รักละมุน หอมกลิ่นแก้ว (จบแล้วจ้า)
หอมกลิ่นดอกแก้วอีกแล้ว
รอยยิ้มในความฝัน ที่อบอุ่นใจ
ใครกันนะ ...

รัตติดารา หญิงสาวผู้เกิดในคืนที่ดาวส่องแสงเต็มท้องฟ้า
เธอผู้แอบรักผู้ชายคนหนึ่งฝ่ายเดียว
แต่การพบกัน เจอกันอีกครั้ง มันไม่น่าพิสมัยเสียแล้ว
เขาไม่ชอบเธอ และไล่เธอออกจากบ้านที่เธอเพิ่งจะก้าวเข้ามาอยู่ได้ไม่ถึงชั่วโมง!

นอกจากนี้ เธอยังพบกับ เทวดา ... เจ้าของกลิ่นหอมดอกแก้ว
ในบ้านหลังใหม่ที่เธอมาอาศัยอยู่อีกด้วย!!


Tags: ดอกแก้ว รัก ฝาแฝด เทวดา วิญญาณ ผี

ตอน: ตอนที่ 3

ตอนที่ 3

“ผมจะอยู่ที่นี่ด้วยเลย”

“หา?”
รัตติดาราไม่ได้หูฝาดไปใช่ไหม

เธอมองคนตัวสูงขยับลุก เดินตรงมายังเธอ เขาอยู่ในเสื้อยืดคอวีสีเทา กางเกงยีนส์สีดำ ซึ่งเป็นคนละชุดกับชุดทำงานเมื่อตอนกลางวัน เขาคงกลับไปเปลี่ยนเสื้อก่อนจะมาหาเธอที่บ้านนี่ และเขาคงมีกุญแจบ้านถึงได้เข้าบ้านได้

เธอเพิ่งสังเกตผ่านเสื้อยืดเนื้อผ้านิ่มของเขาที่พอดีตัว ภายนอกศตภัทรจะดูเหมือนตัวใหญ่ แต่เขากลับไม่มีส่วนเกินตรงหน้าท้อง แถมยังอกกว้าง ดูแข็งแกร่ง เขาคงต้องชอบเล่นกีฬามากแน่ๆถึงได้หุ่นดีขนาดนี้

“คุณหมายความว่าไง อยู่ที่นี่?"
รัตติดาราตกใจ แม้เธอจะกรี๊ดกร๊าดปลื้มเขาดั่งไอดอลคนหนึ่ง แต่เรื่องที่จะได้อยู่ด้วยกันแบบนี้มันออกจะเกินความต้องการเธอไปเยอะมากเลย

หากเขาชอบเธอดั่งเช่นเธอชอบเขา แล้ววันหนึ่งได้อยู่ใกล้ๆผู้ชายที่เธอแอบรักมานาน ได้เจอหน้ากันทุกวัน ยิ้มให้กันทุกเช้า .... มันคงจะเป็นอะไรที่มีความสุขมากสำหรับเธออยู่
แต่ว่านี่ ... มันไม่ใช่ เมื่อศตภัทรไม่ได้มองเธอแบบที่เธอรู้สึกกับเขา ในสายตาชายหนุ่มตอนนี้เธอกลายเป็นขโมยใจร้ายที่แย่งของสำคัญไปจากเขา ดังนั้นนี่ต้องไม่ใช่เรื่องที่ดีแน่นอน!

“คุณ ... คุณอยู่ที่นี่ไม่ได้นะ!” รัตติดาราปฏิเสธเสียงดัง น้ำเสียงยังคงตกใจ

นอกจากเรื่องความเหมาะสมแล้ว เธอเพิ่งจะสัญญากับไม้เอกไปหยกๆ ว่าเธออยู่คนเดียวจริงๆ ... แล้วนี่อะไร อยู่ๆก็จะมีเพื่อนร่วมบ้าน แถมยังเป็นผู้ชายอีก! ถ้าไม้เอกเกิดปุบปับมาเห็นเข้ามีหวังเธอได้โดนลากกลับบ้านจริงๆ แค่คิด เสียงหัวเราะเยาะอันน่าหนวกหูของมุกรินก็ดังขึ้นในหัวจนหญิงสาวหน้าเบ้

“ท่าทางจะเอาจริง จนกว่าหนูเรจะย้ายออก คงโดนป่วนอีกหลายตลบทีเดียว"
ศตายุมองท่าทางกวนโทสะของศตภัทรแล้วส่ายหัวไปมา นิสัยน้องชายเขาไม่เปลี่ยนจริงๆ จะเอาอะไรก็ต้องได้ ใครขวางเหรอมีป่วนจนอีกฝ่ายต้องยอมแพ้ไปเอง ...
ได้ยินศตายุพูด รัตติดาราก็แทบจะถอยหลังทันที เมื่อศตภัทรขยับเท้าเข้ามาใกล้ จนกลิ่นหอมอ่อนๆที่เธอไม่รู้ว่ามาจากน้ำหอม หรือสบู่ หรือกลิ่นเสื้อของเขาลอยแตะจมูกมเื่อเขาเข้ามาใกล้ นั่นทำให้หัวใจเธอแทบจะกระโดดออกจากอก

“เมื่อวันก่อนยังเงยหน้าเถียงอยู่ฉอดๆ กลัวเป็นเหมือนกันหรือ" ศตภัทรหัวเราะขันท่าทางหญิงสาว ไม่เห็นเก่งเหมือนวันก่อนเลย

“ฉันไม่ได้กลัว แต่ ... แต่ว่า ฉันคิดว่ามันไม่เหมาะสม ฉันเป็นผู้หญิง เป็นลูกน้องคุณอีก คุณคงไม่อยากเสียหายหรอกใช่ไหม"

