เพลิงพญาล่ารัก (ปรับปรุง)

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 4

ตอน 4
เสียงสกุนาร้องแหวกความเงียบของป่าขึ้นมาบอกเวลาว่าใกล้รุ่งสาง เพลิงลืมตาขึ้นด้วยความเคยชิน เพราะต้องไปตรวจรอบหุบเขาอย่างที่ทำเป็นประจำอยู่แล้ว และหลุบตามองร่างอรชรที่นอนอยู่ข้างๆ มุมปากเขายกหยันขึ้น ก่อนจะหลับลง เมื่อเห็นว่าเธอกำลังจะตื่น พิมพ์ลดาลืมตาขึ้น สิ่งแรกที่เห็นคือมุ้งสีขาวที่ไม่คุ้นตา เธอมองอย่างงุนงงอยู่เพียงอึดใจ ความทรงจำต่างๆก่อนจะหลับไปก็หลั่งไหลเข้ามา สุดท้ายที่เธอจำได้ก่อนหลับไปคือนั่งพิงผนังเพิงอยู่ แต่นั้นไม่สำคัญเท่ากับว่าถ้าเธอเข้ามานอนในมุ้งตั้งแต่เมื่อไร และก็ต้องนอนอยู่กับ...

ใบหน้างามเงยขึ้นอย่างตกใจ ปลายจมูกเธอจึงเกือบชนกับปลายคางของคนที่คิดถึงอยู่ จึงรีบลุกขึ้นก่อนที่เขาจะรู้สึกตัว แต่ไม่ทันแล้วเพียงแค่เธอขยับ ดวงตาคมก็ลืมขึ้นทันที พิมพ์ลดารีบถอยห่าง ขณะที่เพลิงก็ยันตัวลุกขึ้นมองเธออย่างเย็นชา

“ฉัน ฉันมาอยู่ในมุ้งได้ยังไง” เธอถามอย่างไม่แน่ใจ เพราะไม่มีความทรงจำในช่วงนั้น

“อยากจะอ่อยฉันไง แต่เสียใจด้วยนะที่ฉันไม่ได้คิดพิศวาสผสมพันธุ์กับเธอ”

“คนบ้า ฉันคงไม่สิ้นคิดขนาดนั้น” เธอว่ากลับอย่างสุดโกรธ

“แล้วที่ผ่านมา ที่ทำจนสามารถมาเป็นนายหญิงของหุบเขาพญาได้ ถ้าไม่เรียกว่าสิ้นคิดแล้วเรียกว่าอะไร แม่ยั่วเมือง หรือนางกากี”

ฝ่ามือของพิมพ์ลดาตวัดขึ้นเมื่อไม่อาจจะยั้งความโกรธไว้ได้ แต่ถูกมือหนายกขึ้นรับไว้ก่อนจะกระทบผิวหน้า และบีบจนใบหน้างามนิ่วเพราะเจ็บ “อย่าได้คิดทำร้ายฉัน ไม่งั้นเธอจะเจ็บมากกว่านี้อีกหลายเท่า”

“คุณก็อย่ามาหยาบคายกับฉัน ไม่งั้นต่อให้ฉันต้องเจ็บมากกว่านี้อีกหลายเท่า ฉันก็จะทำ”

เพลิงมองใบหน้างามที่เชิดขึ้นอย่างถือดี แม้จะเจ็บจนน้ำตาคลอก็ไม่มีคำวอนขอ มุมปากเขายกขึ้นหยันก่อนจะเยาะออกมา “ดี ฉันจะจำไว้และจะทำบ่อยๆ เพราะอยากเห็นความเจ็บของเธอ”

พูดจบเขาก็ปล่อยมือเธอ แล้วลุกขึ้นออกจากมุ้งไป ทิ้งให้พิมพ์ลดาคับแค้นใจกับความเจ็บปวดที่มาจากความไม่รู้ พลางลูบข้อมือที่แดงก่ำและปล่อยสมองให้คิดถึงเรื่องราวต่างๆตั้งแต่ฟื้นขึ้นมา ว่ามีความทรงจำใดๆเหลืออยู่ให้เธอได้รู้ถึงสาเหตุความป่าเถื่อนของเขาบ้าง แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีสิ่งใดหลงเหลืออยู่เลย เธอถอนหายใจออกมาเมื่อทุกอย่างมืดมนไปหมด และอยากจะร้องไห้กับความรู้สึกอัดอั้นนี้

น้ำตาเกือบจะหยดแต่ไม่หยด เมื่อเธอเชิดหน้าขึ้นเก็บกดทุกอย่างไว้ แล้วลุกขึ้นเก็บพับที่นอนหมอนมุ้ง ซึ่งทำให้เธอหวนคิดถึงคำถามที่ยังไม่ได้คำตอบว่ามานอนอยู่ในมุ้งกับเขาได้ยังไง หรือเพราะอากาศที่เย็นจัด เธอจึงเข้ามานอนในมุ้งโดยไม่รู้ตัว ส่วนคนที่รู้ ยืนกอดอกอยู่หน้าเพิง มองขอบฟ้าที่เริ่มจะเรืองรองขึ้น มุมปากเขายกขึ้นหยันทุกครั้งที่คิดถึงผู้หญิงมารยา ภาพที่เธอนอนตัวสั่นยังกับไม่เคยเจออากาศเย็น ทำให้เขาต้องลุกขึ้นไปอุ้มมานอนในมุ้ง เพราะกลัวจะตายก่อนจะที่จะได้รู้รสชาติของความทรมาน

ร่างสูงหมุนตัวมามองหญิงสาวทันทีที่ได้ยินเสียงฝีเท้า เขาเดินเข้าไปจับข้อมือเธอแล้วลากให้เดินตาม แต่พิมพ์ลดาขืนตัวไว้และพยายามบิดมือออกพร้อมถามออกมา “จะพาฉันไปไหนอีก”

“หน้าที่เธอคือทำตามไม่ใช่ถาม”

“แต่ฉันมีสิทธิ์จะรู้”

“งั้นก็รู้และจำใส่สมองเธอไว้ ว่าไม่มีสิทธิ์ ตราบใดที่ยังอยู่ในหุบเขาพญาของฉัน” พูดจบเขาก็ลากเธอจนถลาตามไปแทบไม่ทัน ทั้งที่อยากจะดื้อดึงขืนตัวไว้ แต่คิดว่าไม่มีประโยชน์ เพราะเธอไม่มีทางต่อต้านเขาได้สำเร็จ

ฟ้าที่ยังไม่สว่าง ทางเดินยังมืดมนทำให้เธอเดินลำบากโดนหินบาดเท้าให้แสบๆ ชายผ้าถุงก็เปียกชื้นไปด้วยน้ำค้าง แต่ไม่มีเสียงบ่นใดๆออกมา เพลิงที่สร้างความทรมานให้เธอ จึงได้แปลกใจในความเปลี่ยนไปของเธออีกอย่าง กระทั่งเดินมาถึงเรือนเชิงผา ตัวเธอก็ถูกผลักเข้าไปในห้องครัว แม่นมสองคนที่ตื่นมาเตรียมอาหารเช้าไว้ให้เขา หันมามองด้วยความตกใจ

“นายหญิง”

นมสุกกับนมสดที่นั่งอยู่บนแคร่ วางมือจากผักที่กำลังหั่นอยู่ ลุกจากแคร่มายืนข้างร่างอรชร พลางมองสภาพของเธอที่เปียกชื้นไปทั้งตัว ก็หันไปมองป๊ะเพลิงอย่างไม่ค่อยพอใจที่ทำกับหญิงสาวมากเกินไป แต่เพลิงรึจะสนใจ นอกจากสั่งว่า

