รักละมุน หอมกลิ่นแก้ว (จบแล้วจ้า)
หอมกลิ่นดอกแก้วอีกแล้ว
รอยยิ้มในความฝัน ที่อบอุ่นใจ
ใครกันนะ ...
รัตติดารา หญิงสาวผู้เกิดในคืนที่ดาวส่องแสงเต็มท้องฟ้า
เธอผู้แอบรักผู้ชายคนหนึ่งฝ่ายเดียว
แต่การพบกัน เจอกันอีกครั้ง มันไม่น่าพิสมัยเสียแล้ว
เขาไม่ชอบเธอ และไล่เธอออกจากบ้านที่เธอเพิ่งจะก้าวเข้ามาอยู่ได้ไม่ถึงชั่วโมง!
นอกจากนี้ เธอยังพบกับ เทวดา ... เจ้าของกลิ่นหอมดอกแก้ว
ในบ้านหลังใหม่ที่เธอมาอาศัยอยู่อีกด้วย!!
รอยยิ้มในความฝัน ที่อบอุ่นใจ
ใครกันนะ ...
รัตติดารา หญิงสาวผู้เกิดในคืนที่ดาวส่องแสงเต็มท้องฟ้า
เธอผู้แอบรักผู้ชายคนหนึ่งฝ่ายเดียว
แต่การพบกัน เจอกันอีกครั้ง มันไม่น่าพิสมัยเสียแล้ว
เขาไม่ชอบเธอ และไล่เธอออกจากบ้านที่เธอเพิ่งจะก้าวเข้ามาอยู่ได้ไม่ถึงชั่วโมง!
นอกจากนี้ เธอยังพบกับ เทวดา ... เจ้าของกลิ่นหอมดอกแก้ว
ในบ้านหลังใหม่ที่เธอมาอาศัยอยู่อีกด้วย!!
Tags: ดอกแก้ว รัก ฝาแฝด เทวดา วิญญาณ ผี
ตอน: ตอนที่ 4
ตอนที่ 4
ภาพของศตายุ พี่ชายฝาแฝดถูกกลุ่มวัยรุ่นสามคนชกเข้าที่ใบหน้า ลำตัว และรุมเตะเมื่อเขาล้มลงนอนคุดคู้กับพื้นสนามหญ้า ทำให้เด็กหนุ่มตัวสูงโย่งในชุดนักเรียนมัธยมปลายช็อคจนขวดน้ำเปล่าในมือร่วงหล่นกับพื้น
“หยุดนะเว้ย บอกให้หยุดไงเล่า!” ศตภัทรวิ่งเข้าไปทั้งเหวี่ยง ทั้งชกคนที่รุมทำร้ายพี่ชายของเขาอกกไปได้ทีละคนด้วยแรงทั้งหมดที่เขามี พวกนั้นถลาออกไปยืน หนึ่งในนั้นดูเหมือนเป็นแกนำนิ่วหน้า หันมองพวกพ้อง
“อะไรวะ ทำไมมีสองคน" เขาถามมายังฝาแฝดที่ใบหน้าเหมือนกันอย่างกับแกะ เพียงคนหนึ่งผอมผิวขาว และอีกคนดูตัวหนาผิวเข้มกว่า
“พี่เ.. !” ศตภัทรถูกมือของพี่ชายตะปบเข้าที่ปาก ใบหน้าคมผิมเข้มขมวดคิ้วกับการกระทำของศตายุ ก่อนที่จะขยับเดินมาด้านหน้า
“ฉันนี่แหละบี พอใจแล้วใช่ไหม ไปซะ" ศตายุตะโกนบอกพวกนั้น เขาที่เนื้อตัวน่วมและช้ำไปหมดพยายามลุกขึ้นยืน
เมื่อครู่ระหว่างที่ศตายุรอน้องชายฝาแฝดไปซื้อน้ำตรงร้านขายของชำแถวๆสนามหญ้า ที่อยู่ดีๆวันนี้ศตายุก็อยากมาเตะลูกบอลเล่นกับศตภัทร เขาถูกวัยรุ่นที่อายุน่าจะมากกว่าสองสามปีเข้ามาถามว่าจำพวกมันได้หรือเปล่า ศตายุเข้าใจว่าคนพวกนี้คงมาหาเรื่องน้องชายฝาแฝดของเขา จึงตอบว่าจำได้กลับไป พวกนั้นก็ประเคนทั้งหมัด ทั้งต่อยเตะใส่อย่างไม่ยั้ง เขาคิดว่าถ้าเขายอมให้พวกนั้นเอาคืนแล้ว ทุกอย่างคงจะจบ ศตภัทรจะได้ไม่ต้องมีความแค้นอะไรอีก
หาได้ใช่ไม่! เมื่อพวกนั้นแสยะยิ้ม แล้วย่างสามขุมเข้ามาหา ทำให้ศตายุต้องถอยหลังหนี
“พี่เอ พี่ทำอะไรของพี่ ... เฮ้ย พวกแกน่ะ ที่โดนฉันต่อยเมื่อวันก่อนแถวโรงเรียนใช่ไหม ถ้าอยากเอาคืนก็มาทำกับฉัน พี่ชายฉันไม่เกี่ยว!”
ศตภัทรขยับมาด้านหน้า พยายามดันให้ศตายุไปให้พ้น แต่คนผิวขาวกว่ากลับยืนนิ่ง ไม่ยอมขยับ
“พี่เอ พี่หลบไป นี่มันปัญหาของผม พี่ไม่เกี่ยว" ศตภัทรหันไปพูดเสียงดัง
“ไม่มีทาง นายสู้พวกนี้คนเดียวไม่ได้หรอกนะบี พี่จะช่วยแก" ศตายุยืนกราน แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อศตภัทรผุดรอยยิ้มมุมปาก
“คนพวกนี้ พี่คอยดูเถอะ ผมจัดการได้ภายในไม่เกินสิบนาที ถอยไปพี่" แต่ศตายุดึงแขนน้องชายเอาไว้ เขาสังหรณ์ใจไม่ดีจริงๆ
“ไม่! พอทีเถอะบี อย่ามีเรื่องเลย พี่ขอร้อง ... พวกคุณก็เหมือนกัน ในเมื่อต่อยผมแล้ว ก็กลับไปซะ ให้มันจบแค่นัี้เถอะ ผมขอล่ะครับ"
ไม่พูดเปล่า ศตายุยังก้มหัวให้พวกนั้นด้วย ... ศตายุก็เป็นแบบนี้ทุกที เขาพยายามหลีกเลี่ยงการใช้กำลังตลอด ผิดกับศตภัทรซึ่งอารมณ์ร้อน ชอบเอาชนะ ไม่ยอมใคร และท่าทางแบบนี้ทำให้ศตภัทรโกรธพี่ชายเขาขึ้นมา เขาเดินไปดึงพี่ชายเขาเสียจนคนโดนดึงเซไปด้านหลัง
“พี่ทำบ้าอะไร ทำไมต้องไปยอมพวกนั้น พี่รู้ไหมมันทำอะไรผมถึงต้องต่อยพวกมัน พี่ไม่รู้อะไรก็อยู่เฉยๆไปดีกว่า อย่าเป็นภาระผมเลย"
“ภาระเหรอ? ... ก็ได้ ถ้าพี่เป็นการะแกนัก พี่ก็จะเป็นภาระที่หนักที่สุดไปตลอดชีวิตของแกเลย นายบี!”
ความไม่พอใจกระจายเต็มดวงตาของศตายุ ไม่บ่อยเลยที่ศตายุจะมีแววตาแบบนี้ และน้ำเสียงที่ดื้อรั้นไม่ปกติของพี่ชาย ทำให้ศตภัทรรู้สึกผิด เขาหลับตาลงพยายามข่มสติอารมณ์ของตัวเอง
“ผมขอโ ...”
ยังไม่ทันที่ศตภัทรจะพูดจบประโยก ร่างของเขาก็ถูกกระชาก และโดนหมัดจากหัวโจกซัดจนล้มไปกองกับพื้น ไม่เท่านั้น หมัดที่สองและสามก็รัวตาม รวมถึงเท้าของคนที่เหลืออีกคนรุมเตะจนศตภัทรต้องยกแขนขึ้นกันเพื่อไม่ให้โดนเข้าที่ใบหน้าเขา ศตภัทรพยายามหาจังหวะเพื่อจะต่อยคืน แต่เพราะเสียหลักจากการถูกผลักจนล้มทำให้เขาไม่อาจลุกขึ้นมาได้สักที
"เล่นละครอะไรอยู่ได้วะ น่ารำคาญ ในเมื่อเอาคืนผิดคน ก็จัดใหม่ละกัน!" นักเลงหัวโจกพูดขึ้นพร้อมหัวเราะสะใจ
ศตายุตกใจ จะเข้าไปห้ามกลับถูกอีกคนที่เหลืออยู่รั้งแขนเอาไว้ เขาพยายามดิ้นให้หลุด ศตายุแทบไม่เคยใช้แรงมากไปกว่าการชู้ตลูกบาสให้ลงห่วง ทว่าครั้งนี้เขาต้องเค้นเอาแรงที่มีอยู่เพื่อให้หลุดจากการจับตัวของพวกนักเลง เพราะทนเห็นศตภัทรถูกรุมไม่ได้
และกว่าที่เขาจะหลุดไปได้ ศตภัทรก็ถูกอัดจนน่วมไปทั้งตัวแล้ว ศตายุใช้แรงที่เขามีดึงตัวหนึ่งในนั้นออกมา แต่เขาก็ไม่มีแรงมากขนาดนั้น จึงเอาตัวเข้าไปรับทั้งหมัดทั้งลูกเตะแทน
“พอที! พอได้แล้ว นายบี นายรีบไป โอ๊ย!” ศตายุเอามือยันพื้น หันหลังให้นักเลง เอาตัวที่ทั้งผอมและบางกันศตภัทรเอาไว้ ก่อนจะโดนหมัดซัดจนศตายุล้มลงไปกับพื้น
ด้านศตภัทรซึ่งพอไม่โดนรุม ทำให้เขาก็เงยหน้ามอง เห็นว่าพี่ชายกำลังเอาตัวรับแทนทุกอย่าง เขาจึงกัดฟัน พุ่งเข้าหา ปล่อยหมัดตรงไปยังหัวโจกที่เขาเคยอัดจนน็อคพื้นมาทีหนึ่งแล้ว ไอ้พวกนี้มันไปรังแกผู้หญิงและเขาก็เข้าไปช่วยจนพวกมันสลบเหมือดไปหมด เพราะเรื่องนั้นทำให้นักเลงพวกนี้มาเอาคืน แต่คงเอาคืนผิดตัว ไปทำกับพี่ชายฝาแฝดเขาแทน
“นายบี ...” ศตายุพยายามดันตัวขึ้น มองน้องชายชกพวกนั้นกระเด็นไปทีละคน ตั้งแต่เด็กแล้วที่ศตภัทรมักจะต่อยตี มีแผลกลับบ้านเสมอๆ จนทั้งพ่อและแม่ทั้งเป็นห่วงและหนักใจในความอารมณ์ร้อนของลูกชายคนเล็ก แต่ว่า ... ศตายุคิดว่านี่มันไม่ใช่ธรรมดา คนที่ศตภัทรต่อยด้วยไม่ใช่แค่นักเลงธรรมดาแน่ๆ
แล้วก็เป็นเช่นนั้น ... เมื่อแสงแวววาวจากมีดปลายแหลมสะท้อนเข้าดวงตาของศตายุ ศตภัทรมัวแต่ต่อยกับอีกคนจนทำให้ไม่ทันเห็นว่าหนึ่งในที่เหลือควักมีดออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลัง แล้วหาจังหวะทีเผลอเพื่อที่จะลอบทำร้ายศตภัทร ... ศตายุเห็นมัน เขามองไปยังน้องชาย เขาไม่มีความคิดอื่นนอกจากจะต้องปกป้องน้องชายเพียงคนเดียวของเขา
ร่างสูงผอมและผิวขาวในชุดนักเรียนที่ไม่เคยเปรอะดินหรือมอมแมมสักวันเช่นวันนี้ วิ่งเอาตัวเข้าบังมีดที่นักเลงพุ่งเข้าหาศตภัทร ศตภัทรหันไปทันเห็นจังหวะที่ศตายุเอาตัวเข้าบังมีดแทนเขา ดวงตาคมของศตภัทรเบิกกว้าง เสียงร้องจากศตายุดังก้องอยู่ในหู สิ่งที่ศตภัทรเห็นนั้นคือภาพของพี่ชายถูกนักเลงเอามีดแทงที่ท้องไปสามครั้งเพราะยืนขวางทาง แม้ศตายุจะล้มลงมันก็ยังแทงซ้ำไปอีกที
“พี่เอ!” เขาเหวี่ยงนักเลงหนึ่งในสามไปกองที่พื้น ก่อนจะวิ่งเข้ามาหาศตายุ
“พี่เอ พี่เอทำบ้าอะไรของพี่ ทำไมทำแบบนี้ พี่เอ พี่เอ!” ศตภัทรมองพี่ชายด้วยแววตาเจ็บปวด น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินเมื่อมองเห็นเลือดแดงฉานที่ซึมออกมาเป็นวงกว้างบนเสื้อนักเรียนสีขาว เขาหันไปมองพวกนักเลง เห็นพวกมันพากันหนีไปยังจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ริมสนาม ทำท่าจะวิ่งตามไปทว่ามือของศตายุดึงแขนของเขาเอาไว้
“บี ... อย่า ... อย่าไป พี่ขอ" เสียงแหบพร่า ไร้เรี่ยวแรงดังขึ้นจากศตายุ เหงื่อพราวบนใบหน้าศตายุซึ่งยิ่งซีดมากขึ้น แม้จะเจ็บขนาดนี้ ศตายุก็ยังยิ้มให้น้องชายเขาอยู่ดี
“พี่เอ ผมจะไปตามรถพยาบาลให้นะพี่ รอเดี๋ยวนะ! พี่ต้องรอผมนะพี่!”
