บทเรียน (รัก) นอกตำรา
นพมัลลี นักศึกษาฝึกสอนที่จบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน

นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก

แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้

มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่

Tags: นพมัลลี ตุนท์ คมิก พิชญ์ปรีชา

ตอน: บทที่ 25 : แฉกลางงาน

บทที่ 25

คมน์อยู่ในความดูแลของตำรวจที่ตุนท์บอกว่าเชื่อถือได้ นพมัลลีไม่รู้ว่าหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้นบ้าง นอกจากในยามดึกของคืนนั้นเธอกับตุนท์ถูกคมน์ขอร้องให้ไปรับคมิกออกมาจากบ้านนั้นทันที และสั่งให้แม่บ้าน หรือคนงานทุกคนไปพักร้อนในที่ไกลๆ

นพมัลลีถ่ายทอดคำสั่งให้คนในบ้านรับรู้ เหลือไว้เพียงคนสนิทของคมน์ที่ขอติดตามนายเล็กของตัวเองมาด้วย บรรยากาศในรถตึงเครียด คมิกมองหยดเลือดที่ติดเบาะหลังมาหน้าตาซีดราวกระดาษ เด็กหนุ่มรู้โดยไม่ต้องเอ่ยปากถาม ว่าเลือดนั้นเป็นของใคร

“พ่อผมจะปลอดภัยไหมครับ” คมิกตัดสินใจถามหลังจากลงจากรถ และเดินตามครูทั้งสองซึ่งกลายมาเป็นผู้ปกครองของเขาตามที่พ่อฝากบอกครูมา

ตุนท์ก้มหน้าครุ่นคิด เขาเองก็ยากจะหยั่ง ทำไมจะไม่รู้จักคำว่าขี่เสือแล้วลงไม่ได้ เมื่อใดก็ตามที่ร่วงลงมาจากหลัง น้อยนักที่เสือที่ขี่อยู่จะไม่ฆ่าเอา ตอนนี้คนที่เคยยืนข้างเดียวกับคมน์ก็คงง้างมีด ชูดาบเตรียมฟาดฟันคมน์ไม่ยั้งอยู่

“พักผ่อนให้สบายเถอะ คิดว่าที่นี่คือบ้านของเธอ” ตุนท์บ่ายเบี่ยงที่จะตอบ อย่างไรคมน์ก็ทำผิดกฎหมายจริง ถึงรอดจากพวกเดียวกัน ก็ต้องโดนกฎหมายเล่นงานอยู่ดี

เด็กหนุ่มทำหน้าคัดค้านแต่ไม่เอ่ยปากพูด เขาคงจะพักผ่อนได้สบายใจนักล่ะเมื่อเพิ่งส่งพ่อตัวเองขึ้นเขียง

“มีเรื่องกันไม่เว้นแต่ละวันเลยนะ” ตุลากึ่งเดินกึ่งวิ่งลงมาจากบ้าน นางได้รับรู้เรื่องผ่านโทรศัพท์ที่ตุนท์โทรมาเล่าให้ฟังก่อนแล้ว รู้สึกหัวใจจะวายเอาให้ได้ เกิดเรื่องใหญ่ขนาดนี้ทั้งตุนท์และนพมัลลีก็ยังเอาตัวเข้าไปยุ่งเกี่ยวอีก

“มันจำเป็นครับแม่”

“จำเป็น?” ตุลามองค้อนเด็กหนุ่มที่เดินนำลิ่วเข้าบ้าน ไม่ยกมือไหว้ทำความเคารพเจ้าบ้านสักนิด “แบบนี้มันใช้ได้ที่ไหนนักเรียน เห็นผู้ใหญ่เป็นหัวหลักหัวตอแล้วหรือไง”

คมิกถอนหายใจพรืด เอี้ยวตัวกลับมาไหว้ปลกหน้าตาไม่ยินดียินร้าย แล้วเดินเข้าไปในบ้าน ไม่ต้องรอให้ใครนำ ปล่อยให้คนถูกไหว้โกรธหน้าดำหน้าแดง ตัวสั่นเทิ้ม หันมาโวยกับลูกชายที่ได้แต่น้อมรับ แต่ยังไม่รู้ว่าจะคลี่คลายปัญหาครั้งนี้อย่างไร

“ดูสิ ไหว้ศาลพระภูมิเด็กนี่อาจจะตั้งใจกว่านี้นะ ให้มันได้อย่างนี้สิ”