“ทำอาหารเช้าให้ฉันกิน และถ้าทำแบบหมาไม่แดกเธอจะต้องแดกแทน และทำทุกหน้าที่แทนสองนมที่เคยทำด้วย แล้วห้ามใครช่วยทั้งนั้น ถ้าใครไม่ฟังและยังจะช่วย ฉันจะจับเธอขังคุกทมิฬ”

“ป๊ะเพลิง” สองนมอุทานออกมาอย่างตกใจ แต่พิมพ์ลดายืนนิ่งเพราะยังไม่รู้ถึงความน่ากลัวของคุกทมิฬที่เขาพูดถึง

“ได้ยินหรือเปล่า” เพลิงถาม แต่เมียมารยาของเขาก็ยังยืนทำหูทวนลม “ฉันถามว่าได้ยินหรือเปล่า”

เสียงเขากระด้างจนสองนมหวั่นใจเพราะรู้ว่าเขากำลังโกรธ แต่พิมพ์ลดาจะหวั่นก็หาไม่แถมยังหันหน้าไปมองรอบห้องครัว ราวกับมีของให้สนใจมากกว่าคำพูดเขา ก่อนจะสะดุ้งเพราะข้อมือที่ถูกบีบจนเจ็บ จึงหันหน้ามาสบตาคมอย่างไม่หวั่นแถมยังยียวนกวนประสาทให้อีกด้วย

“ถามฉันเหรอ”

“ถ้าหูไม่หนวก ตาไม่บอกก็น่าจะรู้”

“เผอิญว่าฉันไม่รู้ เพราะไม่มีชื่อฉัน อีกอย่างตรงนี้ก็มีคนยืนอยู่ตั้งสามคน ฉันจะไปตรัสรู้ได้ยังไง ว่าคุณสั่งใคร”

“งั้นก็จำใส่รูหูทั้งสองข้างไว้ ว่าฉันสั่งเธอ ได้ยินไหม”

“ได้ยิน แล้วมีอะไรอีกไหม ถ้าไม่มีจะนั่งเฝ้าก็ถอยไปเฝ้าให้พ้นมือหน่อย เพราะเดียวฉันจับสากจับมีดขึ้นมา เผลอทำให้มันไปโดนคุณเข้าจะหาว่าฉันจะฆ่าคุณอีก แต่ถ้าไม่ก็ไปให้ไกลๆ พ้นหน้าได้เท่าไรยิ่งดี”

“พิมพ์ลดา” เสียงเพลิงต่ำจนน่ากลัว สองนมจึงจับแขนเธอไว้เตือนให้เงียบเพราะกลัวจะโดนทำโทษหนักขึ้น แต่พิมพ์ลดาไม่เงียบ เธอเชิดหน้าขึ้นสบตาคมที่กระด้างอย่างท้าทาย “คิดว่าฉันไม่กล้าทำอะไรเธอหรือไง”

“เปล่า ฉันรู้ว่าคุณมันยิ่งใหญ่ ใหญ่คับที่นี่ แต่ฉันไม่ใช่แมวที่จะกลัวเสืออย่างคุณอีกแล้ว เมื่อก่อนนั้นฉันเป็นยังไงไม่รู้ แต่ตอนนี้ฉันไม่ใช่ผู้หญิงคนนั้น เพราะฉะนั้น ฉัน ไม่ กลัว คุณ”

“แน่ใจเหรอ” ใบหน้าเชิดขึ้นบอกว่าแน่ “เก่ง ขอให้เก่งให้ตลอด แล้วฉันจะคอยดู” เสียงเพลิงเย็นเฉียบ แล้วหันหลังเดินออกจากห้องครัวไป

นมสดกับนมสุกมองตามร่างสูงจนลับหายไป ก็พากันถอดถอนลมหายใจที่หวั่นๆอยู่ข้างในออกมา ปรายตามองหน้ากันอย่างอ่อนใจแล้วหันมามองหญิงสาวที่ช่างกล้าเถียงนายแห่งหุบเขา อย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนก็ตำหนิออกมา “คราวหลังอย่าไปต่อล้อต่อเถียงป๊ะเพลิงอีกนะนายหญิง”

“ทำไมคะ”

“ไม่ทำไมหรอกค่ะ แต่ถ้าป๊ะเพลิงโกรธ นายหญิงนั่นแหละจะเจ็บตัว”

“พิมพ์ไม่กลัวหรอกค่ะ เพราะทำหรือไม่ทำอะไร พิมพ์ก็ผิดอยู่แล้ว”

น้ำเสียงเธอเศร้าพลางลูบข้อมือตัวเองที่แดงช้ำขึ้นมา แม่นมทั้งสองคนได้แต่มองอย่างสงสารแต่จะพูดไปก็ไม่แน่ใจว่าหญิงสาวจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ หรือแค่ภาพมายาที่สร้างขึ้นมาเพื่อจะล้วงความลับของเพลิงพญากันแน่

“เจ็บไหมคะ เดี๋ยวนมจะไปหายามาทาให้” นมสดบอกแล้วขยับตัว แต่พิมพ์ลดาพูดห้ามขึ้นเสียก่อน

“ไม่ต้องหรอกค่ะ พิมพ์จะเก็บไว้เตือนตัวเอง แต่ถ้านมจะหายามาให้ ขอยาแก้ปวดแทนแล้วกันนะคะ”

“ไม่สบายเหรอคะ”

“เปล่าค่ะ แต่กินกันเชื้อบ้าไว้ก่อน”

แม่นมทั้งสองคนได้แต่แอบยิ้มอย่างพอจะรู้ว่าหญิงสาวหมายถึงใคร แล้วจัดการให้ตามคำขอ จากนั้นก็พาเธอไปที่ห้องนอน เพื่อให้เปลี่ยนเสื้อผ้า พิมพ์ลดามองไปรอบห้องที่เธอกลับมายืนอยู่อีกครั้ง แต่ไม่มีความรู้สึกคุ้นเคยเหมือนเดิม แม้แต่เสื้อผ้าสวยๆที่แม่นมทั้งสองคนเอามาให้เปลี่ยนก็ถูกมองอย่างเฉยๆ แถมยังร้องขอเสื้อกับกางเกงไม่ใช่ชุดสวยๆพวกนี้ สองนมแอบสบตากันด้วยความแปลกใจ ก่อนจะไปหยิบมาให้พลางคิดถึงก่อนหน้านี้ ที่หญิงสาวบอกว่าเสื้อกับกางเกงพวกนั้นไม่เหมาะกับตำแหน่งนายหญิง ให้ทั้งคู่เอาไปทิ้งแต่ยังเก็บไว้ เพราะเสียดาย

เธอขอบคุณแม่นมทั้งสองคน แล้วเลือกเสื้อผ้าที่เหมาะกับตัวเองและคัดเลือกบางตัวเพื่อขอให้สองนมนำไปไว้ที่เพิงหมาแหงน เพราะแน่ใจว่าที่นั้นคือที่ซุกหัวนอนของเธอไม่ใช่ห้องนี้แน่นอน แล้วเดินเข้าห้องน้ำ นมสดกับนมสุกมองตามไปพร้อมความแปลกใจอีกอย่างที่เปลี่ยนไปในตัวของหญิงสาว พลางพับเสื้อผ้าที่คัดแยกไว้ กระทั่งเธอแต่งตัวเรียบร้อยแล้วเดินออกมาจากห้องน้ำ ก็ลุกขึ้นพาเธอเดินออกมาจากห้องนอน

