บทเรียน (รัก) นอกตำรา
นพมัลลี นักศึกษาฝึกสอนที่จบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน

นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก

แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้

มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่

Tags: นพมัลลี ตุนท์ คมิก พิชญ์ปรีชา

ตอน: บทที่ 11 : อดีตฝังใจ

บทที่ 11

“มาทำไม”

นพมัลลีนึกอยากเดินเลี่ยงบุรุษที่เธอเหม็นขี้หน้าไปให้ไกลสุดกู่ แต่ถ้านั่นจะทำให้เธอกลายเป็นคนขี้ขลาด ไม่กล้าเผชิญหน้าความจริง เธอยอมกล้ำกลืน และจ้องตากับวากูรดีกว่า อีกอย่างนับตั้งแต่ที่เธอพบวากูรเมื่อหลายวันก่อน อาการอยากอาเจียนเวลาอยู่ใกล้ๆ กับตุนท์ก็หายไป

คงเพราะเธอไม่ต้องหนีอะไรอีกแล้วล่ะมั้ง

ความรู้สึกที่เธอเคยคิดมาตลอดว่าน่ากลัวหากต้องเจอวากูรอีกครั้ง กลายเป็นขี้ผงที่ยังไม่ทันเข้าตาให้ระคาย วากูรไม่เคยเอะใจ หรือสืบอย่างละเอียดว่าแท้ที่จริงเกิดอะไรขึ้นกับเธอ และนั่นคือความโล่งอก และสบายใจที่สุดของเธอ วากูรไม่จำเป็นต้องรับรู้อะไรทั้งนั้น

การออกนอกประตูโรงเรียนในวันศุกร์จึงกลายเป็นการเปิดโอกาสให้วากูรที่เฝ้าอยู่มาถึงตัวเธอได้

“ก็มาหาลีไง” วากูรพยายามยิ้มเข้าสู้ แต่สีหน้าเรียบ ไม่บ่งบอกอารมณ์ใดๆ ของผู้รับ ทำให้รอยยิ้มบนหน้าวากูรเจื่อนหายไปเอง “ไปกินข้าวกันนะ”

“ถ้าฉันปฏิเสธล่ะ จะมาเสนอหน้าอีกไหม หรือถ้าฉันไปกับคุณแล้ว หลังจากนั้นคุณก็หายไปจากชีวิตฉันเลย”

วากูรไม่อยากรับข้อเสนอที่นพมัลลียื่นมาให้สักข้อ เขายังอยากพบเธอไปเรื่อยๆ ชดเชยช่วงเวลาที่เขาทำได้แค่คิดถึงเธอ “แล้วถ้าฉันพาแฟนมาให้เธอรู้จักล่ะ เธอจะวางใจฉันไหม”

นพมัลลีชะงักไปนิด เธอยืนทบทวนความรู้สึกของตัวเองชั่วครู่ คงเพราะระยะเวลา อารมณ์ที่เคยรู้สึกดีกับอีกฝ่ายจึงเลือนหาย เหลือเพียงความรู้สึกด้านลบ ในทุกครั้งที่นึกหน้าเขาออก

“จะเอาฉันไปเป็นก้างขวางคอทำไม”

“นี่เธอจะปฏิเสธเพื่อนเก่าที่เคยรู้ใจอย่างนี้เลยเหรอ ฉันอุตส่าห์บริสุทธิ์ใจ”

คำพูดน่าสะอิดสะเอียนเพิ่มความคลื่นเหียนแก่หญิงสาว นพมัลลีรู้สาเหตุที่ตัวเองทนไม่ได้กับลมปากของผู้ชาย ทั้งหมดก็เพราะวากูร



มือที่บาดเจ็บจากการถูกแก้วบาด ได้รับการทำแผลด้วยมือปกติของตัวเองอีกข้างหนึ่งในตอนเช้า อาการเจ็บแปลบ และคล้ายว่าจะเป็นแผลอักเสบไม่ได้อยู่ในความสนใจของคนในบ้านแม้แต่น้อย หลังจากมะลิเปิดประตูห้องเก็บของให้เธอออกมาเพื่อไปโรงเรียน บรรยากาศอึมครึมในบ้านก็ยังคงอยู่

