บทเรียน (รัก) นอกตำรา
นพมัลลี นักศึกษาฝึกสอนที่จบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน
นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก
แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้
มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน
นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก
แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้
มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่
Tags: นพมัลลี ตุนท์ คมิก พิชญ์ปรีชา
ตอน: บทที่ 27 : เจรจาภายในครอบครัว
บทที่ 27
“ครูลี” นิลุบลวิ่งเข้ามาทักทายหลังจากที่ครูของเธอโทรมาบอกว่าจะมาที่โรงเรียนพิชญ์ปรีชา แต่น่าแปลกตรงที่นพมัลลีมากับนวมลลิ์ไม่มีเงาที่ชื่อตุนท์ตามมาด้วย และเพราะท่าทางคอยืดยาวที่ชะแง้มองไปข้างหลังของเธอคงสะดุดใจนพมัลลี
“ครูตุนท์เขาต้องดูแลแขกของบ้าน”
“แขก?” เด็กสาวทวนคำอย่างฉงน ดูจากสีหน้าที่แอบบึ้งตึงแม้จะพยายามเม้มปากไว้สุดกำลังก็ยังสังเกตได้โดยง่าย “ผู้หญิงเหรอคะ”
“จะผู้หญิงผู้ชายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับครูสักหน่อย”
นิลุบลพยักหน้าหงึกหงัก ถึงเธอไม่ใช่หมอก็วินิจฉัยอาการครูลีออกได้ “ครูหึงเหรอคะ”
“เอ๊ะ?” นพมัลลีคิดจะบริภาษลูกศิษย์สักหน่อย ข้อหาทำให้เธอนึกถึงตุนท์เรื่องเมื่อเช้านี้ที่บังอาจมาทักเธอ ใครกันหึง เธอก็แค่รู้สึกว่าเขาไม่เหมือนเดิม ทำไมเขามีอะไรในใจจึงไม่พูด หรือแค่เพราะเธอยังไม่ว่างแต่งงานให้เขาแค่นี้ตุนท์กลับไม่เข้าใจ
“ขอโทษค่ะครูลี ฉันก็แค่เป็นห่วงกลัวครูลีกับครูตุนท์มีปัญหากัน ครูตุนท์ออกจะดูแลครูดีมาตลอด ฉันยังเคยคิดเลยว่าผู้ชายอย่างครูตุนท์เนี่ยถ้ามีวางขายตามตลาดฉันจะเหมายกแผงเลย แล้วก็จะประคบประหงมอย่างดี”
“แล้วครูไม่ใส่ใจครูตุนท์ตรงไหน” หญิงสาวขมวดคิ้วคิดถึงสิ่งที่ตุนท์ต้องการ แต่คิดอย่างไรก็ยากจะนึกออก ที่ผ่านมาเธอแทบไม่ต้องทำอะไร แค่อยู่เฉยๆ ตุนท์ก็จะทำให้ทุกอย่าง
‘ผู้ชายเอาจริงๆ จะมีเหรอที่ไม่ระแวง มันต้องมีบ้างแหละ’ นพมัลลีนึกถึงประโยคที่ดิศเคยพูดกับเธอเมื่อคราวงานแต่งงานของวากูร หลังกลับมาถึงบ้านตุนท์จึงเริ่มมีอาการแปลกๆ หรือเพราะเขาระแวงเธอ
นพมัลลีพยายามหลายครั้งที่จะไม่คิดเรื่องของตุนท์ แต่ความล้มเหลวก็มักมาเยือน เมื่อคืนนี้เธอได้แต่ถามว่าเขาเป็นอะไร ทำไมถึงแปลกไป กว่าจะนอนหลับก็จวนจะเช้า ไหนจะเรื่องของนวลเพชร ผู้หญิงที่ดูจะถูกอกถูกใจคุณตุลาเหลือเกิน อาหารตอนเช้าจึงจัดให้นวลเพชรมานั่งข้างตุนท์ ซึ่งปกติเธอจะนั่งอยู่ตรงข้ามเขา และข้างเธอจะเป็นนวมลลิ์
แน่นอนว่าเธอเห็นแล้วก็มีแต่เพิ่มความหงุดหงิดจนต้องหาเรื่องออกมา แต่เขากลับไม่ได้สนใจใยดีเธอเลย ถามแค่ว่าจะไปไหน กลับเมื่อไหร่
นวมลลิ์วิ่งเล่นอยู่กับทวิชหน้าบ้านพัก นพมัลลีมองอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะใสๆ พอจะขจัดความขุ่นข้องในใจไปได้บ้าง เธอควรจัดการปัญหาในใจตัวเองไปทีละเปลาะ ให้ภาระมันหลุดพ้นจากตัวโดยเร็ว ก่อนสมองของเธอจะรวน และหัวใจจะทำงานหนักมากกว่านี้
ภาพครอบครัวที่เคยทำร้ายเธอมาแต่เด็ก ไม่เว้นแม้แต่ลุงที่เธอเคยคิดว่ามีเขาคนเดียวที่เข้าใจเธอจริงๆ ก็ยังทำกับเธอแต่เริ่ม ฉวยโอกาสกลับมาเล่นงานความรู้สึกยามเธออ่อนแอทุกครั้ง หญิงสาวสูดลมหายใจช้าๆ ย่างก้าวตรงเข้าไปในบ้านที่แธอรับรู้มาว่ามัลลิยาใช้อาศัยชั่วคราว เพื่อจะได้เดินทางไปหาหมอได้สะดวกในกรุงเทพฯ นี้ พยาบาลที่เธอจ้างมาดูแลมัลลิยาก็ยังอยู่ และเลี่ยงออกมาอย่างรู้งานเมื่อเธอเข้ามาในบ้าน
“แม่ลีคะ”
“อยู่กับลุงทวิชก่อนนะคะตัวเล็ก เดี๋ยวตัวเล็กค่อยตามแม่ลีเข้าไปนะ” นพมัลลีย่อตัวบอกกับลูกสาวที่วิ่งมาจับมือเธอไว้ นวมลลิ์พยักหน้ารับก่อนจะออกไปหานิลุบลที่เอาขนมอบใหม่ๆ มายั่ว
ทวิชยืนลังเลด้วยไม่รู้ว่าควรก้าวเข้ามาในบ้านที่นพมัลลีกำลังจะก้าวเข้าไปด้วยดีหรือไม่ “เข้ามาสิคะลุง ฉันอยากคุยกับทุกๆ คนแบบพร้อมหน้า พวกเราไม่ได้คุยพร้อมหน้ากันนานแล้วนะคะ”
และอาจถือเป็นครั้งแรกที่คุยกันด้วยปัญหาครอบครัวอย่างจริงจังในชีวิตของเธอ
เสียงคลิกเม้าส์ดังขึ้นภายในห้องมืดทึม ปิดม่านมืดตลอดสี่ด้าน เด็กหนุ่มไล่สายตาอ่านข่าวผ่านโลกอินเตอร์เน็ต พบว่าข่าวช่วงนี้ที่ขึ้นตามหน้าหนังสือพิมพ์จะเกี่ยวข้องกับวงการยาเสพติดที่ตำรวจออกจับได้ หลายครอบครัวเริ่มหนีไปกบดานที่ต่างประเทศ และบางส่วนก็ถูกพบเป็นศพ
