนันทินีอย่างหมดแล้วซึ่งทุกความรู้สึกดีๆ ที่อาจหลงเหลืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือบังเอิญ ผู้หญิงคนนี้ไม่มีสิทธิ์ให้ร้ายภรรยาของเขา ในอดีตเขารักเธอมากจนยอมทำทุกอย่างก็จริง แต่ตอนนี้ความรู้สึกของเขาได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว ถึงจะยังไม่ได้รักมัทนา แต่เธอก็ไม่เคยหลอกลวงเขาเหมือนอย่างที่ผู้หญิงตรงหน้าเคยทำ
“รหัท...” คิมหันต์เรียกแล้วสั่งงานเสียงเฉียบ “ดูแลทางนี้ ใครเอารูปภรรยาของผมไปแชร์ หรือลงหนังสือพิมพ์ ถ้าพบก็ฟ้องได้เลย รวมทั้งบิดเบือนทำให้ภรรยาของผมเสียหาย ใครที่ฟังอยู่ช่วยเป็นพยานด้วยว่าคุณนันทินีเพิ่งพูดอะไรไปเมื่อสักครู่ ส่วนเดชาไปขับรถของผมมาที่นี่โดยเร็วที่สุด”
“ครับคุณคิม”
รหัทส่งกุญแจรถให้เดชาที่รีบวิ่งไปตามที่ถูกชี้ให้ไป รหัทหยิบโทรศัพท์มาถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน แขกบางคนที่ยกมือถือกำลังจะถ่ายรูปเดินไปที่รถของตัวเอง คิมหันต์ยังคมอุ้มมัทนาไว้ กังวลไม่น้อยว่าทำไมเธอเงียบอย่างนี้
นันทินีไม่อยากเชื่อว่าแผนของเธอกำลังพังไม่เป็นท่า แทนที่คิมหันต์จะรังเกียจเด็กนั่นแล้วแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา แต่กลับปกป้องมันให้ใครต่อใครเห็นต่อหน้าต่อตาของเธอ
“นี่คิมยอมเสียชื่อเสียงเพราะเด็กคนนี้หรือคะ แต่งงานหลอกๆ ไม่ต้องทำให้สมจริงขนาดนี้ก็ได้”
“ผมไม่เคยพูดว่าแต่งงานกับมัทนาหลอกๆ ทุกอย่างเป็นเรื่องจริงและผู้หญิงคนนี้ก็เป็นภรรยาตามกฎหมายของผมจริงๆ ผมคิดว่าถ้าคุณไม่อยากเป็นผู้ต้องสงสัยก็เงียบไปดีกว่า” ถึงเขากับมัทนาจะไม่ได้แต่งงานกันด้วยความรัก แต่เขาก็ให้เกียรติเธอ ไม่เหมือนผู้หญิงอีกคนที่ไม่มีวันหวนกลับไปรัก
รถแล่นเข้ามาจอดพอดี เดชาลงมาจากรถแล้วส่งต่อหน้าที่ให้รหัท เขาช่วยเปิดประตูให้คิมหันต์พามัทนาเข้าไปนั่ง แต่นันทินีกลับเข้ามายืนขวางไว้
“หลีกไป” คิมหันต์ตะคอกใส่
เดชาเห็นท่าไม่ดีรีบคว้ามือของนันทินีให้หลีกออกมา ไม่อย่างนั้นได้เจ็บตัวแน่ๆ ท่าทางบอสพร้อมจะมีเรื่องแบบเต็มสูบขนาดนั้น ผู้หญิงคนนี้มองไม่ออกหรือไง เดชารีบปิดประตูให้ รถเคลื่อนออกไปทันที เวลานี้คนที่ถูกมองกลายเป็นแม่ม่ายสาวอดีตคนรักของคิมหันต์ที่ทำตัวน่าสงสัย
วริศถูกโทรตามเมื่อคิมหันต์ใกล้ถึงโรงพยาบาล เขาไม่อยากให้มัทนาเสียชื่อเสียงเลยต้องให้เพื่อนช่วยหาทางหลบคนที่อาจรู้จักเพื่อเข้าไปตรวจว่าเกิดอะไรขึ้น ภรรยาของเขาฟื้นมาครู่หนึ่งตอนเดินทางมา เธอมองเขาแล้วยิ้มกว้างราวกับดีใจและบ่นว่าเหม็นเหล้าอยู่หลายคำก่อนจะหลับตาลงแล้วเงียบไป เขาเล่าอาการให้วริศฟัง พอฟังเสร็จเพื่อนของเขาก็โทรตามแพทย์เฉพาะทางมาช่วยวินิจฉัย
ในการตรวจอาการเบื้องต้นและดูจากลักษณะภายนอก ซึ่งถ้าไม่พิจารณาเรื่องกลิ่นเหล้าสัญญาณจากร่างกายถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ เหมือนคนหลับไปมากกว่า ประกอบกับการอาเจียนซึ่งถ้าเป็นการรับสารพิษจะช่วยได้มากเพราะสารพิษจะถูกกำจัดออกไปในเบื้องต้น
“อาจจะได้รับสารบางตัวปริมาณที่น้อยหรือแพ้อะไรสักอย่างถึงได้อาเจียนออกมา” วริศคุยกับเพื่อนหมอแล้วมาถ่ายทอดให้เพื่อนฟังต่อ เขาใช้คำว่าอาจจะ “ส่วนเหล้าไม่แน่ใจนะว่ามาราดใส่ตัวหรือว่ากินเข้าไปด้วย ขอเก็บเลือดไปตรวจจะได้ระบุชัดๆ ได้”
“แล้วมัทจะเป็นอะไรไหมไอ้ริศ”
น้ำเสียงคิมหันต์ร้อนรนจนวริศหันมามองแล้วยิ้มกว้าง นานแล้วที่ไม่เห็นเพื่อนสนใจใยดีใครขนาดนี้นอกจากปู่ของมัน
“ไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว อาจเป็นเพราะอาเจียนออกมา อีกอย่างคนไข้ก็รู้สึกตัวอย่างที่นายเล่า”
คิมหันต์ฟังแล้วค่อยสบายใจได้บ้าง “ขอบใจนะ ฝากบอกเพื่อนของนายด้วย”
แพทย์เฉพาะทางให้น้ำเกลือแล้วจัดพวกเกลือแร่ให้ก่อน พอได้ผลตรวจพรุ่งนี้ตอนเช้าค่อยพิจารณาการสั่งยาอีกที วริศถามข้อมูลการแพ้อาหารหรืออย่างอื่นของมัทนาจากคิมหันต์ เจ้าตัวไม่รู้ แต่ก็โทรถามพิมพ์อรอยู่พักเดียวก็ได้บอกคำตอบเป็นชุด แม้ว่าจะต้องปดแม่ยายไปว่าอยากรู้ไว้เพื่อจะได้บอกให้พ่อครัวเตรียมอาหารได้ถูก
คิมหันต์ขอยืมชุดคนไข้ที่พยาบาลเปลี่ยนให้มัทนาแทนชุดเดิมที่เหม็นเหล้า เขาพาเธอกลับกรุงเทพฯ ทันทีหลังให้น้ำเกลือเสร็จและหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ ปู่เข้านอนไปแล้ว เขาเลยอุ้มมัทนาเข้าห้องนอนไปโดยที่ไม่ต้องตอบคำถามอะไร รหัทได้รับคำสั่งให้หาหลักฐานในคืนนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะแพ้อาหารหรืออะไรก็ตาม นั่นหมายความว่ามีคนทำให้มัทนาเป็นแบบนี้
