พระจันทร์ซ่อนรัก
เธอแอบใช้มือเล็กๆบังไม่ให้เขาเห็นแล้วเขียนข้อความนั้นลงไป “ขอให้ผู้ชายคนนั้น เป็นคุณ...พัตต์”
รุ้งพรายลงท้าย ประโยคด้วยตัวอักษรโต ๆ ซึ่งไม่ต่างจากหัวใจที่ตอนนี้มันพองฟูคับอกแล้ว!

............

เล่ห์ร้ายหรือมนตราใดๆ ก็ไม่อาจซ่อนใจเขาและเธอ
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: บทที่ ๒

บทที่๒


สำนักพิมพ์เลดี้เฟิร์สตั้งอยู่บนถนนแถบชานเมืองกรุงเทพฯ บรรยากาศจึงสงบ โอบล้อมด้วยธรรมชาติ ทั้งไม้ดอกไม้ประดับรวมถึงสนามหญ้าสีเขียวสบายตา แต่ภายนอกที่ดูสดชื่นแจ่มใสกลับไม่ได้ทำให้บรรดานักเขียนตลอดจนผู้ที่ทำงานอยู่ภายในมีความสุขนัก ด้วยเกิดเรื่องวุ่นวายไม่เว้นวัน โดยเฉพาะศึกระหว่างนักเขียนดังปูชิกากับรุ้งพราย ลูกสาวนักเขียนผู้ล่วงลับที่ถือหุ้นส่วนครึ่งหนึ่งของสำนักพิมพ์



“นี่คุณนาย หยุดทำตัวเป็นนกแก้วนกขุนทองเสียที โตจนป่านนี้ยังแหกปากอ่านหนังสือทำแอ๊บแบ๊วอีก จะถูกเขี่ยตกกระป๋องอยู่แล้ว ยังทำเป็นทองไม่รู้ร้อน”


ดาด้าหรือดนัยชายจริตหญิงกราฟิกดีไซน์เพื่อนสนิทรุ้งพราย จีบปากจีบคอใส่ร่างบอบบางซึ่งกำลังจมอยู่ในเรื่องราวจากหนังสือโรงสีมหัศจรรย์ของพิรุณพัตต์ นักเขียนปริศนาที่ไม่ว่าจะหยิบจับงานชิ้นไหนก็เปรี้ยงป้างจนเป็นเหตุให้เขา เป็นนักเขียนอันดับต้น ๆ ของประเทศ


“ถึงฟ้าจะถล่มดินจะทลาย ก็ไม่มีผลกับฉันหรอกย่ะ ชิ้ว ๆ อย่ามากวนใจได้ไหม กำลังถึงตอนสำคัญ”
เอ่ยจบดวงตาคู่สวยก็เพ่งลงไปยังกลุ่มตัวหนังสือในหน้ากระดาษ อ่านเรื่องราวต่อด้วยความสนุกสนานอีกครั้ง แต่เสียงแจ่มใสที่ดังวานนั้นกลับทำให้ดนัยอกแทบจะระเบิดตาย


“รู้อะไรไหมยายปูไข่กำลังจะหิ้วว่าที่เจ้าบ่าวหล่อนไปนอนกกกลางวันแสก ๆ อยู่แล้ว!” ดนัยขึ้นเสียงสูง


“ว่ายังไงนะ!” รุ้งพรายละสายตาจากหนังสือสุดรัก คำพูดนั้นแทงใจดำจนเจ็บจี๊ด ปูชิกานักเขียนพราวเสน่ห์ คือก้างชิ้นใหญ่ที่รุ้งพรายรับมือ และเธอก็เพลี่ยงพล้ำอยู่หลายขุม


“แหม...พอเป็นเรื่องบอสหูผึ่งเชียว ก็ยายปูไข่ไก่หลง กำลังนัวเนียกับบอสอยู่ในห้องน่ะซี หล่อนมัวมานั่งอ่านนิยายเด็ก ทำเสียงจ๊ะจ๋าปัญญาอ่อนอยู่นี่ รับรองได้ขึ้นคานทองไปตลอดชาติแน่”


“แกเป็นเพื่อนฉันหรือว่าอยู่ฝ่ายตรงข้ามฮึ ไม่คิดจะช่วยก็อย่าซ้ำเติมได้ไหม” รุ้งพรายหน้าตึง ใจจริงก็อยากจะอยู่ในมุมสงบ แต่ถ้าปล่อยให้ปูชิกาทำอะไรตามใจทุกสิ่งที่เคยเป็นของเธอคงถึงคราวเปลี่ยนมือ


