บทเรียน (รัก) นอกตำรา
นพมัลลี นักศึกษาฝึกสอนที่จบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน

นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก

แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้

มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่

Tags: นพมัลลี ตุนท์ คมิก พิชญ์ปรีชา

ตอน: บทที่ 12 : พราก

บทที่ 12

นพมัลลีไม่รู้ว่าเธอมาสายไปหรือเปล่า ร่างของนยฎากอดตัวเองร่ำไห้อยู่หน้าโรงแรมอย่างหมดสภาพ ราศรีที่เคยจับดูหม่นหมอง ร่างของครูไปหยุดยังเบื้องหน้าของเด็กสาวที่เงยขึ้นมาน้ำตานอง แก้มแดงจากการปาดน้ำตาเป็นปื้น

“ครูจะมาเยาะเย้ยฉันใช่ไหม”

“นี่เธอ...” นพมัลลีไม่กล้าถามคำถามที่อาจกลายเป็นว่าทำร้ายจิตใจนยฎามากขึ้น

ได้แต่ทรุดตัวลงนั่ง ขาที่สวมกางเกงขายาวชันเข่าเลียนแบบนยฎา มีตุนท์พยักหน้ารับเข้าใจ และถอยออกไปรอ ปล่อยให้เรื่องครั้งนี้เป็นเรื่องของผู้หญิงคุยกัน

“ใช่สิ ฉันมันโง่ ครูเตือนเท่าไหร่ก็ไม่เคยเชื่อ ไม่เคยฟัง แล้วไง ครูไม่เคยเจออย่างฉัน ไม่เคยรักใคร จะมาเข้าใจอะไร ชีวิตวัยรุ่นครูเคยใช้บ้างไหม”

นยฎาคาดว่าเธอจะได้รับสีหน้าขึ้งโกรธของนพมัลลีเป็นสิ่งตอบแทน ไม่ทันคิดว่าเธอจะได้เห็นรอยยิ้มหยัน และเสียงเฮ้อดังอย่างคนที่ตัดสินใจแล้ว

“บางทีครูก็อยากมีชีวิตอย่างเธอนะ ร่าเริง สนุกกับชีวิต แต่ครูสูญเสียมันไปเพราะตัวครูเอง ครูโง่เกินไป ครูไม่เคยปรับตัวเข้าหาใคร และไม่เคยอยากเป็นที่รักของใคร ทุกคนที่อยู่รอบตัวครู ไม่มีใครชอบครูสักคน เธอยังโชคดีที่มีเพื่อนที่ดีนะ” ท่าทีตั้งใจฟังของนยฎา และลืมตัวว่าตัวเองกำลังร้องไห้อยู่ สร้างความแข็งแกร่งแก่หญิงสาว ในการเล่าเรื่องของตัวเองต่อ “ครั้งหนึ่งครูเคยโง่เรื่องผู้ชาย ดูไม่ออกว่าที่เขาเข้าหาก็แค่หวังเอาชนะพนันของเพื่อน คืนแรกของครูมีค่าแค่สามพันกว่าบาท ไม่รู้ว่าเป็นความโชคดีหรือโชคร้ายที่ครูไปล่วงรู้เรื่องราวในวันนั้น คงเป็นลิขิตจากใครสักคนที่อยากให้ครูตาสว่าง แล้วก็เลิกโง่สักที”

เด็กสาวอ้าปากค้าง ทิฐิในใจที่เคยมีให้นพมัลลีเหมือนถูกซัดหายไปด้วยลมในอดีตของอีกฝ่าย จู่ๆ น้ำตาของเธอก็เอ่อล้นออกมาราวทำนบแตก

“เป็นฉันจะแก้แค้นมันที่ทำอย่างนี้ ทำไมครูยังยิ้มอยู่ได้คะ ฝันร้ายชัดๆ” นยฎาไม่คิดว่านพมัลลีจะโกหก หลายครั้งที่นพมัลลีคล้ายพูดบอกใบ้ให้เธอระวังตัว แต่เธอก็เมินเฉย

“แก้แค้นแล้วเราได้อะไร คนพวกนั้นสำนึกตายด้านไปกันหมดแล้ว อีกอย่างครูก็แค่คนขี้ขลาด หลังเกิดเรื่องครูก็หนีออกจากบ้าน ออกจากโรงเรียน ครูไม่กล้าสู้หน้าใครทั้งนั้น”

“ถ้าเป็นพ่อฉันท่านต้องเข้าใจค่ะ ถึงจะดุว่า แต่ไม่มีทางปล่อยให้ฉันลำบาก” นยฎาบอกอย่างมั่นใจ

“เพราะเธอโชคดีที่เธอมีความเชื่อมั่นต่อความรักของพ่อแม่ ส่วนครู ครูไม่มั่นใจว่าเรื่องพวกนี้จะเป็นเรื่องที่ง่ายต่อการยอมรับของพวกท่าน”

