บทเรียน (รัก) นอกตำรา
นพมัลลี นักศึกษาฝึกสอนที่จบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน

นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก

แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้

มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่

Tags: นพมัลลี ตุนท์ คมิก พิชญ์ปรีชา

ตอน: บทที่ 26 : ความไม่เข้าใจกับรอยลิปสติก

บทที่ 26

“แกทำทุกอย่างพังหมด ไอ้ลูกเลว” พ่อของวากูรเดือดดาลหนัก ธุรกิจที่กำลังจะขยับขยายในอนาคตถึงคราวต้องชะงักเพราะความไม่เอาไหนของบุตรชาย “แกไม่มีข้ออ้างที่ดีกว่านี้หรือไง ไม่อยากแต่งงาน แล้วอ้างว่ามีลูกแล้วเนี่ยนะ ไอ้โง่เอ๊ยเงินกี่ร้อยกี่พันล้านก็ไม่รู้หายวับไปกับตา”

ใบหน้าบอบช้ำของวากูรที่เพิ่งถูกตบ และร่างอ่วมจากการถูกซ้อมจากบรรดาพี่ๆ ของฐานิษทำให้เขาหายใจลำบาก เจ็บซี่โครงเพียงแค่ขยับเคลื่อนไหว ถึงร่างจะเจ็บหนักแต่ชายหนุ่มก็ยังฝืนส่งเสียงหัวเราะออกมา

“เรื่องลูกคือเรื่องจริงครับพ่อ ตัวเล็กเป็นลูกของผม ผมมั่นใจ” ให้ตายเขาก็ไม่เชื่อเด็ดขาดว่านพมัลลีจะทำอย่างที่พูด แต่ตอนนั้นเพราะเขายังอึ้งที่นพมัลลีประกาศว่าครูนั่นเป็นพ่อของลูก เขาจึงไม่ทันเรียบเรียงสติเพื่อปฏิเสธ

คนฟังชะงักไป ร่องรอยของนักธุรกิจที่ผ่านร้อนผ่านหนาวมาไม่น้อยปรากฏร่องรอยลังเล ชีวิตของตนก็มีลูกชายอยู่คนเดียว จึงพอเข้าใจที่ลูกชายจะไขว่คว้าครอบครัว และบางครั้งมันก็ผิดวิธี

“เลิกหลอกตัวเองเถอะ แล้วคิดหาทางไปขอโทษขอโพยหนูฐานิษเขาดีๆ ยังไงหนูฐานิษเขาก็รักแกมาก ไม่นานเขาต้องให้อภัยแก”

วากูรแสยะปาก หัวเราะขื่นในลำคอ เชิดหน้าขึ้นอย่างทระนง และไม่หวั่นไหวกับข้อเสนอยวนใจอย่างการกลับหลังไปหาบ่อทองบ่อเงินที่พ่อเขาหวังไว้

“ผมรักนพมัลลี และผมก็มั่นใจว่าตัวเล็กคือลูกของผม ผมยอมถูกผ้หญิงที่ผมไม่ได้รักเกลียด ดีกว่าปล่อยให้คนที่ผมรักและลูกไปอยู่กับผู้ชายคนอื่น เขาทั้งคู่เป็นของผม ผมควรจะรับผิดชอบตั้งแต่เจ็ดปีก่อน แต่นพมัลลีไม่เคยให้โอกาส”

“แล้วแกก็จะปล่อยให้ธุรกิจของบ้านพังหรือไง ไอ้ลูกเลวแกก็รู้ว่าบ้านเรามันกำลังเป็นลูกผีลูกคน จะตายวันตายพรุ่งก็ไม่รู้”

ชายหนุ่มรู้ว่าธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ของบ้านตัวเองกำลังมีปัญหา ด้วยการขายบ้านออกไปในโครงการระยะหลังไม่เข้าเป้า แต่นั่นไม่ได้หมายความว่าเขาจะต้องสูญเสียนพมัลลีไป เขาเป็นเพียงคนเห็นแก่ตัวที่ยอมเลือกสิ่งที่ต้องการมากกว่า ในตอนนี้เขาต้องการนพมัลลีมากกว่าธุรกิจครอบครัว เขาเลือกแล้ว