“พวกเราจะค่อยๆ สอนเขาไปนะครับ ยังมีเวลา”

“ใครจะสอน!” ตุลาเท้าสะเอวเชิดหน้า นางเคยแต่นั่งอยู่บนตำแหน่งผู้บริหารโรงเรียน ยังไม่มีโอกาสมาจ้ำจี้จ้ำไชนักเรียนในโรงเรียนเป็นรายบุคคลมาก่อน

“ผมกับลีจะสอน และดูแลคมิกเขาเองครับ”

“นานเท่าไหร่”

คนถูกถามสองคนสบตากันอย่างลำบากใจ ตอนนี้ความสัมพันธ์ของพวกเขากำลังไปได้ดี ตุลายอมรับนวมลลิ์ จะยอมรับอีกเรื่องได้หรือไม่

“ตลอดไปครับ เราจะเป็นผู้ปกครองของเขา”

ตุลายืนอึ้ง และเริ่มเรียกร้องหายาหม่องยาดมให้วุ่น ปากบ่นไม่หยุดที่ตุนท์และนพมัลลีไม่หยุดหาเรื่องใส่ตัว พวกเขาควรรู้ตัวว่าตัวเองเป็นครู ไม่ใช่สถานอุปการะเด็กนะ

“รีบไปเถอะ” ตุนท์จับมือนพมัลลีซอยเท้าเร็วจนเกือบเป็นวิ่งเข้าไปในบ้าน ไม่อยากให้มารดาซักไซ้จนอารมณ์เสียไปมากกว่านี้

“แล้วเธอล่ะเป็นใคร” คนสนิทของคมน์กลายเป็นอีกคนที่ตุลาเริ่มเล่นงาน

นพมัลลีพรูลมหายใจอย่างโล่งอกเมื่อเข้ามายืนในห้องโถงของบ้าน และเห็นว่าศึกเด็กต่างวัยกำลังเกิด เมื่อคมิกผลักร่างเล็กของนวมลลิ์ลงกับพื้นก้นจ้ำเบ้า

“อย่ามายุ่งกับฉัน!” คมิกตะคอกเสียงดัง และเพียงแค่เขาหันหลังกลับมา เขาคิดว่าตัวเองจะได้รับบทลงโทษอันรุนแรงจากครูทั้งสอง อาจถึงขั้นตบหน้าให้กับความผิดของเขา แต่คิดผิด อ้อมแขนของนพมัลลีโอบกอดเขาไว้ ฝ่ามือของครูลูบศีรษะเขาอย่างแผ่วเบา คล้ายว่ากลัวจะทำให้ร่างเขาแตกเป็นเสี่ยงหากสัมผัสหนักมือไปเพียงนิด

“เธอแค่สับสน ไม่เป็นไร เธอยังมีพวกเรา อย่าปิดกั้นตัวเอง ปล่อยความรู้สึกออกมาเถอะ” นพมัลลีจำความรู้สึกครั้งที่ตุลาปลอบเธอ และบอกให้ปล่อยความรู้สึกออกมาได้ มันใช้ได้ผล

แต่เธอคงคิดผิด เมื่อคมิกผลักเธอออก นัยน์ตาแดงก่ำจ้องทุกคนอย่างไม่ไว้ใจ “อย่ามายุ่งกับผม”

“มาว่าแม่เขาทำไม” เด็กหญิงที่เพิ่งลุกขึ้นยืนได้จากการประคองของตุนท์ตั้งท่าตรงรี่ไปทุบตีคมิก นพมัลลีเกรงว่าตัวเล็กของเธอจะล้มกลิ้งอีกรอบจึงรีบอุ้มขึ้นมาเพื่อความปลอดภัย ปล่อยให้คมิกเดินเลี่ยงไปสงบสติอารมณ์คนเดียว

“แม่ลีไม่เป็นอะไรสักหน่อย ตัวเล็กต่างหาก เจ็บหรือเปล่าลูก”

เด็กหญิงเม้มปาก ส่ายหน้า ต่อให้เจ็บเธอก็จะไม่ร้อง เด็กหญิงไม่อยากอ่อนแอ ให้แม่ใจเสีย และยิ่งไม่อยากให้คนที่มาผลักได้ใจที่แกล้งเธอสำเร็จ

“พี่คมิกเขากำลังมีปัญหานะลูก พี่เขาเลยอารมณ์ไม่ดี”

