เงามาร (กำลังรีไรท์ค่ะ)
'วาลาดา' ตื่นขึ้นมาพร้อมกับการรับรู้ว่าตัวเองมีสามีมีลูกแล้ว
ที่สำคัญ สามีของเธอคือเพื่อนในวัยเยาว์ที่ห่างเหินกันไป
หลายปีแล้ว เธอไม่ได้มีใจให้เขา เขาเองก็เกลียดเธอ

เหนือสิ่งอื่นใด เขาคือสามีของเพื่อนรักของเธอ


คำว่า "แย่งสามีเพื่อน"
กู่ก้องอยู่ในหัวและทำให้หัวใจของหญิงสาวแหลกสลาย...

เธอจำไม่ได้ด้วยซ้ำว่าไปมีอะไรกับเขาตอนไหนจนมีลูก
กับเขาได้...แต่ลูกที่มีหน้าตาผสมผสานระหว่างเธอกับเขา
อย่างลงตัวทำให้เธอดื้นไม่หลุดกับหลักฐานการกระทำ
ของตัวเอง...

ความจริงดังกล่าว...ส่งให้ดาวดวงใหม่ที่ควรจรัสแสงแรงกล้า
อยู่บนฟากฟ้ากลับถูกกระชากลงมาให้แปดเปื้อนกลิ่นคาวคละคลุ้ง
ด้วยน้ำมือของใครบางคนที่คอยชักใยอยู่เบื้องหลังเงาดำนั้น
หญิงสาวก็สุดจะคาดเดาได้...

หญิงสาวที่ควรมีความสุขไปบนหนทางอันดีงาม เส้นทางของดาว
กลับถูกดึงรั้งเข้ามาสู่เส้นทางของมาร...เมื่อถูกความมืดมน
ดุจเมฆดำเข้าครอบงำฝังจิตใจ...เปลี่ยนผู้หญิงที่เคยแสนดี
กลายเป็นผู้หญิงร้ายกาจ...นั่นคือเธอที่กำลังถูกใครๆ
กล่าวขานอย่างไม่มีจบสิ้น...


ทางเดียวที่จะรอดพ้นไปได้ นั่นก็คือ เธอต้องต่อสู้กับมันให้ชนะ ต่อสู้กับเงามารที่คอยตามรังควานชีวิตเธอทั้งชีวิตให้ย่อยยับ

โดยไม่รู้เลยสักนิดว่า...เงามารที่เธอเห็นนั้นมีใครซ่อนอยู่
หลังเงานั่น...รอ...รอวัน...เพื่ออะไรบางอย่าง...

รอคอยและเฝ้าดูอยู่ข้างหลังอย่างอดทน...
ชักใยซึ่งซับซ้อนซ่อนเงื่อนอย่างพิถึพิถัน...และล้ำลึก...
วางแผนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน รอบคอบและรัดกุม

ช่างเป็นการรอคอยอันแสนยาวนาน รอให้เธอมีความสุขที่สุด
ประสบความสำเร็จที่สุด พอได้จังหวะเหมาะจึงเข้าโจมตี...
จนวาลาดาคาดไม่ถึงว่าจะมีใครอดทนรอคอยเพื่อจองเวรเธอ
ได้นานถึงเพียงนี้...ช่างเป็นการทุ่มเทที่น่ากลัวเหลือเกิน...

เธอรู้...รู้ว่าสิ่งที่สำคัญ...คือเธอจะต้องใช้ชีวิตที่เหลือ
หลังจากโดนโจมตีจนย่อยยับอับปางนี้ต่อไปอย่างไร...
นั่นคือ...สิ่งที่เธอตั้งใจอย่างแน่วแน่...

และอีกอย่างที่เธอจะต้องทำคือ...หาคนที่ซ่อนอยู่หลังเงานั้น
ให้เจอ! และถามให้รู้ว่าเป้าหมายที่แท้จริงของมันคืออะไร


และ...

หวังเพียงว่า...เธอจะไม่ถูกมันครอบงำได้อีกครั้ง...
หวังเพียงว่า...เธอจะได้พบกับแสงสว่างในชีวิตอีกครั้ง...
หวังเพียงว่า...ผู้ที่เธอได้ทำร้ายเอาไว้โดยไม่รู้ตัวจะให้อภัย
หวังเพียงว่า...เขาจะเข้าใจ เชื่อใจ อภัย และรักเธอ
หวังเพียงว่า...ยอดดวงใจซึ่งคือลูกน้อยจะปลอดภัย ไร้มลทิน






...ขอเพียงได้อยู่ดูแลคุ้มภายคุ้มใจคนที่รักตลอดไป...


...ขอเพียงคนที่เธอรักปลอดภัย เข้าใจ ให้อภัย
และรักเธอเท่านั้น....



Tags: ดราม่า ซุลก๊อตไนท์ วาลาดา นาดีม มาร มารร้าย ไสยศาสตร์ ญิน นุฮา อะสุเซน่า วารินทร์ อานิต้า

ตอน: บทที่ 30 ซ่อนกล ซ่อนใจ


วาลาดารู้สึกตัวตื่นอีกครั้งในช่วงใกล้เที่ยง ซึ่งพอดีกับที่ได้เห็นลูกน้อย
ลุกขึ้นนั่งหน้าบูดระคนงัวเงียมองซ้ายมองขวา ก่อนจะตาผึ่งเมื่อหันไปเห็นข้าวโพด
ที่วางอยู่ในถาด เจ้าตัวน้อยยิ้มแป้นก่อนจะรีบปีนลงไปหาของกินทันที

“ล้างมือก่อนจ๊ะ…” วาลาดาบอกลูกเสียงนุ่ม มือที่กำลังจะหยิบข้าวโพดชะงักลง
แล้วหันมายิ้มแหยๆให้มารดาก่อนจะเดินไปล้างมืออย่างว่าง่าย

กลับมาอีกครั้ง ผู้เป็นมารดาก็ลุกขึ้นมาหยิบเสื้อผ้าที่ลูกกองเอาไว้
ใส่ตะกร้าผ้าซัก…

“กินด้วยกัน…” เจ้าตัวเล็กชวนแม่พร้อมกับตบมือลงบนพื้นห้องข้างๆที่ตัวเองนั่ง
วาลาดามองข้าวโพดของโปรดทั้งตัวเองและลูก…

เมื่อก่อนเธอชอบกินก็จริง แต่ไม่ได้กินบ่อยๆ แต่นับตั้งแต่มาอยู่ที่นี่
ก็ได้กินทุกวันจนติดใจในความหอมหวานของมัน จึงเดินไปล้างมือให้สะอาด
ล้างหน้าให้สดชื่น แล้วมานั่งลงข้างๆลูกน้อย กินข้าวโพดด้วยกัน…

เสร็จจากกินข้าวโพดแล้วก็นำผ้าไปแช่เอาไว้ในกะละมัง ต่อจากนั้นก็เริ่มเข้าครัว
ทำอาหารเที่ยง…และเพราะแพ้ท้อง จึงทำได้เฉพาะเมนูท่ีไม่แสลง
จึงได้แกงส้มปลาหมอ ซึ่งชาวบ้านในละแวกนี้จับได้จากในบึงที่น้ำเริ่มแห้งขอด
ได้มาเยอะเลยนำมาแบ่งกันกิน…ก่อนจะเจียวไข่ให้ลูกน้อยกับผัดผักหวาน
ที่ลูกชายเริ่มติดใจรสชาติของมันแล้ว…

“หอมเชียว…คุณวา…” ลุงหมานชะโงกหน้าเข้ามาทางหน้าต่างของห้องครัวเล็กที่เปิดโล่ง
ทำจมูกฟุตฟิต วาลาดาจึงหันไปยิ้มให้แกพร้อมเอ่ยชวน

“กินข้าวด้วยกันนะคะ…”

“เที่ยงนี้คงไม่ได้แล้วครับ…พวกคนงานเขามาชวนตัดหน้าไปซะแล้ว
จะปฏิเสธก็เกรงใจ…ต้องไปร่วมด้วยเสียหน่อย…” วาลาดาพอจะเข้้าใจ
เพราะลุงหมานมักจะเลี่ยงที่จะพบปะผู้คน นานๆครั้งถึงจะรับคำเชิญ
ของคนงานในหมู่บ้านแห่งนี้

ซึ่งส่วนที่เธอกับลูกและลุงหมานอยู่นั้นค่อนข้างจะห่างไกลจากผู้คน…
เพราะอยู่บนลูกเนินสูงทีเดียว…

“คุณวาอยากได้อะไรมั้ย ลุงกะว่ากินข้าวเสร็จจะแวะเข้าไปในตัวเมืองเสียหน่อย…”

วาลาดายิ้มแหยก่อนจะปิดแก๊สแล้วตักผัดผักหวานใส่จานวางไว้บนโต๊ะ
ที่ลูกน้อยนั่งรออยู่

“จริงๆวาอยากได้อยู่เหมือนกันค่ะ แต่เป็นของส่วนตัวของผู้หญิงๆ เกรงใจลุงค่ะ…”

สีหน้าท่าทางอายๆนั้นทำให้ชายกลางคนคลี่ยิ้ม

“งั้นจดใส่กระดาษมาก็ได้ เดี๋ยวลุงจะไปฝากพวกคนงานผู้หญิงให้ช่วยซื้อหาให้…”

วาลาดาแย้มยิ้มก่อนจะเดินไปหยิบกระดาษ จดรายการพร้อมหยิบเงินส่งให้ลุงหมาน


“ขอบคุณนะคะลุง…”

“เรื่องแค่นี้เอง…”

“หลายๆเรื่องเลยค่ะ…โดยเฉพาะข้าวโพดหวานของลุงหมาน
ที่เอามาให้เราสองแม่ลูกกินทุกเช้าเย็นนั่นด้วย…ถูกใจมากเลยค่ะ
ตอนนี้ตาหนูติดใจจนเห็นเป็นไม่ได้ ต้องวิ่งเข้าหาทันที…กะจะขอบคุณลุงหมาน
ตั้งหลายครั้งแล้ว แต่พอเจอหน้าก็ลืมทุกที”

