บทเรียน (รัก) นอกตำรา
นพมัลลี นักศึกษาฝึกสอนที่จบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน

นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก

แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้

มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่

Tags: นพมัลลี ตุนท์ คมิก พิชญ์ปรีชา

ตอน: บทที่ 18 : พ่อลูก

บทที่ 18

กลางคืนเย็นย่ำ บรรยากาศเงียบเหงาที่มีเพียงเสียงหรีดหริ่งเรไรทำให้ชายกลางคนที่นั่งรับประทานข้าวอยู่อย่างเดียวดายเหม่อมองรอบบ้าน มือวางช้อนที่เพิ่งตักข้าวไปไม่ถึงครึ่งลงด้วยหมดในความอยาก

บ้านที่เหลือเพียงเขา มันคือความว่างเปล่าที่นพยาเพิ่งเคยประสบ การไม่มีใครไว้คุย ไว้ไถ่ถามว่าวันนี้เป็นอย่างไรบ้างมันเป็นอย่างนี้ ไม่มีลูกสาวลูกชังไว้ให้คอยต่อว่า ทั้งที่ปกติเขาไม่เคยจะนึกถึงนพมัลลีมาก่อน

นพยาลุกขึ้นเดินเชื่องช้าเพื่อจะขึ้นไปด้านบน ผ่านห้องเล็กใต้บันไดที่เขาเคยขังนพมัลลีไว้ไม่ว่าจะด้วยนพมัลลีเคยทำผิด หรือเป็นเขาหาคนมารองรับอารมณ์ที่หาทางระบายใส่ไม่ได้

แรกๆ นพมัลลีร้องไห้ เคาะประตูตลอดเวลาเพื่อจะขอให้เขาให้อภัย และปล่อยเธอออกมา แต่หลังจากที่นพมัลลีเรียนรู้ว่าเขาจะไม่มีวันปล่อยเธอออกมาจนกว่าที่อารมณ์เขาจะสงบลงเอง เพียงไม่กี่ครั้งนพมัลลีก็ไม่ร้องโวยวาย เคาะประตู หรือแสดงออกถึงการต่อต้านอีก จนกลายเป็นว่าแม้แต่น้ำตานพมัลลีก็ไม่ปล่อยออกมาให้เขาเห็น ยกเว้นเรื่องของนวมลลิ์ ที่เขาจะแอบเห็นนพมัลลีร้องไห้อยู่บ่อยครั้ง

หญิงสาวเฉยเมยกับทุกคนในบ้านนี้ อยู่ก็เหมือนไม่รู้สึกใดๆ เขาเองก็ไม่เคยใส่ใจว่านพมัลลีจะกลับบ้านเวลาไหน เรียนเป็นอย่างไร นพมัลลีหายออกไปจากบ้านเป็นปี เขาก็แค่ไปที่โรงเรียนจนรู้ว่าเด็กสาวในวันนั้นหายไปเฉยๆ เขาคิดว่านพมัลลีกลายเป็นเด็กใจแตก และเมื่อเห็นว่ามีนวมลลิ์เขาก็เชื่อว่านพมัลลีต้องไม่ใช่ลูกเขา เขาไม่มีลูกที่ไร้หัวคิดอย่างนี้

นพยาเดินเข้ามาในห้องเก็บของใต้บันไดที่มืดสนิท เวลาจะทำให้ห้องสว่างต้องเปิดจากสวิตซ์ด้านนอก ความมืดในห้องจำเป็นต้องปรับสายตาอยู่พักใหญ่กว่าจะมองเห็น นพมยายื่นมือออกไปคลำทาง พบลังสูง และมือของเขากระทบกับวัตถุบางอย่างคล้ายแผ่นกระดาษจนหล่นร่วงลงบนพื้น ด้วยความเอะใจ นพยาจึงกลับมาเปิดไฟหน้าห้อง เพียงแค่กลับเข้าไปสิ่งที่กองอยู่บนพื้นก็ทำให้เขาร่างชาไปทั้งร่าง

การ์ดศิลปะทำมือหลายใบร่วงกองระเกะระกะอยู่บนพื้น ภาพความทรงจำค่อยๆ ไหลเข้ามา



เด็กหญิงวัยสามขวบครึ่งเดินเตาะแตะมาวางการ์ดที่ทำขึ้นเองให้นพยาในมือ ยังมีรอยสีเทียนเปรอะข้างแก้มให้นพยาได้เห็น

‘นี่อะไรลี’