“จ้ะคุณนาย ไม่อยากจะซ้ำเติมหรอก แต่แทนที่จะนั่งรากงอกจมกองหนังสือ หันมาตั้งหน้าตั้งตาเขียนงานตัวเองดีกว่าไหม ดูซิอยากจะมีชื่อเสียงเหมือนแม่ แต่วัน ๆ นั่งแปะตรงนี้ทีตรงนั้นที ไร้สาระมาก ๆ ผู้ชายที่ไหนเขาจะเห็นหัว”


“แกนี่นับวันจะบ่นเป็นยายแก่ เดี๋ยวฉันปรับให้ไปเป็นแม่บ้านดีไหม ชอบพูดให้เสียความมั่นใจ”รุ้งพรายแหว ดนัยจึงค้อนควักให้ เขาหมุนตัวไปที่โต๊ะทำงาน แล้วเคาะแป้นคีย์บอร์ด เสียงดังกวนอารมณ์เพื่อนรัก


รุ้งพรายนิ่งไปเกือบอึดใจ ก่อนจะวางหนังสือเล่มโปรดบนโต๊ะ เธอสูดลมหายใจลึกพร้อมกับเรียกขวัญให้ตนเอง หญิงสาวตั้งใจจะเข้าไปดูเหตุการณ์ในห้องบรรณาธิการสำนักพิมพ์ แต่ยังละล้าละลังก้าวไม่ทันจะพ้นคอกกั้นที่ดนัยนั่งหน้าง้ำอยู่ด้วยซ้ำ เธอก็ใจเสีย เหตุการณ์เมื่อวานฉายแวบกลับมาให้หญิงสาวกลุ้มใจอีกจนได้


“มันจะดีหรือ ป่านนี้ฉันยังเข้าหน้ากับพี่หาญไม่ติด เรื่องเมื่อวานยังกรุ่น ๆ อยู่เลย” รุ้งพรายถามความคิดเห็นที่ปรึกษา “ลิ้นกับฟันมันก็ต้องมีทะเลาะกันบ้าง แต่ถ้าหล่อนยังมัวเล่นตัวรอให้เขามาง้อ มีหวังแมวขโมยคาบปลาย่างหล่อนไปกินแน่ ใจเย็นเหลือเกิ๊น เดี๋ยวได้น้ำตาเช็ดหัวเข่าสักวัน”


“พี่หาญเขาบอกฉันว่า ให้อยู่ห่าง ๆ กันบ้าง เผื่อจะเปลี่ยนความคิดใหม่เรื่องงานเขียน แต่แกก็รู้ฉันชอบ วรรณกรรมเยาวชน ให้ไปเขียนอีโรติคมีเชื้อไฟปรารถนา มันฝืนใจจริง ๆ”


“หน้าบางใช่ไหมถึงเขียนไม่ได้ แค่เรื่องใต้สะดือยากตรงไหน”


“ทะลึ่ง! เรื่องใต้สะดือ ฉันเขียนไม่ได้ แล้วจะให้ทำยังไง เขียนเป็นแต่งานเด็ก ๆ ถ้าเขียนดีจริงสักวันก็ต้องขายได้ ไม่เห็นรึไงกระแสคุณพิรุณพัตต์เขียนงานมายี่สิบกว่าปีแรงดีไม่มีตก ถ้าเลดี้เฟิร์สจับกระแสเขาบ้างก็ดีไม่ใช่เหรอ”


“พูดอย่างนี้น่ะซี บอสถึงได้ปิดประตูใส่ ใครใช้ให้พูดถึงผู้ชายคนอื่นต่อหน้าเขา รู้ทั้งรู้ว่าขี้หึงแค่ไหน”


“แล้วไง ฉันไม่ได้คิดอะไรกับคุณพิรุณพัตต์สักหน่อย พี่หาญคงไม่ใช่คนคิดมากหรอก”


“น้อยไปซิ ดูหน้าหล่อนเองล่ะกัน ตางี้ใสปิ๊งเวลาพูดถึงเขา ถ้าฉันเป็นบอสจะให้คิดยังไง ตอบมาสิ”


“ก็...” รุ้งพรายหันหน้าไปอีกทาง เริ่มร้อนตัว เธอรู้สึกพิเศษกับนักเขียนในดวงใจไม่น้อย


“นั่นเห็นไหม ปากกับใจไม่ตรงกันแท้ ๆ” ดนัยจ้องจับผิด แต่หญิงสาวทำหน้านิ่งพยายามไม่ให้เป็นที่
สงสัย “หล่อนก็ชอบตานั่นไปได้ คงฝันล้ม ๆ แล้ง ๆ ใช่ไหม พูดไปก็น่าคิด นักเขียนอะไร ทำตัวพิลึกกึกกือ”


“พิลึกตรงไหน” คิ้วโก่งได้รูปขมวดมุ่น น้ำเสียง และท่าทางดนัยแจ้งชัดว่ากล่าวหานักเขียนคนโปรดเธอ


“นี่ไม่รู้รึไง ใคร ๆ ก็ว่าเขาเป็นนักเขียนเอเลี่ยนมาจากต่างดาว!”