ท้องฟ้าสว่างขึ้นจนสามารถมองเห็นทุกอย่าง ความสวยงามของธรรมชาติดึงดูดให้พิมพ์ลดาเดินไปยืนที่ชานระเบียง หมอกยามเช้าลอยปกคลุมไปทั่วขุนเขา ตรึงสายตาเธอให้มองไม่กะพริบ แล้วค่อยๆเลือนหายให้เห็นป่าไม้เขียวขจี พลิ้วไหวไปตามสายลมที่พัดมา เคล้าด้วยเสียงนกกาที่ขับขานผ่านลำเนาไพรมาให้ได้ยิน ก่อนจะมีแสงอาทิตย์เรืองรองส่องประกายไปทั่วพื้นป่า

“สวยจัง”

เสียงรำพึงที่ดังขึ้นสร้างความแปลกใจให้กับนมสดและนมสุกอีกแล้ว เพราะหญิงสาวพูดออกมาเหมือนไม่เคยเห็นทั้งๆที่หนึ่งเดือนที่ผ่านมาก็เห็นอยู่ทุกวัน แต่ที่แปลกใจยิ่งกว่าก็คือเธอไม่เคยชื่นชอบธรรมชาติแบบนี้เลย มีแต่บ่นว่าน่าเบื่อ เงียบเหงาวังเวงยังกับป่าช้า แต่วันนี้กลับบอกว่าสวย

พิมพ์ลดายืดตัวขึ้นสูดอากาศ แล้วหันมายิ้มให้กับแม่นมทั้งสองคน ก่อนจะบอกว่า “อากาศดีมากเลยค่ะ พิมพ์ไม่ค่อยได้เจออากาศดีๆแบบนี้นานแล้ว ที่นี่เต็มไปด้วยโอโซนน่าอยู่มากเลย” เธอพูดโดยไม่รู้ถึงความแปลกไปของตัวเอง แต่นมสดกับนมสุกรู้เต็มๆและเก็บความน่าสงสัยนี้ไว้ในใจ

“ชอบจริงๆเหรอคะ”

“ค่ะ และไม่ใช่ชอบเฉยๆนะ ชอบมากๆเลย” เธอบอกโดยไม่เห็นสีหน้าที่แปลกไปของสองนม ซึ่งก็ปล่อยให้เธอชมธรรมชาติจนได้เวลาก็พาไปยังห้องครัว “เช้าๆอย่างนี้นายทะเลเพลิงนั้นทานอะไรคะนม” พิมพ์ลดาถามพลางมองไปรอบห้องครัวและผักที่สองนมหั่นค้างไว้

“ป๊ะเพลิงจะทานข้าวสวยกับแกงง่ายๆสองสามอย่างค่ะ” นมสุกเป็นคนบอก หรือไม่ก็ข้าวต้ม แต่เช้านี้นมว่าจะทำแกงมัสมั่นเนื้อกับยำปลาแห้งและทอดปลาแดดเดียวค่ะ”

“ดีเลยค่ะ เพราะพิมพ์เคยได้ยินเขาบอกว่าอาหารเช้าเป็นมื้อที่สำคัญมากๆ เขาบอกกันว่าต้องกินอย่างราชาในตอนเช้า กินอย่างเศรษฐีในตอนเที่ยง และกินอย่างยาจกในตอนเย็น”

“อ้าวทำไมเปรียบได้แตกต่างกันอย่างนั้นละค่ะ” นมสดถามออกมาอย่างสงสัย

“ก็เพราะว่ามื้อเช้ากับมื้อเที่ยงร่างกายเราต้องใช้พลังงานเยอะจึงต้องกินเยอะๆไงคะ แต่มื้อเย็นเราแทบจะไม่ได้ใช้พลังงานอะไรเลย เพราะกินแล้วนอน จึงกินนิดๆหน่อยๆก็พอค่ะ กินมากไปเดี๋ยวจะอ้วนแล้วโรคก็จะตามมาได้”

นมสดกับนมสุกพยักหน้าอย่างเข้าใจ แล้วพากันก้มหน้าลงความอ้วนของตัวเองด้วยความกังวล และถามออกมาเกือบจะพร้อมกันว่า “แล้วอย่างนมนี่เขาเรียกว่าอ้วนหรือยังคะ”

“เขาเรียกว่าสมวัยค่ะ”

แม่สองทั้งสองคนถึงกับยิ้มหน้าบานที่หญิงสาวพูดถูกใจ และรู้สึกเอ็นดูเธอมากขึ้น พิมพ์ลดาเองก็เช่นกันเธอรู้สึกอบอุ่นที่ได้อยู่กับทั้งสองคน จากนั้นก็เริ่มทำกับข้าว ส่วนนมสุกกับนมสดก็ถอยไปนั่งบนแคร่ดูอย่างหวั่นใจ เพราะรู้อยู่แก่ใจดีว่าหญิงสาวทำไม่เป็น แต่แล้วก็ต้องแปลกใจครั้งมโหฬาร เมื่อเห็นเธอหยิบจับทุกอย่างอย่างคล่องแคล่ว เริ่มตั้งแต่การหุงข้าว จุดเตาถ่าน เตรียมเครื่องแกง ทำทุกอย่างได้อย่างน่าทึ่ง และมองหน้ากันก่อนจะผลัดกันหยิกแขนให้แน่ใจว่าไม่ได้ฝันไป

พิมพ์ลดาได้แต่หันมามองอย่างขำๆและไม่เข้าใจว่าทั้งสองคนเล่นอะไรกัน ชั่วโมงกว่าๆกับข้าวทุกอย่างก็เสร็จมาวางบนโต๊ะพร้อมกินได้เลย สองนมลุกขึ้นเดินเข้ามาดูและหยิบช้อนมาชิม รสชาตินั้นกลมกล่อมพอๆกับที่ทั้งสองคนทำ แล้วมองหญิงสาวอย่างไม่อยากจะเชื่อ

“ไม่อร่อยเหรอคะ” เธอถามเพราะเห็นสีหน้าแปลกๆของทั้งสองนม

“อร่อยค่ะ แต่นมไม่คิดว่านายหญิงจะทำได้” นมสดบอก

“ทำไมคะ”

นมสดปรายตามองนมสุกก่อนจะบอกว่า “ก่อนหน้านี้นายหญิงไม่เคยทำกับข้าว หรือย่างกรายเข้ามาในห้องครัวด้วยซ้ำไป บอกว่าเหม็นเครื่องแกง เดี๋ยวจะติดเสื้อผ้าติดผม และหน้าจะโดนความร้อนขึ้นกระขึ้นฝ้า แต่จู่ๆก็ลบทุกคำพูดที่เคยพูดไว้หมดเลย ทำเป็นยังกับคนเคยทำมาก่อน”

“เหรอคะ” ถึงคราวที่พิมพ์ลดารู้สึกแปลกใจในตัวเองบ้าง แต่ก็ยังไม่คิดอะไรมากนอกจากบอกว่า “ตอนนั้นพิมพ์อาจจะขี้เกียจไม่อยากทำก็ได้ค่ะ” เหตุผลของเธอทำให้สองนมพยักหน้าทั้งที่ไม่ค่อยเชื่อเท่าไร แต่ด้วยนิสัยของเธอก่อนหน้านี้เป็นแบบนั้น จึงเงียบไว้ แล้วบอกให้รู้ว่าต้องทำอะไรอีกบ้าง

พิมพ์ลดารับฟังอย่างไม่อิดออด สองนมจึงคิดตรงกันว่าคงต้องรอดูกันต่อไปเท่านั้นเอง
*********