นพมมัลีชินชาเกินกว่าจะเก็บเศษซากของความหวังในวัยเยาว์กลับมา ว่าสักครั้งหนึ่งที่เธอจะได้พบความรักที่แท้จริงจากครอบครัว ทุกวันนี้เธอก็อยู่ไม่ต่างจากผู้อาศัยคนหนึ่ง

ใครคนหนึ่งวิ่งผ่านมา และกระแทกเข้ากับฝ่ามือที่บาดเจ็บของเธออย่างแรง นพมัลลีสะดุ้งได้สติว่าเธอกำลังเดินอยู่ตรงถนนในโรงเรียน สภาพอันจอแจของนักเรียนที่กำลังเดินไปเข้าแถวดูแน่นขนัดขึ้นมา

‘มือของเธอเลือดออก’

วากูรวิ่งเหยาะมาหยุดข้างๆ ถือวิสาสะแตะมือของนพมัลลีขึ้นมาดูผ้าพันแผลที่มีเลือดซึมออกมา ‘ไปห้องพยาบาลเถอะนะ’

‘แค่นี้ไม่ตายหรอก ถ้านายจะกรุณา ก็ไปล่าหัวไอ้พวกเพื่อนเลวๆ ของนายเมื่อวานนี้มาให้ฉันดีกว่า’

เด็กหนุ่มหัวหน้าห้องยิ้มเจื่อน สิ่งที่นพมัลลีต้องการดูจะเกินกำลังความสามารถของเขาเกินไป

‘ที่บ้านเธอว่าไงบ้าง’

‘พวกเขาก็โกรธแค้นน่ะสิ’ นพมมัลลีไม่ได้ต่อประโยคให้จบ ว่าสิ่งที่พวกเขาโกรธแค้น คือตัวเธอ โชคชะตาที่ส่งให้เธอเกิดมาเป็นตัวซวยในสายตาพวกเขา

อาจเพราะด้วยเหตุการณ์ที่วากูรมาช่วยเธอจากพวกเพื่อนร่วมห้องเลวๆ กลุ่มนั้น ชีวิตของเธอที่เคยแข็ง ไม่ยอมใครก็เริ่มเปิดที่ว่างให้กับวากูรทีละนิด เพื่อนกลุ่มไม่สนิทที่เธอไปทานข้าวร่วมโต๊ะในยามปกติ ก็มีวากูรมาเสนอหน้าเพิ่ม ทุกคนในห้องต่างเริ่มเอ่ยปากถึงความเปลี่ยนแปลงของนพมัลลีที่ยิ้มง่ายขึ้น หัวเราะมากขึ้น

กลุ่มเพื่อนที่นพมัลลีอยากล่าหัวมานั้นหายหัวไปอาทิตย์หนึ่งหลังจากเกิดเรื่อง เมื่อพบหน้ากันอีกครั้ง พวกนั้นก็หลบหน้าหลบตาเธอ ไม่กล้าแสดงความหยาบคายออกมาอีก

‘พวกนั้นกลัวเธอไปเลยนะ’ วากูรเงยหน้าจากสมุดสรุปย่อวิชาฟิสิกส์ที่นพมัลลีให้ยืมอ่าน สายตามองไปเบื้องหลังนพมัลลีที่มีพวกนั้นเดินแกมวิ่งออกไปจากประตูโรงเรียน

‘สารเลว’

‘เธอด่าฉันเหรอ!’ วากูรพูดเสียงดัง

นพมัลลีเงยหน้าขึ้นมา สายตาด่าว่าวากูรที่สมองทึบเกินเหตุ ‘ไม่ได้คุยเรื่องพวกนั้นอยู่เหรอ หรือนายก็เป็นคนเลว’

วากูรหลบสายตาด้วยการก้มอ่านหนังสือ

‘เปล่า’

เสียงเบาที่ตอบออกมาในวันนั้นไม่ได้ทำให้นพมัลลีเอะใจ เธอออกจะมีความสุขมากขึ้นกับของขวัญชิ้นแรกจากเพื่อนต่างเพศในวันเกิด การ์ดอวยพร และเค้กก้อนใหญ่ มิตรภาพที่เธอเคยมีมานั้นส่วนใหญ่จะอยู่แบบเพื่อนเที่ยวในยามราตรี สนุกไปกับดนตรี แต่การคุยกันปกติ ให้ของขวัญ หรือการที่เธอให้วากูรยืมโน้ตสรุปย่อไปอ่าน

