รักละมุน หอมกลิ่นแก้ว (จบแล้วจ้า)
หอมกลิ่นดอกแก้วอีกแล้ว
รอยยิ้มในความฝัน ที่อบอุ่นใจ
ใครกันนะ ...
รัตติดารา หญิงสาวผู้เกิดในคืนที่ดาวส่องแสงเต็มท้องฟ้า
เธอผู้แอบรักผู้ชายคนหนึ่งฝ่ายเดียว
แต่การพบกัน เจอกันอีกครั้ง มันไม่น่าพิสมัยเสียแล้ว
เขาไม่ชอบเธอ และไล่เธอออกจากบ้านที่เธอเพิ่งจะก้าวเข้ามาอยู่ได้ไม่ถึงชั่วโมง!
นอกจากนี้ เธอยังพบกับ เทวดา ... เจ้าของกลิ่นหอมดอกแก้ว
ในบ้านหลังใหม่ที่เธอมาอาศัยอยู่อีกด้วย!!
รอยยิ้มในความฝัน ที่อบอุ่นใจ
ใครกันนะ ...
รัตติดารา หญิงสาวผู้เกิดในคืนที่ดาวส่องแสงเต็มท้องฟ้า
เธอผู้แอบรักผู้ชายคนหนึ่งฝ่ายเดียว
แต่การพบกัน เจอกันอีกครั้ง มันไม่น่าพิสมัยเสียแล้ว
เขาไม่ชอบเธอ และไล่เธอออกจากบ้านที่เธอเพิ่งจะก้าวเข้ามาอยู่ได้ไม่ถึงชั่วโมง!
นอกจากนี้ เธอยังพบกับ เทวดา ... เจ้าของกลิ่นหอมดอกแก้ว
ในบ้านหลังใหม่ที่เธอมาอาศัยอยู่อีกด้วย!!
Tags: ดอกแก้ว รัก ฝาแฝด เทวดา วิญญาณ ผี
ตอน: ตอนที่ 5.2 (จบตอน)
รักละมุน หอมกลิ่นแก้ว ตอนที่ 5.2 (จบตอน)
รถยนต์สีดำของศตภัทรจอดสนิทใต้หลังคาในโรงจอดรถข้างบ้าน ร่างสูงก้าวลงจากรถเห็นไฟในบ้านเปิดสว่าง ท้องฟ้าด้านนอกกำลังเข้มขึ้นเรื่อยๆเมื่อดวงอาทิตย์จะหายไปจากขอบฟ้า ชายหนุ่มหายใจอึดอัดขึ้นมาทันทีเมื่อเขาเก็บคำถามบางอย่างไว้ในหัวใจ ตั้งแต่เห็นคนเช่าบ้านของมารดาเขาไปเดินกับผู้ชายเสื้อขาวกางเกงยีนส์ จนผ่านมาถึงวันอาทิตย์แล้ว ก็ยังสลัดมันไม่ออก
... มีแฟนแล้วทำไม ...
คิดได้เพียงครึ่งคำถาม ศตภัทรรีบส่ายหัวไปมาเมื่อรู้สึกตัวเองจะวุ่นวายกับเรื่องไม่เป็นเรื่องมากเกินไป กับอีแค่รูปหัวใจรูปหนึ่งอาจจะไร้ความหมายก็ได้ เขาเลิกคิดพลางขยับเท้าเดินขึ้นบันไดไปยังประตูบ้านที่ไม่ได้ล็อคไว้ ทันทีที่เขาหมุนลูกบิดทองเหลืองที่อายุมากกว่าเขาซะอีกก้าวเข้าไปด้านใน เสียงกรีดร้องจากคนด้านในก็ดังขึ้น ศตภัทรชะงักตัว เพ่งมองไปทางต้นเสียงหลังบ้าน ยังไม่ทันที่จะได้เข้าไปดู ณ ที่เกิดเหตุ ร่างเล็กเจ้าของเสียงก็พุ่งเข้าหาเขาเสียก่อน
“เฮ้ย! อะไรของคุณน่ะ" เขาพยายามดันร่างเล็กของรัตติดาราที่เกาะแขนเขาแน่นออก เห็นเจ้าตัวหลับตาปี๋ ใบหน้าหวาดกลัวบางสิ่งจนหน้าซีดไปหมด
“เกิดอะไรขึ้น บอกผมสิ เจอขโมยหรือไง” เขาถามแต่เธอกลับไม่ตอบ จึงดันหญิงสาวตัวสั่นๆให้หลบทาง โดยที่เธอยังหลับตา มือเล็กๆกำแขนเสื้อเขาแน่นขณะที่ร่างสูงเดินเข้าไปหลังบ้านที่เธอวิ่งตื๋อออกมาเมื่อครู่
“มันอยู่ไหน" เขาถาม ไม่ลืมคว้าไม้กวาดดอกหญ้าที่วางพิงผนังบ้านใกล้มือไปด้วย ถึงเขาจะชกต่อยเก่งแต่มีอาวุธติดมือไปป้องกันไว้ก่อนน่าจะดีกว่า แต่เมื่อเขาเดินไปถึงหลังบ้าน บริเวณที่ใช้ซักล้าง มีเครื่องซักผ้าฝาหน้ารุ่นใหม่ตั้งอยู่ รวมถึงมีมุมทำอาหาร เห็นกระทะใบหนึ่งวางอยู่บนเตาแก๊สสองหัว ข้างๆมีโต๊ะวางเขียงและปลาทูที่วางเตรียมไว้ ลักษณะเหมือนรัตติดารากำลังจะทำอาหารเย็น แม้ศตภัทรมองจนรอบก็ไม่พบใครหรือมีสิ่งไหนน่าหวาดกลัวจนเธอต้องวิ่งกรี๊ดออกมาขนาดนั้น
“นี่คุณ ลืมตา แล้วบอกผมสิว่ามีอะไร" เขาพยายามเขย่าร่างเล็กอย่างเบามือ กลัวแขนขาจะหลุดเหมือนพวกโมเดลหุ่นยนต์ที่เขาชอบต่อเล่นเวลาว่าง
นิ้วเล็กๆชี้ไปทางอ่างล้างจาน
“มัน ... มันอยู่ในนั้น" เธอบอกเขาเสียงสั่น เห็นดวงตากลมที่มักจะมองเขาอย่างถือดีมีน้ำตาคลอหน่วย ไม่กล้ามองไปยังที่ตนเองชี้นิ้วอยู่
ศตภัทรขมวดคิ้ว ผละออกจากรัตติดาราไปยังที่ที่เธอชี้ แล้วก็ต้องถอนหายใจพรืดยาว
“จิ้งจก?” เขาหันมาถามรัตติดาราทั้งน้ำเสียงและใบหน้าที่เหมือนจะบอกว่า ... ไอ้นี่น่ะนะที่ทำให้เธอกรี๊ดบ้านแตก
“ใช่ เอามันออกไปให้หน่อยสิคุณภัทร" เธอกลัวจนแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
เมื่อครู่ ขณะที่เธอกำลังเตรียมจะทอดปลาทูสำหรับอาหารเย็นนั้น รัตติดาราก็ต้องตัวแข็งทื่อกับจิ้งจกแปลกหน้าตกลงใส่อ่างล้างจานที่เธอกำลังล้างภาชนะอยู่ ด้วยความเกลียด และกลัวจิ้งจกมากถึงมากที่สุด ทำให้รัตติดาราวิ่งหนีสติแตกออกไปหน้าบ้าน เจอกับศตภัทรที่กลับมาพอดี
ถ้าให้เลือกระหว่างเจอผีกับจิ้งจก รัตติดาราขอเลือกเจอผียังจะดีกว่า!