เด็กหนุ่มแผ่นหลังเย็นวาบ หน้าตาไร้สีเลือด รู้สึกตัวเองเป็นสาเหตุจากความไม่ระวัง และอารมณ์ชั่ววูบถึงผลักดันให้คนที่มีอยู่ในรายชื่อของพ่อ และครอบครัวพวกเขาเริ่มประสบเคราะห์กรรม ไม่ว่าพวกเขาจะดีเลวอย่างไร กฎหมายควรให้ความยุติธรรมกับพวกเขาด้วยการให้มีโอกาสสารภาพผิด คมิกปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เสนอข่าวการตายของแม่ลูกเศรษฐีอย่างปริศนาในบ้านลง เขาหลับตาสงบสติอารมณ์พลุ่งพล่านในอก ความรู้สึกผิดกัดกร่อนใจเขา เขาอาจไม่รู้จักคนเหล่านั้น แต่ก็เชื่อว่าเด็กและผู้หญิงในภาพข่าวคือคนบริสุทธิ์ที่คงถูกใครสักพวกในวงการของสามีตามเก็บ
แล้วพ่อล่ะ? ในใจคมิกยิ่งหนาวเหน็บ เด็กหนุ่มซูบผอมลงเรื่อยๆ เพราะทานอะไรไม่ได้ต้องอาเจียนออกด้วยความเครียดรุมเร้า เขากังวลว่าพ่อจะเป็นอะไรไปอีกคน
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสองครั้งก่อนเปิดเข้ามา ตุนท์เข้ามาเห็นเด็กหนุ่มนั่งกอดเข่าไม่รู้สึกถึงการมาเยือนของเขา ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ วางมือไปบนไหล่ที่เล็กลู่ไม่เหลือความอวดเบ่งเก่งกล้าอีกแล้ว คนสนิทของคมน์ก็ออกไปตามหาข่าวอยู่ข้างนอกหลายวันแล้ว เขาไม่รู้ว่ารายนั้นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
“อดทนหน่อยนะ ทุกอย่างจะต้องผ่านไป ตอนนี้แค่รอเวลา”
“เวลาอะไรครับ” คมิกเงยหน้าขึ้นมาถาม ดวงตาฉายแสงของความเหนื่อยล้าออกมา “ผมเป็นสาเหตุให้คนหลายคนต้องตาย”
“เวลาที่ทุกอย่างจะสงบลงกว่านี้”
“ผมอยากเจอพ่อ”
ความอ้างว้าง เหงา และรู้สึกผิดเป็นสิ่งที่คมิกถ่ายทอดออกมาจนตุนท์สัมผัสได้อย่างเข้มข้น วันนี้เขาไม่ได้ไปกับนพมัลลีก็เพราะว่าติดธุระสำคัญ ที่สำคัญกว่าคือเขาต้องการกันนพมัลลีออกจากปัญหาอันตรายที่คมิกและพ่อกำลังเผชิญ ถ้าเขาเป็นคนเห็นแก่ตัวมากกว่านี้เขาก็คงยืนออกมาห่างๆ ไม่ทำอะไร แต่นี่เขาอยู่เฉยไม่ได้ เพราะยื่นมือช่วยไปแต่แรก เขาก็ต้องจัดการให้ถึงวันสุดท้ายของเรื่องวุ่น ปล่อยให้นพมัลลีเครียดว่าเขาน้อยใจ ไม่สนใจ ระแวงนวลเพชรฆ่าเวลาเล่นไปยังจะดีกว่าอยู่กับเขาในตอนนี้แน่
“เจอแล้วจะช่วยอะไรเขาได้”
คมิกสีหน้าสลดมากขึ้น เด็กหนุ่มรู้สึกตัวเองเป็นเพียงเด็กที่ยังไม่โต ไม่มีหัวคิดจึงได้ทำอะไรลงไปจนเรื่องเลยเถิดมาในวันนี้ “ผมยอมตายแทนพ่อ”
“เธอก็รู้ใช่ไหมถ้าตำรวจเขาสาวจนรู้ความจริงหมด อย่างน้อยพ่อของเธอก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในคุก อาจจะตลอดชีวิตที่เหลือ” ตุนท์พูดอย่างใจเย็น “ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่พ่อของเธอต้องการ เขารู้ว่าถึงเขาจะเข้าไปในคุก เธอก็จะยังตกอยู่ในอันตรายอยู่ดี”
คนฟังไม่ได้โง่ขนาดตีความไม่ออกว่าที่ครูบอกมานั้นกำลังหมายถึงอะไร “พ่อผมยอมตายใช่ไหมครู” คมิกตัวสั่น แต่เสียงกลับสั่นกว่า ประกายตากร้าวดุร้าย “ผมไม่ยอม ผมจะไม่มีวันไปหาพ่อ ไม่ยอมให้พ่อตายเด็ดขาด”
“วันนี้ ถ้าเธอไม่ไปเธออาจจะไม่มีโอกาสพบพ่ออีก”
“ผมไม่เชื่อ”
ตุนท์ส่งจดหมายที่คมน์ฝากมากับญาติเขาให้กับคมิก เด็กหนุ่มยื่นมือมารับด้วยความหวาดระแวง นัยน์ตากำลังเอ่อไปด้วยหยาดน้ำเมื่อรู้ว่าไม่ช้าไม่เร็ว พ่อจะจากตนไป ไม่มีทางที่เขาจะนอนหลับได้สนิทไปตลอดชีวิต
เด็กหนุ่มลังเลชั่วขณะ แต่เมื่อรู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะถ่วงเวลาต่อไปจึงเลือกเปิดอ่าน สายตาไล่ตามเนื้อหาในจดหมายที่มีลายมือตัวหวัดไร้หัวว่าเป็นพ่อเขาเขียนจริงๆ
‘คมิก...มาพบพ่อที่... พ่ออยากพบลูกมากนะ รักษาตัวลูกด้วย’ สถานที่กลางเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนคือที่นัดหมายที่พ่อเขาระบุไว้ วันที่ถูกเขียนไว้ตรงท้ายกระดาษ ซึ่งก็ตรงกับวันนี้ คมิกนั่งกอดเข่า หน้าตาเหม่อลอย เขาคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไม่ได้เลย รู้แค่ว่าสังหรณ์ในใจเขากำลังทำงานในด้านลบ กำลังล่อลวงเขาให้ตกลงไปในหลุมของความกลัว
“ไปไหมคมิก”
“พ่อผมรออยู่ ผมก็ต้องไปครับ” คมิกบอกอย่างตัดสินใจ
บรรยากาศที่เคยเคร่งเครียด อึดอัดยามทุกครั้งที่นพมัลลีกลับมาบ้านเพื่อพบคนในครอบครัว วันนี้เบาบางลง แต่ก็ยังอยู่ในภาวะตึงๆ อย่างที่พ่อและแม่นั่งกันคนละมุมห้อง หญิงสาวยกมือไหว้พวกผู้ใหญ่ ก่อนจะเดินมานั่งลงตรงที่นั่งว่างอีกหนึ่งที่ซึ่งชิดกันกับที่นั่งของมัลลิยา พี่สาวของเธอกำลังเมินหน้าไปทางอื่นด้วยไม่สบอารมณ์ทันทีที่เห็นหน้าเธอ
