เพลิงพญาล่ารัก (ปรับปรุง)

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 5

ตอน 5
บนทางเดินที่ขรุขระด้วยหินผสมดินและรากของต้นไม้ที่เติบโตขึ้นมาให้ร่มเงา คุณหมอประจำหุบเขาพญา เดินทอดน่องมาหยุดยืนหน้าหินก้อนใหญ่ ที่เปรียบดั่งประตูไปสู่ความดำมืดของคุกทมิฬ ชายหน้าเหี้ยมที่ยืนเฝ้าอยู่ ก้มหน้าทักทายหมอเล็กน้อย แล้วเปิดทางให้เดินเข้าไปได้

หมอกานต์เดินผ่านช่องหินมาโผล่ตรงลานกว้าง แล้วเดินตรงไปยังเรือนไม้ที่ใหญ่ที่สุด ขึ้นบันไดเจ็ดชั้นไปหาคนที่ยืนกอดอกอยู่ตรงระเบียง ทอดสายตามองไปเบื้องหลังกำแพงหินซึ่งหมอรู้ดีว่าคือคุกนั่นเอง กระทั่งหมอเดินมายืนใกล้ๆ ใบหน้าคมจึงหันมามอง เปิดยิ้มให้เล็กน้อย ก่อนจะทักทายออกมา

“สวัสดีหมอกานต์”

“สวัสดีนายหิน วันนี้นักโทษหลังกำแพงของเราเป็นไงบ้าง”

“ดีขึ้น เลวลง และบางคนก็สิ้นลมหายใจไปแล้ว”

หมอพยักหน้าอย่างเข้าใจในสิ่งที่เกิดขึ้นพลางบอกว่า “ธรรมดาของการเจ็บป่วย ซึ่งเป็นธรรมชาติของคนและทุกสิ่งในโลกที่มีเกิดก็ต้องมีดับสูญไป”

“หมอปลงได้ดี” พูดจบหินก็เชิญหมอกานต์ให้ไปนั่งที่เก้าอี้ไม้ตรงมุมระเบียง พอหย่อนตัวลงนั่งเรียบร้อย หมอก็บอกว่า

“หมอต้องคลุกคลีอยู่กับเรื่องพวกนี้มานาน ทำใจได้แล้วละ แล้ววันนี้มีใครเป็นอะไรบ้างครับ” หมอถามตามปกติที่ต้องมาตรวจอยู่แล้ว “หรือมีใครแอบเข้ามาในหุบเขา ให้เจ็บตัวอีก”

“ไม่มีหรอก ไอ้ที่เจ็บๆก็ไอ้พวกเดิมๆ ที่ยังไม่พ้นเวรพ้นกรรม ได้แต่ร้องโหยหวนอยู่หลังกำแพงนั่นแหละ”

“กรรมของใครก็กรรมของมัน”
“แล้วเรื่องที่เกิดขึ้นกับนายหญิงเป็นกรรมด้วยหรือเปล่า”

คุณหมอยิ้มและไม่มีอาการแปลกใจที่หัวหน้าคุกทมิฬจะรู้เรื่องนี้ เพราะเป็นทั้งเพื่อนทั้งคนสนิทของป๊ะเพลิงนั่นเอง แต่เขาก็พูดออกไปไม่ได้ เพราะแม่นมทั้งสองคนได้ขอร้องให้เก็บเรื่องของหญิงสาวไว้เป็นความลับ จะด้วยเหตุผลอะไรนั้นเขาไม่รู้ แต่ด้วยจรรยาบรรณของหมอแม้จะอยู่ในป่า เขาก็ยังถือไว้อย่างเคร่งครัด จึงได้แต่บอกว่า

“เรื่องอะไรละครับ ถ้าเรื่องเจ็บไข้ได้ป่วยหมอก็บอกได้ว่าตอนนี้เธอสบายดี แต่ถ้าเป็นเรื่องอื่นคุณคงต้องไปถามป๊ะเพลิง”

“แสดงว่าหมอรู้หลายเรื่อง”

“หมอรู้แค่เรื่องเจ็บป่วย เรื่องอื่นไม่รู้หรอกครับ ยิ่งเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ ที่แม้แต่วิทยาศาสตร์ก็ยังพิสูจน์ไม่ได้ ยิ่งไม่รู้เลย”

การถ่อมตัวของหมอกานต์ทำให้หินยิ้มที่มุมปาก แล้วลุกขึ้นยืนก่อนจะบอกว่า “หมอรักษากฎได้ดี ขอบคุณมาก เชิญหมอไปดูไอ้พวกมีกรรมที่คุกได้เลย ผู้คุมกฎ ดาบ ปืน ขวาน มีด รอช่วยอยู่แล้ว”

“ขอบคุณนายหินเช่นกัน ที่เข้าใจหมอและไม่ถามอะไรให้หมอลำบากใจ”

พูดจบหมอกานต์ก็ลุกขึ้นเดินมาที่บันได ก้าวลงมาทีละขั้นจนถึงชั้นล่าง ก็เดินไปที่กำแพงหิน โดยมีสายตาของหัวหน้าคุกมองตามไป พลางคิดถึงหญิงสาวที่อยู่ในหัวข้อสนทนาเมื่อกี้ แล้วนึกย้อนไปถึงตอนที่ทานข้าวกันอยู่ สายตาของป๊ะเพลิงนั้นบอกเขาว่าเธอต้องโดนลงทัณฑ์ และป่านนี้ก็ไม่รู้ว่าจะโดนไปแค่ไหนแล้ว
***********
ดวงตะวันลอยขึ้นสูงจนเกือบจะตรงหัว เพลิงจึงเดินออกมาหาเมียมารยา ที่ไม่มีพิรุธใดๆให้เห็นนอกจากเดินเก็บดอกไม้มาจัดช่อสวยๆและร้อยเป็นมาลัยดอกหญ้า แถมยังเอื้อเฟื้อเก็บหญ้ามาให้เจ้าพยัต พูดคุยอยู่กับมันอย่างกับมันรู้เรื่อง ซึ่งเขาก็ยังแปลกใจอยู่ที่มันไม่พยศใส่เธอ กระทั่งเขาเดินมายืนข้างมัน พิมพ์ลดาก็จับตามองเขาที่ไม่พูดอะไรนอกจากเหวี่ยงตัวขึ้นนั่งบนหลังม้า และใช้สายตาบอกให้เธอขึ้นไป แต่จนแล้วจนรอดเธอก็ยังยืนอยู่ที่เดิม

“ขึ้นมา” เสียงห้วนห้าวบอกความไม่พอใจ แต่เธอยังไม่ขยับ ได้แต่บอกว่า

“ฉันขึ้นไม่เป็น”

“อย่าดัดจริต”

น้ำคำเหยียดหยามนั่นทำให้พิมพ์ลดาหน้าชาไปเล็กน้อย ก่อนจะเชิดหน้าขึ้นอย่างถือดี “ฉันไม่ได้ดัดจริต แต่ทำไม่ได้จริงๆ”

“คนที่ขี่ม้าเป็นและเก่งอย่างเธอ จะขึ้นม้าไม่เป็นได้ยังไง”

พิมพ์ลดานิ่งไปกับความรู้ใหม่เกี่ยวกับตัวเอง แต่เธอไม่มีความรู้สึกว่าขี่ม้าเป็นเลย ก่อนหน้านี้เธอก็กลัวม้าจะตาย ถ้าเธอขี่เป็นแล้วเธอจะกลัวทำไม เธอส่ายหน้าอย่างไม่เชื่อ และยืนยันออกมา “ฉันขี่ไม่เป็น”