คนอาวุโสกว่าตะเบ็งเสียงใส่หน้าลูกจนเหนื่อยหอบ ร่างสั่นเทิ้มคล้ายจะมีอาการหน้ามืดด้วยอาการโรคประจำกายอย่างโรคความดันกำเริบ “ถ้าแกพิสูจน์ว่าเด็กนั่นเป็นลูกแกจริง ฉันจะยอมรับเด็กคนนั้น แต่ฉันขอเถอะ เรื่องของหนูฐานิษ แกอย่าได้หันหลังให้เขา แกจะคบชู้ มีเมียอีกกี่คนก็เรื่องของแก แต่เมียที่จะแต่งออกหน้าได้ต้องหนูฐานิษเท่านั้น”

เจ้าบ่าวล้มงานนั่งกุมขมับหลังงุ้มคิดไม่ตก เขาสนใจข้อเสนอของพ่อ ขอแค่นพมัลลีจะอยู่ข้างกายเขาได้ ไม่ว่าใครที่อยู่ข้างกายในชีวิตเขาก็ไม่สำคัญ



ตุนท์จับจูงนพมัลลีเดินไปตามทางเดินในหมู่บ้านที่เริ่มสว่างไสวยามฟ้ากำลังโพล้เพล้เป็นสีกำมะหยี่ ลมยามเย็นไร้ไอเย็นแม้ย่างสู่เดือนตุลาคม กลับมีไอร้อนอบอ้าวเหลือทิ้งไว้ ทั้งสองจับมือเดินเคียงกันเงียบๆ ไม่มีใครเริ่มพูดสิ่งที่คั่งค้างในใจจากเหตุการณ์เมื่อเช้าขึ้นมาพูดก่อน ในที่สุดตุนท์จึงถอนหายใจเสียงเบา คล้ายยอมแพ้

“ลี ผมคิดว่าถึงเวลาที่คุณจะพักปัญหาพวกนี้บ้างแล้วล่ะ”

“ฉันไม่รู้ว่าจะพักมันยังไงนะคะ เหมือนกับว่าตอนฉันเกิดมา กระพรวนแห่งปัญหาก็ผูกติดที่ข้อเท้าฉันไว้แน่นแล้ว นับวันมีแต่กระพรวนที่เพิ่มน้ำหนักขึ้น ถึงฉันจะอยากปล่อยวางพวกมันให้หมด แต่ฉันก็รู้ว่าปัญหาเหล่านั้นจะไม่มีวันหมด”

มือของตุนท์บีบกระชับมือของนพมัลลีให้แน่นขึ้น ทุกครั้งที่รู้สึกว่านพมัลลีกำลังอ่อนแอ การถ่ายทอดความรู้สึกของเขาผ่านการจับมือกลายเป้นความเคยชินที่เขาต้องทำเสียแล้ว เขาอยากจะเห็นนพมัลลีมีความสุข มากกว่ามานั่งคิดว่าวันนี้จะแก้ไขปัญหาที่ผ่านเข้ามาอย่างไร และอาจกลายเป็นคนหวาดระแวงในอนาคตได้ เมื่อปัญหาใหม่ส่อเค้าว่าจะถาโถมเข้ามา

“ตุนท์คิดอะไรอยู่คะ” สุ้มเสียงเป็นห่วงทักขึ้น ตุนท์จึงได้สติและรู้ตัวว่าเขาเผลอเหม่อไปหน่อย

“คิดว่าผู้ชายที่ล้มงานแต่งงานของตัวเองลงโดยไม่แสดงอาการรู้สึกผิด เขาจะไม่ยอมหยุดเรื่องของลีง่ายๆ น่ะสิ เขาไม่ปล่อยให้ลี กับตัวเล็กอยู่กับผมอย่างสงบสุขหรอก”

“ฉันก็คิดอย่างนั้น ขนาดฉันด่า ปฏิเสธไป คนๆ นั้นก็เหมือนกะโหลกกลวงๆ ที่ไม่มีสมองอยู่ในหัว คิดอะไรไม่เคยเป็น เอาแต่คิดว่าตัวเองต้องการอะไร อยากทำอะไร ไม่อยากทำอะไร”