“พูดเว่อร์ ”


“เรื่องจริงนะยะ คนอะไรเขียนนิยายลึกลับซับซ้อนเก่งเกินมนุษย์ ที่สำคัญน้อยคนที่จะได้เห็นตัวจริงเขา
คิดดูกี่ปีมาแล้ว เอาแต่เก็บตัวอยู่ในบ้านผีสิง นี่ถ้าไม่ใช่พวกเอเลี่ยน ก็ต้องเป็นผีแหง ๆ เอ้านี่ ไม่ใช่ฉันคิดเป็นตุเป็นตะคนเดียวน้า คนพูดกันทั้งเมือง!”


“อย่ามาใส่ร้ายเขานะ!” ดวงตากลมโตจ้องดนัยอย่างเอาเรื่อง


“แหม ๆ ปกป้องกันจริงสงสัยจะรักกันมาก เขาเป็นใครก็ไม่รู้ บางทีอาจจะเป็นนักเขียนหน้าผีก็ได้ อยากรู้นัก ยังจะปลื้มอีกไหม”


“ช่างประไร ฉันชอบงานเขียนเขา จะเป็นตัวประหลาดอะไร ฉันก็รัก!”


“ต้าย! พูดเต็มปากว่ารัก อย่าให้บอสได้ยินนะ กลัวใจเขาแทนหล่อนจริง ๆ ”


“ความจริงเป็นสิ่งไม่ตาย”หญิงสาวเชิดหน้ายอมรับความรู้สึกจากใจ


“จ้ะ เชิญเอาความจริงไปบอกบอสเร็ว ๆ เลย” ดนัยยกมือไล่


“นี่ยั่วเหรอ”


“เฮ้อ...” ดนัยหายใจรดหน้าหญิงสาว เขากลอกตาขึ้นลงทำทีว่าอ่อนใจกับสิ่งที่ตนจะสาธยายออกมา “ส่องกระจกดูตัวเองสิ หล่อนเป็นใคร คิดดูออกหนังสือมาห้าเล่ม เปลี่ยนนามปากกาไม่ซ้ำ ทางเดียวที่ทำได้ตอนนี้ก็คือ หลับหูหลับตาเขียนเรื่องโรมานซ์ไปซะ ฉันเชื่อว่าหล่อนทำได้คงจะพอมีเลือดแม่อยู่ในตัวบ้างแต่ถ้ายังดื้อด้านไม่เขียน ก็อย่าหวังว่าจะตามแม่ปูไข่ทัน ” ดนัยลุกจากที่นั่งก้าวออกมาให้กำลังใจหญิงสาว


“โลกนี้ไม่ยุติธรรมเลย” รุ้งพรายตัดพ้อโชคชะตา


“หาได้เป็นอย่างนั้นไม่ โอกาสมาถึง แต่ไม่ยอมฉวยไว้ต่างหาก ถ้าแม่หล่อนรู้เรื่องนี้คงนอนตายตาไม่หลับ ลูกสาวนักเขียนโรมานซ์ ไม่ได้เชื้อแม่มาซักกระผีกเดียว!”


“เล่นถึงแม่เลย เดี๋ยวฉันเอาคืนบ้าง ทีแกล่ะพ่อปั้นให้เป็นนักมวย แล้วเป็นไง...”


“หยุด! สงบศึกเสียทีมาช่วยกันคิดดีกว่าว่า จะทำยังไงบอสหันมาสนใจหล่อนเหมือนเดิม”


“ไม่ได้ด้วยเล่ห์ ก็เอาด้วยกลไม่ได้ด้วยมนตร์ ฉันจะจับปล้ำให้ดู” รุ้งพรายทำหน้าทะเล้น แววตามีประกายวิบวับจนดนัยที่ยืนข้างกันอยากจะหยิกแก้มนวล ๆ เข้าให้


“โอ้...เก่งจริง ฉันจะคอยดู ตอนที่ถูกแม่ปูชิกาหัวเราะใส่หน้า แล้วอย่ามาให้ฉันปลอบก็แล้วกัน”


“ฝันไปเถอะ ฉันมีวิธีเอาชนะพวกเล่นสกปรกเสมอ” ถึงจะพูดออกไปอย่างนั้น แต่จิตใจกลับไม่ได้มีแรงฮึดตามคำที่อวดอ้างเลย


