บทเรียน (รัก) นอกตำรา
นพมัลลี นักศึกษาฝึกสอนที่จบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน
นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก
แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้
มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน
นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก
แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้
มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่
Tags: นพมัลลี ตุนท์ คมิก พิชญ์ปรีชา
ตอน: บทที่ 14 : นวมลลิ์
บทที่ 14
“อยู่กับ...” นพมัลลีช้อนร่างเล็กขึ้นอุ้มวางบนต้นแขน มือโอบรอบเอวเล็ก สายตามองยังคนที่ยืนหน้าตานิ่ง อ่านไม่ออกด้วยความไม่ชอบใจนัก เธออยากเอาคำเรียกนั้นคืนเสียเดี๋ยวนี้ แต่เธอยังทำไม่ได้ นวมลลิ์ยังไม่พร้อมที่จะรับรู้เรื่องสำคัญในตอนนี้ “คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ ดื้อหรือเปล่า”
“หนูมลไม่ดื้อเลยค่ะ ตั้งใจเรียน แต่มีแอบแกล้งดึงผมเพื่อน แย่งขนมเพื่อนกินนิดหน่อย”
ท่าทีสารภาพเสียงอ่อยของเด็กหญิงกลายเป็นภาพที่เธออยากพบเห็นไปทุกวัน เธออยากสอนนวมลลิ์ว่าสิ่งไหนควรทำ ไม่ควรทำ อยากใส่ใจลูกสาวให้มากที่สุด ให้แตกต่างกับวัยเด็กของเธอที่ไม่เคยได้รับสายตาอ่อนโยน ห่วงใยจากคนในครอบครัว เพราะครอบครัวทำให้เธอรู้สึกขาดความรัก เมื่อเธอมีนวมลลิ์ เด็กหญิงจึงกลายเป็นความรักแรกในชีวิตที่เธออยากรักษา อยากให้เขาเติบโตขึ้นมาด้วยคำว่าความสุข ไม่ให้นวมลลิ์ต้องรู้สึกเหมือนที่เธอรู้สึกอีก
แต่ทั้งพ่อ แม่ พี่ กลับพยายามพรากนวมลลิ์ไปจากเธอ คนในครอบครัวฉวยโอกาสช่วงที่เธออยู่โรงพยาบาลหลังถูกพรากลูกไปสร้างความทรงจำใหม่ให้นวมลลิ์ เมื่อเธอขอพบพวกเขาก็กีดกันเธอ กว่าเธอจะได้พบลูกอีกครั้งก็ตอนที่นวมลลิ์เริ่มพยายามออกเสียงเรียกมัลลิยาว่าแม่แล้ว
พวกเขากระทำการเหล่านั้นลงไปโดยไม่แม้แต่จะคำนึงถึงความรู้สึกของเธอ
นพมัลลี หันหน้าเด็กน้อยไปหาตุนท์ที่กำลังแยกเขี้ยวตาเหล่ ให้เด็กหญิงหัวเราะขำจนร่างกระเพื่อมไหว “คุณลุงตลกจังเลย”
“นี่คือลุงตุนท์ค่ะ เป็นเพื่อนร่วมงานของน้าลี”
“แล้วก็แฟนของน้าลีครับ” ตุนท์ลอยหน้าลอยตามาร่วมบทสนทนาด้วยอย่างเต็มใจ ได้ถือโอกาสระบุสถานะระหว่างเขากับนพมัลลีเสียตรงนี้ไปด้วย นวมลลิ์เป็นลูกของนพมัลลี เขาก็ต้องรักเอ็นดูเธอเหมือนลูกด้วยเช่นกัน
“เขาเป็นใครน่ะลี” มะลิรู้สึกคุ้นหน้าคมคายตรงหน้า แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
หญิงสาวที่อุ้มเด็กหญิงอยู่นิ่งไป เธอมองลูก สลับกับใบหน้าของมัลลิยา สมองของเธอก็แล่นปราด ความโกรธที่มัลลิยาจะชิงลูกไปจากเธอทำให้เธอยอมเลือกโกหกได้โดยไม่ละอาย
“ฉันเคยเจอเขาเมื่อแปดปีก่อนค่ะ เขาต้องไปเรียนต่อหลังจากที่...” นพมัลลีหยุดเล่าไป สายตามองไปยังนวมลลิ์คล้ายบอกกรายๆ ว่าหลังจากเกิดอะไรขึ้น
ร่างของมัลลิยาเริ่มสั่นเทิ้ม เธอรู้ว่านพมัลลีกำลังพูดอะไร
“ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันไม่อยากรู้”
“พี่น่าจะรู้ไว้นะคะ มันเป็นเรื่องของ...”
“ไม่! ฉันไม่อยากรู้”
นพมัลลีมองกำปั้นที่ถูกกำไว้แน่น และดวงตาแทบลุกเป็นไฟของมัลลิยาอย่างพอใจ เธอจะทำให้มัลลิยารู้ไว้ว่าเธอไม่ใช่แม่ที่ทิ้งลูกแบบทิ้งๆ ขว้างๆ และหากพวกเขาคิดพามัลลิยาไปจากที่นี่จริงๆ มัลลิยาจะต้องรู้ไว้ว่าเรื่องที่พวกเขาหวังจะสำเร็จได้โดยยาก
“ลูกกับแฟนลูกมาคุยกับแม่หน่อยสิ แม่ไม่เคยรู้จักแฟนลูกเลยนะลี” มะลิยิ้มเป็นมิตรให้กับตุนท์ และมองนพมัลลีวางนวมลลิ์ลงยืนบนพื้นด้วยความเฉยชา อาศัยว่าเดินนำไปยังห้องอาหารของโรงแรม นพมัลลีจึงไม่ทันเห็นดวงตาเย็นชาที่ไม่มีใครอ่านความรู้สึกออก เวลานี้มะลิกำลังคิดอะไรอยู่...ไม่มีใครล่วงรู้ได้
“แปดปีก่อนนี่คืออะไรลี” ตุนท์หัวคิ้วขมวด กระซิบถามเสียงเครียด ใบหน้ายิ้มแย้มของนพมัลลีเสียอีกที่ยังยิ้มนึกสนุก เมื่อเอียงหน้ามากระซิบตอบเขา
“ฉันบอกให้พี่ยาเข้าใจว่าคุณเป็นพ่อของตัวเล็กค่ะ”
“พี่คุณเขาจะไม่รู้เหรอ”
“ไม่มีใครใส่ใจพ่อของลูกฉันหรอกค่ะ ตอนนั้นพวกเขาสนแค่ลูก แม้แต่ฉันที่เป็นแม่ พวกเขายังไม่สนใจเลย”
ตุนท์จับมือที่สั่นไหวเล็กน้อยของนพมัลลี เขาเชื่อว่าเธอแข็งแกร่งพอที่จะไม่ร้องไห้น้อยใจในโชคชะตาตัวเองอีก เธอผ่านเรื่องเหล่านี้มาได้ และจะผ่านไปได้อีก
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