ในเมื่อละแวกนั้นไม่มีใครผ่านมาเลย ... ศตภัทรตัดสินใจวางร่างของพี่ชายลง วิ่งตรงไปยังตู้โทรศํพท์ซึ่งตั้งอยู่ริมสนาม กดหมายเลขเดียวที่จำได้ในสมอง เบอร์ที่ทำงานศิระ ....
“พ่อ ... พ่อคร้บ พี่เอ พี่เอโดนแทง พ่อครับช่วยพี่เอด้วย ช่วยด้วยนะครับพ่อ"
เสียงที่ร้อนรนพร้อมเสียงร้องไห้ดังผ่านโทรศััพท์ ทำให้ศิระตกใจ ต้องพยายามถามลูกชายคนเล็ก ให้เขาใจเย็นแล้วค่อยๆพูด ศตภัทรพยายามทำตาม ดวงตาของเขาก็หันมองไปยังร่างของศตายุที่นอนหายใจรวยรินอยู่กลางสนาม จนกระทั่งศิระเข้าใจแล้วจะรีบมา เขาจึงกลับไปหาพี่ชายของเขา ถอดเสื้อนักเรียนอออกมาเพื่อกดห้ามเลือดที่เหมือนจะออกมาจนแทบจะหมดตัวของศตายุ
“พี่เอ อดทนนะพี่ พ่อกำลังจะมา ...” เขาประคองศีรษะศตายุขึ้นวางบนแขน
“ทำไมพี่ต้องทำแบบนี้ด้วย ทำไมน่ะพี่" เขาถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมศตายุต้องปกป้องเขาขนาดนีั้
“พี่รักแกไง บี ... พี่เป็นพี่แก พี่ชายก็ต้องปกป้องน้องสิ ถึงแม้่พี่จะเกิดก่อนแกแค่ไม่กี่นาทีก็เถอะนะ" ศตายุพยายามพูดผ่านริมฝีปากซีดเผือด
“ไม่เอาอะ ไม่ต้องปกป้องผมแบบนี้ิ ผมไม่เอา รอก่อนนะพี่ เดี๋ยวรถพยาบาลก็มาแล้ว"
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ฉันไม่ได้เสียใจเลยนะที่ต้องเจ็บแทนแก ... บี ... ฟังพี่นะ บีต้องเชื่อฟังแม่ทุกอย่างนะ ต้องดูแลแม่แทนพี่นะ บี แล้วอย่าไปมีเรื่องกับใครอีก สัญญากับพี่ ...”
“ผมสัญญา พี่เอ...”
มือซีดของศตายุที่ยื่นขึ้นมาแตะแก้มของศตภัทร ใบหน้าขาวไร้สีเลือดพยายามยิ้ม ก่อนที่มือนั้นจะร่วงหล่น พร้อมกับดวงตาที่มองอย่างอ่อนโยนค่อยๆปิดลง น้ำตาเม็ดโตร่วงหล่นจากดวงตาของศตภัทร ลมหายใจของศตายุหยุดไปแล้ว เขาตะโกนจนดังก้องไปทั้งบริเวณ
“พี่เอ ไม่นะ พี่เอ!”
ไม่รู้เมื่อไหร่ที่รถพยาบาลมาจอด ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เขานั่งกอดพี่ชายไว้แบบนี้ เขาไม่สนใจคนที่ยืนมุง แม้จะถูกดึงออกมาจากร่างที่แน่นิ่งของศตายุ ศตภัทรก็ยอมให้ทำราวกับเขาเป็นแค่ตุ๊กตาที่หายใจได้ ศตภัทรมองบุรุษพยาบาลยกร่างพี่ชายวางบนเปล ก่อนจะพาเข้ารถพยาบาลอย่างเหม่อลอย เหมือนคนไม่มีสติ ไม่รับรู้อะไรเลย กระทั่งศิระที่เดินเข้ามากอดเขา เขาจึงรู้สึกตัว ครั้งแรกที่ศตภัทรกอดพ่อของเขาแน่น พร่ำแต่ขอโทษบิดา โทษตัวเอง ที่ทำให้ศตายุต้องเป็นแบบนี้
ศตายุ จากไปในอ้อมแขนของเขาด้วยวัยเพียงสิบเจ็ดปี ...
ดวงตาคมที่แดงก่ำ เปรอะรอยน้ำตาค่อยๆเปิดออก มองฝ่าความมืดเบื้องหน้าในยามค่ำคืร เพดานห้องที่ทำด้วยไม้ในบ้านหลังเก่า หันมองไปยังข้างนอกหน้าต่างซึ่งปิดผ้าม่านอยู่ เงาของต้นแก้วด้านนอกที่สูงเลยกันสาดชั้นหนึ่งขึ้นมาสั่นไหวเบาๆ
ศตภัทรฝันถึงเย็นวันที่เลวร้ายนั้นอีกแล้ว เขายกมือขึ้นไปปิดดวงตา สิบห้าปี ที่ผ่านมาไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะลืมแววตาสุดท้ายที่ศตายุมองเขา
โดยที่เขาไม่รู้หรอกว่า ... เจ้าของดวงตาที่เขาจดจำนั้น กำลังยืนมองเขาด้วยแววตาที่ทั้งอ่อนโยน และห่วงใยไม่เสื่อมคลายลงแม้แต่น้อยอยู่ข้างเตียงเขานั่นเอง
++
“นี่ เมื่อกี้ได้ยินพวกเลขาฯ คุยกันว่า คุณตรัยเครียดมากจนเป็นลมไปเลยนะ นี่ก็สามวันแล้วที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล"
เสียงเจื้อยแจ้วสนทนาของพนักงานสาวร่วมบริษัทคนหนึ่งดังขึ้นตรงริมหน้าต่างในตอนพักเที่ยง พวกเธอยืนคุยกันตรงทางเดิน รัตติดาราเหลียวมองขณะเอาแก้วน้ำมากดน้ำตรงตู้ทำน้ำเย็นและน้ำร้อนระหว่างทางเดิน
“คงเครียดเรื่องลูกชายคนเล็กเขาล่ะสิ" พนักงานสาวอีกคนคาดเดา
“ก็แหม เป็นเจ้าชายนิทรามาตั้งเป็นปี ไม่รู้ว่าคุณตรัยจะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่" พนักงานคนแรกพูดต่อ
บทสนทนาของสองสาว รัตติดาราฟังแล้วก็นึกถึงตอนที่เธอมาสมัครงานที่นี่ เธอเคยเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดคนไข้โรงพยาบาลเดินผ่านตาไปแว่บหนึ่ง ตอนแรกเธอคิดว่าอาจจะเป็นวิญญาณทั่วๆไป หรือว่านั่นอาจจะเป็นวิญญาณลูกชายคนเล็กที่สาวๆพวกนี้คุยกัน
“เฮ้ย!” เสียงห้าวที่ดังขึ้นด้านหน้า ทำให้รัตติดาราตกใจรีบหันกลับมามอง เห็นว่าน้ำเย็นเฉียบในมือเธอหกรดใครบางคน เพราะเธอมัวแต่เหลียวมองสองสาวที่คุยกันระหว่างหมุนตัวเพื่อจะเดินกลับไปยังห้่องทำงานทีมของเธอ
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ!”
รัตติดาราละล่ำละลักบอก เธอเงยหน้าก็พบว่าคนที่เธอทำน้ำหกใส่นั้นเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างอวบ ตัวสูงราวร้อยเจ็ดสิบห้า อายุน่าจะสามสิบห้าขึ้นไป ท่าทางหยิ่งยโส ใบหน้ากลมๆจนคอย่นได้ของเขากำลังโมโหเธออยู่ ดวงตาเล็กๆของเขาจ้องเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ คิ้วรกบนหน้าผากกว้างเลิกสูง ริมฝีปากหนาก็พร่างพรูคำด่าออกมาเสียงดังลั่น
“เดินยังไงของเธอ เนี่ย ชุดฉันเปียกหมดแล้วเนี่ย หา!”
“ขอโทษค่ะ" หญิงสาวบอกพลางก้มหน้าลง ถึงเธอจะผิดเธอไม่ชอบวิธีการพูดจากระโชกโฮกฮากของผู้ชายตรงหน้าเลย ให้ตายสิ!