“จะบอกว่าจำไม่ได้อีกใช่ไหม”

น้ำเสียงเยาะหยันนั่นไม่ได้ทำให้เธอรู้สึกโกรธ เพราะคำพูดเขาสะกิดความจริงที่เธอเป็นอยู่อีกครั้ง จึงพยายามคิดถึงความทรงจำที่หายไป แต่คิดยังไง ลึกลงไปเท่าไรก็มีแต่ความดำมืด สีหน้าเธอเจ็บปวดเพราะคิดมากแต่ไม่ได้ทำให้นายแห่งหุบเขาสงสารเพราะมองเป็นมารยาเหมือนเดิม แล้วดีดตัวลงมาจากหลังม้ามามองด้วยสายตาที่เยาะหยันไม่เปลี่ยน คำพูดที่ออกมาก็ไม่ต่างกัน

“อยากให้ฉันทบทวนความจำให้หรือไง ถึงได้แกล้งทำเป็นลืม แต่ทำไมไม่ลืมว่าเป็นเมียฉันไปด้วย”

คำพูดด้วยปากแต่ถากถางด้วยสายตา ทำให้พิมพ์ลดาเก็บกดอาการปวดหัวไว้ และตอบโต้ออกมาด้วยน้ำเสียงที่ไม่ต่างกัน “ถ้าคุณไม่พูดขึ้นมาฉันก็ลืมไปแล้วเหมือนกัน และไม่เคยมีคำนี้อยู่ในหัวเลยเหมือนกัน”

“ก็ดี จำไว้ให้แม่นๆละ และจำไว้อีกอย่างว่าเธอเป็นเมียที่ฉัน ไม่ ต้อง การ”

“ไม่ต้องการ แล้วทำไมคุณถึงแต่งงานกับฉัน”

“อย่าแกล้งทำเป็นไม่รู้ ทั้งๆที่เธอทำด้วยมือแล้วจะลบด้วยเท้าเพื่อให้ฉันเชื่องั้นเหรอ ฉันไม่โง่เป็นครั้งที่สอง”

“ฉันไม่ได้แกล้ง และเลิกพูดเสียดสีฉันเสียที บอกมาดีกว่า ฉันจะได้ขอบคุณให้มันจบๆกันไป”

ว่าแล้วเธอก็รอฟัง เพื่อไขความสงสัยของตัวเอง แต่เขายังไม่พูดออกมา นอกจากมองด้วยสายตาที่เหยียดหยามเธอเหมือนเดิม แต่ลึกลงไปเพลิงก็อดสงสัยไม่ได้ เพราะสีหน้าแววตาเธอนั้นบอกเขาว่าไม่ได้แกล้ง แต่... ความจริงที่เขาได้รับมา มันทำให้เขาเชื่อเธอไม่ลง

“ง่ายไปพิมพ์ลดา ง่ายไปจริงๆ อย่าคิดว่าที่พูดมาทุกอย่างจะทำให้เธอได้ออกไปจากที่นี่ หรือคิดว่าที่ได้ไปนั้นมันเพียงพอแล้ว”

“ได้อะไร ฉันไม่เห็นว่าจะได้อะไร นอกจากความหยาบคายและป่าเถื่อนจากคุณ”

“มันยังน้อยไปกับสิ่งที่เธอทำกับฉัน”

พิมพ์ลดาสบตาคมที่เต็มไปด้วยความเย็นชา แล้วผ่อนลมหายใจที่เหนื่อยหน่ายออกมา เพราะพูดกันไปก็วกกลับมาให้คิดถึงเรื่องเดิมๆ เหมือนพายเรือนวนอยู่ในอ่าง “ถ้าคุณไม่ตอบก็อย่าพูดอีกเลย ฉันไม่อยากปวดหัวอีก และไม่ต้องเน้นย้ำอะไรให้ฉันรู้ทั้งนั้น โดยเฉพาะคำว่าเมียที่คุณพูดออกมา จากนี้ไปลบออกจากสมองคุณไปเลย เพราะฉันก็ไม่มีความรู้สึกว่าเคยเป็นเมียคุณ หรืออยากเป็นเมียคุณสักนิด และถ้าจะให้ดี ก็ขอให้คุณมองฉันเหมือนผู้หญิงอื่นๆที่ผ่านเข้ามาในสายตาคุณ แล้วผ่านไปเหมือนสายลมหรือสิ่งของอะไรก็ได้ ที่คุณไม่สนใจ”

“ถ้ามันทำได้ง่าย ฉันคงทำไปแล้ว”

“มันก็ไม่ได้ยากไม่ใช่เหรอ หรือคุณจะให้ฉันไปอยู่ที่ไหนก็ได้ ที่คุณไม่ต้องเห็นต้องเจออีก”

“เพื่อเธอจะทำอะไรได้ง่ายๆอย่างที่ต้องการงั้นเหรอ หึ” เสียงหยันดังออกมา “เธอคิดผิดแล้วพิมพ์ลดา ฉันขอบอกว่าเธอต้องอยู่ในสายตาฉันตลอดเวลา ไม่มีทางที่เธอจะเป็นเหมือนสายลม หรืออะไรสักอย่างที่ฉันจะมองข้ามผ่าน แต่เธอจะต้องเป็นลมหายใจที่ติดอยู่กับตัวฉัน และเมื่อถึงเวลาหมดความสำคัญเธอก็จะเป็นเพียงลมหายใจที่ฉันทิ้งไปเท่านั้นเอง”

น้ำเสียงแข็งกร้าวราวกับลิ่มที่ตอกลงไปในใจเธอนั้น ถ้าเธอไม่ความจำเสื่อมหรือจำได้ว่ารักเขามาก คงเจ็บปวดกับคำพูดเขาน่าดู แต่เมื่อตอนนี้เธอไม่มีความรู้สึกใดๆ ก็ได้แต่เมินเฉย และไม่มีคำพูดใดๆออกมาอีก เพลิงเองก็เช่นกัน จากนั้นเขาก็ยกตัวเธอขึ้นนั่งบนหลังม้า ก่อนจะเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่งซ้อนด้านหลัง แล้วบังคับเจ้าพยัตให้ออกเดินไปเรื่อยๆ ก่อนจะเร่งฝีเท้าให้กลายเป็นควบพาเขากลับเรือนเชิงผา
**********
เรือนไม้หลังใหญ่ที่ตั้งเด่นอยู่บนเนินสูง ตรงชานเรือนแม่นมทั้งสองคนนั่งอยู่บนแคร่ไม้ สายตาชะเง้อมองไปที่ทางเดินหน้าเรือน ตั้งแต่นายแห่งหุบเขาลากหญิงสาวไป ท่าทีของทั้งคู่ก็ไม่สงบสุข ลุกเดินลุกนั่งสวนกันไปสวนกันมา งานที่ทำเป็นประจำก็เมินเฉย กิ่งไม้ รากไม้ ที่ต้องเอามาหั่นก่อนตากให้แห้งเพื่อเก็บไว้ทำยาสมุนไพร ก็ถูกวางทิ้งอยู่ไว้ในกระจาด ไม่ได้รับการเหลียวแล เพราะใจคอยพะวงถึงหญิงสาว แต่แล้วจนรอดทั้งสองคนก็ยังไม่เห็นคนที่รออยู่โผล่มาสักที จึงพากันถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ๆ