“ทำไมผมต้องช่วยคุณล่ะ นี่ ถ้าคุณอยู่ที่นี่นะ คุณจะได้เจอมันทุกวันเลยนะ"
เขายิ้มขำ มองสิ่งมีชีวิตสี่ขาผิวเนียนๆที่พยายามตะเกียกตะกายออกจากอ่างล้างจานที่ทั้งลื่นและเปียก กับท่าทางสติแตกของหญิงสาวคนเก่ง
สัปดาห์ที่ผ่านมาเขาพยายามหาจุดอ่อนหญิงสาวมาตลอด นอกจากเรื่องงานที่ศตภัทรสัญญากับกณิกว่าจะไม่เอาไปเกี่ยวข้อง รัตติดาราถือไพ่เหนือกว่ามาตลอด เขาไม่อยากจะคิดหรอกนะว่า นี่เป็นเพราะพี่ชายฝาแฝดเขาช่วยเหลือเธออยู่อย่างลับๆ ... ที่ไหนได้ จุดอ่อนของยายตัวเล็กนี่ก็เป็นเรื่องทั่วๆไปที่หลายๆคนกลัวกันนี่เอง
“มันใช่เวลาจะมาพูดเรื่องนี้ไหมคะ ขอร้องล่ะคุณภัทร เอาไอ้นั่นออกไปไกลๆฉันที" รัตติดาราถอนหายใจ นาทีนี้เขายังจะมาขู่เธออีกเหรอ น้ำใจนักกีฬามีบ้างไหมเนี่ย
“โอเค งั้นเรามีข้อแลกเปลี่ยนกัน"
ชายหนุ่มยังไม่ยอมช่วยเฉยๆ ยื่นข้อต่อรอง อย่างน้อยใช้จังหวะที่ได้เปรียบนี่ล่ะทำให้เขาหมดข้อกังวลใจไปสักเรื่อง หญิงสาวหยีตามองคนตัวสูงกว่า รู้สึกไม่ไว้ใจในข้อแลกเปลี่ยนที่ว่า ทว่าเธอก็ไม่กล้าจัดการเองอยู่ดี จึงทำได้แต่พยักหน้า รับปากเขาอย่างเสียไม่ได้
“ห้ามคุณบอกใครว่าผมอยู่บ้านหลังนี้กับคุณ" ข้อเสนอนั่นทำให้รัตติดารางุนงงไปทั้งแววตา
“เรื่องนี้เรารู้กันสองคน รวมถึงเรื่องที่คุณจะออกจากบ้านหลังนี้ไปหลังจากคุณผ่านงาน ห้ามบอกใครเด็ดขาดว่าผมเป็นคนมากดดันคุณที่นี่ โอเคไหม"
เฮ้อ ... ข้อแลกเปลี่ยนยังไม่พ้นเรื่องบ้าน
รัตติดาราได้แต่ถอนหายใจ รู้หรอกว่าเขาหวงและห่วงบ้านหลังนี้มาก แต่ถึงขนาดเอามาแลกกับเรื่องให้เขาช่วยเอาจิ้งจกออกไปนี่มันออกจะ ... แต่เธอจะทำอย่างไรได้ ดีแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ยื่นเงื่อนไขมาว่าให้เธอออกจากบ้านนี้ทันทีที่เขาไล่เจ้าตัวน่าเกลียดน่ากลัวนั่นเสร็จน่ะ
“ค่ะ คุณไล่มันไปเร็วๆสิ ฉันไม่ชอบมันเลย" เธอยอมเขาก็ได้
“สามเดือนนะ จำไว้"
เขาไม่ลืมย้ำอีกรอบ เห็นคนตัวเล็กเท่าไหล่พยักหน้าหงึกๆ แล้วหันหลังให้เพราะไม่อยากเห็นหน้าจิ้งจกตัวนั้น ศตภัทรไม่กลัวพวกนี้อยู่แล้ว เด็กๆยังเคยเอามาแกล้งแม่เขาบ่อยๆ จับมันอย่างเบามือเตรียมจะเอาไปโยนไกลๆ แต่แค่นี้เหมือนจะไม่สะใจเท่าไหร่นะ ดวงตาคมแพรวพราวนึกสนุกขึ้นมา
“เสร็จแล้วยายตัวเล็ก" เสียงทุ้มบอกเธอ รัตติดาราจึงหันหลังมามอง แต่แล้วก็ร้องกรี๊ดอีกรอบเมื่อเห็นจิ้งจกยื่นมาอยู่ตรงหน้า บอกได้เลยว่าถ้ามีการจัดอันดับคนขี้แกล้ง ศตภัทรจะติดอันดับเท่าไหร่ของโลกรัตติดาราไม่รู้ แต่เธอจะยกให้เขาเป็นอันดับหนึ่งของเธอ แทนที่เขาจะปัดมันทิ้งไป กลับใช้หยิบมาแกล้งเธออีก รัตติดารากลัวจนเป็นลมหงายหลังตึง
"เฮ้ย!" ศตภัทรอุทานอย่างตกใจไม่คิดว่าหญิงสาวจะกลัวขนาดนี้จึงรีบทิ้งจิ้งจกไปไกลๆ ใช้มิอข้างที่ไม่ได้จับจิ้งจกมาประคองร่างเล็กๆไว้ในอ้อมแขน แม้จะเช็ดมือข้างที่จับจิ้งจกกับกางเกงแล้ว แต่เขาก็รู้สึกว่าไม่สะอาดอยู่ดี จึงใช้หลังมือแตะเข้ากับแก้มกลมสีชมพูเบาๆสองสามที
“นี่คุณ! ... ยายตัวเล็ก!! เฮ้ย กลัวขนาดเป็นลมเลยเหรอเนี่ย!”
แม้จะเรียก จะสะกิด เธอก็ไม่ฟื้นขึ้นมา ...
ศตภัทรหันซ้ายทีขวาที รู้แล้วล่ะไม่มีใครในบ้านนอกจากเธอและเขานี่นา ตัดสินใจอุ้มรัตติดาราไปวางไว้ที่โซฟากลางห้องรับแขก ย่อตัวลงนั่งกับพื้น เกาหัว มองคนเป็นลม ใบหน้าเขาเหยเกเมื่อรู้สึกว่าเขาจะเล่นแรงเกินไป
“ไงล่ะ ขี้แกล้งดีนัก" ศตายุยืนอยู่ข้างๆ ตำหนิน้องชายที่ชอบแกล้งคนอื่นแม้จะโตขนาดนี้ยังไม่วาย!