ทั้งสามคนเดินเข้ามาในห้องอาหาร ทางเดินเป็นหินอ่อน เหนือเพดานมีชันนาเลียห้อยระย้า บุคคลในที่แห่งนี้เกินครึ่งล้วนเป็นชาวต่างชาติ ทั้งสามเข้าไปจับจองโต๊ะอาหารด้านในชิดหน้าต่างกระจกบานใหญ่ สั่งอาหารง่ายๆ ก่อนที่มะลิจะเริ่มบทสนทนาอย่างเรียบเรื่อย นางเพียงถามว่าตุนท์เป็นใคร มาจากไหน ไม่มีอารมณ์ตื่นเต้นเสียด้วยซ้ำตอนที่รู้ว่าเขาเป็นทายาทของโรงเรียนเอกชนชื่อดัง ตรงกันข้ามเมื่อนางยกน้ำขึ้นจิบ วางแก้วลง ประเด็นใหม่ที่เปิดขึ้นมาต่างหากที่ทำให้นพมัลลีไม่คิดเชื่อหูตัวเอง
“อยากได้นวมลลิ์คืนไหม”
“แม่พูดอะไรคะ”
“ถ้าอยากได้ลูกคืน ก็ไปตรวจดีเอ็นเอ ส่งฟ้องศาล ขอลูกคืนซะ”
“ตัวเล็กไม่ใช่สิ่งของ ถ้าฉันทำอย่างนั้น บ้านของเราจะเป็นยังไง ฉันอยากให้เรื่องมันจบภายในครอบครัว หรือแม่อยากป่าวประกาศให้คนข้างนอกรู้ ว่าข้างในบ้านเรามันเหลวแหลกแค่ไหนเหรอคะ” ถึงเธอจะไม่รู้สึกถึงสายใยภายในครอบครัวนี้มาแต่ต้น แต่เธอก็ไม่คิดทำลายความสัมพันธ์ในครอบครัว หากเธอจะมีโอกาสได้ลูกคืน เธอก็ขอได้เขาคืนมาด้วยวิธีละมุนละม่อม และทำร้ายจิตใจลูกสาวตัวน้อยของเธอให้น้อยที่สุด
นวมลลิ์โตมากับมัลลิยา และคิดว่ามัลลิยาเป็นแม่ เธอไม่เคยลืมความจริงในข้อนี้สักครั้ง
มะลิหัวเราะจนหน้าตาบิดเบี้ยว “เธอไม่เคยรู้สึกเหรอนพมัลลี ว่าคนในบ้านนี้เขาไม่ใช่ครอบครัวของเธอ”
“แม่หมายความว่าอะไร ถึงฉันจะรู้สึกว่าฉันไม่เหมือนลูกของพ่อแม่ แต่ก็แค่คิดว่าพ่อแม่ไม่รักฉัน ฉันเป็นลูกชัง”
“เธอนอกจากลูกชัง ยังไม่ใช่ลูกของฉันด้วยไงนพมัลลี”
การพูดจริงจัง และการมองตาไม่ขยับย้ายหนีไปไหนทำให้นพมัลลีสะอึก หญิงสาวไหล่ลู่ตกราวกับถูกผลักให้ตกลงบนภูเขาอย่างรุนแรง ลงสู่ห้วงอนธกาลที่ไร้เบาะรองนุ่มรับ
“แม่ใจร้ายมากนะคะ ถึงจะเกลียดฉันก็ไม่น่าพูดล้อเล่นอย่างนี้” เสียงที่เคยกร้าวเริ่มเครือ ดวงตาสะท้อนแววน้ำตรงขอบตา ปริ่มเจียนจะไหล แต่เธออดกลั้นไว้ ทนจนคอร้าวระบมไปหมด
มือของตุนท์ที่จับมือเย็นเฉียบของนพมัลลีไว้ใต้โต๊ะส่งกระแสอุ่นโอบล้อมเธอไว้ราวกับเบาะนุ่ม ชายหนุ่มรู้สึกรวดร้าวแทนหญิงสาว ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนในครอบครัวนี้ แต่การที่แม่ที่เลี้ยงตัวเองมาแต่เกิดมาพูดเรื่องอย่างนี้ออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย ก็แสดงว่าในใจของมะลิ ไม่มีความรัก ความเมตตาต่อนพมัลลีเลย
“ฉันไม่ได้ล้อเล่น ถ้าไม่มั่นใจก็เอาเลือดฉันไปตรวจ”
“พอเถอะครับ!” ตุนท์ทนความใจดำของมะลิไม่ไหวอีกต่อไป แค่ครึ่งชั่วโมงที่อยู่ตรงนี้ เขาก็สะอิดสะเอียนกับความไร้หัวใจของคนเหล่านี้เต็มทน พวกเขาทำเหมือนนพมัลลีไม่ใช่คน “การกระทำของคุณต่อให้เป็นแม่จริง ก็เชื่อได้ว่าไม่มีความรักอะไรให้ลูกเลย” เสียงเข้มลดลงเพราะไม่อยากให้ใครหันมาสนใจ “พวกเราหาทางเอาตัวเล็กคืนมาได้ ไม่รบกวนคุณหรอกครับ”
ตุนท์ฉุดร่างที่นั่งนิ่งให้ลุกขึ้น เขาโอบนพมัลลีไว้อย่างหวงแหน ขณะที่พากันหันหลังจากมา มะลิพูดขึ้นมาทิ้งท้ายให้
“ฉันหวังว่าคุณจะไม่ทำร้ายนพมัลลีด้วยสันดานเสียๆ ของพวกผู้ชายนะคะ”
ชายหนุ่มหันกลับไปมองมะลิอย่างไม่เข้าใจนัก แต่เขาก็พร้อมรับปาก ต่อให้คนๆ นั้นจะไม่สมควรได้รับฟัง
“ผมรู้จักตัวผมดี มนุษย์เรามันจะอยู่เหนือสัตว์ก็เพราะรู้จักความยับยั้งชั่งใจ มีสติ ผมยังอยากเป็นมนุษย์อยู่นะครับ”
“จำคำพูดคุณไว้แล้วกัน”
นพมัลลีก้มหน้าเดินออกมา มือเกี่ยวแขนตุนท์ไว้เพื่อพยุงกายไม่ให้ล้มหมดแรงกับพื้นอย่างดูไม่ได้ ในหัวยังคงได้ยินคำพูดของมารดาที่หลุดออกมาราวกับท่านเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอ
‘เธอนอกจากลูกชัง ยังไม่ใช่ลูกของฉันด้วยไงนพมัลลี’
โลกใบนี้ยังรังเกียจเธอไม่มากพอหรือไงกัน
“ผมจะไม่ทิ้งคุณไปไหน ผมยังอยู่ตรงนี้”
เสียงของตุนท์ดึงนพมัลลีให้กลับมาสู้ความรู้สึกปกติ หญิงสาวเหลือบตามองเขา พยายามจะยิ้มออกมาให้ได้ แต่มันคงตลกจนไม่น่ามองเพราะเขาถึงกับดึงเธอไปกอดไว้แน่น ลูบศีรษะเธอไปมาพร้อมพูดเสียงห้าวแนบหูเธอ
“ร้องออกมาเถอะ ผมจะกอดคุณไว้เอง”
นพมัลลีเคยคิดว่ามนุษย์เราหากจะโชคร้ายสักครั้ง ช่วงเวลานั้นจะมีปัญหาเข้ามาซ้ำเติมชีวิตได้อีกมากสักเท่าไหร่กันเชียว แต่หากเธอคิดว่าจะไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรมากกว่านี้เข้ามาแล้ว หญิงสาวเริ่มคิดว่าเธอคิดผิดมหันต์ ภาพผู้ชายตัวโตที่กำลังแตะมืออยู่กับนวมลลิ์กระตุกหัวใจคนมองอย่างรุนแรง และมันทำให้เธอใกล้ขาดสติเต็มที
“อย่ายุ่งกับเขานะ” นพมัลลีเดินแกมวิ่งไปอุ้มนวมลลิ์ขึ้นมา ดวงตากร้าว ปากเธอแทบจะขู่ฟ่อใส่วากูรอย่างนึกรังเกียจ “ออกไปให้ไกลเลย”
“ฉันจะห่างจากละ...”
