ค่ายอาสาพัฒนารัก
เพราะทำด้วยใจ จึงได้ใจตอบแทน
Tags: เรื่องสั้น
ตอน: ๒/?
แดดร่มลมตก ชาวค่ายเกือบยี่สิบชีวิต หลากวัย หลายอาชีพซึ่งรวมตัวกันผ่านสังคมออนไลน์ก็พร้อมหน้ากันอยู่บริเวณลานหน้าบ้านเพื่อแนะนำตัวเองคร่าวๆ แต่ละคนมีสีหน้าอิ่มเอิบ ตื่นเต้นกับเพื่อนใหม่ และงานต่อเติมอาคารเรียนให้เด็กๆ ที่จะเริ่มในวันพรุ่งนี้
เมื่อ ‘พี่เหนก’ หนุ่มใหญ่อารมณ์ดี ผู้เป็นหัวหอกค่ายชี้แจงกำหนดการเรียบร้อยแล้ว ต่างคนก็แยกย้ายไปทำธุระของตัวเอง บ้างก็นอนขึ้นไปนอนพักเอาแรง บ้างก็สะพายกล้องเข้าไปในหมู่บ้าน
“หายไปไหนนะ”
ศนิมองหาเพื่อนที่หายตัวไปตั้งแต่เลิกประชุม เดาว่าคงจะไปเดินหาสัญญาณโทรศัพท์เพราะเห็นบ่นว่าอยากติดต่อแฟนหนุ่ม ทั้งที่เธอก็เตือนแล้วว่าอย่าเพิ่งเลยจะดีกว่า ถูกอสิโวยใส่ค่าที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดแอบพาเธอมาลำบาก จะพานให้เสียอารมณ์เอาได้
โดนพี่ดาบด่าแล้วอย่ามาว่าฉันทีหลังละ
ศนิส่ายหน้ายิ้มๆ ก้มลงสวมรองเท้าแตะที่ขอยืมมาจากลูกสาวผู้ใหญ่บ้าน อยากจะเดินดูวิถีชาวดอยสักหน่อยว่าเหมือนกับที่เธอเคยเห็นในรายการโทรทัศน์บ่อยๆ หรือเปล่า อีกนานกว่าจะค่ำ แล้วก็ไม่น่าจะหลงเพราะมองไปทางไหนก็เจอแต่คนเมืองที่มาด้วยกัน
“คุณกำลังจะไปไหนเหรอครับ” เสียงทักดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มคุ้นตา
ศนิยิ้มตอบ
“ว่าจะเดินเล่นแถวๆ นี้ละค่ะ อยากถ่ายรูปไปอวดที่บ้าน” หญิงสาวโชว์กล้อง แล้วถามเขากลับ “คุณไปไหนมาเหรอคะ ตอนประชุมฉันไม่เห็น พี่เหนกพูดอะไรเยอะแยะเลยล่ะ”
“ผมฟังคร่าวๆ มาจากพ่อหลวงแล้วครับ น่าจะไม่ต่างจากที่พวกคุณรู้เท่าไหร่”
“พ่อหลวง...” หญิงสาวติดใจคำนี้มาตั้งแต่กลางวัน
เขายิ้มขันสีหน้าครุ่นคิดของเธอ ก่อนเฉลยให้
“ก็ผู้ใหญ่บ้านนั่นแหละครับ เราเรียกกันว่าพ่อหลวง”
“เรา... หรือคะ” ศนิพึมพำ ความสงสัยย้ายมายังสรรพนามแทนตัวเองแปลกๆ ของชายหนุ่ม ครั้นพอเข้าใจดวงตาเรียวรีก็เบิกกว้างอย่างประหลาดใจ ด้วยไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนท้องถิ่นเพราะสำเนียงพูดจา และท่วงท่าลักษณะไม่ให้ “คุณไม่ได้มากับค่าย แต่เป็นคนที่นี่งั้นเหรอคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าที่พยายามกลั้นยิ้มจนคิ้วกระตุก
“จะว่าไปก็ยังไม่ได้แนะนำตัวเลยนี่นะ ผมชื่อปลายมนัสครับ แต่เรียกว่าป้ายเฉยๆ จะดีกว่า... อืม ไม่สิ ครูป้ายเหมือนเด็กๆ เรียกก็ได้ ผมเป็นครูโรงเรียนที่พวกคุณกำลังจะไปพรุ่งนี้ไงล่ะ” น้ำเสียงครูหนุ่มแจ่มใส ดวงตาคมพราวระยับอย่างอารมณ์ดี “แล้วคุณ....”
“นิค่ะ” เธอบอกเพียงชื่อเล่น ก่อนจะรีบเอ่ยขอตัวเพราะกลัวมืดค่ำก่อน
“เอ่อ เดี๋ยวก่อนสิคุณ”
“คะ?”