แต่จะว่าไปมันก็นานแล้วนะที่น้องชายเขาจะกล้าแกล้งใครสักคนแบบนี้ เอาแต่สร้างภาพวางมาดจนกลายเป็นกำแพงสูง คนต่างไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่เปิดใจให้ใครสักที
เพราะศตภัทรเป็นแบบนี้แหละ พี่ชายอย่างศตายุจึงทนไม่ได้ ต้องมาช่วยให้เปิดใจไวๆ เพราะถ้าหากศตภัทรยังเป็นแบบนี้ ประวัติศาสตร์บางอย่างอาจจะซ้ำรอยก็ได้
ศตภัทรเม้มปากแน่น มองหญิงสาวด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรดี ท่าทางกังวลหาทางออกไม่ได้ ศตายุถอนหายใจพลางส่ายหัวไปมา ดีดนิ้วดังเป๊าะรัตติดาราก็ลืมตาขึ้น เธอดันตัวลุกขึ้นนั่ง ศตภัทรเห็นเลยรีบเข้ามาประคอง แล้วเธอก็ร้องไห้ออกมา
ไม่กี่เรื่องจริงๆที่จะทำให้เธอร้องไห้ได้ และนั่นยิ่งทำให้คนขี้แกล้งรู้สึกผิดมากกกว่าเก่าเป็นสิบเท่า
“นี่ๆ อย่าร้องสิ ผมขอโทษ ผมไม่คิดว่าคุณจะกลัวขนาดนั้น"
“ฉัน... ฉันก็รับปากคุณแล้วนี่ คุณยังแกล้งฉันอีก ฮือๆ"
น้ำตาไหลพร่างพรูจากดวงตากลมๆ ศตภัทรดึงกระดาษเช็ดหน้าจากกล่องสี่เหลี่ยมๆตรงกลางโต๊ะห้องรับแขก ส่งให้หญิงสาว โดยไม่ลืมที่จะใช้มือข้างที่ไม่ได้จับเจ้าจิ้งจกนั่น
“ผมขอโทษ นะๆ อย่าร้องเลย ... เอางี้ เดี๋ยวผมไปทอดปลาให้ โอเคมั้ย คุณนั่งรอเฉยๆเลย โอเคนะ"
เขาไม่พูดเปล่า ศตภัทรลุกขึ้นก้าวยาวๆไม่ก้าวก็หายไปในครัวด้านนอก ได้ยินเสียงทอดปลาดังมาถึงห้องรับแขก รัตติดาราได้แต่มองตามตาปริบๆ โกรธเขาจริงๆที่แกล้งอะไรเธอแบบนี้
“หนูเรไม่เป็นไรใช่ไหมครับ" เสียงต่ำอ่อนโยนของศตายุดังขึ้น รัตติดาราละสายตาจากร่างสูงหลังบ้าน มองเห็นเทวดาหนุ่มกำลังมองเธออย่างเป็นห่วง
“ผมขอโทษแทนเจ้านั่นด้วย นิสัยไม่ดีเลย" เทวดาหนุ่มรูปงามนั่งลงข้างๆเธอ ใช้มือวางเหนือศีรษะหญิงสาว แม้จะไม่ได้สัมผัสกับมือเทวดา แต่ความอบอุ่นที่แผ่มาถึงก็ทำให้ความหวาดกลัวรัตติดาราสงบลง
“เขาไม่เหมือนคนที่หนูเรรู้จักจริงๆ" เธอยังแยกไม่ออกระหว่างภาพลักษณ์มาดนิ่ง เท่ และเก่ง กับผู้ชายที่เอาจิ้งจกมาแหย่เธอ
“เจ้านั่นก็แค่รู้วิธีที่จะทำตัวให้ดูเท่ จริงๆก็นิสัยแบบนี้แหละ หนูเรก็คือหนึ่งในนั้น" ศตายุมองตามไปยังน้องชายที่พยายามกลับปลาในกระทะอยู่ ศตภัทรเคยทำงานพิเศษในร้านอาหารไทยที่อเมริกา การทำอาหารจึงเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับเขา
“แต่จริงๆ เจ้านั่นก็เหมือนเต่าน่ะ มาดที่นายบีสร้างขึ้นก็เหมือนเกาะป้องกันไม่ให้เขาบาดเจ็บจากความเจ็บปวด จริงๆแล้วเขาต้องการใครสักคนที่เขาสามารถถอดกระดองออก เป็นตัวของตัวเอง ใครสักคนที่จะเขาจะอ่อนแอด้วยได้"
“เรื่องอะไรหรือคะ ที่เขาเจ็บปวด หรือว่าที่คุณเคยเล่าว่าเขารู้สึกผิดเรื่องที่คุณเสีย" รัตติดาราถามเทวดาหนุ่ม
เทวดาหนุ่มกลับส่ายหัวปฏิเสธ
“ไม่ใช่หรอก ;;; นายบีเคยถูกหลอกน่ะ"
“เอ๊ะ?” รัตติดาราไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน จึงตกใจจนดวงตากลมเบิกโตกว่าเดิม
"หลังจากผมตาย เขาก็ทะเลาะกับพ่อรุนแรงจนเขาหนีไปอยู่กับแม่ที่อเมริกา แต่แม่ผมเขาก็แต่งงานใหม่แล้ว บีเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ครอบครัวนั้นก็เลยแยกไปอยู่คนเดียว แม่ผมก็ไม่ได้ทำงานอะไรจึงส่งให้นายบีเรียนได้แค่ส่วนเดียว นอกนั้นเขาต้องหาทางดิ้นรนเรียนเอง แม้เขาจะเหนื่อย อยากจะพึ่งพิงใครสักคนเขาก็ไม่สามารถทำได้"
ศตายุนึกถึงช่วงเวลานั้น เขาเฝ้ามองน้องชายห่างๆ ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย ศตภัทรก็หยิ่งเกินที่จะยอมรับความช่วยเหลือจากบิดา ศิระพลั้งปากไล่ศตภัทรออกจากบ้านหลังจากรู้สาเหตุว่าทำไมศตายุถึงโดนแทงจนถึงตาย
"ในช่วงที่เขาอ่อนแอที่สุด เขาคิดแต่ว่าตัวเองไม่ดีพอสำหรับใครสักคน ทั้งในสายตาพ่อตัวเอง และสายตาของคนรัก ... ทั้งที่เขาพยายามทำงานให้ดีที่สุด เพื่อให้ทุกคนยอมรับเขาแต่ก็ไม่สำเร็จ จนเขาไม่เหลือใครสักคนแม้กระทั่งคนที่บอกว่ารักเขา ในช่วงเวลาที่แย่ที่สุดก็ย่อมมีแสงสว่าง นายบีได้งานที่ทำให้เขาโด่งดังขึ้นมา แล้วมันก็เป็นดาบสองคม คนที่เคยทิ้งเขาไปก็พากันกลับมา ... หลังจากนั้นหมอนั่นก็ไม่เคยเปิดใจให้ใครเลย"
“แย่ชะมัดเลย" รัตติดาราพูดขึ้น เมื่อเทวดาหนุ่มเล่าจบ
ศตายุมองหญิงสาว
“ก็คนที่ทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวตอนที่เขาลำบากที่สุด คนแบบนั้นเรียกว่าคนรักได้หรือคะ"
ได้ฟังแล้ว เทวดาหนุ่มก็คลี่ยิ้มมีความหมาย
“ผมดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะหนูเร" เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ
“เสร็จแล้ว มากินเร็ว" คนตัวสูงที่โดนพูดถึงเดินถือจานปลาทูไปวางไว้บนโต๊ะกินข้าวทำให้รัตติดาราละสายตาจากเทวดาหนุ่มไปมองคนตัวสูง เขาไม่เรียกเธอเปล่าซ้ำยังเดินมาดึงแขนเธอให้ลุกขึ้นตามเขาไปนั่งที่โต๊ะ ยืนหลังตรงวางมาดเป็นบริกรภัตราคารหรู อธิบายเมนูปลาทูทอด พร้อมไข่เจียวของแถมให้หญิงสาวฟัง
ศตายุมองภาพน้องชาย ไม่คาดหวังว่าจะได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของศตภัทรในด้านนี้ ที่ยอมกระเทาะเปลือกแข็งกระด้างออก กลายเป็นน้องชายจอมแก่นของเขาอีกครั้ง
จริงอยู่ ศตายุพยายามจัดฉากให้ทั้งคู่อยู่ร่วมบ้านกัน เขาเองก็ไม่แน่ใจหรอกตอนแรกว่าทั้งคู่จะเป็นอย่างไร ซึ่งไปๆมาๆ ตอนนี้เทวดาหนุ่มชักอยากจะรู้แล้วสิว่า ความเอาแต่ใจที่ศตภัทรมี ดึงดันที่จะเอาบ้านแสนหวงคืน กับความไม่ยอมแพ้ของรัตติดาราที่ศตายุรู้จักมาตั้งแต่อยู่ดูแลปกป้องมาหลายปี ใครจะอดทนได้มากกว่ากัน แล้วใครจะเหนื่อยก่อน
“หรือว่าใครจะหวั่นไหว หลุดปากบอกรักอีกฝ่ายก่อนกันแน่" ศตายุคาดหวังข้อสุดท้ายที่สุด ... หวังว่าจะเกิดขึ้นก่อนที่ศตภัทรจะก้าวพลาดไปอีกครั้ง
++
“คุณภัทร ฉันถามอย่างหนึ่งได้ไหมคะ”
รัตติดาราถามขึ้น หลังจากเธอได้รับไอศกรีมฟรีหนึ่งแท่งจากคนขี้แกล้ง เมื่อครู่มีรถไอศกรีมวิ่งผ่าน รัตติดาราได้ยินเสียงดนตรีของรถไอศกรีมแต่ไกลจึงใช้เรื่องที่ศตภัทรแกล้งเป็นข้ออ้างให้ไปซื้อมา แน่นอนศตภัทรบ่นปอดแปดว่าเขาน่ะเป็นถึงหัวหน้าทีมของเธอ ยังจะกล้าใช้อีก ซึ่งบ่นอย่างไรเจ้าตัวก็เดินออกไปซื้อมาให้อยู่ดี
ทั้งคู่นั่งอยู่บนระเบียงบ้านชั้นล่างที่มองเห็นสวนสีเขียว และต้นแก้ว มีลมเย็นๆพัดผ่านทำให้คืนนี้ไม่ร้อนมากเกินไป
“อะไร" คนตอบเสียงห้วน เขานั่งเล็มไอศกรีมโคนในมือบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามหญิงสามก็จริง แต่กลับมองอะไปเรื่อย ไม่ได้หันมองคนมีเรื่องจะถาม
“ลูกของคุณตรัยน่ะ คุณเคยเจอไหม" รัตติดาราติดใจจากเมื่อวันก่อนท่ีเธอได้ยินที่พวกพนักงานสาวๆคุยกัน
“เคยสิ ตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆก็เจอบ่อย คุณลุงพยายามพาเขาเข้ามาฝึกงานอยู่ช่วงหนึ่ง ถามทำไม"
“ฉันว่าฉันเห็นเขาที่ออฟฟิศ"
คนที่หันหน้าหนีตลอดเวลาถึงกับหันมาจ้องหน้าเธอ
“บ้าน่ะ เขายังไม่ตายนะ" ศตภัทรจากที่นั่งหลังค่อมเอามือสองข้างวางบนตัก กลับกลายเป็นดึงตัวนั่งหลังตรง
แม้แสงไฟตรงระเบียงจะไม่สว่างมาก แต่รัตติดาราก็มองเห็นถึงสีหน้าตื่นตระหนกของชายหนุ่มชัดเจน
“ก็ไมไ่ด้หมายความว่าเขาตายนี่คะ ตอนฉันประสบอุบัติเหตุเกือบตาย วิญญาณฉันก็ออกจากร่างเหมือนกันนะ"
รัตติดารานึกออกลางๆว่าเธอเห็นตัวเองนอนอยู่ท่ามกลางแพทย์และพยาบาลมากมายภายในห้องผ่าตัด ก่อนที่เธอจะหลุดไปอยู่ในสถานที่ขาวๆ และมีคนพาเธอกลับมาที่ห้องนั้นอีกที
ศตภัทรพยายามยัดไอศกรีมส่วนที่เหลือในมือเข้าปาก เคี้ยวๆแล้วก็กลืนมันให้ลง
“ฉันเห็นเขาจริงๆนะคะ" รัตติดาราย้ำชัด
“เลิกพูดเถอะ" เขากลับตัดบท ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง "ดึกแล้วไปนอนซะ"
“เดี๋ยวสิคะ ฉันยังถามไม่จบเลย" รัตติดารากัดไอศกรีมคำสุดท้ายเข้าปาก เดินตามชายหนุ่มเข้าไปด้านในบ้าน
“ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น" คนตัวสูงพูดพร้อมกับดึงประตูระเบียงให้ปิดลง งับกลอน หันมาเห็นรัตติดารามองเขาอย่างสงสัย ก่อนที่ดวงตากลมจะวิบวับเมื่อได้ยินเรื่องราวใหม่ๆจากเทวดาแถวๆตัวเธอ
“หรือว่าคุณกลัว"
ถูกจับได้แล้ว!
ศตภัทรเลิกคิ้ว ตาโตใส่ มองไปรอบๆ จึงนึกได้
“ ... หยุดเลยนะพี่เอ หยุดเล่าเรื่องผมทุกเรื่องให้ยายตัวเล็กนี่ฟัง!” ชี้ไม้ชี้มือไปในอากาศ เขาไม่รู้หนิว่าศตายุยืนอยู่ตรงไหน
“แล้วคุณรู้ไว้ซะ ผมไม่ได้กลัวแต่ผมไม่ชอบ ... รีบไปนอนเลย พรุ่งนี้ผมมีประชุมแต่เช้า" เขาไม่พูดเปล่า ใช้มือหมุนให้ร่างเล็กหันไปยังบันได รัตติดาราจึงต้องยอมเดินขึ้นบันได แต่ยังไม่วายโผล่หน้ามาแหย่อีกคน
“ระวังนะคะ เมื่อเย็นก่อนหนูเรจะเข้าบ้าน เห็นวิญญาณคุณยายบ้านตรงข้ามที่เพิ่งเสียเดินไปเดินมาด้วยค่ะ" พูดจบก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไปทั้งเสียงหัวเราะขบขัน
“นี่ ยายตัวเล็ก!” ศตภัทรถลึงตาใส่ วิ่งตามไปอย่างเอาเรื่อง แต่สุดท้ายก็ได้แต่ยืนฟึดฟัดอยู่หน้าห้องเมื่อหญิงสาวปิดประตูใส่หน้า ทั้งที่รู้จุดอ่อนของยายตัวเล็กก่อนแล้วแท้ๆ ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงยายตัวเล็กก็ดันมารู้เรื่องของเขาเสียได้ ... นี่กลายเป็นว่าเธอถือไพ่เหนือกว่าเขาอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย?