สีหน้าชายกลางคนถึงกับนิ่งไปนิดก่อนจะกระตุกคิ้วเหมือนไม่เข้าใจ

“เอ่อ…ข้าวโพดหรือครับ…”

“ค่ะ…ก็…ตอนเช้าๆก็จะเป็นข้าวโพดหวานต้ม…ส่วนเย็นๆก็เป็นข้าวโพดเผา
ราดน้ำผึ้งมาให้เสียดิบดีเลย…ห้อมหอม…กินกับตาหนูเพลินหมดไม่รู้ตัว…”

วาลาดาชมไปยิ้มไป

“นี่อย่าบอกนะคะว่าทำให้เรากินบ่อยจนลืมไปแล้ว…”
วาลาดาเย้าแหย่ชายกลางคนที่ดูจะแกล้งตีหน้าตาย

“ไม่ต้องมาทำเซอร์ไพร้ให้ประหลาดใจเลยนะลุงหมาน…ที่นี่มีเรากันอยู่แค่นี้…
ถ้าไม่ใช่ลุงแล้วจะเป็นใคร…สารภาพมาซะดีๆเลย…”

ชายกลางคนผู้ที่อาศัยอยู่กระท่อมข้างๆคลี่ยิ้มออกมา

“ถ้าคุณวากับคุณฟาชอบก็ดีครับ…เพราะเห็นจะได้กินทุกวัน…
ที่นี่น่ะมันดินแดนข้าวโพดอยู่แล้ว…งั้นลุงไปละ…เดี๋ยวแดดจะร้อนกว่านี้”

พูดจบก็เดินหัวเราะน้อยๆให้ได้ยิน วาลาดาไม่เข้าใจว่าเหตุใดลุงหมานถึงได้ดู
อารมณ์ดีผิดแผกกว่าทุกวัน กะอีแค่เธอแกล้งเย้าแหย่แค่นี้ ไม่น่าจะ
หัวเราะอย่างนั้นได้ เพราะปกติแกออกจะตีหน้าขรึมเสียมากกว่า…

แต่ช่างเถอะ…ยังมีผ้าต้องซักอีกนี่นา…คิดได้ดังนั้นจึงหันไปทางลูกน้อย
ที่ไม่รู้ว่าไปหาอาวุธยุทโธปกรณ์สำหรับกินข้าวมาไว้ในมือเสียต้ังแต่ตอนไหน
ราวกับเตรียมพร้อมจะสู้ศึกบนโต๊ะอาหารแล้ว...

สงสัยคงหิวจัด ขนาดกินข้าวโพดไปไม่กี่นาทีนะนั่น

“มามะ…มานั่งตรงนี้…” วาลาดากวักมือเรียกลูกให้เดินมานั่งที่โต๊ะเตี้ย
ก่อนจะหาหมอนรองมาวางไว้ให้ลูกนั่ง จัดแจงตักข้าวสวยใส่จาน
พร้อมด้วยผักหวานและไข่เจียวให้ลูกน้อยเสร็จสรรพ ก่อนจะนั่งลงข้างๆ
รินน้ำใส่แก้ววางไว้ให้ลูก…

“ดื่มน้ำล้างท้องก่อนนะครับ…” ว่าพลางยกแก้วน้ำป้อนน้ำให้ลูก
ต่อจากนั้นก็ให้ลูกได้หัดตักข้าวกินเอง…

“อร่อยมั้ย…” วาลาดาถามลูกน้อยที่กินได้กินดี กินจุเหลือเกิน
พร้อมกับหยิบเม็ดข้าวที่ติดแก้มลูกแล้วเอาเข้าปากตัวเองด้วยรอยยิ้มสุขใจ
เห็นลูกกินได้แล้วให้รู้สึกสบายใจ

“อาหย่อยคับ…”

“ถ้าอร่อยก็ต้องกินผักให้หมดนะครับ…ตาจะได้สวยๆ…รู้มั้ยว่ากินผักแล้วตาสวย…”

“ฉวยเหมือนแม่…” เสียงน้อยๆเอ่ยขึ้นเมื่อกลืนข้าวลงท้องไปหมาดๆ

“ปากหวานเหมือนใครน้า…”

ไม่อยากจะคิดว่าเหมือนใครเลย…เพราะไม่ใช่แค่ปากที่หวานเหมือนกัน
แต่จมูกแหลมๆที่เหมือนจะทิ่มตำหัวใจคนเป็นแม่เป็นประจำยามได้มอง
ก็เหมือนอย่างกับไปเอาของเขามาอย่างไรอย่างนั้น

รายนั้นเวลาปากหวานก็แสนจะหวาน แต่เวลาปากร้ายก็แสนจะร้ายกาจ…
เจาะหัวใจเธอได้ทะลุเป็นรอยเลยทีเดียว…

เสร็จเรื่องอาหารกลางวันของลูก วาลาดาเลยกลับไปนั่งซักผ้าที่แช่เอาไว้
ลูกน้อยก็เดินมานั่งข้างๆ ทำอะไรไม่ได้ก็คอยแต่จะชวนคุยถามนั่นถามนี่
ฟังรู้เรื่องบ้างไม่รู้เรื่องบ้าง แต่ก็ฟังเพลินไม่น้อย…บรรยากาศไม่เหงียบเหงาจนเกินไป…

พอได้เวลาเอาผ้าไปตาก เจ้าตัวเล็กก็เดินตามต้อยๆ คอยช่วยหยิบเสื้อ
ส่งให้คนเป็นแม่นำไปตากไว้บนราวผ้า…วาลาดาเห็นว่าแดดกำลังร้อนจัด
เลยเดินไปหยิบหมวกมาสวมให้ลูก เพราะจะห้ามไม่ให้มาช่วยเห็นจะห้ามยาก
เพราะเคยห้ามมาไม่รู้เท่าไหร่แล้วแต่ก็ไม่เคยได้ผล

เวลาดื้อก็ดื้อเหลือเกิน…แต่เวลาเชื่อฟังก็แสนจะน่ารักน่าเอ็นดู…

“เสร็จแล้ว…เราไปนั่งกันใต้ต้นกัลปพฤกษ์กันเถอะ…”

ว่าแล้วก็นำตะกร้าผ้าไปเก็บ…แล้วหยิบเสื่่อกับขนมขบเคี้ยวและน้ำหวานหอบติดมือมาด้วย
เจ้าตัวเล็กที่รู้งานคว้าหมอนมากอดไว้สองใบติดมือเดินตามหลังแม่ต้อยๆๆ…
และไม่ลืมพัดที่หลังๆมานี้ดูเจ้าตัวจะนำติดตัวประจำ

สองร่างมานั่งอยู่ใต้ร่มของต้นกัลปพฤกษ์ซึ่งเป็นไม้ขนาดเล็กที่มีดอกดกมาก
ออกเป็นช่อตั้งขึ้นตามกิ่งหรือซอกใบ ออกดอกสะพรั่งทั่วทุกกิ่งก้าน แลดูสวยงามไปทั้งต้น
มีกลิ่นหอมอ่อน ตัวดอกเมื่อยามแรกบานเป็นสีชมพูอ่อนสดใสแล้วค่อยๆ
เปลี่ยนเป็นสีขาวไปเรื่อยๆจนใกล้ร่วงโรย ซึ่งบนเนินแห่งนี้มีต้นกัลปพฤกษ์แปดต้น
ปลูกไว้ใกล้ๆกันกลายเป็นดงไม้ขนาดใหญ่ใกล้ๆบ้านหลังน้อยนี้เอง…

ทำให้วาลาดากับลูกออกมานั่งใต้ต้นรับลมในช่วงบ่ายเช่นนี้แทบทุกวัน
เพราะภายในบ้านจะค่อนข้างอุดอู้เกินไป...ข้างนอกจึงดูปลอดโปร่งกว่า
อากาศถ่ายเทได้มากกว่า...และแม้ไม่มีใบให้ร่มเงา ทว่าตัวดอกที่หนาแน่น
ไปทั่วทุกกิ่งก้านและมีต้นที่ปลูกใกล้ๆกันหลายๆต้น กิ่งจากต้นโน้นมาพาดกิ่งของต้นนี้
เชื่อมโยงกันอย่างสวยงามจึงก่อให้เกิดเป็นร่มเงาสีชมพูแทนสีเขียวของใบไม้…

ทำให้นึกไปถึงต้นซากุระในแดนปลาดิบอย่างประเทศญี่ปุ่นขึ้นมา…
หากมองให้ลึกลงไป…เธอว่าดอกกัลปพฤกษ์เวลาอยู่รวมกันเป็นช่อตั้งขึ้นตามกิ่ง
และซอกใบของต้นแล้วอย่างนี้ดูจะสวยกว่าซากุระท่ี่ญีปุ่นไม่น้อยเลย…
เลยจินตนาการไปถึงภาพดงกัลปพฤกษ์หลายสิบต้นขึ้นมาไม่ได้

…มันจะสวยแค่ไหนหนอ…

เมื่อก่อนเธอเคยสับสนระหว่างกัลปพฤกษ์กับชัยพฤกษ์
หากตั้งแต่ได้มาสัมผัสกับกัลปพฤกษ์อย่างใกล้ชิดเช่นนี้
จึงทำให้เห็นซึ่งความแตกต่างมากมายระหว่างพันธุ์ไม้ทั้งสองชนิดนี้…

และเชื่อแน่ว่าคนทั่วไปอีกมากมายที่ไม่รู้จักกัลปพฤกษ์ จึงไม่อาจแยกออกได้…
ใครว่าอย่างไรก็ว่าตามกันไป

ซึ่งถ้ามองแบบผิวเผินหรือมองแบบผาดๆ พันธุ์ไม้ทั้งสองก็ไม่ได้มีอะไรที่แตกต่างกัน
มากมายนัก แต่ถ้ามองอย่างพิจารณาให้ถี่ถ้วนถึงรายละเอียดปลีกย่อยต่างๆ
ก็จะเห็นว่ามีความแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

เพราะลักษณะใบก็ไม่เหมือนกัน กัลปพฤกษ์จะมีใบค่อนข้างมนกลมและมีขนนุ่ม
ส่วนใบของชัยพฤกษ์นั้นจะสอบกว่าและไม่มีขน