หญิงสาวหันกลับมองชายหนุ่มงงๆ ปลายมนัสเกาท้ายทอย เสหลบตาเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาสบตรงๆ
“คุณ... ช่วยรอสักแป๊บได้ไหม” ท่าทางเขาเกรงใจ แต่ก็ไม่มากพอจะปล่อยเธอไป “แค่เอาของ ไม่นานหรอกครับ ผมอยากจะพาคุณเที่ยวน่ะ”
ศนินิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ได้ยินสัญญาณเตือนอันตรายกำลังดังลั่นอยู่ในหัว ทั้งที่เพิ่งรู้จักกัน แต่ปลายมนัสกลับพยายามตีสนิทเธออย่างเปิดเผย และเธอก็ดันมีนิสัยไว้ใจคนง่ายๆ เลยเผลอคุยด้วยเสียหลายคำ หญิงสาวสังหรณ์ว่าตัวเองเจอเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว
เพราะแบบนี้กระมังอสิเลยไม่วางใจให้เธอไปไหนมาไหนคนเดียว
“เดี๋ยวผมจะรีบลงมานะ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ก้าวตึงๆ ขึ้นไปบนเรือน ศนิมองตามอย่างไม่อยากเชื่อ อีกแล้วที่เขาตัดสินใจเองโดยไม่รอคำตอบจากเธอ
“ช่างบงการแบบนี้เป็นครูได้ไงนะ เด็กๆ น่าสงสารแย่”
.
เพราะหลับมาตลอดทาง ศนิจึงเพิ่งรู้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่บนม่อนดอยสูงใหญ่ กระท่อมไม้ไผ่สามสิบกว่าหลังประกอบเป็นชุมชนชาวไทยภูเขาเล็กๆ ชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่มัคคุเทศก์จำเป็นบอกเธอว่าผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่ไม่มีบัตรประชาชน พวกเขาอยู่บนแผ่นดินไทยมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า แต่ก็ยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนไทย หรือประเทศไหน
ทั้งที่ขึ้นทะเบียนเป็นหมู่บ้านแล้ว แต่สิทธิต่างๆ ก็ยังคงล้าหลังโลกภายนอก... โลกที่อยู่ห่างออกไปกว่าห้าสิบกิโลเมตร
ปลายมนัสยังเล่าเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับชุมชนชาวไทยภูเขาแถบนี้ ทั้งที่เธอไม่ได้เอ่ยปากขอ กระนั้นหญิงสาวก็ตั้งใจฟังเต็มที่เพราะบางเรื่องจากปากคนพื้นถิ่นเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน เขาเล่าถึงวิถีชีวิตที่อิงแอบกับธรรมชาติและความเชื่อลี้ลับ พิธีแต่งงานอันเคร่งครัดของหนุ่มสาว รวมทั้งความเชื่อเก่าแก่ที่พวกเขายึดมั่น แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเรียนรู้ปรับตัวให้ทันกับความศิวิไลซ์ที่กำลังรุกคืบเข้ามาพร้อมๆ กับนักท่องเที่ยว
“แล้วครูคิดว่ามันดีไหมล่ะคะ”
“ให้ตอบในฐานะไหนล่ะครับ ถ้าเป็นครูของเด็กๆ ผมก็ว่าดีนะครับ ถ้าคนข้างล่างได้มาเห็นโรงเรียนของเรา แล้วก็อาจตระหนักบ้างว่ายังมีอีกหลายที่เลยนะที่การศึกษายังเข้าไปไม่ถึง ทั้งที่มันเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคน ซึ่งคนพวกนี้... เด็กๆ พวกนี้แหละที่จะต้องพัฒนาชาติต่อไปในอนาคต บนแผ่นดินที่พวกเขาและลูกหลานเราต้องใช้ชีวิตอยู่ ถ้าคนไม่มีคุณภาพ ฐานไม่มีมั่นคงแล้ว มันก็ยากนะครับที่เราจะก้าวพ้นไปจากอดีต... ผมหมายถึงในหลายๆ เรื่อง คงไม่เข้าใจใช่ไหม”