ตุ๊กตาไหมพรมถักที่เธอเห็นเพื่อนในโรงเรียนต่างนิยมทำกัน และมอบให้คนสำคัญทำให้นพมัลลีที่ไม่เคยแตะงานฝีมือในด้านนี้ ต้องมาอดทนศึกษาด้วยตนเอง และทำออกมาอยู่หลายตัว กว่าจะได้ตัวที่พอดูได้ออกมาตัวหนึ่ง และมอบให้กับวากูรในวันเกิดของเขา

‘วันนี้ไปฉลองกับฉันนะ’

ใบหน้าขอร้องของเขาทำให้นพมัลลีปฏิเสธไม่ออก เธอไม่เคยคาดคิดว่าในคืนนั้นที่เธอกำลังกรึ่มๆ ด้วยฤทธิ์แอลกอฮอล์จะเคลิบเคลิ้มไปกับเขาในบรรยากาศที่เธอคิดว่าสวยงาม หัวใจของนพมัลลีลอยหลุดไปจากร่าง เธอคิดว่ามันคงไปอยู่ข้างๆ วากูร เธอคิดเช่นนั้น กระทั่งวันรุ่งขึ้นมาเยือน



การไปโรงเรียนพร้อมกับวากูรกลายเป็นประเด็นซุบซิบที่ใครก็พูดถึง แต่นพมัลลีไม่เคยสนใจ เธอคิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันคือความอ่อนโยน...คือความรัก ช่วงพักเที่ยงที่เธอออกตามหาวากูรที่มาหายตัวไป เธอก็บังเอิญพบเขาอยู่ในห้องเรียน กับกลุ่มเพื่อนที่เธออยากล่าหัว ทั้งสามคนนั้นอยู่พร้อมหน้า และหัวข้อสนทนาก็คือเธอ

‘แค่สองเดือน ฉันก็ทำสำเร็จ’ วากูรนั่งเอนหลังไปกับพนักพิง ขายกไขว่ห้าง ผายมืออย่างผู้ชนะ ‘พวกนายเคยบอกเองว่าแผนการพนันนี้ยังไงพวกนายก็ต้องชนะจริงไหม ฉันจะพิชิตนพมัลลีไม่สำเร็จก่อนปิดเทอม’ วากูรยกยิ้มมุมปาก ‘แต่ก็ต้องขอบใจพวกนายที่วันนั้นยอมเจ็บตัว ให้ฉันเป็นฮีโร่ในสายตานพมัลลีล่ะนะ ฉันจะลดเงินที่พนันให้หน่อยแล้วกัน จากคนละสองพัน เหลือคนละพันเจ็ด จ่ายมา ใครไม่มีแบงค์ย่อย ฉันไม่ทอนนะ’

นพมัลลีแทบทรุดหมดแรงอยู่ตรงกรอบประตูห้องเรียน เธอไม่รู้ตัวว่าฝีเท้าของเธอในการวิ่งออกจากตึก และฝ่าด่านยามของโรงเรียนออกไปจะรวดเร็วปานนั้น น้ำตากลบหน้าด้วยความคั่งแค้นอย่างที่สุด เธอไม่เคยรู้เลยว่าตัวเองมีค่าไม่กี่พันบาท และถูกผู้ชายทุเรศเหล่านั้นตีค่าได้ไร้สกุลชาติอย่างที่สุด

เรื่องนี้มันเป็นความผิดของใคร... นพมัลลีไม่มีหน้าจะกลับไปบ้าน ให้คนที่บ้านได้เยาะเย้ยถากถางกับความโง่เง่าของเธอ หรืออาจจะด่าว่าเธอที่คิดลาออกจากโรงเรียน

ผู้ชายพวกนั้นไม่ใช่คน เธอไม่เคยทำอะไรให้ แต่กลับมาย่ำยีชีวิตที่ไม่ได้ดีเด่อะไรนี้ของเธอให้จมลึกในโคลนตม

‘ไปตายซะ! ไอ้พวกสารเลว’ นพมัลลีคร่ำครวญ แหงนหน้ามองฟ้าใสไร้เมฆ ตรงข้ามกับจิตใจของเธอในยามนี้โดยสิ้นเชิง ‘จะมีโชคชะตาเลวร้ายอะไรเข้ามาตอกย้ำชีวิตฉันอีกไหม เข้ามาเลย ขอให้รู้ไว้ ว่าฉันจะไม่แพ้ ไม่มีวัน!’ เสียงร้องไห้ปริ่มจะขาดใจของคนที่ถูกหักหลังเลือนหายไปกับอากาศ ไม่มีใครสักคนที่ได้ยิน



เพียะ!