เพียะ! นพมัลลีฟาดฝ่ามือไปกระทบซีกหน้าของวากูรอย่างแรง หญิงสาวกัดฟันแน่น เธอมั่นใจว่าสิ่งที่วากูรจะหลุดพูดออกมาคือคำต้องห้ามที่เธอไม่อนุญาตให้วากูรพูดออกมาตลอดชีวิตของเขา
“ต้องเป็นไอ้หมอนั่นใช่ไหม” วากูรชี้นิ้วไปที่หน้าตุนท์อย่างหยาบคาย “ฉันได้ยินทุกอย่างที่ห้องอาหาร ฉันทำให้เธอได้ เราสองคนมีสิทธิ์ที่จะทำ แต่หมอนั่นมันเป็นใครมาจากไหน จะมามีสิทธิ์อะไรในตัวเด็กคนนี้” เขาผุดลุกออกจากที่นั่งที่อยู่ติดกับโต๊ะนพมัลลีออกมา ไม่รู้ว่าตอนนั้นดีใจ หรือเสียใจ ที่นพมัลลีเกลียดเขามากขนาดนี้
จากอายุของเด็กหญิง และเรื่องราวนับจากเกิดเรื่องราวในวันนั้น เขามั่นใจเต็มร้อยโดยไต้องตรวจดีเอ็นเอว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเขาเอง เขารู้จักนพมัลลีดีในระดับหนึ่งว่าผู้หญิงอย่างนพมัลลีไม่ได้มั่วกับใคร และไม่ได้อยากให้ใครมาเข้าหานัก
เมื่อเขามองหน้าตุนท์ที่ได้จับมือ โอบกอดนพมัลลีไว้ เขาถึงหงุดหงิด วันนั้นหลังที่เขาได้เงินชนะพนันเพื่อนมา เขาก็ไม่พบนพมัลลีอีก จากแรกเริ่มที่คิดว่าก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งหายไป มันคงสร้างความรู้สึกแย่ๆ ให้เขาไม่นาน ทุกอย่างตรงกันข้าม เขาเริ่มคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติในความรู้สึกของตัวเอง เขาเริ่มคิดถึงนพมัลลีมากขึ้น และรู้สึกผิดกับสิ่งที่เคยทำไว้ ถึงเขาจะคบใครอื่นหลังจากนั้น แต่ความทรงจำของเขา ความรู้สึกของเขาก็ยังเอาแต่คิดถึงผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ที่ทิ้งบางสิ่งติดค้างในใจเขาไว้ และสิ่งนั้นก็คือความลับที่เธอปกปิดมาได้นานถึงเจ็ดปี
...ลูกของเขา
“ยกเว้นว่าเราจะมาตกลงกันดีๆ ไม่อย่างนั้นล่ะก็...”
“เอาลูกฉันคืนมา” มัลลิยาแทบสิ้นสติ เธอคลาดสายตาจากลูกไปไม่กี่วินาทีเพื่อมองดูว่าแม่กับนพมัลลีคุยอะไรกันบ้าง หันมาอีกทีไม่รู้ลูกสาวหายไปไหน ทำไมถึงมาอยู่กับคนแปลกหน้าอีกคนได้ แต่เธอคุ้นๆ ว่าเคยเห็นผู้ชายคนนี้มาก่อน
“พูดอะไรผิดหรือเปล่าครับ” วากูรไม่ยอมง่ายๆ
“เอาตัวเล็กไปค่ะ ฉันจะกลับแล้ว” นพมัลลีส่งลูกสาวที่เธออุ้มไว้คืนให้มัลลิยา หน้าตาของเด็กหญิงแสดงความเสียดายที่ได้เจอน้าสาวน้อย จนเธอเองก็เสียใจไม่ต่างกัน นี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติที่เธอเคยเผชิญ ตอนนี้เธอกับมัลลิยากำลังทำสงคราม และตั้งป้อมระแวงใส่กันอยู่ เธอไม่ไว้ใจพอให้มัลลิยาพานวมลลิ์หนีไป และยังไม่คิดบุ่มบ่ามช่วงชิงนวมลลิ์คืนมา เธอห่วงจิตใจของลูกมากที่สุด ลูกไม่ควรตกอยู่ใจกลางปัญหาในครอบครัว เหมือนที่เธอเคยเผชิญ
นวมลลิ์ไม่ควรรู้สึกว่าถูกดึงไปปัญหาตรงนั้นที ตรงนี้ที เด็กหญิงควรรู้แค่ว่าใครๆ ก็รักเธอจะดีกว่า
“มีอะไรก็ไปคุยกัน” นพมัลลีหันไปเจรจากับวากูรอย่างใจเย็นที่สุด ในใจเธอนับหนึ่งถึงร้อยวนเวียนไปมา สายตามองตามร่างมัลลิยาที่หมุนกายกลับเข้าไปในโรงแรม มือจูงนวมลลิ์จากไปอย่างโล่งใจ
“แค่สองคนนะครับ” วากูรปรายตามองตุนท์ จงใจกีดกันเขาออกจากวงสนทนา แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่นพมัลลีแสดงออกมาทำเขาโกรธจนพูดไม่ออก
มือบางแตะแก้มไร้ไรหนวดของตุนท์ด้วยรอยยิ้มบางเบา ดวงตาที่ช้ำจากการร้องไห้พยายามส่งรอยยิ้มมาให้
“เชื่อใจฉันนะคะ”
“ผมเชื่อคุณเสมอ” ตุนท์จับมือขาวมาจูบเบาๆ แล้วปล่อย “ให้ผมขับรถตามคุณไปห่างๆ ไหม เขาไว้ใจไม่ได้หรอกนะ”
“รอฉันที่บ้านนะคะ แล้วฉันจะกลับไปหาคุณ”
ตุนท์พยักหน้ารับ ดวงตาเขาสื่อออกมาชัดโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดออกมาว่า...เขาเชื่อในนพมัลลี
“ฉันตามเธอมาตลอด อยากรู้ว่าเธอเป็นยังไงบ้าง ไม่คิดเลยว่าเธอจะกล้าปิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้”
นพมัลลีไม่สะทกสะท้านกับการค่อนแคะที่วากูรว่ามา สิ่งที่วากูรเคยทำกับเธอไว้ในอดีต อย่างไรผ่านไปสิบปีเธอก็ไม่ลืม