ศนิยอมรับว่าไม่เข้าใจนิดหน่อย
“แต่ถ้าก้าวกระโดดเกินไปมันก็ไม่ดีหรอกครับ ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป ทั้งการศึกษา วิถีชีวิตคนบนนี้ ต้องค่อยๆ เรียนรู้และปรับตัวครับ”
หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆ กดชัตเตอร์ถ่ายรูปต้นไม้ ป่าเขาตามรายทางไปเรื่อย
“อืม พูดถึงการพัฒนา มันก็คงจะไม่เกิดขึ้นง่ายๆ หรอกนะครับ...” ปลายมนัสเล่าต่อ น้ำเสียงอ่อนลง ดึงความสนใจหญิงสาวให้หันมามองเขาอย่างสงสัย
ชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องปัญหาที่ยังคาราคาซังมาหลายสิบปีของกลุ่มชาติพันธุ์ของเพื่อนบ้านอีกฟากฝั่งแม่น้ำ เส้นทางลำเลียงยาเสพติด ทหารว้า ฐานทหารไทยที่อยู่ถัดไปไม่ไกล เสียงปืนที่นานๆ ครั้งดังลั่นขึ้นในแนวป่าโดยไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทำให้ชาวบ้านถึงกับขวัญผวา หอบลูกหลาน ทิ้งบ้านเรือน พากันหนีไปหลบเป็นเดือนๆ
ศนิบันทึกวิถีความเป็นอยู่ของชาวบ้านด้วยอารมณ์แกนๆ ถ้าไม่ได้ฟังปลายมนัสเล่าเธอคงจะเก็บรูปได้เพลินๆ อยู่หรอก ใช่ว่าหญิงสาวไม่รู้สภาพ ข่าวแบบนี้ได้ยินได้ฟังเป็นช่วงๆ แต่ภาพที่อยู่ในโทรทัศน์นั้นดูเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ชวนหดหู่เหมือนที่เขากำลังพูดอยู่ขณะนี้
ศนิหายใจแรงด้วยความอึดอัด ปลายมนัสจึงเงียบเสียงลง เรื่องจริงคงหนักไปสำหรับเจ้าหล่อน
“เห็นแบบนี้ผมก็คนกรุงเทพฯ นะ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นลอยๆ พยายามพาหญิงสาวพูดเรื่องอื่น และก็ได้ผล เธอมองเขาเหมือนเป็นคนประหลาดอีกแล้ว “บ้านอยู่แถวมักกะสัน เรียนจบจาก...” มหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังแห่งหนึ่ง
“ก็ว่าอยู่... เห็นครั้งแรกนิยังนึกว่าครูมากับพวกเราซะอีก”
ศนิใช้ชื่อเล่นแทนตัวเองอย่างลืมตัว หากสะดุดหูคนที่เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกจนใจกระตุกนิดๆ หญิงสาวไม่ได้สังเกตแววไหววูบในดวงตาคมของอีกฝ่าย จึงพูดต่อลื่นไหล
“...แล้วไปไงมาไงล่ะคะถึงมาอยู่ที่นี่ได้ บนดอยแบบนี้ท่าทางจะลำบากไม่ใช่เล่นเลยนะ”
“ผมอยากเป็นครูดอย...” น้ำเสียงปลายมนัสเจือความสุข
ครูหนุ่มเล่าว่ามันเป็นความตั้งใจและใฝ่ฝันของเขาตั้งแต่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ถ้าโอกาสอำนวยเขาไม่พลาดที่จะแบกเป้ออกไปกับเพื่อนพ้องชมรมอาสาฯ หรือโครงการต่างๆ ขึ้นเขาลงห้วย กระทั่งพื้นที่ทับซ้อนบริเวณชายแดนเขาก็ล้วนเคยไปมาแล้ว จวบเมื่อเรียนจบก็ขึ้นมาอยู่พื้นที่สูงอย่างถาวรโดยการเข้าทำงานกับมูลนิธิพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง เลือกงานส่วนภาคสนามอย่างที่ตนถนัด
“แต่พอมาอยู่จริงๆ ก็ลำบากเหมือนกันนะครับ ไม่เหมือนกับมาสองสามวัน” ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ
“โชคดีที่ทางเข้ามาไม่เละ ไม่หล่มอย่างที่คิดนะคะ”
ศนิเคยเห็นภาพกิจกรรมของบางโครงการขนาดปีนด้วยโฟร์วีลดอยยังทุลักทุเล บางระยะก็ต้องลงเดินเอง
“เข้าหน้าฝนมาก็ไม่ต่างกันหรอกครับ เข้าเมืองแต่ละครั้งก็ต้องซื้อของมาตุนเยอะๆ ทางเข้าออกมันอันตราย”
“อยู่มาตั้งสองปีก็คงชินแล้วมั้งคะ”
“ครับ แต่ก็รู้สึกเหงาบ่อยๆ” เขาหัวเราะเบาๆ มองเธอตายิบหยี ความอิ่มเอิบเอ่อล้นมาถึงใจคนฟังให้พลอยยิ้มไปด้วย หญิงสาวเมินหลุมดักเล็กๆ ของครูหนุ่ม ไม่ยอมให้เข้าตัว นิ้วเรียวลั่นชัตเตอร์ใส่เด็กๆ หน้าตามอมแมมที่กำลังเล่นอะไรบางอย่างอยู่ลานดินกว้าง หนูน้อยคนหนึ่งหยุดโบกมือให้เธอ หญิงสาวรีบเก็บนาทีนั้นอย่างรวดเร็ว
“เด็กๆ คุ้นกับคนแปลกหน้านะคะ” เธอเงยหน้าถาม
“คนกอเลาะ... อ้อ คนเมืองขึ้นมาบริจาคของบ่อยๆ น่ะครับ”
“งั้นนิก็เป็นสาวกอเลาะน่ะสินะ” สาวกอเลาะงึมงำกับตัวเอง หากก็ไม่พ้นหูครูหนุ่ม เขาแค่อมยิ้ม นึกตามก็รู้สึกว่าเจ้าหล่อนเหมาะกับคำว่า ‘สาวกอเลาะ’ ดี หญิงสาวอาจไม่จัดว่าสวย แต่เธอสะดุดตาปลายมนัสตั้งแต่แรกเห็น รูปร่างแบบบาง ผิวใสราวกับเกิดมาไม่เคยพบเจอความเหนื่อยยาก หากดวงตากระจ่างใสจนแทบเก็บความรู้สึกใดๆ ไว้ไม่มิดนั้นชวนให้เขาอยากทำความรู้จัก ครั้นพอได้พูดคุยกันเขาก็พบว่าอยากจะคุยกับเธอไปเรื่อยๆ
อาจเป็นเพราะชีวิตเป็นดอยสูงหาคนคุยถูกคอไม่ค่อยได้ พอได้เจอหญิงสาวเขาจึงติดใจ
“นิ...” ชายหนุ่มเรียกชื่อเธอเพื่อตั้งต้นเรื่องใหม่ “มีมุมพระอาทิตย์ตกดินสวยๆ อยู่ที่หนึ่ง อยากไปไหมครับ”
พอเขาพูดเรื่องพระอาทิตย์ตก หญิงสาวจึงเพิ่งสังเกตว่าท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว เมฆบางก้อนถูกย้อมเหมือนสายไหมฟูฟ่อง ศนิเล็งกล้องทันที
“นิว่าวันหลังดีไหมคะ วันนี้ค่ำแล้ว พี่เหนกบอกว่าให้ไปรวมกันก่อนหกโมง”
“เอ้อ ครับ ไว้ครั้งหน้าผมจะพาไป”
ปลายมนัสมีสีหน้าผิดหวัง หญิงสาวเห็นแล้วก็ใจแฟบอยู่ลึกๆ
“ครูจะไปกินข้าวเย็นด้วยกันไหมล่ะคะ” ศนิโพล่งไปแล้วก็หน้าร้อนวูบ ขณะชายหนุ่มมีสีหน้าดีขึ้นทันควัน เธอแทบอยากกัดปากตัวเองนักว่าอะไรดลใจขนาดกล้าชวนเขาแบบนี้ “เอ่อ นิเห็นว่าครูสนิทกับผู้ใหญ่น่ะค่ะ น่าจะไม่เป็นไร”
“ขอบคุณนะครับ แต่ไม่เป็นไร ผมมีแล้ว” เขาชูปิ่นโตเถาใหญ่ที่หิ้วมาจากเรือนผู้ใหญ่ให้เธอดู “ผมกินที่โรงเรียนน่ะ นิอยากไปกินด้วยกันไหม”
ตาเรียวตวัดมองคนชวนวาววับ ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ
“ผมแค่ล้อเล่นหรอกน่า งั้นไปละ” ว่าจบชายหนุ่มก็เดินลงเนิน แต่ก็ไม่วายหันกลับมา “ที่นี่ดาวสวยกว่ากรุงเทพฯ มากเลยนะครับ ดึกๆ ลองลงมาดูสักหน่อยจะหลับฝันดี”
ศนิไม่ตอบคำ เพียงแค่อมยิ้มมองตามกระทั่งร่างหนาลับสายตาไป ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ดังขึ้นเธอจึงเริ่มเก็บภาพอีกครั้งด้วยอารมณ์ที่สดใสกว่าเดิม
...ผู้ชายอะไร ขี้หลีจริงๆ...