‘วันนี้วันพ่อ ลีทำการ์ดมาให้พ่อค่ะ’ นพมัลลีตอบอย่างยิ้มแย้ม ดวงตาเป็นประกายคาดหวังว่าพ่อจะมีความสุขกับการ์ดที่ตนทำขึ้น

‘ขอบใจนะ’

นพยายังไม่ทันเปิดการ์ดของลูกสาวคนเล็ก การ์ดอีกใบจากเด็กหญิงวัยประถมต้นก็ยื่นมาให้บ้าง การ์ดที่ซื้อตามร้านหนังสือ มีเสียงเพลงให้ความน่าสนใจเสียจนเขาต้องวางการ์ดสีเทียนในมือลงบนโต๊ะ ไม่ได้สังเกตใบหน้าของนพมัลลีที่ยืนรอคอยว่าเมื่อไหร่จะถึงทีที่พ่อจะดูการ์ดของตัวเองอีก แต่รอกระทั่งพ่อวางการ์ดในมือลง ท่านก็ไม่หยิบการ์ดที่วางก่อนหน้าขึ้นมาอ่าน นพมัลลีจากไปด้วยอาการคอตก หลายปีจากนั้นเด็กหญิงก็ยังทำมาให้ แต่ไม่มีการคุยบอกอะไรอีกแล้ว เขาจะพบเพียงการ์ดมาวางในตอนเช้าของวันพ่อ บนโต๊ะอาหารตรงตำแหน่งที่นั่งของเขา หรือจะมะลิที่ได้รับการ์ดทุกวันแม่ แต่น้อยครั้งนักที่พวกเขาจะชื่นชมให้นพมัลลีรู้สึกดี



จนกระทั่งนพมัลลีโตขึ้น เมื่อเธอเห็นว่าการ์ดพวกนี้สุดท้ายจะลงเอยด้วยการไม่มีใครเหลียวแล เธอก็เลิกใส่ใจ เขาเองก็ลืมเลือนไปกระทั่งกลับมาพบมันอีกครั้งในห้องเก็บของวันนี้

นพยายอบตัวลงเก็บการ์ดวันพ่อวันแม่ฝีมือนพมัลลีที่มัดรวมกันด้วยหนังยางอย่างไม่ใส่ใจขึ้นมา กระดาษสีเคยขาวกลายสภาพเป็นสีเหลือง กระดาษกรอบ คนแก่วัยหยิบมาเปิดอ่านด้วยมือสั่นเทา ข้อความจากเด็กอายุน้อยๆ สื่อถึงความจริงใจมากมาย

‘วันนี้วันพ่อ ขอให้พ่ออยู่กับลีไปนานๆ นะคะ ลีจะเป็นเด็กดี ลีจะตั้งใจเรียน ลีรักพ่อนะคะ’

จากข้อความยาวเหยียดก็เริ่มหดสั้นลง โดยเฉพาะหลังๆ จนฉบับสุดท้ายที่นพมัลลีส่งให้เขาตอนอายุสิบขวบ ทั้งการ์ดมีข้อความแค่ว่า

‘ถึง พ่อ...’

รูปวาดบนการ์ดบ่งบอกถึงพัฒนาการคนทำที่ก้าวหน้าไปอย่างรวดเร็ว จากสีเทียนมาสีชอล์ก สีน้ำ เส้นของภาพคมชัด และสวยขึ้น นพยาเสียดายที่กว่าเขาจะได้มาดูจริงจังก็ตอนที่ไม่ได้รับการ์ดสักใบจากลูกมานานสิบกว่าปีแล้ว การ์ดพวกนี้นพมัลลีคงแอบเก็บรวบรวมไว้เอง เพราะเขาแทบไม่ใส่ใจที่จะเก็บเลย แม้แต่ของมัลลิยาเขาก็ทำหายไปนานแล้ว จะว่าไปพอนพมัลลีไม่ให้การ์ดเขา มัลลิยาก็หลงลืมที่จะให้ บางทีเพราะมัลลิยาเห็นนพมัลลีให้จึงคิดให้ตาม

มัลลิยาเป็นลูกเขาทั้งคนทำไมเขาจะรู้ว่าลึกๆ ของลูกสาวคนโตจะไม่ชอบนพมัลลีเอาเสียเลย ชิงดีชิงเด่น และทำให้นพมัลลีถูกลืมเสมอ สมัยก่อนเขาเองก็เป็นส่วนหนึ่งที่เห็นดีเห็นงาม สนับสนุนให้มัลลิยาทำอย่างนั้น