“แล้วไงคะ”
“แล้วไงเหรอ ฉันเป็นพ่อเด็กน่ะสิ” วากูรบรรยายออกมาไม่ถูกนักหรอกว่าตอนที่รู้ว่าตัวเองมีลูกนั้น ในใจเขาเต้นโครมครามแค่ไหน ทีแรกเขาก็ไม่มั่นใจ แต่ตอนที่เขาอุ้มเด็กหญิง แล้วแกล้งจะหลุดพูดความจริงออกไป นพมัลลีถึงกับร้อนตัวรับไม่ได้ มันค่อนข้างเหนือความคาดหมาย และทำให้เขายอมรับโดยไม่ต้องเห็นดีเอ็นเอ “เด็กคนนั้นชื่ออะไร”
“คุณจะรู้ไปทำไม”
“ไม่อย่างนั้นฉันจะไปแนะนำตัวกับเขา”
คนขับรถพูดได้ไม่ขาดจังหวะ ตรงข้ามกับคนฟังที่หันขวับมามองคอแทบเคล็ด ในใจก่นด่าคนที่กำลังข่มขู่เธอกรายๆ
“นวมลลิ์ ฉันเรียกเขาว่าตัวเล็ก”
“ชื่อเพราะดีนะ แล้วก็น่ารักมากด้วย” วากูรยิ้มพึงพอใจ ดวงตาฉายรอยเศร้า และเหงา ยามนึกถึงอนาคตอันใกล้ที่เขากำลังจะแต่งงาน จู่ๆ เขาก็ไม่รู้สึกอยากเข้าพิธีขึ้นมา
“ฉันมาพบเขาอีกได้ไหม”
นพมัลลีประหลาดใจที่รถของวากูรมาจอดหน้าโรงเรียนพิชญ์ปรีชา เขาเพียงแค่มาส่งเธอ โดยไม่ได้ทำอะไรให้เธอลำบากใจที่ต้องอยู่กับเขาสองต่อสอง หญิงสาวกะพริบตางุนงง มาได้สติเพราะคำขอของเขา
“คงไม่ได้หรอกค่ะ เพราะตัวเล็กก็ไม่รู้ว่าฉันเป็นแม่ของแก ยังไงคุณก็อย่าไปทำให้ตัวเล็กสับสนเพิ่มเลยจะดีกว่า”
“ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง เธอคงลำบากมากใช่ไหม”
“ไม่สำคัญว่าฉันผ่านอะไรมาบ้าง วันนี้ตอนนี้ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว เท่านั้นก็พอ” นพมัลลีกำลังตัดสินใจลงจากรถ วากูรรีบล็อกประตูรถไว้ก่อนอย่างรวดเร็ว
“ขอเบอร์โทรศัพท์เธอหน่อยสิ”
“ไม่ค่ะ”
“ฉันจะกลับรถ แล้วไปบอกความจริงกับตัวเล็กเดี๋ยวนี้”
คนถูกขู่อีกรอบสงบสติตัวเองไม่ให้ฟาดมือไปบนหน้าวากูรอีกสักหลายๆ ที ผู้ชายคนนี้อดีตเลวร้ายอย่างไรก็ยังเลวร้ายอย่างนั้นไม่เปลี่ยน
หมายเลขสิบตัวบอกออกไปอย่างจำยอม ปากของเธอขมุบขมิบด่าอย่างขัดใจ เมื่อวากูรตรวจสอบด้วยการโทรเข้ามาก่อน เมื่อเห็นว่าโทรศัพท์ของเธอมีเบอร์ของเขาขึ้นมา หน้าเขาก็ยิ่งบานเป็นจานดาวเทียม
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้ ไว้ค่อยมาก่อกวนใหม่”
ประตูรถปลดล็อกเสร็จ นพมัลลีรีบถลาร่างลงจากรถราวกับจะเหาะออกไป ปากคว่ำเป็นก้นจาน หงุดหงิดเหลือจะกล่าว
“ตอนนั้นเธอรู้ว่าฉันทำไม่ดีกับเธอไว้ลับหลังใช่ไหม เธอถึงหนีไป”
“ไม่สำคัญอีกแล้วค่ะ”
“ฉันขอโทษ ตอนนั้นฉันมันโง่เอง”
ปั้ง! นพมัลลีกระแทกประตูรถยุโรปคันโตปิดเสียงดังลั่น ในใจนึกก่นด่าตัวเองเช่นกัน...ตอนนั้นเธอก็โง่เหมือนกัน
.........................................
คุณ ร้อยวจี ยังไม่มีใครเลือดตกยางออกเนอะ แต่ที่ผ่านมาก็เน้นทำร้ายจิตใจกันไปไม่น้อยเลย เขียนไปในใจก็ร้องเป็นเพลง ดราม่าน้อยกว่านี้ได้ไหม ฮา หาอารมณ์มาเบรกไม่ลงกันเลย
คุณ konhin ตอนนี้เจอแม่เพิ่มอีกคนนะคะ มาคู่กับวากูรเลย ปมตรงนี้จะคลายยังไงลองเดาดูนะคะ ตัวมะลิจะทำยังไงต่อไป
คุณ กาซะลองพลัดถิ่น ตอนนั้นก็ลังเลว่าจะเอาอย่างนั้นจริงไหม มันจะเรียลไปไหม แต่ก็เขียนไปแล้ว เรื่องนี้มันเลยดราม่ามาตั้งแต่บทนำนะคะ อยากให้มันเป็นกระจกสะท้อน รออ่านว่าเรื่องนี้จะจบยังไงนะคะ
คุณ kaelek ถ้าเรื่องนี้ขาดตุนท์ไปสักคน นิยายจะเพิ่มความดราม่ามาแบบล้วนๆ เลยค่ะ ฮา อยากเจอคนแบบตุนท์บ้างเนอะ เป็นตัวละครที่สวนทางกับตัวอื่นดี
คุณ OhLaLa นพยาเป็นตัวละครที่ทำให้เกิดเรื่องนี้จริงๆ ค่ะ ทุกปมเริ่มมาจากเขาเลย แล้วลูกก็รับผลไป ไม่ใช่แค่ลูก หลานด้วย ให้ตุนท์ไว้เป็นที่รักของทุกคนค่ะ ฮา
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอให้มีความสุขในวันอาทิตย์ค่า ^_^
“อยู่กับ...” นพมัลลีช้อนร่างเล็กขึ้นอุ้มวางบนต้นแขน มือโอบรอบเอวเล็ก สายตามองยังคนที่ยืนหน้าตานิ่ง อ่านไม่ออกด้วยความไม่ชอบใจนัก เธออยากเอาคำเรียกนั้นคืนเสียเดี๋ยวนี้ แต่เธอยังทำไม่ได้ นวมลลิ์ยังไม่พร้อมที่จะรับรู้เรื่องสำคัญในตอนนี้ “คุณแม่เป็นยังไงบ้างคะ ดื้อหรือเปล่า”