เมื่อ ‘พี่เหนก’ หนุ่มใหญ่อารมณ์ดี ผู้เป็นหัวหอกค่ายชี้แจงกำหนดการเรียบร้อยแล้ว ต่างคนก็แยกย้ายไปทำธุระของตัวเอง บ้างก็นอนขึ้นไปนอนพักเอาแรง บ้างก็สะพายกล้องเข้าไปในหมู่บ้าน
“หายไปไหนนะ”
ศนิมองหาเพื่อนที่หายตัวไปตั้งแต่เลิกประชุม เดาว่าคงจะไปเดินหาสัญญาณโทรศัพท์เพราะเห็นบ่นว่าอยากติดต่อแฟนหนุ่ม ทั้งที่เธอก็เตือนแล้วว่าอย่าเพิ่งเลยจะดีกว่า ถูกอสิโวยใส่ค่าที่เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดแอบพาเธอมาลำบาก จะพานให้เสียอารมณ์เอาได้
โดนพี่ดาบด่าแล้วอย่ามาว่าฉันทีหลังละ
ศนิส่ายหน้ายิ้มๆ ก้มลงสวมรองเท้าแตะที่ขอยืมมาจากลูกสาวผู้ใหญ่บ้าน อยากจะเดินดูวิถีชาวดอยสักหน่อยว่าเหมือนกับที่เธอเคยเห็นในรายการโทรทัศน์บ่อยๆ หรือเปล่า อีกนานกว่าจะค่ำ แล้วก็ไม่น่าจะหลงเพราะมองไปทางไหนก็เจอแต่คนเมืองที่มาด้วยกัน
“คุณกำลังจะไปไหนเหรอครับ” เสียงทักดังขึ้นพร้อมรอยยิ้มคุ้นตา
ศนิยิ้มตอบ
“ว่าจะเดินเล่นแถวๆ นี้ละค่ะ อยากถ่ายรูปไปอวดที่บ้าน” หญิงสาวโชว์กล้อง แล้วถามเขากลับ “คุณไปไหนมาเหรอคะ ตอนประชุมฉันไม่เห็น พี่เหนกพูดอะไรเยอะแยะเลยล่ะ”
“ผมฟังคร่าวๆ มาจากพ่อหลวงแล้วครับ น่าจะไม่ต่างจากที่พวกคุณรู้เท่าไหร่”
“พ่อหลวง...” หญิงสาวติดใจคำนี้มาตั้งแต่กลางวัน
เขายิ้มขันสีหน้าครุ่นคิดของเธอ ก่อนเฉลยให้
“ก็ผู้ใหญ่บ้านนั่นแหละครับ เราเรียกกันว่าพ่อหลวง”
“เรา... หรือคะ” ศนิพึมพำ ความสงสัยย้ายมายังสรรพนามแทนตัวเองแปลกๆ ของชายหนุ่ม ครั้นพอเข้าใจดวงตาเรียวรีก็เบิกกว้างอย่างประหลาดใจ ด้วยไม่คิดว่าเขาจะเป็นคนท้องถิ่นเพราะสำเนียงพูดจา และท่วงท่าลักษณะไม่ให้ “คุณไม่ได้มากับค่าย แต่เป็นคนที่นี่งั้นเหรอคะ”
ชายหนุ่มพยักหน้าที่พยายามกลั้นยิ้มจนคิ้วกระตุก
“จะว่าไปก็ยังไม่ได้แนะนำตัวเลยนี่นะ ผมชื่อปลายมนัสครับ แต่เรียกว่าป้ายเฉยๆ จะดีกว่า... อืม ไม่สิ ครูป้ายเหมือนเด็กๆ เรียกก็ได้ ผมเป็นครูโรงเรียนที่พวกคุณกำลังจะไปพรุ่งนี้ไงล่ะ” น้ำเสียงครูหนุ่มแจ่มใส ดวงตาคมพราวระยับอย่างอารมณ์ดี “แล้วคุณ....”
“นิค่ะ” เธอบอกเพียงชื่อเล่น ก่อนจะรีบเอ่ยขอตัวเพราะกลัวมืดค่ำก่อน
“เอ่อ เดี๋ยวก่อนสิคุณ”
“คะ?”
หญิงสาวหันกลับมองชายหนุ่มงงๆ ปลายมนัสเกาท้ายทอย เสหลบตาเธอแวบหนึ่ง ก่อนจะหันมาสบตรงๆ
“คุณ... ช่วยรอสักแป๊บได้ไหม” ท่าทางเขาเกรงใจ แต่ก็ไม่มากพอจะปล่อยเธอไป “แค่เอาของ ไม่นานหรอกครับ ผมอยากจะพาคุณเที่ยวน่ะ”
ศนินิ่งอึ้งไปครู่ใหญ่ ได้ยินสัญญาณเตือนอันตรายกำลังดังลั่นอยู่ในหัว ทั้งที่เพิ่งรู้จักกัน แต่ปลายมนัสกลับพยายามตีสนิทเธออย่างเปิดเผย และเธอก็ดันมีนิสัยไว้ใจคนง่ายๆ เลยเผลอคุยด้วยเสียหลายคำ หญิงสาวสังหรณ์ว่าตัวเองเจอเรื่องยุ่งยากเข้าแล้ว
เพราะแบบนี้กระมังอสิเลยไม่วางใจให้เธอไปไหนมาไหนคนเดียว
“เดี๋ยวผมจะรีบลงมานะ” ว่าแล้วชายหนุ่มก็ก้าวตึงๆ ขึ้นไปบนเรือน ศนิมองตามอย่างไม่อยากเชื่อ อีกแล้วที่เขาตัดสินใจเองโดยไม่รอคำตอบจากเธอ
“ช่างบงการแบบนี้เป็นครูได้ไงนะ เด็กๆ น่าสงสารแย่”
.