และหากพิจารณากันที่ตัวดอก ถ้าดูผิวเผินก็เหมือนๆกัน เพราะมีสีชมพู
แต่จริงๆแล้ว กัลปพฤกษ์จะมีดอกขาวถึงชมพู จะไม่เปลี่ยนสี
จนกว่าจะใกล้โรยจึงจะเปลี่ยนเป็นสีขาว ในขณะที่ดอกของชัยพฤกษ์น้ันจะสีขาว
แล้วเปลี่ยนเป็นสีชมพูและเข้มขึ้นเรื่อยๆก่อนจะขาวเมื่อใกล้โรย

ที่สำคัญลักษณะของการออกดอกก็ไม่เหมือนกัน เพราะกัลปพฤกษ์
จะออกดอกตามกิ่งใหญ่และกิ่งแขนงของลำต้น รวมทั้งตามข้อของลำต้น
ส่วนชัยพฤกษ์นั้นจะแทงช่อดอกออกที่ปลาดยอดเป็นช่อเป็นพวงยาว

ซึ่งกัลปพฤกษ์จะผลัดใบหมดต้นแล้วค่อยออกดอกพราวสะพรั่งไปทั้งต้น
ในขณะที่ชัยพฤกษ์จะออกดอกขณะที่ยังมีใบอยู่…

ซึ่งนั่นคือความแตกต่างของพันธุ์ไม้ทั้งสองชนิดที่มีชื่อพ้องกัน
ซ้ำลักษณะโดยทั่วๆไปแล้วดูไม่ได้แตกต่างกันสักเท่าไหร่…

เหมือนคนเรา ที่แม้จะดูเผินๆแล้วคล้ายคลึงกัน แต่อย่างไรก็ไม่มีทางจะเหมือนกันได้
ในเมื่อไม่ใช่สายพันธุ์เดียวกัน…

ขนาดสายพันธุ์เดียวกันแท้ๆ แต่ละต้นยังออกดอกได้ดกและสวยไม่เหมือนกันอีก…

จึงอดยอมรับไม่ได้ว่า ในละแวกนี้ที่เธอแอบสังเกตดู…
กัลปพฤกษ์แปดต้นนี้ดูจะสวยงามหยดย้อยและออกดอกดกสวยทุกต้น
สีชมพูหวานและเมื่อมันมารวมกันเช่นนี้ กลิ่นหอมอ่อนๆก็กลายเป็นหอมแรง…

ขนาดลูกน้อยของเธอยังชอบมานอนใต้ต้นกัลปพฤกษ์นี้เลย…

คิดแล้วก็อดมองลูกน้อยที่เอาหมอนมาวางไว้บนตักเธอแล้วถือวิสาสะ
นอนลงไปบนหมอนที่อยู่บนตักเธอพร้อมกับยื่นพัดส่งให้
ไม่บอกก็รู้ว่าหมายจะให้เธอพัดวีให้…

ช่างใช้คนอื่นได้เหมือนใครก็ไม่รู้ซี…

เตรียมการมาพร้อม เครื่องมืออำนวยความสะดวกครบครัน…
แถมยังใช้คนเก่งซะด้วย เพราะสายตาที่ส่งมาให้นั้นมันทำให้คนโดนใช้
ปฏิเสธไม่ไหวเลยสักครั้ง ซ้ำก่อนหน้านี้ยังมีการสร้างผลงาน
ด้วยการช่วยเธอตากผ้าอีก...บุญคุณนี้ยิ่งใหญ่คับฟ้า จนวาลาดาผู้เป็นแม่ต้องจำยอม…
นั่งเอนหลังพิงต้นไม้พร้อมกับพัดวีให้ลูกน้อยด้วยรอยยิ้มบาง…
เล่านิทานง่ายๆที่เด็กอายุเท่านี้พอจะฟังเข้าใจจนกระทั่งลูกหลับไป…

หนังท้องตึงหนังตาก็หย่อนช่างเป็นคำนิยามที่ใช้ได้ผลกับลูกชายเธอเสมอ…

เมื่อเห็นว่าลูกหลับสนิทแล้ว จึงวางลูกไว้บนพื้นเสื่อ แล้วลุกเดินไปหาข้าว
มานั่งกินใกล้ๆลูกน้อย เพราะรู้สึกมือไม้สั่น สงสัยว่าพลังงานจากข้าวโพดสองฝัก
ที่กินไปจะใช้ไปจนหมดแล้ว เลยเกิดอาการหน้ามืดขึ้นมาเหมือนจะเป็นลมแบบนี้

แม้ไม่หิวก็ต้องฝืนกินเข้าไป ร่างกายเธอยังคงต้องการพลังงานจากสารอาหารเหล่านี้อยู่
หากกินได้ไม่กี่คำก็ต้องอาเจียนออกมาจนหมดไส้หมดพุงอีกจนได้…

วาลาดาได้แต่นั่งมองจานข้าวด้วยสายตาว่างเปล่า…หน้าซึด หมดเร่ียวหมดแรง
นอนลงบนหมอนข้างๆลูกน้อย อยากจะลุกไปหยิบยาดม หากก็ไร้เรี่ยงแรงจะลุกขึ้น
จะใช้ลูกก็สงสารเพราะเพิ่งหลับไป…เลยนอนสูดลมหายใจเข้าปอด

แล้วก็ต้องลุกผลุง ผลุนผลันออกไปนั่งโก่งคออาเจียนด้วยความรู้สึกคลื่นเหียนอีกครั้ง…
คราวนี้เสียงของเธอทำให้ลูกน้อยตื่น

“แม่…” เสียงนั้นเรียกเธอให้หันไปมอง…วาลาดายิ้มให้ลูก มองไปรอบๆตัวก็ไม่พบใคร
มีเพียงเธอกับลูก อดนึกไม่ได้ว่าถ้าเธอต้องอยู่กับลูกเพียงลำพังจริงๆโดยไม่มีลุงหมาน…
เธอจะอยู่ได้จริงๆน่ะหรือ…

ยามปกติคงไม่เท่าไหร่ หากยามที่เธอล้มป่วยไม่สบายขึ้นมา
แล้วลูกที่ยังเล็กอยู่จะทำอย่างไร…ลูกที่อยู่ในท้องอีกเล่า

แล้วจะสั่งให้ตัวเองร่างกายแข็งแรง ไม่ล้มป่วยเลยก็ไม่ได้อีก…

วาลาดาแทบอยากจะคลานไปยังเสื่อที่ลูกน้อยนั่งมองเธออยู่…หากก็ทำไม่ได้
เธอไม่มีแรงเหลือพอให้คลานด้วยซ้ำ…

วูบหนึ่งวาลาดาคิดถึงซุลก๊อตไนท์จับจิตจับใจ อยากให้เขามาอยู่ด้วยตรงนี้…

แม้เมื่อก่อนเธอจะเคยผ่านชีวิตหนักๆที่แดนปลาดิบมาเพียงลำพัง
เจ็บไข้ได้ป่วยเพียงลำพัง ต่อสู้ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆนาๆมาร่วมแปดปี…
แม้จะหนักหนาสาหัสมาแค่ไหน แต่เธอก็ผ่านมันมาได้…
เธอถึงได้ทะนงยิ่งนักว่าตัวเองเก่งพอจะก้าวเดินเพียงลำพังได้โดยไม่มีปัญหา
และไม่จำเป็นต้องพึ่งพาใครก็ได้…

หากวินาทีนี้เองที่เธอสำเหนียกได้แล้วว่า เธอในวันนี้ไม่สามารถทำได้ดั่งวันนั้นอีกแล้ว
ความอ่อนแอของสังขารที่เริ่มถดถอยลงเรื่อยๆตามกาลเวลา
และตามการใช้งานอย่างหนักที่ผ่านมาคือส่วนหนึ่ง…

แต่เหนือกว่านั้นคือ เธอไม่ได้ใช้ชีวิตเพียงลำพังอย่างแต่ก่อนตอนที่อยู่เมืองนอกเมืองนา
ที่ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็มีเพียงแค่เธอที่เดือดร้อน เจ็บคนเดียว เดือดร้อนคนเดียว

ซึ่งวันนี้ไม่ใช่แล้ว…เพราะเธอยังมีลูกที่ต้องดูแลและห่วงใยใส่ใจ…
มีลูกถึงสองชีวิตที่ต้องทะนุถนอม…

และเหมือนลูกจะรู้ว่าเธอไปหาไม่ได้ เลยวิ่งมาหาแทน ยกสองแขน
โอบรอบคอเธอที่นั่งจุ้มปุกอยู่…

“ตาหนู…ไปเอายาดมให้แม่หน่อยนะลูก…ลูกรู้จักยาดมของแม่ใช่มั้ย
มันวางอยู่บนหัวเตียงนอนของแม่…” ร่างน้อยผงกศีรษะแล้วทำตาม
โดยการเดินเข้าไปในบ้าน

วาลาดาเห็นลูกหายไปนานก็ให้ห่วงใย กลัวลูกจะสะดุดหกล้ม หรือเป็นอันตรายไป
เลยพยายามฝืนกายลุกขึ้นหมายจะเดินเข้าไปในบ้าน จะไปดูว่าทำไมลูกน้อย
ถึงได้หายไปนานนัก...หากอยู่ๆก็รู้สึกเหมือนโลกทั้งใบกำลังตีลังกาหกคะเมน
รู้สึกวูบๆวาบๆเหมือนร่างกายมีการแบ่งแยกร่างได้หลายร่าง…

และวินาทีที่กำลังจะก้าวเดิน ความรู้สึกเหมือนตกลงไปในหุบเหวนั่น
ทำให้ร่างบางที่หน้าซีดเผือดล้มลงหมดสติอยู่ตรงนั้นเอง…

“แม่…แม่…” ร่างน้อยที่ถือยาดมอยู่ในมือถลาเข้ามาหาแม่ที่นอนฟุบอยู่กับพื้น
เขย่าเท่าไหร่แม่ก็ไม่ยอมตื่น