“พนักงานใหม่ล่ะสิเนี่ย ไม่รู้จักฉัน" เขายังคงพ่นเสียงดังๆใส่ ขณะมือป้อมๆของเขาปัดน้ำเย็นๆบนตัวเบาๆ
“เด็กผมเองแหละ พี่เชษ" เสียงห้าวที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้หญิงสาวที่กำลังตกอยู่ในความลำบาก รู้สึกเหมือนมีแสงสว่างสาดเข้ามา เธออดจะยิ้มให้เขาไม่ได้ แต่เขากลับตีหน้าบึ้ง ขึงขังจนเธอหุบยิ้มแทบไม่ทัน
“เด็กใหม่แกเหรอ ภัทร ดูแลให้ดีๆหน่อยสิ"
เชษฐา สถาปนิกรุ่นพี่ ว่าอย่างไม่พอใจ
จะว่าไปตั้งแต่ที่ศตภัทรได้โปรโมทให้เป็นหัวหน้าทีมในเวลาเก้าเดือนหลังจากเริ่มงาน เพราะผลงานที่โดดเด่น และสิ่งที่ตรัยให้สัญญาไว้ว่าจะให้ศตภัทรตั้งทีมของตัวเอง ซึ่งศตภัทรจะได้ออกความคิดได้เต็มที่ ขณะที่เชษฐายังคงเป็นแค่รองหัวหน้าทีมอีกฝ่าย เชษฐาก็ไม่เคยพอใจศตภัทรสักเรื่องหลังจากนั้น ตามราวี ขัดขวางแทบทุกอย่างทีศตภัทรคิดหรือทำ ซึ่งทุกครั้งเขษฐาก็มักจะแพ้ภัยตัวเองอยู่เรื่อย ไม่รวมกับข่าวลือที่เขาพยายามสร้างว่า ที่ศตภัทรเข้าทำงานที่นี่ และเป็นคนโปรดของตรัยก็เพราะศตภัทรเป็นเด็กเส้น ตรัยเป็นรุ่นพี่ศิระ บิดาของศตภัทร
เวลาเจอกันเลยมักจะกระทบกระทั่งกันเสมอ
ศตภัทรเองก็เป็นคนแบบนี้ที่ไม่ค่อยจะไว้หน้าใคร โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ควรค่าแก่การเคารพอย่างเชษฐา
“งั้นผมก็ต้องขอโทษแทนล่ะกันครับ มีอะไรก็ตำหนิผมแทน" เขาตอบ น้ำเสียงไม่ได้นอบน้อมเช่นคำพูดเลยแม้แต่สักนิด
เชษฐาเดินไปยืนข้างๆศตภัทร เขาต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อมองหน้าอีกฝ่ายที่สูงกว่า มองหัวที แล้วมองเท้าที
“แกนี่มัน ไม่เห็นหัวรุ่นพี่เลยสินะ เด็กเส้นก็มักจะเป็นแบบนี้เสมอ"
“คุณเชษไม่ควรพูดแบบนั้นนะคะ" เสียงหวานของใครบางคนดังแทรกขึ้น ทั้งสามคนหันไปทางต้นเสียง เห็นผู้หญิงหุ่นดี ตัวสูงเพรียว ผิวขาวน้ำนม ใบหน้าสะสวย ดูมาดมั่นดั่งนางพญาทำให้รัตติดาราเผลอมองอยู่นาน
“คุณตี้ ก...กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ" เชษฐาหันมองไปยังอธิติยา ใบหน้ากลมๆของเขาถอดสี จากแผนกำหนดการ อธิติยาที่ควรจะอยู่สิงคโปร์เป็นตัวแทนไปประชุมโปรเจ็คที่ตรัยกรุ๊ปร่วมทุนกับบริษัทออกแบบใหญ่ที่นั่น มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแทน
“พี่ภัทรไม่ใช่เด็กเส้นนะคะ ตี้บอกคุณมาตั้งหลายร้อยครั้งในสี่ปี จำได้ไหมคะ" เธอหันไปบอกกับเชษฐาเมื่อก้าวเท้าเข้ามาใกล้ แม้จะมีรอยยิ้มบนริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงสด แต่น้ำเสียงนั้นฟังดูแล้วไม่พอใจอย่างชัดเจน
“อ่อ งั้นหรือครับ ผมก็แค่พูดตามที่ได้ยินมา" เชษฐาอ้อมแอ้มแก้ตัว
“งั้นตี้ว่า คุณเชษกลับไปทำงานดีกว่าไหมคะ"
“งั้น ไว้พบกันนะครับ" เชษฐารีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งจากไป ดวงหน้าสวยราวกับรูปปั้นจากฝีมือศิลปินชั้นเยี่ยมจีงหันมาหาศตภัทร พลางก้าวเท้าเข้ามาใกล้ ส่งรอยยิ้มให้เขา
“พี่ภัทร ... เกือบแย่นะคะ" เธอเอ่ยขึ้น ดวงตาบนใบหน้าสวยระยิบระยับด้วยความดีใจที่ได้เจอชายหนุ่ม
“... ครับ" ศตภัทรตอบกลับสั้นๆ
“พี่ภัทรทราบเรื่องคุณพ่อตี้แล้วใช่ไหมคะ พอประชุมเสร็จก็รีบกลับมาเลยค่ะ ตี้เป็นห่วงท่านจัง กังวลมากจนไม่มีแก่ใจประชุมเลยค่ะ"
รัตติดาราที่ยืนอยู่ข้างหลังศตภัทร แอบยื่นหน้ามามองคนพูดทันที อยากจะเห็นหน้ายามที่อธิติยาพูดเสียงอ้อนๆใส่ศตภัทร รัตติดารากรอกตาไปมองคนฟัง อยากรู้ว่าศตภัทรจะแสดงอาการอย่างไรกับน้ำเสียงอ้อนอ่อนหวานมดตอมแบบนี้
หากศตภัทรก็ยังตีหน้านิ่ง ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ...
นี่เขาเป็นรูปปั้นหินหรือเปล่าเนี่ย? ... รัตติดาราอดสงสัยไม่ได้
“ผมเพิ่งไปเยี่ยมคุณลุงมาเมื่อเช้าเช่นกัน โชคดีนะครับที่ท่านไม่เป็นอะไรมาก"
อธิติยาพยายามยิ้ม ทั้งที่ในใจนี่แสนจะอึดอัด กับท่าทางเหมือนหุ่นยนต์ของศตภัทรจนแทบอยากจะฉีกอกเขาออกมาดูว่าใจของเขานั้นทำจากหินหรือปูนหรือเปล่า
นี่มันตั้งสี่ปี! ... สี่ปีแล้วที่เธอพยายามกระเทาะเปลือกแข็งกระด้างของเขาออก แต่ก็ไม่มีหลุดออกสักกระผีก ศตภัทรนี่ช่างเย็นชากับเธอจริงๆ
“ค่ะ แต่พ่อก็คงเครียดเรื่องนายภาพน่ะค่ะ รายนั้นไม่ฟื้นสักที" อธิติยาพูดถึง อติภาพ น้องชายคนเดียวที่นอนนิ่งไร้สติบนเตียงในโรงพยาบาล มารดาของเธอไปเฝ้าอยู่ทุกวันด้วยความหวังเพียงน้อยนิด ส่วนบิดาของเธอก็ต้องเจียดเวลาไปเฝ้า จนทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ และส่งผลให้ร่างกายรับไม่ไหวจนน็อคไป
“คงต้องใช้เวลาล่ะครับ ... ผมต้องกลับไปทำงานแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ"
ศตภัทรเหลียวหลังมามองคนตัวเล็กที่ยืนกุมแก้วน้ำอยู่ด้านหลัง แต่กลับเห็นเธอยื่นหน้ากลมๆมาข้างๆตัวเขา ท่าทางอยากรู้อยากเห็นของรัตติดาราทำให้ศตภัทรหรี่ตามอง เสียงทุ้มเอ่ยกับเธอ
“คุณเร ... ไปเถอะ ผมมีงานให้คุณทำ"
“คะ ค่ะ ...” รัตติดารารับคำ ก้าวเท้ายาวๆตามเขาอย่างรีบเร่ง เธออดหันมามองสาวสวยที่ยืนเข่นเขี้ยวกัดฟันอยู่ข้างหลังไม่ได้ เมื่ออธิติยาหว่านเสน่ห์เรียกได้ว่าแทบเทกระจาด แต่ผู้ชายกลับปัดทิ้งกระจายไม่มีเหลือ เป็นใคร ใครก็คงเสียเซลฟ์ไม่น้อย
รัตติดารามองแผ่นหลังที่เหมือนกำแพงใหญ่ของชายหนุ่มข้างหน้า ในใจดวงน้อยพลันครุ่นคิด ...
... สวยขนาดนั้น ศตภัทรยังไม่สนใจ แล้วคนไม่สวยอย่างเธอล่ะ มีสิทธิ์จะไปเคาะประตูหัวใจเขาบ้างไหมนะ ...
เมื่อเดินมาถึงห้องทำงานส่วนตัว ศตภัทรก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างเดินตามหลัง เขาหันไปมองก็เห็นเพียงแค่กลุ่มผมสีน้ำตาลอยู่ถัดจากไหล่เขาไป จนเขาต้องก้มลงมอง เห็นรัตติดารายืนทำหน้างงๆอยู่ข้างหลัง
“อ้าว ไม่ไปนั่งที่คุณล่ะ"
“อ้าว ก็คุณบอกจะมีงานให้เรทำ" เธอขมวดคิ้วกับคำถามของเขา
ศตภัทรอ้าปากเมื่อจำได้ว่าเมื่อกี้เขาใช้งานเป็นข้ออ้างในการหนีออกมาจากบทสนทนาอันน่าอึดอัดนั่นเท่านั้น
“ไม่มีหรอก กลับไปนั่งทำงานคุณเถอะ" เขาโบกมือไล่เธอ ก่อนที่เขาจะเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงาน แต่แล้วเมื่อเขาคิดบางอย่างได้
“เดี๋ยวก่อน ยายตัวเล็ก"
รัตติดาราชะงักมือจากการหมุนลูกบิดประตู หันมองตามเสียง จมูกรั้นๆของเธอย่นใส่เมื่อได้ยินเขาเรียกเธอว่า ยายตัวเล็ก อีกแล้วทั้งๆที่ชื่อเธอออกจะเพราะ
“คะ?" เธอรับคำน้ำเสียงเนือยๆ ระหว่างก้าวเท้าเข้ามาหาเขา
“ที่คุณพูดวันก่อน ว่าพี่เอ ... พี่ชายผมยังอยู่ในบ้านน่ะ คุณพูดจริงหรือ" ศตภัทรลังเลใจที่จะถามแม้จะพยายามฝืน บอกตัวเองว่าเรื่องนี้่มันเหนือธรรมดา ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่เขากลับมีแต่คำถามนี้อยู่ในหัวจนหัวเขาแทบจะระเบิด จนต้องถามออกมา
“คุณถามแบบนี้แปลว่าคุณเชื่อฉันใช่ไหมล่ะคะ" รัตติดาราเดาใจเขาถูก ทำให้แววตาของศตภัทรชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพยักหน้ายอมจำนน
“เพราะผมคิดว่า คุณไม่น่าจะเคยเจอพี่ชายผมก่อนที่เขาจะเสีย แล้วผมก็ไม่เคยพูด และไม่คิดว่าพ่อ หรือลุงดลคนเฝ้าบ้านจะเล่าเรื่องนี้" เขาให้เหตุผลที่เขาเชื่อเธอ
“ฉันคิดว่าฉันรู้เรื่องหลายอย่างที่ทั้งพ่อคุณและคุณลุงคนเฝ้าบ้านไม่รู้นะคะ เรื่องของคุณกับพี่ชายคุณ ถ้านั่นจะทำให้คุณเชื่อ" เธอว่า ดวงตากลมวิบวับ เป็นต่อเมื่อเธอได้ฟังเรื่องของศตภัทรจากศตายุมาหลายเรื่องทีเดียว
“หยุดเลย" อยู่ๆคนที่นั่งอยู่ก็ชี้นิ้วห้ามขึ้นมา รัตติดาราเลิกคิ้ว
“คะ"
“ผมหมายถึง พี่ผมต่างหาก ... หยุดพูดเรื่องผมให้คุณฟัง ขี้โกงนี่" ศตภัทรกลอกตาไปมา มองรอบๆ ไม่รู้ว่าศตายุยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า ร้อนๆหนาวๆ นี่เดาไม่ออกเลยว่าถ้าจริง ศตายุจะเผาอะไรเขาบ้าง