เพราะหลับมาตลอดทาง ศนิจึงเพิ่งรู้ว่าหมู่บ้านแห่งนี้ตั้งอยู่บนม่อนดอยสูงใหญ่ กระท่อมไม้ไผ่สามสิบกว่าหลังประกอบเป็นชุมชนชาวไทยภูเขาเล็กๆ ชายหนุ่มผู้ทำหน้าที่มัคคุเทศก์จำเป็นบอกเธอว่าผู้คนที่นี่ส่วนใหญ่ไม่มีบัตรประชาชน พวกเขาอยู่บนแผ่นดินไทยมาตั้งแต่รุ่นปู่รุ่นย่า แต่ก็ยังไม่อาจเรียกได้ว่าเป็นคนไทย หรือประเทศไหน
ทั้งที่ขึ้นทะเบียนเป็นหมู่บ้านแล้ว แต่สิทธิต่างๆ ก็ยังคงล้าหลังโลกภายนอก... โลกที่อยู่ห่างออกไปกว่าห้าสิบกิโลเมตร
ปลายมนัสยังเล่าเรื่องอื่นๆ เกี่ยวกับชุมชนชาวไทยภูเขาแถบนี้ ทั้งที่เธอไม่ได้เอ่ยปากขอ กระนั้นหญิงสาวก็ตั้งใจฟังเต็มที่เพราะบางเรื่องจากปากคนพื้นถิ่นเป็นสิ่งที่เธอไม่เคยรู้มาก่อน เขาเล่าถึงวิถีชีวิตที่อิงแอบกับธรรมชาติและความเชื่อลี้ลับ พิธีแต่งงานอันเคร่งครัดของหนุ่มสาว รวมทั้งความเชื่อเก่าแก่ที่พวกเขายึดมั่น แต่ขณะเดียวกันก็ต้องเรียนรู้ปรับตัวให้ทันกับความศิวิไลซ์ที่กำลังรุกคืบเข้ามาพร้อมๆ กับนักท่องเที่ยว
“แล้วครูคิดว่ามันดีไหมล่ะคะ”
“ให้ตอบในฐานะไหนล่ะครับ ถ้าเป็นครูของเด็กๆ ผมก็ว่าดีนะครับ ถ้าคนข้างล่างได้มาเห็นโรงเรียนของเรา แล้วก็อาจตระหนักบ้างว่ายังมีอีกหลายที่เลยนะที่การศึกษายังเข้าไปไม่ถึง ทั้งที่มันเป็นเครื่องมือในการพัฒนาคน ซึ่งคนพวกนี้... เด็กๆ พวกนี้แหละที่จะต้องพัฒนาชาติต่อไปในอนาคต บนแผ่นดินที่พวกเขาและลูกหลานเราต้องใช้ชีวิตอยู่ ถ้าคนไม่มีคุณภาพ ฐานไม่มีมั่นคงแล้ว มันก็ยากนะครับที่เราจะก้าวพ้นไปจากอดีต... ผมหมายถึงในหลายๆ เรื่อง คงไม่เข้าใจใช่ไหม”
ศนิยอมรับว่าไม่เข้าใจนิดหน่อย
“แต่ถ้าก้าวกระโดดเกินไปมันก็ไม่ดีหรอกครับ ทุกอย่างต้องค่อยเป็นค่อยไป ทั้งการศึกษา วิถีชีวิตคนบนนี้ ต้องค่อยๆ เรียนรู้และปรับตัวครับ”
หญิงสาวพยักหน้าหงึกๆ กดชัตเตอร์ถ่ายรูปต้นไม้ ป่าเขาตามรายทางไปเรื่อย
“อืม พูดถึงการพัฒนา มันก็คงจะไม่เกิดขึ้นง่ายๆ หรอกนะครับ...” ปลายมนัสเล่าต่อ น้ำเสียงอ่อนลง ดึงความสนใจหญิงสาวให้หันมามองเขาอย่างสงสัย
ชายหนุ่มจึงเล่าเรื่องปัญหาที่ยังคาราคาซังมาหลายสิบปีของกลุ่มชาติพันธุ์ของเพื่อนบ้านอีกฟากฝั่งแม่น้ำ เส้นทางลำเลียงยาเสพติด ทหารว้า ฐานทหารไทยที่อยู่ถัดไปไม่ไกล เสียงปืนที่นานๆ ครั้งดังลั่นขึ้นในแนวป่าโดยไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นทำให้ชาวบ้านถึงกับขวัญผวา หอบลูกหลาน ทิ้งบ้านเรือน พากันหนีไปหลบเป็นเดือนๆ