เป็นครั้งแรกที่ตุนท์รู้สึกว่าคำด่าที่นพมัลลีสาดใส่ผู้ชายอีกคนไม่ว่าจะในยามต่อหน้าหรือลับหลัง กำลังกัดกร่อนใจของเขาอยู่เงียบๆ น่าแปลกที่เขากลับรู้สึกว่านพมัลลีรู้จักกับวากูรดีเสียยิ่งกว่ารู้จักเขา ไม่ว่าจะในทางลบหรือบวก เขาก็รู้สึกอิจฉา

ในขณะความรู้สึกของเขา นพมัลลีดูแลดีมาตลอด เธอใส่ใจเขา ห่วงใยเขา แต่ตุนท์กลับไม่ได้ต้องการอย่างนี้ เขากลัวว่าที่ผ่านมานพมัลลีจะเพียงแค่เกรงใจความรู้สึกของเขา แต่ก่อนตอนที่เขาเฝ้ามองนพมัลลีอยู่ห่างๆ เขาเคยคิดว่าการได้อยู่เคียงข้างนพมัลลี เข้าใจหญิงสาว ไม่ว่าเธอจะทุกข์แค่ไหนไหล่เขาก็พร้อมให้เธอซบ แต่เมื่อเขาได้อยู่ในจุดที่ต้องการเขากลับรู้สึกว่ามันไม่พอ มันคงเป็นความโลภของผู้ชายงี่เง่าคนหนึ่งที่รู้สึกว่าต่อให้จับมือกันแน่นแค่ไหน แต่เขาก็ยังไปได้ไม่ใกล้พอในใจของนพมัลลี

เธอมักจะนึกถึงเขาเป็นอันดับหลังสุด เพราะคิดว่าเขาจะเข้าใจเสมอ ใช่ เขาเข้าใจ แต่ใช่ว่าจะไม่ได้รู้สึกน้อยใจสักหน่อย

ตุนท์หยุดเดิน และนพมัลลีก็จำต้องหยุดตาม หญิงสาวหันหน้ามามองด้วยเครื่องหมายคำถามที่ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมแววตาที่เธอเคยชินกับความใจดี และยิ้มมาให้กำลังเปล่งประกายความรู้สึกบางอย่างซึ่งเธอไม่เข้าใจมาก่อน

“แต่งงานกันไหมลี”

ความเงียบ และบรรยากาศยามค่ำของอาทิตย์สุดท้ายค่อยๆ เหลือไว้เพียงเงา และแสงไฟตามเสาไฟริมทาง ตุนท์มองดวงตาที่เบิกกว้างขึ้นอย่างเหนือความคาดหมายนั้นอย่างเจ็บปวด จริงอย่างที่เขาคาดการณ์นพมัลลีไม่เคยมองไปข้างหน้าไกลเท่าเขา ถึงปากจะบอกใครต่อใครถึงความสัมพันธ์ที่ตั้งใจให้เขาอยู่ข้างกายตลอดไป แต่ความจริงแล้วเธอกลับไม่เคยคิดถึงมันจริงๆ จังๆ หลายครั้งที่นพมัลลีหยิบยกความสัมพันธ์ระหว่างเราไปพูดเพื่อแก้ไขความเข้าใจของคนอื่น แก้ปัญหาเฉพาะหน้าบ้าง เขาไม่รู้เลยว่าครั้งไหนที่นพมัลลีจะพูดออกมาใจจริง ตั้งใจพูดเรื่องของเราโดยไม่มีตัวแปรอื่นเข้ามาในชีวิต

สีหน้าลังเล และการกัดปากด้วยคงกำลังคิดว่าจะปฏิเสธอย่างไรให้ถนอมจิตใจเขาที่สุด ทำให้ตุนท์ปล่อยมือที่กุมไว้อยู่อย่างแผ่วเบา เขาแหงนหน้ามองฟ้าที่มืดสนิท ตั้งใจให้ลมเย็นพัดกระพือความผิดหวังไปจากใจเขาโดยเร็ว