รัตติดาราหัวเราะคิกกับท่าทางของศตภัทร
“เขาไม่อยู่แถวนี้หรอกค่ะ หายไปไหนก็ไม่รู้" เธอบอกให้เขารู้
“คุณเองก็เถอะ ผมขอห้ามเลยนะ ห้ามถามเรื่องผมกับพี่ชายผม" ศตภัทรสั่งเสียงเข้ม
“ค่า" หญิงสาวรับคำเสียงดังฟังชัด "ว่าแต่ทำไมคุณถึงเชื่อฉันล่ะคะ เวลาที่ฉันบอกใคร ไม่มีใครเชื่อฉันเลยสักคน" รัตติดาราถามอย่างสงสัย
“ข้อแรกอย่างที่บอกแต่ผมคิดว่าคุณไม่น่ารู้จักพี่ชายผมก่อนเขาเสีย เขาไม่ค่อยไปไหนหรอก วันๆก็อยู่แต่บ้าน อ่านหนังสือ ชวนไปเดินห้างทีก็ยาก ส่วนข้ออื่นๆ ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน ส่วนหนึ่งคือ ผมไม่คิดว่าคุณจะหลอกผมมั้ง"
เหตุผลของศตภัทรข้อหลัง ทำให้รัตติดาราอมยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้น คุณยกเลิกการไล่ฉันออกจากบ้านได้ไหมคะ" เธอถาม คิดว่าเขาน่าจะใจอ่อนแล้ว
“ไม่ มันคนละเรื่องกัน" เขาตอบทันที
“อ้าว แต่คุณศตายุบอกว่าฉันอยู่ได้นะคะ" เธอว่า
“ยังไงคำตอบก็ก็ไม่ ... ผมไม่ได้ยินจากปากเขาเอง ผมไม่เชื่อหรอก เพราะงั้น ผมจะกดดันคุณต่อไป ... ไปทำงานได้แล้ว" เขาชี้ไปยังประตู รัตติดาราทำปากคว่ำเมื่อเขายังยืนยันจะยึดบ้านคืน ร่างเล็กจึงได้แต่คอตกเดินออกไปด้านนอก
ศตภัทรอดที่จะผุดยิ้มมุมปากไม่ได้
... ไม่ได้แกล้งคนมานาน เห็นท่าทางเดาง่ายแบบนั้น แกล้งบ้างก็สนุกดีอยู่
++
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปได้หนึ่งชั่วโมง แต่ใกล้รุ่งยังไม่เสร็จงาน เธอจะต้องสรุปรายงานการประชุมรับบรีฟงานจากลูกค้าของศตภัทรและทีมให้เสร็จก่อน เพราะโปรเจ็คใหม่กำลังจะเริ่มในอาทิตย์หน้าแล้ว
“ฟ้า ยังไม่กลับหรือ" รัตติดาราเดินมาถาม เธอเพิ่งเสร็จงานของตัวเองไป เห็นนอกจากเธอแล้วมีแค่ใกล้รุ่งที่ยังทำงานอยู่
“อีกนิดหน่อยจ้ะ เรกลับไปก่อนเถอะ"
เมื่อใกล้รุ่งบอกแบบนั้น รัตติดาราจึงขอตัวกลับก่อน ไม่นานหญิงสาวก็เสร็จ เธอจัดกระดาษที่พิมพ์ออกมาใส่แฟ้ม นำไปวางไว้หน้าห้องทำงานของศตภัทร ก่อนที่จะเดินไปปิดไฟ แล้วจึงออกจากห้องทำงาน เดินไปยังลิฟท์เพื่อจะกลับบ้าน ทว่าขณะที่เธอกำลังยืนรอลิฟท์นั้น บางสิ่งบางอย่าง ด้านหลังทำให้ใกล้รุ่งเย็นวาบไปทั้งร่าง เธอกลั้นใจหันไปมอง แล้วก็ต้องกรีดร้องออกมาเสียงดัง เมื่อวิญญาณหญิงสาวชุดเหมือนกรรมกรก่อสร้างกำลังยืนประจันหน้าเธออยู่ในสภาพหัวแตก และแขนขาบิดเบี้ยว เดาได้ทันทีว่าสาเหตุน่าจะตกตึกตาย ทันใดนั้นเอง อติภาพปรากฏตัวแล้วโบกมือไล่วิญญาณหญิงสาวดวงนั้นไปจนกระเจิงเป็นควัน
“ไอ้พวกนี้ เยอะจริงๆ ไว้เดี๋ยวจะบอกให้พ่อทำบุญบริษัทฯเสียที ... ว่าแต่คุณฟ้าเป็นอะไรไหมครับ" เขาหันมาถามเธอหลังจากบ่นเรื่องวิญญาณที่โผล่มาในแต่ละวันไม่ซ้ำหน้าเลย
คนถูกถามส่ายหน้า หัวใจเต้นแรงเพราะเธอตกใจมากที่อยู่ๆก็โผล่มาแบบนี้
“เดี๋ยวผมเดินไปส่งคุณขึ้นรถดีกว่า ผีเยอะนะแถวนี้ ผมไปด้วยจะได้ไม่ต้องโดนพวกนั้นมากวนใจไง" อติภาพเสนอตัว แต่ใกล้รุ่งกลับเงียบ ทำให้ชายหนุ่มหน้าหมองลง
“อ่อ ลืมไป คุณเกลียดผมนี่นะ งั้นผมไม่กวนละ" เขาคอตก จะเดินจากไป หากใกล้รุ่งเรียกเขาก่อน
“เดี๋ยวค่ะ ... ฉันไม่ได้เกลียดคุณนะ" ใกล้รุ่งรีบแก้ไขสิ่งที่เขาเข้าใจผิด
“แต่ว่า วันก่อน...” อติภาพหมายถึงวันที่เขาโดนเธอตำหนิ
“ฉันแค่ไม่อยากถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดเลยไม่ชอบพูดกับวิญญาณ" เธออธิบายในสิ่งที่เธอทำไป
“แต่คุณน่าจะเกลียดฉันมากกว่า ฉันว่าคุณไปตั้งเยอะ"
“คุณพูดถูกทุกอย่าง ผมน่ะมันเป็นแบบนั้นล่ะ" อติภาพรู้ตัว เขาถึงได้เจ็บปวดกับคำพูดของเธอ
“แล้วคุณไม่โกรธฉัน แถมยังมาช่วยฉันอีก" ใกล้รุ่งถาม ประหลาดใจ เขากลับส่งยิ้มตอบกลับมาให้
“ไม่โกรธหรอก เราเป็นเพื่อนกันนี่"
คำพูดของอติภาพทำให้คนฟังประหลาดใจเข้าไปใหญ่
“คุณไง เพื่อนของผม ... ก็คุณคนเดียวนี่ที่เห็นผมได้ ผมดีใจจริงๆนะ" ชายหนุ่มอารมณ์ดี ดูท่าทางจะเป็นคนสบายๆจนใกล้รุ่งนึกสงสัยว่าเขาโกรธคนเป็นหรือเปล่า
“ทั้งที่ฉันพยายามเลี่ยงคุณ คุณก็ยังเห็นฉันเป็นเพื่อนหรือคะ"
“อื้อ" อติภาพพยักหน้า
"ตั้งแต่กลายมาเป็นวิญญาณ ผมก็ไม่มีเพื่อน ผีพวกนั้นผมไม่เป็นเพื่อนด้วยหรอก น่ากลัวจะตาย"
“คุณนี่ประหลาด" ใกล้รุ่งขมวดคิ้ว แต่ก็หัวเราะออกมา
"ขอบคุณละกันนะคะที่ช่วยฟ้าไว้" รอยยิ้มสดใสที่อติภาพเพิ่งเคยเห็นจากใบหน้าขาวทำให้เขารู้สึกเหมือนใจจะลอยไปกับรอยยิ้มเธอ
“ให้ผมไปส่งคุณนะ คุณฟ้า ผมสัญญาจะไม่ชวนคุณคุยเลย จะเดินเฉยๆ ผมสัญญา" อติภาพพูดพร้อมชูสามนิ้ว ท่าทางจริงจัง เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากหญิงสาว เธอพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าลิฟท์ อติภาพยิ้มเผล่ ลอยตามหลังเธอไป
มิตรภาพเล็กๆเกิดขึ้นระหว่างหญิงสาวที่เกลียดการเห็นวิญญาณ กับวิญญาณที่ไม่อยากฟื้นจากนิทรา ...
++
เวลาล่วงเข้าเกือบสี่ทุ่ม ศตภัทรขับรถเข้ามาจอดในโรงจอดรถข้างบ้าน สายลมพัดผ่านร่างเขาเบาๆ เสียงใบไม้จากต้นแก้วเสียดสีกันจนเขาต้องเงยหน้ามอง คิ้วหนาได้รูปขมวดเข้าหากันเมื่ออยู่ๆเขาตัดสินใจขับรถมาบ้านหลังนี้ แทนที่จะกลับคอนโดมิเนียมหลังจากไปดูสถานที่ก่อสร้างโรงแรมกับกณิก
ตอนแรกก็ว่าจะหาโรงแรมค้างแถวนั้น แต่งานที่คิดว่าน่าจะใช้เวลายาวนั้นกลับเสร็จเร็วจนทัั้งกณิกและศตภัทรเลือกที่จะกลับบ้านแทน ศตภัทรชับรถไปส่งกณิกที่บ้านก่อนที่จะขับกลับคอนโดมิเนียม
แต่ ... ทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาขับมาเรื่อยจนรู้สึกตัวอีกที ก็มาถึงถนนเส้นหน้าบ้านหลังนี้เสียแล้ว
หรือว่า ...
“ถ้าพี่อยู่จริง นี่คงไม่ใช่ฝีมือพี่นะ พี่วางแผนอะไรอยู่หรือเปล่า" ศตภัทรถามขึ้นกับความเงียบกลางดึก ที่มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องตอบกลับมา
พอถามออกไป ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกยาว นี่ท่าเขาเป็นเอามาก เพราะเขาเกิดสังหรณ์ใจแปลกๆขึ้นมาเลยคิดไปแบบนั้น และในเมื่อมาบ้านหลังนี้แล้ว ศตภัทรก็เหนื่อยมากจนขี้เกียจขับรถไปอีกที่ ไขประตูเช้าบ้าน ถอดรองเท้าหนังสีดำ วางบนชั้นข้างๆรองเท้าส้นสูงของหญิงสาว ปลดประดุมแขนเสื้อพับขึ้นจนถึงศอก เดินไปหยิบน้ำเปล่าในตู้เย็นออกมาเปิดฝา แล้วรินใส่แก้วดื่มดับกระหาย ก่อนที่ดวงตาคมจะมองไปเห็นร่างที่คุ้นตากำลังฟุบหลับอยู่ตรงห้องรับแขก ศตภัทรจึงวางแก้วน้ำลง เดินตรงไปจุดที่เธอนั่งหลับ
ศตภัทรมองร่างเล็กที่วางศีรษะบนโต๊ะไม้สี่เหลี่ยม มือสองข้างตกลงข้างตัว มีโน้ตบุ๊คเปิดฝาจอค้างไว้ และตรงข้างๆใบหน้าหญิงสาวมีนิตยสารเปิดค้างไว้อยู่ เขาถึงกับต้องขยี้ตามองเมื่อเห็นว่าหน้านิตยสารที่เปิดค้างไว้อยู่นั้นเป็นบทสัมภาษณ์ล่าสุดของเขา มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ ดันมีรูปหัวใจที่วาดจากปากกาดำลงข้างๆชื่อเขาด้วยนี่สิ ... ศตภัทรย่อตัวลง เอียงคอมองใบหน้ากลมๆ แก้มยุ้ยๆ ดวงตาของเธอหลับพริ้ม จมูกเล็กๆรับกับปากได้รูปจิ้มลิ้มที่เผยอออกเล็กน้อย ฟันกระต่ายโผล่มาให้เห็น
ชายหนุ่มถึงกับเอานิ้วแตะคาง ครุ่นคิด สงสัยเมื่อมองสลับไปมาระหว่างรูปหัวใจข้างชื่อเขา กับคนตัวเล็ก
แต่แล้วอยู่ๆศีรษะที่ควรจะวางอยู่บนโต๊ะค่อยๆเลื่อนลงจากโต๊ะ ศตภัทรยื่นมือไปรวบไว้ทั้งไหล่บางอย่างอัตโนมัติโดยไม่ทันคิด แค่เขากลัวว่าหัวกลมๆของเธอจะร่วงลงมากระแทกกับพื้นจนบาดเจ็บ กลายเป็นว่ารัตติดารากำลังนอนหลับสบายไม่รู้เรื่องอยู่ในอ้อมแขนของเขาไปเสียแล้ว!!
ในขณะที่น้องชายฝาแฝดกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ตัวแข็งทื่อเพราะความใกล้ชิดแบบไม่ตั้งใจ
พี่ชายฝาแฝดที่เป็นเทวดาก็กำลังยืนยิ้ม กับผลงานอันยอดเยี่ยม อยู่เงียบๆด้านหลังคนทั้งคู่!