“หนูมลไม่ดื้อเลยค่ะ ตั้งใจเรียน แต่มีแอบแกล้งดึงผมเพื่อน แย่งขนมเพื่อนกินนิดหน่อย”
ท่าทีสารภาพเสียงอ่อยของเด็กหญิงกลายเป็นภาพที่เธออยากพบเห็นไปทุกวัน เธออยากสอนนวมลลิ์ว่าสิ่งไหนควรทำ ไม่ควรทำ อยากใส่ใจลูกสาวให้มากที่สุด ให้แตกต่างกับวัยเด็กของเธอที่ไม่เคยได้รับสายตาอ่อนโยน ห่วงใยจากคนในครอบครัว เพราะครอบครัวทำให้เธอรู้สึกขาดความรัก เมื่อเธอมีนวมลลิ์ เด็กหญิงจึงกลายเป็นความรักแรกในชีวิตที่เธออยากรักษา อยากให้เขาเติบโตขึ้นมาด้วยคำว่าความสุข ไม่ให้นวมลลิ์ต้องรู้สึกเหมือนที่เธอรู้สึกอีก
แต่ทั้งพ่อ แม่ พี่ กลับพยายามพรากนวมลลิ์ไปจากเธอ คนในครอบครัวฉวยโอกาสช่วงที่เธออยู่โรงพยาบาลหลังถูกพรากลูกไปสร้างความทรงจำใหม่ให้นวมลลิ์ เมื่อเธอขอพบพวกเขาก็กีดกันเธอ กว่าเธอจะได้พบลูกอีกครั้งก็ตอนที่นวมลลิ์เริ่มพยายามออกเสียงเรียกมัลลิยาว่าแม่แล้ว
พวกเขากระทำการเหล่านั้นลงไปโดยไม่แม้แต่จะคำนึงถึงความรู้สึกของเธอ
นพมัลลี หันหน้าเด็กน้อยไปหาตุนท์ที่กำลังแยกเขี้ยวตาเหล่ ให้เด็กหญิงหัวเราะขำจนร่างกระเพื่อมไหว “คุณลุงตลกจังเลย”
“นี่คือลุงตุนท์ค่ะ เป็นเพื่อนร่วมงานของน้าลี”
“แล้วก็แฟนของน้าลีครับ” ตุนท์ลอยหน้าลอยตามาร่วมบทสนทนาด้วยอย่างเต็มใจ ได้ถือโอกาสระบุสถานะระหว่างเขากับนพมัลลีเสียตรงนี้ไปด้วย นวมลลิ์เป็นลูกของนพมัลลี เขาก็ต้องรักเอ็นดูเธอเหมือนลูกด้วยเช่นกัน
“เขาเป็นใครน่ะลี” มะลิรู้สึกคุ้นหน้าคมคายตรงหน้า แต่นึกไม่ออกว่าเคยเห็นที่ไหน
หญิงสาวที่อุ้มเด็กหญิงอยู่นิ่งไป เธอมองลูก สลับกับใบหน้าของมัลลิยา สมองของเธอก็แล่นปราด ความโกรธที่มัลลิยาจะชิงลูกไปจากเธอทำให้เธอยอมเลือกโกหกได้โดยไม่ละอาย
“ฉันเคยเจอเขาเมื่อแปดปีก่อนค่ะ เขาต้องไปเรียนต่อหลังจากที่...” นพมัลลีหยุดเล่าไป สายตามองไปยังนวมลลิ์คล้ายบอกกรายๆ ว่าหลังจากเกิดอะไรขึ้น
ร่างของมัลลิยาเริ่มสั่นเทิ้ม เธอรู้ว่านพมัลลีกำลังพูดอะไร
“ไม่ต้องพูดแล้ว ฉันไม่อยากรู้”
“พี่น่าจะรู้ไว้นะคะ มันเป็นเรื่องของ...”
“ไม่! ฉันไม่อยากรู้”
นพมัลลีมองกำปั้นที่ถูกกำไว้แน่น และดวงตาแทบลุกเป็นไฟของมัลลิยาอย่างพอใจ เธอจะทำให้มัลลิยารู้ไว้ว่าเธอไม่ใช่แม่ที่ทิ้งลูกแบบทิ้งๆ ขว้างๆ และหากพวกเขาคิดพามัลลิยาไปจากที่นี่จริงๆ มัลลิยาจะต้องรู้ไว้ว่าเรื่องที่พวกเขาหวังจะสำเร็จได้โดยยาก
“ลูกกับแฟนลูกมาคุยกับแม่หน่อยสิ แม่ไม่เคยรู้จักแฟนลูกเลยนะลี” มะลิยิ้มเป็นมิตรให้กับตุนท์ และมองนพมัลลีวางนวมลลิ์ลงยืนบนพื้นด้วยความเฉยชา อาศัยว่าเดินนำไปยังห้องอาหารของโรงแรม นพมัลลีจึงไม่ทันเห็นดวงตาเย็นชาที่ไม่มีใครอ่านความรู้สึกออก เวลานี้มะลิกำลังคิดอะไรอยู่...ไม่มีใครล่วงรู้ได้
“แปดปีก่อนนี่คืออะไรลี” ตุนท์หัวคิ้วขมวด กระซิบถามเสียงเครียด ใบหน้ายิ้มแย้มของนพมัลลีเสียอีกที่ยังยิ้มนึกสนุก เมื่อเอียงหน้ามากระซิบตอบเขา
“ฉันบอกให้พี่ยาเข้าใจว่าคุณเป็นพ่อของตัวเล็กค่ะ”
“พี่คุณเขาจะไม่รู้เหรอ”
“ไม่มีใครใส่ใจพ่อของลูกฉันหรอกค่ะ ตอนนั้นพวกเขาสนแค่ลูก แม้แต่ฉันที่เป็นแม่ พวกเขายังไม่สนใจเลย”
ตุนท์จับมือที่สั่นไหวเล็กน้อยของนพมัลลี เขาเชื่อว่าเธอแข็งแกร่งพอที่จะไม่ร้องไห้น้อยใจในโชคชะตาตัวเองอีก เธอผ่านเรื่องเหล่านี้มาได้ และจะผ่านไปได้อีก
“ไม่เป็นอะไรใช่ไหม”
ทั้งสามคนเดินเข้ามาในห้องอาหาร ทางเดินเป็นหินอ่อน เหนือเพดานมีชันนาเลียห้อยระย้า บุคคลในที่แห่งนี้เกินครึ่งล้วนเป็นชาวต่างชาติ ทั้งสามเข้าไปจับจองโต๊ะอาหารด้านในชิดหน้าต่างกระจกบานใหญ่ สั่งอาหารง่ายๆ ก่อนที่มะลิจะเริ่มบทสนทนาอย่างเรียบเรื่อย นางเพียงถามว่าตุนท์เป็นใคร มาจากไหน ไม่มีอารมณ์ตื่นเต้นเสียด้วยซ้ำตอนที่รู้ว่าเขาเป็นทายาทของโรงเรียนเอกชนชื่อดัง ตรงกันข้ามเมื่อนางยกน้ำขึ้นจิบ วางแก้วลง ประเด็นใหม่ที่เปิดขึ้นมาต่างหากที่ทำให้นพมัลลีไม่คิดเชื่อหูตัวเอง