เสียงเพลงแม้จะดังอึกทักในผับ แต่นันทินีไม่ได้สนใจอยากฟังสักนิด วันนี้เธอไม่ควรมาที่นี้ในฐานะผู้แพ้ แต่ควรได้ฉลองชัยชนะ ทุกอย่างกลับผิดพลาด แต่ไม่รู้ว่ามันผิดพลาดตรงไหน ทุกอย่างเป็นไปตามแผน มัทนาฉีกหน้าคิมหันต์ต่อหน้าแขกในงาน ทว่าสิ่งที่เกิดต่อจากนั้นทำไมเขาถึงปกป้องเด็กคนนั้น ทั้งที่สายของเธอซึ่งอยู่ในบริษัทของเขาบอกชัดว่าสองคนนี้ไม่น่าจะรักกัน แต่แต่งงานเพราะเหตุผลบางอย่าง คิมหันต์ไม่เคยสนใจเด็กคนนั้น ในบริษัทก็แทบไม่ได้พบกัน แล้วทำไมเขาถึงแคร์นักหนา
“นึกแล้วว่าต้องมาอยู่ที่นี่ เมาแล้วได้อะไร แพ้แล้วก็แค่ยอมรับ” วินกลับมาจากงานแต่งงานได้สักพักและดูนันทินีอยู่พักใหญ่
นันทินีมองวินอย่างไม่ชอบใจนัก
“ไม่แพ้ นันไม่ยอม”
“ไม่ยอมแล้วจะทำยังไง เห็นไหมว่าคิมหันต์เลือกเด็กคนนั้น ไม่ใช่นัน ขนาดว่าทำให้ขายหน้ายังออกมาปกป้อง แถมจะเอาเรื่องคนทำ ระวังตัวเองไว้ก่อนดีกว่านะ” วินมั่นใจว่างานนี้คิมหันต์ไม่ยอมให้เรื่องผ่านไปง่ายๆ เขาไม่กลัว จนมาถึงวันนี้ก็รอพบหลานชายคนสำคัญของคุณทีปต์อยู่เหมือนกัน
“นันต้องทำยังไงเพื่อให้ได้คิมกลับมา” นันทินีน้ำตาไหลพราก เธอเพิ่งรู้ว่ารักคิมหันต์ตอนที่ต้องทำเป็นรักอดีตสามีที่ตายไป แต่ตอนนั้นเธอเลือกคิมหันต์ไม่ได้
“ตอนนี้คงยาก คิมหันต์แต่งงานแล้ว แค่เข้าใกล้ยังทำไม่ได้ แล้วนันจะไปทำอะไรได้”
นันทินีเริ่มไม่แน่ใจ บางทีสายของเธออาจจะไม่รู้ตื้นลึกหนาบ้างระหว่างคิมหันต์กับเด็กคนนั้น หรือว่าทั้งสองคนจะรักกันแล้วถึงได้แต่งงานกัน แล้วไปคบกันตอนไหน ทำไมไม่มีใครรู้
คิมหันต์นั่งทำงานที่โต๊ะตัวเดิมในห้องนอนของเขา แต่มักเงยหน้าขึ้นมามองมัทนาที่ยังหลับอยู่บนเตียงแทบจะทุกห้านาที เขาฝืนความง่วงมาทำงาน ไม่ใช่เพราะมีงานด่วน แต่ถ้าไม่ทำแบบเขาคงหลับไปก่อน วริศบอกเขาว่าถึงจะไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว แต่ถ้ามีอะไรผิดปกติให้โทรหาได้ทันที ผ่านไปเกือบตีสามแล้วมัทนายังหลับสบายดี เขาเริ่มล้าตาจะปิดอยู่หลายครั้งเหมือนกัน
เขาปิดไฟแล้วเดินไปนั่งที่เตียง คนหลับสนิททำท่าเหมือนจะตื่น โคมไฟหัวเตียงถูกเปิด เขายกเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งใกล้ๆ ที่เธอเป็นอย่างนี้อาจเป็นเพราะเขาก็ได้ ถึงจะยังไม่มีหลักฐาน แต่เขาจะหามาให้ได้
มัทนามองเพดานห้องแล้วยกมือขึ้นมาปิดตา รู้สึกเวียนหัวต้องหลับตาไปใหม่ ว่าแต่ฝ้าเพดานในห้องของเธอทำไมดูหรูเวอร์ขนาดนี้ เขามาเปลี่ยนอะไรในห้องของเธออีกแล้วหรือไง เอ หรือว่าไม่ใช่
“เป็นยังไงบ้าง ยังรู้สึกอยากอาเจียนอยู่อีกไหม”
สายตามึนงงมองเจ้าของเสียง ใบหน้าของคิมหันต์อยู่ใกล้ๆ “ไม่แล้วล่ะคุณ ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน”
“บ้านที่กรุงเทพฯ”
เธอพยักหน้าหงึกๆ พอหายเวียนหัวไปบ้างก็ลืมตามองไปรอบตัว เขากำลังจะชวนเธอไปบวชหรือไง ทำไมทุกอย่างในห้องดูเป็นสีขาวไปหมด สบายตาอยู่หรอก แต่มันไม่เข้ากับเขาเลย พอเสยผมที่ปรกแก้มออกแล้วมองชุดที่ตัวเองใส่ซึ่งเดาว่าคงไม่จืด แต่กลับพบชุดใหม่บนตัว
“เฮ้ย! เสื้อผ้าของฉัน ใครเปลี่ยนให้ คุณเหรอ หรือว่าแม่บ้าน”
คิมหันต์ขมวดคิ้วกอดอกใส่ ผู้หญิงอะไรตื่นมาก็โวยวายเรื่องที่เขาคิดว่าไม่น่าเป็นเรื่องตรงไหนเลย แล้วดูทำเข้า ตายังแทบปิด แต่ยังส่งสายตาสงสัยสุดชีวิตมาให้เขาได้อีก
“ถ้าให้แม่บ้านมาเปลี่ยนก็ความแตกน่ะสิ จะตกใจทำไม ฉันเห็นเธอแล้ว ไม่งั้นเราจะแต่งงานกันได้ยังไง”
ถ้าบอกว่าเช็ดตัวให้ด้วยมีหวังถ้าไม่ถูกซัดจนหมอบ เธออาจช็อคแน่นิ่งไปเลยก็ได้ กลิ่นเหล้าหึ่งขนาดนั้น เขาจะปล่อยให้เธอนอนดมเข้าไปได้ยังไงกันล่ะ
มัทนาเถียงไม่ออก ตอนนี้ให้ร้องไห้ยังง่ายกว่า อยากอาละวาด แต่หมดแรง เธอไปทำอะไรมาจนเหมือนแรงหายหมดขนาดนี้เนี่ย จำได้ว่าอ้วกจนมึนนี่นา
“คราวหน้าปล่อยให้ฉันเหม็นในกองอ้วกก็ได้นะ อยากขอบคุณ แต่พูดไม่ออก”
“ช่างเถอะ หิวหรือเปล่า” ตอนอยู่ในงานเขาไม่เห็นว่ามัทนากินอะไรเท่าไหร่
“ไม่เลย อยากนอนต่อ” พูดยังไม่ทันจบด้วยซ้ำคนบอกอยากนอนก็ตาปิดไปแล้ว