ดูเหมือนเธอจะกังวลผิดฝั่งนะ ... ศตภัทรอดย่นคิ้วกับสิ่งที่หล่อนกังวลไม่ได้ เขายักไหล่ ไม่สนใจเรื่องอื้อฉาวหรอก

“ผมไม่สนใจหรอก ... คุณต่างหาก ถ้าไม่อยากเสียหาย ก็ย้ายออกไปซะสิ" เขาพูดราวกับว่าเป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย รัตติดาราเลิกคิ้วสูง กำลังจะปฏิเสธกลับ ทว่าน้ำเสียงทุ้มกลับพูดต่อ

“ถ้าไม่ย้ายออก ... ก็อยู่ด้วยกันนี่แหละ ... จริงๆผมอยากจะย้ายกลับมาอยู่บ้านหลังนี้ตั้งนานแล้ว ดีเหมือนกัน อยู่คนเดียวมันก็เหงาๆนะ" ศตภัทรว่า พลางเดินวนเป็นวงกลม ดวงตาสีดำสนิทของเขากำลังมองรอบๆบ้านที่เขาคุ้นเคยที่สุด รัตติดาราเดินไปขวางชายหนุ่มจนเขาต้องหยุดเดิน

“ไม่ได้นะคะ ฉันขอร้อง คุณอย่าอยู่ที่นี่เลย กลับไปเถอะค่ะ" เธอขอร้องเขาทั้งแววตาและน้ำเสียง

เขามองหน้าหญิงสาวนิ่ง ... ความดื้อรั้นในดวงตาคมที่ก้มมองเธออ่อนลงเล็กน้อย รัตติดาราคิดไปเองว่าเขาคงยอมเข้าใจเธอ อย่างไรเขาก็เป็นผู้ชายที่ดูมีเหตุผล อย่างผลงานที่เขาออกแบบก็น่าทึ่งทั้งนั้น คนที่สามารถสร้างสรรค์สิ่งสวยงาม และใช้งานได้ดีแบบเขา จะต้องเป็นคนที่รับฟังคนอื่นแน่ๆ

... แต่แล้วรัตติดาราก็ต้องคิดผิด คนที่เพิ่งเริ่มทำงานอย่างเธอคงยังไม่รู้ว่า บางคนนั้น ... นิสัยจริง กับนิสัยเวลาทำงาน มันก็ไม่ไปด้วยกันเท่าไหร่ หนึ่งในตัวอย่างก็คือ ศตภัทร คนนี้นี่เอง

“ห้องของคุณอยู่ด้านขวาใช่ไหม" คนถามรู้เพราะห้องด้านซ้ายไม่มีของของหญิงสาวอยู่เลย เขาหันไปทางอื่น ทิ้งให้รัตติดารายิ้มเก้อ

รอยยิ้มที่ดีใจหายไป เหลือเพียงสีหน้าอึ้ง ทึ่ง กับความดื้อด้านสุดๆของผู้ชายตัวโตตรงหน้า เขาเดินไปยังบันไดทางขึ้นชั้นสอง ด้านบนมีสามห้อง ซ้ายสองห้อง และขวาหนึ่งห้อง
ห้องด้านขวาใหญ่ที่สุดเดิมเคยเป็นของคุณยายและมาธวีอยู่ มีห้องน้ำในตัว ตกแต่งไว้สวยงาม มีตู้เสื้อผ้าที่จุได้เยอะเหมาะกับผู้หญิง ซึ่งรัตติดารายึดครองไปก่อนหน้าแล้ว ห้องซ้ายสองห้องมีห้องน้ำห้องเดียวอยู่ตรงกลาง ซึ่งเป็นห้องเดิมของศตภัทรและศตายุ

“คุณภัทร! คุณศตภัทร ฟังเข้าใจกันไหมคะเนี่ย"

ร่างเล็กวิ่งตามเขาขึ้นไป เห็นศตภัทรลากกระเป๋าเดินทางขนาดกลางมาวางหน้าห้องด้านซ้าย เธอมองแล้วรู้ทันทีว่าเขาไม่ยอมไปง่ายๆแน่ๆ

“ถ้าคุณไม่กลับไป ฉันจะฟ้องพ่อของคุณ" รัตติดาราใช้วิธีการสุดท้าย ที่คิดว่าจะทำให้เขาออกไปจากบ้านได้

“เชิญ ผมไม่สน พ่อไม่เคยห้ามอะไรผมได้หรอก เวลาที่ผมอยากจะได้อะไร"

ศตภัทรหมายความตามนั้นจริงๆ เขาพูดแบบไม่สนใจว่าเธอจะเอาศิระมาขู่ เดินลากกระเป๋าเข้าห้อง ปิดประตูไปเฉย รัตติดาราได้แต่ฟึดฟัดอยู่หน้าห้อง ก่อนที่ตัวเองจะเดินเข้าห้องด้านขวาของตัวเองไปบ้าง วางข้าวของทั้งกระเป๋าสะพาย และอาหารที่ซื้อมา เธอลืมเก็บมันไว้ในครัวเพราะมัวแต่เถียงกับคนดื้อตัวใหญ่ ร่างเล็กทิ้งตัวลงนอนบนเตียง พ่นลมหายใจออกมาอย่างแรงที่สุดเท่าที่จะแรงได้ หวังจะทำให้เธอหายเหนื่อยได้บ้าง

“หมอนั่นไม่กลัวพ่อหรอกครับ เขาจะทำทุกวิถีทางให้พ่อเหนื่อยแพ้ไปเอง" ศตายุพูดขึ้น เขายืนกอดอกพิงประตูห้องอยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่หญิงสาวก็ไม่แน่ใจ เห็นอย่างนั้นรัตติดาราก็เด้งตัวขึ้นนั่ง