“ป๊ะเพลิงจะทำอะไรนายหญิงหรือเปล่า” เสียงนมสดดังขึ้น เมื่อไม่อาจทนเก็บความร้อนใจไว้ได้อีกแล้ว แต่แทนที่ความกังวลจะหายไป กลับหนักใจเพิ่มขึ้น เมื่อนมสุกบอกว่า

“ทำนะทำแน่ แต่จะทำอะไรนี่ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน เอ็งคิดดูนะว่านายหญิงที่ไม่เคยทำอะไรเลย งานบ้านงานเรือนยิ่งแล้วใหญ่ ไม่เคยจะแตะ อย่าว่าแต่แตะเลยแค่มองยังไม่เคยจะชายตาแลด้วยซ้ำ แล้วจู่ๆก็ทำได้ทุกอย่าง และทำได้ดีไม่ต่างจากที่เอ็งกับข้าทำ ถ้าไม่เห็นกับตาก็ไม่มีวันจะเชื่อเด็ดขาด แล้วป๊ะเพลิงที่ไม่ได้เห็นเหมือนเอ็งกับข้าจะเชื่อได้ไง เอ็งเห็นไหมตอนทานข้าวหน้านี้ยังกับยักษ์จะออกรบ”

“นั่นนะซิ ข้านี้กลัวจะหักคอนายหญิงกินเสียจริงๆ น่าสงสารเธอนะ ครั้งนี้ไม่ได้ทำอะไรผิด ทำดีด้วยซ้ำไป แต่ก็ยังถูกมองว่าผิด”

“ทำไงได้ละว้านางสุก คนมันเคยทำผิด และไม่ใช่ผิดน้อยๆนะ ผิดอย่างมหันต์ ต่อให้ทำดีแค่ไหนก็ยังถูกมองว่าร้ายอยู่ดี”

นมสุกพยักหน้าอย่างเห็นด้วย แต่ก็ยังมีความสงสารหญิงสาวอยู่ “ป๊ะเพลิงก็เหลือเกิน ไม่ถามไม่ฟังอะไรก็ลากเธอไปแล้ว ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” ว่าแล้วนมสุกก็ถอนหายใจออกมาอีกเฮือกใหญ่ นมสดก็มีอาการไม่ต่างกัน แล้วบอกว่า

“ถ้าเมื่อก่อนเธอไม่กรีดกราย ไม่ร้ายใส่ใคร ไม่จ้องแต่จะหาผลประโยชน์ เรื่องร้ายๆแบบนี้ก็คงไม่เกิดขึ้น”

“ใช่ แต่เอ็งแน่ใจหรือว่าเธอเปลี่ยนไปจริงๆ” นมสุกถามพลางสบตานมสดอย่างระแวง “ไม่ใช่เสแสร้งแกล้งทำหน้าไหว้หลังหลอกให้เราตายใจนะ”

“ข้าก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่ที่รู้เค้าว่ากันมาว่าสันดานของคนมันเปลี่ยนไม่ได้ ซึ่งถ้าเป็นจริง...”

“ป๊ะเพลิงพานายหญิงมาแล้ว”

เสียงนมสุกดังขึ้นทำให้คำพูดของนมสดหยุดลงแค่นั้น แล้วหันไปมองที่หน้าเรือน ก่อนจะลุกขึ้นเดินลงบันไดไปหานายแห่งหุบเขา ที่บังคับม้าให้หยุด พิมพ์ลดาเลื่อนตัวลงจากหลังมันโดยไม่รอขอความช่วยเหลือจากเขา ซึ่งก็ไม่พูดอะไร นอกจากเหวี่ยงตัวตามลงมาพร้อมๆกับที่นมสดกับนมสุกเดิมมาถึงพอดี

“ป๊ะเพลิง นายหญิงไม่ได้ขัดคำสั่งเลยนะ” เสียงนมสุกละล่ำละลักขึ้นทันที โดยมีนมสดสนับสนุนตามมา

“ใช่ นมสองคนก็ไม่ได้ช่วยอะไรเธอเลย กับข้าวทุกอย่างเธอทำเองทั้งนั้น ตั้งแต่จุดเตา โขลกพริก...”

สองนมช่วยกันพูด พูดๆก่อนจะอึ้งไป เมื่อเพลิงบอกว่า “ฉันรู้แล้ว แต่ไม่เชื่อ” พูดจบเขาก็จับข้อมือเรียวดึงให้ตัวเดินตามไปที่ห้องครัว นมสดกับนมสุกก็กระวีกระวาดตามไปอย่างห่วงใย พอพ้นประตูห้องเข้ามา ร่างอรชรก็ถูกเหวี่ยงให้ไปยืนอยู่กลางห้อง

“ทำให้ฉันดู และถ้าไม่เป็นอย่างที่เธอพูด คุกทมิฬได้ต้อนรับเธอแน่”

พิมพ์ลดาเม้มริมฝีปากเก็บอารมณ์ขุ่นเคืองเขาไว้ ก่อนจะถามออกมา “จะให้ฉันทำอะไร”

“ทุกอย่างเหมือนเมื่อเช้า”

“เดี๋ยวนมช่วย”

“ไม่ต้อง” น้ำเสียงเฉียบขาดนั้นทำให้นมสุกกับนมสดต้องถอยออกมา เพราะหน้าสิ่วหน้าขวานอย่างนี้ ถ้าไม่เชื่อฟังกันละก็อาจจะได้ไปนอนในคุกทมิฬด้วย

พิมพ์ลดาหันไปยิ้มให้สองนมอย่างไม่เป็นไร แล้วเดินไปจัดการทำกับข้าว หุงข้าวให้เขาดู เธอทำอย่างคนที่ทำเป็นจริงๆ คล่องแคล่ว ว่องไว ไม่มีอาการประดักประเด่อให้เห็น ยิ่งตอนที่ตำพริกแกงเสียงตำนั้นดังด้วยแรงโกรธคนสั่ง จนแม่นมทั้งสองคนได้แต่แอบยิ้มพลางแอบมองหน้าป๊ะเพลิง ที่ยืนจ้องคอยจับผิดอยู่ตาไม่กะพริบ จากนั้นนมสุกก็สะกิดให้นมสดเดินตามออกมาจากห้องครัว ห่างออกมาไม่เท่าไร นมสดก็ถามขึ้น

“ทิ้งให้เธออยู่กับป๊ะเพลิงอย่างนั้นมันจะดีเหรอนางสุก”

“ข้าก็ไม่รู้ แต่ข้าอยากให้ป๊ะเพลิงได้มีเวลาอยู่กับเธอ จะได้เห็นว่าเธอเปลี่ยนไปยังไงบ้าง”

“แต่ข้ากลัวจะเกิดเรื่องนะซิ” เสียงนมสุกติดจะกังวล

“ถ้าเกิด เมื่อเช้าที่เธอโดนลากตัวไป คงไม่กลับมาครบสามสิบสองอย่างนี้หรอก”

“ก็จริง แต่ข้าก็ยังเป็นห่วงเพราะป๊ะเพลิงไม่มีทางที่จะให้อภัยเธอได้ง่ายๆ”