นพมัลลีฟาดฝ่ามือไปบนผิวหน้าที่เรียบเนียนของวากูรเต็มแรง คำพูดของเขากระตุ้นความทรงจำอันน่าสะอิดสะเอียนของเธอขึ้นมา ในวันนั้นวากูรไม่ได้รับผลกรรมใดๆ ที่ตัวเองเคยกระทำ เขาคงจะใช้เงินห้าพันกว่าบาทที่ได้มาจากเพื่อนสามคนไปใช้ฟุ่มเฟือยอย่างสนุกมือ

ยิ่งเธอนึกเท่าไหร่ เธอก็รู้สึกขยะแขยงรังเกียจเขามากเท่านั้น

“ขอโทษด้วย เดี๋ยวแฟนฉันเข้าใจผิด คุณจะไปไหนกับใครก็ไปเถอะ แต่อย่ามารบกวนฉันอีก”

ถือเสียว่าเธอปล่อยสัตว์สักตัวเข้าป่า...

วากูรมุมปากมีเลือดซิบ ใบหน้าขึ้นรอยแก้มแดงจัด หน้าชาไปทั้งแถบ เขาคิดว่าที่นพมัลลีโกรธก็แปลว่าเธอยังมีเยื่อใยกับเขาอยู่

“อย่าประชดกันน่าลี นี่เธอยังโกรธฉันเมื่อตอนนั้นเหรอ ฉันยินดีรับผิดชอบเธอทุกอย่างนะ”

“น่าเสียดายที่ครั้งนั้นฉันไม่ได้ด่าคุณต่อหน้านะคะ” นพมัลลีถอนหายใจอย่างแสนเสียดาย ตรงข้ามกับรอยยิ้มหยันที่เผยความร้ายกาจที่เธอมีอยู่ในตัวไม่น้อย

“ไปตายซะ! ไอ้สารเลว”



โรคแอบฟังของตุนท์ยังคงมีอยู่เสมอ ทุกครั้งที่เขาเห็นว่านพมัลลีอยู่ในจุดที่เขาไม่รบกวนพื้นที่ของเธอ แต่เขาก็ยังมองเห็นเธออยู่ในสายตา และบังเอิญที่วันนี้ที่ส่วนตัวของนพมัลลีมีแขกไม่ได้รับเชิญมารบกวน

แขกที่โดนด่าหน้าเจื่อน ยอมล่าถอยจากไป เมื่อนพมัลลีหันกลับมาเห็นตุนท์จึงไม่รอช้า พกหน้ายักษ์ของตัวเองเดินดุ่มเข้ามาหา คว้ามือหนาไปกุมแล้วลากออกไปยังมุมสงบบริเวณหลังบ้านพัก ก่อนที่ร่างทั้งร่างจะโถมกอดชายหนุ่มไว้เต็มอ้อมแขน

ตุนท์ยืนอึ้งงันกับปฏิกิริยาที่เหนือความคาดหมายนี้ เขารู้ว่าสาเหตุเป็นเพราะนายวากูรนั่น

“ฉันรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังจะเป็นบ้า”

อ้อมแขนของตุนท์โอบล้อมร่างบางไว้อย่างทะนุถนอม มือลูบผมนุ่ม วางคางไปบนศีรษะที่อยู่สูงระดับคางเขาพอดี

“บ้าเรื่องอะไรครับ ตุนท์ยี่สิบสี่ชั่วโมงยินดีรับคำร้อง”

นพมัลลีหัวเราะออก เป็นการแสดงออกว่าเธอโกรธ แต่ยังไม่มากพอจะทำให้เธอบ้าคลั่ง “หมอนั่นมารังควานชีวิตฉัน แค่เห็นเงาเขาฉันก็หงุดหงิดเต็มทนแล้ว”