“ทำไมเขาดื้อแบบนี้ ฉันไม่เคยรู้จักเขาแบบนี้มาก่อนเลย ในแมกกาซีน ในอินเตอร์เน็ต หรือแม้แต่ที่ฉันไปฟังเขาบรรยาย เขาเท่มาก นิ่ง สุขุม เป็นผู้ใหญ่สุดๆ คุณเชื่อไหมฉันเคยชอบเขามากขนาดนั่งรถมากรุงเทพฯเพื่อจะมาดูงานออกแบบที่เขาจัดขึ้น นั่งรอเพื่อจะเจอเขาทั้งวันจนกลับไปโดนที่บ้านบ่นจนหูชา ... อะไรกัน! นี่ฉันปลื้มคนแบบนั้นเหรอ"

รัตติดาราระบายออกมาทีเดียวยืดยาว จนศตายุยิ้มเอ็นดูหญิงสาว กับสีหน้าที่กำลังตื่นตะลึง ราวกับโลกทั้งใบที่เธอสร้างขึ้นนั้นมันทลายลงมาหมด ศตายุรู้หมดนั่นล่ะ รู้ทุกอย่างที่หญิงสาวทำไปเพราะคลั่งไคล้น้องชายของเขา
ภาพเจ้าชายรูปงามในสายตาหญิงสาว กลายเป็น นายปีศาจตัวป่วนไปซะงั้น!

“นายบีก็เป็นแบบนั้นแหละครับ ตั้งแต่เด็กๆ เจ้าแผนการ ไม่ยอมแพ้อะไรง่ายๆด้วย นี่ก็คงเป็นวิธีการก่อกวนจนกว่าหนูเรจะย้ายออกนั่นแหละ"

“อ่อ นี่คงเป็นวิธีการกดดันหนูเรอ้อมๆสินะ" รัตติดาราเข้าใจตามที่ศตายุพูดมา

เทวดาหนุ่มยกมือปิดปากเมื่อรู้สึกว่าเขาพลั้งปากไปหน่อย

“เอาน่า หนูเร อดทนหน่อย อีกไม่นานเขาก็เหนื่อยไปเองแหละ ทนหน่อยนะ" ศตายุขยับมือขึ้นลง พัดโบกให้คนตัวเล็กบนเตียงใจเย็นลงบ้าง ลมเย็นสบายกลิ่นดอกแก้วหอมๆลอยมาจากคนโบกมือ

รัตติดารากรอกตาขึ้นลงอย่างเหนื่อยใจ
“เฮ้อ!”

ศตายุขมวดคิ้ว ยกนิ้วชี้ขึ้นเการิมฝีปากใช้ความคิด

นี่เขาเล่นแรงไปหรือเปล่านะ ที่เป่าหูให้น้องชายเขาเลือกที่จะทำแบบนี้ แถมยัง แกล้งซ่อนรถของศตภัทรเอาไว้ทำให้รัตติดาราไม่ทันสังเกตเห็นตอนเข้าบ้าน ...

ศตายุแค่อยากจะช่วยให้ความรักของรัตติดาราสมหวังก็เท่านั้น เทวดาหนุ่มรูปงามไม่ได้ตั้งใจจะก่อกวนให้ชีวิตทั้งคู่ปั่นป่วน เขาแค่อยากใช้ความใกล้ชิดที่จะทำให้ศตภัทรมีความรัก เมื่อน้องชายฝาแฝดของเขาได้รักใครสักคน ศตภัทรคงสามารปลดเปลื้องความทุกข์ในใจที่ฝังแน่นมาเป็นสิบปีออกได้ ซึ่งคนเดียวที่ศตายุหมายมั่นปั้นมือมาตั้งหลายปีก็คือ หญิงสาวที่กำลังนั่งคอตกเพราะถูกน้องชายเขาก่อกวนตรงหน้าเขานี่ล่ะ


ภายในห้องด้านซ้าย ศตภัทรนั่งอยู่บนเตียงขนาดสามฟุตครึ่ง เตียงที่เขานอนตั้งแต่เด็กและมันก็ยังใช้ได้ดีอยู่เพียงแค่คลุมผ้าไว้กันฝุ่นเท่านั้น ทุกอย่างในห้องได้รับการทำความสะอาดอยู่บ่อยๆเหมือนตอนเขาอยู่ เพียงแค่ไม่มีข้าวของวางไว้อย่างแต่ก่อน ตู้เสื้อผ้าใบย่อมๆถูกเปิดค้างไว้ เมื่อเขาเอาเสื้อเชิ้ตและกางเกงทำงานแขวนไว้กันมันยับก่อนหน้านี้แล้ว

แว่บหนึ่งที่เขาลากกระเป๋าเข้าห้องนั้นเขาแอบรู้สึกผิด ว่าเขาทำแรงไปหรือเปล่า การอยู่ด้วยกันสองต่อสอง ชายหญิง ในบ้านหลังเดียวกัน มันก็ไม่ดีจริงๆนั่นล่ะ

ศตภัทรก็แค่ต้องการจะกดดันรัตติดาราให้ยอมย้ายออกไป เขาคิดว่า ผู้หญิงน่าจะอึดอัดเวลามีผู้ชายอยู่ด้วย เขาเองก็ชินกับการอยู่คนเดียว เขาไม่ได้คิดจะมาอยู่บ้านนี้ตลอดถาวรหรอก ที่ทำไปเพราะต้องการจะกดดันอีกฝ่ายแค่นั้นจริงๆ

บ้านหลังนี้ ไม่ใช่ที่ที่ใครคิดจะมาอยู่ก็จะมาอยู่ได้ง่ายๆ เขาจึงรีบร้อนทั้งวันก่อนที่มาไล่ทั้งที่เขารู้ว่าเขาไม่มีสิทธิ์อะไร เขาตัดสินใจผิดจริงๆที่ปฏิเสธตอนที่มาธวีจะยกบ้านต้นแก้วให้เขา ศตภัทรจึงคิดหาทางกดดันยายตัวจิ๋วนั่นออกจากบ้านนี้ไปซะด้วยการไปเก็บของที่คอนโดมิเนียมบางส่วนแล้วมาอยู่บ้านหลังนี้ที่เขามีกุญแจเปิดบ้านอยู่กับตัวเองอยู่แล้ว