+จบตอน+
ภาพของศตายุ พี่ชายฝาแฝดถูกกลุ่มวัยรุ่นสามคนชกเข้าที่ใบหน้า ลำตัว และรุมเตะเมื่อเขาล้มลงนอนคุดคู้กับพื้นสนามหญ้า ทำให้เด็กหนุ่มตัวสูงโย่งในชุดนักเรียนมัธยมปลายช็อคจนขวดน้ำเปล่าในมือร่วงหล่นกับพื้น
“หยุดนะเว้ย บอกให้หยุดไงเล่า!” ศตภัทรวิ่งเข้าไปทั้งเหวี่ยง ทั้งชกคนที่รุมทำร้ายพี่ชายของเขาอกกไปได้ทีละคนด้วยแรงทั้งหมดที่เขามี พวกนั้นถลาออกไปยืน หนึ่งในนั้นดูเหมือนเป็นแกนำนิ่วหน้า หันมองพวกพ้อง
“อะไรวะ ทำไมมีสองคน" เขาถามมายังฝาแฝดที่ใบหน้าเหมือนกันอย่างกับแกะ เพียงคนหนึ่งผอมผิวขาว และอีกคนดูตัวหนาผิวเข้มกว่า
“พี่เ.. !” ศตภัทรถูกมือของพี่ชายตะปบเข้าที่ปาก ใบหน้าคมผิมเข้มขมวดคิ้วกับการกระทำของศตายุ ก่อนที่จะขยับเดินมาด้านหน้า
“ฉันนี่แหละบี พอใจแล้วใช่ไหม ไปซะ" ศตายุตะโกนบอกพวกนั้น เขาที่เนื้อตัวน่วมและช้ำไปหมดพยายามลุกขึ้นยืน
เมื่อครู่ระหว่างที่ศตายุรอน้องชายฝาแฝดไปซื้อน้ำตรงร้านขายของชำแถวๆสนามหญ้า ที่อยู่ดีๆวันนี้ศตายุก็อยากมาเตะลูกบอลเล่นกับศตภัทร เขาถูกวัยรุ่นที่อายุน่าจะมากกว่าสองสามปีเข้ามาถามว่าจำพวกมันได้หรือเปล่า ศตายุเข้าใจว่าคนพวกนี้คงมาหาเรื่องน้องชายฝาแฝดของเขา จึงตอบว่าจำได้กลับไป พวกนั้นก็ประเคนทั้งหมัด ทั้งต่อยเตะใส่อย่างไม่ยั้ง เขาคิดว่าถ้าเขายอมให้พวกนั้นเอาคืนแล้ว ทุกอย่างคงจะจบ ศตภัทรจะได้ไม่ต้องมีความแค้นอะไรอีก
หาได้ใช่ไม่! เมื่อพวกนั้นแสยะยิ้ม แล้วย่างสามขุมเข้ามาหา ทำให้ศตายุต้องถอยหลังหนี
“พี่เอ พี่ทำอะไรของพี่ ... เฮ้ย พวกแกน่ะ ที่โดนฉันต่อยเมื่อวันก่อนแถวโรงเรียนใช่ไหม ถ้าอยากเอาคืนก็มาทำกับฉัน พี่ชายฉันไม่เกี่ยว!”
ศตภัทรขยับมาด้านหน้า พยายามดันให้ศตายุไปให้พ้น แต่คนผิวขาวกว่ากลับยืนนิ่ง ไม่ยอมขยับ
“พี่เอ พี่หลบไป นี่มันปัญหาของผม พี่ไม่เกี่ยว" ศตภัทรหันไปพูดเสียงดัง
“ไม่มีทาง นายสู้พวกนี้คนเดียวไม่ได้หรอกนะบี พี่จะช่วยแก" ศตายุยืนกราน แล้วก็ต้องแปลกใจเมื่อศตภัทรผุดรอยยิ้มมุมปาก
“คนพวกนี้ พี่คอยดูเถอะ ผมจัดการได้ภายในไม่เกินสิบนาที ถอยไปพี่" แต่ศตายุดึงแขนน้องชายเอาไว้ เขาสังหรณ์ใจไม่ดีจริงๆ
“ไม่! พอทีเถอะบี อย่ามีเรื่องเลย พี่ขอร้อง ... พวกคุณก็เหมือนกัน ในเมื่อต่อยผมแล้ว ก็กลับไปซะ ให้มันจบแค่นัี้เถอะ ผมขอล่ะครับ"
ไม่พูดเปล่า ศตายุยังก้มหัวให้พวกนั้นด้วย ... ศตายุก็เป็นแบบนี้ทุกที เขาพยายามหลีกเลี่ยงการใช้กำลังตลอด ผิดกับศตภัทรซึ่งอารมณ์ร้อน ชอบเอาชนะ ไม่ยอมใคร และท่าทางแบบนี้ทำให้ศตภัทรโกรธพี่ชายเขาขึ้นมา เขาเดินไปดึงพี่ชายเขาเสียจนคนโดนดึงเซไปด้านหลัง
“พี่ทำบ้าอะไร ทำไมต้องไปยอมพวกนั้น พี่รู้ไหมมันทำอะไรผมถึงต้องต่อยพวกมัน พี่ไม่รู้อะไรก็อยู่เฉยๆไปดีกว่า อย่าเป็นภาระผมเลย"
“ภาระเหรอ? ... ก็ได้ ถ้าพี่เป็นการะแกนัก พี่ก็จะเป็นภาระที่หนักที่สุดไปตลอดชีวิตของแกเลย นายบี!”
ความไม่พอใจกระจายเต็มดวงตาของศตายุ ไม่บ่อยเลยที่ศตายุจะมีแววตาแบบนี้ และน้ำเสียงที่ดื้อรั้นไม่ปกติของพี่ชาย ทำให้ศตภัทรรู้สึกผิด เขาหลับตาลงพยายามข่มสติอารมณ์ของตัวเอง
“ผมขอโ ...”
ยังไม่ทันที่ศตภัทรจะพูดจบประโยก ร่างของเขาก็ถูกกระชาก และโดนหมัดจากหัวโจกซัดจนล้มไปกองกับพื้น ไม่เท่านั้น หมัดที่สองและสามก็รัวตาม รวมถึงเท้าของคนที่เหลืออีกคนรุมเตะจนศตภัทรต้องยกแขนขึ้นกันเพื่อไม่ให้โดนเข้าที่ใบหน้าเขา ศตภัทรพยายามหาจังหวะเพื่อจะต่อยคืน แต่เพราะเสียหลักจากการถูกผลักจนล้มทำให้เขาไม่อาจลุกขึ้นมาได้สักที
"เล่นละครอะไรอยู่ได้วะ น่ารำคาญ ในเมื่อเอาคืนผิดคน ก็จัดใหม่ละกัน!" นักเลงหัวโจกพูดขึ้นพร้อมหัวเราะสะใจ
ศตายุตกใจ จะเข้าไปห้ามกลับถูกอีกคนที่เหลืออยู่รั้งแขนเอาไว้ เขาพยายามดิ้นให้หลุด ศตายุแทบไม่เคยใช้แรงมากไปกว่าการชู้ตลูกบาสให้ลงห่วง ทว่าครั้งนี้เขาต้องเค้นเอาแรงที่มีอยู่เพื่อให้หลุดจากการจับตัวของพวกนักเลง เพราะทนเห็นศตภัทรถูกรุมไม่ได้
และกว่าที่เขาจะหลุดไปได้ ศตภัทรก็ถูกอัดจนน่วมไปทั้งตัวแล้ว ศตายุใช้แรงที่เขามีดึงตัวหนึ่งในนั้นออกมา แต่เขาก็ไม่มีแรงมากขนาดนั้น จึงเอาตัวเข้าไปรับทั้งหมัดทั้งลูกเตะแทน
“พอที! พอได้แล้ว นายบี นายรีบไป โอ๊ย!” ศตายุเอามือยันพื้น หันหลังให้นักเลง เอาตัวที่ทั้งผอมและบางกันศตภัทรเอาไว้ ก่อนจะโดนหมัดซัดจนศตายุล้มลงไปกับพื้น
ด้านศตภัทรซึ่งพอไม่โดนรุม ทำให้เขาก็เงยหน้ามอง เห็นว่าพี่ชายกำลังเอาตัวรับแทนทุกอย่าง เขาจึงกัดฟัน พุ่งเข้าหา ปล่อยหมัดตรงไปยังหัวโจกที่เขาเคยอัดจนน็อคพื้นมาทีหนึ่งแล้ว ไอ้พวกนี้มันไปรังแกผู้หญิงและเขาก็เข้าไปช่วยจนพวกมันสลบเหมือดไปหมด เพราะเรื่องนั้นทำให้นักเลงพวกนี้มาเอาคืน แต่คงเอาคืนผิดตัว ไปทำกับพี่ชายฝาแฝดเขาแทน
“นายบี ...” ศตายุพยายามดันตัวขึ้น มองน้องชายชกพวกนั้นกระเด็นไปทีละคน ตั้งแต่เด็กแล้วที่ศตภัทรมักจะต่อยตี มีแผลกลับบ้านเสมอๆ จนทั้งพ่อและแม่ทั้งเป็นห่วงและหนักใจในความอารมณ์ร้อนของลูกชายคนเล็ก แต่ว่า ... ศตายุคิดว่านี่มันไม่ใช่ธรรมดา คนที่ศตภัทรต่อยด้วยไม่ใช่แค่นักเลงธรรมดาแน่ๆ
แล้วก็เป็นเช่นนั้น ... เมื่อแสงแวววาวจากมีดปลายแหลมสะท้อนเข้าดวงตาของศตายุ ศตภัทรมัวแต่ต่อยกับอีกคนจนทำให้ไม่ทันเห็นว่าหนึ่งในที่เหลือควักมีดออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้านหลัง แล้วหาจังหวะทีเผลอเพื่อที่จะลอบทำร้ายศตภัทร ... ศตายุเห็นมัน เขามองไปยังน้องชาย เขาไม่มีความคิดอื่นนอกจากจะต้องปกป้องน้องชายเพียงคนเดียวของเขา
ร่างสูงผอมและผิวขาวในชุดนักเรียนที่ไม่เคยเปรอะดินหรือมอมแมมสักวันเช่นวันนี้ วิ่งเอาตัวเข้าบังมีดที่นักเลงพุ่งเข้าหาศตภัทร ศตภัทรหันไปทันเห็นจังหวะที่ศตายุเอาตัวเข้าบังมีดแทนเขา ดวงตาคมของศตภัทรเบิกกว้าง เสียงร้องจากศตายุดังก้องอยู่ในหู สิ่งที่ศตภัทรเห็นนั้นคือภาพของพี่ชายถูกนักเลงเอามีดแทงที่ท้องไปสามครั้งเพราะยืนขวางทาง แม้ศตายุจะล้มลงมันก็ยังแทงซ้ำไปอีกที
“พี่เอ!” เขาเหวี่ยงนักเลงหนึ่งในสามไปกองที่พื้น ก่อนจะวิ่งเข้ามาหาศตายุ
“พี่เอ พี่เอทำบ้าอะไรของพี่ ทำไมทำแบบนี้ พี่เอ พี่เอ!” ศตภัทรมองพี่ชายด้วยแววตาเจ็บปวด น้ำตาลูกผู้ชายไหลรินเมื่อมองเห็นเลือดแดงฉานที่ซึมออกมาเป็นวงกว้างบนเสื้อนักเรียนสีขาว เขาหันไปมองพวกนักเลง เห็นพวกมันพากันหนีไปยังจักรยานยนต์ที่จอดอยู่ริมสนาม ทำท่าจะวิ่งตามไปทว่ามือของศตายุดึงแขนของเขาเอาไว้
“บี ... อย่า ... อย่าไป พี่ขอ" เสียงแหบพร่า ไร้เรี่ยวแรงดังขึ้นจากศตายุ เหงื่อพราวบนใบหน้าศตายุซึ่งยิ่งซีดมากขึ้น แม้จะเจ็บขนาดนี้ ศตายุก็ยังยิ้มให้น้องชายเขาอยู่ดี
“พี่เอ ผมจะไปตามรถพยาบาลให้นะพี่ รอเดี๋ยวนะ! พี่ต้องรอผมนะพี่!”