“ฉันตั้งใจอยู่ที่นี่อีกไม่นานหรอกนะ จนพ้นระยะอันตรายช่วงเสี่ยงนี้ไปได้ ฉันก็จะไปทันที”
“พี่ยาอยู่ไปได้เลยไม่ต้องกังวลนะคะ” นพมัลลีขยับตัวเล็กน้อย ก่อนเริ่มเรื่องสำคัญ “ฉันอยากขออนุญาตพี่ยาอีกอย่างหนึ่ง เรื่องของตัวเล็กน่ะค่ะ”
“เรื่องอะไร เธอจะต่อว่าฉันใช่ไหม!” มัลลิยาตะคอกเสียงดัง แต่ก็ทำได้แค่นั้นเมื่อน้องนอกไส้ของเธอกลับยิ้มใจเย็น ไม่ปั้นปึ่งเย็นชาอย่างที่แล้วมา
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันแค่อยากขออนุญาตพี่ยากับพี่ริท ให้ตัวเล็กเรียกพี่ทั้งสองว่าพ่อแม่เหมือนเดิม”
“ทำไม?” คนที่เคยร้าย และหวังเลี้ยงดูลูกสาวคนอื่นมาตลอดหลุดถามเสียงแผ่ว หน้าตาเหลือเชื่อ หลายครั้งที่ทะเลาะกันด้วยเรื่องของนวมลลิ์ นพมัลลีจะแสดงท่าทีกร้าวแข็งไม่ยอมเสมอ แต่เธอก็เพิ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายมีโอกาสที่จะบอกลูกเสมอถึงความจริง แต่เลือกเก็บงำไว้เพราะไม่อยากให้ลูกสับสน กระทั่งนวมลลิ์อายุถึงเจ็ดขวบ มัลลิยาดวงตาทอแสงอ่อนลง ถ้าเธอย้อนเวลากลับได้เธอคงไม่คิดพาลูกหนีแม่ของเขาไปอเมริกา ไม่อย่างนั้นนวมลลิ์จะต้องยังอยู่กับเธอ
“ตัวเล็กคิดถึงพวกพี่มากนะคะ”
“หนูมลไม่โกรธฉันเหรอ”
“ถึงพี่จะทำเขากลัว แต่ก็เทียบกับช่วงเวลาที่พี่ๆ เคยเลี้ยงแกมาตลอดเจ็ดปีไม่ได้หรอกนะคะ สิ่งที่ตัวเล็กจดจำมากกว่าคือสิ่งดีๆ ที่พวกพี่เคยทำให้เขา ตัวเล็กเขารับรู้ได้ ไม่เคยลืมค่ะ”
คนไม่ถูกลืมเริ่มเบะปาก น้ำตาร่วง เธอทำร้ายน้องสาวอย่างโหดร้ายมาแล้วครั้ง ยังคิดจะทำร้ายเขาด้วยการพรากลูกไป นพมัลลีเองกลับเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มไม่ถือสาได้
“แล้วเธอล่ะ ไม่เกลียดฉันเหรอ”
“สำหรับเรื่องในอดีต” นพมัลลีมองทุกคนที่อยู่ในห้องโถงบ้านพักนี้ ที่ไม่มีใครสักคนไม่เคยทำร้ายเธอด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เธออาจไม่ใช่พระธุดงค์ ไร้สิ้นความขุ่นข้องหมองใจ โกรธเกลียดอะไรไม่เป็น เพียงแต่เธอแยกแยะเรื่องราวนั้นได้ สิ่งใดผ่านไปแล้ว และควรทำอย่างไรชีวิตมันถึงจะดำเนินไปข้างหน้าอย่างปกติที่สุด และเจ็บปวดกันน้อยที่สุด “ฉันยอมรับว่าหลายๆ เรื่องฉันรับไม่ได้ ฉันไม่ปฏิเสธว่าในอดีตฉันโกรธมากที่พี่มาพาตัวเล็กไปจากฉัน ฉันโกรธมากที่ทุกคนในบ้านทำเหมือนฉันเป็นคนอื่นมาตลอด บ้านไม่เคยเป็นบ้าน และเพราะอย่างนั้นล่ะมั้งคะ ฉันเลยไม่ได้เจ็บปวดอะไรมากมาย ฉันไม่ต้องคาดหวังสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นในครอบครัวนัก”
ความจริงจากปากผู้ถูกกระทำมาตลอดชีวิตไม่ต่างจากมีดแหลมคมที่กรีดลงผู้กระทำกันอย่างถ้วนทั่ว ทุกคนทำได้แค่ปิดปากเงียบสนิท ไม่ขับขานสิ่งใดออกมาให้ดูแล้วไม่ต่างจากการแก่ต่างให้ตัวเอง
“ฉันจะเป็นยังไงทุกคนไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรอกค่ะ ขอแค่อย่ามองตัวเล็กเป็นสิ่งของที่ใครจะครอบครองได้ เขาเป็นเด็ก มีชีวิต ฉันไม่อยากให้ในใจของตัวเล็กมีปมที่ไม่มีวันแก้ได้หายเหมือนฉัน ฉันอยากจะมอบความรักให้เขา และหวังว่าทุกคนจะเอ็นดูเขาเหมือนที่เคยทำ สิ่งเดียวที่ฉันขอก็คือ ทุกคนรู้สึกผิดกับฉันมากเท่าไหร่ ขอให้ชดเขยเป็นความรักให้กับตัวเล็กมากเท่านั้น”
มะลิสะอึก นางไม่เคยคิดว่าลูกของนพยากับลวิณตราจะมีจิตใจแกร่ง แกร่งเสียยิ่งกว่าบุตรสาวของนางที่มีอะไรมากระทบกระเทือนจิตใจนิดหน่อยก็คล้ายว่าจะรักษาสติในร่างไว้ไม่ได้ ทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะพวกเขาทำร้ายเด็กคนนี้มาแต่เล็กสินะ ถ้าเกิดว่าเด็กคนนี้ลงเอยด้วยสิ่งอื่นแทนที่จะเติบโตขึ้นมาแกร่งขึ้น อาจกลายเป็นการเอามีดไล่ฆ่าพวกเขาด้วยความคั่งแค้น แน่นอนว่ามีหลายคดีที่มีให้เห็นอย่างนั้นในสังคม
“ฉันเองก็กำลังจะมีลูกของฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องไปแย่งลูกของใครอีก” มัลลิยาเบือนหน้าหนีอย่างรู้สึกผิด แต่ด้วยทิฐิที่มีอยู่ไม่น้อยทำให้ต้องเสยกเรื่องลูกในท้องออกมาพูดแทนคำว่าขอโทษ เป็นธริทที่ต้องเอ่ยปากขอโทษออกมาแทน