แล้วนี่ เธอจะฟ้องพ่อเขาจริงๆหรือเปล่านะ ศตภัทรนิ่วหน้า นึกถึงสีหน้าและแววตาหากมารดาของเขารู้เรื่อง สยองจนขนแขนสแตนดฺ์อัพ เขาทนไม่ไหวต้องลุกขึ้นไปเปิดประตู โผล่หน้าออกไปดู ประตูห้องด้านขวายังคงปิดสนิท ริมฝีปากหยักได้รูปเม้มเข้าหากัน ลังเลชั่วอึดใจ ทว่าประตูบานนั้นถูกเปิดออก เขากลับตกใจเป็นฝ่ายหนีหน้า ยืนหลบอยู่หลังประตูรอจนได้ยินเสียงปิดประตูดังปัง เข้าใจได้ว่ารัตติดาราเดินลงไปชั้นล่างแล้ว

เขาจึงตัดสินใจเดินตามหญิงสาวลงไป แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อรัตติดาราดูสงบเงียบผิดจากก่อนหน้านี้ เธอเปลี่ยนชุดเป็นเสื้อยืดกางเกงขายาวจนลากพื้นกำลังแกะถุงอาหาร เทน้ำแกงลงชามกระเบื้องอยู่หน้าเตาอบไมโครเวฟที่ลุงดลคงมาเปลี่ยนให้ใหม่ก่อนรัตติดาราจะเข้ามาอยู่ ผมยาวๆหยักโศกสีน้ำตาลของเธอถูกรวบไว้ง่ายๆ

“นี่ยายตัวเล็ก ... ตกลงยังไงก็จะอยู่ที่นี่หรือ" เสียงทุ้มถามขึ้น คนตัวเล็กที่ว่าเกือบสะดุ้งด้วยไม่รู้สึกตัวว่าเขาลงมายืนชั้นล่างตั้งแต่เมื่อไหร่
แถมยังมาเรียกเธอว่า ยายตัวเล็ก ... อีก ถึงเธอจะตัวเล็ก แต่เรียกแบบนี้เธอออกจะไม่ค่อยขอบเท่าไหร่แฮะ ...

“ฉันชื่อเรค่ะ เรียกว่าเรก็ได้"

“เออ นั่นแหละ คุณเร ยังไงๆก็จะอยู่ที่นี่หรือ"

“ค่ะ ฉันทำสัญญาไปแล้ว เงินฉันก็หมดแล้ว ... คุณอาจจะไม่เชื่อแต่กว่าฉันทำงานพิเศษจนเก็บเงินเข้ากรุงเทพฯได้ แล้วหาบ้านเช่าที่ดีขนาดนี้ สวยขนาดนี้ แล้วก็ปลอดภัยด้วย ในราคาที่ฉันจ่ายไหว มันไม่ง่ายเลยรู้ไหมคะ แล้วเงินฉันก็หมดไปกับค่ามัดจำบ้าจนไม่มีจะไปมัดจำที่ใหม่แล้วด้วย อีกอย่าง ... "

สองคำสุดท้ายเธอแทบจะพูดกับตัวเอง เบาจนเขาคงไม่ได้ยินเพราะเธอยืนหันหลังให้อยู่
... อีกอย่าง บ้านหลังนี้ก็ทำให่เธอไม่ต้องเจอพวกวิญญาณ เพราะมีศตายุอยู่ที่นี่ ...

“คุณลำบากขนาดนั้นเลยหรอ" หัวใจแข็งๆของชายหนุ่มเหมือนจะอ่อนลง เมื่อเขาเองก็เคยผ่านชีวิตที่ต้องทำงานเก็บเงินเรียน แล้วยิ่งสาขาที่เรียนก็งานเยอะ โปรเจ็คแยะแบบนี้ เขาเหนื่อยมากจนบางทีแทบจะท้อใจ

“ก็ ... ฉันอยู่คนเดียวหนิ ไม่มีพ่อแม่เลี้ยงมาเหมือนคนอื่น" รัตติดาราแค่ไม่พูดต่อว่า ... เธอมีลุงกับป้าเลี้ยงมาต่างหาก แว่บหนึ่งที่รัตติดาราหันมองหน้าชายหนุ่ม เธอจับได้ว่าดวงตาสีดำของเขาวูบไหว

หรือว่าเขากำลังสงสารเธอ?

รัตติดาราต้องพยายามอย่างหนักในการกลั้นยิ้มเมื่อสีหน้าที่ดื้อรั้นกำลังเปลี่ยนเป็นความสงสารเห็นใจตามที่เธอคาดไว้ ... เธอได้ยินเสียงถอนหายใจดังจากร่างสูงแผ่วเบา

ศตภัทรกำลังยืนเท้าแขนข้างหนึ่งกับโต๊ะ มองหญิงสาวด้วยแววตาครุ่นคิด

“'ทานข้าวด้วยกันไหมคะ" รัตติดาราวางจานข้าวลงบนโต๊ะเพียงหนึ่งใบ ก่อนจะนึกขึ้นได้จึงถามไป ... ตามมารยาท

“ขอบคุณ แต่ผมไม่กินมื้อเย็น"

ศตภัทรเดินหนีไปนั่งห้องรับแขกแทนเพื่อรัตติดาราจะได้รับประทานอาหารเย็นในตอนหัวค่ำสบายๆ เขาหยิบมือถือขึ้นมากดเปิดหน้าจอ ไม่มีข้อความ หรืออะไรที่มาจากทั้งศิระและมาธวี

ท่าทางยายตัวเล็กนั่นจะไม่ได้ฟ้องพ่อเขาแฮะ ....