“ก็ขึ้นอยู่กับเธอแล้วละว่าจะเปลี่ยนแปลงได้มากแค่ไหน ถ้าเปลี่ยนได้จริงไม่เสแสร้งบางทีอาจจะเปลี่ยนใจป๊ะเพลิงจากแสนจะเกลียดชังให้มาเป็นแสนจะรักใคร่ก็ได้”

“ข้าว่ายาก เพราะสิ่งที่เธอทำมันฝังแน่นอยู่ในใจป๊ะเพลิงไปแล้ว แต่เอาเถอะตั้งความหวังไว้บ้างดีกว่าไม่มีเลย เอ็งกับข้าก็มาช่วยภาวนาให้ความแค้นมันจบด้วยความรัก หุบเขาพญาจะได้สงบสุขเสียที”

ทั้งคู่พยักหน้าพลางยกมือภาวนากัน ไม่นานก็เดินไปนั่งที่แคร่ไม้ หยิบกระจาดสมุนไพรมาหั่น ส่วนที่ห้องครัวพิมพ์ลดาหมุนซ้ายหันขวาไม่หยุดหย่อน กระทั่งทุกอย่างที่เขาสั่งเสร็จเรียบร้อย ก็ตักมาวางไว้บนโต๊ะให้เขาได้มองให้เต็มตา แล้วจะเดินออกมาจากห้อง แต่...

“นั่งลง” เสียงห้วนห้าวสั่งออกมา “ฉันยังไม่ได้ชิม เธอก็ยังไปไหนไม่ได้” พิมพ์ลดาไม่ฟัง เพราะถือว่าหมดหน้าที่เธอแล้ว ก็เดินต่อไปที่ประตู แต่โดนจับแขนกระชากให้กลับมาพร้อมเสียงกร้าวลึกเค้นออกมาให้น่ากลัว “อย่าท้าทายฉัน”

“แล้วคุณต้องการอะไรอีก” เธอถามพลางข่มความไม่พอใจไว้

“ถึงฉันไม่ต้องการ แต่เธอก็ต้องอยู่ข้างฉัน”

“รักฉันมากขนาดนั้นเลยหรือคะ”

“ฉันเกลียดเธอต่างหาก”

“แต่ก็ยังอยากให้อยู่ใกล้ ปากกับใจช่างไม่ตรงกันเลยนะคะ”

พิมพ์ลดายั่วโดยไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำลงไปนั้นจะสร้างความลำบากให้เธอภายหลัง เพราะเพลิงได้คิดโทษที่จะลงทัณฑ์เธอไว้แล้ว แล้วปล่อยมือเธอ เดินไปนั่งที่เก้าอี้ จับช้อนขึ้นมากินอาหารที่เธอทำ รสชาติที่ได้เหมือนเมื่อเช้าไม่ผิดเพี้ยน ถ้าไม่เห็นกับตาเขาจะไม่เชื่อเด็ดขาด จึงเก็บความแปลกใจไว้อย่างมิดชิด แต่ก่อนจะเดินออกจากห้องครัวไป ก็ทิ้งคำพูดให้พิมพ์ลดาได้หวาดหวั่นว่า

“แล้วฉันจะทำให้เธอเห็น ว่าเกลียดของฉันเป็นยังไง”
***********
พนาไพรในหุบเขาพญาพลิ้วไหวไปตามกระแสลม หลังเที่ยงไอ้ชาติทำทีเดินเตร็ดเตร่ชมนกชมไม้ไปเรื่อยๆ แต่แท้ที่จริงแล้วจะไปที่เรือนเชิงผา เพื่อสืบความเป็นไปของนายหญิงตามที่รับปากเดือนประดับไว้ แล้วต้องหมุนตัวหลบหลังต้นไม้อย่างรวดเร็ว เมื่อเห็นม้าของป๊ะเพลิงกำลังวิ่งมา กระทั่งวิ่งผ่านไป มันก็ทิ้งเรื่องนายหญิง รีบวิ่งกลับไปรวมกลุ่มกับคนงาน ก่อนที่ป๊ะเพลิงจะไปถึง และโชคก็เข้าข้างมันที่ไปถึงก่อน

มันรีบทำตัวให้ปกติเหมือนไม่ได้หายไปไหนมา พูดจาหยอกเล่นกับคนงาน กระทั่งม้าของป๊ะเพลิง หัวหน้าคุกทมิฬ ผู้คุมกฎอีกสองคนเดินเข้ามา ทั้งหมดบังคับม้าให้มาหยุดยืนอยู่ไม่ห่าง เพลิงมองหน้าทุกคน แต่ไม่มีคำพูดใดๆ เพราะต่างก็รู้หน้าที่ของตัวเองดีอยู่แล้ว

ปืนกับขวานสองผู้คุมกฎบังคับม้าให้ออกเดินนำทุกคนไปยังจุดการทำงานบ่ายนี้ ไม่มีใครรู้ว่าแต่ละวันจะได้ทำอะไร เพราะไม่มีการแจ้งล่วงหน้า คนที่คอยจ้องจะหาผลประโยชน์หน้าเนื้อใจเสืออย่างไอ้ชาติ ที่อยากรู้จุดน้ำสีดำใจจะขาด จึงไม่เคยมีข้อมูลเอาไปขายให้ใคร สิ่งที่มันทำได้คือการเก็บเล็กผสมน้อยแล้วค่อยปั้นน้ำให้เป็นตัวขึ้นมาเท่านั้น

เพลิงตวัดสายตามองตามไปเพียงแวบเดียว ก็บังคับเจ้าพยัตให้วิ่งขึ้นไปบนเส้นทางที่มุ่งตรงสู่หน้าผา โดยมีหินควบม้าของตัวเองตามไปด้วย ไม่นานด้วยความชำนาญทั้งคู่ก็มายืนอยู่บนหน้าผาสูง ต่างเหวี่ยงตัวลงจากหลังม้าแล้วเดินไปยืนมองความเป็นไปในหุบเขา

กลุ่มคนงานถูกจับตามองเป็นพิเศษ เพราะบ่ายนี้จะมีน้ำสีดำจากทะเลทรายมาถึงหุบเขาพญา ปืนกับขวานจะต้องแบ่งคนงานออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มหนึ่งจะไปขุดเจาะหาแหล่งน้ำมัน อีกกลุ่มจะไปขนถ่ายน้ำสีดำที่ยังเป็นความลับสำหรับหลายคน ว่าถูกเอาไปเก็บไว้ที่ไหน แล้วที่ขุดเจาะกันทำไมถึงไม่เคยเจอ

เสียงใบไม้ที่ถูกเหยียบดังแทรกผ่านความเงียบมากระทบหูของเพลิง แม้จะแผ่วเบาแต่เขาก็ยังได้ยิน จึงหันไปมองพร้อมๆกับหิน ชายชุดดำสามคนเดินตรงมาหยุดยืนอยู่ไม่ห่าง ทั้งสามคนเป็นคนของพ่อเขานักล่าแห่งทะเลทราย ก้มหน้าให้นายหนุ่มเล็กน้อย แล้วบอกว่า

“ของมาถึงแล้ว ทุกอย่างเรียบร้อยไม่มีเสียหาย”

“ขอบใจมาก พวกนายไปพักได้ ที่เหลือคนของฉันจะดูแลต่อเอง”

“ครับ” รับปากแล้วทั้งสามก็ถอยห่างจนหายเงียบไป เพลิงก็หมุนตัวมามองกลุ่มคนงาน เช่นเดียวกับหิน ทั้งคู่ยืนมองไปเงียบๆ กระทั่งเสียงหินดังขึ้น