++
อติภาพพาร่างในชุดคนไข้พยาบาลสีฟ้าตัวใหม่ที่พยาบาลเพิ่งเปลี่ยนให้ลอยไปตามอาคาร เห็นหญิงสาวคุ้นตาก็รีบลอยเข้าไปหาอย่างเร็ว ใกล้รุ่งไม่ได้เลี่ยงเขาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว และเขาก็ทำตามสัญญาว่าจะไม่ชวนเธอคุยเวลามีคนอื่นอยู่ด้วย
วิญญาณหนุ่มมองใบหน้าขาวที่ค่อนข้างซีด ดวงตาโตแต่ค่อนข้างเรียวเหมือนเม็ดอัลมอนด์ ร่างผอมเหมือนคนไม่ค่อยทานอาหาร จริงๆจากการที่เขาแอบมองเธอบ่อยๆก็พบว่าใกล้รุ่งกินน้อยอย่างกับแมวดมจริงๆ น่าแปลกที่อติภาพเจอผู้หญิงสวยๆมานักต่อนัก แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกสนใจผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาก็ไม่รู้
เป็นไปได้ไหมว่า ผู้หญิงที่เขาเคยพบ ต่างรู้ว่าเขาเป็นถึงลูกชายคนร่ำรวยและมีชื่อเสียงอย่าง ตรัย อภินิจนิรันดร์ เวลาพบกันเขาจึงรู้สึกแต่ความไม่จริงใจ ต่อหน้าก็พากันชื่นชมเขา หากสิ่งที่เขารู้ลับหลังก็คือ การที่ต่างนินทาว่าเขาเป็นลูกชายที่ไมไ่ด้เรื่อง ทั้งที่ตรัย และอธิติยาก็จบมหาวิทยาลัยชื่อดัง การันตีความสามารถด้านสถาป้ตยกรรมได้ ผิดกับเขา เขาไม่ได้มีหัวด้านนี้เลย เขาชอบการถ่ายรูปมากกว่า อยากจะทำงานด้านนี้ แต่ตรัยกลับไม่เห็นด้วย เอาแต่เคีี่ยวเข็ญให้เขาเดินตามทางที่ปูไว้ พอเขาทำได้ไม่ดีก็ถูกคนรอบข้างผิดหวังกันไปหมด แต่กลับผู้หญิงเจ้าของผิวขาวซีดคนนี้ เธอไม่เป็นอย่างผู้หญิงพวกนั้น แถมยังกล้าตำหนิเขาตรงๆอีก เขาไม่ค่อยได้เจอจึงนึกสนใจใกล้รุ่งเป็นพิเศษ
ระหว่างทาง ใกล้รุ่งหยุดเดิน เมื่อเธอพบกับหญิงสาวสองคนซึ่งกำลังเดินสวนมา อติภาพสังเกตว่าสีหน้าเพื่อนใหม่ของเขาดูไม่ค่อยมีความสุขนัก
“ได้ข่าวว่าได้งานที่นี่ เพิ่งจะได้เจอกันนะ ฟ้า" หนึ่งในสองสาวทักทายใกล้รุ่งก่อน อติภาพมองดวงตาวาววับบนใบหน้าสวยที่โบ๊ะเครื่องสำอางจนหนาแล้วรู้สึกไม่ถูกชะตาด้วยเลย
“ข้าวฟ่าง ยายเมย์" ใกล้รุ่งรู้จักสองคนนี้ดี เป็นเพื่อนร่วมคณะที่เรียนจบมหาวิทยาลัยเดียวกัน
“ทำไมไม่มาทักกันบ้างล่ะ ยายฟ้า" หญิงสาวผมดัดสั้น ชื่อข้าวฟ่างเป็นคนถาม น้ำเสียงไม่จริงใจแม้แต่สักนิด
“นั่นสิ หรือว่ามัวแต่คุยกับเพื่อนในจินตนาการอยู่" เมย์ สาวโบ๊ะหน้าจัดหัวเราะขบขัน
ใกล้รุ่งกำมือที่ถือเอกสารแน่น เธอกำลังอดทนอย่างหนัก ทั้งที่คิดว่าทนๆเรียนจบมาแล้วจะไม่ต้องอยู่ในบรรยากาศอึดอัดแบบนี้อีก เพื่อนทั้งสองที่เคยทำดีด้วยเพราะใกล้รุ่งเป็นคนเรียนเก่งคนหนึ่งผิดแต่ว่า เธอมักจะชอบหลุดพูดคนเดียวทำให้คนในคณะพากันกลัว และไม่เข้าใกล้เธอ รวมถึงยังมีพวกชอบแกล้งเธออีก แน่นอนว่าทั้งเมย์และข้าวฟ่าง สองคนนี้คือหนึ่งในพวกที่ชอบกลั่นแกล้งเธอ
อติภาพยืนฟังอยู่ด้วยแต่แน่นอนว่าเพื่อนหญิงสาวทั้งสองไม่เห็นเขาหรอก สายตาวิญญาณหนุ่มเหลือบไปเห็นพนักงานทำความสะอาดหนุ่มกำลังเข็นรถถังขยะมาแต่ไกล เขายิ้มยกมุมปากขึ้นกับความคิดบางอย่าง
“หาเพื่อนใหม่บ้างนะ ยัยฟ้า พูดคนเดียวมันไม่สนุกหรอก" เมย์ ยิ้มเยาะใกล้รุ่งได้ไม่เท่าไหร่ ก็ต้องร้องวี้ดว้ายขึ้นจนคนรอบๆหันมามองพวกเธอเป็นตาเดียว ขนาดใกล้รุ่งเองยังตกใจจนดวงตาเบิกโต
รถเข็นที่เข็นมาดีๆอยู่ๆก็หลุดมือพนักงานทำความสะอาดหนุ่มเฉยเลย รถที่บรรทุกถังขยะมาสองใบวิ่งเข้าชนด้านหลังของหญิงสาวทั้งสองจนเธอล้มลงไปนั่ง ก่อนที่ถังขยะจะพากันล้มใส่เธอราวกับใครจับเท
“ขอโทษครับๆ ผมไม่รู้ว่ารถมันหลุดมือผมไปได้อย่างไร"
พนักงานทำความสะอาดหนุ่มรีบวิ่งเข้ามาขอโทษขอโพย มองหญิงสาวแต่งตัวสวยสองคนนั่งกองกับพื้น ใบหน้าจัดเต็มเครื่องสำอางที่ถูกถังขยะคว่ำใส่ยังต้องพยายามกลั้นขำ ได้ยินเสียงผู้คนดังกระหึ่มรอบๆ ทั้งเสียงหัวเราะ และเสียงเห็นใจที่โดนรถขยะคว่ำใส่แบบนี้
“โอ๊ย เลอะเทอะหมดแล้ว!” คนชื่อเมย์โวยวาย
“ปากเหม็นแบบนี้ เจอของเหม็นเข้าไปเถอะ ไปเถอะคุณฟ้า" อติภาพทำปากยื่นใส่หญิงสาวทั้งสอง ก่อนจะหันไปเรียกหญิงสาว
ใกล้รุ่งได้แต่กระพริบตาปริบๆเดินตามเขาไป เธอไม่เคยคิดว่าจะมีคนช่วยเธอเอาคืนคนปากเสียทั้งสองคนอย่างนี้มาก่อน เธอมองแผ่นหลังคนตัวสูงกว่าที่ลอยอยู่ข้างหน้า ขาไม่ติดพื้น แล้วอมยิ้มบางๆ
... เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่า มีวิญญาณเป็นเพื่อนก็ดีเหมือนกัน!
++
“หนูเร ทำไมจะต้องเดินตามหาเขาด้วยล่ะครับ"
ศตายุที่เดินตามรัตติดาราไปทั่วตึกในตอนสายถามขึ้น หญิงสาวตรงหน้าเขาเอาแต่สอดส่ายสายตาไปรอบๆ มองหาใครบางคนที่เธออยากเจอ
“ก็หนูเรสงสารคุณตรัยนี่คะ หนูเรจะลองเกลี้ยกล่อมคุณอติภาพดู"
“ถ้าถึงเวลา ยังไงวิญญาณก็ต้องเข้าร่างเขาครับ หนูเรไม่ต้องกังวลหรอก มันมีช่วงเวลาของมันอยู่" ศตายุบอกให้เธอรู้
รัตติดาราหันมองศตายุเต็มดวงตา
“แต่ถ้าตอนนั้นหนูเรไม่ได้ถูกพากลับร่าง หนูเรอาจจะตายไปแล้วก็ได้ใช่ไหมคะ"
“มันไม่เหมือนกันหรอกครับ ตอนนั้นหนูเรหลงทาง แต่นี่เขามีเงื่อนไขของเขาอยู่ ถึงอยากจะกลับตอนนี้ก็ทำไม่ได้หรอกครับ " ศตายุบอกเหตุผล ทุกอย่างถูกกำหนดมาหมดแล้ว ผู้ชายคนนั้นจะต้องค้นพบตัวเองให้ได้ก่อนที่จะคืนวิญญาณเข้าร่าง
“แม้เขาอยากจะกลับ ก็กลับไม่ได้หรือคะ" รัตติดาราเอียงคอถามอย่างไม่เข้าใจ
“ผมไม่สามารถพูดได้มากว่านี้แล้วครับ" ศตายุพูดจบก็ยิ้มให้
รัตติดาราจึงตัดใจ เดินกลับห้องทำงาน ไม่ตามหาวิญญาณอติภาพอีก เธอไม่ทันรู้สึกถึงแรงอาฆาตบางอย่างที่มองไล่ตามหลังเธอไป ผิดกับศตายุที่รู้สึกได้ เขาหันไปมองยังตำแหน่งที่อะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่ด้วยดวงตาขึงขังเอาจริงมากกว่าปกติ
“คุณศตายุ ไม่ไปหรือคะ" รัตติดาราหันมาเรียกเขา ศตายุจึงต้องละสายตาดุดันนั้นไว้ หันมองคนเรียกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นเดิม
“ไปครับ" เขาเดินตามรัตติดาราไปทั้งที่ใจรู้สึกสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้น
+จบตอน+
รถยนต์สีดำของศตภัทรจอดสนิทใต้หลังคาในโรงจอดรถข้างบ้าน ร่างสูงก้าวลงจากรถเห็นไฟในบ้านเปิดสว่าง ท้องฟ้าด้านนอกกำลังเข้มขึ้นเรื่อยๆเมื่อดวงอาทิตย์จะหายไปจากขอบฟ้า ชายหนุ่มหายใจอึดอัดขึ้นมาทันทีเมื่อเขาเก็บคำถามบางอย่างไว้ในหัวใจ ตั้งแต่เห็นคนเช่าบ้านของมารดาเขาไปเดินกับผู้ชายเสื้อขาวกางเกงยีนส์ จนผ่านมาถึงวันอาทิตย์แล้ว ก็ยังสลัดมันไม่ออก
... มีแฟนแล้วทำไม ...