ดวงตาของเขาเหลือบมองหญิงสาวที่นั่งมีความสุขกับมื้อเย็นของเธอตรงโต๊ะอาหารซึ่งอยู่ถัดจากห้องรับแขกไป มีเพียงชั้นหนังสือแบบโปร่งวางคั่นเพื่อแบ่งส่วนตั้งอยู่เท่านั้น ก่อนที่ดวงตาดำของเขาจะหรี่ลงเล็กน้อย ริมฝีปากก็เริ่มเม้มเขาหากันอย่างครุ่นคิด ชั่วอึดใจเขาก็ส่ายหัวไปมา
... ยังไง เขาก็ไม่สามารถให้เธออยู่ที่นี่ได้หรอก ... เขาจะใจอ่อนไม่ได้เด็ดขาด!

++

เสียงนกร้องตอนเช้า และเสียงก๊องแก๊งของประตูรั้วที่ถูกเปิดออก ทำให้ร่างสูงที่นอนอยู่บนเตียงรู้สึกตัว เขาลุกขึ้นนั่งก็ต้องแปลกใจกับห้องที่เขาอยู่ในตอนนี้ ไม่ใช่ผนังปูนสีเทาอ่อน มีภาพถ่ายขาวดำแขวนอยู่เช่นทุกวัน กลับเป็นผนังไม้สีครีมอ่อน พอคิดสักพักก็จำได้ว่าเมื่อคืนเขามาค้างที่บ้านต้นแก้วแทนที่จะเป็นห้องนอนในคอนโดมิเนียมเช่นทุกวัน เพื่อจะแกล้งให้ผู้หญิงคนนั้นออกจากบ้าน

ร่างสูงขยับลุกเดินไปยังหน้าต่าง มองเห็นหญิงสาวตัวเล็กที่ว่ากำลังเดินประคองถาดออกไปตั้งไว้บนโต๊ะพับเล็กๆหน้าบ้าน เขากลับไปหยิบโทรศัพท์มือถือขึ้นมา ปัดหน้าจอเบาๆก็โชว์เวลา

... ตีห้าสี่สิบห้า ... ยายตัวเล็กนั่นตื่นเช้าจัง
เขาหันไปมองหน้าต่างครู่หนึ่ง แล้วจึงตัดสินใจเข้าห้องน้ำ ล้างหน้า ก่อนจะลงไปด้านล่าง

“เมื่อคืนนอนไม่หลับเลย" รัตติดาราบ่นเบาๆ

การที่ศตภัทรมานอนที่บ้าน ถึงแม้จะคนละห้อง และเธอก็ล็อคประตูห้องเรียบร้อย มันก็ยังทำให้เธอไม่สะดวกใจอยู่ดี

“เขาไม่ใช่ผู้ชายแบบนั้นหรอกครับ คุณกังวลเกินไป" ศตายุยืนอยู่ข้างๆ มองหญิงสาวจัดของบนถาดที่เตรียมใส่บาตรบนโต๊ะเล็กหน้าบ้าน

“เพราะคุณเป็นผู้ชายถึงได้คิดแบบนั้น ฉันน่ะเป็นสาวเป็นแส้นะ รู้ถึงไหนเสียหายถึงนั้น" รัตติดาราตวัดสายตามองศตายุ

“จริงด้วยสินะ ... ว่าแต่เหมือนเมือคืนคุณจะใจเต้นแรงมากเลยนะ" ศตายุแซวหญิงสาว เขาเลยได้ค้อนวงใหญ่จากเธอพร้อมเสียงที่แหวดัง เพราะเขาดันพูดตรงกับสิ่งที่เธอเป็น

... ใครจะไม่ใจเต้นแรงหรือ เมื่อผู้ชายที่แอบชอบอยู่กำลังนอนอยู่ห้องข้างๆ ... เธอก็เป็นแค่คนธรรมดาคนหนึ่งเท่านั้น

“คนบ้า! ฉันไม่ได้ใจเต้นอะไรสักหน่อย ...” ริมฝีปากที่ขยับอยู่ปิดลงฉับ เมื่อสายตาพลันไปเห็นใครบางคนยืนมองเธอด้วยแววตาประหนึ่งว่าเห็นผีหลอก

“คุณพูดกับใครน่ะ" ศตภัทรยืนเอามือล้วงกระเป๋ากางเกงสองข้าง ถามเธอเมื่อเขาเห็นรัตติดารากำลังโวยวายอะไรอยู่คนเดียว

“แมวค่ะ" เธอหันไปพูดคำว่า แมว ใส่หน้าศตายุเต็มๆ จนเทวดาหนุ่มถึงกับยกมือขึ้นแปะหน้า ... จากเทวดาหนุ่มรูปหล่อกลับกลายเป็นแมวไปเสียแล้ว ...