“ไม่มีเหตุผล” เด็กเจ็ดขวบบริภาษหน้าบึ้ง

ตุนท์มองตามหลังคมิกไปอย่างกังวล เขากลัวลึกๆ ว่าคมิกจะทำอะไรโง่ๆ อีก ที่เพิ่งทำลงไปในวันนี้นั้น ก็วุ่นวายอย่างกับมีระเบิดตกลงกลางบ้าน และส่งมีดให้คนมาประหัตประหารพ่อตัวเอง ถึงแม้จะเป็นการยุติอาชีพไม่ดีของพ่อ แต่เขาเชื่อว่ามันมีวิธีละมุนละม่อมกว่านี้ แต่เขาก็เข้าใจว่าคมิกยังเด็ก เขาทำลงไปก็เพราะอารมณ์อยู่เหนือเหตุผล ไม่ทันไตร่ตรองให้ดี



นพมัลลีถักเปียก้างปลาให้กับเด็กหญิงนวมลลิ์ที่วันนี้สวมชุดสีชมพู มีโบว์ใหญ่ติดอยู่ด้านหลัง คล้ายกับเจ้าหญิงน้อยๆ ในสายตาของคนเป็นแม่ หญิงสาวยิ้มได้ออกมาเต็มปาก ไม่ได้ขมขื่นอะไรอีกแล้ว ผู้ชายที่กำลังแต่งงานในวันนี้คือผู้ชายที่เธอเกลียดมาที่สุดในชีวิต แต่เธอก็เกลียดจนไม่พบหน้าอีกฝ่ายไม่ได้ ในเมื่อคนที่เธอเกลียดมอบหัวใจดวงน้อยๆ มาให้กับเธอ

“เสร็จแล้วค่ะ” นพมัลลีเอียงคอมองใบหน้าที่แต่งอ่อนๆ ของบุตรสาวในกระจกอย่างพอใจ

ปากจิ้มลิ้มสีแดงอมส้มของนวมลลิ์บู้ขึ้น เด็กหญิงหันตัวกลับมาเกาะแขนนพมัลลี หน้าตาครุ่นคิด เพื่อเรียบเรียงก่อนตอบ แต่ดูจะใช้เวลานานพอควร นพมัลลีจึงต้องถามกระตุ้น

“มีอะไรคะตัวเล็ก ทำหน้าเครียดเชียว”

“คิดถึง...” เด็กหญิงพูดจบรีบหุบปากฉับ

“คิดถึงใครคะ”

“ตายาย แล้วก็...”

นพมัลลียิ้มบาง เธอไม่รู้สึกทุรนทุราย หรือหวาดระแวงอะไรอีก จุดนี้ความรู้สึกเหล่านั้นคงตายไปจากเธอนับตั้งแต่นวมลลิ์เลือกแกล้งความจำเสื่อมแล้ว และยังโชคดีที่วันนี้ลูกของเธอยังนึกถึงพวกเขาเหล่านั้น

“แล้วก็ป้ายากับลุงริทใช่ไหมคะ”

นวมลลิ์พยักหน้ารับ แต่ไม่กล้าสบตาคนเป็นแม่ ในช่วงแรกที่มาอยู่กับนพมัลลีเด็กหญิงรู้สึกปลอดภัย และหวาดกลัวการกระทำของมัลลิยา แต่เมื่อได้มีครอบครัวที่อบอุ่น เด็กหญิงก็เริ่มคิดถึงสิ่งที่มัลลิยา ธริท รวมทั้งตายายที่คอยอุ้มชูเธอมาตลอด แม้ว่าพวกเขาจะไม่รู้เลยว่าเธอรู้ความจริงแล้วเป็นปี

“ตอนนี้ตัวเล็กเริ่มจำอะไรได้บ้างหรือยังคะ” นพมัลลีแกล้งถามเย้า

“นิดหน่อยค่ะ” เด็กหญิงอุบอิบตอบไม่เต็มเสียง

คนเป็นแม่หัวเราะเบาๆ จูงมือเด็กหญิงลุกจากหน้าโต๊ะเครื่องแป้งมานั่งยังเตียงนอน สีหน้าของนพมัลลีจริงจังขึ้น แต่ไม่ได้เคร่งเครียด หรือมีแววกังวล

“แม่อนุญาตให้ตัวเล็กเรียกป้ายากับลุงริทว่าแม่กับพ่อได้นะคะ พวกเขาเลี้ยงตัวเล็กจนเติบโตมาขนาดนี้ พวกเขามีบุญคุณกับตัวเล็กนะคะ”