คิมหันต์หัวเราะ คุยกันอยู่ดีๆ มัทนาก็หลับไป เธอละเมอแล้วคุยรู้เรื่องหรือว่าตื่นมาจริงๆ กันแน่ เขาโทรหาเพื่อนวริศที่ให้เบอร์ไว้และเล่าอาการหลังมัทนาฟื้นให้ฟังทำให้เบาใจได้ว่าไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว แต่ถ้าตื่นมาจริงๆ ในวันพรุ่งนี้คงซักเขายกใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือไม่ก็ยังมึนๆ คิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากอ้วกจนหมดแรง ร่างสูงเดินไปที่นอนอีกฝั่งแล้วหลับตาลงบ้าง คืนนี้ไม่มีกำแพงระหว่างเรา พวกหมอนข้างเขาไม่ใช้มานานแล้ว
วันนี้เป็นวันแรกที่มัทนามาอยู่ด้วยกัน ทีปต์เลยสั่งแม่ครัวให้เตรียมอาหารไว้รอหลานสะใภ้ตั้งแต่เช้า คิมหันต์ยังแปลกใจว่าทำไมปู่ถึงเห่อหลานสะใภ้นัก ทั้งที่ปกติแล้วถ้าไม่ใช่พวกข้าวต้มก็เป็นขนมปังปิ้งง่ายๆ กับกาแฟ แต่วันนี้อาหารบนโต๊ะมาแบบจัดเต็ม อาการของมัทนาดีขึ้นแล้ว แม้จะยังเพลียอยู่บ้าง แต่ก็ลงมาทานอาหารเช้าพร้อมกับคิมหันต์ได้ แต่ชุดที่ใส่เป็นเสื้อยืดกับกางเกงสามส่วนเพราะวันนี้ถูกห้ามไม่ให้ไปทำงาน
สมาชิกใหม่ได้รับการแนะนำจากทีปต์ บ้านนี้มีสาวใช้สี่คน คนสวนสองคนกับคนขับรถหนึ่งคน มากกว่าเจ้าของบ้านเสียอีก มัทนารับไหว้จากสาวใช้ แม้จะเขินๆ
“เมื่อคืนกลับกันมาดึก ปู่หลับไปก่อนเลยไม่ได้ดูแลที่หลับที่นอน แต่สั่งให้คนดูแล มีอะไรไม่ชอบใจก็บอกนะหนูมัท เดี๋ยวปู่จัดการให้” ทีปต์ยิ้มหน้าบานเมื่อได้สะใภ้ถูกใจ ดีเท่าไหร่แล้วที่คิมหันต์แคล้วคลาดจากนันทินีมาได้
“ดีแล้วค่ะ หนูชอบแล้ว”
มัทนายกมือไหว้ทีปต์ จะว่าไปแล้วห้องนอนที่บ้านหลังนี้ใหญ่กว่าห้องนอนที่บ้านสวนเกือบสามเท่าละมั้ง แล้วยังพวกเฟอร์นิเจอร์ที่ราคาไม่ต้องเอามาเทียบกันอีก แต่ก็นั่นล่ะ ที่ไหนอยู่แล้วสบายใจก็ดีทั้งนั้น
“ทำไมหนูมัทหน้าซีดๆ หรือว่าจะมีข่าวดี”
คิมหันต์นึกอยู่แล้ว คนช่างสังเกตมีหรือจะไม่เห็นเหมือนกับที่เขาเห็น ครั้นจะบอกให้มัทนาทาแป้งลงมากินข้าวก็ใช่ที่ แถมปกติแล้วเธอก็ไม่ได้แต่งหน้า ขืนสั่งไปได้ถูกค้อนใส่
“เวอร์แล้วปู่ แต่งงานกันยังไม่ครบเจ็ดวันด้วยซ้ำ”
ทีปต์หัวเราะชอบใจ “แหม ไอ้นี่ ยังไม่ได้พูดอะไร ร้อนตัวนี่หว่า หนูมัทจัดการเจ้าคิมแทนปู่ไปเยอะๆ เลยนะ”
“ค่ะ อังเคิลเค” มัทนาหัวเราะตาม เรื่องแบบนี้ไม่พูดดีกว่า ขืนบอกว่าเรานอนเตียงเดียวกันเฉยๆ คงถูกสงสัยน่ะสิ
คิมหันต์สะดุดหู เขาเคยได้ยินมัทนาเรียกปู่ของเขาว่าอังเคิลเคมาก่อนในวันแต่งงาน แต่ตอนนั้นไม่ได้สนใจคิดว่าเธออาจจะตื่นเต้นจนเรียกผิดเรียกถูก ดูท่าปู่ของเขากับมัทนาน่าจะรู้จักกันมาก่อน ทำไมถึงใช้ชื่อว่าอังเคิลเค น่าสงสัยจนไม่อยากรออีก เรื่องนี้มัทนาคงให้คำตอบกับเขาได้
เล่นเกมแจกหนังสืออยู่ที่คอมเมนต์ค่ะ
“ผมมางานแทนพ่อครับ พอดีเห็นมัทนั่งอยู่ตรงนี้เลยเข้ามาทัก ขอตัวเข้าไปในงานก่อนนะครับ”
คิมหันต์นั่งลงข้างๆ มัทนาแล้วส่งรองเท้าผ้าใบให้ มัทนามองคนหน้าบึ้งพลางรับรองเท้ามาวางที่พื้น คราวนี้เธอคงรบกวนเขามากไป
“ขอบคุณนะคะ ฉันไม่อยากเรื่องมากหรอกนะ แต่มันทนไม่ไหวจริงๆ ขอโทษค่ะที่ทำให้คุณลำบาก”
“มันไม่ใช่อย่างนั้น ช่างเถอะ ฉันก็ไม่รู้จะอธิบายยังไงเหมือนกัน”
คิมหันต์ถอนใจไม่อยากให้มัทนาคิดไปแบบนั้นเลยลุกขึ้นแล้วมาช่วยผูกเชือกรองเท้าผ้าใบให้ หญิงสาวไม่คาดคิดครั้นบอกให้ลุกเขากลับไม่สนใจยังทำต่อ แขกที่เดินเข้างานพากันมองมาแล้วยิ้ม เธอทำหน้าไม่ถูกได้แต่ก้มหน้ามองคนใจดีที่ช่วยผูกรองเท้าให้จนเสร็จ ความน้อยใจหายไปในพริบตา
เจ้าบ่าวและเจ้าสาวยืนต้อนรับแขกอยู่ที่ซุ้มดอกไม้ที่ทำจากดอกกุหลาบสีขาวหลายร้อยดอก แขกที่มากันก็มากมาย แถมยังแต่งตัวกันอย่างไฮโซเป็นส่วนใหญ่ มัทนาพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมคิมหันต์ถึงได้สั่งให้ผู้ช่วยดูแลการแต่งตัวของเธอเป็นอย่างดี ชนิดที่อยู่เฉยๆ ให้แปลงโฉมก็พอ เพราะถ้าเธอมาแบบไม่รู้คงไม่พ้นเสื้อเชิ้ตสักตัวกับกางเกงสแล็คสีสุภาพ แต่คงถูกมองเหมือนมาผิดงานแน่ๆ
“ยินดีด้วยนะครับ” คิมหันต์อวยพรเจ้าบ่าวเจ้าสาว
มัทนาหันมายิ้มและรับไหว้จะอวยพรก็ไม่รู้จักเลยได้แต่เออออตามคิมหันต์ไป เขาคุยกับเจ้าบ่าวและเจ้าสาวไม่กี่คำก็ขอตัวเข้างาน เกือบจะโล่งอกได้แล้วถ้าไม่เจอสาวสวยชุดขาว แต่งตัวมาเต็ม ผมสยายเป็นลอนสวยเด่นเกือบเกินหน้าเจ้าสาว เธอเงยหน้ามองคิมหันต์ นึกแล้วมันต้องไม่ใช่แค่มางานแต่งงานอย่างเดียว ว่าแล้วก็คิดออก ตอนนั้นที่นันทินีเอาการ์ดเชิญมาให้เขาคงเป็นงานนี้สินะ
“วันนี้คิมแต่งตัวหล่อจัง นันดีใจนะคะที่คิมมางาน ทั้งที่รู้ทั้งรู้ว่าเราต้องเจอกัน”