ในเวลาที่ไม่เหลือใครในบ้าน นพยากลับคิดถึงบุคคลเหล่านั้นจับใจ โทรศัพท์พกพาของเขาดังขึ้น นพยากำลังดีใจคิดว่าอย่างน้อยๆ ไม่มัลลิยาที่คิดถึงเขา หรือจะเป็นมะลิที่ใจอ่อน ยกโทษให้ ใครสักคน แต่ไม่ใช่ชื่อที่ขึ้นแสดงอยู่ในตอนนี้แน่ คนที่เขาคิดว่าจะโทรมาเป็นลำดับสุดท้าย...นพมัลลี

“แกเดือดร้อนอะไรถึงโทรมา”

“ฉันไม่เดือดร้อนจะโทรหาพ่อไม่ได้เหรอคะ”

“เด็กยอกย้อน” นพยาเข่นเขี้ยวกับวาจาแข็งๆ ที่นพมัลลีใช้กับเขามาตลอด จากที่เคยแทนตัวเองว่าลีก็เปลี่ยนแปลงเป็นฉัน ไม่มีแววออดอ้อน หรือขอความเห็นใจอีก

“ดึกแล้วทำไมพ่อยังไม่นอนอีกล่ะคะ”

มือหนาที่กำลังจับการ์ดรูปพลิกไปมาหยุดลง ถึงจะเพิ่งสองทุ่ม แต่ในเวลาปกติเขาจะเข้านอนแล้ว แสดงว่านพมัลลียังจำเวลานอนเขาได้

“ฉันต้องตื่นมารับโทรศัพท์แกน่ะสิ” คนปากแข็งไม่มีทางสารภาพว่ากำลังเหงาเด็ดขาด

“แม่ พี่ หลานมาอยู่ที่นี่กันหมด ฉันก็กลัวว่าพ่อจะเหงา”

“ฉันไม่เคยเหงา”

“ฉันจะลองคุยกับพี่ยา ไม่ให้เขาย้ายไปต่างประเทศนะคะ ตัวเล็กเองก็ไม่ได้อยากไปอยู่ที่อื่น”

นพยากัดปาก เขารู้ว่านพมัลลีกำลังห่วงที่เขาต้องอยู่บ้านคนเดียว เธอจะมาห่วงทำไมกัน ขนาดมัลลิยายังไม่คิดติดต่อกลับมาหาเขาเลย แล้วเธอที่เป็นลูกชัง ยังไม่รู้ตัวอีกเหรอว่าไม่มีใครในบ้านรักหล่อนสักคน หรือต้องการมาตอกย้ำเขา

“พวกเขาอยากไปไหนแกจะไปยุ่งทำไม”

“...”

ความเงียบทำให้นพยารู้ตัวว่าพลาด เขาคิดน้อยไปจนลืมหรืออย่างไรว่านวมลลิ์คือลูกจริงๆ ของใครกันแน่

“แกไม่สงสารยามันบ้างเหรอ มันเลี้ยงลูกแกตั้งแต่แบเบาะแล้ว...”

“แล้วพ่อไม่สงสารฉันเลยเหรอคะ ฉันตั้งท้องมาเก้าเดือน คลอดตัวเล็กออกมา ชีวิตของฉันไม่เคยง่าย แต่เป็นพ่อที่มาทำให้ชีวิตของฉันมันยากขึ้น อยากกอดลูก แต่ก็กอดได้แค่ฐานะของน้า อยากจะไปบอกแกว่าฉันเป็นแม่ แต่ฉันก็ไม่อยากทำให้ลูกสับสน...พ่อคิดว่าฉันไม่น่าสงสารจริงๆ เหรอคะ”

นพยาสะอึก ในช่วงที่เขากำลังไม่เหลือใคร เขาเพิ่งรู้ตัวว่ามีสายใยบางๆ เส้นหนึ่งที่เขาไม่เคยใส่ใจ และมองผ่านมาเสมอยังคงอยู่ที่เดิม

“มันเป็นเวรเป็นกรรมของแกเอง”

“พ่อเกลียดอะไรฉันนักหนาเหรอคะ ทำไมไม่เคยเข้าข้างฉันบ้าง ถึงจะไม่เข้าข้าง แต่แค่พ่อไม่ซ้ำเติมฉันเพิ่ม ฉันก็ขอบคุณมากแล้ว แต่นี่พ่อไม่เคยไม่ซ้ำเติม ไม่เคยทำให้ฉันรู้สึกมีความสุขในบ้านหลังนั้น ตัวเล็กคือชีวิตของฉัน เขาคือความหวังที่จะทำให้ฉันมีความสุขเพียงหนึ่งเดียว พ่อก็มาพรากแกไป พ่อไม่เคยเห็นใจฉันเลย”