เพลิงขี่ม้าตรวจตรารอบหุบเขา ทุกตารางนิ้วไม่มีพลาดไปจากสายตาเขา ขณะที่บนฟ้ากว้างพญาอินทรีก็บินร่อนตามเขาไปไม่ห่าง ไม่นานเขาก็ควบม้ามายืนอยู่บนหน้าผาสูง สายตาคมทอดมองความงดงามของธรรมชาติเบื้องหน้า ขณะที่เบื้องหลังเสียงฝีเท้าม้าก็ดังขึ้น ไม่มีการหันไปมองเพราะรู้อยู่แล้วว่าจะเป็นใครไปไม่ได้นอกจากหัวหน้าคุกทมิฬนั่นเอง พอม้าเหยาะย่างพาเจ้าของมายืนเคียงข้าง ก็ถามขึ้นทันที

“เช้านี้มีอะไรบ้าง”

“คนที่ปล่อยไปเพื่อหวังรู้ตัวไอ้คนบงการ หมดลมหายใจไปแล้ว”

มุมปากของเพลิงหยักขึ้นเพราะคาดการณ์ไว้อยู่แล้ว ว่าพวกมันไม่มีทางเลี้ยงคนที่ทำงานพลาดไว้เด็ดขาด “แล้วรู้ตัวการใหญ่ไหม”

“ไม่ เพราะหนึ่งในผู้คุมกฎที่สั่งให้ตามคลาดกับมันเสียก่อน หรือไม่มันก็รู้ตัว จึงหลบหลีกไปจนได้”

“ไม่เป็นไร วันนี้ไม่เจอวันข้างหน้าก็จะเจอ ตราบใดที่พวกมันยังกระหายอยากได้สมบัติในหุบเขาพญา มันก็จะดั้นด้นมาหาเราอีกจนได้ เตรียมตัวรอไว้ได้เลย”

“รออยู่แล้ว”

เสียงหินหยันไอ้พวกโลภพลางมองความสวยงามของธรรมชาติ และรอฟังว่านายแห่งหุบเขาจะพูดอะไรอีกไหม เมื่อเงียบความเป็นเจ้านายกับลูกน้องก็หมดไป เหลือเพียงความเป็นเพื่อนที่สามารถพูดคุยได้ทุกเรื่อง แม้กระทั่ง “เรื่องของเธอ ไปคุยกับหมอมาหรือยัง”

“ยัง แต่อวดดีและอวดเก่งได้แล้วคงไม่เป็นอะไรง่ายๆหรอก อย่างมากก็เป็นแค่มารยาอย่างที่เคยทำๆมาเท่านั้น”

หินเลิกคิ้วขึ้นด้วยความแปลกใจในบางอย่าง ก่อนจะถามต่อ “แล้วนายจะทำยังไงต่อไป”

“หนามหยอกก็ต้องเอาหนามบ่งไง”

“หมายถึงเรื่องที่ตายแล้วฟื้น หรือเรื่องน้ำสีดำ”

“น้ำสีดำ ฉันแน่ใจว่าที่แผ่นที่ที่หายไปคงเป็นเธอที่ขโมยไปให้พ่อของเธอ ไม่งั้นไอ้พวกสารเลวนั้นจะเข้ามาขุดเจาะได้ไง”

“แล้วจะเอาหนามบ่งยังไง หรือจะบอกให้เธอรู้ว่าน้ำสีดำอยู่ที่ไหน”

แววตาของเพลิงกระด้างขึ้น ก่อนบอกว่า “ใช่ แต่แค่ปลอมๆ เพื่อหลอกให้พวกแมลงเม่าบินมาเข้ากองไฟเท่านั้น คราวนี้ฉันจะเผาพวกมันให้เป็นจุณ”

“แต่พวกมันอาจจะไม่หลงกล เพราะลิงที่ถูกเชือดให้ดูคงทำให้พวกมันระวังตัวกันมากขึ้น”

“แต่ขึ้นชื่อว่าความโลภ ยังไงพวกมันก็ไม่มีวันเข็ดหลาบ นอกจากความตายจะพรากพวกมันไปเท่านั้น”

หินพยักหน้าอย่างเห็นด้วย เพราะพบเห็นมามากแล้วนั่นเอง จากนั้นทั้งคู่ก็บังคับม้าให้ลงจากหน้าผา เพลิงมุ่งหน้ากลับเรือนเชิงผา เพื่อไปดูความย่อยยับของเมียมารยา ที่ป่านนี้คงถูกมีดบาดนิ้ว น้ำร้อนลวกมือ หน้ามันวาว หัวกระเซิงเพราะงานที่เขาสั่งให้ทำ โดยมีหินตามไปด้วย
***********
เมียมารยาที่นายแห่งหุบเขาคิดถึงอย่างชิงชัง กำลังวางผ้าถูพื้นบนไม้กระดานชานระเบียง กดผ้าไว้แน่นแล้วลากพรืดเดียวไปจนสุดไม้กระดานด้วยความสนุก และทำอยู่อย่างนั้นจนนมสดกับนมสุกที่นั่งดูอยู่บนเก้าอี้ ส่ายหน้าด้วยความเอ็นดู เพราะไม่มีเสียงบ่นหรือหยิบหย่งให้ได้เห็น ถ้าเป็นเมื่อก่อนจะร้องวี้ดว้ายเพราะกลัวหน้าจะไม่สวย ต้องรีบเช็ดรีบล้างแต่งหน้าใหม่ให้สวยอยู่เสมอ แต่ตอนนี้ไม่มีเครื่องสำอางเหล่านั้นอยู่บนหน้า ตั้งแต่เช้าหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเท่าที่เห็นมีแต่แป้งฝุ่นหอมๆเท่านั้น

“เรียบร้อย” เสียงหวานใสดังออกมา พร้อมหันไปยิ้มให้กับแม่นมทั้งสองคนก่อนจะเดินไปหา “เหลืออะไรอีกคะนม ที่พิมพ์จะต้องทำ”

“อีกหลายอย่างเลยค่ะ เพราะเรือนนี้ป๊ะเพลิงห้ามใครขึ้นมายุ่ง ทุกอย่างนมกับนมสุกจะช่วยๆกันทำ แต่ตอนนี้พักก่อนดีไหมคะ เดี๋ยวป๊ะเพลิงก็จะกลับมาทานข้าวแล้ว ไปเตรียมสำรับเถอะค่ะ”

พิมพ์ลดาอยากจะแย้งว่าขอทำงานต่อดีกว่าจะไปเจอหน้าเขา แต่สองนมคงไม่ยอม จึงเอาผ้ากับถังน้ำไปเก็บ เรียบร้อยแล้วก็เดินกลับมาหาทั้งสองคน ที่พาเดินไปที่ห้องครัว ล้างมือก่อนจัดอาหารที่ทำไว้วางบนสำรับ แล้วยกไปวางบนศาลาไม้ที่สร้างไว้ใต้ต้นตะแบกใกล้เรือน สองนมจัดโต๊ะอาหารให้เธอดู มีผ้ารองจาน วางจานช้อน เช็ดปากเช็ดมือไว้ให้พร้อม

“ป๊ะเพลิงจะนั่งที่เก้าอี้ตรงหัวโต๊ะนี้เท่านั้นค่ะ” นมสดบอกเพื่อให้เธอจำไว้ แต่พิมพ์ลดาไม่อยากจำเท่าไร เพราะทำหน้ายุ่งเล็กน้อย
“แล้วพิมพ์ต้องนั่งตรงไหนคะ”

“ขวามือป๊ะเพลิงค่ะ”