“ส่วนเรื่องของพวกคุณ” นพมัลลีมองมะลิ นพยา และทวิช ยามนี้เธอไม่รู้ว่าควรเรียกพวกเขาด้วยสรรพนามใดอีก ความสัมพันธ์ของคนรุ่นพ่อแม่ทำให้เธอสับสน แต่เมื่อใจสงบร่มขึ้น เธอรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเบาบางในชีวิต เมื่อพินิจดูมีใครเป็นพ่อเป็นแม่แล้วต่างจากปัจจุบันอย่างไร ทวิชก็ยังขึ้นชื่อว่าทอดทิ้ง นพยาและมะลิที่เลี้ยงดูเธอเองก็ไม่ต่างจากการทอดทิ้งเธอให้ตายทั้งเป็น
“ฉันไม่สนใจความจริงอะไรอีกแล้วค่ะ ไม่รู้ว่ารู้กับไม่รู้ชีวิตของฉันจะมีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม” นพมัลลีพูดอย่างเฉยชา แต่ดวงตาปราศจากความขุ่นข้อง “พ่อคะ” นพมัลลีมองนพยา ด้วยรอยยิ้มอ่อนจาง เห้นอาการเกร็ง และยืดตัวขึ้นของนพยาก็พอจะเข้าใจ “ขอบคุณที่ลำบากเลี้ยงดูฉันมาตลอด จากนี้ฉันก็จะยังทำตัวเหมือนเดิม แต่คงไม่มีสิทธิ์เรียกอาว่าพ่ออีกแล้ว สิ่งนี้คงทำให้อาสบายใจมากขึ้นใช่ไหมคะ ฉันน่าจะรู้ที่อาทำเหมือนไม่เต็มใจเวลาฉันอยู่ในบ้านเพราะอะไร ขอโทษที่ฉันรู้ช้านะคะอา”
นพยาอ้าปากคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อรับฟังเหตุผลของบุตรสาวครบถ้วน เขาได้แต่กล้ำกลืน และก้มหน้ายอมรับบทลงโทษที่พ่ออย่างเขาสมควรได้รับ โอกาสเป็นพ่อนพมัลลีเขามีมากกว่ายี่สิบห้าปี แต่ไม่เคยมีสักวันที่เขาจะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นลูกจริงๆ กระทั่งถึงวันที่สูญเสียไป และไม่มีโอกาสได้ยินคำว่าพ่ออีก นพมัลลีคงไม่รู้ว่าคำว่า ‘อา’ ทำให้เขาเจ็บปวดหัวใจหนักหน่วงยิ่งกว่าความหวาดระแวงที่ผ่านมาครึ่งชีวิตนี้
“แม่คะ” คนถูกเรียกสะบัดหน้าหนีไม่สบอารมณ์ นพมัลลีไม่ถือสา “ขอบคุณที่เลี้ยงดูฉันมาตลอด ฉันไม่มีวันลืมบุญคุณ ถ้าแม่ไม่อยากให้ฉันเรียกว่าแม่ แม่อยากให้ฉันเรียกว่าอะไรคะ”
“ฉันไม่ต้องการนับญาติกับเธอ” มะลิกล่าวอย่างโหดร้าย ก่อนจะลุกหนีออกไป ความรู้สึกผิด และความโกรธเกลียดตีกันในใจวุ่นวายไปหมด นางยอมรับว่าก่อนจะรู้ความจริงว่านพมัลลีเป็นลูกของนพยา นางไม่ได้เอ็นดูอะไรนพมัลลี แต่ก็ไม่เคยถึงขั้นเกลียด รู้สึกเฉยชา เหมือนความสัมพันธ์ระหว่างกันว่างเปล่า กระทั่งชาติกำเนิดของนพมัลลีคือสีดำหม่นในชีวิตของนาง นางยากจะให้อภัย ไม่ว่าจะคนพ่อหรือลูก หาว่านางใจแคบก็ได้
นพมัลลีหน้าชา แต่ยังดีที่รักษาสีหน้าราบเรียบไว้ได้ เธอหันไปมองคนสุดท้ายที่ยืนรออย่างมีความหวัง คนที่เธอรู้สึกโกรธมากที่สุดหลังจากรู้ทุกอย่าง
“ลุงคะ ฉันถนัดเรียกลุงว่าลุงแล้ว ลุงอย่าให้ฉันเปลี่ยนการเรียกเลยนะคะ”
ทวิชซ่อนสีหน้าผิดหวังไว้ไม่ได้ เขารู้ว่าการเรียกไม่ใช่ประเด็นหลัก ขนาดคนที่เธอเรียกพ่อยังเปลี่ยนมาเรียกอาได้อย่างทันที ยังไม่ใช่ปัญหา แต่กับเขาสิ่งที่เป็นปัญหาคือจิตใจที่ยังค้าน และไม่ยอมรับของนพมัลลีต่างหาก นี่สินะบทลงโทษที่ลวิณตราเหลือทิ้งไว้ให้เขา ในช่วงที่เขาทอดทิ้งนพมัลลีไป และใช้ชีวิตอย่างที่คิดว่าตัวเองมีความสุข
เพราะสุขจนลืมคนทางนี้ไป จากนี้เขาก็สมควรที่จะได้รับความทุกข์บ้างแล้ว ทวิชค่อยๆ คลี่ยิ้มยอมรับ “ลุงเข้าใจ ลุงจะเป็นลุงของลีไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ ลุงไม่ว่าหรอก”
“ขอเวลาให้ฉันนะคะลุง ให้ฉันได้มีเวลาปรับตัว”
นั่นก็ไม่ได้ดับความหวังในใจทวิชไปเสียทีเดียว...
..........................................................................
คุณ ร้อยวจี ทุกอย่างกำลังถูกตบให้ลงตัวนะคะ เรื่องกำลังคลายค่ะ เหลือปมหลักๆ อีกไม่กี่ปม
พี่ ลูกฟูก ออมเขียนเรื่องนี้ไมเกรนจะขึ้นอะค่ะ ฮา ถ้ารู้ว่าวิธีนี้ดีออมเขียนตอน พี่ฟูกก็เขียนตอนต่อได้ มาช่วยกันกระตุ้นให้ตัวเองเขียนเถอะเนอะ ปล.อย่าลืมทำการบ้านนะคะ ฮา ระดับพี่ฟูกสบายมากอยู่แล้ว สู้ๆ ค่ะ ^^
คุณ ผักหวาน ตุลาดูเป็นผู้ใหญ่ที่ได้เรื่องที่สุดในเรื่องนี้ ถึงคุณตุลาจะปากร้ายไปนิด(ไม่น้อย) แต่ก็สอนได้หลายคนค่ะ ^_^
คุณ กาซะลองพลัดถิ่น วากูรอาจน่าสงสารตรงที่ไม่มีโอกาสได้รู้ตั้งแต่แรกว่าตัวเองมีลูกนะคะ แต่ทุกอย่างที่ผ่านมาส่วนหนึ่งแกก็ทำตัวแกเองด้วย ต้องมาคอยดูว่าวากูรจะจบยังไง ส่วนลีนี่ยกให้เป็นนางเอกที่รันทดและแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาค่ะ
คุณ violette พอให้ตุนท์น้อยใจบ้างนี่ แววจะโดนลีงอนคืนนี่ลอยมาแต่ไกลเลยนะคะ ฮา
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน(รวมถึงนักอ่านเงา) ขอบคุณทุกความคิดเห็น และคนที่กดถูกใจนะคะ ขอให้อ่านสนุกน้า ^^