“กลับบ้านกันเถอะลี ตัวเล็กคงตามหาลีแล้ว” ตุนท์เปลี่ยนเรื่องอย่างเรียบเรื่อย เขาไม่กระตุ้นถามคำถามเดิม และนพมัลลีก็ยังคงปิดปากเงียบไม่ตอบคำถามเขาสักคำ นอกจากหมุนตัวกลับไปยังบ้าน ตุนท์มองฝ่ามือของตัวเองที่ว่างเปล่า นพมัลลีไม่แม้แต่ที่จะคว้ามือเขาไปกุม ปากบางยิ้มขื่นให้ตัวเอง ได้แต่ย้ำในใจซ้ำไปมา

เขาต้องเข้าใจทุกสิ่งที่เป็นเธอ ไม่ว่ามันจะเข้าใจยากแค่ไหน ไม่ว่าเขาจะเข้าไปในโลกของเธอได้เพียงแค่ครึ่งก้าว เขาก็ทำได้แค่ยืนอยู่ค้างเติ่งอย่างนั้น ไม่มีสิทธิ์ก้าวอีกข้างเข้าไป

นพมัลลีหยุดรอตรงชานบันไดขึ้นบ้าน รอกระทั่งคนเดินตามหลังเข้ามาใกล้ ตุนท์คิดว่าบางทีเขาอาจจะกำลังมีความหวัง แต่ครั้งนี้มันแย่กว่าทุกครั้งที่ผ่านมาหลังเขารับฟังคำพูดจากปากรูปกระจับนั้นทั้งหมด

“ขอโทษค่ะตุนท์ ยังไม่ใช่ตอนนี้”

“ผมเข้าใจ...” อีกครั้งที่ตุนท์ต้องเอ่ยปลอบนพมัลลี เป็นเขาทุกครั้ง “ลืมที่ผมพูดไปซะนะ”

คำพูดของตุนท์เรียบสงบ แม้แต่ใบหน้าที่พยายามยิ้มปลอบโยนเธอก็ดูจืดชืดไม่มีชีวิตชีวา ตอนที่ตุนท์เดินเลี่ยงไปทางอื่น จู่ๆ จิตใจที่เคยสงบยามอยู่กับเขาก็รู้สึกรวดร้าวขึ้นมาอย่างที่ไม่เคยเป็น หญิงสาวอยากจะยื่นมือคว้าร่มชูชีพ ส่วนตัวของเธอมาไว้ข้างกายให้รู้สึกว่าตัวเองปลอดภัย แต่ถ้านั่นคือการกระทำที่เห็นแก่ตัวของเธอเกินไป เธอจึงไม่กล้าพอ สิ่งเดียวที่นพมัลลีรู้ในตอนนี้ก็คือ...เขาไม่ได้เข้าใจตามที่พูดออกมาเลย



ตุนท์ออกมาจากห้องหนังสือตอนเข็มนาฬิกาข้างฝาบอกเวลาสี่ทุ่ม คุณตุลากำลังนั่งฟังข่าวโทรทัศน์รอบดึก ใบหน้าแหงนหงายไปกับพนักโซฟา ใบหน้าพอกด้วยเจลสีดำ ชายหนุ่มนั่งหย่อนกายลงยังเก้าอี้บุผ้าถัดออกมาเล็กน้อย ความว้าวุ่นในใจคล้ายคลื่นบางอย่างก่อกวนตลอดเวลาไม่เคยหาย

“เด็กคมิกเป็นไงบ้าง แม่ไม่เห็นเขาตลอดวันเลย” คุณตุลาพูดออกมาริมฝีปากแทบไม่เคลื่อนไหว

“ขังตัวเองอยู่ในห้องไม่ยอมออกมาครับ ไม่ทานอะไรสักอย่าง เอาแต่เล่นเกมคอมพิวเตอร์” คมิกขอเขาว่าขอห้องที่มีคอมพิวเตอร์ไว้เล่นเกมถ้าคิดจะให้ตนอยู่ที่นี่ แล้วเขาจะปฏิเสธอะไรได้