“ที่สงสัยเรื่องหนอน มีใครหรืออะไรให้สงสัยบ้างหรือยัง”

“ยัง คนงานทุกคนยังไว้ใจได้พอๆกับน่าสงสัย แต่ยังไม่มีใครโดดเด้งออกมาให้จับตามองเป็นพิเศษ”

“คนประเภทนี้เป็นภัยเงียบที่น่ากลัว เพราะไม่กระโตกกระตากแต่จะคืบคลานเข้ามากัดทีละนิด ถ้าไม่รีบจัดการก็จะเจ็บไปถึงใจทีเดียว”

“ฝากนายช่วยดูด้วยก็แล้วกัน”

“ฉันทำอยู่แล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง” พูดจบหินก็ก้มลงหยิบใบไม้สีน้ำตาลขึ้นมา พร้อมกับบอกว่า “จากที่ฟังนายพูด และได้เจอเธอเมื่อเช้า เธอดูแปลกไปอย่างที่นายว่าจริงๆ”
“วิธีเอาหนามบ่งที่คิดไว้ ก็ยังไม่ได้ผล เธอยังไม่เผยสันดานออกมา”

“ถ้าอย่างนั้นเธอน่ากลัวกว่าที่เราคิดไว้มาก เพราะเปลี่ยนสีได้ดียิ่งกว่าจิ้งจกและไม่ใช่แค่ภายนอก ภายในเธอก็เก็บชนิดที่พลิกฝ่ามือทีเดียว”

“ฉันรู้ และจะรอดูว่าใบไม้สีน้ำตาลที่เธอแสร้งทำขึ้นมาเพื่อหลอกลวงเรา เมื่อถูกทิ้งไว้กับพื้นดิน มันจะผลัดใบขึ้นมาใหม่หรือจะเน่าเปื่อยกลายเป็นปุ๋ยดินไป”

“แล้วถ้ามันผลัดใบจนเขียวชอุ่มขึ้นมา นายจะทำยังไง”

เสียงหินติดจะหยันเพราะภาพที่เขากับป๊ะเพลิงโดนวางยามันเป็นบทเรียนที่ไม่เคยลืมเลย เพราะมันนำพาสิ่งเลวร้ายมาในหุบเขา จากที่เคยสงบสุขต้องเริ่มลุกเป็นไฟ แม้ไอ้พวกที่ถูกเผาหลอกไม่มีใครสารภาพออกมาว่ามีใครบงการให้เข้ามาในหุบเขา แต่เขากับเพลิงก็รู้อยู่แก่ใจว่าคงจะไปใครไปไม่ได้ นอกจากนายอธิปพ่อของเธอโดยมีเธออยู่เบื้องหลัง

“มันคงเป็นไปไม่ได้”

“นายอย่าเพิ่งมั่นใจ เพราะรู้ๆกันอยู่ว่าทุกอย่างในโลกนี้มันไม่แน่นอน และเราก็เพิ่งจะรู้กันมาเรื่องที่เธอตายแล้วฟื้น แม้ไม่เห็นกับตา แต่เป็นสัจธรรมให้เห็นว่ามีอยู่จริง อีกอย่างนายต้องอยู่กับเธอเกือบตลอดเวลาควรระวังให้ดี เพราะคนที่อยู่ใกล้ตัวน่ากลัวว่าคนที่อยู่ไกลมากนัก”

“ขอบใจ แต่ไม่ต้องเป็นห่วง เพราะเธอกำลังจะได้รับบทเรียนอย่างสาสม” พูดจบเพลิงก็หมุนตัวเดินไปที่เจ้าพยัตที่ยืนกินหญ้าอยู่ เขาวางมือลงบนหลังมันก่อนจะเหวี่ยงตัวขึ้นไปนั่ง แล้วถามหินว่า “ฉันจะไปคุยกับหมอ นายจะไปด้วยหรือเปล่า”
หินนิ่งคิดเพียงนิดก็พยักหน้า เพราะเขาก็ยังไม่ได้คำตอบจากหมอเหมือนกัน แล้วเดินไปที่ม้าของตัวเอง ขึ้นไปนั่งบนหลังมันได้แล้วก็บังคับให้วิ่งตามม้าของป๊ะเพลิงไป ไม่นานทั้งคู่ก็มาถึงเรือนหมอกานต์

หมอสูงวัยละสายตาจากกระจาดสมุนไพรที่ตากไว้ ไปมองม้าสองตัวที่เหยาะย่างตรงมาที่เรือน เพียงเห็นชัดว่าเป็นใคร ก็เดินไปยืนรออยู่ กระทั่งทั้งสองคนลงจากหลังมาเดินมาหา ก็เชิญให้ขึ้นไปนั่งบนเรือน หัวหน้าคุกทมิฬนั่งลงบนแคร่ไม้ ส่วนนายแห่งหุบเขา ยืนกอดอกพิงเสาระเบียงมองหมอ ซึ่งก็สบตาอย่างพอจะรู้ว่าเขาต้องการอะไร

“ป๊ะเพลิงคงสงสัยเรื่องนายหญิง”

“ใช่ หมอคงรู้สึกไม่ต่างกับฉัน ว่าเธอเปลี่ยนไป”

“ครับ” หมอยอมรับออกมา เพราะไม่มีอะไรที่ต้องปิดบังหรือพูดไม่ได้กับนายแห่งหุบเขา “อย่างแรกเรื่องความจำ อย่างที่สองเท่าที่เห็นคือลักษณะท่าทาง ซึ่งต่างไปจากเดิมมาก กลับมาจากคุกทมิฬเมื่อกี้ หมอก็แวะไปตรวจร่างกายเธออีกครั้ง ก็ปกติดีทุกอย่าง แต่พอซักถามเรื่องความจำ เธอบอกว่าจำอะไรไม่ได้เลย ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นใคร ไม่รู้ว่าที่นี่คือที่ไหน ที่สำคัญนมสดยังกระซิบบอกว่า แม้แต่ชื่อตัวเองเธอก็จำไม่ได้”

เพลิงนิ่งไป หินก็ไม่ต่างกัน ทั้งคู่ครุ่นคิดด้วยเหตุผลที่ไม่ต่างจากที่ได้คุยกันก่อนหน้านี้ “เป็นไปได้ไหมว่าเธอแกล้งทำ”
คุณหมอยิ้มให้กับหัวหน้าคุกทมิฬก่อนจะตอบว่า “อาจจะเป็นไปได้และไม่ได้เท่าๆกัน ซึ่งพิสูจน์ได้ไม่ยาก เพราะคนเราจะเปลี่ยนอะไรก็เปลี่ยนได้ แต่นิสัยที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิดนี้เปลี่ยนยาก แล้วเวลาจะตอบเราได้เองว่าคนๆนั้นจะเปลี่ยนไปจริงหรือเปล่า”

“หมอเคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ไหม”

“ผมก็ไม่เคยเจอเหตุการณ์แบบนี้ ตอนนี้ก็ยังหาคำตอบที่แน่ชัดไม่ได้ แต่ถ้าให้ตอบแบบวิทยาศาสตร์ คงเป็นเพราะสภาวะทางร่างกายที่ช็อกไปด้วยเหตุอะไรบางอย่าง พอฟื้นขึ้นมาจึงจำอะไรไม่ได้ เพราะจิตใต้สำนึกไม่อยากจำอีกแล้ว แต่ถ้าเป็นความเชื่อของชาวบ้านหรือพวกไสยศาสตร์คงบอกว่าเป็นเพราะผีเข้า”