มือบางยื่นไปจับแขนคิมหันต์อย่างสนิมสนม กล้องในงานแพนมาได้รูปแสนจงใจทันที คิมหันต์ยิ้มก็จริง แต่ยื่นมืออีกข้างไปปลดมือของนันทินีออกจากแขนต่อหน้าต่อตาแขกคนอื่นๆ
“เจ้าสัวเชียรโทรมาเชิญผมต่างหากล่ะ ไม่ใช่เพราะคุณเอาการ์ดเชิญไปให้ผมหรอก”
คิมหันต์จับมือมัทนาพาเดินมาที่โต๊ะ เธอรู้สึกเหมือนอยู่ในสงครามของสองคนนี้ สายตาของคิมหันต์เหมือนกับเห็นนันทินีเป็นมดที่อยากบี้ ถ้าเขาฮาร์ดคอร์ได้เองขนาดนี้ เรื่องที่คิดว่าแต่งงานประชดแฟนเก่าคงไม่ใช่แล้ว
“เดี๋ยวสิคะ นันมีเรื่องอยากจะถามคิมสักหน่อย พอดีมีเพื่อนของนันต้องการซื้อเรือ”
นันทินียิ้มอย่างมั่นใจถ้าคุยกันเรื่องงานเขาไม่มีทางเมินเธอแน่ คิมหันต์ถอนใจพลางฝืนยิ้ม อีกเดี๋ยวจะมีคนยิ้มไม่ออก
“ผมไม่คุยเรื่องงานนอกเวลางาน ขอโทษนะ ผมจะให้ฝ่ายการตลาดติดต่อคุณพรุ่งนี้ก็แล้วกัน”
มัทนาอยากกดไลค์ให้คิมหันต์สักร้อยที คำตอบเดียวยิ่งกว่าดาบเคลือบยาพิษ นันทินีหน้าเจื่อนไม่เข้ามาวุ่นวายกับเขาอีก ยังดีแขกที่ร่วมโต๊ะไม่ใช่พวกช่างเมาท์ เธอเลยสบายหู สบายใจ แม้จะรู้สึกถึงรังสีพิฆาตจากสายตาแฟนเก่าของสามีอยู่ตลอดเวลาก็ตาม
มีแขกในงานมาทักทายคิมหันต์อยู่เรื่อยๆ บางคนถามถึงปู่ของเขาด้วย บ้างก็เข้ามาคุยเรื่องธุรกิจที่ Blue Enterpriseกำลังจะมีบริษัทลูกเพิ่มอย่าง Blue Ship สาขาสอง หรือการขยายโรงงานผลิตน้ำดื่มของ Blue Water คราวนี้คิมหันต์เต็มใจคุย ถ้านันทินีมาได้ยินคงเต้นผางที่เขาเลือกปฏิบัติ เธอไม่รู้ว่าเขากับผู้หญิงคนนั้นจบไม่สวยขนาดไหน แต่เท่าที่เห็นคิมหันต์คงเจ็บฝังใจถึงได้มีท่าทางไม่เป็นมิตรไปแบบนั้น
มัทนาได้รับการแนะนำจากคิมหันต์อยู่หลายครั้ง เธอยิ้มและทักทายคนในวงการเดียวกับเขาตามมารยาท เขาช่วยได้มากเพราะคงรู้ว่าเธอพยุงบทสนทนาให้นานกว่าห้านาทีคงยาก ไม่นานนักแขกก็พากันกลับโต๊ะของตัวเอง งานเริ่มครึกครื้น
“เชิญเจ้าบ่าวเจ้าสาวเปิดฟลอร์ครับ และเชิญแขกในงานเต้นรำให้เกียรติกับทั้งสองนะครับ” พิธีกรของงานประกาศ เจ้าบ่าวเจ้าสาวจะได้ไม่โดดเดี่ยวอยู่กลางฟลอร์และสนุกสนานในวันสำคัญ
คิมหันต์ลุกขึ้นแล้วยื่นมือมารอให้มัทนาจับ เธอไม่ลุกขึ้น แต่กวักมือให้เขาเอาหน้ามาใกล้ๆ มีอะไรจะกระซิบให้ฟังถ้าพูดดังๆ เขานั่นแหละจะอาย
“ฉันเต้นรำไม่เป็น” จริงๆ ก็เป็นบ้าง แต่มันนานมาแล้วตั้งแต่เรียนมัธยม ลืมสเต็ปไปหมดแล้ว แถมตอนเรียนเธอดันเต้นเป็นผู้ชายมาตลอดเสียด้วยสิ
“ไม่สำคัญหรอก ก้าวตามฉันไปเรื่อยๆ ไม่มีใครมองเท้าหรอกน่า ถ้าเธอไม่ให้ความร่วมมือ บางทีนันอาจจะเข้ามาทำหน้าที่ของเธอแทน ฉันคิดว่าแบบนั้นคงไม่สนุกเท่าไหร่มั้ง” คิมหันต์เดา คนอย่างนันทินีไม่ยอมแพ้ง่ายๆ มาแต่ไหนแต่ไร
มัทนาไม่อยากบอกปัด ไม่ใช่ว่ากลัวนันทินีมาแทรก แต่วันนี้คิมหันต์ช่วยเธอเรื่องรองเท้า ถึงคราวเขาบ้าง เธอก็ต้องช่วยเหมือนกัน
“นี่เห็นว่าคุณขอร้องหรอกนะ”
คิมหันต์พามัทนาไปยังฟลอร์เต้นรำเพื่อเป็นเกียรติให้เจ้าบ่าวเจ้าสาวที่เต้นรำเปิดฟลอร์แล้ว เขาบอกขอโทษก่อนจะโอบเอวเธอไว้ แล้วสั่งเสียงเบาให้เธอยกมือขึ้นมาวางที่อกของเขา
“เต้นรำเล่นๆ ไม่ได้จะลีลาศอะไร ไม่ต้องตัวเกร็งหรอก” เขากระซิบบอกข้างหู
มัทนาขมวดคิ้วใส่ แต่เขากลับหัวเราะ วันนี้อารมณ์ดีมาจากไหน หรือเพราะกินไวน์ไปเลยหัวเราะง่ายเหลือเกิน พิธีกรของงานบอกให้เต้นรำเป็นวงกลม พอเข้าที่เข้าทางก็บอกให้สลับคู่กับคู่ข้างๆ แขกจะได้รู้จักกัน โชคยังเข้าข้างเธออยู่บ้างเพราะคู่ข้างๆ เป็นเดชา ว่าแต่เขามาเต้นรำคู่กับนันทินีได้ยังไง อะไรจะบังเอิญปานนี้
เดชายิ้มให้มัทนาแล้วเต้นรำไปตามเพลง แม้จะโอบเอวมัทนาหลวมๆ แต่ก็อดเกรงใจบอสไม่ได้ สองหนุ่มสาวพากันหัวเราะ เพราะมัทนาเหยียบเท้าเดชาหลายครั้ง จนเขาต้องหาทางหลบให้ทัน
นันทินีจำได้ว่าผู้ชายที่กำลังเต้นรำกับมัทนาเป็นคนที่มาเห็นเธอพยายามปรับความเข้าใจคิมหันต์ ถึงได้ไปชวนมาเต้นรำด้วยกัน สายตาที่คิมหันต์มองสองคนนั้นบอกชัดไม่ชอบใจ
“นันว่าภรรยาของคิมดูมีความสุขเวลาอยู่กับผู้ชายคนนั้น มากกว่าเวลาอยู่กับคิมเสียอีกนะคะ”
“ผมก็เหมือนกัน เวลาผมอยู่กับภรรยามีความสุขกว่าอยู่กับคุณจนเทียบไม่ได้” คิมหันต์พูดจากใจจริง แม้ก่อนหน้านี้มีเรื่องให้หมั่นไส้ไม่ชอบหน้า แต่มัทนายังทำให้รู้สึกดีกว่าอยู่ดี ยิ่งตอนนี้ยิ่งเทียบไม่ได้ ถ้าตัดเรื่องกวนโมโหออกไป มัทนาอยู่ด้วยแล้วสบายใจกว่าอยู่กับนันทินีมากมาย
“คิม!”