“เด็กนี่จริงๆ เลย สร้างเรื่องไว้ตั้งเยอะยังทำทองไม่รู้ร้อนอีก เด็กสมัยนี้เป็นอะไรกันไปหมดก็ไม่รู้”

การบ่นของคนมาร์กหน้าทำให้คนฟังยิ้มตาม “เขาแค่ขาดเสาหลักในชีวิตน่ะครับแม่”

“มนุษย์เราก็มีตัวเองเป็นหลัก พึ่งพาตัวเองไม่เป็นหรือไง ต่อให้มีเสาหลักจริง เสาหลักนั้นก็ไม่ได้จะอยู่กับเราไปทั้งชีวิต เป็นที่ปรึกษาได้ แต่ไม่ได้จะให้เขาพึ่งพิงได้ตลอด มนุษย์เราควรที่จะพึ่งตัวเองให้ได้มากที่สุด และหัดคิดอะไรได้ด้วยตัวเองโดยไม่ต้องมีคนมาสอนทุกสิ่งอย่างว่าสิ่งนั้นดีหรือไม่ดี แยกแยะดีชั่วคนเราควรเรียนรู้ได้ด้วยตัวเอง มีแต่รู้แต่ไม่ทำ” ตุลาลุกขึ้นนั่งหลังตรง มือหยิบกระดาษทิชชู่อนามัยเช็ดแผ่นเจลบนหน้าออกอย่างยอมแพ้ ทุกครั้งเวลาสนทนาเรื่องไม่ได้ดั่งใจเป็นต้องออกงิ้วทุกที “แล้วสองแม่ลูกอยู่ไหนล่ะ ปกติเห็นตุนท์ต้องไปส่งเขาเข้านอน”

“เขาขึ้นนอนกับตัวเล็กแล้วครับ วันนี้ผมอ่านหนังสือเลยเวลาไปหน่อย” ตุนท์ไม่อยากยอมรับว่าในใจเขากำลังเกิดปัญหาขึ้น

หัวคิ้วเรียวเลิกขึ้นอย่างไม่เชื่อในคำพูด นางสาบานได้ว่าลูกชายที่นางเบ่งออกมานั้นกำลังโกหก ตุนท์โกหกก็จะทำแนบเนียน ใช้น้ำเสียงล้อเล่น ไม่ก็แสดงออกถึงความเล่ห์ร้ายเลย ไม่ใช่ท่าทางหมดอาลัยตายอยาก แม้แต่กิจวัตรที่ต้องส่งแม่ลูกเข้านอนซึ่งนางเห็นมาตลอดกลายเป็นสิ่งที่ถูกลืมไปได้

“มีปัญหาอะไรกัน”

“เปล่าครับ”

“โกหกแม่ไม่เนียนเลยตุนท์”

ตุนท์ยิ้มเพลีย ในใจไม่ได้ประหลาดกับการถูกมารดารู้ทัน “ผมไปนอนก่อนนะครับ”

ตุลานั่งกอดอก ไม่กระโตกกระตากกับท่าทางผิดปกติ หรือออกปากโพล่งถามออกไป นางรู้ว่าตุนท์จะนิ่ง ไม่ก็บ่ายเบี่ยง ถึงมีเรื่องไม่พอใจ หรือขุ่นข้องเกี่ยวกับนพมัลลีก็จะสงวนท่าที ไม่ทำให้นางขุ่นเคืองกับนพมัลลีได้ หลายครั้งที่นางรู้สึกว่าลูกชายรักนพมัลลีมากขนาดนี้ แต่อีกฝ่ายกลับแสดงออกได้ไม่ถึงครึ่งของตุนท์ หรือถึงเวลาที่จะกระตุ้นความรู้สึกของนพมัลลีบ้างแล้ว

นิ้วมือกรีดกรายไปยังแป้นโทรศัพท์ หน้าตาระลึกถึงหมายเลขโทรศัพท์บ้านของลินดาก่อนจะค่อยๆ กดลงไป

“สวัสดีค่ะคุณพี่ มีอะไรให้น้องรับใช้”