ในวันนั้นเธอกลับบ้านไปครั้งเดียวเพื่อนำของมีค่า เงินเก็บส่วนตัวออกมา และจากไป เธอไม่ต้องการตอบคำถามมากมายที่นพยาจะพ่นถามออกมา และใช้ตัวเองกดดันไม่ต่างอะไรกับการมองเธอเป็นนักโทษ

จู่ๆ นยฎาก็ทำเรื่องไม่คาดคิดอย่างการกอดนพมัลลีไว้ สะอึกสะอื้น ทั้งที่ปากกำลังพูดปลอบ “ครูอย่าเศร้านะคะ โลกนี้ไม่ได้มีแต่คนเลวๆ เราแค่โชคร้ายที่ไม่เจอคนดีๆ” เด็กสาวอยากกัดปากตัวเองที่พูดไปคล้ายจะตอกย้ำนพมัลลีมากขึ้น

นพมัลลีส่ายหน้า ระยะเวลาเจ็ดปีช่วยลบล้างความรู้สึกของเธอไปได้มาก หากมองย้อนกลับไปวันนั้น ใช่ว่าเธอจะไม่หลงเหลือสิ่งใดที่ได้กลับมา เธอยังเหลือ และเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตอีกด้วย

“ครูผ่านมาแล้ว ครูไม่เป็นอะไรแล้ว ขอบคุณที่ห่วงครูนะ” นพมัลลีลูบศีรษะลูกศิษย์ที่เอาแต่ร้องไห้ เธอไม่รู้แล้วว่านยฎาร้องที่ตัวเองเจอความโชคร้าย หรือร้องเพราะรับรู้ความโชคร้ายของเธอกันแน่ “เธอเองก็ต้องผ่านไปได้เหมือนกัน”

นยฎากระเถิบตัวออกมา สูดน้ำมูกเสียงดัง ใช้หลังมือปาดน้ำตาออก ไม่เหลือเค้าคุณหนูผู้เย่อหยิ่งอีกต่อไป

“แค่ยอมรับว่าตัวเองเคยโง่ ไม่ตายหรอกค่ะครู ฉันยังไม่ได้เสียอะไร นอกจากเวลา”

“หมายความว่า...” นพมัลลีเริ่มยิ้มออก

“ครูมาถึงที่นี่ได้ ก็ใช่ว่าคนอื่นจะมาไม่ได้นี่คะ” นยฎาส่งเสียงฮึ นึกถึงตอนที่บรรดากิ๊ก ไม่ก็คู่นอนของหมอนั่นที่มาถล่มเธอในห้องอาหารให้อับอาย แฉความประพฤติที่ผู้ชายคนนั้นซุกซ่อนจนเธอต้องอาละวาดไปยกใหญ่ สติของเธอขาดผึงกวาดโต๊ะอาหารเรียบ และหยิบเครื่องดื่มมาสาดใส่หน้าคนทั้งหมด แล้วจึงหนีออกมานั่งสงบสติอารมณ์ กลืนกินความโง่เง่าของตัวเองที่มาทำเรื่องน่าอายในโรงแรมที่พ่อมีหุ้นส่วน

เรื่องราวมากมายถูกถ่ายทอดให้ครูสาวรับรู้ นพมัลลีถอนหายใจเฮือกอย่างโล่งอก บีบมือเย็นเฉียบของนยฎาด้วยความความรู้สึกยินดีมากกว่าเสียใจ ถึงเธอไม่มา นยฎาก็ดูแลตัวเองได้

“ลูกเป็นไงบ้าง” ร่างชุดสูท สวมรองเท้าขัดมันเดินมาหยุดตรงหน้านยฎา

นพมัลลีลุกขึ้น ให้พ่อลูกได้พูดคุยกัน หญิงสาวเดินเลี่ยงออกมาหาตุนท์ที่ดึงมือของเธอมากุมไว้ สายตาอ่อนโยนของตุนท์สั่นคลอนจิตใจคนมองอย่างรุนแรง จะมีครั้งไหนที่เขาปล่อยให้เธอโดดเดี่ยวบ้างไหม

“นยฎาไม่เป็นอะไรแล้วค่ะ เธอดูแลตัวเองได้”

ตุนท์ถอนหายใจโล่งอก นึกอยากดึงนพมัลลีมากอดรัดแน่นๆ เขาไม่รู้จะภูมิใจที่ได้รู้จักนพมัลลีไปกว่านี้อย่างไร ลูกศิษย์หลายคนปลอดภัยก็เพราะเธอทุ่มเทกำลังกายใจช่วยเหลือเต็มที่ นี่คงจะถือเป็นครั้งแรกที่นพมัลลีเดินออกมาอย่างปลอดภัยหายห่วง ถ้าที่นี่ไม่ใช่ที่สาธารณะเขามั่นใจว่าจะกอดอย่างที่นึกอยากจริงๆ