สิ้นเสียงตอบ ม้าสีดำตัวใหญ่สองตัวก็วิ่งเหยาะๆตามกันมาที่หน้าเรือน นมสดกับนมสุกก็รีบพากันเดินออกไปยืนรอรับ แต่พิมพ์ลดาไม่ไป ซ้ำยังเมินมองไปทางอื่น จึงไม่รู้ว่าเช้านี้เธอต้องเจอกับใครอีกบ้าง

เพลิงเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้าขณะสายตามองเมียมารยาที่เมินเขา แล้วดึงสายตากลับมามองแม่นมทั้งสองคนที่เปิดยิ้มรับ ก่อนจะหันไปมองหินที่ลงจากหลังม้าได้ก็เดินมาหาเขา ยิ้มทักทายแม่นม แล้วพากันเดินไปที่ศาลา แต่เพียงครึ่งทาง ก็ต้องหยุดเพราะมีเสียงเรียกไว้

“ป๊ะเพลิง นายหิน”

ทั้งหมดหันมามองรวมถึงพิมพ์ลดา เพราะไม่รู้ว่าผู้หญิงสวยหวานคนนี้เป็นใคร แต่ท่าทางที่ยิ้มและของที่เธอมานั้นบอกว่าสนิทกับทุกคน เดือนประดับตวัดสายตาไปมองคนที่เธอเกลียดชังเพียงนิด ก็กลับมาเปิดยิ้มหวานให้กับเพลิงพลางเดินมาหา “เดือนมาขอทานอาหารเช้าด้วยค่ะ แล้วนี่แกงมัสมั่นเนื้อ เดือนจำได้ว่าเพลิงชอบทานก็เลยทำมาให้ค่ะ” เธอบอกทันทีที่เดินมายืนตรงหน้าเขาพร้อมกับยกโถใส่แกงให้ดู

“ขอบใจ”

“ไม่เป็นไรค่ะ

“อะไรที่เพลิงชอบ เดือนเต็มใจให้ทุกอย่าง”

เธอบอกอย่างไม่แคร์ว่าใครที่ได้ยินจะคิดยังไง นมสดกับนมสุกแอบสบตากันและมองว่านายแห่งหุบเขาจะว่ายังไง แต่มีแต่ความนิ่งเฉยเท่านั้น และออกเดินต่อไปที่ศาลา เดือนประดับก็รีบก้าวไปเดินเคียงข้างโดยไม่สนใจว่าใครจะมองยังไง ขอให้คนที่ยืนมองอยู่บนศาลาเจ็บก็พอ

หินเดินตามหลังทุกคนไป กระทั่งทั้งหมดขึ้นมายืนบนศาลา เดือนประดับก็เอาโถแกงของเธอไปวางรวมกับสำรับที่จัดไว้ แม่นมทั้งสองคนก็แยกไปจัดจานช้อนพร้อมแก้วน้ำเพิ่มอีกสองที ขณะที่เพลิงมองเมียมารยา เพื่อหาความผิดปกติจากสิ่งที่เขาสั่งให้ทำ แต่ทุกอย่างตรงข้ามกับสิ่งที่เขาคิดไว้ทั้งหมด

ไม่มีรอยบาดแผลจากคมมีด ผมไม่ยุ่ง หน้าไม่มัน แต่ใสไร้เครื่องสำอางอย่างที่ไม่เคยเห็น ความแปลกใจเกิดขึ้นมาอีกแล้ว แต่ทุกอย่างถูกเก็บงำไว้ในใจเท่านั้น เขาเดินไปนั่งที่เก้าอี้ประจำของตัวเอง หินก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ท้ายโต๊ะตรงข้ามเขา ส่วนเดือนประดับไปนั่งที่เก้าอี้ข้างซ้าย ทั้งๆที่อยากจะนั่งข้างขวาใจจะขาด แต่ถูกจับจองโดยผู้หญิงที่เธอเกลียดชังไปเสียแล้ว

นมสดกับนมสุกช่วยกันตักข้าวให้ทุกคน ขณะที่พิมพ์ลดาก็มองหนึ่งหญิงหนึ่งชายที่เธอไม่รู้จัก ไม่รู้ว่าเป็นใครมาจากไหน ผู้ชายนั้นหน้าตาคมคาย รูปร่างสูงใหญ่ไม่ต่างจากนายทะเลเพลิง ท่าทางดูเป็นมิตร ส่วนผู้หญิงดูสวยหวาน เสื้อผ้าอาภรณ์การแต่งตัวงดงาม รูปร่างอรชรน่าทะนุถนอม แต่แววตาที่มองเธอนั้นดูน่ากลัว

ท่าทางการมองของเธอนั้นตกอยู่ในสายตาของแม่นมทั้งสองคน เพราะหวั่นว่าเธอจะพูดหรือถามอะไรออกมา เพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าเธอจำใครไม่ได้ โดยเฉพาะเดือนประดับที่คอยจ้องจะมาแทนที่เธอ แต่เมื่อไม่มีเสียงใดออกมา ทั้งคู่ก็แอบถอนหายใจกันอย่างโล่งอก

“ได้ข่าวว่านายหญิงไม่สบาย สบายดีแล้วเหรอคะ”

พิมพ์ลดานิ่งไปเล็กน้อย ก่อนจะตอบ “ค่ะ”

“เดือนมาขอทานข้าวด้วย ไม่เป็นไรใช่ไหมคะ”

“ค่ะ”

คำตอบรับที่นิ่งกว่าทุกครั้ง ทำให้เดือนประดับรู้สึกแปลกใจ เพราะเมื่อก่อนแม้คำพูดจะนิ่ง แต่สีหน้าและแววตาจะจิกกัดเธอเป็นประจำ ไม่สบายจนสมองกลับหรือเปล่า เธอคิด แล้วเริ่มยั่วหญิงสาวเหมือนทุกครั้งที่มาทานข้าวด้วย เพื่อหวังให้หมดความอดทน พูดจาไม่ดีหรือกรีดร้องออกมาให้ป๊ะเพลิงเกลียด ด้วยการตักแกงมัสมั่นที่เธอทำใส่จานให้ป๊ะเพลิง

เพลิงแค่หรุบตามองแล้วตักกินโดยไม่พูดอะไร ก่อนจะตักแกงมัสมั่นอีกถ้วยมากิน รสชาตินั้นไม่ต่างจากที่แม่นมเขาทำ มุมปากจึงยกขึ้นหยันขณะที่ดวงตาก็นิ่งลึกเมื่อคิดว่าเธอขัดคำสั่งเขา พิมพ์ลดาที่ยังไม่รู้อะไร นั่งทานข้าวอย่างอร่อย เพราะไม่กลัวว่าเขาจะพูดจาหรือทำอะไรหยาบคายกับเธอต่อหน้าคนอื่น

เดือนประดับคอยเอาใจป๊ะเพลิงตลอดการทานอาหาร และยิ้มเย้ยพิมพ์ลดทั้งที่รู้สึกเจ็บใจ เพราะเขาไม่ตักแกงเธอไปกิน นอกจากที่เธอจะตักให้เท่านั้น แต่แกงมัสมั่นอีกถ้วยกับอาหารจานอื่นถูกเขาตักกินครั้งแล้วครั้งเล่า นมสดกับนมสุกได้แต่ยิ้มปลื้มแทนนายหญิง ที่ดูไม่สนใจและไม่รู้ว่ากำลังถูกผู้หญิงอีกคนยั่วเพื่อหวังตำแหน่งของตัวเอง

หินที่นั่งทานข้าวอยู่ด้วยเงียบๆ เก็บความสงสัยจากสิ่งที่เห็นไว้ กระทั่งอาหารเช้าจบลง เขาก็ขอตัวกลับคุกทมิฬ ส่วนเดือนประดับที่ยังไม่อยากกลับก็ต้องกลับพร้อมไฟริษยาที่แผดเผาใจให้ทุรนทุราย ลับหลังของทั้งคู่ เพลิงก็ฉุดกระชากลากถูกเมียมารยามาที่ม้าตัวใหญ่