“เพราะอะไรล่ะครับ” ตุนท์ดีใจล้นอก อย่างน้อยผู้ชายคนนั้นก็ไม่ได้มีอิทธิพลด้านบวกกับนพมัลลีเลยสักเศษเสี้ยวของความรู้สึก

อ้อมแขนบางที่กอดไว้เพื่อรับพลังจากตุนท์ลดลงข้างตัว อาการน้ำท่วมปากเข้ามาทักทายนพมัลลี เธอเองก็เพิ่งฉุกใจคิด แล้วถ้าหากตุนท์รู้ว่าเธอไม่ใช่หญิงสาวบริสุทธิ์ เขาจะรับได้ไหม หรือเขาจะเดินหายไปจากชีวิตของเธอ

“เขามันเลวร้าย เลวที่สุดเท่าที่ฉันเคยรู้จัก”

ตุนท์ซ่อนความขมขื่นในอก ปั้นยิ้มละมุนขณะใช้ฝ่ามือแตะแก้มของนพมัลลีอย่างแผ่วเบา เขาเองก็ไม่รู้ว่าอีกนานเท่าไหร่ที่นพมัลลีจะวางใจ และพร้อมให้เขารู้ทุกความเป็นไป ไม่ว่าในอดีต ปัจจุบัน หรือการวางมือฝากอนาคตไว้กับเขา แต่ในวันนี้ที่เขาจับมือเธอได้ กอดเธอได้ เป็นคนที่นพมัลลียังนึกถึงเวลามีปัญหา...มันก็ดีไม่น้อยแล้ว

อย่างวันนี้ เขาได้กอดนพมัลลีโดยที่หญิงสาวเข้ามากอดเขาเอง...ครั้งแรก

ไม่รู้เลยว่านพมัลลีทำไปนี้จะรู้ตัวหรือไม่ หรือแค่เพราะความโกรธอีกคนบังตา

ร่างสูงกว่าโอบกอดนพมัลลีอีกครั้งด้วยตนเอง เกิดความเงียบขึ้นอึดใจ ขณะที่นพมัลลีเพิ่งคล้ายจะรู้ตัวว่าหัวใจของเธออบอุ่นแค่ไหนเมื่อมีฝ่ามือใหญ่คอยลูบผม และลูบหลังปลอบโยนเธอแบบนี้

“มีผมอยู่ทั้งคน คนเลวที่ไหนก็มาทำอะไรคุณไม่ได้แล้วนะครับ”

หยาดน้ำรื้นขึ้นมาเต็มสองตา นพมัลลีรีบซุกหน้าไปกับอกอุ่นที่มีเสื้อเชิ้ตของเขากางกั้นผิวเนื้อไว้ ตุนท์กำลังทำให้เธอกลายเป็นเด็กที่โหยหาความรัก เป็นคนที่ได้รับความรักจากเขาแล้วเคยชินจนไม่รู้จักพอ และเริ่มกลัวหากเธอต้องเสียความรักของเขาไป

“สักวันฉันจะบอกทุกเรื่องของฉันให้คุณรู้นะคะ...สักวัน”

อาการเจ็บแปลบเล็กๆ เล่นงานใจของตุนท์ แต่เขาก็ยังข่มกลั้น ไม่อยากให้นพมัลลีรู้สึกว่าเขาเองก็เสียใจ ที่เธอยังกันเขาออกจากโลกของเธออยู่ แต่เขาจะเข้าใจทุกสิ่งที่นพมัลลีเป็นให้ได้



นพมัลลีหน้าร้อนฉ่า เมื่ออกมาจากหลังบ้านแล้วพบว่ามีมนุษย์ลิงปีนต้นไม้นอนมองมา ปากคาบต้นหญ้าอยู่ในปาก จากความสูงที่คมิกนั่งอยู่บนกิ่งไม้ สูงพอที่จะเห็นว่าเธอกับตุนท์ทำอะไรกันอยู่หลังบ้าน