“ เอ้าฮุยเลฮุย” ดนัยส่งเสียงเชียร์ ทำท่าสนุกสุดเหวี่ยงจนรุ้งพรายที่ดวงหน้าเครียดอยู่ต้องหวีดร้องใส่


“ฉันเกลียดแกมากกว่าปูชิกาอีกแน่ะ รู้ตัวรึเปล่า”


“เกลียดได้เกลียดไป แต่ยังไง รีบเข้าไปจัดการดึงเสี้ยนปักอกออกก่อนที่มันจะกลัดหนองดีกว่าไหม”


รุ้งพรายครุ่นคิดอยู่นาน ดนัยรำคาญจึงผลักให้ก้าวออกไป หญิงสาวขัดขืนน้อย ๆ ครั้นแรงผลักหนักหน่วงขึ้น รุ้งพรายจึงหันมาแยกเขี้ยวขู่ฟ่อ ๆ ก่อนก้มหน้าย่ำเท้าไปตามทางเดิน ครั้นถึงประตูห้องบานใหญ่ก็เหมือนว่าโลกอันสดใสถูกฉาบด้วยสีดำแห่งพายุฝน


ชั่วขณะนั้น รุ้งพรายนึกถึงเรื่องการเปิดต้นฉบับนิยายเรื่องใหม่ของตน อาจหาญได้แต่ส่ายหน้าหลังจากได้ยินแนวเรื่องที่เธอยืนยันจะเขียน เขาไม่เห็นด้วยกับการที่เธอสนใจงานวรรณกรรมเยาวชนตั้งแต่แรก ทว่ากี่ครั้งแล้วที่เธอเขียนตามใบสั่ง และงานที่ออกมานั้นหลายคนต่างจับได้ว่าเธอเป็นได้แค่มือสมัครเล่น


รุ้งพรายรู้ดีว่างานเขียนคือศิลปะ ถึงจะเป็นลูกสาวคนเดียวของนักเขียนดัง แต่สำหรับเธอกลับรู้สึกขนลุกทุกครั้ง ที่ต้องหยิบเรื่องรักวาบหวามเหมือนแม่มาเขียน หญิงสาวรักชีวิตงดงามแบบพ่อมากกว่า เธอฝันถึงเรื่องราวของเด็ก ๆ กับจินตนาการที่ไม่รู้จบตลอดมา ทั้งนี้เพราะบิดาผู้เป็นอาจารย์สอนวาดรูปในโรงเรียนเล็ก ๆ ในจังหวัดชลบุรี ได้ปลูกฝังให้เธอรักชีวิตจากห้วงเวลาวัยเด็กและวรรณกรรมเยาวชนก็เติมเต็มชีวิตให้สมบูรณ์ และรุ้งพรายก็เข้าใจดีว่า หากแม่ไม่มีหุ้นส่วนครึ่งหนึ่งในเลดี้เฟิร์ส ป่านนี้คงถูกเขี่ยทิ้งไปนานแล้ว
หญิงสาวจดจ่อตรงหน้าประตูได้อีกประเดี๋ยว ไม่ทันจะเลื่อนบานกระจกพาร่างอ่อนแรงเข้าไปในห้อง เธอก็แทบจะล้มคะมำจูบพื้น เมื่อจู่ ๆ ประตูพลันเลื่อนเปิด จากนั้นหุ่นนาฬิกาทรายของปูชิกาที่ควงแขนอาจหาญ ก็ปรากฏต่อหน้า


ปูชิกาเอ่ยเสียงออดอ้อนบรรณาธิการบริหาร ประกาศตัวให้รุ้งพรายยอมรับความจริงว่าชั่วโมงนี้หล่อนคือเบอร์หนึ่งของเลดี้เฟิร์ส คุมทั้งสำนักพิมพ์คุมทั้งหัวใจเขา “เอ๊ะ นี่คุณรุ้งพรายนักเขียนตกกระป๋อง มายืนหน้าคว่ำตรงนี้ทำไมน้า” ปูชิกาขึ้นต้นทักทายด้วยถ้อยคำที่ทำให้รุ้งพรายตัวสั่น อยากจะกรี๊ดลั่น กระโดดเข้าไปจัดการร่างตรงหน้า แต่ด้วยสายตาเจือแววตำหนิของอาจหาญ ทำให้ต้องนับหนึ่งถึงสิบอดกลั้นความรู้สึกเดือดปุด ๆ ไว้