ในเมื่อละแวกนั้นไม่มีใครผ่านมาเลย ... ศตภัทรตัดสินใจวางร่างของพี่ชายลง วิ่งตรงไปยังตู้โทรศํพท์ซึ่งตั้งอยู่ริมสนาม กดหมายเลขเดียวที่จำได้ในสมอง เบอร์ที่ทำงานศิระ ....
“พ่อ ... พ่อคร้บ พี่เอ พี่เอโดนแทง พ่อครับช่วยพี่เอด้วย ช่วยด้วยนะครับพ่อ"
เสียงที่ร้อนรนพร้อมเสียงร้องไห้ดังผ่านโทรศััพท์ ทำให้ศิระตกใจ ต้องพยายามถามลูกชายคนเล็ก ให้เขาใจเย็นแล้วค่อยๆพูด ศตภัทรพยายามทำตาม ดวงตาของเขาก็หันมองไปยังร่างของศตายุที่นอนหายใจรวยรินอยู่กลางสนาม จนกระทั่งศิระเข้าใจแล้วจะรีบมา เขาจึงกลับไปหาพี่ชายของเขา ถอดเสื้อนักเรียนอออกมาเพื่อกดห้ามเลือดที่เหมือนจะออกมาจนแทบจะหมดตัวของศตายุ
“พี่เอ อดทนนะพี่ พ่อกำลังจะมา ...” เขาประคองศีรษะศตายุขึ้นวางบนแขน
“ทำไมพี่ต้องทำแบบนี้ด้วย ทำไมน่ะพี่" เขาถามซ้ำแล้วซ้ำเล่า ทำไมศตายุต้องปกป้องเขาขนาดนีั้
“พี่รักแกไง บี ... พี่เป็นพี่แก พี่ชายก็ต้องปกป้องน้องสิ ถึงแม้่พี่จะเกิดก่อนแกแค่ไม่กี่นาทีก็เถอะนะ" ศตายุพยายามพูดผ่านริมฝีปากซีดเผือด
“ไม่เอาอะ ไม่ต้องปกป้องผมแบบนี้ิ ผมไม่เอา รอก่อนนะพี่ เดี๋ยวรถพยาบาลก็มาแล้ว"
“อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ ฉันไม่ได้เสียใจเลยนะที่ต้องเจ็บแทนแก ... บี ... ฟังพี่นะ บีต้องเชื่อฟังแม่ทุกอย่างนะ ต้องดูแลแม่แทนพี่นะ บี แล้วอย่าไปมีเรื่องกับใครอีก สัญญากับพี่ ...”
“ผมสัญญา พี่เอ...”
มือซีดของศตายุที่ยื่นขึ้นมาแตะแก้มของศตภัทร ใบหน้าขาวไร้สีเลือดพยายามยิ้ม ก่อนที่มือนั้นจะร่วงหล่น พร้อมกับดวงตาที่มองอย่างอ่อนโยนค่อยๆปิดลง น้ำตาเม็ดโตร่วงหล่นจากดวงตาของศตภัทร ลมหายใจของศตายุหยุดไปแล้ว เขาตะโกนจนดังก้องไปทั้งบริเวณ
“พี่เอ ไม่นะ พี่เอ!”
ไม่รู้เมื่อไหร่ที่รถพยาบาลมาจอด ไม่รู้ว่านานแค่ไหนที่เขานั่งกอดพี่ชายไว้แบบนี้ เขาไม่สนใจคนที่ยืนมุง แม้จะถูกดึงออกมาจากร่างที่แน่นิ่งของศตายุ ศตภัทรก็ยอมให้ทำราวกับเขาเป็นแค่ตุ๊กตาที่หายใจได้ ศตภัทรมองบุรุษพยาบาลยกร่างพี่ชายวางบนเปล ก่อนจะพาเข้ารถพยาบาลอย่างเหม่อลอย เหมือนคนไม่มีสติ ไม่รับรู้อะไรเลย กระทั่งศิระที่เดินเข้ามากอดเขา เขาจึงรู้สึกตัว ครั้งแรกที่ศตภัทรกอดพ่อของเขาแน่น พร่ำแต่ขอโทษบิดา โทษตัวเอง ที่ทำให้ศตายุต้องเป็นแบบนี้
ศตายุ จากไปในอ้อมแขนของเขาด้วยวัยเพียงสิบเจ็ดปี ...
ดวงตาคมที่แดงก่ำ เปรอะรอยน้ำตาค่อยๆเปิดออก มองฝ่าความมืดเบื้องหน้าในยามค่ำคืร เพดานห้องที่ทำด้วยไม้ในบ้านหลังเก่า หันมองไปยังข้างนอกหน้าต่างซึ่งปิดผ้าม่านอยู่ เงาของต้นแก้วด้านนอกที่สูงเลยกันสาดชั้นหนึ่งขึ้นมาสั่นไหวเบาๆ
ศตภัทรฝันถึงเย็นวันที่เลวร้ายนั้นอีกแล้ว เขายกมือขึ้นไปปิดดวงตา สิบห้าปี ที่ผ่านมาไม่มีวันไหนเลยที่เขาจะลืมแววตาสุดท้ายที่ศตายุมองเขา
โดยที่เขาไม่รู้หรอกว่า ... เจ้าของดวงตาที่เขาจดจำนั้น กำลังยืนมองเขาด้วยแววตาที่ทั้งอ่อนโยน และห่วงใยไม่เสื่อมคลายลงแม้แต่น้อยอยู่ข้างเตียงเขานั่นเอง
++
“นี่ เมื่อกี้ได้ยินพวกเลขาฯ คุยกันว่า คุณตรัยเครียดมากจนเป็นลมไปเลยนะ นี่ก็สามวันแล้วที่ยังนอนอยู่ในโรงพยาบาล"
เสียงเจื้อยแจ้วสนทนาของพนักงานสาวร่วมบริษัทคนหนึ่งดังขึ้นตรงริมหน้าต่างในตอนพักเที่ยง พวกเธอยืนคุยกันตรงทางเดิน รัตติดาราเหลียวมองขณะเอาแก้วน้ำมากดน้ำตรงตู้ทำน้ำเย็นและน้ำร้อนระหว่างทางเดิน
“คงเครียดเรื่องลูกชายคนเล็กเขาล่ะสิ" พนักงานสาวอีกคนคาดเดา
“ก็แหม เป็นเจ้าชายนิทรามาตั้งเป็นปี ไม่รู้ว่าคุณตรัยจะออกจากโรงพยาบาลได้เมื่อไหร่" พนักงานคนแรกพูดต่อ
บทสนทนาของสองสาว รัตติดาราฟังแล้วก็นึกถึงตอนที่เธอมาสมัครงานที่นี่ เธอเคยเห็นชายหนุ่มคนหนึ่งในชุดคนไข้โรงพยาบาลเดินผ่านตาไปแว่บหนึ่ง ตอนแรกเธอคิดว่าอาจจะเป็นวิญญาณทั่วๆไป หรือว่านั่นอาจจะเป็นวิญญาณลูกชายคนเล็กที่สาวๆพวกนี้คุยกัน
“เฮ้ย!” เสียงห้าวที่ดังขึ้นด้านหน้า ทำให้รัตติดาราตกใจรีบหันกลับมามอง เห็นว่าน้ำเย็นเฉียบในมือเธอหกรดใครบางคน เพราะเธอมัวแต่เหลียวมองสองสาวที่คุยกันระหว่างหมุนตัวเพื่อจะเดินกลับไปยังห้่องทำงานทีมของเธอ
“อุ๊ย ขอโทษค่ะ!”
รัตติดาราละล่ำละลักบอก เธอเงยหน้าก็พบว่าคนที่เธอทำน้ำหกใส่นั้นเป็นผู้ชายที่ค่อนข้างอวบ ตัวสูงราวร้อยเจ็ดสิบห้า อายุน่าจะสามสิบห้าขึ้นไป ท่าทางหยิ่งยโส ใบหน้ากลมๆจนคอย่นได้ของเขากำลังโมโหเธออยู่ ดวงตาเล็กๆของเขาจ้องเธอราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ คิ้วรกบนหน้าผากกว้างเลิกสูง ริมฝีปากหนาก็พร่างพรูคำด่าออกมาเสียงดังลั่น
“เดินยังไงของเธอ เนี่ย ชุดฉันเปียกหมดแล้วเนี่ย หา!”
“ขอโทษค่ะ" หญิงสาวบอกพลางก้มหน้าลง ถึงเธอจะผิดเธอไม่ชอบวิธีการพูดจากระโชกโฮกฮากของผู้ชายตรงหน้าเลย ให้ตายสิ!
“พนักงานใหม่ล่ะสิเนี่ย ไม่รู้จักฉัน" เขายังคงพ่นเสียงดังๆใส่ ขณะมือป้อมๆของเขาปัดน้ำเย็นๆบนตัวเบาๆ
“เด็กผมเองแหละ พี่เชษ" เสียงห้าวที่ดังแทรกขึ้นมาทำให้หญิงสาวที่กำลังตกอยู่ในความลำบาก รู้สึกเหมือนมีแสงสว่างสาดเข้ามา เธออดจะยิ้มให้เขาไม่ได้ แต่เขากลับตีหน้าบึ้ง ขึงขังจนเธอหุบยิ้มแทบไม่ทัน
“เด็กใหม่แกเหรอ ภัทร ดูแลให้ดีๆหน่อยสิ"
เชษฐา สถาปนิกรุ่นพี่ ว่าอย่างไม่พอใจ
จะว่าไปตั้งแต่ที่ศตภัทรได้โปรโมทให้เป็นหัวหน้าทีมในเวลาเก้าเดือนหลังจากเริ่มงาน เพราะผลงานที่โดดเด่น และสิ่งที่ตรัยให้สัญญาไว้ว่าจะให้ศตภัทรตั้งทีมของตัวเอง ซึ่งศตภัทรจะได้ออกความคิดได้เต็มที่ ขณะที่เชษฐายังคงเป็นแค่รองหัวหน้าทีมอีกฝ่าย เชษฐาก็ไม่เคยพอใจศตภัทรสักเรื่องหลังจากนั้น ตามราวี ขัดขวางแทบทุกอย่างทีศตภัทรคิดหรือทำ ซึ่งทุกครั้งเขษฐาก็มักจะแพ้ภัยตัวเองอยู่เรื่อย ไม่รวมกับข่าวลือที่เขาพยายามสร้างว่า ที่ศตภัทรเข้าทำงานที่นี่ และเป็นคนโปรดของตรัยก็เพราะศตภัทรเป็นเด็กเส้น ตรัยเป็นรุ่นพี่ศิระ บิดาของศตภัทร
เวลาเจอกันเลยมักจะกระทบกระทั่งกันเสมอ
ศตภัทรเองก็เป็นคนแบบนี้ที่ไม่ค่อยจะไว้หน้าใคร โดยเฉพาะกับคนที่ไม่ควรค่าแก่การเคารพอย่างเชษฐา
“งั้นผมก็ต้องขอโทษแทนล่ะกันครับ มีอะไรก็ตำหนิผมแทน" เขาตอบ น้ำเสียงไม่ได้นอบน้อมเช่นคำพูดเลยแม้แต่สักนิด
เชษฐาเดินไปยืนข้างๆศตภัทร เขาต้องเงยหน้าขึ้นเพื่อมองหน้าอีกฝ่ายที่สูงกว่า มองหัวที แล้วมองเท้าที
“แกนี่มัน ไม่เห็นหัวรุ่นพี่เลยสินะ เด็กเส้นก็มักจะเป็นแบบนี้เสมอ"
“คุณเชษไม่ควรพูดแบบนั้นนะคะ" เสียงหวานของใครบางคนดังแทรกขึ้น ทั้งสามคนหันไปทางต้นเสียง เห็นผู้หญิงหุ่นดี ตัวสูงเพรียว ผิวขาวน้ำนม ใบหน้าสะสวย ดูมาดมั่นดั่งนางพญาทำให้รัตติดาราเผลอมองอยู่นาน
“คุณตี้ ก...กลับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ครับ" เชษฐาหันมองไปยังอธิติยา ใบหน้ากลมๆของเขาถอดสี จากแผนกำหนดการ อธิติยาที่ควรจะอยู่สิงคโปร์เป็นตัวแทนไปประชุมโปรเจ็คที่ตรัยกรุ๊ปร่วมทุนกับบริษัทออกแบบใหญ่ที่นั่น มายืนอยู่ตรงหน้าเขาแทน
“พี่ภัทรไม่ใช่เด็กเส้นนะคะ ตี้บอกคุณมาตั้งหลายร้อยครั้งในสี่ปี จำได้ไหมคะ" เธอหันไปบอกกับเชษฐาเมื่อก้าวเท้าเข้ามาใกล้ แม้จะมีรอยยิ้มบนริมฝีปากเคลือบลิปสติกสีแดงสด แต่น้ำเสียงนั้นฟังดูแล้วไม่พอใจอย่างชัดเจน
“อ่อ งั้นหรือครับ ผมก็แค่พูดตามที่ได้ยินมา" เชษฐาอ้อมแอ้มแก้ตัว
“งั้นตี้ว่า คุณเชษกลับไปทำงานดีกว่าไหมคะ"
“งั้น ไว้พบกันนะครับ" เชษฐารีบกึ่งเดินกึ่งวิ่งจากไป ดวงหน้าสวยราวกับรูปปั้นจากฝีมือศิลปินชั้นเยี่ยมจีงหันมาหาศตภัทร พลางก้าวเท้าเข้ามาใกล้ ส่งรอยยิ้มให้เขา
“พี่ภัทร ... เกือบแย่นะคะ" เธอเอ่ยขึ้น ดวงตาบนใบหน้าสวยระยิบระยับด้วยความดีใจที่ได้เจอชายหนุ่ม
“... ครับ" ศตภัทรตอบกลับสั้นๆ
“พี่ภัทรทราบเรื่องคุณพ่อตี้แล้วใช่ไหมคะ พอประชุมเสร็จก็รีบกลับมาเลยค่ะ ตี้เป็นห่วงท่านจัง กังวลมากจนไม่มีแก่ใจประชุมเลยค่ะ"
รัตติดาราที่ยืนอยู่ข้างหลังศตภัทร แอบยื่นหน้ามามองคนพูดทันที อยากจะเห็นหน้ายามที่อธิติยาพูดเสียงอ้อนๆใส่ศตภัทร รัตติดารากรอกตาไปมองคนฟัง อยากรู้ว่าศตภัทรจะแสดงอาการอย่างไรกับน้ำเสียงอ้อนอ่อนหวานมดตอมแบบนี้
หากศตภัทรก็ยังตีหน้านิ่ง ไม่หวั่นไหวเลยแม้แต่น้อย ...