“ได้จริงเหรอคะ”

“ทำไมจะไม่ได้คะ แม่เข้าใจความรู้สึกที่ลูกเรียกแม่ไม่ได้ดีกว่าใครนะตัวเล็ก” นพมัลลีกลืนความรู้สึกขมปร่าที่กลับมาเล่นงานอีกครั้ง “แต่แม่ก็ผ่านมาได้ แม่พิสูจน์ให้ตัวเล็กเห็นว่าแม่เป็นแม่ของตัวเล็กได้ ถึงตัวเล็กจะต้องแกล้งความจำเสื่อม แม่ก็ไม่ถือ”

นวมลลิ์หน้าแดงที่ถูกจับไต๋ได้ มือเล็กเอื้อมมากุมมือใหญ่กว่าและบีบไว้เพื่อให้รู้ว่าเธออยู่ตรงนี้

“แม่ยารักตัวเล็กเหมือนลูกแท้ๆ ตอนที่เขาจะเสียตัวเล็กไปเลยไม่ยอม และจะทำทุกอย่างเพื่อรั้งตัวเล็กไว้ โดยไม่สนวิธีการ แม่รู้ว่าตัวเล็กกลัว แต่ตอนนี้ตัวเล็กมีครอบครัวที่อบอุ่น ไม่มีอะไรต้องกลัวอีกแล้ว ตัวเล็กให้อภัยแม่ยาได้แล้ว แม่ยาเองก็ต้องมีความสุขเพิ่มขึ้นที่ตัวเล็กจะเรียกแม่ยาว่าแม่อีกครั้งนะคะ”

“แม่ลีของตัวเล็กเหมือนนางฟ้า” เด็กหญิงฉอเลาะอย่างน่ารัก

นพมัลลียิ้มรับ และบอกข่าวดีอีกอย่าง “ตอนนี้แม่ยากำลังจะมีน้อง ตัวเล็กดีใจไหมคะ”

เด็กหญิงอ้าปากค้าง ก่อนจะบึ้งตึง กอดอกเชิดหน้าอย่างแสนงอน “ตัวเล็กไม่อยากมีน้อง พอมีน้องแล้วทุกคนจะไม่รักตัวเล็ก”

คนกลางนึกอยากกุมขมับ เธอก็ลืมไปว่าตัวเล็กมีปฏิกิริยาอย่างไรตอนที่แม่ของตุนท์ออกปากว่าจะให้เธอมีลูกคนที่สองคนที่สาม บางทีถ้านวมลลิ์โตกว่านี้อาจจะเรียกร้องหาน้องขึ้นมาเองก็ได้ นพมัลลีพยายามคิดบวก และเสเปลี่ยนเรื่อง โดยเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า

“ตัวเล็กรู้ไหมคะว่าวันนี้เรากำลังจะไปงานของใคร”

“เพื่อนแม่ลีค่ะ”

“เขาก็เอ็นดูตัวเล็กมากนะคะ”

“แล้วก็ชอบแม่ลีมากด้วย” นวมลลิ์เจื้อยแจ้ว “ตัวเล็กจำได้ ตอนนั้นเขาไปหาแม่ลีที่ทะเล แล้วก็ขึ้นไปหาตัวเล็กที่บ้านสองสามครั้งด้วยค่ะ”

“อะไรนะคะ!” นพมัลลีไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน วากูรคงจะขึ้นไปหานวมลลิ์ในช่วงสัปดาห์หลังจากที่นวมลลิ์ขึ้นมาทำวีซ่า “เขาบอกอะไรตัวเล็กหรือเปล่าลูก”

“ลุงวากูรซื้อขนม ของเล่นให้ตัวเล็กค่ะ แล้วก็...” เด็กหญิงปิดปากสนิท ทำหน้าเหยเก ลืมที่สัญญากับวากูรว่าจะเก็บเป็นความลับ

นพมัลลีถอนหายใจเบาๆ เธอรู้แล้วว่าอะไรทำให้ตุนท์ยังเอาชนะใจของนวมลลิ์ไม่ได้สักที “ตัวเล็กคะ ถ้าจะพบลุงวากูรต่อจากนี้อีกคงไม่ง่ายแล้วนะคะ ลุงวากูรกำลังแต่งงาน”

“ลุงบอกชอบแม่ด้วยนะคะ”