เสียงสะอื้นไห้ที่เขาไม่เคยใส่ใจกำลังกรีดใจเขาทีละนิด ทุกครั้งที่เขาเห็นหน้านพมัลลี เขามักเห็นใบหน้าของลวิณตราซ้อนทับเสมอ แม้แต่ตอนตายลวิณตราก็คงไม่รู้ว่าเคยถูกเขาทำไม่ดีไว้

นพยาหลับตา บังคับให้เสียงของตัวเองมั่นคงมากที่สุด “ฉันไม่ใช่พ่อของแก...ไม่เคยเป็น”

“พ่อเกลียดฉันมากเลยใช่ไหมคะ ทั้งพ่อทั้งแม่ถึงได้...”

ดวงตาที่ฉายความเหนื่อยล้าลืมโพลงขึ้น เขาเพิ่งรู้ว่ามะลิได้บอกความจริงนี้ออกไปแล้ว คนที่มีความผิดทับถมตัวหัวเราะหยันกับชีวิตของตัวเอง การที่มะลิตัดสินใจทำอย่างนั้นก็เท่ากับว่าตัดสินใจเด็ดขาดที่จะไม่เหลือสัมพันธ์ใดๆ ระหว่างกันอีก

“มันคือความจริง แกจะได้เลิกโง่ แล้วคิดว่าทำไมพ่อแม่ไม่รัก ก็เพราะว่าฉันไม่ใช่พ่อไม่ใช่แม่ของแกไง เราก็แค่ถูกขอให้เลี้ยงแก”

นานหลายอึดใจกว่าที่นพมัลลีจะหาเสียงตัวเองเจอ นพยาทึ่งไม่น้อยที่พอเป็นเรื่องสำคัญนี้ นพมัลลีดูมีสติครบถ้วน ใจเย็น และเลิกปล่อยเสียงสะอื้นให้เขาได้ยินอีก

“แล้วใครคือพ่อแม่จริงๆ ของฉันคะ” น้ำเสียงของนพมัลลีติดประชดประชัน

“ไปถามลุงของแกสิ”



ชีวิตนักศึกษาปีสุดท้ายของนพมัลลีกำลังจะสิ้นสุด หญิงสาวสวมชุดนักศึกษาในวันสอบวันสุดท้ายของเด็กนักเรียน ถึงจะเป็นเทอมต้น แต่เธอก็ภูมิใจลึกๆ ที่นักเรียนในห้องประจำชั้นของเธอมีนักเรียนหลายคนเริ่มได้ที่เรียนบ้างแล้ว จะว่าไปหากเธอมีโอกาสได้เรียนต่อ ไม่โง่ให้วากูรหลอก เธออาจกำลังทำงานอยู่ที่ไหนสักที่ มีเพื่อนมหาวิทยาลัยมากมาย ไม่ใช่ต้องเรียนไปทำงานไปอย่างที่แล้วมา

หลังเก็บข้อสอบและส่งให้กองกลางตรวจ นพมัลลีจึงเดินเคียงกับตุนท์กลับมายังห้องประจำชั้น เสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กนักเรียนที่ยังไม่ยอมกลับบ้านดังตั้งแต่พวกเขาเพิ่งถึงขั้นบันไดของชั้นนี้

“ช่วงนี้คุณดูเศร้าๆ ซึมๆ นะลี เรื่องที่บ้านใช่ไหม”

นพมัลลีคิดว่าตัวเองพยายามเก็บซ่อนอาการตัวเองไว้แนบเนียนด้วยการยิ้มให้บ่อยขึ้น แต่ดูท่าตุนท์จะฉลาดกว่าเธอถึงได้ดูออก จากวันนั้นที่คุยกับพ่อระยะเวลาผ่านมาสองสัปดาห์แล้ว เธอไม่ได้ไปคุยกับลุงอย่างที่พ่อชี้โพรงมาให้ เธอยังไม่พร้อมรับรู้ความจริงในตอนนี้นัก และเธอไม่ได้รั้งนวมลลิ์ไว้ข้างกายอย่างที่มะลิสั่งไว้ เธอยังจำหน้าไม่เชื่อสายของมะลิตอนที่เธออุ้มนวมลลิ์ที่หลับสนิทจากการเที่ยวเล่นจนเหนื่อยไปคืนที่ห้องพักได้อยู่เลย