หลายครั้งที่คิมหันต์พูดจาตัดรอน เธอไม่เคยเสียกำลังใจ แต่ทำไมเขาต้องเปรียบเทียบเธอกับเด็กกะโปโลคนนั้น เราสองคนนั้นต่างกันราวหงส์กับกา เขาไม่เห็นถึงความแตกต่างหรือไง
“ต้องสลับคู่แล้ว ลาก่อน” คิมหันต์ปล่อยมืออย่างไร้เยื่อใยเพื่อก้าวไปหามัทนาแล้วพากันออกไปจากฟลอร์เต้นรำ
นันทินีมองตามยิ้มสาแก่ใจ ไม่รู้สึกผิดอีกต่อไป อีกเดี๋ยวเถอะคนโกหกจะเผยความรู้สึกที่แท้จริงออกมา มัทนาจะถูกมองข้ามและถูกทิ้งให้อับอายท่ามกลางแขกเหรื่อในงาน ยังเดินไปไม่ถึงโต๊ะด้วยซ้ำมัทนาก็รู้สึกว่าร่างกายกำลังผิดปกติ
“เดี๋ยวฉันมานะคุณ”
คิมหันต์พยักหน้าแต่พอเห็นเหงื่อที่ผุดตามหน้าผากจนถึงไรผมจนเปียกเลยจับมือมัทนาไว้
“เป็นอะไรหรือเปล่า หรือว่ารองเท้าผ้าใบยังรังแกเธออีก”
มัทนาหัวเราะแม้จะรู้สึกไม่ค่อยดีเท่าไหร่ บางทีเข้าห้องน้ำสักหน่อยคงดีขึ้น
“ไม่ใช่ค่ะฉันรู้สึกไม่สบายตัว เหมือนจะอาเจียนน่ะ เดี๋ยวฉันมานะ”
เธอรีบดึงแขนมือออกมาเมื่อรู้สึกว่ากำลังจะทนไม่ไหว อาการมันคล้ายกับอาหารเป็นพิษ แต่เธอไม่ได้ปวดท้องบิดๆ เลยสักนิด เหมือนเมาเหล้าแล้วแฮงค์มากกว่า แต่ว่าเธอกินแต่น้ำอัดลมสลับกับน้ำเปล่าเท่านั้น แล้วจะเมาได้ยังไง
มัทนาหายไปนานจนผิดสังเกต คิมหันต์ขอให้บริกรเดินไปห้องน้ำแล้วมองหาผู้หญิงใส่ชุดราตรีสีชมพูอ่อน แต่หาอยู่เป็นนานก็ไม่พบ เขาลองเดินตามหาภายในงานเผื่อว่าเธอจะพบคนที่รู้จักแล้วคุยกันอยู่ แต่ก็ไม่พบอยู่ดี แล้วยิ่งเห็นสายตาของนันทินีที่มองมาเขายิ่งผิดสังเกต นันทินีไม่เคยปล่อยโอกาสที่จะได้เข้ามาพบเขา แต่คราวนี้กลับมามองเฉยๆ แล้วยิ้ม รหัทถูกโทรตามมาเช่นเดียวกับคนของปู่อีกสามคนเพื่อไม่ให้แขกในงานผิดสังเกต
การตามหาเกิดขึ้นอย่างเงียบๆ แม้ว่าคิมหันต์จะกลับมาที่โต๊ะด้วยสีหน้าปกติ ผ่านไปเกือบสิบนาที ข่าวดีก็ยังไม่เกิดขึ้น ที่นั่งว่างๆ ถูกใช้งานเมื่อนันทินีเข้ามานั่ง แขกหลายคนมองมาอย่างสนใจ แต่ก็ยังสงวนท่าที
“มีปัญหาอะไรกันหรือเปล่าคะ แล้วภรรยาของคิมไปไหนล่ะ น่าสงสัยจริงๆ”
“น่าสงสัยอะไรไม่ทราบ”
แม่ม่ายสาวยิ้มหวานได้เวลาหยอดเมล็ดพันธุ์ที่ชื่อว่าความระแวงแล้ว คนมีปมอย่างคิมหันต์มีหรือที่จะฟังแล้วไม่เจ็บแปลบในใจ
“บางทีภรรยาของคิมอาจจะไปธุระแถวๆ นี้ก็ได้ละมั้งคะ ตรงนี้คนมันเยอะ ทำอะไรไม่สะดวก ถ้าการแต่งงานเริ่มต้นด้วยการโกหก อยู่ด้วยกันทำไมจะไม่โกหกกันล่ะคะ”
คิมหันต์ยิ้มเต็มริมฝีปาก เขาเรียนรู้ที่จะรับมือคนโกหก ผู้หญิงคนแรกที่สอนเขาให้รู้จักแยกแยะคำพูดไหนจริง คำพูดไหนหลอกลวงมาจากนันทินีไม่ใช่หรือ
“ผมเกลียดการโกหก แต่ไม่เท่าคนที่โกหก”
นันทินีถึงกับหน้าชา สายตาของเธอมองเขาอย่างเจ็บปวดก่อนจะลุกขึ้นแล้วเดินกลับไปที่โต๊ะตัวเอง เธอจะยอมทำตัวไร้เกียรติอีกแค่ครั้งเดียว ถ้าคิมหันต์ไม่เห็นค่าเธอจะคิดเสียว่าเขาต่างหากที่ไม่มีค่ายิ่งกว่า อีกประเดี๋ยวเถอะเขาจะได้รู้ว่าตัดสินใจผิดที่ไปแต่งงานกันเด็กนั่น
ไม่ถึงสิบนาทีต่อมา รหัทก็เดินเข้ามาในงานอีกครั้ง หลังจากค้นหาแล้วไม่พบมัทนาในงาน แต่ไปพบที่อื่น เขารีบเดินไปหานายแล้วกระซิบบอกเรื่องสำคัญ
“พบคุณมัทนาแล้วครับ”
“ที่ไหน”
“ที่ลานจอดรถครับ” รหัทตอบแล้วเดินนำทางออกไปจากงาน
นันทินีมองตามทุกอย่างกำลังเป็นไปตามแผน แขกกำลังเดินไปที่ลานจอดรถ เธอเองก็เป็นหนึ่งในนั้น
คิมหันต์เดินตามไปบอดี้การ์ดไป แม้จะใจร้อนรุ่มเพียงใด แต่ปู่สอนเขาไว้เสมอว่าอย่าได้แสดงจุดอ่อนให้ใครเห็นเด็ดขาด ลานจอดรถอยู่ไม่ไกลนัก เดินไม่ถึงสิบนาทีก็มาถึงรถซึ่งจอดกันเป็นแถวยาวเต็มพื้นที่ของที่ดินเปล่า ปลายทางไม่ใช่รถของเขา แต่เป็นรถของผู้ชายที่อยู่กับภรรยาของเขา
“บอสมาแล้วมัท” เดชากระซิบบอกแล้วพยุงร่างอ่อนปวกเปียกขึ้นมา
แขกที่ทยอยกลับหันมามองอย่างสงสัย อีกทั้งคนของบอสสามคนยังมายืนบังคล้ายๆ ล้อมยิ่งใจคอไม่ดีใหญ่ ถ้าเกิดบอสเข้าใจผิดขึ้นมามีหวังตกงาน คิมหันต์ปรี่เข้าไปคว้ามัทนามาอุ้มไว้ เนื้อตัวของเธอมีกลิ่นเหล้าหึ่ง ทั้งที่เขาเห็นมาตลอดว่าเธอไม่ได้ดื่มเหล้าแม้แต่หยดเดียว
“มัทมาอยู่กับคุณได้ยังไง”