“ตัวเล็กก็รู้ว่าแม่ไม่ได้ชอบลุงเขา” นพมัลลีแสร้งตัดบท ยกข้อมือที่สวมนาฬิกาอยู่ขึ้นดูเวลา ทั้งที่ในใจกำลังโกรธวากูรที่กระทำการลับหลังเธอ “ได้เวลาแล้ว รีบไปเถอะค่ะเดี๋ยวสายเนอะ”

โดยไม่ล่วงรู้สักนิดว่าเธอกำลังเดินเข้าไปในหลุมที่วากูรขุดรอไว้ ถ้ารู้เธอจะไม่ไว้ใจผู้ชายที่ครั้งหนึ่งเคยนำเธอไปเล่นเป็นของพนันไร้ค่านั้นอีก



ดิศโบกมือเรียกนพมัลลีตั้งแต่หน้างาน หญิงสาวรู้สึกเกร็งต่อสายตาเพื่อนเก่าที่ครั้งหนึ่งเคยมองเธอเป็นตัวประหลาดประจำห้อง แต่ก็เท่านั้น มือของเธอยังกุมนวมลลิ์ไว้มั่น ไม่สะทกสะท้าน ไม่สนว่าลับหลังเพื่อนเก่าเหล่านั้นจะเอาเธอไปนินทาด้วยเรื่องอะไร กลุ่มผู้ชายที่เคยจะกระทำย่ำยีเธอก็ยืนตระหง่าน หน้าตาไม่แสดงออกถึงความผิดที่เคยทำ

“ไม่เป็นอะไรนะลี” ตุนท์เข้ามาโอบไหล่บอบบางที่สะดุ้งเมื่อเขาสัมผัส เขารู้สึกเป็นห่วงนพมัลลี

หญิงสาวส่ายหน้า และยังยิ้มได้เมื่อมีไออุ่นฝากไว้ตรงไหล่ของเธอ ภาพเจ้าบ่าวเจ้าสาวที่ถ่ายรูปอยู่กับดิศก่อนหน้าเปิดทางให้พวกเธอที่เพิ่งมาถึง

“ตายแล้วนี่พาแฟนมาด้วย” ดิศเดินเข้ามากระซิบกระซาบกับนพมัลลี “ไม่กลัวเกิดเหตุหึงโหดหรือไง น่นก็พ่อของลูก ส่วนนี่ก็แฟน”

“ตุนท์เขาเข้าใจทุกอย่างดีค่ะ” นพมัลลีบอกอย่างมั่นใจ หันไปยิ้มเผื่อแก่ตุนท์ที่ไม่เคยทำให้เธอลำบากใจสักครั้ง

“ผู้ชายเอาจริงๆ จะมีเหรอที่ไม่ระแวง มันต้องมีบ้างแหละ นี่ถ้ามีเพื่อนสมัยเรียนปากโป้งให้แขกเหรื่อในงานรู้อีกล่ะ จะทำไง”

“ตุนท์ยิ่งต้องอยู่ค่ะ เพื่อเป็นข้อพิสูจน์ว่าฉันไม่สนใจอดีตเส็งเค็งนั่นแล้ว ครูเองก็เลิกวิตกแทนฉันเถอะค่ะ วันนี้ที่ฉันมาก็เพราะเห็นว่าเขาเป็นพ่อของลูก ไม่ใช่เพราะฉันอยากมาสักนิด”

ดิศถอนหายใจอย่างหนักอก ลางสังหรณ์วันนี้เขาไม่ค่อยดีนัก หวั่นว่าจะเกิดเรื่อง ไหนจะแววตาของวากูรที่ทอดมองนพมัลลีอย่างลึกซึ้งทั้งที่ข้างกายก็มีเจ้าสาวยืนยิ้มอยู่ข้างๆ การยกตัวเล็กขึ้นสูง เล่นอย่างสนิทสนมนั่นอีก

“อ้าวกิ๊กเก่าก็มาด้วยเหรอ แหมๆ นี่กะมาเปิดตัวให้เมียแกรับได้ใช่ไหม” หนึ่งในกลุ่มเพื่อนของวากูร ที่อยู่ในคืนผับ และกลุ่มเดียวกันกับท้าพนันเธอพาร่างที่อ้วนขึ้นเข้ามาทักทาย มุมปากหยักยิ้มหยัน มองตั้งแต่หัวจรดเท้านพมัลลีอย่างหยาบคาย จนตุนท์ตต้องเดินขึ้นมาขวางไว้ หากไร้ความเกรงใจเขาก็คิดจะต่อยผู้ชายกักขฬะนี้ดู “เรื่องคืนนั้นเมื่อเจ็ดแปดปีก่อน ฉันยังจำได้เลยว่าปากเธอรสชาติอะไร”