อีกเรื่องก็คือ เธอสนทนากับมัลลิยาแล้ว...สูญเปล่า พี่สาวยังดึงดันที่จะเดินทางไปในอาทิตย์หน้า โดยไม่สนคำทักท้วง หรือความในใจของนวมลลิ์ที่อยากจะอยู่ที่นี่มากกว่า

“ปัญหาเดิมๆ น่ะค่ะ แก้ไม่หายสักที”

“ผมบอกแล้วว่าคุณต้องได้ตัวเล็กคืน ผมจะช่วยคุณเอง” ตุนท์บีบมืออุ่นกระชับไว้มั่น เขายังไม่ลืมปรารถนาสูงสุดของนพมัลลี ถ้านวมลลิ์คือรอยยิ้มสุดท้ายในชีวิตของนพมัลลี เขาจะปล่อยให้รอยยิ้มนั้นลาลับไปจากโลกนี้ได้อย่างไร

“ครูลีมาแล้ว” เสียงของนยฎาดังขึ้นหน้าห้อง ก่อนที่เจ้าหล่อนจะวิ่งผลุบกลับเข้าไปด้านใน สองครูมองตากันอย่างฉงน ไม่รู้ว่าวันนี้พวกนักเรียนตัวแสบของพวกเขาจะก่อเรื่องอะไรอีก

กระทั่งมาถึงในห้อง ภาพนักเรียนนั่งพับเพียบเรียบร้อยบนพื้นกระเบื้องห้อง มีบลินด์หันมายิ้มให้ ในมือถือกระดาษครึ่งเอสี่ และเริ่มร้องนำ

“ปาเจรา จริยาโหนติ...”

บทสวดมนต์บูชาครูที่นพมัลลีไม่ได้ยินจากเด็กห้องนี้ตอนวันไหว้ครูกำลังดังก้องไปทั้งห้อง ตุนท์จูงเธอไปยืนกลางห้อง แล้วปล่อยมือ ใบหน้าอิ่มเอิบภูมิใจยามที่ไล่สบสายตานักเรียนทีละคนที่บางคนถึงกับก้มหน้าเขินที่ต้องมาทำอะไรอย่างนี้ อาทิ คมิก เป็นต้น

หัวใจที่เต้นจังหวะหน่วงมาตลอดค่อยๆ สูบฉีดตื้นตัน นพมัลลียิ้มประทับใจ ปากของเธอเหยียดออกกว้าง ถ้ามันไปฉีกถึงหูได้เธอคงทำไปแล้ว กระทั่งนักเรียนในห้องสวดมนต์จนจบ พวกเขาค่อยๆ ก้มกราบลงอย่างพร้อมเพรียง เมื่อเงยหน้าขึ้นก็ผุดลุกมารุมล้อมครูทั้งสองพร้อมดอกกุหลาบในมือ

“ไม่เห็นต้องสิ้นเปลืองเลย”

“ไม่หรอกครับครู” บลินด์อ้าแขนกว้าง และตั้งท่าจะมากอดครูผู้เปรียบเป็นฮีโร่ในใจของเขาก็ถูกตุนท์แทรกกลาง อ้าแขนรับญาติผู้น้องแทนไปอย่างกล้ำกลืน เมื่อบลินด์รู้ตัวถึงกับร้องยี้เสียงหลง “พี่ตุนท์ขวางทำไม”

“ไม่ขวางสิแปลก นายมีสิทธิ์ที่จะซาบซึ้ง กราบได้ แต่ห้ามกอด”

เสียงนักเรียนส่วนใหญ่โห่ฮิ้วล้อเลียนขึ้นมา นพมัลลีหยิกหมับเข้าที่เอวคนขี้หวงให้สะดุ้งไปทีหนึ่ง

“เกิดอะไรขึ้นเนี่ย” ตุลาที่ถูกลูกชายโทรตามมาหยุดมองสภาพครูทั้งสองที่ถูกลูกศิษย์มะรุมมะตุ้มอย่างสงสัย หลังจากได้ไปเที่ยวด้วยกัน นางพบว่าผู้หญิงที่ชื่อนพมัลลีล้วนเป็นที่รักของทุกคน โดยเฉพาะเด็กหญิงเจ็ดขวบที่ติดน้าสาวแจ นางดูออกว่าหลานของนพมัลลีไม่ใคร่จะปลื้มลูกชายนางนัก จนนางสิที่นึกพาลเบาๆ ลูกชายนางใครๆ ก็อยากแย่ง อยากเสนอตัว ทำไมเด็กตาดำๆ คนหนึ่งถึงได้ออกปากกับนางว่าน้าของตัวสูงส่ง ทำโน่นนี่ให้ และจะลงท้ายว่า