“เห็นไหมว่ามีผมมาด้วย แล้วจะปลอดภัย” ตุนท์โกยความดีเข้าตัวอย่างไม่จริงจัง รอยยิ้มเล่นขำเรียกเสียงหัวเราะคนฟังได้

“ขี้ตู่จังเลยนะคะ”

นพมัลลียิ้มเขิน ที่จู่ๆ ก็มีผู้ชายอย่างตุนท์มาเปิดประตู แล้วทำท่าค้อมอย่างกับเจ้าชาย ผายมือให้เธอขึ้นนั่ง

“วันนี้ต้องไปฉลองกันนะครับ ถือว่าสะเดาะเคราะห์ เรียกขวัญที่ชอบหายไปเพราะเด็กๆ อยู่บ่อยๆ”

“ฉันเลือกสถานที่ได้ไหมคะ”

“แน่นอนครับ” ตุนท์ยิ้มรับ ในใจรู้สึกว่าปราการหนาของนพมัลลีกำลังสลายไป ถึงจะเหลือม่านหมอกบางๆ ที่ยังขวางกั้นไว้ไม่ให้เขาได้รู้จักตัวตนในอดีตของเธอ แต่เขาเชื่อว่าไม่นานหรอก ในเวลาอันใกล้นี้ เขาจะเข้าไปยืนอยู่ข้างๆ นพมัลลีได้

เขาเชื่ออย่างนั้นมาเสมอ



อาหารตามสั่งข้างถนน ข้างตึกสามชั้น อาจไม่ใช่สิ่งที่ตุนท์คาดคิดแล้ว แต่เมื่อย่างเท้าเข้ามาในตึกสามชั้นทรงแปลก งานศิลปะมากมายเรียงรายอยู่ในชั้นล่าง ผู้ชายตัวสูงผอม โครงหน้าเรียว ตาเล็ก ผมยาวมัดเป็นจุก สวมเสื้อกล้าม กางเกงขาสั้น เดินเข้ามาหาอย่างยินดี

“หายไปหลายเดือนเลยนะลี” ดิศเหล่มองหนุ่มข้างกายของลูกศิษย์แล้วอดส่งเสียงจุ๊ๆ ไม่ได้ “นี่ใครล่ะนี่ ดูดีไม่เบา”

“ผมตุนท์ครับ”

“ผมดิศครับ เคยเป็นครูสอนศิลปะของลีตอนสมัยเขาเรียนมัธยม ไม่ต้องระแวงผมนะครับ ต้องเป็นลีต่างหากที่ต้องระแวง” คนพูดขยิบตาส่งไปให้ตุนท์เชิงล้อเล่น

นพมัลลีกระแอมทีหนึ่ง สายตาดุกับการหว่านเสน่ห์ใส่ตุนท์ชักทำให้นพมัลลีหงุดหงิดเล็กๆ เธอเจอดิศตั้งแต่อยู่ชั้นมอหนึ่ง จะไม่รู้รสนิยมว่าเขาชอบเพศไหนได้อย่างไร

ดิศเป็นครูสอนศิลปะที่บังเอิญเห็นภาพวาดเล่นของเธอในสมุดส่วนตัว ตอนที่เธอลืมสมุดไว้ในห้องสมุด เขาตามหาเธอจนเจอ และขอให้เธอลองวาดรูปส่งมาให้เขา นพมัลลีไม่รู้ว่าครูดิศต้องการอะไร แต่ก็ตั้งใจวาดรูปขาวดำง่ายๆ ส่งไปให้เดี๋ยวนั้นทันที ดิศทำหน้าอึ้งงันไปสักครู่ หลังจากนั้นชีวิตของเธอก็เข้าใกล้โลกของศิลปะมากขึ้น จากแค่งานอดิเรก ศิลปะกลายเป็นชีวิต และลมหายใจของเธอ รวมทั้งการได้รู้จักกับดิศ ผู้ชายคนนี้สอนเธอไว้หลายเรื่อง ทั้งวิธีหาเงินจากการประกวดภาพวาด หรือการรับจ้างออกแบบภาพ การวาดภาพฝาผนังด้วยงานฝีมือ

แม้ในช่วงชีวิตที่ยากลำบากที่สุด เธอก็ยังหาเงินเลี้ยงตัวเอง หาเงินเรียนได้ ดิศสืบจนรู้หลังเธอลาออกจากโรงเรียน เขาพบเธอหลังจากนั้นหนึ่งปี และตัดสินใจลาออกจากโรงเรียน มาเปิดตึกรับงานศิลปะไปขาย เป็นนายหน้าหางานศิลปะหายากที่เก่งทีเดียว และงานของเธอก็เริ่มไปโลดแล่นในวงการนี้ก็เพราะดิศพาเธอเข้าไป ในนามของ ‘Lee Jasmine’