คิดได้เพียงครึ่งคำถาม ศตภัทรรีบส่ายหัวไปมาเมื่อรู้สึกตัวเองจะวุ่นวายกับเรื่องไม่เป็นเรื่องมากเกินไป กับอีแค่รูปหัวใจรูปหนึ่งอาจจะไร้ความหมายก็ได้ เขาเลิกคิดพลางขยับเท้าเดินขึ้นบันไดไปยังประตูบ้านที่ไม่ได้ล็อคไว้ ทันทีที่เขาหมุนลูกบิดทองเหลืองที่อายุมากกว่าเขาซะอีกก้าวเข้าไปด้านใน เสียงกรีดร้องจากคนด้านในก็ดังขึ้น ศตภัทรชะงักตัว เพ่งมองไปทางต้นเสียงหลังบ้าน ยังไม่ทันที่จะได้เข้าไปดู ณ ที่เกิดเหตุ ร่างเล็กเจ้าของเสียงก็พุ่งเข้าหาเขาเสียก่อน
“เฮ้ย! อะไรของคุณน่ะ" เขาพยายามดันร่างเล็กของรัตติดาราที่เกาะแขนเขาแน่นออก เห็นเจ้าตัวหลับตาปี๋ ใบหน้าหวาดกลัวบางสิ่งจนหน้าซีดไปหมด
“เกิดอะไรขึ้น บอกผมสิ เจอขโมยหรือไง” เขาถามแต่เธอกลับไม่ตอบ จึงดันหญิงสาวตัวสั่นๆให้หลบทาง โดยที่เธอยังหลับตา มือเล็กๆกำแขนเสื้อเขาแน่นขณะที่ร่างสูงเดินเข้าไปหลังบ้านที่เธอวิ่งตื๋อออกมาเมื่อครู่
“มันอยู่ไหน" เขาถาม ไม่ลืมคว้าไม้กวาดดอกหญ้าที่วางพิงผนังบ้านใกล้มือไปด้วย ถึงเขาจะชกต่อยเก่งแต่มีอาวุธติดมือไปป้องกันไว้ก่อนน่าจะดีกว่า แต่เมื่อเขาเดินไปถึงหลังบ้าน บริเวณที่ใช้ซักล้าง มีเครื่องซักผ้าฝาหน้ารุ่นใหม่ตั้งอยู่ รวมถึงมีมุมทำอาหาร เห็นกระทะใบหนึ่งวางอยู่บนเตาแก๊สสองหัว ข้างๆมีโต๊ะวางเขียงและปลาทูที่วางเตรียมไว้ ลักษณะเหมือนรัตติดารากำลังจะทำอาหารเย็น แม้ศตภัทรมองจนรอบก็ไม่พบใครหรือมีสิ่งไหนน่าหวาดกลัวจนเธอต้องวิ่งกรี๊ดออกมาขนาดนั้น
“นี่คุณ ลืมตา แล้วบอกผมสิว่ามีอะไร" เขาพยายามเขย่าร่างเล็กอย่างเบามือ กลัวแขนขาจะหลุดเหมือนพวกโมเดลหุ่นยนต์ที่เขาชอบต่อเล่นเวลาว่าง
นิ้วเล็กๆชี้ไปทางอ่างล้างจาน
“มัน ... มันอยู่ในนั้น" เธอบอกเขาเสียงสั่น เห็นดวงตากลมที่มักจะมองเขาอย่างถือดีมีน้ำตาคลอหน่วย ไม่กล้ามองไปยังที่ตนเองชี้นิ้วอยู่
ศตภัทรขมวดคิ้ว ผละออกจากรัตติดาราไปยังที่ที่เธอชี้ แล้วก็ต้องถอนหายใจพรืดยาว
“จิ้งจก?” เขาหันมาถามรัตติดาราทั้งน้ำเสียงและใบหน้าที่เหมือนจะบอกว่า ... ไอ้นี่น่ะนะที่ทำให้เธอกรี๊ดบ้านแตก
“ใช่ เอามันออกไปให้หน่อยสิคุณภัทร" เธอกลัวจนแทบจะร้องไห้ออกมาอยู่แล้ว
เมื่อครู่ ขณะที่เธอกำลังเตรียมจะทอดปลาทูสำหรับอาหารเย็นนั้น รัตติดาราก็ต้องตัวแข็งทื่อกับจิ้งจกแปลกหน้าตกลงใส่อ่างล้างจานที่เธอกำลังล้างภาชนะอยู่ ด้วยความเกลียด และกลัวจิ้งจกมากถึงมากที่สุด ทำให้รัตติดาราวิ่งหนีสติแตกออกไปหน้าบ้าน เจอกับศตภัทรที่กลับมาพอดี
ถ้าให้เลือกระหว่างเจอผีกับจิ้งจก รัตติดาราขอเลือกเจอผียังจะดีกว่า!