‘ลุงเขาทำได้ไหมคะ’

หยามลูกชายนางชัดๆ แต่จะให้โกรธ หรือถือสากับเด็กเจ็ดขวบก็ใช่ที่ เป็นลูกชายนางต่างหากที่ไร้คุณภาพ แค่เด็กเจ็ดขวบถึงได้ซื้อใจไม่ได้

“แม่จำที่แม่เคยบอกกับผมได้ไหมครับ”

“จำอะไร” ตุลาบอกอย่างหงุดหงิดใจ นางจะไปเคยลืมได้อย่างไร ตอนนั้นที่นพมัลลีเข้าโรงพยาบาลเพราะช่วยลูกศิษย์จากโรงเรียนเก่านางก็แค่รับปากไปส่งเดช

‘ผมแค่จะให้แม่เตรียมใจไว้ล่วงหน้าน่ะครับ แล้วก็เปิดใจมอง ผู้หญิงคนนี้มีดีกว่าที่แม่คิด’

‘มีอะไรมาพิสูจน์ไหมล่ะ’

‘ถ้าเด็กนักเรียนหกทับห้าขอร้องให้ครูลีอยู่ที่นี่ต่อในเทอมสองได้ แปลว่าเขามีดีจริงๆ’

‘ทั้งห้องต้องลงคะแนนเป็นเอกฉันท์’

“จะให้ผมพูดจริงเหรอครับ”

ตุลามองค้อนบุตรชาย โบกมืออย่างขอไปที ปากก็เอ่ยถามนักเรียนสามสิบกว่าชีวิตเสียเองเลย “พวกเธออยากให้ครูลีอยู่ต่อเทอมสองไหม ใครไม่เห็นด้วยยกมือเลย”

เงียบ ไม่มีใครตกหลุมพรางคำถามของตุลาสักคน ทุกคนที่สติครบถ้วน และหน้าตาของพวกเขาก็มุ่งมั่นที่จะให้นพมัลลีมาเป็นครูที่ปรึกษาต่อจนกว่าพวกเขาจะเรียนจบจากที่นี่จริงๆ

ตุลาเม้มปากขัดใจเล็กน้อย พยายามลดอคติในใจตัวเอง เพราะเมื่อได้พูดคุย และเที่ยวกันวันนั้น หรือจะการได้เจอนพมัลลีตลอดเทอมที่ผ่านมานี้นางก็ยังไม่เจอจุดด่างพร้อยของนพมัลลี ไม่รวยแล้วอย่างไร ไม่มีพ่อแม่ยิ่งใหญ่คับฟ้าแล้วอย่างไร เธอเป็นคนธรรมดาที่กำราบเด็กแสบได้ รวมทั้งหัวใจของลูกชายนางได้

ผุ้อำนวยการหญิงจ้องหน้านพมัลลี พูดทิ้งท้ายก่อนหมุนกายจากไปว่า “เธอเก่งมาก”

เสียงเย้ร้องลั่นทั้งห้อง ครั้งนี้ถึงตุนท์จะพยายามขวางไม่ให้เจ้าบลินด์พุ่งไปกอดครูลีของเขาก็ยากจะต้านทาน นักเรียนหญิงชายหลายคนเริ่มคุยกันว่าเทอมหน้าพวกเขาจะเริ่มกิจกรรมอะไรกันดี ความสุขเล็กๆ นี้ทำให้นพมัลลียิ้มออกมาได้จริงๆ ตุนท์หยุดมองและยิ้มตาม เขาดีใจที่อย่างน้อยๆ วันนี้ก็ยังมีเรื่องดีๆ ให้นพมัลลียิ้มได้บ้าง



“ฉันไม่ให้แกพาหลานฉันไปไหนเด็ดขาด” ทวิชเดือดดาลจัด เขาเพิ่งรู้ว่าระยะเวลาที่ควรจะเป็นในอีกหนึ่งอาทิตย์ที่ครอบครัวหลานสาวเขาเดินทางไปอเมริกา ที่ไหนได้ตั๋วถูกเลื่อนเปลี่ยนขึ้นมาให้เร็วกว่าเดิม เป็นอีกสามวันจากนี้

มัลลิยาไม่ใส่ใจ สองมือแพ็คของอย่างใจเย็น ไม่สะทกสะท้านกับการห้ามปรามของทวิชที่บุกเข้ามาภายในบ้าน “ลุงก็แค่คนนอก”

“คนนอก นั่นเธอต่างหาก อย่าได้สำคัญตัวผิดไป”

“นี่ลุง!”