ศนิบันทึกวิถีความเป็นอยู่ของชาวบ้านด้วยอารมณ์แกนๆ ถ้าไม่ได้ฟังปลายมนัสเล่าเธอคงจะเก็บรูปได้เพลินๆ อยู่หรอก ใช่ว่าหญิงสาวไม่รู้สภาพ ข่าวแบบนี้ได้ยินได้ฟังเป็นช่วงๆ แต่ภาพที่อยู่ในโทรทัศน์นั้นดูเป็นเรื่องไกลตัว ไม่ชวนหดหู่เหมือนที่เขากำลังพูดอยู่ขณะนี้
ศนิหายใจแรงด้วยความอึดอัด ปลายมนัสจึงเงียบเสียงลง เรื่องจริงคงหนักไปสำหรับเจ้าหล่อน
“เห็นแบบนี้ผมก็คนกรุงเทพฯ นะ” ชายหนุ่มเอ่ยขึ้นลอยๆ พยายามพาหญิงสาวพูดเรื่องอื่น และก็ได้ผล เธอมองเขาเหมือนเป็นคนประหลาดอีกแล้ว “บ้านอยู่แถวมักกะสัน เรียนจบจาก...” มหาวิทยาลัยรัฐชื่อดังแห่งหนึ่ง
“ก็ว่าอยู่... เห็นครั้งแรกนิยังนึกว่าครูมากับพวกเราซะอีก”
ศนิใช้ชื่อเล่นแทนตัวเองอย่างลืมตัว หากสะดุดหูคนที่เพิ่งได้ยินเป็นครั้งแรกจนใจกระตุกนิดๆ หญิงสาวไม่ได้สังเกตแววไหววูบในดวงตาคมของอีกฝ่าย จึงพูดต่อลื่นไหล
“...แล้วไปไงมาไงล่ะคะถึงมาอยู่ที่นี่ได้ บนดอยแบบนี้ท่าทางจะลำบากไม่ใช่เล่นเลยนะ”
“ผมอยากเป็นครูดอย...” น้ำเสียงปลายมนัสเจือความสุข
ครูหนุ่มเล่าว่ามันเป็นความตั้งใจและใฝ่ฝันของเขาตั้งแต่อยู่ในรั้วมหาวิทยาลัย ถ้าโอกาสอำนวยเขาไม่พลาดที่จะแบกเป้ออกไปกับเพื่อนพ้องชมรมอาสาฯ หรือโครงการต่างๆ ขึ้นเขาลงห้วย กระทั่งพื้นที่ทับซ้อนบริเวณชายแดนเขาก็ล้วนเคยไปมาแล้ว จวบเมื่อเรียนจบก็ขึ้นมาอยู่พื้นที่สูงอย่างถาวรโดยการเข้าทำงานกับมูลนิธิพัฒนาเอกชนแห่งหนึ่ง เลือกงานส่วนภาคสนามอย่างที่ตนถนัด
“แต่พอมาอยู่จริงๆ ก็ลำบากเหมือนกันนะครับ ไม่เหมือนกับมาสองสามวัน” ชายหนุ่มถอนหายใจเบาๆ
“โชคดีที่ทางเข้ามาไม่เละ ไม่หล่มอย่างที่คิดนะคะ”
ศนิเคยเห็นภาพกิจกรรมของบางโครงการขนาดปีนด้วยโฟร์วีลดอยยังทุลักทุเล บางระยะก็ต้องลงเดินเอง
“เข้าหน้าฝนมาก็ไม่ต่างกันหรอกครับ เข้าเมืองแต่ละครั้งก็ต้องซื้อของมาตุนเยอะๆ ทางเข้าออกมันอันตราย”
“อยู่มาตั้งสองปีก็คงชินแล้วมั้งคะ”
“ครับ แต่ก็รู้สึกเหงาบ่อยๆ” เขาหัวเราะเบาๆ มองเธอตายิบหยี ความอิ่มเอิบเอ่อล้นมาถึงใจคนฟังให้พลอยยิ้มไปด้วย หญิงสาวเมินหลุมดักเล็กๆ ของครูหนุ่ม ไม่ยอมให้เข้าตัว นิ้วเรียวลั่นชัตเตอร์ใส่เด็กๆ หน้าตามอมแมมที่กำลังเล่นอะไรบางอย่างอยู่ลานดินกว้าง หนูน้อยคนหนึ่งหยุดโบกมือให้เธอ หญิงสาวรีบเก็บนาทีนั้นอย่างรวดเร็ว