“ผมก็ไม่ทราบเหมือนกันครับ พอกลับมาที่รถก็เห็นมัทนั่งอยู่กับพื้นข้างรถ เรียกเท่าไหร่ก็ไม่รู้สึกตัว ผมเลยโทรบอกคุณปวร” สีหน้าของเดชาไม่สบายใจนัก แล้วคนยังมายืนมองกัน เขาถอดสูทแล้วช่วยปิดใบหน้าของมัทนาไว้
“ขอบใจมาก”
นันทินีเดินเข้ามากลางวง ทำทียกมือขึ้นมาปิดจมูกแล้วมองมาที่มัทนาซึ่งอ่อนปวกเปียกอยู่ในอ้อมแขนของคิมหันต์
“ใจแตกแล้วมั้งคะ ที่แท้ก็มาหาผู้ชาย แถมยังเป็นเมรีขี้เมา กินเหล้าไปเท่าไหร่ล่ะถึงได้อ้วกจนเลอะเทอะแบบนี้ คนมองกันใหญ่แล้ว น่าขายหน้าชะมัด นันว่าคิมกลับไปที่รถก่อนดีไหมคะ ตรงนี้คนของคิมคงจัดการได้” ม่ายสาวพูดเสียงดังจงใจให้บรรดาไทยมุงได้ยินกันชัดๆ จะได้รู้ว่าภรรยาของคิมหันต์กำลังทำเรื่องน่าอับอาย ถ้าเขาอยากรักษาหน้าตาในสังคมคงรู้ได้เองว่าควรทำยังไง ทิ้งผู้หญิงคนนี้ไว้ให้ลูกน้องดูแลต่อ หรือว่าบากหน้ารับความอับอายไปด้วยกัน แค่แต่งงานหลอกๆ ไม่ต้องลงทุนขายหน้าก็ได้มั้ง
คิมหันต์มองนันทินีอย่างหมดแล้วซึ่งทุกความรู้สึกดีๆ ที่อาจหลงเหลืออยู่ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องจริงหรือบังเอิญ ผู้หญิงคนนี้ไม่มีสิทธิ์ให้ร้ายภรรยาของเขา ในอดีตเขารักเธอมากจนยอมทำทุกอย่างก็จริง แต่ตอนนี้ความรู้สึกของเขาได้เปลี่ยนไปหมดแล้ว ถึงจะยังไม่ได้รักมัทนา แต่เธอก็ไม่เคยหลอกลวงเขาเหมือนอย่างที่ผู้หญิงตรงหน้าเคยทำ
“รหัท...” คิมหันต์เรียกแล้วสั่งงานเสียงเฉียบ “ดูแลทางนี้ ใครเอารูปภรรยาของผมไปแชร์ หรือลงหนังสือพิมพ์ ถ้าพบก็ฟ้องได้เลย รวมทั้งบิดเบือนทำให้ภรรยาของผมเสียหาย ใครที่ฟังอยู่ช่วยเป็นพยานด้วยว่าคุณนันทินีเพิ่งพูดอะไรไปเมื่อสักครู่ ส่วนเดชาไปขับรถของผมมาที่นี่โดยเร็วที่สุด”
“ครับคุณคิม”
รหัทส่งกุญแจรถให้เดชาที่รีบวิ่งไปตามที่ถูกชี้ให้ไป รหัทหยิบโทรศัพท์มาถ่ายคลิปไว้เป็นหลักฐาน แขกบางคนที่ยกมือถือกำลังจะถ่ายรูปเดินไปที่รถของตัวเอง คิมหันต์ยังคมอุ้มมัทนาไว้ กังวลไม่น้อยว่าทำไมเธอเงียบอย่างนี้
นันทินีไม่อยากเชื่อว่าแผนของเธอกำลังพังไม่เป็นท่า แทนที่คิมหันต์จะรังเกียจเด็กนั่นแล้วแสดงความรู้สึกที่แท้จริงออกมา แต่กลับปกป้องมันให้ใครต่อใครเห็นต่อหน้าต่อตาของเธอ
“นี่คิมยอมเสียชื่อเสียงเพราะเด็กคนนี้หรือคะ แต่งงานหลอกๆ ไม่ต้องทำให้สมจริงขนาดนี้ก็ได้”
“ผมไม่เคยพูดว่าแต่งงานกับมัทนาหลอกๆ ทุกอย่างเป็นเรื่องจริงและผู้หญิงคนนี้ก็เป็นภรรยาตามกฎหมายของผมจริงๆ ผมคิดว่าถ้าคุณไม่อยากเป็นผู้ต้องสงสัยก็เงียบไปดีกว่า” ถึงเขากับมัทนาจะไม่ได้แต่งงานกันด้วยความรัก แต่เขาก็ให้เกียรติเธอ ไม่เหมือนผู้หญิงอีกคนที่ไม่มีวันหวนกลับไปรัก
รถแล่นเข้ามาจอดพอดี เดชาลงมาจากรถแล้วส่งต่อหน้าที่ให้รหัท เขาช่วยเปิดประตูให้คิมหันต์พามัทนาเข้าไปนั่ง แต่นันทินีกลับเข้ามายืนขวางไว้
“หลีกไป” คิมหันต์ตะคอกใส่
เดชาเห็นท่าไม่ดีรีบคว้ามือของนันทินีให้หลีกออกมา ไม่อย่างนั้นได้เจ็บตัวแน่ๆ ท่าทางบอสพร้อมจะมีเรื่องแบบเต็มสูบขนาดนั้น ผู้หญิงคนนี้มองไม่ออกหรือไง เดชารีบปิดประตูให้ รถเคลื่อนออกไปทันที เวลานี้คนที่ถูกมองกลายเป็นแม่ม่ายสาวอดีตคนรักของคิมหันต์ที่ทำตัวน่าสงสัย
วริศถูกโทรตามเมื่อคิมหันต์ใกล้ถึงโรงพยาบาล เขาไม่อยากให้มัทนาเสียชื่อเสียงเลยต้องให้เพื่อนช่วยหาทางหลบคนที่อาจรู้จักเพื่อเข้าไปตรวจว่าเกิดอะไรขึ้น ภรรยาของเขาฟื้นมาครู่หนึ่งตอนเดินทางมา เธอมองเขาแล้วยิ้มกว้างราวกับดีใจและบ่นว่าเหม็นเหล้าอยู่หลายคำก่อนจะหลับตาลงแล้วเงียบไป เขาเล่าอาการให้วริศฟัง พอฟังเสร็จเพื่อนของเขาก็โทรตามแพทย์เฉพาะทางมาช่วยวินิจฉัย
ในการตรวจอาการเบื้องต้นและดูจากลักษณะภายนอก ซึ่งถ้าไม่พิจารณาเรื่องกลิ่นเหล้าสัญญาณจากร่างกายถือว่าอยู่ในเกณฑ์ปกติ เหมือนคนหลับไปมากกว่า ประกอบกับการอาเจียนซึ่งถ้าเป็นการรับสารพิษจะช่วยได้มากเพราะสารพิษจะถูกกำจัดออกไปในเบื้องต้น
“อาจจะได้รับสารบางตัวปริมาณที่น้อยหรือแพ้อะไรสักอย่างถึงได้อาเจียนออกมา” วริศคุยกับเพื่อนหมอแล้วมาถ่ายทอดให้เพื่อนฟังต่อ เขาใช้คำว่าอาจจะ “ส่วนเหล้าไม่แน่ใจนะว่ามาราดใส่ตัวหรือว่ากินเข้าไปด้วย ขอเก็บเลือดไปตรวจจะได้ระบุชัดๆ ได้”
“แล้วมัทจะเป็นอะไรไหมไอ้ริศ”
น้ำเสียงคิมหันต์ร้อนรนจนวริศหันมามองแล้วยิ้มกว้าง นานแล้วที่ไม่เห็นเพื่อนสนใจใยดีใครขนาดนี้นอกจากปู่ของมัน
“ไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว อาจเป็นเพราะอาเจียนออกมา อีกอย่างคนไข้ก็รู้สึกตัวอย่างที่นายเล่า”
คิมหันต์ฟังแล้วค่อยสบายใจได้บ้าง “ขอบใจนะ ฝากบอกเพื่อนของนายด้วย”
แพทย์เฉพาะทางให้น้ำเกลือแล้วจัดพวกเกลือแร่ให้ก่อน พอได้ผลตรวจพรุ่งนี้ตอนเช้าค่อยพิจารณาการสั่งยาอีกที วริศถามข้อมูลการแพ้อาหารหรืออย่างอื่นของมัทนาจากคิมหันต์ เจ้าตัวไม่รู้ แต่ก็โทรถามพิมพ์อรอยู่พักเดียวก็ได้บอกคำตอบเป็นชุด แม้ว่าจะต้องปดแม่ยายไปว่าอยากรู้ไว้เพื่อจะได้บอกให้พ่อครัวเตรียมอาหารได้ถูก
คิมหันต์ขอยืมชุดคนไข้ที่พยาบาลเปลี่ยนให้มัทนาแทนชุดเดิมที่เหม็นเหล้า เขาพาเธอกลับกรุงเทพฯ ทันทีหลังให้น้ำเกลือเสร็จและหมออนุญาตให้กลับบ้านได้ ปู่เข้านอนไปแล้ว เขาเลยอุ้มมัทนาเข้าห้องนอนไปโดยที่ไม่ต้องตอบคำถามอะไร รหัทได้รับคำสั่งให้หาหลักฐานในคืนนั้น ถ้าไม่ใช่เพราะแพ้อาหารหรืออะไรก็ตาม นั่นหมายความว่ามีคนทำให้มัทนาเป็นแบบนี้
เสียงเพลงแม้จะดังอึกทักในผับ แต่นันทินีไม่ได้สนใจอยากฟังสักนิด วันนี้เธอไม่ควรมาที่นี้ในฐานะผู้แพ้ แต่ควรได้ฉลองชัยชนะ ทุกอย่างกลับผิดพลาด แต่ไม่รู้ว่ามันผิดพลาดตรงไหน ทุกอย่างเป็นไปตามแผน มัทนาฉีกหน้าคิมหันต์ต่อหน้าแขกในงาน ทว่าสิ่งที่เกิดต่อจากนั้นทำไมเขาถึงปกป้องเด็กคนนั้น ทั้งที่สายของเธอซึ่งอยู่ในบริษัทของเขาบอกชัดว่าสองคนนี้ไม่น่าจะรักกัน แต่แต่งงานเพราะเหตุผลบางอย่าง คิมหันต์ไม่เคยสนใจเด็กคนนั้น ในบริษัทก็แทบไม่ได้พบกัน แล้วทำไมเขาถึงแคร์นักหนา
“นึกแล้วว่าต้องมาอยู่ที่นี่ เมาแล้วได้อะไร แพ้แล้วก็แค่ยอมรับ” วินกลับมาจากงานแต่งงานได้สักพักและดูนันทินีอยู่พักใหญ่
นันทินีมองวินอย่างไม่ชอบใจนัก
“ไม่แพ้ นันไม่ยอม”
“ไม่ยอมแล้วจะทำยังไง เห็นไหมว่าคิมหันต์เลือกเด็กคนนั้น ไม่ใช่นัน ขนาดว่าทำให้ขายหน้ายังออกมาปกป้อง แถมจะเอาเรื่องคนทำ ระวังตัวเองไว้ก่อนดีกว่านะ” วินมั่นใจว่างานนี้คิมหันต์ไม่ยอมให้เรื่องผ่านไปง่ายๆ เขาไม่กลัว จนมาถึงวันนี้ก็รอพบหลานชายคนสำคัญของคุณทีปต์อยู่เหมือนกัน
“นันต้องทำยังไงเพื่อให้ได้คิมกลับมา” นันทินีน้ำตาไหลพราก เธอเพิ่งรู้ว่ารักคิมหันต์ตอนที่ต้องทำเป็นรักอดีตสามีที่ตายไป แต่ตอนนั้นเธอเลือกคิมหันต์ไม่ได้
“ตอนนี้คงยาก คิมหันต์แต่งงานแล้ว แค่เข้าใกล้ยังทำไม่ได้ แล้วนันจะไปทำอะไรได้”
นันทินีเริ่มไม่แน่ใจ บางทีสายของเธออาจจะไม่รู้ตื้นลึกหนาบ้างระหว่างคิมหันต์กับเด็กคนนั้น หรือว่าทั้งสองคนจะรักกันแล้วถึงได้แต่งงานกัน แล้วไปคบกันตอนไหน ทำไมไม่มีใครรู้
คิมหันต์นั่งทำงานที่โต๊ะตัวเดิมในห้องนอนของเขา แต่มักเงยหน้าขึ้นมามองมัทนาที่ยังหลับอยู่บนเตียงแทบจะทุกห้านาที เขาฝืนความง่วงมาทำงาน ไม่ใช่เพราะมีงานด่วน แต่ถ้าไม่ทำแบบเขาคงหลับไปก่อน วริศบอกเขาว่าถึงจะไม่มีอะไรน่าห่วงแล้ว แต่ถ้ามีอะไรผิดปกติให้โทรหาได้ทันที ผ่านไปเกือบตีสามแล้วมัทนายังหลับสบายดี เขาเริ่มล้าตาจะปิดอยู่หลายครั้งเหมือนกัน
เขาปิดไฟแล้วเดินไปนั่งที่เตียง คนหลับสนิททำท่าเหมือนจะตื่น โคมไฟหัวเตียงถูกเปิด เขายกเก้าอี้ตัวเล็กมานั่งใกล้ๆ ที่เธอเป็นอย่างนี้อาจเป็นเพราะเขาก็ได้ ถึงจะยังไม่มีหลักฐาน แต่เขาจะหามาให้ได้
มัทนามองเพดานห้องแล้วยกมือขึ้นมาปิดตา รู้สึกเวียนหัวต้องหลับตาไปใหม่ ว่าแต่ฝ้าเพดานในห้องของเธอทำไมดูหรูเวอร์ขนาดนี้ เขามาเปลี่ยนอะไรในห้องของเธออีกแล้วหรือไง เอ หรือว่าไม่ใช่
“เป็นยังไงบ้าง ยังรู้สึกอยากอาเจียนอยู่อีกไหม”
สายตามึนงงมองเจ้าของเสียง ใบหน้าของคิมหันต์อยู่ใกล้ๆ “ไม่แล้วล่ะคุณ ตอนนี้เราอยู่ที่ไหน”
“บ้านที่กรุงเทพฯ”
เธอพยักหน้าหงึกๆ พอหายเวียนหัวไปบ้างก็ลืมตามองไปรอบตัว เขากำลังจะชวนเธอไปบวชหรือไง ทำไมทุกอย่างในห้องดูเป็นสีขาวไปหมด สบายตาอยู่หรอก แต่มันไม่เข้ากับเขาเลย พอเสยผมที่ปรกแก้มออกแล้วมองชุดที่ตัวเองใส่ซึ่งเดาว่าคงไม่จืด แต่กลับพบชุดใหม่บนตัว
“เฮ้ย! เสื้อผ้าของฉัน ใครเปลี่ยนให้ คุณเหรอ หรือว่าแม่บ้าน”
คิมหันต์ขมวดคิ้วกอดอกใส่ ผู้หญิงอะไรตื่นมาก็โวยวายเรื่องที่เขาคิดว่าไม่น่าเป็นเรื่องตรงไหนเลย แล้วดูทำเข้า ตายังแทบปิด แต่ยังส่งสายตาสงสัยสุดชีวิตมาให้เขาได้อีก