“ครูลี” นิลุบลวิ่งเข้ามาทักทายหลังจากที่ครูของเธอโทรมาบอกว่าจะมาที่โรงเรียนพิชญ์ปรีชา แต่น่าแปลกตรงที่นพมัลลีมากับนวมลลิ์ไม่มีเงาที่ชื่อตุนท์ตามมาด้วย และเพราะท่าทางคอยืดยาวที่ชะแง้มองไปข้างหลังของเธอคงสะดุดใจนพมัลลี
“ครูตุนท์เขาต้องดูแลแขกของบ้าน”
“แขก?” เด็กสาวทวนคำอย่างฉงน ดูจากสีหน้าที่แอบบึ้งตึงแม้จะพยายามเม้มปากไว้สุดกำลังก็ยังสังเกตได้โดยง่าย “ผู้หญิงเหรอคะ”
“จะผู้หญิงผู้ชายก็ไม่เกี่ยวอะไรกับครูสักหน่อย”
นิลุบลพยักหน้าหงึกหงัก ถึงเธอไม่ใช่หมอก็วินิจฉัยอาการครูลีออกได้ “ครูหึงเหรอคะ”
“เอ๊ะ?” นพมัลลีคิดจะบริภาษลูกศิษย์สักหน่อย ข้อหาทำให้เธอนึกถึงตุนท์เรื่องเมื่อเช้านี้ที่บังอาจมาทักเธอ ใครกันหึง เธอก็แค่รู้สึกว่าเขาไม่เหมือนเดิม ทำไมเขามีอะไรในใจจึงไม่พูด หรือแค่เพราะเธอยังไม่ว่างแต่งงานให้เขาแค่นี้ตุนท์กลับไม่เข้าใจ
“ขอโทษค่ะครูลี ฉันก็แค่เป็นห่วงกลัวครูลีกับครูตุนท์มีปัญหากัน ครูตุนท์ออกจะดูแลครูดีมาตลอด ฉันยังเคยคิดเลยว่าผู้ชายอย่างครูตุนท์เนี่ยถ้ามีวางขายตามตลาดฉันจะเหมายกแผงเลย แล้วก็จะประคบประหงมอย่างดี”
“แล้วครูไม่ใส่ใจครูตุนท์ตรงไหน” หญิงสาวขมวดคิ้วคิดถึงสิ่งที่ตุนท์ต้องการ แต่คิดอย่างไรก็ยากจะนึกออก ที่ผ่านมาเธอแทบไม่ต้องทำอะไร แค่อยู่เฉยๆ ตุนท์ก็จะทำให้ทุกอย่าง
‘ผู้ชายเอาจริงๆ จะมีเหรอที่ไม่ระแวง มันต้องมีบ้างแหละ’ นพมัลลีนึกถึงประโยคที่ดิศเคยพูดกับเธอเมื่อคราวงานแต่งงานของวากูร หลังกลับมาถึงบ้านตุนท์จึงเริ่มมีอาการแปลกๆ หรือเพราะเขาระแวงเธอ
นพมัลลีพยายามหลายครั้งที่จะไม่คิดเรื่องของตุนท์ แต่ความล้มเหลวก็มักมาเยือน เมื่อคืนนี้เธอได้แต่ถามว่าเขาเป็นอะไร ทำไมถึงแปลกไป กว่าจะนอนหลับก็จวนจะเช้า ไหนจะเรื่องของนวลเพชร ผู้หญิงที่ดูจะถูกอกถูกใจคุณตุลาเหลือเกิน อาหารตอนเช้าจึงจัดให้นวลเพชรมานั่งข้างตุนท์ ซึ่งปกติเธอจะนั่งอยู่ตรงข้ามเขา และข้างเธอจะเป็นนวมลลิ์
แน่นอนว่าเธอเห็นแล้วก็มีแต่เพิ่มความหงุดหงิดจนต้องหาเรื่องออกมา แต่เขากลับไม่ได้สนใจใยดีเธอเลย ถามแค่ว่าจะไปไหน กลับเมื่อไหร่
นวมลลิ์วิ่งเล่นอยู่กับทวิชหน้าบ้านพัก นพมัลลีมองอย่างมีความสุข เสียงหัวเราะใสๆ พอจะขจัดความขุ่นข้องในใจไปได้บ้าง เธอควรจัดการปัญหาในใจตัวเองไปทีละเปลาะ ให้ภาระมันหลุดพ้นจากตัวโดยเร็ว ก่อนสมองของเธอจะรวน และหัวใจจะทำงานหนักมากกว่านี้
ภาพครอบครัวที่เคยทำร้ายเธอมาแต่เด็ก ไม่เว้นแม้แต่ลุงที่เธอเคยคิดว่ามีเขาคนเดียวที่เข้าใจเธอจริงๆ ก็ยังทำกับเธอแต่เริ่ม ฉวยโอกาสกลับมาเล่นงานความรู้สึกยามเธออ่อนแอทุกครั้ง หญิงสาวสูดลมหายใจช้าๆ ย่างก้าวตรงเข้าไปในบ้านที่แธอรับรู้มาว่ามัลลิยาใช้อาศัยชั่วคราว เพื่อจะได้เดินทางไปหาหมอได้สะดวกในกรุงเทพฯ นี้ พยาบาลที่เธอจ้างมาดูแลมัลลิยาก็ยังอยู่ และเลี่ยงออกมาอย่างรู้งานเมื่อเธอเข้ามาในบ้าน
“แม่ลีคะ”
“อยู่กับลุงทวิชก่อนนะคะตัวเล็ก เดี๋ยวตัวเล็กค่อยตามแม่ลีเข้าไปนะ” นพมัลลีย่อตัวบอกกับลูกสาวที่วิ่งมาจับมือเธอไว้ นวมลลิ์พยักหน้ารับก่อนจะออกไปหานิลุบลที่เอาขนมอบใหม่ๆ มายั่ว
ทวิชยืนลังเลด้วยไม่รู้ว่าควรก้าวเข้ามาในบ้านที่นพมัลลีกำลังจะก้าวเข้าไปด้วยดีหรือไม่ “เข้ามาสิคะลุง ฉันอยากคุยกับทุกๆ คนแบบพร้อมหน้า พวกเราไม่ได้คุยพร้อมหน้ากันนานแล้วนะคะ”
และอาจถือเป็นครั้งแรกที่คุยกันด้วยปัญหาครอบครัวอย่างจริงจังในชีวิตของเธอ
เสียงคลิกเม้าส์ดังขึ้นภายในห้องมืดทึม ปิดม่านมืดตลอดสี่ด้าน เด็กหนุ่มไล่สายตาอ่านข่าวผ่านโลกอินเตอร์เน็ต พบว่าข่าวช่วงนี้ที่ขึ้นตามหน้าหนังสือพิมพ์จะเกี่ยวข้องกับวงการยาเสพติดที่ตำรวจออกจับได้ หลายครอบครัวเริ่มหนีไปกบดานที่ต่างประเทศ และบางส่วนก็ถูกพบเป็นศพ
เด็กหนุ่มแผ่นหลังเย็นวาบ หน้าตาไร้สีเลือด รู้สึกตัวเองเป็นสาเหตุจากความไม่ระวัง และอารมณ์ชั่ววูบถึงผลักดันให้คนที่มีอยู่ในรายชื่อของพ่อ และครอบครัวพวกเขาเริ่มประสบเคราะห์กรรม ไม่ว่าพวกเขาจะดีเลวอย่างไร กฎหมายควรให้ความยุติธรรมกับพวกเขาด้วยการให้มีโอกาสสารภาพผิด คมิกปิดหน้าจอคอมพิวเตอร์ที่เสนอข่าวการตายของแม่ลูกเศรษฐีอย่างปริศนาในบ้านลง เขาหลับตาสงบสติอารมณ์พลุ่งพล่านในอก ความรู้สึกผิดกัดกร่อนใจเขา เขาอาจไม่รู้จักคนเหล่านั้น แต่ก็เชื่อว่าเด็กและผู้หญิงในภาพข่าวคือคนบริสุทธิ์ที่คงถูกใครสักพวกในวงการของสามีตามเก็บ