คิ้วหนาย่นเข้าหากัน มองหา แมวที่ว่า ไม่เห็นสักตัว

“แล้วทำอะไรอยู่" ถามพลางขยับเข้าไปใกล้

“ซักผ้าค่ะ" รัตติดาราตอบทันที

“นี่ ทำไมต้องกวนกันแต่เช้าเนี่ย" ศตภัทรเริ่มหัวเสีย เมื่อถูกอีกฝ่ายยียวนใส่ ขนาดศตายุเองยังส่ายหน้าไปด้วยเลย

“อ้าว คุณไม่เห็นหรือคะว่าเรกำลังรอใส่บาตรอยู่ ... ใส่ด้วยกันไหมคะ" รัตติดาราถามชายหนุ่ม เขาส่ายหน้าไปมา

“ไม่เป็นไร คุณเตรียมของคุณไว้หนิ" เขาพูดจบ พระสงฆ์สามรูปก็เดินเรียงแถวมาตรงหน้าพอดี

“นิมนต์ค่ะ"

รัตติดาราพยายามละทิ้งความขุ่นเคืองใจทั้งหมดไป เธอถอดรองเท้า ยืนเท้าเปล่าบนพื้นถนน ก่อนจะค่อยๆใช่สองมือประคองข้าว และอาหารที่จัดใส่ถุงไว้ เครื่องดื่ม รวมถึงดอกบัวธูปเทียนที่เธอออกไปซื้อมาแต่เช้าครู่ ลงในบาตร เด็กวัดวัยประถมตัวผอมกระหร่องหยิบของจากบาตรพระท่านลงใส่ย่ามเก่าๆที่สะพายอยู่ จวบจนพระสงฆ์รูปสุดท้ายปิดฝาบาตร หญิงสาวก้มศีรษะทุยได้รูปลง พร้อมพนมมือไหว้
พระสงฆ์ชรารูปสุดท้ายเหลียวมองยังเทวดาหนุ่มรูปงาม ท่านยิ้มละไม
“ปล่อยให้ทุกอย่างมันเป็นตามกรรมเถิด โยมอยู่ในทีที่โยมควรจะอยู่ มันถูกต้องกว่า"

“ขอรับ" เทวดาพนมมือขึ้น พร้อมก้มศีรษะลงไหว้เมื่อได้รับการเทศน์จากพระสงฆ์

ศตภัทรมองพระสงฆ์ที มองไปยังพื้นทีที่ว่างๆที ด้วยแววตางุนงง ยิ่งพระท่านเหลียวมามองเขาระหว่างที่พูด ยิ่งทำให้เขาเก็บความสงสัยไว้ในอกไมไ่ด้ จนกระทั่งพระท่านเดินห่างออกไป ศตภัทรหันไปทางหญิงสาวที่เก็บถาดเดินเตรียมกลับเข้าบ้าน ศตภัทรแย่งเอาโต๊ะพับมาถือไว้เอง รัตติดาราเอ่ยขอบคุณเขาเบาๆแล้วจึงเดินกลับเข้าบ้านไป ปล่อยให้เขาถือโต๊ะเดินตามหลังมา

“นี่ยายตัวเล็ก ... เมื่อกี้พระท่านพูดกับใคร" เขาสงสัยมากจนต้องถามออกมา

“พูดไป คุณก็ไม่เชื่อหรอก" รัตติดาราเชิดหน้าไม่หยุดตอบคำถามเขา แต่ชายหนุ่มกลับรั้งแขนบอบบางไว้

“โอ๊ย!” เสียงใสร้องขึ้นเมื่อถูกดึง ... มือเขาบีบแขนเธอแรงเกินไปจนเธอเจ็บแล้วร้องออกมา
“มันเจ็บนะคะ"

“ก็ลองบอกมาสิ ผมจะได้รู้ไงว่าควรเชื่อไหม"

รัตติดารามองชายหนุ่มนิ่ง เมื่อมองไปในดวงตาสีดำสนิทน่าหลงใหลของศตภัทร เขาอยากรู้ขนาดนั้น เธอก็ยอมที่จะบอก

“ท่านพูดกับพี่ชายคุณต่างหาก"
รัตติดาราตอบ นั่นทำให้ ศตภัทรขมวดคิ้ว กับสิ่งที่เขาได้ยิน

“หา?”

“คุณศตายุ พี่ชายของคุณ ยังอยู่ที่บ้านหลังนี้ค่ะ"

เมื่อเขากำลังงุนงงจึงยอมคลายแรง รัตติดาราขยับแขนให้หลุดจากมือเขา

“คุณล้อเล่นอะไร แล้วทำไมคุณถึงรู้จักพี่ชายผม" ศตภัทรถาม น้ำเสียงเหมือนจะโกรธที่เธอพูดถึงศตายุ

“ฉันบอกแล้วไงว่าพี่ชายคุณอยู่ทีบ้านนี้ ฉันเจอเขา ฉันก็เลยรู้จักเขา" รัตติดาราตอบน้ำเสียงดังฟังชัด

“นี่คุณอยากอยู่ที่นี่ถึงกับเอาเรื่องพี่ชายผมมาล้อกันเล่นเลยหรือ ใจร้ายมากเลยนะคุณเร" ใบหน้าคมกำลังโกรธ

“เอ้า! ฉันพูดจริงๆ" เธอยืนกราน ... ก็บอกแล้ว เขาไม่เชื่อเธอหรอก

“หลักฐานล่ะ" ศตภัทรถาม รัตติดาราถอนหายใจดังเฮ้อ ... ถ้าเธอบอกให้ศตายุแสดงตัวได้ เธอคงทำไปแล้วล่ะ!

ทันใดนั้นสายลมก็พัดแรงขึ้นแค่ตรงที่พวกเขายืน ต้นแก้วที่อยู่ข้างบ้านไหวโยนไปตามลม ดอกแก้วปลิดปลิวผ่านทั้งคู่ไป กลิ่นดอกแก้วฟุ้งกระจาย รัตติดาราต้องหลับตายกมือขึ้นจับผมยาวๆของเธอไว้
ชั่วอึดใจ ... สายลมก็สงบลง

ศตภัทรราวกับถูกสาปให้กลายเป็นหิน เขานิ่งค้าง ก่อนที่จะไม่พูดหรือถามอะไรต่อ เดินผ่านหญิงสาวไปอย่างเร็ว รัตติดาราได้แต่มองตามแผ่นหลังหนานั่นไป แล้วเหลือบไปมองตัวต้นเหตุที่ยืนเอามือแตะต้นแก้วอยู่