นี่เขาเป็นรูปปั้นหินหรือเปล่าเนี่ย? ... รัตติดาราอดสงสัยไม่ได้
“ผมเพิ่งไปเยี่ยมคุณลุงมาเมื่อเช้าเช่นกัน โชคดีนะครับที่ท่านไม่เป็นอะไรมาก"
อธิติยาพยายามยิ้ม ทั้งที่ในใจนี่แสนจะอึดอัด กับท่าทางเหมือนหุ่นยนต์ของศตภัทรจนแทบอยากจะฉีกอกเขาออกมาดูว่าใจของเขานั้นทำจากหินหรือปูนหรือเปล่า
นี่มันตั้งสี่ปี! ... สี่ปีแล้วที่เธอพยายามกระเทาะเปลือกแข็งกระด้างของเขาออก แต่ก็ไม่มีหลุดออกสักกระผีก ศตภัทรนี่ช่างเย็นชากับเธอจริงๆ
“ค่ะ แต่พ่อก็คงเครียดเรื่องนายภาพน่ะค่ะ รายนั้นไม่ฟื้นสักที" อธิติยาพูดถึง อติภาพ น้องชายคนเดียวที่นอนนิ่งไร้สติบนเตียงในโรงพยาบาล มารดาของเธอไปเฝ้าอยู่ทุกวันด้วยความหวังเพียงน้อยนิด ส่วนบิดาของเธอก็ต้องเจียดเวลาไปเฝ้า จนทำให้พักผ่อนไม่เพียงพอ และส่งผลให้ร่างกายรับไม่ไหวจนน็อคไป
“คงต้องใช้เวลาล่ะครับ ... ผมต้องกลับไปทำงานแล้ว ขอตัวก่อนนะครับ"
ศตภัทรเหลียวหลังมามองคนตัวเล็กที่ยืนกุมแก้วน้ำอยู่ด้านหลัง แต่กลับเห็นเธอยื่นหน้ากลมๆมาข้างๆตัวเขา ท่าทางอยากรู้อยากเห็นของรัตติดาราทำให้ศตภัทรหรี่ตามอง เสียงทุ้มเอ่ยกับเธอ
“คุณเร ... ไปเถอะ ผมมีงานให้คุณทำ"
“คะ ค่ะ ...” รัตติดารารับคำ ก้าวเท้ายาวๆตามเขาอย่างรีบเร่ง เธออดหันมามองสาวสวยที่ยืนเข่นเขี้ยวกัดฟันอยู่ข้างหลังไม่ได้ เมื่ออธิติยาหว่านเสน่ห์เรียกได้ว่าแทบเทกระจาด แต่ผู้ชายกลับปัดทิ้งกระจายไม่มีเหลือ เป็นใคร ใครก็คงเสียเซลฟ์ไม่น้อย
รัตติดารามองแผ่นหลังที่เหมือนกำแพงใหญ่ของชายหนุ่มข้างหน้า ในใจดวงน้อยพลันครุ่นคิด ...
... สวยขนาดนั้น ศตภัทรยังไม่สนใจ แล้วคนไม่สวยอย่างเธอล่ะ มีสิทธิ์จะไปเคาะประตูหัวใจเขาบ้างไหมนะ ...
เมื่อเดินมาถึงห้องทำงานส่วนตัว ศตภัทรก็รู้สึกเหมือนมีบางอย่างเดินตามหลัง เขาหันไปมองก็เห็นเพียงแค่กลุ่มผมสีน้ำตาลอยู่ถัดจากไหล่เขาไป จนเขาต้องก้มลงมอง เห็นรัตติดารายืนทำหน้างงๆอยู่ข้างหลัง
“อ้าว ไม่ไปนั่งที่คุณล่ะ"
“อ้าว ก็คุณบอกจะมีงานให้เรทำ" เธอขมวดคิ้วกับคำถามของเขา
ศตภัทรอ้าปากเมื่อจำได้ว่าเมื่อกี้เขาใช้งานเป็นข้ออ้างในการหนีออกมาจากบทสนทนาอันน่าอึดอัดนั่นเท่านั้น
“ไม่มีหรอก กลับไปนั่งทำงานคุณเถอะ" เขาโบกมือไล่เธอ ก่อนที่เขาจะเดินไปนั่งยังโต๊ะทำงาน แต่แล้วเมื่อเขาคิดบางอย่างได้
“เดี๋ยวก่อน ยายตัวเล็ก"
รัตติดาราชะงักมือจากการหมุนลูกบิดประตู หันมองตามเสียง จมูกรั้นๆของเธอย่นใส่เมื่อได้ยินเขาเรียกเธอว่า ยายตัวเล็ก อีกแล้วทั้งๆที่ชื่อเธอออกจะเพราะ
“คะ?" เธอรับคำน้ำเสียงเนือยๆ ระหว่างก้าวเท้าเข้ามาหาเขา
“ที่คุณพูดวันก่อน ว่าพี่เอ ... พี่ชายผมยังอยู่ในบ้านน่ะ คุณพูดจริงหรือ" ศตภัทรลังเลใจที่จะถามแม้จะพยายามฝืน บอกตัวเองว่าเรื่องนี้่มันเหนือธรรมดา ไม่ใช่วิทยาศาสตร์ แต่เขากลับมีแต่คำถามนี้อยู่ในหัวจนหัวเขาแทบจะระเบิด จนต้องถามออกมา
“คุณถามแบบนี้แปลว่าคุณเชื่อฉันใช่ไหมล่ะคะ" รัตติดาราเดาใจเขาถูก ทำให้แววตาของศตภัทรชะงักไปเล็กน้อย ก่อนที่เขาจะพยักหน้ายอมจำนน
“เพราะผมคิดว่า คุณไม่น่าจะเคยเจอพี่ชายผมก่อนที่เขาจะเสีย แล้วผมก็ไม่เคยพูด และไม่คิดว่าพ่อ หรือลุงดลคนเฝ้าบ้านจะเล่าเรื่องนี้" เขาให้เหตุผลที่เขาเชื่อเธอ
“ฉันคิดว่าฉันรู้เรื่องหลายอย่างที่ทั้งพ่อคุณและคุณลุงคนเฝ้าบ้านไม่รู้นะคะ เรื่องของคุณกับพี่ชายคุณ ถ้านั่นจะทำให้คุณเชื่อ" เธอว่า ดวงตากลมวิบวับ เป็นต่อเมื่อเธอได้ฟังเรื่องของศตภัทรจากศตายุมาหลายเรื่องทีเดียว
“หยุดเลย" อยู่ๆคนที่นั่งอยู่ก็ชี้นิ้วห้ามขึ้นมา รัตติดาราเลิกคิ้ว
“คะ"
“ผมหมายถึง พี่ผมต่างหาก ... หยุดพูดเรื่องผมให้คุณฟัง ขี้โกงนี่" ศตภัทรกลอกตาไปมา มองรอบๆ ไม่รู้ว่าศตายุยังอยู่แถวนี้หรือเปล่า ร้อนๆหนาวๆ นี่เดาไม่ออกเลยว่าถ้าจริง ศตายุจะเผาอะไรเขาบ้าง
รัตติดาราหัวเราะคิกกับท่าทางของศตภัทร
“เขาไม่อยู่แถวนี้หรอกค่ะ หายไปไหนก็ไม่รู้" เธอบอกให้เขารู้
“คุณเองก็เถอะ ผมขอห้ามเลยนะ ห้ามถามเรื่องผมกับพี่ชายผม" ศตภัทรสั่งเสียงเข้ม
“ค่า" หญิงสาวรับคำเสียงดังฟังชัด "ว่าแต่ทำไมคุณถึงเชื่อฉันล่ะคะ เวลาที่ฉันบอกใคร ไม่มีใครเชื่อฉันเลยสักคน" รัตติดาราถามอย่างสงสัย
“ข้อแรกอย่างที่บอกแต่ผมคิดว่าคุณไม่น่ารู้จักพี่ชายผมก่อนเขาเสีย เขาไม่ค่อยไปไหนหรอก วันๆก็อยู่แต่บ้าน อ่านหนังสือ ชวนไปเดินห้างทีก็ยาก ส่วนข้ออื่นๆ ผมไม่แน่ใจเหมือนกัน ส่วนหนึ่งคือ ผมไม่คิดว่าคุณจะหลอกผมมั้ง"
เหตุผลของศตภัทรข้อหลัง ทำให้รัตติดาราอมยิ้ม
“ถ้าอย่างนั้น คุณยกเลิกการไล่ฉันออกจากบ้านได้ไหมคะ" เธอถาม คิดว่าเขาน่าจะใจอ่อนแล้ว
“ไม่ มันคนละเรื่องกัน" เขาตอบทันที
“อ้าว แต่คุณศตายุบอกว่าฉันอยู่ได้นะคะ" เธอว่า
“ยังไงคำตอบก็ก็ไม่ ... ผมไม่ได้ยินจากปากเขาเอง ผมไม่เชื่อหรอก เพราะงั้น ผมจะกดดันคุณต่อไป ... ไปทำงานได้แล้ว" เขาชี้ไปยังประตู รัตติดาราทำปากคว่ำเมื่อเขายังยืนยันจะยึดบ้านคืน ร่างเล็กจึงได้แต่คอตกเดินออกไปด้านนอก
ศตภัทรอดที่จะผุดยิ้มมุมปากไม่ได้
... ไม่ได้แกล้งคนมานาน เห็นท่าทางเดาง่ายแบบนั้น แกล้งบ้างก็สนุกดีอยู่
++
ดวงอาทิตย์ลับขอบฟ้าไปได้หนึ่งชั่วโมง แต่ใกล้รุ่งยังไม่เสร็จงาน เธอจะต้องสรุปรายงานการประชุมรับบรีฟงานจากลูกค้าของศตภัทรและทีมให้เสร็จก่อน เพราะโปรเจ็คใหม่กำลังจะเริ่มในอาทิตย์หน้าแล้ว
“ฟ้า ยังไม่กลับหรือ" รัตติดาราเดินมาถาม เธอเพิ่งเสร็จงานของตัวเองไป เห็นนอกจากเธอแล้วมีแค่ใกล้รุ่งที่ยังทำงานอยู่
“อีกนิดหน่อยจ้ะ เรกลับไปก่อนเถอะ"