“ได้เห็นของดีด้วยนะครับ เสียดายไม่ได้ถ่ายรูปเก็บไว้” คมิกเอ่ยล้อ เหลือบตามองครูสาวที่นานทีจะเกิดอาการอายม้วน ทั้งหน้าทั้งหูแดงก่ำ

“แล้วมาทำอะไรที่นี่ ทำไมยังไม่กลับบ้าน” ตุนท์โยงเรื่องออกไป เขายืนเอาตัวบังเสี้ยวหน้าที่แดงก่ำของนพมัลลีให้พ้นสายตาคมิก

เด็กหนุ่มชี้มือไปที่กระเป๋าใบเขื่องใต้ต้นไม้อย่างเกียจคร้าน “ผมจะมาขอเช่าบ้านนอนกับครูหน่อยได้ไหม”

“อยู่ฟรีก็ได้ แต่ครูขอถามเหตุผลของเธอก่อน” ตุนท์ผูกสนทนาต่อ “ที่บ้านรู้เรื่องไหม”

ตุนท์นึกถึงชีวิตลูกเจ้าของสถานบันเทิงสีดำที่เขาไปเห็นด้วยตาตัวเองเมื่อตอนที่นพมัลลีไปช่วยนิลุบลเขาก็มองเห็นถึงปัญหาที่คมิกมีต่อครอบครัว

“ผมหนีออกจากบ้านมา”

“อะไรนะ!” คนที่เหนียมอายหายเป็นปลิดทิ้ง เดินขึ้นหน้าเท้าสะเอว “ลงมาคุยกันดีๆ เลยนะนายคมิก”

นพมัลลีกระโดดถอยหนีร่างที่ทิ้งตัวลงมาจากต้นไม้เกือบไม่ทัน ส่งค้อนใส่เด็กหนุ่มที่ยกมือจัดชุดนักเรียนให้เข้าที่โดยไม่ใส่ใจสวัสดิภาพครูเลย

“ผมมาอยู่ด้วยอย่างนี้ ครูตุนท์คงไม่หงุดหงิดใจนักใช่ไหมครับ เพราะผมก็ต้องขอความช่วยเหลือครูลีบ้างเหมือนกัน”

“จะขอความช่วยเหลืออะไรครู”

ปากสีเข้มยิ้มก่อนตอบ “ผมอยากเลิกบุหรี่”

“ครูลีคะ ครูลี”

นิลุบลปั่นจักรยานที่ยืมแม่บ้านในโรงอาหารมาด้วยความเร็วสูงสุด ก่อนจะหยุดอยู่หน้าคนทั้งสาม ใบหน้าร้อนรน มีอาการเหนื่อยหอบเพราะรีบมาหลังรับรู้เรื่องสำคัญ

“พวกเพื่อนของแฟนนยฎาคุยโวกันใหญ่ ว่าคืนนี้นยฎาจะสิ้นท่าให้เพื่อนพวกเขาค่ะ”

คนถ่ายทอดข้อมูลหน้าเสีย เธอเองยอมช่วยเรื่องนี้สุดชีวิตก็เพราะไม่อยากให้ใครมีประวัติด่างพร้อยอีก อย่างน้อยช่วยหนึ่งคนได้ ก็ดีกว่าไม่ช่วยใครเลย

“แล้วพวกเขาจะไปที่ไหน” ตุนท์ถามเสียงเครียด เส้นเลือดในหัวเขาเต้นตุบๆ เวลานี้เขาเพิ่งจะรู้ตัวว่าการเป็นครูนี้ไม่ง่ายเลย

ตลอดเทอมมานี้นักเรียนห้องนี้ทำให้เขาและนพมัลลีวิ่งวุ่นไม่เคยหยุด และครั้งก่อนที่ไปช่วยบลินด์เขาก็ปล่อยให้นพมัลลีไปตกอยู่ในอันตราย ซึ่งครั้งนี้เขาจะไม่ยอมให้นพมัลลีลุยเดียวอีก

“ลูกพี่ลูกน้องของครูน่าจะรู้นะครับ” หลังจากเกินเรื่องกับบลินด์ นักเรียนชายที่เตรียมไปสร้างวีรกรรมในครั้งนั้นต่างก็รู้ซึ้งว่าที่จริงครูที่ปรึกษาของพวกเขา ใหญ่ยิ่งกว่าเพื่อนพวกเขาที่ชอบอวดเบ่งว่าเป็น ‘หลานเจ้าของโรงเรียน’