ไม่บอกก็รู้ ว่าศตายุนั้นจงใจ แสดงตัวให้คนที่ไม่เชื่อรู้ว่าเขายังอยู่ที่นี่ ซึ่งนั่นก็ทำให้ศตภัทรเริ่มรู้สึกได้ว่าที่รัตติดาราพูดนั้น อาจจะจริง


เจ็ดโมงครึ่ง ... ศตภัทรในเสื้อเชิ้ตสีน้ำเงิน กางเกงสแล็คสีดำ เปิดประตูออกจากห้องหลังจากที่เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเรียบร้อย ซึ่งเป็นจังหวะเดียวกับรัตติดาราเดินออกมาจากห้องพอดี วันนี้หญิงสาวสวมเสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงผ้าเข้ารูปสีดำ ผมยาวๆถูกรวบสูงเรียบร้อย พวงแก้มกลมๆของเธอถูกปัดด้วยสีชมพูอมส้มสดใส ริมฝีปากเล็กทาสีชมพูบางๆ สดใสสมวัย สะพายกระเป๋าหนังสีน้ำตาลไว้ที่ไหล่

ท้งคู่สบตากันก็หยุดนิ่งไปชั่วอึดใจ อาจเพราะเรื่องราวเมื่อเช้ามืดที่ยังคงติดค้างอยู่ในใจศตภัทร ว่าเขาควรจะเชื่อหญิงสาวหรือไม่ จากที่พระสงฆ์พูดขึ้นมาแบบนั้น รัตติดาราบอกว่าพี่ชายเขายังอยู่ที่นี่ สุดท้ายลมแรงๆที่พัดให้เขาได้กลิ่นดอกแก้ว ซึ่งเป็นดอกไม้ที่พี่ชายของเขาชอบมากที่สุด ... แต่เขาก็ไม่เคยเห็นผี หรือวิญญาณอะไรมาก่อน เขาจึงทำใจยากถ้าจะบอกว่าเขาเชือที่รัตติดาราพูดทั้งหมดในตอนนี้

รัตติดารามองชายหนุ่มค้างไปเช่นกัน เมื่อเขากำลังทำให้เธอตกหลุมรักมาดขรึมๆนิ่งๆของเขาเป็นรอบที่ร้อยหรือรอบที่พันแล้วเธอก็จำไม่ได้ ผมสั้นของเขาถูกปัดขึ้นใส่แว๊กซ์ ดูดีจนคนมองแทบหยุดหายใจ
หล่อ ... หล่อจนไม่เหมือนเด็กดื้อตัวใหญ่ที่รัตติดาราเจอมาเมื่อวานเลย

“ไปด้วยกันเลยไหม" ศตภัทรทำลายความเงียบลง ถามหญิงสาว เห็นว่าไหนๆต้องไปที่เดียวกันอยู่แล้ว

รัตติดาราสะดุ้งเบาๆ หลุดออกจากการยืนหลงใหลในความหล่อของชายหนุ่ม เธอรีบส่ายหน้าไปมาทันที
“ไม่ดีกว่าค่ะ เดี๋ยวใครเห็นจะ...” เธอปฏิเสธยังไม่ทันจบ ศตภัทรก็พูดแทรกขึ้น

“อย่าไปสนปากชาวบ้านเลย ไหนว่าไม่ค่อยมีเงิน เก็บเงินค่าเดินทางไปหยอดกระปุกหาบ้านใหม่เถอะ" ศตภัทรย่นคิ้ว และคำพูดแบบนั้นทำให้รัตติดาราถึงกับอ้าปากค้าง มองตามอย่างเหลือเชื่อ

ผู้ชายคนนี้ ... ปากคอร้าย ... นี่คือคนเดียวกับที่เธอหลงใหลจริงๆน่ะเหรอ เห็นทีรัตติดาราคงต้องคิดใหม่เสียแล้วล่ะมั้ง




ระหว่างเดินทาง ... สิ่งที่กวนใจรัตติดาราที่นั่งรถยนต์ของศตภัทรไปทำงานด้วยนั้น ก็คือความสงสัยว่า รถยนต์คันเบ้อเร่อที่จอดอยู่ในโรงรถข้างบ้านนั้น เธอมองไม่เห็นได้อย่างไร มันเป็นไปไม่ได้ นอกจาก ... ดวงตากลมเขียวขุ่นตวัดไปมองผู้ต้องหาหลักที่นั่งทำหน้าไม่รู้ไม่ชึ้ที่เบาะหลังรถ ... เห็นได้ชัดว่าเป็นฝีมือของศตายุ!

และท่าทางของเธอทำให้ศตภัทรขับรถไป เขาก็มองเธอไปเช่นกัน
จริงหรือเปล่า ที่เธอเจอศตายุ ...

ศตภัทรหวนคิดถึงเรื่อวราวในอดีต ที่แม้แต่มารดาของเขาก็คงลืมไปแล้ว จึงยอมปล่อยให้คนอื่นมาเช่าบ้านหลังนั้น

ในวันที่ท้องฟ้าแจ่มใส เขาในวัยเพียงสิบสองปี ทั้งสามนั่งเล่นด้วยกันอยู่บนสนามหญ้หน้าบ้าน
... ผมอยากจะเป็นสถาปนิกครับ แม่ พี่เอ ผมจะสร้างบ้านใหม่ของผม และสร้างให้พี่เอด้วย....