“แม่…ตื่น…แม่…แม่…ตื่น…” มือป้อมๆจับใบหน้าของแม่แล้วโยกไปมา
แต่แม่ก็ไม่ยอมตื่น ไม่ยอมลืมตา น้ำตาใสๆหยดลงบนใบหน้าแม่
ร้องไห้เรียกแม่ลั่นไปทั่วทั้งบริเวณ

“แม่…แม่…ตื่น…ตื่น…ตื่น…”

เพียงไม่นานก็ปรากฏร่างของชายร่างสูงใหญ่ หนวดเครารุงรัง
สวมหมวกปิดหน้าปิดตาในชุดชาวไร่ เดินเข้ามาหา
แล้วเข้าประคองอุ้มร่างของวาลาดาเอาไว้ทันทีโดยไม่พูดคำใด

ร่างน้อยมองชายร่างยักษ์ที่อุ้มแม่ของตนเดินไปก็วิ่งตามยื้อยุดไม่ยอมให้คนแปลกหน้า
มาเอาแม่ของตนไป

“ไม่ให้…ไม่…เอาแม่คืนมา…คืนมา…” ร้องไห้พลางวิ่งตามไป
หมายจะขวางไม่ให้คนที่กำลังอุ้มมารดาของตนพามารดาไปไหน

หากร่างสูงใหญ่กลับไม่ได้สนใจเสียงห้ามนั้นเลยแม้แต่น้อย
เด็กชายตัวน้อยเลยวิ่งตามไปจนในที่สุดก็สะดุดกับก้อนหินล้มลงหน้าคะมำ
ส่งผลให้ชายร่างยักษ์ที่กำลังอุ้มแม่ของตนหันมามอง แล้วพยักหน้าน้อยๆให้เจ้าตัวเล็ก
ที่เงยหน้าขึ้นมองมาทางเขาเข้าพอดี

ที่กำลังเตรียมจะร้องไห้เพราะความเจ็บเลยจำต้องลุกขึ้นเดินกะเผลกๆ
ตามร่างใหญ่โตนั้นเข้าบ้านไป…

ร่างของวาลาดาถูกวางไว้บนเตียง จากนั้น คนร่างสูงใหญ่
ก็เดินไปหยิบผ้าขนหนูที่ตากเอาไว้ตรงริมหน้าต่าง ชุบน้ำบิดหมาดๆแล้วเช็ดหน้า
เช็ดตาให้วาลาดา ทว่า ร่างน้อยกลับไม่ยอมให้เขาได้ปฐมพยาบาล
ผู้เป็นแม่ของตนแต่โดยดี…เข้าไปขัดขวางการทำงาน ด้วยการตีบุรุษพยาบาลไปที่ลำขา
ปัดมือที่กำลังจะเช็ดหน้าให้มารดาเสีย

“อย่ายุ่ง…ไม่ยุ่ง…ออกไป…ไม่ให้ยุ่ง…แม่ฟา ไม่ยุ่ง ไม่ยุ่ง…” เสียงใสๆตวาดลั่นห้อง
ไม่ยอมให้เขาได้ทำหน้าที่ได้เต็มกำลัง…จนเขาต้องปล่อยผ้าในมือ
ให้เจ้าตัวเล็กจัดการเอง…เท่านั้นแหล่ะ เสียงใสๆที่ตวาดเขาอยู่จึงเงียบลงได้

แต่ท่าทางเก้ๆกังๆของเด็กที่ไม่ถึงขวบครึ่งช่างดูขัดตาคนที่ยืนพิงขอบหน้าต่าง
มองดูอยู่ไม่น้อยพร้อมกับส่ายหน้า…นัยน์ตามีแววระริกไหว…
มองสำรวจตรวจตาร่างน้อยไปด้วยก็พบว่าตรงหัวเข่าขาวๆมีเลือดไหลซิบๆ

คนที่ยืนพิงขอบหน้าต่างจึงเดินไปหยิบกล่องยาตรงตู้สามัญประจำบ้าน
อย่างคนที่เหมือนจะรู้ดีว่าอะไรวางอยู่ตรงไหน…

แล้วเดินไปหาร่างน้อยที่กำลังเช็ดมือให้มารดาของตนอยู่…
จะว่าเช็ดก็คงไม่ใช่ ต้องเรียกว่าเอาผ้าไปโปะๆเอาไว้น่าจะถูกกว่า

คนร่างใหญ่เลยต้องคว้าเด็กชายร่างเล็กมาหา แล้วรั้งให้นั่งลงกับพื้น
แม้จะมีการขัดขืนหากแรงเด็กหรือจะสู้แรงผู้ใหญ่ได้…

เพียงไม่นานเสียงใสๆก็ส่งเสียงซี้ดๆด้วยความปวดแสบเมื่อยาล้างแผลถูกราดลงไป
บนแผลถลอกตรงหัวเข่า

“อู้ยๆๆ…” เสียงนั้นร้องครางเบาๆ น้ำตาไหลพรากๆ พยายามชักขาหนี
หากกลับถูกมือใหญ่จับข้อเท้าเอาไว้ไม่ยอมให้ขยับหนีได้…

เมื่อใส่ยาแล้วปิดแผลให้เรียบร้อยแล้วนั่นแหล่ะถึงยอมปล่อยตัวจอมโวยวายให้เป็นอิสระ
ร่างน้อยลุกขึ้นได้ก็พยายามเดินกะเผลกๆไปหามารดาที่นอนอยู่บนเตียง


“แม่…ตื่น…” ไม่วายปลุกคนเป็นแม่อีกครั้งและอีกครั้ง
หากก็ไม่พบว่ามารดาจะลืมตาตื่นมาพูดคุยกับตนเช่นเคย

แววตาที่เอ่อคลอไปด้วยน้ำใสๆหันมามองร่างใหญ่ในห้องราวกับจะขอความช่วยเหลือ
คนร่างยักษ์หนวดเครารุงรังพยักหน้าน้อยๆ เดินเข้าไปหา
แล้วหยิบยาดมขึ้นอังจมูกวาลาดา เมื่อร่างนั้นยังนอนนิ่งๆ
เขาจึงเปลี่ยนเป็นบีบขมับ ไล่ตั้งแต่ศีรษะลงมาตามลำแขน ก่อนจะบีบขาให้
เพื่อให้เลือดได้ไหลเวียนได้สะดวก…จนไปสิ้นสุดที่ปลายเท้า

ชายร่างสูงใหญ่ในชุดชาวไร่จึงกลึงข้อเท้าและอุ้งเท้าให้คนที่นอนหมดสติอยู่นาน…
บีบปลายเท้าที่เย็นเฉียบนั้นให้จนกระทั่งมันเริ่มอุ่นขึ้น

จากนั้นจึงหยิบผ้าขนหนูผืนเดิมชุบน้ำแล้วเช็ดใบหน้าให้ ปลดกระดุมเสื้อให้สามเม็ด…
เช็ดลำคอ ลำแขน โดยทุกๆการกระทำอยู่ในสายตาของเด็กน้อย
ที่คอยจดจ้องไม่วางตาอย่างระแวดระวัง หากมิได้มีท่าทางขัดขวางการทำงาน
อย่างที่ทำเมื่อก่อนหน้านี้แต่อย่างใด…

ซ้ำยังมีความพยายามที่จะปีนขึ้นไปบนเตียง ทว่า หัวเข่าที่ยังเจ็บอยู่ทำให้ปีนขึ้นไปลำบาก
คนที่มองอยู่เลยจับร่างเล็กให้ขึ้นไปนั่งบนเตียงเสีย…

ดวงตาใสแจ๋วมองคนที่หน้าตาเต็มไปด้วยหนวดเครารุงรังอย่างไม่ไว้วางใจนัก
มองแล้วมองอีกหมายจะสำรวจตรวจตราตามประสาเด็กขี้สงสัยและช่างสังเกต

เมื่อคนที่กำลังเช็ดลำแขนให้มารดาของตนเงยหน้าขึ้นมาแล้วยิ้มให้
เจ้าตัวเล็กจึงเขยิบเข้าไปใกล้…เอียงคอมองใบหน้านั้นไปทางซ้ายที
แล้วเอียงคอไปทางขวาทีอย่างเด็กขี้สงสัยและใคร่รู้…

คนที่กำลังปฏิบัติหน้าที่บุุรุษพยาบาลอยู่จึงอดไม่ได้ที่จะขำออกมาเบาๆ
อย่างคนที่พยายามกลั้นเอาไว้แล้วแต่ก็กลั้นเอาไว้ไม่อยู่…

และเมื่อเห็นว่าสีหน้าของคนที่กำลังสลบไสลอยู่เริ่มมีสีบ้างแล้ว
เขาจึงหยุดและพิศมองดวงหน้าที่กำลังหลับตาพริ้มนั้นนิ่งนาน
มองเส้นผมสีดำสนิทเงางามที่ล้อมกรอบดวงหน้าสวยหวาน

ก่อนจะหันไปมองใบหน้ากลมแป้นแก้มย้วยน่าหยิก
ซึ่งคงจะดีกว่านี้ถ้าหน้าตาไม่มอมแมมเลอะเปื้อนคราบน้ำตาผสมคราบขี้ดิน

มือใหญ่จึงใช้ผ้าขนหนูชุบน้ำสะอาดอีกครั้งแล้วเช็ดใบหน้ามอมแมมนั่นให้
เจ้าตัวเล็กขัดขืนบ้าง หากก็ต้องยินยอมแต่โดยดี เพราะสู้แรงของผู้ใหญ่ไม่ได้…

พอร่างใหญ่นำกะละมังใส่น้ำไปเก็บและผ้าขนหนูไปผึ่งตากแล้วเดินกลับมา
หยุดอยู่ขอบเตียง แล้วก้มลงฝังจมูกปลายแหลมลงกลางหน้าผาก
ของคนที่กำลังหลับพริ้มอยู่ เสียงใสๆก็ตวาดแว้ดดังลั่นห้องทันที

“ไม่…ไม่ยุ่ง…แม่ฟา…” ว่าพลางใช้มือน้อยๆดันใบหน้านั้นให้ออกห่าง
จากพวงแก้มมารดาของตนอย่างหวงแหน…