“ทำไมบลินด์มันต้องรู้”

“บลินด์เขาวางมวยกับนักเรียนชายทั้งโรงเรียนแล้วมั้งครับ ไม่มีใครกล้าแหยมหลานเจ้าของโรงเรียนหรอกครู”คมิกเหน็บเพื่อนให้ญาติผู้พี่เขารับฟัง

ตุนท์ไม่มีอารมณ์มาโกรธ เขาส่งมือให้นพมัลลีอย่างรู้จักหญิงสาวดีว่าเธอจะไม่ยอมให้เขาลุยเดี่ยวเช่นกัน

นพมัลลีที่มีสีหน้าเครียดอยู่บรรเทาความกังวลไปได้บ้างยามที่วางมือลงไปบนมือใหญ่ และมีเขาบีบตอบกลับมาให้เธอรู้ว่า...เรื่องในครั้งนี้พวกเขาจะร่วมมือกันแก้ไขไปด้วยกัน


.................................................................

คุณ konhin เฉลยอดีตของลีไปอีกหน่อย เชื่อว่าจะต้องเกลียดวากูรตามลีอีกแน่ๆ ตอนเขียนก็กัดฟันเขียนเหมือนกันค่ะ T^T

คุณ kaelek ดราม่าตอนนี้มากกว่าตอนที่แล้ว แต่พยายามให้เรื่องมีจุดเบามาผ่อนแล้วนะคะ ส่วนตอนอื่นๆ ก็มิใช่เบาเลยค่ะ ส่งกระดาษทิชชู่ให้ล่วงหน้าค่ะ

คุณ OhLaLa นางเอกเรื่องนี้รันทดสุดในสามโลกเท่าที่เคยเขียนแล้วค่ะ อยากได้ตุนท์มาเติมความหวานข้างๆ กันเลย ส่วนเรื่องจะค่อยๆ เฉลยไปนะคะ ลองเดาเรื่องดู เดาไม่ยากหรอกค่ะ อิอิ อ่านคอมเมนท์ย้อนหลังแล้วนะคะ ขอบคุณค่า ^^

ที่จริงเรื่องของลีจะมีบอกใบ้อยู่ในทุกเรื่องของนักเรียนที่เกิดขึ้น จะซ้อนทับกันไปมาอยู่ ตอนนี้เขียนไปก็เครียดเหมือนกัน อยากเข้าไปในเรื่องแล้วจับวากูรมาอัดแทนนางเอกเลยล่ะค่ะ เขียนเรื่องนี้จบคาดว่าไมเกรนอาจจะขึ้น ฮา ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ






ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 มี.ค. 2558, 02:22:44 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 มี.ค. 2558, 09:07:20 น.

จำนวนการเข้าชม : 1445





<< บทที่ 10 : ความจริงที่ไม่เคยลืม   บทที่ 12 : พราก >>
konhin 3 มี.ค. 2558, 02:49:39 น.
โห อดีดโหดดีแท้


kaelek 3 มี.ค. 2558, 08:43:51 น.
โอ้วววว..นี่นางเอกจริงๆใช่มั้ย อดีตรันทดขนาดนี้ ยิ่งกว่าดาวพระศุกร์อีก


OhLaLa 3 มี.ค. 2558, 11:06:40 น.
อยากกระโดดขาคู่ใส่วากูร คนอะไรแย่ที่สุด นักเรียนห้องครูลีก็ขยันสร้างเรื่องจริงจริ๊ง ถึงเรื่องจะเยอะแต่ยังดีที่มีตุนท์ (ตุนท์น่าร๊ากกก )


นักอ่านเหนียวหนึบ 4 มี.ค. 2558, 00:24:55 น.
ขึ่นพระ นี่มัน มาม่าบิ๊กแพคแบบนกลังนินา!!!!!
โอ้ว มาย กอดดดดด
ตุนนี่นายเป็นดาวในดวงใจเรานะ อร๊ายยย


violette 5 มี.ค. 2558, 11:50:31 น.
แอบคิดว่า ตัวเล็กจะเป็น เอ๊ หรือไม่ใช่น้า
สนุกมากค่า อ่านรวดเดียวเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account