... อย่างงั้นหรือจ๊ะ ถ้าอย่างนั้นบ้านหลังนี้ก็ไม่มีใครอยากได้ล่ะสิ ...
มาธวีแกล้งพูดน้ำเสียเสียใจ ที่ลูกชายทั้งสองไม่อยากอยู่บ้านหลังนี้ตอนโต ทั้งที่เธอรักบ้านหลังนี้มาก

... เออยากได้ครับแม่ เอชอบบ้านนี้ เอชอบต้นแก้วหน้าบ้าน เอชอบห้องของเอ ถ้าน้องบีสร้างบ้านใหม่ เอขอบ้านหลังนี้นะครับแม่ ...
เด็กชายศตายุโผเข้ากอดเอวมารดา ใบหน้าขาวสะอาดตาออดอ้อนมารดา

... งั้นให้พี่เออยู่บ้านนี้ เดี๋ยวบีสร้างใหม่ข้างๆ ดีกว่า เราจะได้อยู่ด้วยกันตลอดไป นะครับแม่ พี่เอ ...
เด็กชายศตภัทรขยับตัวเข้าไปเบียด กอดทั้งพี่ชายและมารดาพร้อมกัน

ใครจะไปคิดล่ะว่า ศตายุจะมาด่วนจากไปก่อนแบบนี้ แล้วบ้านหลังนั้นก็ยังเป็นชื่อแม่ของเขาเพราะเขาเองนั่นแหละที่ไม่อยากให้โอนเป็นชื่อของเขา
ไม่มีใครจำได้ แม่เขาก็ยังลืม ... บ้านหลังนั้นเป็นของศตายุ ... เขาจึงทำใจไม่ได้ที่จะให้คนอื่นมาอยู่!

++

วิญญาณชายหนุ่มในชุดคนไข้โรงพยาบาล หยุดยืนอยู่หน้าห้องทำงานที่มีป้ายประธานกรรมการบริหาร ของตรัย กรุ๊ป ติดอยู่ ใบหน้าขาวหล่อเหลาเศร้าหมองหลังจากได้ยินข่าวไม่ดีเมื่อเช้า

... ข่าวที่พ่อของเขาเข้าโรงพยาบาล ...

อติภาพหลับตาลง ความเจ็บปวดกระจายไปทัวใบหน้า วิ่งริ้วลงมายังหัวใจจนเจ็บหนึบ เมื่อเขาไม่สามารถทำอะไรได้ ในสายตาพ่อของเขา เขาเป็นแค่คนไม่เอาไหนเท่านั้น ...

อติภาพเหลือบมองไปยังหน้าต่างข้างๆทางเดิน เห็นใกล้รุ่งกำลังเดินหอบเอกสารกองโตตรงไปยังตึกเก่า เขาผุดรอยยิ้มเอ็นดูคนข้างล่างแสนขยันผุดขึ้นบนใบหน้า เห็นวิ่งไปวิ่งมาตั้งแต่เช้า จนน่ากลัวว่าร่างผอมบางขาวซีดนั้นจะล้มพับไปเสียก่อน

“ขยันอีกแล้ว" เสียงต่ำที่ดังขึ้น พร้อมร่างสูงในชุดคนไข้โรงพยาบาลที่ปรากฏกายขึ้นกระทันหัน แทบทำเอาใกล้รุ่งที่เดินอยู่ตกใจจนหัวใจจะวาย
แต่เธอกลับถอนหายใจ ก่อนจะเดินผ่านเขาไป

“คุณชอบไหมที่ทำงานอยู่นี่" อติภาพเดินตาม ถามอย่างอยากรู้ ในสายตาเขามันดูน่าเบื่อ วิ่งไป วิ่งมา ส่งเอกสารระหว่างแผนก ทำเหมือนเดิมทุกๆวัน
“ไม่เบื่อเหรอ เป็นผมล่ะเบื่อตายเลย" เขาออกความเห็น

“นอนเฉยๆไม่เบื่อกว่าหรือคะ" ใกล้รุ่งหยุดเดิน หันไปถามเขาด้วยดวงตาที่มีแววตำหนิคำถามของอีกฝ่าย

นี่เป็นครั้งแรกที่ใกล้รุ่งคุยกับเขา อติภาพจึงดีใจ ไม่สนใจว่าน้ำเสียงของคนถามนั้นไม่พอใจเขาอยู่มาก
“ยอมคุยกับผมแล้วเหรอ"

“ฉันรำคาญต่างหาก คุณน่ะ มีพร้อมทุกอย่าง ยังมาบ่นเบื่อนู่นเบื่อนี่ ... สำหรับฉัน ฉันไม่มีเวลาว่างมาเบื่อหรอกค่ะ" ใกล้รุ่งสุดจะทนกับพวกลูกคนรวยที่ไร้ความกดดันแบบนี้จริงๆ!

“คุณไม่เข้าใจหรอก" อติภาพเถียงกลับ

“ใช่ ฉันไม่เข้าใจ และไม่ว่างจะเข้าใจด้วย ... คนที่ทำให้พ่อแม่เป็นห่วง แล้วเที่ยวลอยไปลอยมาแกล้งคนนู้นคนนี้แบบนี้ ฉันไม่เข้าใจหรอกค่ะว่าเขาคิดอะไรอยู่"

พูดจบ ใกล้รุ่งก็ขยับเท้าเดินต่อ ทิ้งให้วิญญาณของอติภาพมองตามด้วยแววตาเจ็บปวด เมื่อสิ่งที่ใกล้รุ่งพูดมานั้น เป็นความจริง !

+จบตอน+



ปิ่นนลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 มี.ค. 2558, 00:52:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 มี.ค. 2558, 01:06:03 น.

จำนวนการเข้าชม : 1760





<< ตอนที่ 2   ตอนที่ 4 >>
ปิ่นนลิน 25 มี.ค. 2558, 00:54:25 น.
คุณ Zephyr - 5555 งานนี้นางเอกก็ไม่ใช่จะยอมง่ายๆนะคะ เทวดาเลือกมาให้แล้ว ^^

คุณ Kaelek - ขอบคุณค่า


Zephyr 28 มี.ค. 2558, 01:40:41 น.
ชักอยากรู้
ทำไมศตายุถึงตายนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account