จนในที่สุดก็โดนคนหน้าหนวดหันมาหอมแก้มตัวเองไปสองฟอดใหญ่
แทนการหอมแก้มแม่เสีย…ทำเอามือป้อมๆลูบแก้มตัวเองป้อยๆ
มองคนตรงหน้าอย่างเคืองๆ…มือใหญ่จึงดึงหมวกที่สวมอยู่ออกเสีย
แล้วยกร่างเล็กขึ้นอุ้ม…ตอนแรกมีการขัดขืนดิ้นรนก่อนจะหยุดลงเมื่อดวงตา
กลมโตเห็นหนวดเคราตรงหน้าชัดๆ จึงยกมือประคองแก้มนั้นให้หันมาทางตน
จับเคราและหนวดนั้นเล่นอย่างสนอกสนใจ

และพอสายตาสองคู่ประสานกันเท่านั้น…

“ป้อ…” เสียงใสๆเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าแววตาดีอกดีใจพร้อมกับ
วาดแขนโอบรอบคอผู้เป็นบิดาแน่น…

ห่างกันสองเดือนแต่เหมือนเจ้าตัวเล็กจะไม่เคยลืมเลือนไออุ่นของคนเป็นพ่อเลย
แม้แต่น้อย เมื่อได้กอดก็อดไม่ได้ที่จะซุกหน้าลงตรงอกกว้างเช่นดังทุกครั้งที่เคยทำ…

มือใหญ่ยกขึ้นลูบหัวเจ้าตัวเล็กพร้อมรอยยิ้มบาง แววตาเป็นประกาย…

“ตาหนู…ตาหนู…” เสียงแหบแห้งนั้นทำให้เจ้าตัวเล็กที่ซุกซบตรงอกกว้างหันไปมอง
ก่อนจะดิ้นลงเดินกะเผลกๆไปหามารดาแล้วเกาะขอบเตียงไว้

วาลาดายิ้มออกมาได้เมื่อได้เห็นใบหน้าใสๆของลูก…มือบางยกขึ้นประคองแก้มลูก
ด้วยความรักความเป็นห่วงเป็นใย…เจ้าตัวเล็กเลยชี้ให้แม่ดูด้วยรอยยิ้มแป้นพร้อมบอกว่า

“ป้อ…ป้อมา…” พอหันไปชี้ก็พบเพียงความว่างเปล่า ไม่มีใครอยู่ ณ ที่ตรงนั้น
ไม่มีพ่อของตนในห้องนี้…

“ตาหนูว่าไงนะลูก…” ใบหน้าน้อยๆมองไปรอบๆห้อง เดินกะเผลกๆไปยังหน้าประตู
ชะเง้อคอมองหาก็ไม่พบใคร…

“หาใครหรือลูก…” วาลาดาพยายามยันกายให้ลุกขึ้น แม้จะยังรู้สึกวิงเวียนศีรษะอยู่บ้าง
หากก็ค่อยยังชั่วขึ้นมากแล้ว สายตาหญิงสาวจึงอดไม่ได้ที่กวาดมองไปรอบๆห้อง
อย่างสำรวจ เห็นกล่องยาวางอยู่บนพื้นกับหมวกปีกกว้างที่วางอยู่ตรงโต๊ะข้างเตียง…
ที่ดูผิดตาไป

“ป้อมา…ป้อกับมาแล้ว…” เสียงนั้นไม่ยอมหยุดและไม่วายเดินกะเผลก
กลับมาหาวาลาดาพร้อมกับบอกว่า

“ป้อ…ป้อมา…” ว่าแล้วก็จิ้มนิ้วไปที่ผ้าปิดแผลของตัวเอง แล้วชี้ไปที่ผ้าขนหนูที่แขวนอยู่

“ป้อ…ป้อทำให้…” วาลาดาขมวดคิ้วมุ่น มองลูกอย่างสงสัยระคนประหลาดใจ

แน่นอนว่าเธอยังพอจะจำได้ว่า ครั้งสุดท้ายก่อนจะมานอนอยู่ตรงนี้
เธอหมดเรี่ยวหมดแรงอยู่ใต้ต้นกัลปพฤกษ์

แล้วใครเล่าที่อุ้มเธอมาไว้ในห้อง…ยิ่งเมื่อก้มมองสำรวจตัวเองก็พบว่ากระดุมเสื้อ
ถูกปลดไปสามเม็ด เผยให้เห็นร่องอก หัวใจวาลาดาจึงกระตุกวูบ

“ใครกัน…” น้ำเสียงนั้นหวาดหวั่นอยู่ไม่น้อย…แม้จะอยากขอบคุณคนที่เข้ามาช่วยเธอไว้
แต่สภาพกระดุมที่หลุดจากรังนี่สิ มันทำให้เธออดกังวลใจไม่ได้…
เพราะผู้หญิงคงไม่มีแรงมากมายพาเธอมาไว้บนเตียงได้ แล้วลุงหมานเอง
ก็ออกไปในเมือง กว่าจะกลับก็คงใกล้ค่ำ...เพราะระยะทางจากนี่กับในเมืองนั้น
ห่างกันไกล ต้องน่ังรถเป็นชั่วโมงๆ

“ป้อ…” เสียงนั้นทอดยาว สายตาก็คอยแต่จะมองหาไปรอบๆห้อง…

“ป้อมาหรือลูก…” วาลาดาอดไม่ได้ที่จะถามลูกน้อย สายตาของลูก
ดูเชื่อมั่นอย่างนั้น แถมยังผงกศีรษะซ้ำๆเป็นการย้ำอีก

“ไหนให้แม่ดูหน่อยซิว่าทำไมถึงได้เดินกะเผลกแบบนั้น…”

ว่าพลางพยายามช่วยให้ลูกปีนขึ้นมาบนเตียง…แล้วสำรวจดูบาดแผลของลูก
ก็พบว่ามันได้รับการดูแลอย่างดี…วาลาดาอดสงสัยไม่ได้ว่าใครกันที่อุ้มเธอมาไว้ที่นี่
แล้วช่วยทำแผลให้ลูกของเธออีก ก่อนจะหันไปทางหมวกปีกกว้างใบนั้น

…คงเป็นเจ้าของหมวกนี่สินะ…

ใครกัน? ซุลก๊อตไนท์อย่างนั้นหรือ? เขายังไม่ตายใช่ไหม?

ร้อยแปดคำถามกำลังไหลหลั่งเข้าสู่ห้วงคำนึงของวาลาดา

ไหนจะคำพูดของลูกอีก…ลูกคงไม่มั่วหรือโมเมว่าคนนั้นคนนี้เป็นพ่อของตัวเองง่ายๆแน่…

แล้วถ้าเป็นซุลก๊อตไนท์จริงๆเล่า ทำไมเขาถึงไม่ยอมให้เธอได้พบหน้า…

ลึกๆแล้วอดหวังเช่นนั้นไม่ได้ แต่พอตั้งหวังคราวใด สิ่งที่ติดตามมาคือความเจ็บปวดทุกครั้ง
จนไม่อยากจะหวังกับอะไรให้เจ็บปวดใจอีก...

“เจ็บมั้ยลูก…” วาลาดาเงยหน้าขึ้นถามลูกน้อยเมื่อสำรวจบาดแผล
จนแน่ใจแล้วว่าไม่น่ากังวลอย่างที่คิด ศีรษะน้อยๆผงกรับโดยไม่พูดหรือบ่นให้ได้ยิน

“อดทนนะคนดี…ลูกผู้ชายต้องอดทน ไม่ร้องไห้งอแง…”

“คับ…” เสียงน้อยๆรับคำก่อนจะซบหน้าลงตรงอกแม่

“ป้อไปแล้ว…” เสียงนั้นเจือสะอื้นน้อยๆ…วาลาดาจึงได้แต่ยกมือขึ้นลูบหัวลูบหลังลูก
เป็นการปลอบประโลม…พลางคิดไปสารตะถึงถ้อยคำและท่าทางของลูก

…เป็นไปได้ไหมที่ซุลกํ๊อตไนท์จะแกล้งตายเพื่อให้ศัตรูตายใจ…

เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น ลุงหมานก็น่าจะรู้เห็นเป็นใจไปกับเขาด้วยเป็นแน่…



จากที่ตั้งใจจะต้อนลุงหมานกลับโดนลุงหมานต้อนกลับเสียอย่างนั้น
เมื่อลุงหมานกลับมาพร้อมกับถามเธอว่า

“ญาติของลุงบอกว่าเห็นคุณวาเป็นลม เขาก็เลยช่วยอุ้มมาไว้ในห้อง…
คุณวาคงไม่ถือนะครับ…” วาลาดาท่ียังงงๆอยู่เลยมองลุงหมาน
ก่อนจะยิ้มๆตอบออกไปว่า

“วาก็ไม่รู้จะตอบไงเหมือนกันค่ะ…เพราะว่ารู้สึกตัวก็ไม่เห็นใครแล้ว
เห็นแต่ตาหนูยืนร้องเรียกหาพ่อเขาอยู่…”

“คุณฟาเรียกหาคุณก๊อตหรือครับ…”

“ค่ะ…เขาบอกว่าพ่อเขามาหา พ่อเขาทำแผลให้เขา…อุ้มเขาด้วย
หมวกนี่ก็ของพ่อเขา” วาลาดาจดจ้องใบหน้าของชายกลางวัยนิ่ง
หยิบหมวกขึ้นมาแล้วส่งให้ลุงหมาน…อยากรู้เหลือเกินว่าลุงหมานจะตอบเธอว่าอย่างไร

“ทำไมคุณฟาถึงคิดว่าญาติลุงเป็นคุณก๊อตล่ะครับ…” วาลาดาส่ายหน้า

“นั่นเป็นปัญหาของเด็กขาดพ่อค่ะ…” วาลาดาไม่วายหยั่งเชิงลุงหมานดู

“คุณวาไม่ได้อำลุงเล่นหรอกนะ…” เหมือนลุงหมานจะพยายาม
หาทางต้อนเธอเรื่องวันนี้อยู่…คงอยากรู้ข้อมูลเชิงลึกแน่ๆ