“อยากได้นวมลลิ์คืนไหม”
“แม่พูดอะไรคะ”
“ถ้าอยากได้ลูกคืน ก็ไปตรวจดีเอ็นเอ ส่งฟ้องศาล ขอลูกคืนซะ”
“ตัวเล็กไม่ใช่สิ่งของ ถ้าฉันทำอย่างนั้น บ้านของเราจะเป็นยังไง ฉันอยากให้เรื่องมันจบภายในครอบครัว หรือแม่อยากป่าวประกาศให้คนข้างนอกรู้ ว่าข้างในบ้านเรามันเหลวแหลกแค่ไหนเหรอคะ” ถึงเธอจะไม่รู้สึกถึงสายใยภายในครอบครัวนี้มาแต่ต้น แต่เธอก็ไม่คิดทำลายความสัมพันธ์ในครอบครัว หากเธอจะมีโอกาสได้ลูกคืน เธอก็ขอได้เขาคืนมาด้วยวิธีละมุนละม่อม และทำร้ายจิตใจลูกสาวตัวน้อยของเธอให้น้อยที่สุด
นวมลลิ์โตมากับมัลลิยา และคิดว่ามัลลิยาเป็นแม่ เธอไม่เคยลืมความจริงในข้อนี้สักครั้ง
มะลิหัวเราะจนหน้าตาบิดเบี้ยว “เธอไม่เคยรู้สึกเหรอนพมัลลี ว่าคนในบ้านนี้เขาไม่ใช่ครอบครัวของเธอ”
“แม่หมายความว่าอะไร ถึงฉันจะรู้สึกว่าฉันไม่เหมือนลูกของพ่อแม่ แต่ก็แค่คิดว่าพ่อแม่ไม่รักฉัน ฉันเป็นลูกชัง”
“เธอนอกจากลูกชัง ยังไม่ใช่ลูกของฉันด้วยไงนพมัลลี”
การพูดจริงจัง และการมองตาไม่ขยับย้ายหนีไปไหนทำให้นพมัลลีสะอึก หญิงสาวไหล่ลู่ตกราวกับถูกผลักให้ตกลงบนภูเขาอย่างรุนแรง ลงสู่ห้วงอนธกาลที่ไร้เบาะรองนุ่มรับ
“แม่ใจร้ายมากนะคะ ถึงจะเกลียดฉันก็ไม่น่าพูดล้อเล่นอย่างนี้” เสียงที่เคยกร้าวเริ่มเครือ ดวงตาสะท้อนแววน้ำตรงขอบตา ปริ่มเจียนจะไหล แต่เธออดกลั้นไว้ ทนจนคอร้าวระบมไปหมด
มือของตุนท์ที่จับมือเย็นเฉียบของนพมัลลีไว้ใต้โต๊ะส่งกระแสอุ่นโอบล้อมเธอไว้ราวกับเบาะนุ่ม ชายหนุ่มรู้สึกรวดร้าวแทนหญิงสาว ถึงแม้เขาจะไม่ใช่คนในครอบครัวนี้ แต่การที่แม่ที่เลี้ยงตัวเองมาแต่เกิดมาพูดเรื่องอย่างนี้ออกมาได้อย่างหน้าตาเฉย ก็แสดงว่าในใจของมะลิ ไม่มีความรัก ความเมตตาต่อนพมัลลีเลย
“ฉันไม่ได้ล้อเล่น ถ้าไม่มั่นใจก็เอาเลือดฉันไปตรวจ”
“พอเถอะครับ!” ตุนท์ทนความใจดำของมะลิไม่ไหวอีกต่อไป แค่ครึ่งชั่วโมงที่อยู่ตรงนี้ เขาก็สะอิดสะเอียนกับความไร้หัวใจของคนเหล่านี้เต็มทน พวกเขาทำเหมือนนพมัลลีไม่ใช่คน “การกระทำของคุณต่อให้เป็นแม่จริง ก็เชื่อได้ว่าไม่มีความรักอะไรให้ลูกเลย” เสียงเข้มลดลงเพราะไม่อยากให้ใครหันมาสนใจ “พวกเราหาทางเอาตัวเล็กคืนมาได้ ไม่รบกวนคุณหรอกครับ”
ตุนท์ฉุดร่างที่นั่งนิ่งให้ลุกขึ้น เขาโอบนพมัลลีไว้อย่างหวงแหน ขณะที่พากันหันหลังจากมา มะลิพูดขึ้นมาทิ้งท้ายให้
“ฉันหวังว่าคุณจะไม่ทำร้ายนพมัลลีด้วยสันดานเสียๆ ของพวกผู้ชายนะคะ”
ชายหนุ่มหันกลับไปมองมะลิอย่างไม่เข้าใจนัก แต่เขาก็พร้อมรับปาก ต่อให้คนๆ นั้นจะไม่สมควรได้รับฟัง
“ผมรู้จักตัวผมดี มนุษย์เรามันจะอยู่เหนือสัตว์ก็เพราะรู้จักความยับยั้งชั่งใจ มีสติ ผมยังอยากเป็นมนุษย์อยู่นะครับ”
“จำคำพูดคุณไว้แล้วกัน”
นพมัลลีก้มหน้าเดินออกมา มือเกี่ยวแขนตุนท์ไว้เพื่อพยุงกายไม่ให้ล้มหมดแรงกับพื้นอย่างดูไม่ได้ ในหัวยังคงได้ยินคำพูดของมารดาที่หลุดออกมาราวกับท่านเป็นคนแปลกหน้าสำหรับเธอ
‘เธอนอกจากลูกชัง ยังไม่ใช่ลูกของฉันด้วยไงนพมัลลี’
โลกใบนี้ยังรังเกียจเธอไม่มากพอหรือไงกัน
“ผมจะไม่ทิ้งคุณไปไหน ผมยังอยู่ตรงนี้”
เสียงของตุนท์ดึงนพมัลลีให้กลับมาสู้ความรู้สึกปกติ หญิงสาวเหลือบตามองเขา พยายามจะยิ้มออกมาให้ได้ แต่มันคงตลกจนไม่น่ามองเพราะเขาถึงกับดึงเธอไปกอดไว้แน่น ลูบศีรษะเธอไปมาพร้อมพูดเสียงห้าวแนบหูเธอ
“ร้องออกมาเถอะ ผมจะกอดคุณไว้เอง”
นพมัลลีเคยคิดว่ามนุษย์เราหากจะโชคร้ายสักครั้ง ช่วงเวลานั้นจะมีปัญหาเข้ามาซ้ำเติมชีวิตได้อีกมากสักเท่าไหร่กันเชียว แต่หากเธอคิดว่าจะไม่มีเรื่องร้ายแรงอะไรมากกว่านี้เข้ามาแล้ว หญิงสาวเริ่มคิดว่าเธอคิดผิดมหันต์ ภาพผู้ชายตัวโตที่กำลังแตะมืออยู่กับนวมลลิ์กระตุกหัวใจคนมองอย่างรุนแรง และมันทำให้เธอใกล้ขาดสติเต็มที
“อย่ายุ่งกับเขานะ” นพมัลลีเดินแกมวิ่งไปอุ้มนวมลลิ์ขึ้นมา ดวงตากร้าว ปากเธอแทบจะขู่ฟ่อใส่วากูรอย่างนึกรังเกียจ “ออกไปให้ไกลเลย”
“ฉันจะห่างจากละ...”