เมื่อใกล้รุ่งบอกแบบนั้น รัตติดาราจึงขอตัวกลับก่อน ไม่นานหญิงสาวก็เสร็จ เธอจัดกระดาษที่พิมพ์ออกมาใส่แฟ้ม นำไปวางไว้หน้าห้องทำงานของศตภัทร ก่อนที่จะเดินไปปิดไฟ แล้วจึงออกจากห้องทำงาน เดินไปยังลิฟท์เพื่อจะกลับบ้าน ทว่าขณะที่เธอกำลังยืนรอลิฟท์นั้น บางสิ่งบางอย่าง ด้านหลังทำให้ใกล้รุ่งเย็นวาบไปทั้งร่าง เธอกลั้นใจหันไปมอง แล้วก็ต้องกรีดร้องออกมาเสียงดัง เมื่อวิญญาณหญิงสาวชุดเหมือนกรรมกรก่อสร้างกำลังยืนประจันหน้าเธออยู่ในสภาพหัวแตก และแขนขาบิดเบี้ยว เดาได้ทันทีว่าสาเหตุน่าจะตกตึกตาย ทันใดนั้นเอง อติภาพปรากฏตัวแล้วโบกมือไล่วิญญาณหญิงสาวดวงนั้นไปจนกระเจิงเป็นควัน
“ไอ้พวกนี้ เยอะจริงๆ ไว้เดี๋ยวจะบอกให้พ่อทำบุญบริษัทฯเสียที ... ว่าแต่คุณฟ้าเป็นอะไรไหมครับ" เขาหันมาถามเธอหลังจากบ่นเรื่องวิญญาณที่โผล่มาในแต่ละวันไม่ซ้ำหน้าเลย
คนถูกถามส่ายหน้า หัวใจเต้นแรงเพราะเธอตกใจมากที่อยู่ๆก็โผล่มาแบบนี้
“เดี๋ยวผมเดินไปส่งคุณขึ้นรถดีกว่า ผีเยอะนะแถวนี้ ผมไปด้วยจะได้ไม่ต้องโดนพวกนั้นมากวนใจไง" อติภาพเสนอตัว แต่ใกล้รุ่งกลับเงียบ ทำให้ชายหนุ่มหน้าหมองลง
“อ่อ ลืมไป คุณเกลียดผมนี่นะ งั้นผมไม่กวนละ" เขาคอตก จะเดินจากไป หากใกล้รุ่งเรียกเขาก่อน
“เดี๋ยวค่ะ ... ฉันไม่ได้เกลียดคุณนะ" ใกล้รุ่งรีบแก้ไขสิ่งที่เขาเข้าใจผิด
“แต่ว่า วันก่อน...” อติภาพหมายถึงวันที่เขาโดนเธอตำหนิ
“ฉันแค่ไม่อยากถูกมองว่าเป็นตัวประหลาดเลยไม่ชอบพูดกับวิญญาณ" เธออธิบายในสิ่งที่เธอทำไป
“แต่คุณน่าจะเกลียดฉันมากกว่า ฉันว่าคุณไปตั้งเยอะ"
“คุณพูดถูกทุกอย่าง ผมน่ะมันเป็นแบบนั้นล่ะ" อติภาพรู้ตัว เขาถึงได้เจ็บปวดกับคำพูดของเธอ
“แล้วคุณไม่โกรธฉัน แถมยังมาช่วยฉันอีก" ใกล้รุ่งถาม ประหลาดใจ เขากลับส่งยิ้มตอบกลับมาให้
“ไม่โกรธหรอก เราเป็นเพื่อนกันนี่"
คำพูดของอติภาพทำให้คนฟังประหลาดใจเข้าไปใหญ่
“คุณไง เพื่อนของผม ... ก็คุณคนเดียวนี่ที่เห็นผมได้ ผมดีใจจริงๆนะ" ชายหนุ่มอารมณ์ดี ดูท่าทางจะเป็นคนสบายๆจนใกล้รุ่งนึกสงสัยว่าเขาโกรธคนเป็นหรือเปล่า
“ทั้งที่ฉันพยายามเลี่ยงคุณ คุณก็ยังเห็นฉันเป็นเพื่อนหรือคะ"
“อื้อ" อติภาพพยักหน้า
"ตั้งแต่กลายมาเป็นวิญญาณ ผมก็ไม่มีเพื่อน ผีพวกนั้นผมไม่เป็นเพื่อนด้วยหรอก น่ากลัวจะตาย"
“คุณนี่ประหลาด" ใกล้รุ่งขมวดคิ้ว แต่ก็หัวเราะออกมา
"ขอบคุณละกันนะคะที่ช่วยฟ้าไว้" รอยยิ้มสดใสที่อติภาพเพิ่งเคยเห็นจากใบหน้าขาวทำให้เขารู้สึกเหมือนใจจะลอยไปกับรอยยิ้มเธอ
“ให้ผมไปส่งคุณนะ คุณฟ้า ผมสัญญาจะไม่ชวนคุณคุยเลย จะเดินเฉยๆ ผมสัญญา" อติภาพพูดพร้อมชูสามนิ้ว ท่าทางจริงจัง เรียกเสียงหัวเราะเบาๆจากหญิงสาว เธอพยักหน้า ก่อนจะเดินเข้าลิฟท์ อติภาพยิ้มเผล่ ลอยตามหลังเธอไป
มิตรภาพเล็กๆเกิดขึ้นระหว่างหญิงสาวที่เกลียดการเห็นวิญญาณ กับวิญญาณที่ไม่อยากฟื้นจากนิทรา ...
++
เวลาล่วงเข้าเกือบสี่ทุ่ม ศตภัทรขับรถเข้ามาจอดในโรงจอดรถข้างบ้าน สายลมพัดผ่านร่างเขาเบาๆ เสียงใบไม้จากต้นแก้วเสียดสีกันจนเขาต้องเงยหน้ามอง คิ้วหนาได้รูปขมวดเข้าหากันเมื่ออยู่ๆเขาตัดสินใจขับรถมาบ้านหลังนี้ แทนที่จะกลับคอนโดมิเนียมหลังจากไปดูสถานที่ก่อสร้างโรงแรมกับกณิก
ตอนแรกก็ว่าจะหาโรงแรมค้างแถวนั้น แต่งานที่คิดว่าน่าจะใช้เวลายาวนั้นกลับเสร็จเร็วจนทัั้งกณิกและศตภัทรเลือกที่จะกลับบ้านแทน ศตภัทรชับรถไปส่งกณิกที่บ้านก่อนที่จะขับกลับคอนโดมิเนียม
แต่ ... ทำไมก็ไม่รู้เหมือนกัน เขาขับมาเรื่อยจนรู้สึกตัวอีกที ก็มาถึงถนนเส้นหน้าบ้านหลังนี้เสียแล้ว
หรือว่า ...
“ถ้าพี่อยู่จริง นี่คงไม่ใช่ฝีมือพี่นะ พี่วางแผนอะไรอยู่หรือเปล่า" ศตภัทรถามขึ้นกับความเงียบกลางดึก ที่มีเพียงเสียงจิ้งหรีดเรไรร้องตอบกลับมา
พอถามออกไป ชายหนุ่มถอนหายใจเฮือกยาว นี่ท่าเขาเป็นเอามาก เพราะเขาเกิดสังหรณ์ใจแปลกๆขึ้นมาเลยคิดไปแบบนั้น และในเมื่อมาบ้านหลังนี้แล้ว ศตภัทรก็เหนื่อยมากจนขี้เกียจขับรถไปอีกที่ ไขประตูเช้าบ้าน ถอดรองเท้าหนังสีดำ วางบนชั้นข้างๆรองเท้าส้นสูงของหญิงสาว ปลดประดุมแขนเสื้อพับขึ้นจนถึงศอก เดินไปหยิบน้ำเปล่าในตู้เย็นออกมาเปิดฝา แล้วรินใส่แก้วดื่มดับกระหาย ก่อนที่ดวงตาคมจะมองไปเห็นร่างที่คุ้นตากำลังฟุบหลับอยู่ตรงห้องรับแขก ศตภัทรจึงวางแก้วน้ำลง เดินตรงไปจุดที่เธอนั่งหลับ
ศตภัทรมองร่างเล็กที่วางศีรษะบนโต๊ะไม้สี่เหลี่ยม มือสองข้างตกลงข้างตัว มีโน้ตบุ๊คเปิดฝาจอค้างไว้ และตรงข้างๆใบหน้าหญิงสาวมีนิตยสารเปิดค้างไว้อยู่ เขาถึงกับต้องขยี้ตามองเมื่อเห็นว่าหน้านิตยสารที่เปิดค้างไว้อยู่นั้นเป็นบทสัมภาษณ์ล่าสุดของเขา มันไม่ใช่แค่นั้นน่ะสิ ดันมีรูปหัวใจที่วาดจากปากกาดำลงข้างๆชื่อเขาด้วยนี่สิ ... ศตภัทรย่อตัวลง เอียงคอมองใบหน้ากลมๆ แก้มยุ้ยๆ ดวงตาของเธอหลับพริ้ม จมูกเล็กๆรับกับปากได้รูปจิ้มลิ้มที่เผยอออกเล็กน้อย ฟันกระต่ายโผล่มาให้เห็น
ชายหนุ่มถึงกับเอานิ้วแตะคาง ครุ่นคิด สงสัยเมื่อมองสลับไปมาระหว่างรูปหัวใจข้างชื่อเขา กับคนตัวเล็ก
แต่แล้วอยู่ๆศีรษะที่ควรจะวางอยู่บนโต๊ะค่อยๆเลื่อนลงจากโต๊ะ ศตภัทรยื่นมือไปรวบไว้ทั้งไหล่บางอย่างอัตโนมัติโดยไม่ทันคิด แค่เขากลัวว่าหัวกลมๆของเธอจะร่วงลงมากระแทกกับพื้นจนบาดเจ็บ กลายเป็นว่ารัตติดารากำลังนอนหลับสบายไม่รู้เรื่องอยู่ในอ้อมแขนของเขาไปเสียแล้ว!!
ในขณะที่น้องชายฝาแฝดกำลังตกอยู่ในสถานการณ์ตัวแข็งทื่อเพราะความใกล้ชิดแบบไม่ตั้งใจ
พี่ชายฝาแฝดที่เป็นเทวดาก็กำลังยืนยิ้ม กับผลงานอันยอดเยี่ยม อยู่เงียบๆด้านหลังคนทั้งคู่!
+จบตอน+
ปิ่นนลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 มี.ค. 2558, 02:19:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 มี.ค. 2558, 02:20:10 น.
จำนวนการเข้าชม : 1770
<< ตอนที่ 3 | ตอนที่ 5.1 >> |
ปรางขวัญ 27 มี.ค. 2558, 11:04:37 น.
งานนี้เทวดาจัดให้ใชารึเปล่าค๊าาา
งานนี้เทวดาจัดให้ใชารึเปล่าค๊าาา