คิ้วเข้มของเพลิงเลิกขึ้นสูง เพราะไม่เชื่อแต่ก็ไม่ได้โต้แย้ง “แล้วความทรงจำจะกลับมาหรือเปล่า”

“หมอก็ไม่รู้เหมือนกัน บางคนอาจจะกลับมาถ้าได้ไปอยู่ในสถานที่ๆคุ้นเคยหรือเคยอยู่ แต่บางคนก็ไม่กลับมาเลย”

“แล้วสิ่งที่เกิดขึ้นตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาจะติดตัวตลอดไป หรือจะหายไปอีก”

“เท่าที่ได้คุยกับนายหญิง ทุกอย่างตั้งแต่ฟื้นขึ้นมาเธอจำได้เป็นอย่างดีและถ้าไม่ได้รับความกระทบกระเทือนอย่างหนักก็อาจจะหายไปได้อีก”

เพลิงพยักหน้า บอกขอบหมอกานต์แล้วเดินลงจากเรือนไปพร้อมกับหิน โดยมีสายตาของหมอมองตามไปจนกระทั่งทั้งคู่ขึ้นไปนั่งบนหลังม้าแล้วควบออกไป ก็ถอนใจออกมาหนักๆ เพราะยังคิดไม่ตกเหมือนกันว่าเกิดอะไรขึ้นกับหญิงสาว แล้วลุกขึ้นเดินเข้าไปในเรือนเพื่อเปิดตำราหาคำตอบให้ตัวเอง โดยไม่รู้ว่าไม่มีตำราเล่มไหนตอบหมอได้ เพราะเรื่องที่เกิดขึ้นเป็นเรื่องเหนือธรรมชาติ
**********
พิมพ์ลดายืนอิงเสาระเบียงเรือนมองทิวเขาที่สลับทับซ้อนกันอยู่ไกลๆ แต่ในหัวใจหนักอึ้งด้วยเรื่องของตัวเอง ที่จำอะไรไม่ได้เลย การที่เธอได้คุยกับหมอสรุปได้ว่าความทรงจำก่อนที่เธอจะลืมตาขึ้นมา ได้หายไปโดยที่ไม่สามารถสรุปได้ว่าเป็นเพราะอะไร เหตุผลที่หมอบอกมา ไม่ได้ทำให้เธอสบายใจขึ้น เพราะไม่สามารถบอกได้ว่าเหตุใดนายป๊ะเพลิงถึงได้เกลียดเธอ นมสดกับนมสุกก็ไม่ยอมบอกเธอเหมือนกัน

ดวงอาทิตย์คล้อยต่ำลงจนเกือบจะหมดวัน ความอ้างว้างว้าเหว่จู่โจมเข้ามาในหัวใจ เพราะมองไปทางไหนก็มืดมน มีแต่คนและสถานที่ที่ไม่รู้จัก มิหนำซ้ำยังต้องเจอกับความหยาบคายของคนที่อ้างว่าเป็นสามี ที่ไม่ว่ายังไงก็ไม่มีความรู้สึกเลยว่าเขาเป็น แล้วทิ้งความคิดไว้แค่นั้น เมื่อเริ่มที่จะปวดหัว หมุนตัวเดินมาหาสองนม ที่นั่งหั่นสมุนไพรอยู่บนแคร่ไม้

นมสดกับนมสุกวางมีดในมือ ก่อนจะเงยหน้าขึ้นยิ้มให้เธอ ซึ่งก็ยิ้มตอบ แล้วเอ่ยขอของหลายอย่างให้สองคนได้แต่มองหน้ากันอย่างแปลกใจ

“นายหญิงจะเอาไปทำอะไร” นมสดถามขึ้น

“ทำเพิงหมาแหงนให้น่าอยู่ขึ้นไงค่ะ”

“ไม่ต้องไปทำหรอกค่ะ เดี๋ยวนมจะขอคนจากคุกทมิฬมาทำให้”

“อย่าเลยค่ะ นายของนมคงไม่ยอม พิมพ์ทำเองดีกว่า ไม่อยากมีปัญหากับเขาอีก แล้วของอยู่ที่ไหนบ้างคะ เดี๋ยวพิมพ์ไปหยิบเอง”

“อยู่ที่ห้องเก็บของข้างห้องครัวค่ะ แต่อย่าไปเลยนะคะ อยู่ที่นี่แหละ”

“ถ้าพิมพ์อยู่ เดี๋ยวนายของนมกลับมาก็ลากพิมพ์ไปอยู่ดี พิมพ์ไปเองดีกว่า ไม่อยากถูกลากไปเหมือนไม่ใช่คนอีก” น้ำเสียงเธอเศร้า จนสองนมได้แต่สงสาร “เดี๋ยวพิมพ์ไปหยิบเสื้อผ้าที่ห้องก่อนนะคะ จะเอาไปเก็บไว้ที่โน้นเลย” พูดจบเธอก็เดินไปที่ห้องนอนที่น่าอยู่แต่เธอไม่มีสิทธิจะอยู่

แม่นมทั้งสองคนมองตามไปด้วยความสงสาร แล้วพากันถอนหายใจออกมา พอหญิงสาวเดินกลับมา ทั้งคู่ก็ลุกขึ้นเดินนำลงจากเรือนไปที่ห้องเก็บห้อง หยิบมีดพร้า จอม เสียม ถังน้ำ ให้ตามที่ขอ พิมพ์ลดาขอบคุณทั้งคู่ แล้วจะเดินไปแต่นมสุกยึดข้อมือไว้เสียก่อน

“นมจะไปด้วย แต่ขอไปจัดสำรับใส่ปิ่นโตไปด้วย เดี๋ยวป๊ะเพลิงกลับมาจะได้ไม่ต้องกลับมาจัดให้อีก”

คำพูดของนมสุกทำให้พิมพ์ลดารู้สึกอบอุ่นไปทั้งใจ ความอ้างว้างที่มีอยู่จางหายไป แม้จะไม่ทั้งหมดแต่ก็ทำให้เธอสุขใจไม่น้อย ยิ้มขอบคุณทั้งสองคนแล้วยืนรอ กระทั่งทั้งคู่กลับมาพร้อมปิ่นโตกับน้ำขันใหญ่ ก็พากันเดินไปที่เพิงหมาแหงน เอาของที่ถือมาไปเก็บไว้ในเพิงเรียบร้อยแล้ว พิมพ์ลดาก็เริ่มที่จะใช้จอมถากถางต้นหญ้าบริเวณหน้าเพิง โดยมีสองนมคอยช่วยเล็กๆน้อยๆ

ท่าทางเธอทะมัดทะแมงยังกับเคยทำมาก่อน แต่พอนมสดถามเธอก็บอกว่าไม่รู้ จำไม่ได้ รู้แต่ว่าทำได้เท่านั้น ซึ่งถ้าเธอจำอดีตที่จากมาได้ เธอคงจะรู้คำตอบ เพราะเธอช่วยตากับยายทำสวนเป็นประจำ

“พิมพ์ว่าจะปลูกไม้ที่มีผลให้กินกับไม้ที่มีดอกสวยๆดีไหมคะนม”