“ไม่ได้อำค่ะ ตาหนูบอกวาอย่างนั้น…ปกติเขาไม่ชอบตอแยหรือเข้าใกล้
คนแปลกหน้าเท่าไหร่หรอกค่ะ แต่วันนี้เห็นชะเง้อคอยาว
คอยแต่มองหาพ่อของเขาตลอดตั้งแต่วารู้สึกตัวแล้วล่ะค่ะ…

ทำให้วาชักอยากเห็นหน้าญาติลุงหมานขึ้นมา อยากรู้ว่าอะไรในตัวเขา
ที่ทำให้ตาหนูเข้าใจผิดคิดว่าเขาเป็นพ่อ…”

แล้วเธอก็พบว่าลุงหมานมีสีหน้าผะอืดผะอม พูดไม่ออกขึ้นมาเสียดื้อๆ

“ลุงหมานช่วยพาเขามาให้วาเจอได้มั้ยคะ อย่างน้อยวาก็อยากจะ
ขอบคุณเขาที่ให้ที่พัก แถมยังช่วยเหลือวา ช่วยเหลือลูกของวาอีก…
เพราะสำหรับวาแล้ว…บุญคุณต้องทดแทนค่ะ…อย่างน้อยได้เลี้ยงข้าวเลี้ยงขนมก็ยังดี…”

วาลาดารุกหนักอีกฝ่ายทันทีที่สบโอกาส

“เขาไม่ว่างหรอกครับ…งานการมากมาย…ลุงเองก็ไม่ค่อยจะได้เจอตัวเขาสักเท่าไหร่…”

“เขาไม่ได้ทำงานในไร่หรอกหรือคะ…”

วาลาดาถามไถ่พลางมองอย่างพิจารณาสีหน้าและท่าทีของคู่สนทนาไปด้วย
เธอว่าลุงหมานโกหกไม่เก่งเท่าไหร่เลย…คนไม่ชินกับการโกหกให้มาโกหก
มันดูตลกและแปลกตาไม่เป็นธรรมชาติเอาเสียเลย

“ก็ทำด้วยครับ…ทำอย่างอื่นด้วย…เขามีกิจการเยอะแยะครับ…”

“คงจะมากพอๆกับก๊อตใช่มั้ยคะ…” วาลาดาได้ทีอดยิงลูกตรงไม่ได้
ทำเอาลุงหมานถึงกับทำหน้าไม่ถูกเลยทีเดียว…

“ลุงหมานอย่าโกหกวาเลย…มันบาปนะคะ…” เอาบาปมาขู่คนแก่จะผิดไหมไม่รู้…

“แล้วข้าวโพดที่เอามาให้เราสองแม่ลูกนั่นก็ไม่ได้เป็นฝีมือของลุงหมาน
แต่เป็นฝีมือของญาติลุงหมานด้วยรึเปล่าคะ…เพราะวาเพิ่งมานึกได้ว่า
เมื่ออาทิตย์ก่อนลุงหมานรีบออกไปในเมืองตั้งแต่เช้าตรู่หลังละหมาดเสร็จ…
แต่ข้าวโพดนั่นมาวางไว้หลังจากที่ลุงหมานออกไปแล้ว…

หรือลุงหมานไหว้วานให้คนอื่นเอามาให้วาแทนคะ…
ทั้งๆที่เราก็อยู่ใกล้กันแค่นี้เอง…ไม่จำเป็นต้องไหว้วานใครเลยนี่นา”

ลุงหมานถึงกับเงียบไปไม่ยอมพูดคำใด…คิดจะใช้ความเงียบ
สยบความเคลื่อนไหวอย่างนั้นหรือ…มันใช้ไม่ได้กับเธอแน่ๆ

“ถ้างั้น…ฝากลุงหมานไปบอกญาติลุงหมานด้วยนะคะว่าไม่ต้องเอาข้าวโพด
มาให้เราสองแม่ลูกแล้ว…เพราะวายังไว้ทุกข์ให้สามีวาอยู่
ไม่คิดจะรับไมตรีจากชายอื่นค่ะ…แล้วถ้าเขายังมายุ่งกับเราสองแม่ลูกอีก…
วาจะเดินไปให้ตำรวจจับตัวซะให้รู้แล้วรู้รอดไป…”

“คุณวาห้ามทำอย่างนั้นนะครับ…มันยังไม่ถึงเวลา…คุณห้ามออกไปจากท่ีนี่เด็ดขาด…”
เสียงลุงหมานเข้มเลยทีเดียว

“วาจะทำเมื่อจำเป็นต้องทำค่ะ…วาอยากติดต่อพี่นุกับรินทร์…
พวกเขาต้องช่วยวาได้แน่ๆ…”

“ยังไงก็ไม่ได้ครับ…”

“ทำไมล่ะคะลุงหมาน…ลุงหมานปกปิดอะไรวาอยู่…ถ้าลุงหมานไม่ยอมบอก
พรุ่งนี้วาจะเก็บผ้าหอบลูกไปจากที่นี่ทันที…จะไปตายเอาดาบหน้า…”

วาลาดาพูดด้วยน้ำเสียงและแววตาจริงจัง

“อย่าให้ลุงต้องพูดเลยนะครับ…ได้โปรดเชื่อกันสักครั้ง อย่าทำอะไร
ที่จะเป็นการทำร้ายตัวเองและลูกเลยคุณวา มันไม่คุ้มกันแน่…”
วาลาดามองคนตรงหน้าอย่างตัดพ้อ

“ทำไมลุงหมานถึงไม่ยอมบอกวาล่ะคะว่าก๊อตแกล้งตาย…
ก๊อตไม่ได้ตายจริงๆ แต่แกล้งตายให้คนอื่นตายใจ…แค่ลุงหมานบอกวา
ว่าก๊อตยังหายใจอยู่ วาจะรออยู่ที่นี่ต่อไป…นานเท่าไหร่ก็ได้…
ขอแค่ให้รู้เหตุผลว่าทำไม…แค่นั้นเอง…”

เมื่ออย่างไรก็ง้างปากลุงหมานไม่ได้ วาลาดาเลยใช้วิธีพูดออกไปตรงๆ
อย่างไม่อ้อมค้อม และเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายไม่ยอมปริปาก เอาแต่นิ่งเงียบ
วาลาดาจึงต้องยอมยกธงขาว

“โอเคค่ะ…วาไม่ควรทำให้ลุงหมานลำบากใจ…เอาเป็นว่า…ถ้าก๊อตยังหายใจอยู่…
และลุงหมานสื่อสารกับเขาได้…วาฝากบอกเขาด้วยนะคะว่า…

เขาจะใจร้ายกับวาเท่าไหร่ก็ได้ จะทำร้ายจิตใจวายังไงก็ได้…
แต่เขาไม่ควรทำกับลูกของเขา…ไม่รัก ไม่สงสารวาแล้วก็ได้
แต่เขาน่าจะสงสารเลือดเนื้อเชื้อไขของเขาบ้าง…

ถึงเขาจะบอกหย่ากับวาแล้ว...แต่กับลูก…ยังไงก็ยังเป็นลูกของเขาอยู่วันยังค่ำ…
วาไม่เคยคิดจะกีดกันไม่ให้เขาพบลูกหรือไม่ให้ลูกพบเขา…ไม่เคยคิด!”

พูดจบวาลาดาก็เดินเข้าบ้านไป ทิ้งให้ชายกลางวัยยืนมองตามหลังไป
แล้วได้แต่ลอบถอนหายใจอย่างหนักหน่วง





............โปรดติดตามตอนต่อไป.................


สืบเนื่องจากไปติดอกติดใจดอกกัลปพฤกษ์ระหว่างที่ไปแม่สอดมา...
มันสวยจนขนาดว่าเราขอไปยืนถ่ายรูปคู่กับมันแล้วโดนความงามของมันบดบัง
ความสวยอันน้อยนิดของเราจนหมดสิ้น...อิอิอิ

เลยเอามาฝากนักอ่านด้วยซะเลย...ไอ้ที่กะจะให้วาลาดานอนใต้ร่มโพธิ์ร่มไทร
เลยกลายมาเป็นต้องมานอนใต้ดงร่มกัลปพฤกษ์แปดต้นแทน...ฮ่าาาา

เพราะโดยส่วนตัวชอบไม้งามพอๆกับของหอม เห็นอะไรสวยอะไรงามไม่ได้...
เป็นต้องติดตาต้องใจ กะว่าจะหาพันธุ์ฺไปปลูกไว้ท่ีบ้านสักดง...ฮ่าาาาาา
เพราะต้นเดียวคงไม่สาแก่ใจ...อิอิ...

ต้นพวงแสดก็สวยสดงดงาม สมชื่อ...ถ้าได้ปลูกอีกสักดง เย้ย มันต้องปลูก
เป็นซุ้มๆ ก็คงสวยสดงดงาม ไฉไลอีกเช่นกัน...^o^

เอาไว้ค่อยไปยุให้หะบีบี้ปลูกดอกนั้นดอกนี้ในอีกเรื่องนึงก็แล้วกัน...
เพราะเรื่องนั้นมีแต่ดอกไม้งามกับท่านผู้นำรูปหล่อ...มาม่าม่ายค่อยจะมีให้กิน...เหอๆ
ฝันได้เท่าไหร่ก็ฝันกันไป...ไม่มีลิมิต (ว่าแล้วก็คิดถึงลูกปาดขึ้นมา)อิอิ
ไม่เคยลืมลูกปาด ท่านมุสตอฟา บิลกีส ขุนพล นาบีล จาลัล
และแม่ดาวล่องหนเลยจริงๆนะ...แค่เอาไปขึ้นหิ้งดองไว้แล้วค่อยเอามาแช่อิ่ม
ให้นักอ่านกินหลังจากสาวมาม่ากันไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว...เฮะๆ

ขอบคุณนักอ่านที่ติดตามอ่านเรื่องนี้กันนะคะ
ขอบคุณไลค์ที่กดให้ ขอบคุณกำลังใจที่ส่งให้กันและเข้ามาพูดคุยกัน
ขอบคุณนักอ่านเงาด้วยจ๊ะ...



.....ตอบเม้นท์จ๊ะ......