“ทำไมผมต้องช่วยคุณล่ะ นี่ ถ้าคุณอยู่ที่นี่นะ คุณจะได้เจอมันทุกวันเลยนะ"
เขายิ้มขำ มองสิ่งมีชีวิตสี่ขาผิวเนียนๆที่พยายามตะเกียกตะกายออกจากอ่างล้างจานที่ทั้งลื่นและเปียก กับท่าทางสติแตกของหญิงสาวคนเก่ง
สัปดาห์ที่ผ่านมาเขาพยายามหาจุดอ่อนหญิงสาวมาตลอด นอกจากเรื่องงานที่ศตภัทรสัญญากับกณิกว่าจะไม่เอาไปเกี่ยวข้อง รัตติดาราถือไพ่เหนือกว่ามาตลอด เขาไม่อยากจะคิดหรอกนะว่า นี่เป็นเพราะพี่ชายฝาแฝดเขาช่วยเหลือเธออยู่อย่างลับๆ ... ที่ไหนได้ จุดอ่อนของยายตัวเล็กนี่ก็เป็นเรื่องทั่วๆไปที่หลายๆคนกลัวกันนี่เอง
“มันใช่เวลาจะมาพูดเรื่องนี้ไหมคะ ขอร้องล่ะคุณภัทร เอาไอ้นั่นออกไปไกลๆฉันที" รัตติดาราถอนหายใจ นาทีนี้เขายังจะมาขู่เธออีกเหรอ น้ำใจนักกีฬามีบ้างไหมเนี่ย
“โอเค งั้นเรามีข้อแลกเปลี่ยนกัน"
ชายหนุ่มยังไม่ยอมช่วยเฉยๆ ยื่นข้อต่อรอง อย่างน้อยใช้จังหวะที่ได้เปรียบนี่ล่ะทำให้เขาหมดข้อกังวลใจไปสักเรื่อง หญิงสาวหยีตามองคนตัวสูงกว่า รู้สึกไม่ไว้ใจในข้อแลกเปลี่ยนที่ว่า ทว่าเธอก็ไม่กล้าจัดการเองอยู่ดี จึงทำได้แต่พยักหน้า รับปากเขาอย่างเสียไม่ได้
“ห้ามคุณบอกใครว่าผมอยู่บ้านหลังนี้กับคุณ" ข้อเสนอนั่นทำให้รัตติดารางุนงงไปทั้งแววตา
“เรื่องนี้เรารู้กันสองคน รวมถึงเรื่องที่คุณจะออกจากบ้านหลังนี้ไปหลังจากคุณผ่านงาน ห้ามบอกใครเด็ดขาดว่าผมเป็นคนมากดดันคุณที่นี่ โอเคไหม"
เฮ้อ ... ข้อแลกเปลี่ยนยังไม่พ้นเรื่องบ้าน
รัตติดาราได้แต่ถอนหายใจ รู้หรอกว่าเขาหวงและห่วงบ้านหลังนี้มาก แต่ถึงขนาดเอามาแลกกับเรื่องให้เขาช่วยเอาจิ้งจกออกไปนี่มันออกจะ ... แต่เธอจะทำอย่างไรได้ ดีแค่ไหนแล้วที่เขาไม่ยื่นเงื่อนไขมาว่าให้เธอออกจากบ้านนี้ทันทีที่เขาไล่เจ้าตัวน่าเกลียดน่ากลัวนั่นเสร็จน่ะ
“ค่ะ คุณไล่มันไปเร็วๆสิ ฉันไม่ชอบมันเลย" เธอยอมเขาก็ได้
“สามเดือนนะ จำไว้"
เขาไม่ลืมย้ำอีกรอบ เห็นคนตัวเล็กเท่าไหล่พยักหน้าหงึกๆ แล้วหันหลังให้เพราะไม่อยากเห็นหน้าจิ้งจกตัวนั้น ศตภัทรไม่กลัวพวกนี้อยู่แล้ว เด็กๆยังเคยเอามาแกล้งแม่เขาบ่อยๆ จับมันอย่างเบามือเตรียมจะเอาไปโยนไกลๆ แต่แค่นี้เหมือนจะไม่สะใจเท่าไหร่นะ ดวงตาคมแพรวพราวนึกสนุกขึ้นมา
“เสร็จแล้วยายตัวเล็ก" เสียงทุ้มบอกเธอ รัตติดาราจึงหันหลังมามอง แต่แล้วก็ร้องกรี๊ดอีกรอบเมื่อเห็นจิ้งจกยื่นมาอยู่ตรงหน้า บอกได้เลยว่าถ้ามีการจัดอันดับคนขี้แกล้ง ศตภัทรจะติดอันดับเท่าไหร่ของโลกรัตติดาราไม่รู้ แต่เธอจะยกให้เขาเป็นอันดับหนึ่งของเธอ แทนที่เขาจะปัดมันทิ้งไป กลับใช้หยิบมาแกล้งเธออีก รัตติดารากลัวจนเป็นลมหงายหลังตึง
"เฮ้ย!" ศตภัทรอุทานอย่างตกใจไม่คิดว่าหญิงสาวจะกลัวขนาดนี้จึงรีบทิ้งจิ้งจกไปไกลๆ ใช้มิอข้างที่ไม่ได้จับจิ้งจกมาประคองร่างเล็กๆไว้ในอ้อมแขน แม้จะเช็ดมือข้างที่จับจิ้งจกกับกางเกงแล้ว แต่เขาก็รู้สึกว่าไม่สะอาดอยู่ดี จึงใช้หลังมือแตะเข้ากับแก้มกลมสีชมพูเบาๆสองสามที
“นี่คุณ! ... ยายตัวเล็ก!! เฮ้ย กลัวขนาดเป็นลมเลยเหรอเนี่ย!”
แม้จะเรียก จะสะกิด เธอก็ไม่ฟื้นขึ้นมา ...
ศตภัทรหันซ้ายทีขวาที รู้แล้วล่ะไม่มีใครในบ้านนอกจากเธอและเขานี่นา ตัดสินใจอุ้มรัตติดาราไปวางไว้ที่โซฟากลางห้องรับแขก ย่อตัวลงนั่งกับพื้น เกาหัว มองคนเป็นลม ใบหน้าเขาเหยเกเมื่อรู้สึกว่าเขาจะเล่นแรงเกินไป
“ไงล่ะ ขี้แกล้งดีนัก" ศตายุยืนอยู่ข้างๆ ตำหนิน้องชายที่ชอบแกล้งคนอื่นแม้จะโตขนาดนี้ยังไม่วาย!
แต่จะว่าไปมันก็นานแล้วนะที่น้องชายเขาจะกล้าแกล้งใครสักคนแบบนี้ เอาแต่สร้างภาพวางมาดจนกลายเป็นกำแพงสูง คนต่างไม่กล้าเข้าใกล้ ไม่เปิดใจให้ใครสักที
เพราะศตภัทรเป็นแบบนี้แหละ พี่ชายอย่างศตายุจึงทนไม่ได้ ต้องมาช่วยให้เปิดใจไวๆ เพราะถ้าหากศตภัทรยังเป็นแบบนี้ ประวัติศาสตร์บางอย่างอาจจะซ้ำรอยก็ได้
ศตภัทรเม้มปากแน่น มองหญิงสาวด้วยไม่รู้จะทำอย่างไรดี ท่าทางกังวลหาทางออกไม่ได้ ศตายุถอนหายใจพลางส่ายหัวไปมา ดีดนิ้วดังเป๊าะรัตติดาราก็ลืมตาขึ้น เธอดันตัวลุกขึ้นนั่ง ศตภัทรเห็นเลยรีบเข้ามาประคอง แล้วเธอก็ร้องไห้ออกมา
ไม่กี่เรื่องจริงๆที่จะทำให้เธอร้องไห้ได้ และนั่นยิ่งทำให้คนขี้แกล้งรู้สึกผิดมากกกว่าเก่าเป็นสิบเท่า
“นี่ๆ อย่าร้องสิ ผมขอโทษ ผมไม่คิดว่าคุณจะกลัวขนาดนั้น"
“ฉัน... ฉันก็รับปากคุณแล้วนี่ คุณยังแกล้งฉันอีก ฮือๆ"
น้ำตาไหลพร่างพรูจากดวงตากลมๆ ศตภัทรดึงกระดาษเช็ดหน้าจากกล่องสี่เหลี่ยมๆตรงกลางโต๊ะห้องรับแขก ส่งให้หญิงสาว โดยไม่ลืมที่จะใช้มือข้างที่ไม่ได้จับเจ้าจิ้งจกนั่น
“ผมขอโทษ นะๆ อย่าร้องเลย ... เอางี้ เดี๋ยวผมไปทอดปลาให้ โอเคมั้ย คุณนั่งรอเฉยๆเลย โอเคนะ"
เขาไม่พูดเปล่า ศตภัทรลุกขึ้นก้าวยาวๆไม่ก้าวก็หายไปในครัวด้านนอก ได้ยินเสียงทอดปลาดังมาถึงห้องรับแขก รัตติดาราได้แต่มองตามตาปริบๆ โกรธเขาจริงๆที่แกล้งอะไรเธอแบบนี้