“อ้าว...สวัสดีค่ะคุณปูไข่ไปไงมาไงเนี่ย นึกว่านั่งลอกพล็อตชาวบ้านอยู่จังหวัดเชียงใหม่เสียอีก” รุ้งพรายยิ้มกวน ๆ ใส่ดวงหน้าสวยจัดที่ดิ้นเป็นเจ้าเข้า “อะไร! ใครลอกงานเขียน พูดสั่ว ๆ ฉันเสียหายหมด”


“ไม่สั่ว ไม่มั่วนิ่ม ก็เห็นในเวปบอร์ดชุมนุมนักเขียน มีกระทู้ฮอตฮิตว่านักเขียนฉาวฉายาแปดขาตัวแม่ มีนิสัยลอกงานชาวบ้าน กำลังหลงระเริงกับชื่อเสียงชั่วข้ามคืน แปลกนะคนรู้กันทั้งวงการ ทำไมใครบางคนถึงหูหนวกตาบอดมองไม่เห็น” รุ้งพรายแบะปากให้อาจหาญ ซึ่งกำลังแกะมือปูชิกาออกจากแขนตน


“ไอ้พวกเขียนแล้วชั่งกิโลขายนี่ปากดีทุกคนจริง” ปูชิกาย่างเข้าใกล้รุ้งพราย ตาลุกวาวมองอีกฝ่ายอย่างจะกินเลือดกินเนื้อ “พอทีเถอะ ผมเครียดมาทั้งวัน อย่าหาเรื่องให้หนักใจอีกได้ไหม” อาจหาญพูดเสียงเรียบ ๆ หากมีพลังมากพอที่ทำให้รุ้งพรายถอยหลังไปก้าวใหญ่


“ก็เป็นถึงผู้บริหาร แต่เริ่มก่อน คุณหาญก็คิดเอาเถอะ ว่าใครเป็นคนผิด”


“เหรอ! แล้วไง” รุ้งพรายวางมาดนักเลง ไม่ยอมง่าย ๆ


“รุ้ง! ที่บอกเมื่อวานยังไม่เข้าใจอีกใช่ไหม” อาจหาญปราม เขาเข้าข้างคนผิดตามเคย


“แต่...” คำพูดของรุ้งพรายต้องจบเพียงเท่านั้น หลงเหลือเพียงความน้อยเนื้อต่ำใจ เมื่ออาจหาญใช้สายตาคมกล้าปรามเธอ


“ไม่มีแต่...พี่ว่าเราอย่าพึ่งคุยกันเลย ทั้งพี่และรุ้ง ไม่พร้อมด้วยกันทั้งคู่ รุ้งกลับไปพักผ่อนที่บ้านสักสองวันนะ รอให้อะไร ๆ มันดีขึ้น ค่อยมาทำงาน ” ในสายตาอาจหาญ เธอไม่ต่างจากคนดื้อรั้นไร้เหตุผลยิ่งมีปูชิกาเป่าหูด้วยแล้ว รุ้งพรายเลยตกเป็นจำเลยในทุกข้อกล่าวหาโดยปริยาย


“ รู้ตัวแล้ว ยังจะมายืนเซ่อทำไมคะผู้บริหาร กลับไปตรงโน้นดีไหม เพื่อนคุณรุ้งคอยซับน้ำตาอยู่แน่ะ” ปูชิกาก้าวไปชิดรุ้งพราย กระซิบด้วยถ้อยคำที่ทำให้เธอต้องเดือดจัด แต่วินาทีนี้หญิงสาวจำยอมข่มสติไม่อยากจะทำให้เหตุการณ์บานปลายกว่าที่เป็นอยู่


รุ้งพรายเบี่ยงตัวหลบให้อาจหาญกับปูชิกาเดินผ่านไป แม้ในใจอยากจะรั้งชายหนุ่มไว้ ทว่าศักดิ์ศรียังค้ำคอหากเข้าไปทำให้เขารำคาญใจก็รังแต่จะเสียเปรียบ คนที่ทำคะแนนได้สูงลิบย่อมเป็นปูชิกา ดังนั้นการถอยมาตั้งหลักแล้ววางแผนใหม่ คงพอมีหนทางเรียกคะแนนคืนจากอาจหาญได้บ้าง





ร้านซ่อมหนังสือโบราณแห่งนี้เปิดมานานเกือบสิบปี แต่การรับช่วงต่อของรุ้งพรายทำให้ลูกค้าเก่าหายไปมากกว่าครึ่ง เพราะนอกจากจะไม่สนใจสานต่อกิจการ เธอยังเปลี่ยนรูปแบบจากร้านซ่อมหนังสือเป็นลานโล่งสำหรับนั่งเล่นดื่มกิน ให้เพื่อน ๆ นักเขียนแวะมาพักผ่อนหย่อนใจ