แล้วพ่อล่ะ? ในใจคมิกยิ่งหนาวเหน็บ เด็กหนุ่มซูบผอมลงเรื่อยๆ เพราะทานอะไรไม่ได้ต้องอาเจียนออกด้วยความเครียดรุมเร้า เขากังวลว่าพ่อจะเป็นอะไรไปอีกคน
เสียงเคาะประตูห้องดังขึ้นสองครั้งก่อนเปิดเข้ามา ตุนท์เข้ามาเห็นเด็กหนุ่มนั่งกอดเข่าไม่รู้สึกถึงการมาเยือนของเขา ร่างสูงเดินเข้ามาใกล้ วางมือไปบนไหล่ที่เล็กลู่ไม่เหลือความอวดเบ่งเก่งกล้าอีกแล้ว คนสนิทของคมน์ก็ออกไปตามหาข่าวอยู่ข้างนอกหลายวันแล้ว เขาไม่รู้ว่ารายนั้นจะเป็นตายร้ายดีอย่างไร
“อดทนหน่อยนะ ทุกอย่างจะต้องผ่านไป ตอนนี้แค่รอเวลา”
“เวลาอะไรครับ” คมิกเงยหน้าขึ้นมาถาม ดวงตาฉายแสงของความเหนื่อยล้าออกมา “ผมเป็นสาเหตุให้คนหลายคนต้องตาย”
“เวลาที่ทุกอย่างจะสงบลงกว่านี้”
“ผมอยากเจอพ่อ”
ความอ้างว้าง เหงา และรู้สึกผิดเป็นสิ่งที่คมิกถ่ายทอดออกมาจนตุนท์สัมผัสได้อย่างเข้มข้น วันนี้เขาไม่ได้ไปกับนพมัลลีก็เพราะว่าติดธุระสำคัญ ที่สำคัญกว่าคือเขาต้องการกันนพมัลลีออกจากปัญหาอันตรายที่คมิกและพ่อกำลังเผชิญ ถ้าเขาเป็นคนเห็นแก่ตัวมากกว่านี้เขาก็คงยืนออกมาห่างๆ ไม่ทำอะไร แต่นี่เขาอยู่เฉยไม่ได้ เพราะยื่นมือช่วยไปแต่แรก เขาก็ต้องจัดการให้ถึงวันสุดท้ายของเรื่องวุ่น ปล่อยให้นพมัลลีเครียดว่าเขาน้อยใจ ไม่สนใจ ระแวงนวลเพชรฆ่าเวลาเล่นไปยังจะดีกว่าอยู่กับเขาในตอนนี้แน่
“เจอแล้วจะช่วยอะไรเขาได้”
คมิกสีหน้าสลดมากขึ้น เด็กหนุ่มรู้สึกตัวเองเป็นเพียงเด็กที่ยังไม่โต ไม่มีหัวคิดจึงได้ทำอะไรลงไปจนเรื่องเลยเถิดมาในวันนี้ “ผมยอมตายแทนพ่อ”
“เธอก็รู้ใช่ไหมถ้าตำรวจเขาสาวจนรู้ความจริงหมด อย่างน้อยพ่อของเธอก็ต้องใช้ชีวิตอยู่ในคุก อาจจะตลอดชีวิตที่เหลือ” ตุนท์พูดอย่างใจเย็น “ซึ่งนั่นไม่ใช่สิ่งที่พ่อของเธอต้องการ เขารู้ว่าถึงเขาจะเข้าไปในคุก เธอก็จะยังตกอยู่ในอันตรายอยู่ดี”
คนฟังไม่ได้โง่ขนาดตีความไม่ออกว่าที่ครูบอกมานั้นกำลังหมายถึงอะไร “พ่อผมยอมตายใช่ไหมครู” คมิกตัวสั่น แต่เสียงกลับสั่นกว่า ประกายตากร้าวดุร้าย “ผมไม่ยอม ผมจะไม่มีวันไปหาพ่อ ไม่ยอมให้พ่อตายเด็ดขาด”
“วันนี้ ถ้าเธอไม่ไปเธออาจจะไม่มีโอกาสพบพ่ออีก”
“ผมไม่เชื่อ”
ตุนท์ส่งจดหมายที่คมน์ฝากมากับญาติเขาให้กับคมิก เด็กหนุ่มยื่นมือมารับด้วยความหวาดระแวง นัยน์ตากำลังเอ่อไปด้วยหยาดน้ำเมื่อรู้ว่าไม่ช้าไม่เร็ว พ่อจะจากตนไป ไม่มีทางที่เขาจะนอนหลับได้สนิทไปตลอดชีวิต
เด็กหนุ่มลังเลชั่วขณะ แต่เมื่อรู้ว่าเปล่าประโยชน์ที่จะถ่วงเวลาต่อไปจึงเลือกเปิดอ่าน สายตาไล่ตามเนื้อหาในจดหมายที่มีลายมือตัวหวัดไร้หัวว่าเป็นพ่อเขาเขียนจริงๆ
‘คมิก...มาพบพ่อที่... พ่ออยากพบลูกมากนะ รักษาตัวลูกด้วย’ สถานที่กลางเมืองที่เต็มไปด้วยผู้คนคือที่นัดหมายที่พ่อเขาระบุไว้ วันที่ถูกเขียนไว้ตรงท้ายกระดาษ ซึ่งก็ตรงกับวันนี้ คมิกนั่งกอดเข่า หน้าตาเหม่อลอย เขาคาดเดาสิ่งที่จะเกิดขึ้นต่อจากนี้ไม่ได้เลย รู้แค่ว่าสังหรณ์ในใจเขากำลังทำงานในด้านลบ กำลังล่อลวงเขาให้ตกลงไปในหลุมของความกลัว
“ไปไหมคมิก”
“พ่อผมรออยู่ ผมก็ต้องไปครับ” คมิกบอกอย่างตัดสินใจ
บรรยากาศที่เคยเคร่งเครียด อึดอัดยามทุกครั้งที่นพมัลลีกลับมาบ้านเพื่อพบคนในครอบครัว วันนี้เบาบางลง แต่ก็ยังอยู่ในภาวะตึงๆ อย่างที่พ่อและแม่นั่งกันคนละมุมห้อง หญิงสาวยกมือไหว้พวกผู้ใหญ่ ก่อนจะเดินมานั่งลงตรงที่นั่งว่างอีกหนึ่งที่ซึ่งชิดกันกับที่นั่งของมัลลิยา พี่สาวของเธอกำลังเมินหน้าไปทางอื่นด้วยไม่สบอารมณ์ทันทีที่เห็นหน้าเธอ
“ฉันตั้งใจอยู่ที่นี่อีกไม่นานหรอกนะ จนพ้นระยะอันตรายช่วงเสี่ยงนี้ไปได้ ฉันก็จะไปทันที”
“พี่ยาอยู่ไปได้เลยไม่ต้องกังวลนะคะ” นพมัลลีขยับตัวเล็กน้อย ก่อนเริ่มเรื่องสำคัญ “ฉันอยากขออนุญาตพี่ยาอีกอย่างหนึ่ง เรื่องของตัวเล็กน่ะค่ะ”
“เรื่องอะไร เธอจะต่อว่าฉันใช่ไหม!” มัลลิยาตะคอกเสียงดัง แต่ก็ทำได้แค่นั้นเมื่อน้องนอกไส้ของเธอกลับยิ้มใจเย็น ไม่ปั้นปึ่งเย็นชาอย่างที่แล้วมา
“ไม่ใช่ค่ะ ฉันแค่อยากขออนุญาตพี่ยากับพี่ริท ให้ตัวเล็กเรียกพี่ทั้งสองว่าพ่อแม่เหมือนเดิม”
“ทำไม?” คนที่เคยร้าย และหวังเลี้ยงดูลูกสาวคนอื่นมาตลอดหลุดถามเสียงแผ่ว หน้าตาเหลือเชื่อ หลายครั้งที่ทะเลาะกันด้วยเรื่องของนวมลลิ์ นพมัลลีจะแสดงท่าทีกร้าวแข็งไม่ยอมเสมอ แต่เธอก็เพิ่งสังเกตว่าอีกฝ่ายมีโอกาสที่จะบอกลูกเสมอถึงความจริง แต่เลือกเก็บงำไว้เพราะไม่อยากให้ลูกสับสน กระทั่งนวมลลิ์อายุถึงเจ็ดขวบ มัลลิยาดวงตาทอแสงอ่อนลง ถ้าเธอย้อนเวลากลับได้เธอคงไม่คิดพาลูกหนีแม่ของเขาไปอเมริกา ไม่อย่างนั้นนวมลลิ์จะต้องยังอยู่กับเธอ