“อย่าค่ะตุนท์” นพมัลลีรีบรั้งชายเสื้อตุนท์ที่กำลังหมดสิ้นความอดทน กำปั้นกำไว้แน่นเตรียมปล่อยออกไป

“ทำไม กลัวผัวใหม่เธอรู้เหรอ ว่าเจ้าบ่าวในงานนี้คือพ่อของลูกเธอ”

เสียงตระหนกของคนทั้งงานเริ่มดังขึ้น เจ้าสาวไฮโซของวากูรหน้าซีดเผือด รอยยิ้มเลือนหายไป เหลือเพียงดวงตาหวาดระแวงไม่ไว้ใจ

ตรงข้ามกับนพมัลลีที่วันนี้มีสติดีขึ้น เธอเรียกให้ตัวเล็กออกมาจากอ้อมแขนของวากูรด้วยท่าทีสงบ แต่น้ำเสียงจริงจัง จนนวมลลิ์ไม่กล้าดื้อใส่ ตุนท์ที่รู้หน้าที่ดีรีบอุ้มตัวเล็กไว้ไม่ให้ไปหาวากูรอีก

“คราวนี้เขาจ้างเท่าไหร่ล่ะ จะให้ฉันพูดความเลวของพวกคุณกลางงานนี้ไหมล่ะ ว่าในอดีตทำอะไรไว้บ้าง ฉันไม่มีอะไรต้องเสีย แต่ถ้ามาทำให้ชีวิตของคนที่ฉันรัก ลูกของฉันหม่นหมอง ฉันไม่ไว้หน้าใครเหมือนกัน” นพมัลลีเดินขึ้นหน้า เผชิญกับเพื่อนของวากูรที่เธอจำได้แล้วว่าคือคนที่เธอเคยเอาขวดแก้วตีหัว “เอาสิ อยากพูดอะไรก็พูด ฉันจะได้พูดบ้าง”

“ไอ้กูร!” หนุ่มอ้วนตะเบ็งเสียงลั่น หน้าตาลอกแลก หวั่นก็หวั่นว่าหนี้ที่มีตอนนี้ซึ่งวากูรบอกจะใช้ให้หลังเขามาป่วนให้งานล่ม และแฉความจริงออกมา แต่คนถูกแฉที่ไม่หวั่นกลับขู่กลับมาเสียได้

“ความจริงที่เธอปิดบังฉันมาตลอดเรื่องของลูกไงลี ตัวเล็กเป็นลูกของฉัน และเธอก็เป็นแม่ของลูกฉัน” วากูรพูดออกมาอย่างเรียบเรื่อย ไม่หวาดหวั่น เพราะเขาคิดมาดีตั้งแต่ให้เกิดงานแต่งงานนี้ เขาไม่สนใจธุรกิจของครอบครัว พร้อมทำร้ายจิตใจฐานิษที่หลงรักเขา ไม่ว่าจะเสียอะไรไปสักเท่าไหร่ เขาไม่อยากเสียนพมัลลีไปอีกแล้ว

ฐานิษเป็นลมล้มไปกับพื้น บรรดาเพื่อนเจ้าสาวต้องมาช่วยกันประคองหญิงสาวร่างอ่อนปวกเปียก แขกใหญ่โตก็เริ่มล้อมเข้ามา เหตุการณ์วุ่นวายจากคำพูดไม่กี่คำลามไปทั่วทุ่ง นพมัลลีเดินถอยไปอยู่ระดับเดียวกับตุนท์ บอกไว้ชัดเจนไม่ให้คนฟังเข้าใจผิดได้

“ฉันมาที่นี่เพื่อแสดงความยินดี ไม่ได้มาที่นี่เพื่อรื้อฟื้นหาตะเข็บเก่าๆ ที่โยนทิ้งไปนานแล้ว และถ้าฉันมาวันนี้ไม่มีงานแต่งงาน ฉันก็จะกลับ” หญิงสาวจ้องตากับวากูรไม่วาง “สิ่งที่นายทำ มันทำอะไรฉันไม่ได้ แต่กับผู้หญิงคนนั้น” นพมัลลีส่งสายตาเห็นใจให้กับเจ้าสาวผู้น่าสงสาร “เขาไม่ได้รู้อะไรด้วย เมื่อนายตัดสินใจจะแต่งงานไม่ได้หมายถึงให้ใช้งานเป็นสิ่งบังหน้าเพื่อความพอใจโง่ๆ ของตัวเอง ชีวิตฉันเคยพังมาเพราะนายแล้วครั้งหนึ่ง อย่าสร้างกรรมกับผู้หญิงอีกคนเลย แค่นี้นายก็ดูไม่เหมือนคนแล้ว”