ก้องภพครางฮึ่ม ๆ หลายครั้งหลายหน รุ้งพรายลูกพี่ลูกน้องที่สนิทกันมาตั้งแต่เด็กยังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ตั้งแต่ต้นชั่วโมง ไม่ยอมแตะอะไร นอกจากส่งเสียงหัวเราะคิกคัก ดังแทรกการดูหนังจากหน้าจอโน้ตบุ๊ก หลังจากมารดาเสียชีวิตอย่างกะทันหันด้วยอุบัติเหตุทางรถยนต์หลายปีก่อน รุ้งพรายก็ย้ายจากชลบุรีเข้ามาอยู่สมุทรสาคร เพื่อดูแลงานกิจการที่สำนักพิมพ์ของแม่ควบคู่ร้านหนังสือ แม้ในใจจะค้านเรื่องงานเขียนแนวโรมานซ์อยู่ลึก ๆ


และด้วยที่เป็นคนที่ดื้อรั้นไม่ฟังใคร เธอจึงต้องมีคนคอยปรามพยศอยู่เสมอ ๆ หนึ่งในนั้นคือก้องภพวิศวกรหนุ่มซึ่งพ่อฝากฝังให้คอยดูแลหญิงสาวอย่างใกล้ชิด ทุกครั้งหลังจากที่ก้องภพตรวจงานต่างจังหวัดเสร็จ และเข้าไปทำธุระที่ออฟฟิศแถวสีลมเรียบร้อย เขามักจะใช้เวลาที่เหลือระหว่างวันมาอยู่เป็นเพื่อนเธอเสมอ


“นี่เราไม่คิดจะทำอะไรให้มันดีกว่านี้รึไง” ก้องภพยื่นหน้าเข้าไปใกล้จอโน้ตบุ๊ก ถอนหายใจเสียงดังกับภาพคุ้นตา การ์ตูนวอลต์ดิสนีย์ที่รุ้งพรายดูอย่างไม่รู้เบื่อ ตั้งแต่มิกกี้ยันเมาส์หมีพูห์ และที่ชอบเป็นพิเศษก็เงือกน้อยผจญภัย ส่วนข้าง ๆ กันนั้นก็มีกองหนังสือเล่มโปรดวางซ้อนเป็นตั้ง ๆ แน่นอนว่าสันปกมีชื่อนักเขียนในดวงใจ ซึ่งก็คือพิรุณพัตต์ ณ บ้านจันทร์เจ้าขา “เอ้า นั่งอมขี้ฟันอยู่ได้ พี่ถามว่าจะไม่ลุกขึ้นมาทำอะไรบ้างเหรอ” หญิงสาวส่ายหน้าพรืด พร้อมกับทำปากยื่น ไม่สนใจสายตาเว้าวอนเขา


“สักเล่มก็ยังดี เดี๋ยวต้องทยอยเอาไปแล้ว” ก้องภพนึกถึงงานที่บ้านจันทร์เจ้าขา เจียนจะครบงวดส่งมอบงานแต่มันยังล่าช้ากว่าที่ควรจะเป็นอยู่มาก แล้วต้องเสนอแบบชั้นหนังสือที่เจ้าของบ้านต้องการให้สร้างขึ้นมาใหม่อีกตัวเขาก็ยังไม่ได้ติดต่อสถาปนิกสักคน


“มือมีไหม นั่นค้อน เข็ม ด้ายจัดการเองซิ นั่งมองทำไม ทำเป็นเหมือนกันนิ รุ้งคุ้น ๆ ว่าพี่ตุ่นเคยช่วยงานที่นี่เป็นประจำ แถมยังเคยหาลำไพ่พิเศษจากการซ่อม เป็นค่าขนมให้สาว ๆ สมัยเรียนมหาลัยด้วย เห็นไหมรุ้งรู้ทันหมด เพราะฉะนั้นอย่ามาใช้เสียให้ยาก” รุ้งพรายอมยิ้ม