“ว้าย!ป๊ะเพลิง จะทำอะไรนายหญิง”

นมสดวี้ดว้ายออกมาหน้าตาเลิ่กลั่ก นมสุกเองก็ไม่ต่างกัน แต่เสียงของสองนมลอยหายไปเหมือนสายลมผ่านตัว เพราะเพลิงไม่ฟัง

พิมพ์ลดาขืนตัวไว้เต็มที่ แต่ไร้ประโยชน์เหมือนเคย และร้องว้ายออกมาหัวใจหล่นไปที่ตาตุ่ม เมื่อถูกเขาจับเหมือนโยนขึ้นไปนั่งบนหลังม้า เธอจับขนที่คอมันไว้แน่น หน้าซีด ตัวสั่นด้วยความกลัว แต่เพลิงไม่สนใจ เพราะเขารู้ว่าเธอขี่ม้าเป็น ที่เห็นก็เป็นแค่มารยาเท่านั้น

เขาเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งบนหลังมันซ้อนหลังเธอ ใช้เข่ากระแทกสีข้างให้มันออกวิ่ง สองนมมองตามไปพร้อมยกมือขึ้นทาบอกหวั่นๆ ส่วนพิมพ์ลดาปล่อยมือจากขนมัน ผวามากอดร่างสูงไว้แน่น ซุกหน้าอกกว้างด้วยความกลัว ยิ่งม้าวิ่งเร็วเท่าไร เธอก็ยิ่งเบียดตัวกอดเขาให้แน่นขึ้นอีก
************
ท่ามกลางแสงอาทิตย์ที่ส่องผ่านใบไม้ลงมา เดือนประดับพาความเจ็บปวดใจมาถึงเรือนตัวเอง เธอย้ำเท้าเดินขึ้นเรือนเหมือนยักษ์ที่กำลังโกรธา ผลักประตูห้องนอนออกดังผางแล้วเดินผ่านเข้าไป และยิ่งโกรธเมื่อเห็นคนมานอนเอกเขนกอยู่บนเตียง “ออกไปเลยนะ ออกไป” เสียงเธอต่ำลึกจนน่ากลัว แต่คนที่นอนอยู่ไม่กลัว

“อารมณ์เสียอะไรมาอีก”

ชาติถามพลางลุกขึ้นนั่ง เมื่อเช้ามันมาหาเผื่อจะทานข้าวด้วย แต่สาวใช้บอกว่าเธอไม่อยู่ ซึ่งมันก็พอจะรู้ว่าเธอไปไหน จึงเข้ามานอนรอในห้องเพราะคิดว่าเธอคงอารมณ์ดีกลับมา แล้วจะกลายเป็นนางฟ้ามาโปรดมันหลังจากทิ้งให้มันค้างเติ่งอยู่เมื่อคืน แต่กลับมาเป็นนางพันธุรัตน์ที่อาจจะฆ่ามันเสียงั้น

เดือนประดับมองมันตาเขียว แล้วเดินไปกระแทกตัวลงนั่งบนเก้าอี้หน้าโต๊ะเครื่องสำอาง ชาติจึงลุกจากเตียงมา อ้าแขนจะกอดปลอบแต่ถูกเธอปัดมือออก “อย่ามายุ่ง ฉันบอกให้ออกไปไง”

“ฉันเป็นห่วง”

“ถ้าห่วง ก็ทำเรื่องที่รับปากไว้ให้เสร็จเสียทีซิ จะมานอนหาสวรรค์วิมานอยู่ที่นี่ทำไม”
“ฉันก็ทำอยู่” ชาติบอกพลางเก็บความไม่พอใจไว้อย่างมิดชิด “แต่ท่านไม่ใช่คนเดินดินกินข้าวแกงอยู่ข้างถนน ที่อยากจะไปหาเมื่อไรก็ได้ ต้องหาเวลาจังหวะที่เหมาะๆ อีกอย่างตอนนี้ในหุบเขาก็มีเรื่องอยู่ ถ้าทำอะไรให้ผิดสังเกตเราจะพลอยถูกจับตามองไปด้วย”

“เรื่องอะไร” เดือนประดับถามอย่างสงสัย ชาติก็รีบบอกให้เธอมองมันดีขึ้น “ฉันได้ยินไอ้พวกคนงานมันคุยกันว่าเมื่อคืนวันแต่งงานของป๊ะเพลิงมีคนลักลอบเข้ามาในหุบเขาพญา ฉะนั้นการจะทำอะไร จะไปไหน ในตอนนี้จึงต้องระวังตัวหน่อย”

“แล้วรู้หรือเปล่าว่าพวกมันเป็นใคร”

“ไม่รู้หรอก”

“ใช่ของท่านนายพลนั้นหรือเปล่า”

“ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน”

“แล้วพวกมันเข้ามาทำไม” เดือนประดับซักเผื่อจะมีช่องโหว่ให้เธอเอามาใช้ประโยชน์บ้าง แต่ไม่ได้ช่องทางใดเลย เพราะคำตอบของชาติมีคำเดียวคือไม่รู้ จึงได้แต่ขัดใจ

“เอาน่า แล้วฉันจะหาคำตอบมาให้” มันปะเลาะ “แต่คิดว่าคงมาหาไอ้น้ำสีดำนั้นแหละ เพราะเป็นของสิ่งเดียวที่มีมูลค่ามหาศาล ส่วนเรื่องท่านนายพลใจเย็นอีกหน่อย ก็จะสมใจเธอเอง”

“แล้วแกจะเอาอะไรไปต่อรองกับท่าน”

“ฉันต้องถามเธอมากกว่าว่าถ้าท่านเรียกร้องอะไรมา จะยอมให้หรือเปล่า”

เดือนประดับนิ่งไป เพราะยังจำไม่เคยลืมว่าเธอต้องเสียอะไรไปบ้าง ในการต่อรองกับมัน ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังไม่ได้อย่างใจสักอย่าง ไอ้ชาติที่รอคำตอบอยู่ก็นึกรู้ จึงยิ้มในใจพลางคิดว่ามันควรจะให้เธอเห็นประโยชน์ของมันบ้าง จึงบอกเรื่องที่มันพอจะรู้มาบ้างแง้มให้เธอฟัง

“เรื่องที่เธอเคยสงสัยว่าจู่ๆนายหญิงมาเป็นคนรักของป๊ะเพลิงได้ยังไงนั้น ฉันพอจะได้ข่าวมาบ้างแล้วเหมือนกัน”

เดือนประดับสนใจอย่างที่มันคิดไว้จริงๆ “ว่ามา”

“เธอจำนายอธิปพ่อของนายหญิงได้หรือเปล่า” เดือนประจำนิ่วหน้าคิดพลางฟังเสียงพูดของชาติที่ดังมาอย่างต่อเนื่อง “เขาทำการค้ากับหุบเขาพญามาตั้งแต่สมัยท่านชีค และเพราะความสนิทสนมนี้ อาจจะทำให้ลูกสาวของเขาจึงได้กลายมาเป็นคนรักของป๊ะเพลิง แต่จะรักกันจริงหรืออุปโลกน์ขึ้นมาอันนี้ฉันไม่รู้ แต่ที่รู้ชัดเจนก็คือนายอธิปต้องการน้ำสีดำในหุบเขาพญา จึงเหมือนส่งนายหญิงมาเป็นนางนกต่อ”