“ฉันจะเอาลูกคืน ฉันมีสิทธิ์ในตัวเขาเท่าๆ กับเธอ” นพมัลลีกำมือไว้แน่น อดทนที่จะมองหน้าตาที่ดูดีของอีกฝ่าย แต่น่าเสียดายที่ความชั่วช้าของเขาลบกลบรูปลักษณ์ภายนอกได้หมด จนตัวของวากูรไม่ต่างจากกองขยะมีชีวิตที่เน่าเหม็น

“ฉันไม่เคยบอกเหรอ ว่าตุนท์คือพ่อของเขา เป็นมาตลอด”

“เธอโกหก ยกเว้นว่าหลังจากวันนั้นเธอจะ...” วากูรไม่คิดมาก่อนว่านพมัลลีจะเป็นผู้หญิงที่ตีไม่ตาย เธอถึงกับกล้ายกเรื่องของตุนท์มาพูดหน้าตาเฉย ทั้งที่เขามั่นใจว่ามันไม่มีทางใช่

“ทำไมจะไม่ใช่ล่ะ ฉันหนีออกจากบ้านหลังเกิดเรื่อง เพราะได้ยินว่ามีคนบางคนเอาเรื่องฉันไปพูดท้าพนันเลวๆ ชีวิตฉันก็แย่ ฉันคิดว่าการเป็นผู้หญิงดีๆ มันจะมีดีอะไร แล้วฉันก็บังเอิญได้พบเขา ผู้ชายคนนี้ฉุดฉันขึ้นมาจากนรก และฉันจะไม่มีทางลงนรกขุมนั้นอีก” นพมัลลีแกร่งพอจะพูดเรื่องโกหกครึ่งหนึ่งออกมาอย่างไม่อายปาก ปล่อยให้วากูรยืนอึ้งเป็นเบื้อใบ้ ส่วนตัวเธอได้แค่ควบคุมร่างที่แข็งทื่อ และชาไปทั้งศีรษะออกมาจากงาน มีตุนท์คอยตามประกบติดไว้ กลัวจะมีใครมาวอแวเธออีก

“แม่ลี” นวมลลิ์ถามเสียงเครือ พยายามยื่นมือมาแตะนพมัลลีที่กำลังหมดแรงเดินต่อ

“คะตัวเล็ก” หญิงสาวหันไปยิ้มแก่ลูกสาว ยิ้มที่ดูอย่างไรก็ไม่ปกติ

“ตัวเล็กไม่อยากพบเขาแล้ว ลุงวากูรใจร้ายกับแม่”

“แล้วพ่อตุนท์ล่ะคะ มีตรงไหนที่ไม่ดี” นพมัลลียิ้มน้ำตาคลอ ดีใจที่นวมลลิ์เข้าใจเธอบ้าง

นวมลลิ์มองคนอุ้มที่ไม่เคยตีเธอสักครั้ง หลายครั้งจะคอยหาขนม หาของเล่นมาเล่นเป็นเพื่อน พยายามเอาใจเธอสารพัด และไม่เคยทำให้แม่ลีของเธอเสียใจ ผู้ชายคนนี้ไม่เคยทำผิด แต่สิ่งเดียวที่เด็กหญิงยอมรับไม่ค่อยได้เพราะในใจรู้ว่าตุนท์ไม่ใช่พ่อของเธอ

“พ่อตุนท์จะไม่ทำร้ายแม่ลีใช่ไหมคะ อย่าทำให้แม่ลีเสียใจนะคะ”

“พ่อตุนท์สัญญา ว่าจะอยู่ข้างๆ แม่ลีกับตัวเล็กไม่ไปไหน” ตุนท์กล่าวเสียงทุ้มน่าฟัง ทุกคำล้วนพูดกลั่นออกมาจากใจ

เมื่อทั้งสามเข้ามานั่งในรถ หลังปล่อยให้นวมลลิ์เงียบ และครุ่นคิดกับตัวเองพักใหญ่ คำพูดที่เด็กหญิงพูดออกมาจึงไม่ต่างจากน้ำเย็นสดชื่นที่ราดรดกลางใจผู้ใหญ่ทั้งสอง

“พ่อตุนท์มาเป็นพ่อตัวเล็กนะคะ ตัวเล็กสัญญาว่าจะดื้อให้น้อยลง ตัวเล็กเลี้ยงง่าย กินง่าย แม่ลีอยู่ที่ไหน ตัวเล็กก็อยู่ที่นั่นได้ค่ะ”

……………………………………………………….