“ไม่ไหวเลยทำตัวพาลแขวะพี่ ถามหน่อย ที่เป็นแบบนี้เพราะบอกอหน้าหยกไอ้หื่นคนนั้นใช่ไหม ผู้ชายโสดมันมีคนเดียวในโลกรึไง” ก้องภพแอบมองรุ้งพรายแวบหนึ่ง คำพูดเขาทำให้เธอแว้ดเสียงสูงตอบ
“เอาอะไรมาพูด พี่หาญไม่มีผลกับความรู้สึกรุ้งสักหน่อย เปลี่ยนความคิดเสียใหม่ นี่คงถูกแม่ดาด้าล้างสมองมาอีกล่ะซี”รุ้งพรายทำตาเล็ก ดัดนิ้วมือเล่นดังเป๊าะ ๆ แสดงอาการขัดเคืองดนัยเพื่อนตัวดี เขาคงแฉความลับในที่ทำงานให้ก้องภพฟัง จริงอยู่ที่ต้องหลบหน้าอยู่ในบ้านหลังน้อย ส่วนหนึ่งก็เพราะอาจหาญซึ่งทำให้เธอรู้สึกด้อยค่าสิ้นหวัง “ ถ้าไม่ยอมรับกันตรง ๆ ก็ไม่เป็นไร แล้วทำไมรุ้งถึงไม่เข้าสำนักพิมพ์”


“รุ้งพักร้อน โปรดอย่าเข้าใจผิด ไม่มีอะไรจิ๊จ๊ะในก่อไผ่” คนตอบลอยหน้าลอยตา


“แต่เท่าที่รู้มันไม่ใช่นี่นา แต่เอาเถอะเด็กเลี้ยงแกะอย่างรุ้งพี่คงตามไม่ทัน เออ...ว่าแต่หนังสือซอมบี้กองนี้จะเอาไง ฝากมาหลายวันแล้ว ยังใจจืดใจดำไม่แตะสักเล่ม ถ้าไม่ทำเองทำไมไม่ส่งต่อให้ร้านอื่นในเครือข่ายช่วยล่ะ แต่นี่อะไรทิ้งงานไว้เฉย ๆ ใจร้ายไปถึงไหน”


“ใครใช้ให้ขนมา ถามรุ้งก่อนรึยังว่าจะซ่อมให้รึเปล่า” รุ้งพรายพูดอย่างไม่ทุกข์ร้อนกับก้องภพ


“ ใจร้ายจัง ช่วยพี่สุดที่รักมันยากมากรึไง เปิดร้านรับซ่อมหนังสือแต่ทิ้ง ๆ ขว้าง ๆ ก็ปิดไปเถอะ เปลืองค่าไฟ ค่าน้ำเปล่า ๆ ที่สำคัญเสียชื่อแม่บุปผาหมด”


“เอ๊ะ ผู้ชายนี่ขัดใจเก่งทุกคนจริง” รุ้งพรายพับหน้าจอโน้ตบุ๊กลง หันมาประจันหน้าก้องภพ ก่อนจะทำปึงบังคว้าหนังสือโบราณที่ปกห้อยต่องแต่งพลิกดู


สัมผัสแรกที่ส่งต่อมาจากหนังสือ สร้างความพิศวงทำให้รุ้งพรายตกอยู่ในภวังค์ ตอบไม่ถูกว่าทำไมจึงรู้สึกวูบวาบขึ้นมาคล้ายกับว่า หนังสือกำลังเล่าความเป็นมาของมันให้ฟัง “บ้านจันทร์เจ้าขา” ใจเธอเต้นตึก ๆ เธออ่านทวนข้อความในใจอีกครั้ง แล้วก็คิดถึงเขา...พิรุณพัตต์
“ใช่...บ้านจันทร์เจ้าขา ที่เดียวกับนักเขียนเอเลี่ยนหลุดโลก

คนนั้นไง”ก้องภพชี้ไปตรงมุมขวาซึ่งมีตราประทับสีแดง เป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว กับกระต่ายตัวน้อยห้อยอยู่


“ทีนี้สนใจจะซ่อมบ้างรึยัง” เขาหวังจับอาการตื่นเต้นดีใจ แต่รุ้งพรายรีบแก้กลับด้วยการทำตาหยีเล็ก ยื่นปากหมูล้อเลียน “พี่รู้นะว่าเราปลื้มเขา เอาเป็นว่าถ้าซ่อมหนังสือเสร็จ รับปากว่าจะขอลายเซ็นมาให้ดีไหม” ก้องภพพูดเอาตัวรอดไป ในใจไม่ได้อยากจะทำตามที่บอกเพราะแค่คิดถึงดวงหน้า ท่าทางผีดิบของพิรุณพัตต์ก็นึกขยาดแล้ว


“แค่ลายเซ็นเองเหรอ น้อยไป หนังสือตั้งหลายสิบเล่ม คิดราคาเท่าค่าต้นฉบับงาม ๆ เลยน้า ที่สำคัญ นักล่าลายเซ็นอย่างรุ้งไม่จำเป็นต้องพึ่งพี่ ทุกเล่มมีครบแล้ว”