1.คุณPampam...รอบนี้มาให้คนแรกเลยค่ะ...^^
เรื่องสู้กับมารอย่าได้ห่วงค่ะ...วาไม่ไหว เพราะสังขารไม่ให้
แต่คนอื่นยังไหวนี่นา...อิอิ...เรื่องของมนต์ดำว่าไปแล้ว ตอนนี้ยังไม่มีใครโดน
ที่สำคัญ มันมีทางป้องกัน...และเรื่องของเรื่อง...มีคนใช้วิธีทำให้เกิดเหตุการณ์
วัวพันหลักนี่แหล่ะค่ะ...ต้องมาดูว่าใครเอากลยุทธนี้มาใช้ ^^

2.คุณRdoubleC...เรื่องนาดีมชอบรินทร์นั้น มีเฉลยให้กันแล้วนะคะ
ส่วนกับก๊อตนั้น ยังไม่เคลียร์เสียทีเดียว แต่อีกเดี๋ยวจะได้เคลียร์แล้วค่ะ
(เอาเข้าจริงๆ ผู้หญิงคนนี้อาจจะไม่เคยได้รู้จักกับความรักจริงๆกับเขาก็ได้นะคะ) อิอิ

เรื่องนี้แม่ของพี่นุแกเป็นตัวแปรสำคัญเหมือนกันค่ะ...เพราะถ้าไม่ได้แก
ต้นตอแห่งเหตุก็คงไม่โผล่...นับว่านี่คือกุญแจอีกดอกที่พี่นุแกมีเอาไว้ค่ะ

เรื่องแย่งซีนนั้น ต้องปล่อยให้ทัพเสริมได้ทำหน้าที่บ้างค่ะ
ส่วนทัพหน้านั้นช่างเกรียงไกรจริงๆ...ลุงหมานแกก็อยู่ทัพหน้้าค่ะ
หาได้เป็นทัพเสริมไม่...ฮ่าาาาาา และยังมีทัพหน้าอีกคนที่นักอ่านอาจคาดไม่ถึงเลย

เรื่องนี้โยเก็บพระเอกเอาไว้กินทีหลัง เย้ย เก็บเอาไว้โชว์ทีหลัง...อิอิ
เลยต้องมีอุบอิบเอาไว้ หรือกั๊กๆเอาไว้บ้างจ๊ะ...
ส่วนลุงหมานที่ว่าถ้าเรียกได้ว่ามาเหนือเมฆ งั้นเชื่อสิ
ว่ายังมีอีกคนที่มาเหนือฟ้า...แต่ก็ยังมีฟ้า...เหนือปลาร้ายังมีหนอน...ฮ่าาาาา

คาแรกเตอร์ที่โดดเด่นของก๊อตที่วาลาดาชอบแขวะประจำ คือ รู้จักใช้คน...
และเขาก็ทำได้จริงๆ...คือ ทุกคนเป็นคนที่ใช้ได้...เพราะนักอ่านเริ่มเห็น
ในความสามารถกันหมดแล้วว่าใช้ได้จริงๆ...ส่วนก๊อตก็เป็นคน(ได้)ใช้...เหอๆ
พี่นุแกเลยคาดโทษเอาไว้ว่าถ้าแกล้งตายแล้วได้เจอจะเหยียบให้หน้าจม
ไปกับเม็ดทรายเลยทีเดียว...อิอิ

ปล.มนุษย์เราก็เป็นหนึ่งในนักล่าตัวฉกาจ มีมันสมองและสติปัญญายิ่งกว่าสัตว์
แต่เราก็ยังต้องแกล้งตายเพื่อเอาตัวรอดจากสัตว์บางชนิดที่ดุร้าย
เมื่อเราเริ่มเล็งเห็นแล้วว่าหมดทางหนี...เพราะสู้ก็ตาย หนีก็ตาย
พอแกล้งตายเลยไม่ตายจริง...แถมไม่ต้องเหนื่อย แค่ต้องลุ้นสุดชีวิตเท่านั้น
ว่่ามันจะเชื่อหรือไม่เชื่อว่าเราตายแล้ว ฮ่าาาาาาา

3.คุณcoonX3...เงาะเขามีเสน่ห์ของเขาเหมือนกัน
ไม่หล่อแต่ถึงใจนา...หน้าไม่ใส แต่ใช่ว่าใจไม่ขาว...พูดไม่หวาน
ก็ใช่ว่าจะหยาบคาย...อิอิอิ...ที่สำคัญ...สุภาพบุรุษลูกผู้ชาย...ฮ่าาาาา

4.คุณPat...ลุงหมานทำตัวน่าสงสัยจริงๆนั่นแหล่ะค่ะ...และวาก็เริ่มสงสัยแล้ว
หลังจากซึมๆอยู่นาน...เรื่องแม่ก๊อตที่น่าจะเฉลียวใจบ้างนั้นต้องรอดูต่อไปค่ะ
ว่าอะไรยังไง...และตอนก่อนวารินทร์แย่งซีน ตอนนี้ก็ไม่วายแย่งซีนอีก
ถือว่าพระเอกของเรื่องตายแล้วได้ใจ เอาบทพระเอกไปเล่นซะงั้น...ฮ่าาาาา
ปล.ชอบแมวตัวสีขาวๆของคุณPat เห็นแล้วอยากอุ้ม ^o^

5.คุณเดิมเดิม...แน่ใจนาว่าลุงหมานเป็นคนถ่ายภาพนั้นอ่ะ...อิอิ
แกไม่น่าจะใช้กล้องดิจิตอลเป็น แต่ก็ไม่แน่ ถึงแก่ก็ไฮเทคก็ได้เนอะ...
ส่วนผู้พิทักษ์วะวาดูจะไม่ได้มีแค่คนเดียว รู้สึกว่าใครๆก็อยากจะปกป้องวะวากันทั้งนั้น
นี่แหล่ะค่ะที่ทำให้นาดีมปวดจายได้เสมอ...เพราะในขณะที่เธอสู้พยายามทำทุกอย่าง
ให้ใครต่อใครรัก ใครต่อใครสนใจ แต่ท้ายที่สุด ก็ยังสู้วะวาไม่ได้อีก...
เป็นใครก็คงเจ็บปวดใจ ถ้ามองในแง่นั้ัน...


6.คุณkonhin...พี่นุแกค่าตัวแพงค่ะ เล่นตัวด้วย ถ้าบทไม่ดีพอ
ไม่กระชากเรทติ้งแกไม่ยอม...อย่างบทที่โผล่เข้ามาแล้วโดนกระทืบตาย แกไม่เอา
จะเอาแบบถึงไม่ได้เป็นพระเอก ก็ขอให้ได้เล่นบทพระเอกบ้าง...โยเลยจัดให้...ฮ่าาาาา



ซึ่งคงต้องยอมรับว่าพี่นุกับก๊อตเขาสนิทกันมาตั้งแต่ก๊อตเกิด...ย่อมต้องเห็นไส้
เห็นพุงกันบ้าง...ถ้าเชื่อสนิทใจเลยก็คงไม่ใช่พี่นุแล้วน่ะค่ะ...
ส่วนเรื่องที่วาท้องสองนั้น อย่าเพิ่งอึ้งไปเลยค่ะ เพราะตั้งแต่ตื่นขึ้นมาในครั้งนั้น
เงาดำก็ทำอะไรวาไม่ได้เลยสักครั้ง โดยเฉพาะกับก๊อต...ถ้านาดีมครอบงำก๊อตได้จริง
คงไม่เลือกวางแผนอะไรให้มันซับซ้อนแบบนี้ค่ะ...และที่สำคัญ ความประมาทด้วย
พอกระหยิ่มยิ้มย่องว่าตนกำลังจะคว้าชัยชนะได้ ก็ลำพองตน เลยทำให้ประมาท...
นาดีมทำพลาดโดยไม่รู้ตัวไว้เยอะทีเดียว อีกไม่นานความผิดพลาดพวกนั้น
จะมาพันแข้งพันขาเธอเอง...

เรื่องโอนสมบัตินั้น...ใกล้เคียงเลยค่ะ...เพราะหากไม่พบว่ามีพินัยกรรม
กฎหมายก็จะจัดการไปตามลำดับค่ะ...แต่ในกรณีที่มีพินัยกรรมนั้นก็ให้เป็นไปตาม
พินัยกรรม แต่ก็ต้องมีการพิสูจน์กันอีกว่าจริงหรือปลอม แล้วคนเขียนพินัยกรรมนั้น
มีสติครบสมบูรณ์ดีมั้ย...โดยส่วนมากที่พบ มีญาติๆมากมายที่มีส่วนในมรดก
มักจะพยายามทำให้พินัยกรรมเป็นโมฆะไม่ทางใดก็ทางหนึ่ง จะได้เอาระเบียบกฎหมาย
เข้ามาจัดการแทน...ซึ่งในกรณีนี้ไม่ว่าจะมีพินัยกรรมหรือไม่มีพินัยกรรม
เรื่องมันจะวุ่นวายไม่เลิกแน่...เพราะมันย่อมหนีไม่พ้นต้องเข้าสู่กระบวนการในชั้นศาล
กว่าคดีจะถึงที่สุดนั้นคงใช้เวลาเป็นปีๆแน่...แต่ในความวุ่นวายย่อมฉายอะไรบางอย่าง
ออกมาให้เห็นนี่สิ...อันนี้แหล่ะค่ะประเด็นหลัก...เพราะถ้าก๊อตไม่ตายจริง
แค่โผล่หน้าออกมาทุกอย่างก็จบแล้ว ไม่น่าจะมีอะไรให้ต้องวุ่นวายกัน...
แต่ถ้าตายจริงนั้น เขาก็ต้องทำอะไรไว้เผื่อตายแน่นอน...
เพราะปกติแล้ว คนรวยที่มีสมบัติมากๆ เขาไม่ค่อยจะประมาทกันในเรื่องนี้...
ยิ่งคนทำธุรกิจยิ่งไม่ค่อยจะประมาท...เว้นแต่ว่า ไม่ได้คิดถึงความตายเลย...
ซึ่งการจะปล่อยให้นานข้ามปีก็ลำบากในเรื่องกิจการอีก
นั่นแหล่ะค่ะ...ที่ทำให้พี่นุแกคาดโทษก๊อตเอาไว้ไม่น้อยเลย...ถ้ารู้ว่าก๊อตแกล้งตาย

แต่พี่นุแกเคยประกาศว่าจะเป็นประธานสภาหัวใจให้ก๊อตกับวาได้เปิดวาระการประชุม
ตอนนี้ก็ได้นั่งแท่นทำหน้าที่นั้นสมกับที่ได้ลั่นวาจาเอาไว้แล้วนี่เนอะ...เหอๆๆ...
โยว่างานนี้ก๊อตอาจคิดเอาคืนพี่นุแกที่ตอนนั้นพรากวาไปจากเขากลางดึกกลางดื่น
แถมไม่ยอมบอกว่าพาไปหลบอยู่ที่ไหนเป็นเดือนๆหรือป่าว
ประมาณว่า สิบปีแก้แค้นยังไม่สาย...อิอิอิ...