พี่ ภัทรภิญญ์ เรียกกันแบบเต็มยศ ฮา พี่ฟูกไม่รู้เหรอนี่เป็นวิธีการหนึ่งในการเติมไฟของพี่ฟูกได้ด้วย ฮา แล้วก็เข็นตัวเองให้เขียนน้า ไม่งั้นไฟมอดแน่ๆ รออ่านนิยายของพี่ฟูกนะคะ อิอิ

คุณ konhin เป็นเด็กโข่งเจ้าปัญหาด้วยนะคะ พยศหนักกว่าตัวเล็กแน่ๆ เพราะกำลังมีปัญหาเลย ต้องมารอดูค่ะว่าจะคิดได้เมื่อไหร่

คุณ ร้อยวจี นั่นสิคะ ต้องพะบู๊ล้างผลาญกันต่อหรือเปล่า รอติดตามค่า ยังมีเรื่องอะไรมาให้กดดันอีกเน้อ อิอิ

คุณ alittledog ดูท่าพี่เลี้ยงถาวรจะไม่ปลื้มต้อยน้อยนี่มาพักใหญ่แล้วนะคะ ฮา

คุณ violette ตัวเล็กต้องใช้พลังเยอะกว่านี้นะคะถึงจะคุมคมิกอยู่ ตอนนี้คมิกอารมณ์อย่างกับพายุเลย

ขอบคุณทุกความคิดเห็น ทุกคนที่กดถูกใจ และทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ขอให้อ่านให้สนุกค่า อยู่ในช่วงงานหนังสือด้วย ขอให้เดินกันอย่างครื้นเครงค่า งานดูดเงิน ฮา



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 27 มี.ค. 2558, 03:18:02 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 27 มี.ค. 2558, 03:18:02 น.

จำนวนการเข้าชม : 1638





<< บทที่ 24 : คมิก   บทที่ 26 : ความไม่เข้าใจกับรอยลิปสติก >>
konhin 27 มี.ค. 2558, 04:11:37 น.
รู้เช่นเห็นชาติกันแล้วก็อย่าได้ข้องแวะกันอีกเลยยยยย


ร้อยวจี 27 มี.ค. 2558, 06:49:36 น.
จบตอนซะแล้วยังอ่านไม่จุใจเลย ชอบตอนนี้ค่ะ นพมัลลีเข้มแข็งขึ้นมาก ส่วนตัวเล็กก็เข้าใจอรื่องได้เร็ว กลัวแต่นายวากูรจะตามตอแยต่อ ปล.อยากอ่านอีกตอนจังค่ะ


ผักหวาน 27 มี.ค. 2558, 11:31:41 น.
สงสารตัวเล็กนะคะ สงสารหนูลีด้วย


alittledog 27 มี.ค. 2558, 11:34:12 น.
ตัวเล็กเข้มแข็งมากค่ะ
ปล.ไม่ปลื้มแต่อย่างไงก็ต้องโดนน้องป่วนต่ออยู่ดีค่ะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 27 มี.ค. 2558, 16:56:18 น.
ร้ากกกตัวเล็กที่ซู้ดดด


กาซะลองพลัดถิ่น 27 มี.ค. 2558, 17:14:33 น.
ผู้ชายที่ทำลายชีวิตผู้หญิงถึงสองคน เพราะความเอาแต่ใจของตัวเอง ยังจะมีหน้าเรียกร้องสิทธิ์ในความเป็นพ่ออีกเหรอเนี่ยะ
แน่จังเนอะวากูร .........ตัวเล็กเก่งมาก หนูลีก็แกร่งขี้นมากด้วย เกรงแต่ว่าเรื่องมันจะไม่จบง่าย ๆ นะซิ..วากูรคงไม่ปล่อยง่าย ๆ ใช่ไหม


violette 27 มี.ค. 2558, 17:32:47 น.
ตัวเล็กในที่สุดก็เปิดใจเนอะ พี่คมิกจะไปก่อเรื่องอีกมั้ยเนี่ย นายวากูรก็แย่เกิน55


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account