“ตัวเล็กคิดถึงพวกพี่มากนะคะ”
“หนูมลไม่โกรธฉันเหรอ”
“ถึงพี่จะทำเขากลัว แต่ก็เทียบกับช่วงเวลาที่พี่ๆ เคยเลี้ยงแกมาตลอดเจ็ดปีไม่ได้หรอกนะคะ สิ่งที่ตัวเล็กจดจำมากกว่าคือสิ่งดีๆ ที่พวกพี่เคยทำให้เขา ตัวเล็กเขารับรู้ได้ ไม่เคยลืมค่ะ”
คนไม่ถูกลืมเริ่มเบะปาก น้ำตาร่วง เธอทำร้ายน้องสาวอย่างโหดร้ายมาแล้วครั้ง ยังคิดจะทำร้ายเขาด้วยการพรากลูกไป นพมัลลีเองกลับเดินเข้ามาพร้อมรอยยิ้มไม่ถือสาได้
“แล้วเธอล่ะ ไม่เกลียดฉันเหรอ”
“สำหรับเรื่องในอดีต” นพมัลลีมองทุกคนที่อยู่ในห้องโถงบ้านพักนี้ ที่ไม่มีใครสักคนไม่เคยทำร้ายเธอด้วยสายตาที่ว่างเปล่า เธออาจไม่ใช่พระธุดงค์ ไร้สิ้นความขุ่นข้องหมองใจ โกรธเกลียดอะไรไม่เป็น เพียงแต่เธอแยกแยะเรื่องราวนั้นได้ สิ่งใดผ่านไปแล้ว และควรทำอย่างไรชีวิตมันถึงจะดำเนินไปข้างหน้าอย่างปกติที่สุด และเจ็บปวดกันน้อยที่สุด “ฉันยอมรับว่าหลายๆ เรื่องฉันรับไม่ได้ ฉันไม่ปฏิเสธว่าในอดีตฉันโกรธมากที่พี่มาพาตัวเล็กไปจากฉัน ฉันโกรธมากที่ทุกคนในบ้านทำเหมือนฉันเป็นคนอื่นมาตลอด บ้านไม่เคยเป็นบ้าน และเพราะอย่างนั้นล่ะมั้งคะ ฉันเลยไม่ได้เจ็บปวดอะไรมากมาย ฉันไม่ต้องคาดหวังสิ่งดีๆ ที่จะเกิดขึ้นในครอบครัวนัก”
ความจริงจากปากผู้ถูกกระทำมาตลอดชีวิตไม่ต่างจากมีดแหลมคมที่กรีดลงผู้กระทำกันอย่างถ้วนทั่ว ทุกคนทำได้แค่ปิดปากเงียบสนิท ไม่ขับขานสิ่งใดออกมาให้ดูแล้วไม่ต่างจากการแก่ต่างให้ตัวเอง
“ฉันจะเป็นยังไงทุกคนไม่จำเป็นต้องใส่ใจหรอกค่ะ ขอแค่อย่ามองตัวเล็กเป็นสิ่งของที่ใครจะครอบครองได้ เขาเป็นเด็ก มีชีวิต ฉันไม่อยากให้ในใจของตัวเล็กมีปมที่ไม่มีวันแก้ได้หายเหมือนฉัน ฉันอยากจะมอบความรักให้เขา และหวังว่าทุกคนจะเอ็นดูเขาเหมือนที่เคยทำ สิ่งเดียวที่ฉันขอก็คือ ทุกคนรู้สึกผิดกับฉันมากเท่าไหร่ ขอให้ชดเขยเป็นความรักให้กับตัวเล็กมากเท่านั้น”
มะลิสะอึก นางไม่เคยคิดว่าลูกของนพยากับลวิณตราจะมีจิตใจแกร่ง แกร่งเสียยิ่งกว่าบุตรสาวของนางที่มีอะไรมากระทบกระเทือนจิตใจนิดหน่อยก็คล้ายว่าจะรักษาสติในร่างไว้ไม่ได้ ทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะพวกเขาทำร้ายเด็กคนนี้มาแต่เล็กสินะ ถ้าเกิดว่าเด็กคนนี้ลงเอยด้วยสิ่งอื่นแทนที่จะเติบโตขึ้นมาแกร่งขึ้น อาจกลายเป็นการเอามีดไล่ฆ่าพวกเขาด้วยความคั่งแค้น แน่นอนว่ามีหลายคดีที่มีให้เห็นอย่างนั้นในสังคม
“ฉันเองก็กำลังจะมีลูกของฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องไปแย่งลูกของใครอีก” มัลลิยาเบือนหน้าหนีอย่างรู้สึกผิด แต่ด้วยทิฐิที่มีอยู่ไม่น้อยทำให้ต้องเสยกเรื่องลูกในท้องออกมาพูดแทนคำว่าขอโทษ เป็นธริทที่ต้องเอ่ยปากขอโทษออกมาแทน
“ส่วนเรื่องของพวกคุณ” นพมัลลีมองมะลิ นพยา และทวิช ยามนี้เธอไม่รู้ว่าควรเรียกพวกเขาด้วยสรรพนามใดอีก ความสัมพันธ์ของคนรุ่นพ่อแม่ทำให้เธอสับสน แต่เมื่อใจสงบร่มขึ้น เธอรู้สึกได้ว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องเบาบางในชีวิต เมื่อพินิจดูมีใครเป็นพ่อเป็นแม่แล้วต่างจากปัจจุบันอย่างไร ทวิชก็ยังขึ้นชื่อว่าทอดทิ้ง นพยาและมะลิที่เลี้ยงดูเธอเองก็ไม่ต่างจากการทอดทิ้งเธอให้ตายทั้งเป็น
“ฉันไม่สนใจความจริงอะไรอีกแล้วค่ะ ไม่รู้ว่ารู้กับไม่รู้ชีวิตของฉันจะมีอะไรเปลี่ยนไปจากเดิม” นพมัลลีพูดอย่างเฉยชา แต่ดวงตาปราศจากความขุ่นข้อง “พ่อคะ” นพมัลลีมองนพยา ด้วยรอยยิ้มอ่อนจาง เห้นอาการเกร็ง และยืดตัวขึ้นของนพยาก็พอจะเข้าใจ “ขอบคุณที่ลำบากเลี้ยงดูฉันมาตลอด จากนี้ฉันก็จะยังทำตัวเหมือนเดิม แต่คงไม่มีสิทธิ์เรียกอาว่าพ่ออีกแล้ว สิ่งนี้คงทำให้อาสบายใจมากขึ้นใช่ไหมคะ ฉันน่าจะรู้ที่อาทำเหมือนไม่เต็มใจเวลาฉันอยู่ในบ้านเพราะอะไร ขอโทษที่ฉันรู้ช้านะคะอา”
นพยาอ้าปากคล้ายอยากจะพูดอะไรบางอย่าง แต่เมื่อรับฟังเหตุผลของบุตรสาวครบถ้วน เขาได้แต่กล้ำกลืน และก้มหน้ายอมรับบทลงโทษที่พ่ออย่างเขาสมควรได้รับ โอกาสเป็นพ่อนพมัลลีเขามีมากกว่ายี่สิบห้าปี แต่ไม่เคยมีสักวันที่เขาจะคิดว่าอีกฝ่ายเป็นลูกจริงๆ กระทั่งถึงวันที่สูญเสียไป และไม่มีโอกาสได้ยินคำว่าพ่ออีก นพมัลลีคงไม่รู้ว่าคำว่า ‘อา’ ทำให้เขาเจ็บปวดหัวใจหนักหน่วงยิ่งกว่าความหวาดระแวงที่ผ่านมาครึ่งชีวิตนี้