“ดีค่ะ ที่เรือนเชิงผามีไม้ดอกไม้ผลหลายชนิด เดี๋ยวนมจะไปเอามาให้” นมสุกอาสา

“ไว้วันหลังก็ได้ค่ะ วันนี้พิมพ์จะถางหญ้าไว้ก่อน แล้วพรุ่งนี้คอยขุดดินแล้วเอาต้นไม้มาลง”

เธอบอกพลางยกมือขึ้นปาดเหงื่อออกจากขมับ แล้วยิ้มสดใสให้ทั้งสองนม โดยไม่รู้ว่าคนที่ลากเธอมาอยู่ที่นี่ขี่ม้ามาหยุดแอบมองอยู่ แววตานั้นนิ่งลึกเพราะความแปลกใจและสงสัยที่เพิ่มมากขึ้น แต่ไม่กี่วินาทีมุมปากเขาก็เหยียดเยาะออกมาเหมือนเดิม

เพลิงบังคับเจ้าพยัตให้เดินไปที่เพิงหมาแหงน เสียงฝีเท้าของมันทำให้ทั้งสามคนหันไปมอง พิมพ์ลดาปรับสีหน้าให้นิ่งแล้วถางหญ้าต่อ ส่วนนมสุกกับนมสดก็ยิ้มแย้มให้กับนายหนุ่มที่ดูแลมานมนาน พอเขาลงจากหลังม้านมสดก็เดินไปหยิบขันน้ำเย็นลอยดอกมะลิหอมชื่นใจมาให้ดื่ม เพลิงรับมาดื่มก่อนจะส่งกลับไป แต่สายตามองเมียมารยาไม่วางตา

“เก่งนะคะ” นมสุกบอกเมื่อเห็นว่าเขายังมองเธออยู่ “ทำเป็นยังกับคนที่เคยทำมาก่อน และไม่อิดอดหรือบ่นออกมาสักคำ”

“ใช่ แล้วที่มาทำก็อาสาเองนะคะ” นมสดออกมามาบ้าง “ไม่มีใครใช้หรือบังคับเลย งานบ้านงานเรือนที่สั่งให้ทำก็เรียบร้อย งานในครัวก็ไม่มีที่ติ อาหารเย็นวันนี้นมตักใส่ปิ่นโตมาวางให้แล้ว มีทั้งข้าวทั้งแกง...”

“กลับไปได้แล้ว”

เสียงห้วนห้าวขัดขึ้นมาหยุดเสียงนมสดไว้พร้อมมองอย่างบังคับ ทั้งสองนมจึงได้แต่ปรายตามองหน้ากัน แต่ยังไม่มีทีท่าจะเดินจากไป เพราะเป็นห่วงหญิงสาว

“อย่าทำอะไรรุนแรงเลยนะป๊ะเพลิง” เสียงนมสดขอร้องอยู่ในที จะบอกว่าไม่ให้ทำอะไรคงเป็นไปไม่ได้ จึงได้แต่ขอไว้อย่างนั้น “เธออาจจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆก็ได้ หรือไม่เธอก็อาจจะเป็นใครอีกคนที่เราไม่รู้จัก”

“กลับไป”

เสียงเย็นๆนั้นบอกสองนมว่าอย่าพูดต่อหรืออยู่ต่ออีกเลย จึงได้แต่ส่งสายตาห่วงใยไปให้หญิงสาวก่อนเดินจากไป เพลิงมองตามไปแม้รู้สึกสะกิดใจกับคำพูดประโยคหลัง แต่ก็แค่นั้นเมื่อเขายังเชื่อว่าทุกอย่างที่เปลี่ยนไปเป็นเพียงมารยาของเธอ แล้วเดินไปหยุดยืนอยู่ตรงหน้าเธอ แต่เขาดูจะมีค่าน้อยกว่าหญ้าที่เธอถางอยู่ จึงคว้าหมับเข้าที่ข้อมือเรียว จนเธอจึงต้องเงยหน้าขึ้นมาหน้าเขาอย่างไม่พอใจ

เพลิงยกมุมปากขึ้นเยาะเล็กน้อย แล้วลากเธอให้เดินไปทางหลังเพิง บุกป่าฝ่าดงไม้หนาที่รกชัฏ กิ่งไม้เกะกะจนพิมพ์ลดาต้องยกมือขึ้นปัด และอยากถามว่าจะลากเธอไปไหน แต่ไม่ถามเพราะไม่ว่ายังไงก็ไม่อาจเปลี่ยนแปลงหรือเปลี่ยนใจเขาได้ ได้แต่ตามเขาไป ไม่นานก็โผล่พ้นแนวป่าออกมาเจอทุ่งโล่ง ที่เต็มไปด้วยก้อนหินและต้นหญ้าเขียวครึ้มแต่สวยด้วยดอกสีขวาที่แซมขึ้นมาโบกสะบัดไปตามกระแสลมลดหลั่นต่ำลงไปจนเห็นสายธาร

“สวยจัง”

เธอพึมพำออกมาพลางมองธารน้ำใสไหลเซาะไปตามโขดหิน แตกฟองเป็นละอองขาว เย้ายวนชวนให้ลงไปเล่น และมองตามเพื่อจะดูว่าต้นกำเนิดมันไหลมาจากไหน แต่ไม่เห็นอะไรมากไปกว่าความรกของป่า เพลิงปรายตามองความแช่มชื่นบนใบหน้างามและทำลายความรู้สึกของเธอด้วยการบอกว่า

“ฉันจะอาบน้ำ” เสียงทุ่มที่ดังขึ้น ทำให้พิมพ์ลดากะพริบตาเรียกสติให้กลับมาอยู่กับความจริง แต่ยังไม่ทันที่จะได้คิดอะไรมากไปกว่าที่ได้ยิน เขาก็บอกอีกว่า “แต่ไม่ใช่อาบที่นี่ เธอจะต้องตักน้ำจากลำธารนี้ไปให้ฉันอาบที่เพิง”

“อะไรนะ” เสียงเธอดังด้วยความตกใจ “คุณจะให้ฉันหิ้วน้ำไปได้ยังไง ทางออกจะไกล”

“นั่นมันเรื่องของเธอ และน้ำจะต้องเต็มตุ่ม ถ้าไม่เต็ม ก็ไม่ต้องพัก”

พูดจบเพลิงก็เดินกลับไปที่เพิงหมาแหงน ทิ้งให้เธอยืนอยู่ท่ามกลางความเงียบของป่า พิมพ์ลดาคับแค้นใจเป็นที่สุด แล้วเดินตามเขากลับไป หยิบถังน้ำเดินบุกป่ามาตักน้ำไปใส่ตุ่มถังแล้วถังเล่า จนเจ็บมือเจ็บเท้าไปหมด ใบหน้างามชื่นไปด้วยเม็ดเหงื่อเพราะกว่าจะได้สักถังเธอก็เหนื่อยไม่น้อยเพราะทางที่ไกลและทางที่เดินลำบาก

เพลิงยืนกอดอกมองความมานะของเธอ แล้วหวนคิดถึงคำพูดที่นมสดทิ้งไว้ว่าเธออาจจะเป็นอีกคนที่เขาไม่รู้จัก เพราะอุปนิสัยของเธอเปลี่ยนไปแทบจะไม่เหลือเค้าเดิมไว้เลย แต่ก็แค่นั้นเมื่อความผิดที่ร้ายแรงเพียงครั้งเดียว ไม่สามารถเอาความดีนับสิบหนมาหักล้างความเชื่อในใจเขาได้ แววตาจึงกระด้างขึ้น แล้วเดินไปผลักตุ่มที่มีน้ำเกือบเต็มให้ล้มลงจนน้ำกระฉอกไหลออกมาเกือบหมด