หลายครั้งที่ดิศพร่ำพรรณนาถึงงาน ‘เหินเวหา’ ว่าเป็นงานราคาแพง ที่หาได้ยาก แต่นพมัลลีไม่เคยแง้มพรายถึงความจริงที่ว่า สำหรับเธอ ‘เหินเวหา’ ก็คล้ายปีกที่ไม่ได้บินไปไหนไกลจากเธอเลย

“แค่นี้ทำเป็นหวง แล้วนี่เขารู้เรื่องตัวเล็กแล้วใช่ไหม แปลว่าคุณรับได้” ดิศหันไปถามตุนท์ เพราะคิดว่านพมัลลีคงไม่มีความลับอะไรกับคนสำคัญในชีวิตอีก เขารู้จักนพมัลลีดีว่าเป็นคนเก็บตัว เพื่อนน้อย และไม่ชอบให้ใครมายุ่งวุ่นวายในชีวิต ครั้งเดียวที่เคยเห็นมีแฟนก็เป็นระยะเวลาสั้นๆ สมัยมอหก หนึ่งปีที่เขาไปหานพมัลลี ตอนนั้นเขาก็กลายเป็นหนึ่งในไม่กี่คนที่ล่วงรู้ความลับสำคัญของหญิงสาว

นพมัลลีหน้าซีด เธอหันไปมองหน้าของตุนท์ก็พบว่าเขากำลังใช้สายตาผิดหวังกับเธอ ถ้าเขาจะด่าว่าเธอสักนิด แทนที่จะเงียบอย่างนี้คงดีไม่น้อย อย่างน้อยหูของเธอก็ยังได้ยินสิ่งที่เขาคิดได้

ดิศไม่ได้สังเกตอาการชะงัก และนิ่งไปของคนสองคน ขณะที่เขาเดินไปเข้าไปด้านใน หยิบน้ำ และแก้วออกมารับแขก ปากของเขาก็ยังคงขยับต่อ เผยความลับสำคัญที่นพมัลลีต้องการเก็บไว้กับตัว ยังไม่พร้อมเปิดเผยให้ตุนท์ได้รู้

“ตัวเล็กเขาน่ารักนะครับ เป็นลูกสาวที่ถอดแบบหน้ามาจากแม่เลย คุณเคยพบเขาแล้วใช่ไหม” ดิศชักเอะใจที่ไม่มีใครตอบคำถามเขาสักคน หันมาอีกทีก็พบว่านพมัลลีทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ และเบือนหน้าหนีจากตุนท์ที่เอาแต่จ้องมองอีกฝ่าย

“นี่คุณยังไม่รู้เรื่องที่ลีเขามี...” ดิศกลืนน้ำลายลงคออึกใหญ่ ในใจร้องเป็นคำว่า

...พลาดอีกแล้วกู



ดิศได้รับโทรศัพท์จากนพมัลลีในคืนหนึ่ง ตอนที่เขารับโทรศัพท์แล้วรู้ว่านพมัลลีโทรมา เขานั้นโล่งใจมากแค่ไหน นพมัลลีคงไม่รู้ เธอติดต่อมาหาเขาแล้วถามว่ามีงานอะไรให้เธอทำไหม แต่เขาอยากรู้ความเป็นไปของนพมัลลีด้วยมากกว่า ว่าเพราะอะไรจู่ๆ จึงมาลาออกไป จึงแกล้งถ่วงไม่ยอมให้งาน และวุ่นวายเซ้าซี้จนรู้ที่อยู่ของอีกฝ่ายได้ในที่สุด

ภาพผู้หญิงคนหนึ่งที่หน้ามันแผล็บ วิ่งรอกกลับมาจากการทำงานรับจ้างสารพัดที่แม่บ้านเขาจะทำกัน ตรงด้านหน้ามีกระเป๋ารัดผูกเอว ในนั้นมีร่างเล็กอายุไม่เดือนร้องอ้อแอ้อยู่ ดิศรู้สึกสะท้านใจรุนแรง เขารู้แล้วว่านพมัลลีหานไปไหนมา

‘ครูคงไม่หัวเราะฉันใช่ไหม’ ถึงหน้าตาจะเหนื่อยล้า และร่างที่ผ่ายผอมจนเรียกได้ว่ากระดูกขึ้น ดูย่ำแย่ปานใด แต่ในดวงตาดำขลับของนพมัลลีก็ยังเต็มไปด้วยความหวัง แรงใจที่เปี่ยมพร้อมต่อสู้ สองมือที่ตระกองกอดเด็กน้อยอ้อแอ้ในอ้อมแขนเต็มไปด้วยความทะนุถนอม และพร้อมปกป้องเต็มที่ เด็กน้อยผิวขาวดูอ้วนท้วมสมบูรณ์แตกต่างจากคนเป็นแม่ลิบลับ