มารมีมากกว่าสองหัวค่ะ...โยเคยเกริ่นไว้แล้ว...แต่จะกี่หัวนั้น...ใกล้แล้วๆ
เพราะเรื่องพ่อของนาดีมนั้น...มีอะไรแน่ๆค่ะ...อิอิ

7.คุณแว่นใส...น่าจะไม่ต้องถ่ายรูปไปให้ดูแล้วนะคะ...เพราะมาดูด้วยตาตัวเอง
หรือเผลอๆอาจเก็บภาพไว้เองด้วยซ้ำ...ฮ่าาาาาา
ก๊อตทำตัวเหมือนเงาไปแล้วอ่ะ...เต่าจะเรียกว่าเล่นเงาซ่อนหาได้มั้ยก็ไม่รู้...ฮ่าาา




...รักษาสุขภาพเช่นกันนะคะ...

"เต่าโย"




yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 23 มี.ค. 2558, 00:08:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 23 มี.ค. 2558, 01:16:10 น.

จำนวนการเข้าชม : 3153





<< บทที่ 29 ซ่อนหา ซ่อนเงา   บทที่ 31 ซ่อนกลิ่น ซ่อนชู้ >>
คิมหันตุ์ 23 มี.ค. 2558, 01:09:27 น.
จะได้เรื่องไหมเนี่ย


coonX3 23 มี.ค. 2558, 03:37:41 น.
น้องฟาน่ารักมากๆๆ ดูแลแม่และน้องด้วย ส่วนชายคนนั้นน่าจะเป็นก๊อต แต่ที่ยังเปิดเผยไม่ได้ เดาว่าเพราะมารไม่ถูกปราบ นาดีมเผยตัวมาเยอะแล้ว ต้องพลาดบ้างหละ จอให้จัดการมารได้เร็วๆ สงสารน้องฟาและวา


RdoubleC 23 มี.ค. 2558, 05:03:47 น.
คุณโยใบ้มาอีกแล้ว. และนักอ่านคนนี้ท้าไม่ได้เสียด้วย. ฮาาา

คือ มีคนมาเหนือเมฆอีกเหรอคะ. ไม่นะ!!! แค่พี่นุ ก็ฟินแล้ว (ไม่ใช่ละ)
งั้นขอเดาว่าเป็นแม่ก๊อต(ซะเอง)
เพราะตอนก่อนๆ มีบอกว่าแม่ก๊อตแปลกใจที่วะวาเป็นญาติกับพี่นุ(เรียกซะสนิทปากเล่อ)
บวกกับที่แม่พี่นุบอกว่าคนที่ช่วยแก้มนต์ดำ(ช่วงแม่ก๊อต)ได้. คือ อ การีมที่แม่วาแนะนำ
คนผ่านร้อนมาก่อนต้องเอะใจอะไรสักอย่างแน่ๆ อิอิ

ปล.อยากเห็นความเป็นไปของนาดีมจังค่ะ. เรื่องนี้ทำให้นึกถึงคดีมรดกที่ดังๆในไทย. ต่างคนต่างงัดทุกสิ่งอย่างเพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองควรได้รับมรดก. ...ทั้งๆที่ไม่ใช่น้ำพักน้ำแรงของตัวเองสักนิดเดียว(อารมณ์ขึ้นซะงั้น)

รักษาสุขภาพด้วยนะคะ คุณโยสุดสวย^^


Pampam 23 มี.ค. 2558, 05:29:33 น.
ลุงหมานต้องรู้อะไรเยอะเลย


เดิมเดิม 23 มี.ค. 2558, 06:17:02 น.
ป้อน้องฟามาแล้ว ดีจัง


pretty 23 มี.ค. 2558, 06:18:25 น.
มีแผนอะไรอีกป่ะคะ มาทำให้ลูกรู้ว่านี่พ่อแล้วก็หลบไปอีก


konhin 23 มี.ค. 2558, 06:33:24 น.
เอาจริงๆนะ มาวิเคราะห์ตัวละครแก้เครียดดีกว่า
1. นาดีม เธอไม่จำเป็นต้องวางแผนทำอะไรเลย ตัวเองได้แต่งงานไปแล้ว อยู่เฉยๆ ทำตัวดีๆ มีลูกซักคน ยังไงๆก็ได้ป่ะ สมบัติพัดสถาน กรุสมบัติด้วย แม่สามีรักนักรักหนา ยังไงก็ได้
สงสัยว่าจะใจร้อนไปไหน ถึงรอไม่ได้ หรือว่าโดนมารตัวแม่กรอกหูมา ว่าอยากครอบครองก่อนตาย
และถึงว่าก๊อตจะมารู้ตัวทีหลังว่ารักวา แล้วยังไง วาไม่มีทางมาเป็นเมียคนที่สองแน่ๆ นิสัยเธอไม่ใช่คนที่คิดจะมาแย่งความรักของใคร แค่บีบน้ำตาแล้วขอให้วาจากไป วาทำแน่ๆ
นาดีมกลายเป็นนางกากี มีสองสามี(ก๊อต กับ พ่อของลูกในท้อง)กับอีกหนุ่มต้องใจ(แต่เขาเมิน) แต่ไม่มีใครเอาจริงๆ น่าสงสารเหมือนกันนะ เป็นตัวร้ายที่แบบว่า ถ้าเขียนดีๆในมุมของเธอกลายเป็นนางเอกร้ายได้เลย (แต่ไม่ใช่เรื่องนี้เพราะเรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องของเธอ)

2 ก๊อต เป็นคนที่เจ้าเล่ห์เกินไป วางแผนซับซ้อน หลอก(ใช้)คนไปทั่ว คือแผนสมหวังแน่ๆ แต่ทำร้ายใครบ้างไม่สน?? แล้วคนที่รักก๊อตอย่างวาก็โดนแผนของก๊อตทำร้ายเต็มๆ หลายๆครั้ง
อยากจะคิดว่าการที่จะล่อคนร้ายออกมา ไม่จำเป็นต้องเดินเข้าไปหากับดักป่ะ ทำไมต้องแต่งงานกับนาดีมซ้ำ คือถ้าไม่แต่งด้วย ยังไงแผนของนาดีมก็ไม่มีวันสำเร็จ ห้องสมุดนั่น ถ้าแม่ไม่ให้วาก็ปล่อยให้แม่ยกให้น้องสาวไปสิ ไม่ยากแค่ไม่ต้องอยากได้ เพราะที่สำคัญที่สุด คือครอบครัวที่สงบสุขไม่ใช่เหรอ?

3 วา ดีเกินไป ซื่อเกินไป ตามก๊อตไม่ทันหรอก อยากเห็นวาเข้มแข็ง แล้วก็ให้บทเรียนกับก๊อตบ้าง ถึงจะบอกว่ารักคือการให้อภัย แต่ถ้าโดนกระทำซ้ำๆก็ไม่ไหวป่ะ ตอนนี้ใจร่มๆ แล้วนั่งบนภู ดูเสือกัดกัน เอ้ย ปล่อยให้คนอื่นตีกัน
อ้อ อย่าลืมเปลี่ยนกุญแจห้อง เอ๊ะ หรือเอาโต๊ะเอาตู้มาบังประตูไม่ให้ใครเข้าห้องดี




แว่นใส 23 มี.ค. 2558, 08:24:15 น.
เรื่องยังมีอีกยาวไกล


ตุ๊งแช่ 23 มี.ค. 2558, 08:47:58 น.
ตอนนี้หนุ่มน้อย น่าร๊ากกก

ขวบครึ่งกำลังเจื้อยแจ้ว...

วายังต้องเล่นบท ทุกข์ระทมเช่นเดิม ...เฮ้อ...

งานนี้ วารินทร์กับนุฮา ถ้าผนึกกำลังกันน่าจะกำจัดมารได้ไวขึ้นไหม ... รอตอนต่อไปว่า จะแก้เกมส์มารกันยังไง

เพิ่งรู้ความแตกต่างของกัลปพฤกษ์กับชัยพฤกษ์ ก็บทนี้ นึกภาพตาม อ๋อ แต่เดี๋ยว จะไปพิสูจน์ซากุระด้วย

เอิ่มถ้าคุณโยจะจบภายในเดือนนี้ คงมาเม้นท์ได้ถึงศุกร์ กลับมาเม้นท์ให้อีกที เดือนหน้าน๊า ขอไปชมซากุระ ก่อน

จะไปตามรอยคุณโยซะหน่อย


yasta 23 มี.ค. 2558, 09:21:09 น.
ตาหนูน่ารัก...
แต่พ่อตาหนูเริ่มน่าเตะแล้วนะคะเนี่ย


Habibi 23 มี.ค. 2558, 13:19:41 น.
สวัสดีค่ะคุณโย..ไม่ได้มาเมนท์นานๆๆๆมาก(จริงๆก็ติดตามเรื่อยๆนะค่ะ^^) สงสารวาจัง่ทุกข์ตลอด แต่ตาหนูก็น่ารักมากๆดูแลแม่ตั้งแต่เล็กๆ ป้อมาแล้ว ก็ไปแล้ว ฮือๆๆT-T(สงสารตาหนูจัง....(จะติดตามทุกๆเรื่องของคุณโยต่อไปนะค่ะ)<3<3


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account