“นวลเพชรลูกเพื่อนหล่อน ที่ฉันเคยอุปการะค่าเล่าเรียนในโรงเรียนให้กลับมาจากต่างประเทศรึยัง”

“แต่ว่า...” คำอึกอักชักช้าไม่ได้ดังใจจำต้องเงียบลง เมื่อคนเป็นพี่สวนกลับมาอย่างรวดเร็ว

“กลับหรือไม่กลับ ไม่ต้องมาแต่อะไรให้มากความ”

“กลับมาได้สักพักแล้วค่ะคุณพี่”

“พรุ่งนี้ให้เขาเข้ามาที่บ้านเลยนะ”

“แต่ว่า...”

“เอ๊ะ นี่หล่อนจะให้ฉันทวงหนี้ที่หล่อนเคยยืมฉันไปหรือไง” ตุลาเอ็ดด้วยบุญคุณเก่าแต่ก่อนมี จนสุดท้ายลินดาจึงทำได้เพียงตอบรับเสียงอ่อย และรับปากว่าจะจัดการให้นางได้พบกับนวลเพชรในวันรุ่งขึ้นทันที



วันนี้ชาใสร้อนๆ ก็ยังตั้งรอเธออยู่บนโต๊ะอาหารในครัว นพมัลลีเข้ามาภายในครัวด้วยอาการที่ไม่รู้ว่าควรทักทายเขาก่อน หรือจะแย้มยิ้มให้กับชายที่กำลังก้มหน้าอ่านหนังสือพิมพ์อยู่ดี

นพมัลลีจงใจเลื่อนเก้าอี้เสียงดัง เรียกร้องความสนใจจากตุนท์ ซึ่งเธอทำสำเร็จ ปกติเป็นตุนท์ที่จะคอยถามไถ่ความเป็นไปของเธอเสมอ แต่วันนี้นอกจากเขาเงยหน้าขึ้นมายิ้มอย่างกับว่าเพิ่งรู้ว่าเธอมา เขาก็ไม่ทำอย่างอื่น นอกจากเก็บหนังสือพิมพ์ และจิบกาแฟไปเงียบๆ

ความอึดอัดก่อตัวในใจนพมัลลีราวกับเป็นคลื่นใต้น้ำ เธอรู้สึกอยากให้ตุนท์สนใจตัวเธอเหมือนที่ผ่านมา เขาเคยทักเธอก่อนอย่างไรวันนี้ก็ควรจะทำอย่างนั้น หรือเขาโกรธที่เธอปฏิเสธคำขอแต่งงาน เขาจะไม่เห็นแก่ตัวไปเหรอ ด้วยเรื่องนั้นไหนปากเขาบอกว่าเข้าใจ

“พี่ตุนท์คะ”

ก่อนที่นพมัลลีจะทันได้ถามถึงปัญหาในใจตุนท์อย่างจริงจัง เสียงเรียกหวานของผู้หญิงแปลกหน้าคนหนึ่งก็ก้าวมาหยุดเพิ่มพื้นที่ในครัว ผู้หญิงผมยาว หน้าตาเรียวแหลม ปากแดงจัดยิ้มอวดเขี้ยวตรงมุมปาก ผ่านร่างผู้หญิงที่ตัวกำลังหดเล็กไม่มีใครสนใจ นพมัลลีตากว้างขึ้นเมื่อผู้หญิงชุดสีแดงเดินอ้อมไปหยุดอยู่เบื้องหลังตุนท์ ใช้วงแขนโอบรอบคอเขา และก้มลงจรดผิวแก้มไร้ขนหนวด จงใจเน้นย้ำทิ้งรอยลิปสติกสีแดง มีการปรายตาขึ้นมองนพมัลลีด้วยประกายตาวาววับที่เธออ่านไม่ออก คล้ายว่ากำลังท้าทายความอดทนของเธออยู่ในที

มือบอบบางกำหูแก้วกระเบื้องบรรจุชาร้อนไว้แน่น ในใจตีรวน เธอไม่รู้ว่าวันสงบสุข วันไร้คลื่นลมยามเธออยู่เคียงข้างตุนท์มันหายไปไหน ถึงตุนท์จะพยายามเบี่ยงหน้าหลบ และแสดงออกว่าไม่พอใจ เธอก็รู้สึกว่าเขายังแสดงความไม่พอใจออกมาไม่พอ