ดิศน้ำตาซึม เขาเดินตามนพมัลลีเข้ามาในห้องพักเท่าแมวดิ้นตาย ของใช้เก่าพร้อมพัง ความรู้สึกหดหู่จนถึงขีดสุด เขาไม่เข้าใจเลยว่าทำไมนพมัลลีถึงพบเจออะไรอย่างนี้ ชีวิตที่ควรสดใส โชติช่วง และผงาดในอนาคตด้วยฝีมือทางศิลปะที่ยังพัฒนาไปได้อีกไกล กลับมาหยุดลงในที่แคบๆ อย่างนี้

‘ฉันไม่เป็นอะไรหรอกค่ะ ยังไงฉันก็เลี้ยงตัวเล็กอิ่มทุกมื้อ แล้วก็ถูกหลักโภชนาการ เวลาฉันมีปัญหาอะไรก็โทรถามพี่พยาบาลใจดี ที่ช่วยดูแลฉันตั้งแต่ฉันไปฝากครรภ์ตอนสามเดือนโน่นแล้วได้ค่ะ พี่พยาบาลเขาเอ็นดูตัวเล็กมากนะคะ’

ยิ่งได้ฟัง ดิศก็รู้สึกถึงความไม่ยุติธรรม ‘นายวากูรใช่ไหม’ การเงียบของนพมัลลีทำให้เขามั่นใจ มือของหนุ่มตั้งใจคว้าโทรศัพท์เพื่อโทรไปแจ้งตำรวจ หรือฟ้องให้ทางโรงเรียนทราบ แต่เด็กสาวเข้ามาคว้ามือเขาไว้ แล้วส่ายหน้าห้ามเสียก่อน

‘ฉันตัดสินใจแล้วค่ะ ว่าจะไม่บอกเรื่องนี้ให้วากูรรู้ เขามันเลวเกินไป ฉันให้ลูกมีพ่อเลวๆ อย่างนั้นไม่ได้หรอกค่ะ’

‘แต่ลูกกับเธอ จะอยู่กันอย่างนี้ไม่ได้ ชีวิตของเธอควรจะสบายกว่านี้นะลี ถึงลูกเธอจะอิ่ม แล้วเธอล่ะ แค่นี้เธอก็ผอมจนหนังหุ้มกระดูกแล้ว ถ้าลูกเธอโตขึ้น เอาง่ายๆ แค่เวลาเธอออกไปทำงาน ใครจะดูแลลูก นพมัลลีชีวิตไม่ใช่แค่เธอกับลูกสองคน เธอต้องมองถึงความจริง โลกนี้ยังมีคนที่ช่วยเหลือเธอได้’

‘ฉันถึงของานจากครูไงคะ ถ้าเป็นงานศิลปะ ถึงจะอยู่บ้าน แต่ฉันก็ยังทำงานได้’

ดิศไม่เห็นด้วย แต่เขาก็รับปากว่าจะหางานให้นพมัลลี พอเขาออกจากห้องพักซอมซ่อของหญิงสาว เขาก็มุ่งหน้าไปที่บ้านของพ่อแม่นพมัลลี ที่นั่นเขายังได้พบลุงของลูกศิษย์ที่ทำหน้าเคร่งเครียดตอนรู้เรื่องราวทั้งหมดจากเขา และมุ่งออกไปจากบ้านในทันทีเสียด้วย เขารู้ต่อมาว่าหลังจากนั้น นวมลลิ์มีพี่สาวของนพมัลลีนำไปเลี้ยงเป็นลูกสาวของตัวเอง

ตอนนั้นที่เกิดเรื่องขึ้น นพมัลลีมาหาเขาถึงบ้าน แล้วด่าทอที่เขาทำอะไรไปโดยไม่ปรึกษา

‘ครูทำไมถึงทำอย่างนั้นคะ นั่นลูกฉัน เขาคือเลือดเนื้อของฉัน’ นพมัลลีพูดเสียงระโหย ร่างโงนเงนพร้อมล้มพับทุกเมื่อ

‘ครูหวังดีกับเธอนะลี พอลูกโตขึ้น เธอก็บอกลูกได้ว่าเธอเป็นแม่ ตอนนี้เธอได้คนมาช่วยเลี้ยงลูกให้ ไม่ดีตรงไหน’

‘ครูจะไปรู้อะไรคะ ครูไม่เป็นฉันจะรู้อะไร!’