เพียะ! นพมัลลีฟาดฝ่ามือไปกระทบซีกหน้าของวากูรอย่างแรง หญิงสาวกัดฟันแน่น เธอมั่นใจว่าสิ่งที่วากูรจะหลุดพูดออกมาคือคำต้องห้ามที่เธอไม่อนุญาตให้วากูรพูดออกมาตลอดชีวิตของเขา
“ต้องเป็นไอ้หมอนั่นใช่ไหม” วากูรชี้นิ้วไปที่หน้าตุนท์อย่างหยาบคาย “ฉันได้ยินทุกอย่างที่ห้องอาหาร ฉันทำให้เธอได้ เราสองคนมีสิทธิ์ที่จะทำ แต่หมอนั่นมันเป็นใครมาจากไหน จะมามีสิทธิ์อะไรในตัวเด็กคนนี้” เขาผุดลุกออกจากที่นั่งที่อยู่ติดกับโต๊ะนพมัลลีออกมา ไม่รู้ว่าตอนนั้นดีใจ หรือเสียใจ ที่นพมัลลีเกลียดเขามากขนาดนี้
จากอายุของเด็กหญิง และเรื่องราวนับจากเกิดเรื่องราวในวันนั้น เขามั่นใจเต็มร้อยโดยไต้องตรวจดีเอ็นเอว่าเด็กคนนี้เป็นลูกของเขาเอง เขารู้จักนพมัลลีดีในระดับหนึ่งว่าผู้หญิงอย่างนพมัลลีไม่ได้มั่วกับใคร และไม่ได้อยากให้ใครมาเข้าหานัก
เมื่อเขามองหน้าตุนท์ที่ได้จับมือ โอบกอดนพมัลลีไว้ เขาถึงหงุดหงิด วันนั้นหลังที่เขาได้เงินชนะพนันเพื่อนมา เขาก็ไม่พบนพมัลลีอีก จากแรกเริ่มที่คิดว่าก็แค่ผู้หญิงคนหนึ่งหายไป มันคงสร้างความรู้สึกแย่ๆ ให้เขาไม่นาน ทุกอย่างตรงกันข้าม เขาเริ่มคิดว่ามีบางอย่างผิดปกติในความรู้สึกของตัวเอง เขาเริ่มคิดถึงนพมัลลีมากขึ้น และรู้สึกผิดกับสิ่งที่เคยทำไว้ ถึงเขาจะคบใครอื่นหลังจากนั้น แต่ความทรงจำของเขา ความรู้สึกของเขาก็ยังเอาแต่คิดถึงผู้หญิงตรงหน้าคนนี้ที่ทิ้งบางสิ่งติดค้างในใจเขาไว้ และสิ่งนั้นก็คือความลับที่เธอปกปิดมาได้นานถึงเจ็ดปี
...ลูกของเขา
“ยกเว้นว่าเราจะมาตกลงกันดีๆ ไม่อย่างนั้นล่ะก็...”
“เอาลูกฉันคืนมา” มัลลิยาแทบสิ้นสติ เธอคลาดสายตาจากลูกไปไม่กี่วินาทีเพื่อมองดูว่าแม่กับนพมัลลีคุยอะไรกันบ้าง หันมาอีกทีไม่รู้ลูกสาวหายไปไหน ทำไมถึงมาอยู่กับคนแปลกหน้าอีกคนได้ แต่เธอคุ้นๆ ว่าเคยเห็นผู้ชายคนนี้มาก่อน
“พูดอะไรผิดหรือเปล่าครับ” วากูรไม่ยอมง่ายๆ
“เอาตัวเล็กไปค่ะ ฉันจะกลับแล้ว” นพมัลลีส่งลูกสาวที่เธออุ้มไว้คืนให้มัลลิยา หน้าตาของเด็กหญิงแสดงความเสียดายที่ได้เจอน้าสาวน้อย จนเธอเองก็เสียใจไม่ต่างกัน นี่ไม่ใช่สถานการณ์ปกติที่เธอเคยเผชิญ ตอนนี้เธอกับมัลลิยากำลังทำสงคราม และตั้งป้อมระแวงใส่กันอยู่ เธอไม่ไว้ใจพอให้มัลลิยาพานวมลลิ์หนีไป และยังไม่คิดบุ่มบ่ามช่วงชิงนวมลลิ์คืนมา เธอห่วงจิตใจของลูกมากที่สุด ลูกไม่ควรตกอยู่ใจกลางปัญหาในครอบครัว เหมือนที่เธอเคยเผชิญ
นวมลลิ์ไม่ควรรู้สึกว่าถูกดึงไปปัญหาตรงนั้นที ตรงนี้ที เด็กหญิงควรรู้แค่ว่าใครๆ ก็รักเธอจะดีกว่า
“มีอะไรก็ไปคุยกัน” นพมัลลีหันไปเจรจากับวากูรอย่างใจเย็นที่สุด ในใจเธอนับหนึ่งถึงร้อยวนเวียนไปมา สายตามองตามร่างมัลลิยาที่หมุนกายกลับเข้าไปในโรงแรม มือจูงนวมลลิ์จากไปอย่างโล่งใจ
“แค่สองคนนะครับ” วากูรปรายตามองตุนท์ จงใจกีดกันเขาออกจากวงสนทนา แต่กลายเป็นว่าสิ่งที่นพมัลลีแสดงออกมาทำเขาโกรธจนพูดไม่ออก
มือบางแตะแก้มไร้ไรหนวดของตุนท์ด้วยรอยยิ้มบางเบา ดวงตาที่ช้ำจากการร้องไห้พยายามส่งรอยยิ้มมาให้
“เชื่อใจฉันนะคะ”
“ผมเชื่อคุณเสมอ” ตุนท์จับมือขาวมาจูบเบาๆ แล้วปล่อย “ให้ผมขับรถตามคุณไปห่างๆ ไหม เขาไว้ใจไม่ได้หรอกนะ”
“รอฉันที่บ้านนะคะ แล้วฉันจะกลับไปหาคุณ”
ตุนท์พยักหน้ารับ ดวงตาเขาสื่อออกมาชัดโดยไม่ต้องเอ่ยคำใดออกมาว่า...เขาเชื่อในนพมัลลี
“ฉันตามเธอมาตลอด อยากรู้ว่าเธอเป็นยังไงบ้าง ไม่คิดเลยว่าเธอจะกล้าปิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้”
นพมัลลีไม่สะทกสะท้านกับการค่อนแคะที่วากูรว่ามา สิ่งที่วากูรเคยทำกับเธอไว้ในอดีต อย่างไรผ่านไปสิบปีเธอก็ไม่ลืม
“แล้วไงคะ”
“แล้วไงเหรอ ฉันเป็นพ่อเด็กน่ะสิ” วากูรบรรยายออกมาไม่ถูกนักหรอกว่าตอนที่รู้ว่าตัวเองมีลูกนั้น ในใจเขาเต้นโครมครามแค่ไหน ทีแรกเขาก็ไม่มั่นใจ แต่ตอนที่เขาอุ้มเด็กหญิง แล้วแกล้งจะหลุดพูดความจริงออกไป นพมัลลีถึงกับร้อนตัวรับไม่ได้ มันค่อนข้างเหนือความคาดหมาย และทำให้เขายอมรับโดยไม่ต้องเห็นดีเอ็นเอ “เด็กคนนั้นชื่ออะไร”
“คุณจะรู้ไปทำไม”
“ไม่อย่างนั้นฉันจะไปแนะนำตัวกับเขา”