พิมพ์ลดาหิ้วถังน้ำกลับมาด้วยความเหนื่อยอ่อน แต่ก็สุขใจเพราะเป็นถังสุดท้ายแล้ว แต่พอมาถึงน้ำที่เธออุตสาห์ตักมาไม่เหลืออยู่ในตุ่ม แต่เจิ่งนองอยู่ที่พื้น เธอเข่าอ่อนจนแทบจะนั่งพับกับพื้นพลางถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมน้ำถึงหกออกมา หรือว่า...เธอกำมือเข้าหากันแน่นเมื่อคิดว่าเป็นใครไปไม่ได้นอกจากคนที่เกลียดชังเธอ ร่างอรชรหันขวับเดินฉับๆไปหาคนที่ยืนกอดอกอยู่ที่หน้าเพิง

“ฝีมือคุณใช่ไหม” เธอถามเสียงกร้าวพลางมองหน้าคมอย่างโกรธจัด เพลิงยิ้มเยาะให้เพียงนิดก็ยอมรับออกมา

“ใช่”

“ทำไม”

“ความเกลียดของฉันไง”

“สารเลว” เสียงเธอเค้นออกมาด้วยความเจ็บปวด “ฉันคิดไม่ถึงว่านอกจากคุณจะเกลียดฉันแล้วยังหน้าตัวเมียได้ขนาดนี้”

“พิมพ์ลดา” เสียงเพลิงรอดไรฟันออกมาขณะสายตาก็นิ่งลึกอย่างน่ากลัว แต่ไม่มีผลกับพิมพ์ลดาเพราะความโกรธบดบังความกลัวของเธอไปหมดแล้ว

“เรียกทำไม หรือแค่เกลียดยังไม่พอ ยังอยากจะฆ่าฉันด้วย ก็เอาซิ จะยิงทิ้งหรือจะบีบคอดี ฉันจะได้พ้นไปจากความเลวของคุณเสียที”

“ไม่มีทาง เธอจะต้องเจออีกเยอะ”

“เพี้ยะ” ฝ่ามือเธอฟาดลงบนใบหน้าคมอย่างสุดทน และไม่สนว่าคนที่เธอตบหน้าไปจะทำร้ายเธอกลับยังไง เพราะน้ำตาเอ่อคลอขึ้นมาบดบังไว้หมดแล้ว “ฉันไปทำอะไรให้คุณนักหนา ถึงจะต้องทำกับฉันขนาดนี้ คุณรู้ไหมว่าฉันเหนื่อยแค่ไหนกว่าจะได้น้ำมาสักถัง แต่เพียงเพื่อความพอใจของคุณ ถึงกับทิ้งมันไปอย่างไม่เห็นค่า เห็นแก่ตัว และเลวที่สุด”

เพลิงขบฟันเข้าหากันแน่น ก่อนจะพูดออกมา “กล้ามากนะที่ตบหน้าฉัน งั้นเธอสมควรที่จะได้รับบทเรียนมากกว่านี้ซินะ” พูดจบเขาก็ลากร่างอรชรมาที่ตุ่มน้ำ เหวี่ยงตัวเธอไปยืนอยู่ข้างๆ และสั่งเสียงกร้าวไม่แพ้สีหน้า “ตักมาใหม่ให้เต็ม ไม่งั้นฉันจะจับเธอยัดลงไปในตุ่ม”

พิมพ์ลดาเชิดหน้าขึ้นอย่างท้าทาย ใบหน้าเพลิงก็เหี้ยมขึ้น แล้วดึงเข็มขัดออกมาอย่างพร้อมที่จะจับเธอมัด พิมพ์ลดากำมือจนเล็บจิกเข้าไปในเนื้อ เพื่อไม่ให้ผวาไปกับความโหดเหี้ยมของเขา แล้วหยิบถังน้ำขึ้นมาก่อนจะหมุนตัวเดินบุกป่าไปที่ลำธาร เมื่อมาถึงเธอก็นั่งลงบนโขดหิน ร้องไห้ออกมาอย่างสุดจะคับแค้นใจ จนสองแก้มเปียกชุ่มไปด้วยน้ำตา ยิ่งคิดถึงสิ่งที่เขาทำแล้วทำอะไรเขาไม่ได้ น้ำตาก็ยิ่งไหลจนกลายเป็นสะอื้นร่ำไห้อย่างหนัก

สายลมพัดหอบเอาความเย็นมาถูกตัว เวลาผ่านไปนานเท่าไรไม่รู้ น้ำตาหยดสุดท้ายจึงหายไปจากแก้ม พิมพ์ลดามองไปรอบตัว จึงเห็นว่าตะวันลาลับทิวเขาไปแล้ว ความสลัวเริ่มปกคลุมไปทั่วบริเวณ เธอยกมือขึ้นเช็ดคราบน้ำตาที่ค้างอยู่ที่แก้ม แล้วเดินลงไปตักน้ำ หิ้วขึ้นมาเดินบุกป่ากลับไปทางเดิม แต่ผ่านมาได้ครึ่งทางเธอก็สะดุ้งเพราะรู้สึกเจ็บแปลบที่ข้อเท้า จึงก้มลงมองก็ได้เห็นงูตัวใหญ่เลื้อยผ่านไป

เธอมองแผลที่เลือดเริ่มซึมออกมา หน้าซีดลง เมื่อบอกตัวเองว่าเธอถูกงูกัด ก็วางถังน้ำลงพร้อมกับคิดว่าจะต้องทำยังไง แล้วดึงเถาวัลย์เพื่อจะรัดข้อเท้า แต่ความเจ็บปวดที่ได้รับมา ความอ้างว้างที่ไร้หนทางที่จะอยู่ ความดำมืดที่ไม่รู้อะไรเลย ทำให้เธอทิ้งเถาวัลย์ในมือ หิ้วถังน้ำขึ้นมาเดินต่อไปอย่างคนที่ตัดสินใจดีแล้ว
***********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 3 เม.ย. 2558, 16:20:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 3 เม.ย. 2558, 16:20:26 น.

จำนวนการเข้าชม : 3386





<< ตอน 4   ตอน 6 >>
แว่นใส 3 เม.ย. 2558, 17:22:16 น.
งูกัดนะนั่น จะไหวไหมล่ะเนี่ย


Zephyr 3 เม.ย. 2558, 20:58:33 น.
กะวัดดวงใช่ไหม
เดินกลับไปตายที่เพลิงแกล้ง รึตายเพราะงูดี


konhin 4 เม.ย. 2558, 01:55:15 น.
โหหหหหห เลือกที่จะปล่อยให้งูตัดสินความตายซะงั้น แรง


kaelek 5 เม.ย. 2558, 08:46:19 น.
โห!! ใจเด็ดอ่ะ


ผักหวาน 7 เม.ย. 2558, 12:49:15 น.
แก้ไขเนื้อหาใหม่ ก็สนุกดีเหมือนกันนะคะ จากในเล่ม ป๊ะเพลิงจะไม่ค่อยพูดและทำร้ายผู้หญิงขนาดนี้


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account