‘ครูอาจไม่รู้ แต่ครูคิดว่าสิ่งที่ครูทำไปดีแล้ว เธอคิดยังไงถึงไม่บอกที่บ้านว่าเกิดเรื่องใหญ่อย่างนี้ขึ้น ครูไม่คิดว่าครูทำอะไรผิด ครูหวังดี’

นพมัลลีเอาแต่ร้องไห้ เสียงโหยหวนของเด็กสาวกรีดหัวใจคนฟังให้ขาดวิ่น ปากสีซีดแตกระแหงไร้ชีวิตชีวา

‘ครูคิดเหรอว่าฉันจะได้ลูกคืน ครูคิดเหรอคะ!’

‘ครูจะช่วยเธอ’

‘ช่วยเหมือนที่ครูช่วยฉันในวันนี้ ช่วยพรากเขาไปจากฉันใช่ไหม’ นพมัลลีอาละวาดจนหอบโยน หายใจแรง เพียงแค่เดินถอยหลัง ร่างบอบบางจนแทบปลิวลมได้ก็เซถอยหลังจนล้มตึงไป ดิศรีบคว้าตัวลูกศิษย์ไว้ เพียงแค่จับร่างร้อนผ่าวเป็นไข้ พอพาไปส่งโรงพยาบาล หมอตรวจพบว่านพมัลลียังมีอาการของโรคซึมเศร้า โรคขาดสารอาหาร แอดมิดนานอยู่เป็นเดือน เขารับรู้ความทุกข์ใจของนพมัลลี และขอโทษอยู่นานกว่าที่นพมัลลีจะให้อภัย

จนถึงวันนี้เขาจึงรู้สึกอยากชดเชยหลายๆ สิ่งให้แก่หญิงสาว หางานวาดภาพ นำรูปเธออกไปขายให้ได้ไม่ขาด เขาไม่อยากกลับไปเห็นภาพทุกข์ใจแบบในวันนั้นอีก เพราะรู้ว่าสิ่งที่เป็นอยู่ในปัจจุบันคือความจริงอันเจ็บปวดที่ทิ่มแทงใจตัวเองอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ลูกสาวแท้ๆ แต่เรียกแม่ว่า...น้า และเรียกคนที่ควรจะเป็นป้าว่า...แม่

นวมลลิ์ไม่เคยรู้อะไรเลย



นพมัลลีไม่รู้ว่าจะเริ่มพูดความจริงให้ตุนท์ฟังจากตรงไหน สายตากดดันของเขา ที่มีความน้อยใจ ไม่เข้าใจส่งมากำลังทำใจเธอเจ็บอย่างที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน

เธอไว้ใจดิศเกินไป ไม่คิดว่าปากของเขาอาจทำให้เธอเสียตุนท์ไปอีกคน หลังจากเธอโดนพรากนวมลลิ์ไปแล้ว

โทรศัพท์ของนพมัลลีก็ขัดขวางบรรยากาศกลืนไม่เข้าคายไม่ออกนี้ เบอร์ของ ‘ทวิช’ ทำให้เธอรีบกดรับ เธอรู้ว่าลุงกลับไปบ้านหลังจากไม่ได้กลับมาหลายปี

“ลีลูกศิษย์เป็นยังไงบ้าง”

“ไม่มีอะไรกังวลค่ะ แล้วลุงล่ะคะ เป็นยังไงบ้าง” นพมัลลีกลั้นใจหาเรื่องทำ บังคับให้ใจตัวเองร่มๆ และสายตาไม่เอาแต่ปรับไปมองดวงตาคู่นั้นที่ยังรอคอยเธอ

“ลุงได้ข่าวที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่มา”

“ข่าวอะไรคะ” นพมัลลีภาวนาในใจ ขอให้เรื่องที่ทวิชรู้มาไม่เกี่ยวกับนวมลลิ์

“ยาจะย้ายครอบครัวไปอยู่ที่อเมริกา พรุ่งนี้จะไปขอวีซ่าที่กรุงเทพฯ”

“ทำไมฉันไม่รู้เรื่องนี้เลย” หัวใจที่เจ็บจากตุนท์ถึงคราวหยุดเต้นแทบจะทันที นพมัลลีเซจนตุนท์ต้องปรี่มาประคองไว้ ถึงเขาจะยังโกรธอยู่ก็ตามที แต่เขาปล่อยให้นพมัลลีจมกับความทุกข์ไปต่อหน้าต่อตาไม่ได้

“ตัวเล็กก็ยังไม่รู้”

ทวิชพูดอีกหลายอย่าง และขอให้เธอใจเย็นๆ และมีสติให้มาก นพมัลลีรับปากก่อนวางสาย มือกำโทรศัพท์จนผิวขาวซีดไร้เลือด ดวงตามีหยาดน้ำเอ่อคลอ หัวใจของเธอร้อนราวกับไฟ มันพร้อมแผดเผาทำลายทุกสิ่งอย่าง เธออดทนทุกวันเพราะเชื่อในคำสัญญาของพวกเขาว่าจะคืนลูกให้หลังเธอเรียนจบ เธอก้มหน้า อดทน และคิดว่าพวกเขายังเหลือความเป็นคนอยู่บ้าง