“โอ๊ย” นพมัลลีหลุดเสียงร้องเมื่อมือของเธอเกินทานทนชาร้อนที่กระฉอกออกมาครึ่งแก้วได้ หญิงสาววางแก้ว สะบัดมือที่เริ่มเห่อแดงจากน้ำร้อนลวกไปมา และเธอก็นึกกระหยิ่มในใจกับเงาสูงที่ลุกมาหยุดอยู่ข้างเธออย่างรวดเร็ว ฝ่ามือของตุนท์จับมือเธอไปพลิกดูอย่างเป็นห่วง เธอลืมเจ็บไปชั่วขณะ อาศัยช่วงที่ตุนท์กำลังวิ่งหาน้ำแข็งในตู้เย็นมาประคบให้ หันไปมองหน้าหญิงแปลกหน้าที่นั่งอยู่บนที่นั่งเก่าของตุนท์ นิ้วเรียวยาวแตะไปบนแก้มตัวเอง สีหน้าสะใจ

นพมัลลีกัดฟันกรอด ตอนที่ตุนท์โผล่หน้ามีลิปสติกติดแก้มมาเผชิญหน้ากัน ปากเธอก็บึ้งเป็นสระอิ แต่ตุนท์กลับเข้าใจไปอีกอย่าง

“เจ็บมากเหรอลี”

ปากยิ่งคว่ำบอกบุญไม่รับ คนที่เคยอารมณ์มั่นคงถูกกวนอารมณ์ให้ขุ่นคลั่กโดยง่ายเพียงเพราะรอยลิปสติกจากผู้หญิงที่ไหนก็ไม่รู้ที่สวยกว่า ดูดีกว่า ดูรวยกว่า และดูคู่ควรกับเขามากกว่าเธอ นพมัลลีรับไม่ได้กับการปรากฏตัวของผู้หญิงคนนี้ ในช่วงที่ตุนท์กำลังไม่เข้าใจเธอ

“ตุนท์คะ” ชายที่กำลังประคบน้ำแข็งบนหลังฝ่ามือแดงให้เธอก้มหน้าลงมามอง ดวงตาที่คลางแคลงตลอดเมื่อคืนเหลือเพียงตุนท์ที่กำลังห่วงเธอ หญิงสาวฮึดให้กำลังใจตัวเอง ดึงกระดาษทิชชู่ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมาแผ่นหนึ่ง เริ่มเช็ดรอยลิปสติกให้ด้วยมือข้างที่ไม่เจ็บ ดวงตาสองคู่สบกัน ดวงตาที่คล้ายว่ากำลังยิ้มยินดีกับบางสิ่งที่เธอไม่รู้ว่าด้วยเรื่องอะไร และก่อนที่ใครจะทันรู้ตัว ตุนท์ก็โฉบหน้าลงมาทิ้งสัมผัสอุ่นแต่หวามในใจบริเวณผิวแก้มข้างเดียวกับที่เขาถูกทิ้งรอยลิปสติกมา

“หึงเหรอ” ตุนท์ถามแต่ไม่ได้ต้องการคำตอบเมื่อเธอเอาแต่ก้มหน้า ปิดปากสนิท และตอนนั้นเองที่ตุนท์ลอบชูนิ้วโป้งชมเชยให้กับนวลเพชรซึ่งกำลังปิดปากหัวเราะคิกอย่างสนุกสนาน

.................................................
ขอโทษที่หายไปหลายวันค่า เสาร์ที่ผ่านมาไปงานหนังสือ วันอาทิตย์ก็ไปงานแต่ง ไม่มีเวลาเขียนต่อเลย วันนี้ได้ฤกษ์เขียนต่อสักที ฮา มีใครไปงานหนังสือบ้างแล้วคะ ได้หนังสือกันคนละกี่เล่มเอ่ย ออมนี่ตัวเบาเลย แทบจะลอยกลับบ้าน ไม่รู้ว่าลอยเพราะฟินได้หนังสือ หรือลอยเพราะตัวเบาไร้มันนี่ ฮา