“ถ้าอย่างนั้น พี่จะพาไปพบตัวจริงเป็นไง รับรองได้ว่า บิ๊กเซอร์ไพร้ส์สุด ๆ ถามหน่อยมีใครเคยเห็นเขาบ้าง แฟนพันธ์แท้อย่างรุ้ง ก็ยังไม่เคยเห็นใช่ไหม”


รุ้งพรายแทบจะปิดรอยยิ้มไม่มิด เธอเบะปากน้อย ๆ ก่อนจะหลุดเสียงหัวเราะออกมาด้วยความขวยเขินเมื่อคิดถึงพิรุณพัตต์ และเรื่องราวของเขาที่เคยได้ยินมา “สำหรับงานชิ้นใหญ่แลกเหงื่อรุ้ง ค่าตอบแทนมันต้องสูงกว่านี้ แค่เจอกันมันไม่ตื่นเต้น ขอพิเศษ ๆ อีกนิดน้า ”


“งั้นจะเอายังไง แค่นี้ก็ไม่รู้ว่าเขาจะยอมให้เราเจอรึเปล่า”


“แหม ๆ อย่าพึ่งหัวหมุนไปซิคะ พ่อยอดขมองอิ่ม รับรองไม่ทำให้เดือดร้อนร้อก”


“ถ้าอย่างนั้นรีบว่ามา...”


“พี่ตุ่นต้องรับปากก่อนว่าจะไม่เบี้ยวรุ้ง”


“เอ้าก็ได้”เขารับปากด้วยรำคาญเต็มทน หากไม่ทันฉุกคิดถึงผลที่ตามมา ทั้งที่รู้อยู่เต็มอกว่าเธอเจ้าเล่ห์และชอบเล่นแผลง ๆ แค่ไหน


“เอาอย่างนี้ พี่ตุ่นนัดให้รุ้งได้เจอกับคุณพิรุณพัตต์ที่บ้านจันทร์เจ้าขา รุ้งจะล้วงลับ แกะ เกาเขาให้หมด ทั้งตับ ไต ไส้ พุง อยากจะแก้เผ็ดยายปูนัก...คราวนี้ละจะเขียนนิยายรักโรแมนติกให้คุณพิรุณพัตต์เป็นอสูรร้าย แต่หล่อลากดิน มีปราสาทผีสิงเป็นฉากหลัง ฮิ ๆ เพราะฉะนั้นพี่ตุ่นต้องทำให้รุ้งเข้าใกล้เขาแบบตัวต่อตัว คอยดูนะรุ้งจะเก็บข้อมูลให้ระเอียดยิบทุกรูขุมขน เห็นไหมความคิดสุดยอดจะตาย” รอยยิ้มพรายผุดบนดวงหน้านวลใส “พูดเป็นเล่น!”ก้องภพอึ้งตาค้าง น้องสาวคนนี้แค้นฝังหุ่นจนต้องแปลงร่างเป็นปาปารัชซี่ได้ขนาดนี้เชียวหรือ


“รุ้งพูดจริง รับปากแล้ว ห้าม คืน คำ!” เธอเน้นทีละคำชัดเจน


“นี่มันถึงขั้นวาระระดับชาติเลยนะ เขาเก็บตัวแค่ไหนรุ้งก็รู้นิ ไม่...ไม่มีทางเป็นไปได้หรอก ไม่มีทาง” ก้องภพส่ายหน้าไม่ยอมรับเงื่อนไข สีหน้าบอกบุญไม่รับ คาดไม่ถึงว่าค่าตอบแทนจะเป็นงานช้าง




“ไม่ได้ก็ต้องได้ค่ะ เล็ก ๆ ไม่ ใหญ่ ๆ รุ้งพรายทำ!” หญิงสาวหัวเราะร่วน ขนตางอนขยับถี่ ดวงตาดำขลับมองก้องภพซึ่งนั่งคอตกเพราะเจอกับดักน้องสาวตัวดีเข้าเต็มเปา




เขมปัณณ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 11 ก.ค. 2554, 17:49:07 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 11 ก.ค. 2554, 17:58:41 น.

จำนวนการเข้าชม : 1609





<< บทที่ ๑    บทที่ ๓ >>
anOO 11 ก.ค. 2554, 19:04:31 น.
เรื่องเก่า เอามาเล่าใหม่
รอตอนต่อไปจ้า


เขมปัณณ์ 13 ก.ค. 2554, 11:03:54 น.
เอิ้ก ๆ ฟัง คุณ โอ แล้ว พลอยให้เสียง สันหลัง เรื่องเก่า เอามาเล่าใหม่ ฮ่ะๆ

แต่ ครั้งนี้ จะลงให้จบ ครับ อย่าลืมเม้ม นะครับ ชอบไม่ชอบ ติติงได้ ครับ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account