เดือนประดับถึงกับนิ่งงั้น ก่อนจะมองหน้าไอ้ชาติอย่างกังขาเพราะมีทั้งเชื่อและไม่เชื่อ “ถ้าอย่างนั้นอาจเป็นไปได้ว่าอุปโลกน์ขึ้นมา เพราะอยากได้น้ำสีดำในหุบเขา แต่แกรู้ลึกขนาดนี้ได้ยังไง”

“ฉันมีวิธีของฉันก็แล้วกัน แต่ข่าวนี้เชื่อถือได้แน่นอน”

“วิธีอะไร”

“เรื่องแบบนี้มันต้องอาศัยความสามารถเฉพาะตัว เธออย่ารู้เลย รู้ในสิ่งที่ทำให้เธอสบายใจก็พอแล้ว”

เดือนประดับมองหน้ามันอย่างคลางแคลงใจ แต่เมื่อมันพูดชัดขนาดนี้แล้ว เธอเลิกเซ้าซี้ก็ได้ “งั้นแสดงว่าไอ้พวกที่ลักลอบเข้ามาในหุบเขาคืนวันแต่งงานป๊ะเพลิงก็อาจจะเป็นคนของนายอธิปงั้นเหรอ”

“บอกแล้วว่าไม่รู้”

“แต่ฉันรู้ว่าควรจะต่อยอดจากเรื่องนี้ยังไงได้บ้าง”

เดือนประดับบอกแล้วยิ้มกริ่มอยู่ในใจ ถึงจะยังคิดไม่ออก แต่อย่างน้อยก็ทำให้เธอมีข้อมูลไว้เล่นงานนังพิมพ์ลดาได้บ้าง ที่สำคัญจากที่ได้ฟังมา เธอแน่ใจแล้วว่ามันไม่ได้เป็นคนรักของป๊ะเพลิงคราวนี้เธอจะแย่งเขามาเป็นของเธอให้ได้

“แล้วเรื่องของท่านนายพลเธอจะว่ายังไง”

เดือนประดับเก็บความคิดของตัวเองไว้ ก่อนจะตอบว่า “แกไปพบท่านถามข้อตกลงว่าต้องการอะไร แล้วฉันจะตัดสินใจอีกที”

“ได้” ชาติยืดหยุ่นเพราะมันก็ต้องการเวลาหาจังหวะเหมาะๆเหมือนกัน “แล้วที่อารมณ์เสียกลับมาเมื่อกี้ พอจะบอกได้หรือเปล่าว่าไปไหนมา”

“ทานข้าวกับป๊ะเพลิง เพื่อหวังจะยั่วให้นังพิมพ์ลดากลายเป็นนางมารแสดงความหยาบคายออกมา จนเขาต้องเกลียดมัน แต่กลับไม่ได้เป็นไปอย่างที่ฉันต้องการเท่านั้นเอง”
“เจอภาพตำตาเข้าหรือไง”

“เปล่า แต่เจ็บใจมากกว่า ที่เขาไม่เห็นค่าในสิ่งที่ฉันทำ”

มุมปากของไอ้ชาติเหยียดออกหยันความโง่ที่ซ้ำซากของเดือนประดับ ทั้งๆที่รู้อยู่แก่ใจ ว่าป๊ะเพลิงไม่มีทางที่จะหันมามอง ก็ยังจะคอยเฝ้ามองเหมือนกับมดแดงที่แฝงอยู่บนต้นมะม่วงยังไงยังงั้น เพราะได้แต่ไต่ตอมป้องกันภัยให้ตั้งแต่งอกขึ้นมาแตกกิ่งก้านปริดอกยันออกผล แต่ไม่เคยได้ลิ้มชิมรสความหวานสักครั้งก็ยังพยายามทำอยู่ ช่างน่าสงสาร มันคิดแต่คิดอีกทีก็ดีเหมือนกัน เพราะจะได้เอาความโง่นี้ของเธอมาหลอกใช้

“แล้วนายหญิงละ เป็นยังไง” มันถามไปเรื่อยๆ

“ก็ไม่มีท่าทีอย่างที่ฉันต้องการสักนิด” เดือนประดับบอกแล้วนิ่งคิดถึงท่าทางของพิมพ์ลดา ที่แตกต่างจากทุกครั้งที่เจอ จึงเล่าให้ไอ้ชาติฟัง มันแปลกใจเช่นกันแต่ไม่มีความเห็นใดๆออกมา เดือนประดับจึงบอกให้มันสืบเรื่องนี้มาให้เธอด้วย มันรับปากก่อนจะบอกว่า

“ระหว่างนี้เธอก็ใจเย็นๆอย่าเพิ่งไปทำอะไรให้เป็นที่ผิดสังเกตอย่างที่ฉันบอกก็แล้วกัน”

“ฉันทำไม่ได้” เดือนประดับสวนกลับทันที “ให้ฉันตายเสียดีกว่าจะทนนั่งดูความสุขของนังพิมพ์ลดา ทางใดที่จะทำให้มันเป็นทุกข์ได้ ฉันก็จะทำ”

“ก็แล้วแต่เธอ”

เสียงชาติบอกความหน่ายและไม่ขัดขวางอีก เพราะคิดได้ว่าเมื่อใดที่หุบเขาพญามีเรื่องยุ่งๆขึ้นมา การเข้าแทรกแซงหรือจะไปไหน ทำอะไรก็คงไม่ค่อยมีคนมาสนใจ ยิ่งเกิดเรื่องกับนายหญิงด้วยแล้ว ก็ยิ่งง่ายต่อการที่มันจะทำยังไงต่อไป อีกอย่างสิ่งที่เธอทำก็เป็นบันไดที่จะให้มันได้เหยียบขึ้นไปหาความสำเร็จที่หวังไว้นั่นเอง
********
ม้าสีดำตัวใหญ่หยุดยืนนิ่งอยู่หลายอึดใจกว่าพิมพ์ลดาจะค่อยๆลืมตาขึ้นมา แต่ยังไม่เห็นสิ่งใดนอกจากอกกว้างที่เธอซบอยู่ แล้วผละตัวออกห่างกวาดตามองไปรอบบริเวณ แต่ไม่เห็นสิ่งใดนอกจากป่าที่เต็มไปด้วยต้นไม้และก้อนหินเท่านั้น แต่นั้นไม่สำคัญเท่ากับว่าตอนนี้เธอยังนั่งอยู่บนหลังม้าที่น่ากลัว จึงเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าคม เพื่อจะขอให้เขาพาเธอลงไปจากหลังมัน แต่แทนที่เขาจะช่วยกลับเหวี่ยงตัวลงไปยืนที่พื้นโดยไม่สนใจเธอเลย

พิมพ์ลดาทั้งโกรธทั้งกลัว แล้วตัดสินใจกระโดดลงจากหลังม้า ความไม่คุ้นเคยและความสูงทำให้เกือบจะล้ม โชคดีที่คว้าแขนเขาเป็นหลักยึดได้ทันแต่ยังไม่ทันตั้งตัว ก็ถูกเขาลากให้เดินฝ่าพุ่มไม้รกชัฏและทางที่ชันด้วยก้อนหิน เธอก้าวตามไปโดยไม่เสียงใดๆออกมาเพราะคิดว่าเหนื่อยเปล่า ยังไงเธอก็ไม่ได้รับความสงสารจากเขาแน่
คนที่ต้องการได้ยินเสียงกับอาการดีดดิ้นจึงได้แต่แปลกใจ ปรายตามามองก็เห็นแต่หน้าเชิดๆเท่านั้น กระทั่งเดินขึ้นมาถึงหน้าผา เขาก็เหวี่ยงเธอให้ไปยืนอยู่ริมผา พิมพ์ลดาใจหายวาบ เพราะความสูงแต่จะขยับกลับเข้ามาด้านในก็ไม่ได้ เพราะเขายืนจ้องอยู่ จึงได้แต่ถามออกมา