“ถ้าให้แม่บ้านมาเปลี่ยนก็ความแตกน่ะสิ จะตกใจทำไม ฉันเห็นเธอแล้ว ไม่งั้นเราจะแต่งงานกันได้ยังไง”
ถ้าบอกว่าเช็ดตัวให้ด้วยมีหวังถ้าไม่ถูกซัดจนหมอบ เธออาจช็อคแน่นิ่งไปเลยก็ได้ กลิ่นเหล้าหึ่งขนาดนั้น เขาจะปล่อยให้เธอนอนดมเข้าไปได้ยังไงกันล่ะ
มัทนาเถียงไม่ออก ตอนนี้ให้ร้องไห้ยังง่ายกว่า อยากอาละวาด แต่หมดแรง เธอไปทำอะไรมาจนเหมือนแรงหายหมดขนาดนี้เนี่ย จำได้ว่าอ้วกจนมึนนี่นา
“คราวหน้าปล่อยให้ฉันเหม็นในกองอ้วกก็ได้นะ อยากขอบคุณ แต่พูดไม่ออก”
“ช่างเถอะ หิวหรือเปล่า” ตอนอยู่ในงานเขาไม่เห็นว่ามัทนากินอะไรเท่าไหร่
“ไม่เลย อยากนอนต่อ” พูดยังไม่ทันจบด้วยซ้ำคนบอกอยากนอนก็ตาปิดไปแล้ว
คิมหันต์หัวเราะ คุยกันอยู่ดีๆ มัทนาก็หลับไป เธอละเมอแล้วคุยรู้เรื่องหรือว่าตื่นมาจริงๆ กันแน่ เขาโทรหาเพื่อนวริศที่ให้เบอร์ไว้และเล่าอาการหลังมัทนาฟื้นให้ฟังทำให้เบาใจได้ว่าไม่น่าจะเป็นอะไรแล้ว แต่ถ้าตื่นมาจริงๆ ในวันพรุ่งนี้คงซักเขายกใหญ่ว่าเกิดอะไรขึ้น หรือไม่ก็ยังมึนๆ คิดว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นนอกจากอ้วกจนหมดแรง ร่างสูงเดินไปที่นอนอีกฝั่งแล้วหลับตาลงบ้าง คืนนี้ไม่มีกำแพงระหว่างเรา พวกหมอนข้างเขาไม่ใช้มานานแล้ว
วันนี้เป็นวันแรกที่มัทนามาอยู่ด้วยกัน ทีปต์เลยสั่งแม่ครัวให้เตรียมอาหารไว้รอหลานสะใภ้ตั้งแต่เช้า คิมหันต์ยังแปลกใจว่าทำไมปู่ถึงเห่อหลานสะใภ้นัก ทั้งที่ปกติแล้วถ้าไม่ใช่พวกข้าวต้มก็เป็นขนมปังปิ้งง่ายๆ กับกาแฟ แต่วันนี้อาหารบนโต๊ะมาแบบจัดเต็ม อาการของมัทนาดีขึ้นแล้ว แม้จะยังเพลียอยู่บ้าง แต่ก็ลงมาทานอาหารเช้าพร้อมกับคิมหันต์ได้ แต่ชุดที่ใส่เป็นเสื้อยืดกับกางเกงสามส่วนเพราะวันนี้ถูกห้ามไม่ให้ไปทำงาน
สมาชิกใหม่ได้รับการแนะนำจากทีปต์ บ้านนี้มีสาวใช้สี่คน คนสวนสองคนกับคนขับรถหนึ่งคน มากกว่าเจ้าของบ้านเสียอีก มัทนารับไหว้จากสาวใช้ แม้จะเขินๆ
“เมื่อคืนกลับกันมาดึก ปู่หลับไปก่อนเลยไม่ได้ดูแลที่หลับที่นอน แต่สั่งให้คนดูแล มีอะไรไม่ชอบใจก็บอกนะหนูมัท เดี๋ยวปู่จัดการให้” ทีปต์ยิ้มหน้าบานเมื่อได้สะใภ้ถูกใจ ดีเท่าไหร่แล้วที่คิมหันต์แคล้วคลาดจากนันทินีมาได้
“ดีแล้วค่ะ หนูชอบแล้ว”
มัทนายกมือไหว้ทีปต์ จะว่าไปแล้วห้องนอนที่บ้านหลังนี้ใหญ่กว่าห้องนอนที่บ้านสวนเกือบสามเท่าละมั้ง แล้วยังพวกเฟอร์นิเจอร์ที่ราคาไม่ต้องเอามาเทียบกันอีก แต่ก็นั่นล่ะ ที่ไหนอยู่แล้วสบายใจก็ดีทั้งนั้น
“ทำไมหนูมัทหน้าซีดๆ หรือว่าจะมีข่าวดี”
คิมหันต์นึกอยู่แล้ว คนช่างสังเกตมีหรือจะไม่เห็นเหมือนกับที่เขาเห็น ครั้นจะบอกให้มัทนาทาแป้งลงมากินข้าวก็ใช่ที่ แถมปกติแล้วเธอก็ไม่ได้แต่งหน้า ขืนสั่งไปได้ถูกค้อนใส่
“เวอร์แล้วปู่ แต่งงานกันยังไม่ครบเจ็ดวันด้วยซ้ำ”
ทีปต์หัวเราะชอบใจ “แหม ไอ้นี่ ยังไม่ได้พูดอะไร ร้อนตัวนี่หว่า หนูมัทจัดการเจ้าคิมแทนปู่ไปเยอะๆ เลยนะ”
“ค่ะ อังเคิลเค” มัทนาหัวเราะตาม เรื่องแบบนี้ไม่พูดดีกว่า ขืนบอกว่าเรานอนเตียงเดียวกันเฉยๆ คงถูกสงสัยน่ะสิ
คิมหันต์สะดุดหู เขาเคยได้ยินมัทนาเรียกปู่ของเขาว่าอังเคิลเคมาก่อนในวันแต่งงาน แต่ตอนนั้นไม่ได้สนใจคิดว่าเธออาจจะตื่นเต้นจนเรียกผิดเรียกถูก ดูท่าปู่ของเขากับมัทนาน่าจะรู้จักกันมาก่อน ทำไมถึงใช้ชื่อว่าอังเคิลเค น่าสงสัยจนไม่อยากรออีก เรื่องนี้มัทนาคงให้คำตอบกับเขาได้
เล่นเกมแจกหนังสืออยู่ที่คอมเมนต์ค่ะ
บรรพตี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 มี.ค. 2558, 09:42:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 มี.ค. 2558, 09:42:22 น.
จำนวนการเข้าชม : 1387
<< ตอนที่ 12 เล่นเกมแจกหนังสือค่ะ | ตอนที่ 14 >> |
บรรพตี 3 มี.ค. 2558, 09:43:07 น.
เล่นเกมแจกหนังสือค่ะ
https://www.facebook.com/amranbanpatee/photos/a.467545750040407.1073741828.467538933374422/656047344523579/?type=1&permPage=1
เล่นเกมแจกหนังสือค่ะ
https://www.facebook.com/amranbanpatee/photos/a.467545750040407.1073741828.467538933374422/656047344523579/?type=1&permPage=1