วันนี้เธอตระหนักแล้ว ว่าพวกเขาไร้สัจจะขนาดไหน



‘ให้ยาเลี้ยงหนูมลไปก่อน แกก็รู้ว่าไม่นานมานี้พี่แกเพิ่งจะแท้งลูกไปอีกหน เขาเพิ่งสูญเสียมา แกจะไม่เห็นใจหรือไง มีคนมาช่วยเลี้ยงลูกฟรีๆ’ นพยาพูดกับเธอในโรงพยาบาล ในวันนั้นนพมัลลีโกรธที่ทุกคนตั้งชื่อเล่นใหม่ให้ลูกของเธอโดยไม่ปรึกษา มัลลิยาที่อุ้มลูกเธอไว้อย่างหวงแหนก็หลบตาเธอ ปล่อยให้นพยาควบคุมเรื่องในครั้งนี้ไป

นพมัลลีนึกอยากทวงหาความรักจากพวกเขา อยากถามเหลือเกินว่าแล้วเธอล่ะ ช่วงเวลาที่เธอรู้ตัวว่าท้อง ชีวิตของเธอก็เปลี่ยนไปจากหน้ามือเป็นหลังมือ ถึงจะโดดเดี่ยว แต่เธอกัดฟันสู้อยู่ในชีวิตโดดเดี่ยวคนเดียว ตอนคลอดลูก นอกจากบรรดาพยาบาลที่เอ็นดูเธอแล้วมาช่วยเหลือเธอ ก็ไร้ใครอื่น คนในบ้านไม่มีใครตามหาเธออย่างจริงจัง พวกเขาไม่แม้แต่พยายาม แต่กลับมาเอาลูกเธอไปเลี้ยงอย่างหน้าด้านๆ

‘เขาเป็นลูกของฉัน ฉันไม่ให้ใครเลี้ยงหรอกค่ะ’

‘สภาพแกอย่างนี้ แค่ลุกจากเตียงยังยาก อย่าได้เอ่ยปากว่าเลี้ยงลูกได้เลย’

‘ฉันยังเป็นลูกพ่อ ลูกแม่ เป็นน้องพี่อยู่หรือเปล่า’ น้ำเสียงที่ใกล้จะกรีดร้องไล่ถามทุกคนในห้อง นัยน์ตาแดงก่ำด้วยความเครียด และโกรธแค้น ‘ทำไมถึงได้แสดงความรักในแบบที่ฉันไม่เคยคิดว่ามันมีในโลก ฉันอยากหนีไปให้ไกลทุกวัน เพราะรู้สึกว่าลึกๆ ทุกคนไม่ชอบฉัน แล้วทำไมลูกฉัน ทุกคนถึงได้อยากได้นัก พ่อรู้ไหมว่าตั้งแต่มาถึง พ่อไม่ถามสักคำว่าฉันเป็นยังไงบ้าง’ นพมัลลีหันไปจ้องมัลลิยาอย่างดุร้าย ‘ลูกพี่ตายไปแล้ว แล้วก็จำใส่หัวพี่ไว้ ในมือพี่ คือเลือดเนื้อของฉัน เขาเป็นลูกฉัน’

‘หยุดบ้าเดี๋ยวนี้นะ!’ นพยาตะโกนลั่น เขาโบกมือให้มะลิ และมัลลิยาอุ้มนวมลลิ์ที่เริ่มแผดเสียงร้องไห้ออกไป พร้อมปรับสีหน้าให้ใจเย็นมากขึ้น ‘หลังจากแกกลับไปเรียนจนจบ มีวุฒิภาวะพอ ฉันสัญญาว่าแกจะได้ลูกคืนไป’

‘ฉันไม่เชื่อ’

‘ฉันสัญญา ว่าถ้าแกเรียนจบ ฉันจะไม่ให้ยามายุ่งอีก แค่ช่วงเวลาหนึ่งให้ยาได้เป็นแม่คนสักครั้งไม่ได้เหรอ’

‘แล้วฉันล่ะ พ่อจะไม่ให้ฉันเป็นแม่ของตัวเล็กบ้างเหรอ ฉันเป็นแม่เขา เป็นตั้งแต่เขาเกิด’

‘ก็แค่ให้หนูมลมีแม่อีกคน แกแค่ใจกว้างหน่อย ยาก็พี่สาว ไม่ใช่คนอื่นไกล’

‘ฉันมันเป็นลูกชังจังเลยนะคะ ลูกที่ตอนตั้งท้องเก้าเดือน ไม่มีใครสักคนออกตามหาฉัน’