คนขับรถพูดได้ไม่ขาดจังหวะ ตรงข้ามกับคนฟังที่หันขวับมามองคอแทบเคล็ด ในใจก่นด่าคนที่กำลังข่มขู่เธอกรายๆ
“นวมลลิ์ ฉันเรียกเขาว่าตัวเล็ก”
“ชื่อเพราะดีนะ แล้วก็น่ารักมากด้วย” วากูรยิ้มพึงพอใจ ดวงตาฉายรอยเศร้า และเหงา ยามนึกถึงอนาคตอันใกล้ที่เขากำลังจะแต่งงาน จู่ๆ เขาก็ไม่รู้สึกอยากเข้าพิธีขึ้นมา
“ฉันมาพบเขาอีกได้ไหม”
นพมัลลีประหลาดใจที่รถของวากูรมาจอดหน้าโรงเรียนพิชญ์ปรีชา เขาเพียงแค่มาส่งเธอ โดยไม่ได้ทำอะไรให้เธอลำบากใจที่ต้องอยู่กับเขาสองต่อสอง หญิงสาวกะพริบตางุนงง มาได้สติเพราะคำขอของเขา
“คงไม่ได้หรอกค่ะ เพราะตัวเล็กก็ไม่รู้ว่าฉันเป็นแม่ของแก ยังไงคุณก็อย่าไปทำให้ตัวเล็กสับสนเพิ่มเลยจะดีกว่า”
“ตอนนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง เธอคงลำบากมากใช่ไหม”
“ไม่สำคัญว่าฉันผ่านอะไรมาบ้าง วันนี้ตอนนี้ ฉันไม่เป็นอะไรแล้ว เท่านั้นก็พอ” นพมัลลีกำลังตัดสินใจลงจากรถ วากูรรีบล็อกประตูรถไว้ก่อนอย่างรวดเร็ว
“ขอเบอร์โทรศัพท์เธอหน่อยสิ”
“ไม่ค่ะ”
“ฉันจะกลับรถ แล้วไปบอกความจริงกับตัวเล็กเดี๋ยวนี้”
คนถูกขู่อีกรอบสงบสติตัวเองไม่ให้ฟาดมือไปบนหน้าวากูรอีกสักหลายๆ ที ผู้ชายคนนี้อดีตเลวร้ายอย่างไรก็ยังเลวร้ายอย่างนั้นไม่เปลี่ยน
หมายเลขสิบตัวบอกออกไปอย่างจำยอม ปากของเธอขมุบขมิบด่าอย่างขัดใจ เมื่อวากูรตรวจสอบด้วยการโทรเข้ามาก่อน เมื่อเห็นว่าโทรศัพท์ของเธอมีเบอร์ของเขาขึ้นมา หน้าเขาก็ยิ่งบานเป็นจานดาวเทียม
“เอาล่ะ วันนี้พอแค่นี้ก่อนก็ได้ ไว้ค่อยมาก่อกวนใหม่”
ประตูรถปลดล็อกเสร็จ นพมัลลีรีบถลาร่างลงจากรถราวกับจะเหาะออกไป ปากคว่ำเป็นก้นจาน หงุดหงิดเหลือจะกล่าว
“ตอนนั้นเธอรู้ว่าฉันทำไม่ดีกับเธอไว้ลับหลังใช่ไหม เธอถึงหนีไป”
“ไม่สำคัญอีกแล้วค่ะ”
“ฉันขอโทษ ตอนนั้นฉันมันโง่เอง”
ปั้ง! นพมัลลีกระแทกประตูรถยุโรปคันโตปิดเสียงดังลั่น ในใจนึกก่นด่าตัวเองเช่นกัน...ตอนนั้นเธอก็โง่เหมือนกัน
.........................................
คุณ ร้อยวจี ยังไม่มีใครเลือดตกยางออกเนอะ แต่ที่ผ่านมาก็เน้นทำร้ายจิตใจกันไปไม่น้อยเลย เขียนไปในใจก็ร้องเป็นเพลง ดราม่าน้อยกว่านี้ได้ไหม ฮา หาอารมณ์มาเบรกไม่ลงกันเลย
คุณ konhin ตอนนี้เจอแม่เพิ่มอีกคนนะคะ มาคู่กับวากูรเลย ปมตรงนี้จะคลายยังไงลองเดาดูนะคะ ตัวมะลิจะทำยังไงต่อไป
คุณ กาซะลองพลัดถิ่น ตอนนั้นก็ลังเลว่าจะเอาอย่างนั้นจริงไหม มันจะเรียลไปไหม แต่ก็เขียนไปแล้ว เรื่องนี้มันเลยดราม่ามาตั้งแต่บทนำนะคะ อยากให้มันเป็นกระจกสะท้อน รออ่านว่าเรื่องนี้จะจบยังไงนะคะ
คุณ kaelek ถ้าเรื่องนี้ขาดตุนท์ไปสักคน นิยายจะเพิ่มความดราม่ามาแบบล้วนๆ เลยค่ะ ฮา อยากเจอคนแบบตุนท์บ้างเนอะ เป็นตัวละครที่สวนทางกับตัวอื่นดี
คุณ OhLaLa นพยาเป็นตัวละครที่ทำให้เกิดเรื่องนี้จริงๆ ค่ะ ทุกปมเริ่มมาจากเขาเลย แล้วลูกก็รับผลไป ไม่ใช่แค่ลูก หลานด้วย ให้ตุนท์ไว้เป็นที่รักของทุกคนค่ะ ฮา
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอให้มีความสุขในวันอาทิตย์ค่า ^_^
ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 8 มี.ค. 2558, 07:02:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 8 มี.ค. 2558, 07:02:02 น.
จำนวนการเข้าชม : 1576
<< บทที่ 13 : พ่อแม่ | บทที่ 15 : อ่อย >> |
ร้อยวจี 8 มี.ค. 2558, 07:28:02 น.
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกหนักหัวใจไปกับนพมัลลีค่ะ แต่สนุกดีไปอีกแบบ ใจชอบแบบ sweet magic มากกว่าเวลาอ่านแล้วอิ่มตามไปด้วย
อ่านตอนนี้แล้วรู้สึกหนักหัวใจไปกับนพมัลลีค่ะ แต่สนุกดีไปอีกแบบ ใจชอบแบบ sweet magic มากกว่าเวลาอ่านแล้วอิ่มตามไปด้วย
konhin 8 มี.ค. 2558, 08:07:48 น.
เอ่อ บ้านนี้ นึกว่าเลวแค่พ่อ ที่ไหนได้ คนแม่ก็ไม่ต่าง
เอ่อ บ้านนี้ นึกว่าเลวแค่พ่อ ที่ไหนได้ คนแม่ก็ไม่ต่าง
violette 8 มี.ค. 2558, 20:22:22 น.
กรรม คิดว่าตัวแม่จะคิดได้ ที่แท้จะมาซ้ำเติม เฮ่อ แย่งตัวเล็กมาให้ได้นะลี
กรรม คิดว่าตัวแม่จะคิดได้ ที่แท้จะมาซ้ำเติม เฮ่อ แย่งตัวเล็กมาให้ได้นะลี