“คุณพาฉันมาทำไมที่นี่”

“ลงโทษ”

“จะผลักฉันให้ตกหน้าผาเหรอ” เธอถามทั้งที่ไม่น่าถามเพราะเห็นอยู่แล้ว แต่อยากเจ็บด้วยคำพูดตัวเองดีกว่าเจ็บด้วยคำพูดเขา “แต่ก่อนจะทำก็ช่วยบอกให้ฉันรู้หน่อย ว่าฉันไปทำอะไรให้คุณอีก”

“อย่ามาทำมารยาว่าไม่รู้ เพราะฉันไม่โง่”

“งั้นก็ช่วยเอาความโง่ออกไปจากหัวฉันหน่อย ช่วยบอกมาว่าเรื่องอะไร”

“เธอขัดคำสั่งฉัน ทั้งๆที่ฉันเตือนเธอแล้ว”

พิมพ์ลดาใช้สมองอย่างหนักเพื่อคิดว่าเรื่องว่าเธอไปทำอย่างที่เขาว่าอีกเมื่อไร จริงอยู่ที่เธอจำอดีตไม่ได้ แต่ตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาเจอหน้าเขา ทุกสิ่งทุกอย่างตั้งแต่นั้นมาเธอก็จำได้หมด ไม่มีเรื่องไหนเป็นอย่างที่เขาพูด นอกจาก “ถ้าคุณจะหมายถึงเรื่องอาหารเช้าเมื่อกี้ ฉันขอบอกว่าไม่ได้ขัดคำสั่งของคุณสักนิด กับข้าวที่คุณตักกินเข้าไปจนหมดถ้วยนะ ฉันทำเอง”

“แน่ใจเหรอ” เสียงเพลิงยังเยาะเพราะภาพดัดจริตกรีดกรายไปวันๆของเธอนั้น มันบ่งบอกว่าเธอทำเรื่องพวกนี้ไม่เป็น

“ก็ไปถามแม่นมของคุณดูซิ ไม่ใช่ดีแต่ใช้กำลังมาตัดสินฉัน”

“อย่าปากดีให้มันปากนักพิมพ์ลดา และอย่าคิดว่าแค่คำพูดไม่กี่คำฉันจะเชื่อ ถ้าเธอพิสูจน์ไม่ได้ ฉันจะลงโทษคนที่สมรู้ร่วมคิดกับเธอด้วย”

“แล้วถ้าฉันพิสูจน์ได้ คุณจะยอมขอโทษที่ลากฉันมาที่นี่ไหม”

“ผู้หญิงอย่างเธอไม่มีสิทธิมาเรียกร้องอะไรจากฉันทั้งนั้น ต่อให้ฉันทำผิดไปจริงๆ มันก็เป็นสิ่งที่เธอสมควรจะได้รับทั้งนั้น จำเอาไว้!” พูดจบเขาก็เดินลงมาจากหน้าผา ทิ้งให้พิมพ์ลดามองตามหลังมาไปอย่างเกลียดชัง และไม่เข้าใจว่าเขาชิงชังเธอทำไม
สายลมแรงพัดมาปะทะตัว เธอจึงหันหน้ามองออกไปไกลๆ ความกว้างขวางของพงไพรคงไม่ใหญ่กว่าความอ้างว้างในใจเธอ ที่เหมือนตัวคนเดียวในแผ่นดินนี้ นกน้อยที่บินอยู่ยังมีรังนอนให้กลับไปพักผ่อน ยังมีพนามีภูผาเป็นเพื่อน แต่เธอไม่มีใครและไม่รู้สึกว่าที่แห่งนี้เป็นบ้านเลย

พิมพ์ลดาถอนหายใจออกมา ปัดความเศร้าออกไปจากใจ เมื่อไม่มีประโยชน์ที่เธอจะคิด เพราะยังไงเธอก็จำอะไรไม่ได้อยู่ดี แล้วหมุนตัวเดินลงมาจากหน้าผามาคนที่ทิ้งเธอไว้ แต่แทนที่จะเห็นเขายืนอยู่ข้างม้าตัวใหญ่ กลับไม่เห็น หันมองไปรอบๆก็ไม่พบ ก็ไม่สนใจ เดินไปหาม้าของเขาแทน

ก่อนหน้านี้เธอมัวแต่กลัวมันจนไม่กล้ามอง แต่ตอนนี้เธอมีมันเท่านั้นที่เป็นเพื่อน แล้วยกมือขึ้นอย่างกล้าๆกลัวๆว่ามันจะให้ถูกตัวหรือเปล่า แต่มันยืนนิ่งไม่มีท่าทีพยศ ก็ค่อยๆวางมือลงบนหลังมัน ลูบเบาๆ ก่อนจะสะดุ้งดึงมือกลับแทบไม่ทันเมื่อมันทำเสียงฟึดๆออกมาพร้อมขยับขาคล้ายจะดีดเธอ พิมพ์ลดาตัวแข็งทื่อด้วยความกลัว แต่เมื่อมันไม่ได้ทำอะไรมากไปกว่านั้นก็ผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ แล้วทำใจกล้ายกมือขึ้นใช้ปลายนิ้วแตะหน้ามันใหม่

“เจ้าหล่อมากเลย” เธอว่าพลางลูบหน้ามันเบาๆ และหัวเราะออกมา เมื่อมันผงกหัวคล้ายกับรับรู้คำพูดเธอ “น่ารักมาก ว่าแต่เจ้าชื่ออะไร”

เธอคุยกับมันโดยไม่รู้ว่าเจ้าของมันยืนแอบมองอยู่ เพราะอยากจะรู้ว่าเธอจะทำยังไง เมื่อเดินมาถึงม้าแล้วไม่เจอเขา จะเผยธาตุแท้ที่เก็บซ่อนไว้ออกมาให้เขาเห็นหรือไม่ เพราะที่ตรงนี้ใกล้แหล่งน้ำสีดำ ที่คนของเขากำลังขนกันอยู่ แต่ดูเธอจะไม่สนใจ ไม่เหลียวหา นอกจากจะสร้างมิตรกับเจ้าพยัต ซึ่งมันไม่เคยยอมเป็นมิตรกับใครนอกจากเขาที่เป็นนายมัน

‘ทำไม’

เพลิงถามตัวเองอย่างสงสัย หรือวิธีหนามหยอกต้องเอาหนามบ่งของเขาจะไม่ได้ผล ไม่น่าจะเป็นไปได้ เพราะสันดานของคนมันเปลี่ยนไม่ได้ เขาคิดและไม่ยอมปรากฏตัวออกมาให้เธอเห็น เพราะเชื่อว่าอีกไม่นานเธอจะเผยสันดานออกมา

**********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 19 มี.ค. 2558, 17:29:10 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 19 มี.ค. 2558, 17:29:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 2907





<< ตอน 3   ตอน 5 >>
แว่นใส 19 มี.ค. 2558, 21:42:14 น.
สู้ ๆ นะจ๊ะ


konhin 20 มี.ค. 2558, 07:48:11 น.
อ่านกี่รอบๆก็ยังชอบบบบบบบบบบบ


เคสิยาห์ 20 มี.ค. 2558, 09:03:43 น.
รอตอนต่อไปค่ะ


Zephyr 21 มี.ค. 2558, 13:19:17 น.
แ๊ะเริ่มหลิกตัวเอง555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account