คำประชดนั้นนพมัลลีได้กลับมาเพียงแค่ ‘พ่อขอโทษ’



ตุนท์ดึงร่างที่โกรธจนตัวสั่น น้ำตาหยดลงอาบแก้มด้วยความคั่งแค้นมากอดไว้ โดยไม่สนสายตาของดิศ มือลูบศีรษะของหญิงสาวอย่างแผ่วเบา เวลานี้หัวใจเขาก็สับสน และตั้งรับกับเรื่องพวกนี้ได้อย่างไม่มั่นคงนัก แต่นพมัลลีหนักกว่าเขาหลายเท่าตัว โดยที่เขายังไม่รู้ว่าเรื่องนั้นคือเรื่องอะไร

เขาไม่เคยรู้อะไร และคงจะเป็นคนสุดท้ายที่นพมัลลีเชื่อใจพอให้เขาได้รู้

“ผมอยู่ตรงนี้ คุณไม่ต้องกลัวนะ”

ร่างที่เกร็งคลายตัวลง นพมัลลีกอดตอบเขา แล้วใช้อกเขาต่างผ้าเช็ดหน้าซับน้ำตา

“ขอโทษนะคะ” หญิงสาวรู้ว่าตัวเองทำร้ายความรู้สึกของตุนท์ขนาดไหน

เธอกับนพยาก็คงเหมือนกัน พูดขอโทษออกไป แต่ไม่สามารถสะสาง จัดการกับปัญหาให้เสร็จสิ้นลงได้

…………………………………………………..

คุณ konhin อดีตอีกชุด พร้อมมาม่าร้อนๆ มาเสิร์ฟค่ะ ผูกผ้าเช็ดหน้าไว้ตรงหูหม้อแล้วนะคะ >_<

คุณ kaelek บทหวานอยู่ไหน ตอนนี้ก็เริ่มร่ำร้องหาบทหวานเองแล้วค่ะ ชีวิตลีรันทดไร้ขีดจำกัดไปแล้ว หนีไปปิดหน้าร้องไห้เป็นเพื่อนค่ะ

คุณ OhLaLa แถมอีกคู่ด้วยค่ะ หมั่นไส้วากูรเหมือนกัน ผู้ชายอะไรก็ไม่รู้ เด็กในห้องยังเหลืออีกคน หมดคนนั้นก็เรื่องของลียาวค่ะ ส่วนตุนท์ ชักจะเป็นพระเอกที่น่าสงสารแล้วค่ะ

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ ชักคิดว่ามันเป็นมาม่ายกโรงงานแล้วค่ะ ในซองเครื่องปรุงก็อ่อนหวานสุดๆ ตอนนี้ตุนท์เริ่มชูป้ายประท้วงแล้วล่ะค่ะ แอร๊ย

ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน มากดถูกใจนะคะ แล้วก็ความเห็นทุกความเห็นด้วย เขาแจกผ้าเช็ดหน้าให้คนละผืน ส่วนตัวเองต้องใช้ยาแก้ไมเกรนค่ะ ฮา บีบคั้นเส้นประสาทในหัวไม่น้อยเลย T^T มาเสิร์ฟมาม่ายามดึกแล้วนะคะ ขอให้สนุกกับการอ่านค่า ลงเสร็จแล้วก็รีบเผ่น อิอิ



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 มี.ค. 2558, 02:51:58 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 มี.ค. 2558, 02:53:53 น.

จำนวนการเข้าชม : 1413





<< บทที่ 11 : อดีตฝังใจ   บทที่ 13 : พ่อแม่ >>
ร้อยวจี 5 มี.ค. 2558, 07:00:57 น.
น้ำตาซึมเลยค่ะ


kaelek 5 มี.ค. 2558, 07:24:22 น.
มีอีกมั้ย เศร้ากว่านี้มีอีกมั้ย? จะได้เจอหวานทีเดียวเลย


konhin 5 มี.ค. 2558, 08:18:19 น.
อึ้ง พ่อแม่แบบไหน???


violette 5 มี.ค. 2558, 12:30:24 น.
โอ๊ย พ่อแม่พี่ แบบไหนในโลกกันเนี่ย โอ๊ยตัวเล็ก


OhLaLa 5 มี.ค. 2558, 14:48:47 น.
คงไม่ดราม่าขนาดที่ลีไม่ใช่ลูกของครอบครัวนพยา แต่เป็นหลานที่พี่ชายฝากเลี้ยงหรอกนะคะ มโนล้วนๆ ดูเหมือนลีแปลกแยกไม่ได้รับความรักจากครอบครัวเลย แถมยังโดนชังด้วย จะว่าไปพี่สาวใจร้ายจังจะพรากลูกพรากแม่ก็ไม่บอกน้องสาวสักคำ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account