ทวิชชี้หน้าหลานสาวอย่างเกลียดชัง “ความคิดโสโครก แย่งลูกไปจากแม่เขาของแกนี่มันคงชั่วช้าอยู่ในสายเลือด แกไม่มีวันหนีความจริงพ้นหรอก ความจริงที่ว่า...เพล้ง”

ขวดแก้วเหมาะมือฟาดไปบนศีรษะคนที่ยังพูดไม่ทันจบ เลือดอาบลงมา ร่างสูงทรุดลงบนพื้นอย่างทรมาน นวมลลิ์ร้องกรี๊ดลั่นเมื่อก้าวเข้ามาในห้อง และเห็นมัลลิยาถืออาวุธร้ายที่ทำร้ายทวิชอยู่ในมือ เด็กหญิงลนลานวิ่งหาผ้าเช็ดหน้ามาซับเลือดที่ศีรษะของคนแก่วัยกว่าให้

“ตาลุกขึ้นค่ะ”

“ไม่ต้องช่วยเขาหนูมล นี่ไม่ใช่เรื่องของลูก ออกไป”

“ไม่ค่ะ” นวมลลิ์ตะโกนเสียงแข็ง ร่างเล็กพยายามพยุงร่างหนักไว้อย่างสุดกำลัง ยังดีที่ทวิชยังพอมีสติจึงไม่โถมแรงมาทับร่างเธอให้แบนติดพื้น

“เดี๋ยวนี้ลูกดื้อกับแม่เหรอ แม่บอกให้ออกไป อย่ามายุ่ง” มัลลิยาเข้ามากระชากร่างเล็กออกมา ทวิชที่เสียเสาหลักค้ำตัวเซล้มตึงไปบนพื้น นวมลลิ์สะบัดตัวให้หลุดจากฝ่ามือของแม่ น้ำตานองหน้า ปากร้องบอกให้แม่ปล่อย

“นี่คุณทำอะไรลงไปยา” ธริทวิ่งเข้ามาอีกคน เขากำลังเข้าไปเพื่อดูอาการของทวิช มัลลิยาก็สร้างเสียงกร้าว นัยน์ตาแดงก่ำไปด้วยความโกรธแค้น

“อย่าไปช่วยมัน ปล่อยให้มันตาย”

นวมลลิ์ตัวสั่นเทา เธอหายใจเข้าลึกด้วยความกลัว และเมื่อพบว่าธริทไม่สนคำห้ามของมัลลิยา ตรงเข้าพยุงร่างทวิชแล้วพาออกไป เด็กหญิงก็โถมตัวกอดมัลลิยาไว้มั่น กันไว้ไม่ให้มัลลิยาออกไปทำร้ายซ้ำเติมทวิชอีก

“หนูมลปล่อยแม่นะ!”

“ไม่ค่ะ หนูมลไม่ปล่อย”

สภาพสองแม่ลูกที่ยื้อยุดกันอยู่ตรงกรอบประตูบ้านเป็นสิ่งที่สะท้อนเข้าสู่นัยน์ตาผู้สูงวัยกว่าอีกสองคน มะลิกำใบสำคัญหย่าในซองที่นางเพิ่งได้รับมาจนมันยับยู่ จงใจโยนความผิดทั้งหมดให้กับนพยาที่ไหล่ลู่ตก ยอมรับทุกกรณี

“มันเพราะคุณคนเดียว เรื่องถึงเป็นอย่างนี้”

“ผมรู้...ถ้าไม่มีผมสักคน เรื่องคงไม่เกิด”

“แต่ต่อให้ตอนนี้คุณเพิ่งคิดได้ว่าตัวเองไม่ควรมีอยู่ ก็คงไม่ทันแล้ว ตอนนี้คุณก็ควรมีชีวิตอยู่ ดูผลการกระทำที่คุณเป็นคนเริ่มไว้ให้เต็มสองตา ผลจากความไม่ซื่อสัตย์ ผลจากการที่คุณหักหลังพี่ชายตัวเอง ผลจากคุณไม่ยอมรับความจริง คุณจะได้ลิ้มรสมัน”