“แม่คะ” คนถูกเรียกสะบัดหน้าหนีไม่สบอารมณ์ นพมัลลีไม่ถือสา “ขอบคุณที่เลี้ยงดูฉันมาตลอด ฉันไม่มีวันลืมบุญคุณ ถ้าแม่ไม่อยากให้ฉันเรียกว่าแม่ แม่อยากให้ฉันเรียกว่าอะไรคะ”
“ฉันไม่ต้องการนับญาติกับเธอ” มะลิกล่าวอย่างโหดร้าย ก่อนจะลุกหนีออกไป ความรู้สึกผิด และความโกรธเกลียดตีกันในใจวุ่นวายไปหมด นางยอมรับว่าก่อนจะรู้ความจริงว่านพมัลลีเป็นลูกของนพยา นางไม่ได้เอ็นดูอะไรนพมัลลี แต่ก็ไม่เคยถึงขั้นเกลียด รู้สึกเฉยชา เหมือนความสัมพันธ์ระหว่างกันว่างเปล่า กระทั่งชาติกำเนิดของนพมัลลีคือสีดำหม่นในชีวิตของนาง นางยากจะให้อภัย ไม่ว่าจะคนพ่อหรือลูก หาว่านางใจแคบก็ได้
นพมัลลีหน้าชา แต่ยังดีที่รักษาสีหน้าราบเรียบไว้ได้ เธอหันไปมองคนสุดท้ายที่ยืนรออย่างมีความหวัง คนที่เธอรู้สึกโกรธมากที่สุดหลังจากรู้ทุกอย่าง
“ลุงคะ ฉันถนัดเรียกลุงว่าลุงแล้ว ลุงอย่าให้ฉันเปลี่ยนการเรียกเลยนะคะ”
ทวิชซ่อนสีหน้าผิดหวังไว้ไม่ได้ เขารู้ว่าการเรียกไม่ใช่ประเด็นหลัก ขนาดคนที่เธอเรียกพ่อยังเปลี่ยนมาเรียกอาได้อย่างทันที ยังไม่ใช่ปัญหา แต่กับเขาสิ่งที่เป็นปัญหาคือจิตใจที่ยังค้าน และไม่ยอมรับของนพมัลลีต่างหาก นี่สินะบทลงโทษที่ลวิณตราเหลือทิ้งไว้ให้เขา ในช่วงที่เขาทอดทิ้งนพมัลลีไป และใช้ชีวิตอย่างที่คิดว่าตัวเองมีความสุข
เพราะสุขจนลืมคนทางนี้ไป จากนี้เขาก็สมควรที่จะได้รับความทุกข์บ้างแล้ว ทวิชค่อยๆ คลี่ยิ้มยอมรับ “ลุงเข้าใจ ลุงจะเป็นลุงของลีไปตลอดชีวิตเลยก็ได้ ลุงไม่ว่าหรอก”
“ขอเวลาให้ฉันนะคะลุง ให้ฉันได้มีเวลาปรับตัว”
นั่นก็ไม่ได้ดับความหวังในใจทวิชไปเสียทีเดียว...
..........................................................................
คุณ ร้อยวจี ทุกอย่างกำลังถูกตบให้ลงตัวนะคะ เรื่องกำลังคลายค่ะ เหลือปมหลักๆ อีกไม่กี่ปม
พี่ ลูกฟูก ออมเขียนเรื่องนี้ไมเกรนจะขึ้นอะค่ะ ฮา ถ้ารู้ว่าวิธีนี้ดีออมเขียนตอน พี่ฟูกก็เขียนตอนต่อได้ มาช่วยกันกระตุ้นให้ตัวเองเขียนเถอะเนอะ ปล.อย่าลืมทำการบ้านนะคะ ฮา ระดับพี่ฟูกสบายมากอยู่แล้ว สู้ๆ ค่ะ ^^
คุณ ผักหวาน ตุลาดูเป็นผู้ใหญ่ที่ได้เรื่องที่สุดในเรื่องนี้ ถึงคุณตุลาจะปากร้ายไปนิด(ไม่น้อย) แต่ก็สอนได้หลายคนค่ะ ^_^
คุณ กาซะลองพลัดถิ่น วากูรอาจน่าสงสารตรงที่ไม่มีโอกาสได้รู้ตั้งแต่แรกว่าตัวเองมีลูกนะคะ แต่ทุกอย่างที่ผ่านมาส่วนหนึ่งแกก็ทำตัวแกเองด้วย ต้องมาคอยดูว่าวากูรจะจบยังไง ส่วนลีนี่ยกให้เป็นนางเอกที่รันทดและแข็งแกร่งที่สุดเท่าที่เคยเขียนมาค่ะ
คุณ violette พอให้ตุนท์น้อยใจบ้างนี่ แววจะโดนลีงอนคืนนี่ลอยมาแต่ไกลเลยนะคะ ฮา
ขอบคุณทุกคนที่เข้ามาอ่าน(รวมถึงนักอ่านเงา) ขอบคุณทุกความคิดเห็น และคนที่กดถูกใจนะคะ ขอให้อ่านสนุกน้า ^^
ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 เม.ย. 2558, 11:49:54 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 เม.ย. 2558, 12:53:15 น.
จำนวนการเข้าชม : 1650
<< บทที่ 26 : ความไม่เข้าใจกับรอยลิปสติก | บทที่ 28 : อย่าโกรธในความงี่เง่าของผม >> |
konhin 1 เม.ย. 2558, 12:14:35 น.
หนูลี พยายามอีกนิดจะหลุดพ้นแล้วววว
หนูลี พยายามอีกนิดจะหลุดพ้นแล้วววว
ร้อยวจี 1 เม.ย. 2558, 12:55:27 น.
ใกล้จบด้วยหรือเปล่าเอ่ย หวังว่าคงไม่มีมารผจญนะ
ใกล้จบด้วยหรือเปล่าเอ่ย หวังว่าคงไม่มีมารผจญนะ
ผักหวาน 1 เม.ย. 2558, 14:29:04 น.
ถ้าผักหวานสวมบทเป็นหนูลี คาดว่า คงสิ้นชีวีไปนานแสนนานแล้ว
เพราะไม่แกร่งพอแน่ๆ ค่ะ ยกนิ้วให้หนูลีเลย
ถ้าผักหวานสวมบทเป็นหนูลี คาดว่า คงสิ้นชีวีไปนานแสนนานแล้ว
เพราะไม่แกร่งพอแน่ๆ ค่ะ ยกนิ้วให้หนูลีเลย
violette 1 เม.ย. 2558, 20:40:10 น.
นางเอกเราแกร่งสุดๆเลยค่ะ นับถือ
นางเอกเราแกร่งสุดๆเลยค่ะ นับถือ
ภัทรภิญญ์ 2 เม.ย. 2558, 06:47:44 น.
พี่ก็อ่านแบบไมเกรนจะขึ้นตาม น้องออมอย่าโหดร้ายกับพี่ 555 เรื่องนี้ชีวิตทุกคนน่าสงสารไป
พี่ก็อ่านแบบไมเกรนจะขึ้นตาม น้องออมอย่าโหดร้ายกับพี่ 555 เรื่องนี้ชีวิตทุกคนน่าสงสารไป
นักอ่านเหนียวหนึบ 2 เม.ย. 2558, 21:44:47 น.
ก็ดราม่าอยู่ เมื่อไหร่แม่ลีจะมุ้งมิ้งกิงก่องแก้วบ้างงงงง
ก็ดราม่าอยู่ เมื่อไหร่แม่ลีจะมุ้งมิ้งกิงก่องแก้วบ้างงงงง