“เด็กๆ คุ้นกับคนแปลกหน้านะคะ” เธอเงยหน้าถาม
“คนกอเลาะ... อ้อ คนเมืองขึ้นมาบริจาคของบ่อยๆ น่ะครับ”
“งั้นนิก็เป็นสาวกอเลาะน่ะสินะ” สาวกอเลาะงึมงำกับตัวเอง หากก็ไม่พ้นหูครูหนุ่ม เขาแค่อมยิ้ม นึกตามก็รู้สึกว่าเจ้าหล่อนเหมาะกับคำว่า ‘สาวกอเลาะ’ ดี หญิงสาวอาจไม่จัดว่าสวย แต่เธอสะดุดตาปลายมนัสตั้งแต่แรกเห็น รูปร่างแบบบาง ผิวใสราวกับเกิดมาไม่เคยพบเจอความเหนื่อยยาก หากดวงตากระจ่างใสจนแทบเก็บความรู้สึกใดๆ ไว้ไม่มิดนั้นชวนให้เขาอยากทำความรู้จัก ครั้นพอได้พูดคุยกันเขาก็พบว่าอยากจะคุยกับเธอไปเรื่อยๆ
อาจเป็นเพราะชีวิตเป็นดอยสูงหาคนคุยถูกคอไม่ค่อยได้ พอได้เจอหญิงสาวเขาจึงติดใจ
“นิ...” ชายหนุ่มเรียกชื่อเธอเพื่อตั้งต้นเรื่องใหม่ “มีมุมพระอาทิตย์ตกดินสวยๆ อยู่ที่หนึ่ง อยากไปไหมครับ”
พอเขาพูดเรื่องพระอาทิตย์ตก หญิงสาวจึงเพิ่งสังเกตว่าท้องฟ้าเริ่มเปลี่ยนสีแล้ว เมฆบางก้อนถูกย้อมเหมือนสายไหมฟูฟ่อง ศนิเล็งกล้องทันที
“นิว่าวันหลังดีไหมคะ วันนี้ค่ำแล้ว พี่เหนกบอกว่าให้ไปรวมกันก่อนหกโมง”
“เอ้อ ครับ ไว้ครั้งหน้าผมจะพาไป”
ปลายมนัสมีสีหน้าผิดหวัง หญิงสาวเห็นแล้วก็ใจแฟบอยู่ลึกๆ
“ครูจะไปกินข้าวเย็นด้วยกันไหมล่ะคะ” ศนิโพล่งไปแล้วก็หน้าร้อนวูบ ขณะชายหนุ่มมีสีหน้าดีขึ้นทันควัน เธอแทบอยากกัดปากตัวเองนักว่าอะไรดลใจขนาดกล้าชวนเขาแบบนี้ “เอ่อ นิเห็นว่าครูสนิทกับผู้ใหญ่น่ะค่ะ น่าจะไม่เป็นไร”
“ขอบคุณนะครับ แต่ไม่เป็นไร ผมมีแล้ว” เขาชูปิ่นโตเถาใหญ่ที่หิ้วมาจากเรือนผู้ใหญ่ให้เธอดู “ผมกินที่โรงเรียนน่ะ นิอยากไปกินด้วยกันไหม”
ตาเรียวตวัดมองคนชวนวาววับ ชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ
“ผมแค่ล้อเล่นหรอกน่า งั้นไปละ” ว่าจบชายหนุ่มก็เดินลงเนิน แต่ก็ไม่วายหันกลับมา “ที่นี่ดาวสวยกว่ากรุงเทพฯ มากเลยนะครับ ดึกๆ ลองลงมาดูสักหน่อยจะหลับฝันดี”
ศนิไม่ตอบคำ เพียงแค่อมยิ้มมองตามกระทั่งร่างหนาลับสายตาไป ได้ยินเสียงมอเตอร์ไซค์ดังขึ้นเธอจึงเริ่มเก็บภาพอีกครั้งด้วยอารมณ์ที่สดใสกว่าเดิม
...ผู้ชายอะไร ขี้หลีจริงๆ...
ชลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 มี.ค. 2558, 17:58:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 ก.ย. 2560, 21:06:21 น.
จำนวนการเข้าชม : 807
<< ๑/? | ๓/? >> |