มะลิยิ้มหยันที่มุมปาก ความสัมพันธ์ที่เคยมีกันมาถูกทำลายลงด้วยความจริงที่รู้เพียงชั่วข้ามคืน นางอยากแก้แค้นเอาคืนนพยาให้เจ็บแสบ แต่ดูเหมือนไม่ต้องกระทำอะไร เรื่องที่กำลังเกิดอยู่ก็ร้ายแรงพอแล้ว รวมทั้งความจริงข้อสุดท้ายที่นางโยนใส่หน้านพยาก่อนจากไป

“คุณจะต้องรับรู้ไม่ต่างจากตายทั้งเป็น ว่านพมัลลีเขาเป็นลูกสาวแท้ๆ ที่คุณไม่เคยเชื่อว่าเป็นลูกของคุณ ลูกที่คุณชังเข้าไส้”

.................................................

คุณ ร้อยวจี ตุนท์เขาไม่หวั่นหรอกค่ะ แค่เด็กเจ็ดขวบไร้พิษไร้ภัยเอ๊งงง (เหรอ) ฮา บทนี้ตัวเล็กโดนลากเข้าสู่ปัญหาจนได้ค่ะ

คุณ konhin ใช่ค่ะ ตอนที่ลีเลี้ยงตัวเล็ก ตอนนั้นตัวเล็กก็เด็กเกินไป พอจำความได้ก็เป็นมัลลิยาแล้วที่เข้ามาแทน

คุณ violette ปัญหาจะเริ่มเห็นชัดขึ้นค่ะ นพยาเจอผลก่อนเพื่อน เรื่องพ่อตัวเล็กนี่สมัยวัยรุ่นที่จริงก็ร้ายไม่เบา ลีก่อนมีตัวเล็กก็ไม่แคร์โลก (ถ้าพูดถึงเรื่องพันธุกรรม ฮา) ในแง่การเลี้ยงดู นิสัยจริงๆ ของมัลลิยาก็ร้าย ตาก็ร้าย รอบข้างตัวเล็กมีแต่คนร้ายกาจนะคะ นางเติบโตขึ้นมาได้แล้วไร้พิษภัยเลยคงแปลก >_<

ขอบคุณทุกคนสำหรับความคิดเห็น การกดถูกใจนะคะ แล้วก็ขอบคุณนักอ่านเงาทุกท่านด้วยค่า ขอให้อ่านแล้วอินนะคะ ^_^



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 มี.ค. 2558, 13:11:57 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 มี.ค. 2558, 13:11:57 น.

จำนวนการเข้าชม : 1533





<< บทที่ 17 : ทางเลือก   บทที่ 19 : ความลับของตัวเล็ก >>
ร้อยวจี 13 มี.ค. 2558, 13:42:57 น.
ทวิชจะเป็นไรไหม มัลลิยาเข้าขั้นโรคจิตแล้วค่ะเริ่มสยองหน่อยๆ แล้ว


konhin 13 มี.ค. 2558, 13:49:54 น.
มารอดูแบบเกาะขอบจอ ปราสาททรายกำลังพังทะลาย


นักอ่านเหนียวหนึบ 13 มี.ค. 2558, 16:33:02 น.
แหมะ ม่ามาบิ๊กคัพ อิ่มตื้อเบยยยย
ตัวเล็กก็รับบทหนักแต่เด็กเลยนะฮะ


กาซะลองพลัดถิ่น 13 มี.ค. 2558, 17:44:50 น.
ต่อหน้าต่อตาเด็กเลย แบบนี้ยังจะดึงดันให้หลานไปอยู่กับคนจิตไม่ปรกติได้อีกเหรอ
นางเอกเก่งและเข้มแข็งแกร่งสุด ๆ .....ตุลาน่าจะยอมรับได้แบบจริง ๆ ซะทีเนอะ


OhLaLa 13 มี.ค. 2558, 20:22:07 น.
ทวิชคิดช้าไปมั้ยเรื่องลี จนตัวเล็กโตแล้ว ยานี่ป่วยจิตหนักจนทำร้ายคนอื่นแล้ว ถ้าคนในครอบครัวไม่เอะใจว่ายาป่วยตัวเล็กท่าจะแย่ นพยาก็ยังเป็นนพยา


violette 13 มี.ค. 2558, 20:37:46 น.
เอ้อ เดี๋ยวสามีทิ้งไปอีกคนคงไม่เหลือใครนะยา

ปมนี้ยังไม่คลาย ชักอยากอ่านเรื่องตัวเล็กกับคมิกแล้วสิคะ น่าจะร้ายพอกัน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account