คุณ konhin นพมัลลีไม่อยากข้องแวะ แต่วากูรกำลังไม่ยอมเนี่ยสิคะ

คุณ ร้อยวจี ขอโทษที่หายไปนะคะ ตอนใหม่ห่างจากตอนเดิมหลายวันเลย ตอนที่แล้วตัวเล็กเริ่มเข้าใจ ตอนนี้เป็นตุนท์บ้างแล้วที่ไม่เข้าใจนะคะ ฮา

คุณ ผักหวาน ชีวิตสองแม่ลูกเกิดมาชีวิตก็ดราม่าทั้งคู่เลยค่ะ

คุณ aliitledog ตอนนี้คมิกยังไม่เปิดฉากทะเลาะกับตัวเล็กนะคะ พี่ท่านยังไม่รับแขก ตอนหน้าพาคมิกออกมาหาตัวเล็กแน่นอน ^^

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ ตัวเล็กอ้าแขนให้กอดค่า อิอิ

คุณ กาซะลองพลัดถิ่น วากูรเป็นคนที่ไม่ควรเป็นพ่อใครเนอะคะ ดูจากตอนนี้แล้ววากูรไม่มีทางปล่อยลีกับตัวเล็กแน่นอน แต่ต้องมาดูว่าสองแม่ลูกเขาจะผ่านมารผจญอย่างวากูรไปได้ยังไงนะคะ

คุณ violette คมิกเดี๋ยวตอนหน้าก็โผล่นะคะ มาพร้อมครอบครัวนพมัลลีเลย จะเกิดเรื่องอะไรอีกไหมต้องติดตามค่ะ ^^

ขอบคุณทุกความคิดเห็น ทุกคนที่เข้ามาอ่าน และกดถูกใจนะคะ ขอให้อ่านให้สนุกนะคะ ^_^



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 มี.ค. 2558, 16:13:05 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 มี.ค. 2558, 16:13:05 น.

จำนวนการเข้าชม : 1478





<< บทที่ 25 : แฉกลางงาน   บทที่ 27 : เจรจาภายในครอบครัว >>
ร้อยวจี 30 มี.ค. 2558, 17:05:16 น.
ชีวิต ทำไมสับสนวุ่นวายปานนี้


ภัทรภิญญ์ 30 มี.ค. 2558, 18:28:33 น.
ชีวิตดราม่าจนอยากจะร้องไห้ เรื่องนู้นเรื่องนี้เข้ามาเยอะแยะเลย
โอ๊ยย แบบน้องออมทำสำเร็จนะ พี่ปั่นนิยายต่อได้มากเลย แต่การบ้านไม่เสร็จ นั่งทำตอนเช้า มันไม่ดีนะ 55


ผักหวาน 30 มี.ค. 2558, 20:30:16 น.
จะบอกว่า ทั้งเรื่องชอบคุณตุลามากที่สุดค่ะ ชอบคำพูดของคุณตุลาเอาซะจริงๆ

นี่ล่ะที่เรียกว่า อาบน้ำร้อนมาก่อน


กาซะลองพลัดถิ่น 30 มี.ค. 2558, 21:47:31 น.
เฮ้อ... กว่าจะผ่านไปได้แต่ละด่าน กว่าจะเจอคำว่า ความสุข มันช่างยากเย็นซะเหลือเกินเนอะนางเอกเรื่องนี้
แต่ก็ยังดีที่แอบมีมุมหวานนิด ๆ จากการชงของแม่ตุลา เลยไม่ถึงกับขมมากไป ....
จะว่าไปชีวิต วากูร ก็เศร้าเหมือนกันเนอะ ....


violette 31 มี.ค. 2558, 00:27:13 น.
555 มีลองใจด้วยตุนท์เอ้ยย เดี๋ยวก็ต้องง้อแทน


นักอ่านเหนียวหนึบ 2 เม.ย. 2558, 21:37:47 น.
โอ้ยยยยยย หึงสิข่าาา


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account