“หนูเรไม่เป็นไรใช่ไหมครับ" เสียงต่ำอ่อนโยนของศตายุดังขึ้น รัตติดาราละสายตาจากร่างสูงหลังบ้าน มองเห็นเทวดาหนุ่มกำลังมองเธออย่างเป็นห่วง
“ผมขอโทษแทนเจ้านั่นด้วย นิสัยไม่ดีเลย" เทวดาหนุ่มรูปงามนั่งลงข้างๆเธอ ใช้มือวางเหนือศีรษะหญิงสาว แม้จะไม่ได้สัมผัสกับมือเทวดา แต่ความอบอุ่นที่แผ่มาถึงก็ทำให้ความหวาดกลัวรัตติดาราสงบลง
“เขาไม่เหมือนคนที่หนูเรรู้จักจริงๆ" เธอยังแยกไม่ออกระหว่างภาพลักษณ์มาดนิ่ง เท่ และเก่ง กับผู้ชายที่เอาจิ้งจกมาแหย่เธอ
“เจ้านั่นก็แค่รู้วิธีที่จะทำตัวให้ดูเท่ จริงๆก็นิสัยแบบนี้แหละ หนูเรก็คือหนึ่งในนั้น" ศตายุมองตามไปยังน้องชายที่พยายามกลับปลาในกระทะอยู่ ศตภัทรเคยทำงานพิเศษในร้านอาหารไทยที่อเมริกา การทำอาหารจึงเป็นเรื่องง่ายมากสำหรับเขา
“แต่จริงๆ เจ้านั่นก็เหมือนเต่าน่ะ มาดที่นายบีสร้างขึ้นก็เหมือนเกาะป้องกันไม่ให้เขาบาดเจ็บจากความเจ็บปวด จริงๆแล้วเขาต้องการใครสักคนที่เขาสามารถถอดกระดองออก เป็นตัวของตัวเอง ใครสักคนที่จะเขาจะอ่อนแอด้วยได้"
“เรื่องอะไรหรือคะ ที่เขาเจ็บปวด หรือว่าที่คุณเคยเล่าว่าเขารู้สึกผิดเรื่องที่คุณเสีย" รัตติดาราถามเทวดาหนุ่ม
เทวดาหนุ่มกลับส่ายหัวปฏิเสธ
“ไม่ใช่หรอก ;;; นายบีเคยถูกหลอกน่ะ"
“เอ๊ะ?” รัตติดาราไม่เคยได้ยินเรื่องนี้มาก่อน จึงตกใจจนดวงตากลมเบิกโตกว่าเดิม
"หลังจากผมตาย เขาก็ทะเลาะกับพ่อรุนแรงจนเขาหนีไปอยู่กับแม่ที่อเมริกา แต่แม่ผมเขาก็แต่งงานใหม่แล้ว บีเขารู้สึกว่าตัวเองไม่ใช่ครอบครัวนั้นก็เลยแยกไปอยู่คนเดียว แม่ผมก็ไม่ได้ทำงานอะไรจึงส่งให้นายบีเรียนได้แค่ส่วนเดียว นอกนั้นเขาต้องหาทางดิ้นรนเรียนเอง แม้เขาจะเหนื่อย อยากจะพึ่งพิงใครสักคนเขาก็ไม่สามารถทำได้"
ศตายุนึกถึงช่วงเวลานั้น เขาเฝ้ามองน้องชายห่างๆ ไม่สามารถช่วยเหลืออะไรได้เลย ศตภัทรก็หยิ่งเกินที่จะยอมรับความช่วยเหลือจากบิดา ศิระพลั้งปากไล่ศตภัทรออกจากบ้านหลังจากรู้สาเหตุว่าทำไมศตายุถึงโดนแทงจนถึงตาย
"ในช่วงที่เขาอ่อนแอที่สุด เขาคิดแต่ว่าตัวเองไม่ดีพอสำหรับใครสักคน ทั้งในสายตาพ่อตัวเอง และสายตาของคนรัก ... ทั้งที่เขาพยายามทำงานให้ดีที่สุด เพื่อให้ทุกคนยอมรับเขาแต่ก็ไม่สำเร็จ จนเขาไม่เหลือใครสักคนแม้กระทั่งคนที่บอกว่ารักเขา ในช่วงเวลาที่แย่ที่สุดก็ย่อมมีแสงสว่าง นายบีได้งานที่ทำให้เขาโด่งดังขึ้นมา แล้วมันก็เป็นดาบสองคม คนที่เคยทิ้งเขาไปก็พากันกลับมา ... หลังจากนั้นหมอนั่นก็ไม่เคยเปิดใจให้ใครเลย"
“แย่ชะมัดเลย" รัตติดาราพูดขึ้น เมื่อเทวดาหนุ่มเล่าจบ
ศตายุมองหญิงสาว
“ก็คนที่ทิ้งให้เขาอยู่คนเดียวตอนที่เขาลำบากที่สุด คนแบบนั้นเรียกว่าคนรักได้หรือคะ"
ได้ฟังแล้ว เทวดาหนุ่มก็คลี่ยิ้มมีความหมาย
“ผมดีใจที่ได้ยินแบบนั้นนะหนูเร" เขารู้สึกแบบนั้นจริงๆ
“เสร็จแล้ว มากินเร็ว" คนตัวสูงที่โดนพูดถึงเดินถือจานปลาทูไปวางไว้บนโต๊ะกินข้าวทำให้รัตติดาราละสายตาจากเทวดาหนุ่มไปมองคนตัวสูง เขาไม่เรียกเธอเปล่าซ้ำยังเดินมาดึงแขนเธอให้ลุกขึ้นตามเขาไปนั่งที่โต๊ะ ยืนหลังตรงวางมาดเป็นบริกรภัตราคารหรู อธิบายเมนูปลาทูทอด พร้อมไข่เจียวของแถมให้หญิงสาวฟัง
ศตายุมองภาพน้องชาย ไม่คาดหวังว่าจะได้เห็นถึงความเปลี่ยนแปลงของศตภัทรในด้านนี้ ที่ยอมกระเทาะเปลือกแข็งกระด้างออก กลายเป็นน้องชายจอมแก่นของเขาอีกครั้ง
จริงอยู่ ศตายุพยายามจัดฉากให้ทั้งคู่อยู่ร่วมบ้านกัน เขาเองก็ไม่แน่ใจหรอกตอนแรกว่าทั้งคู่จะเป็นอย่างไร ซึ่งไปๆมาๆ ตอนนี้เทวดาหนุ่มชักอยากจะรู้แล้วสิว่า ความเอาแต่ใจที่ศตภัทรมี ดึงดันที่จะเอาบ้านแสนหวงคืน กับความไม่ยอมแพ้ของรัตติดาราที่ศตายุรู้จักมาตั้งแต่อยู่ดูแลปกป้องมาหลายปี ใครจะอดทนได้มากกว่ากัน แล้วใครจะเหนื่อยก่อน
“หรือว่าใครจะหวั่นไหว หลุดปากบอกรักอีกฝ่ายก่อนกันแน่" ศตายุคาดหวังข้อสุดท้ายที่สุด ... หวังว่าจะเกิดขึ้นก่อนที่ศตภัทรจะก้าวพลาดไปอีกครั้ง
++
“คุณภัทร ฉันถามอย่างหนึ่งได้ไหมคะ”
รัตติดาราถามขึ้น หลังจากเธอได้รับไอศกรีมฟรีหนึ่งแท่งจากคนขี้แกล้ง เมื่อครู่มีรถไอศกรีมวิ่งผ่าน รัตติดาราได้ยินเสียงดนตรีของรถไอศกรีมแต่ไกลจึงใช้เรื่องที่ศตภัทรแกล้งเป็นข้ออ้างให้ไปซื้อมา แน่นอนศตภัทรบ่นปอดแปดว่าเขาน่ะเป็นถึงหัวหน้าทีมของเธอ ยังจะกล้าใช้อีก ซึ่งบ่นอย่างไรเจ้าตัวก็เดินออกไปซื้อมาให้อยู่ดี
ทั้งคู่นั่งอยู่บนระเบียงบ้านชั้นล่างที่มองเห็นสวนสีเขียว และต้นแก้ว มีลมเย็นๆพัดผ่านทำให้คืนนี้ไม่ร้อนมากเกินไป
“อะไร" คนตอบเสียงห้วน เขานั่งเล็มไอศกรีมโคนในมือบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้ามหญิงสามก็จริง แต่กลับมองอะไปเรื่อย ไม่ได้หันมองคนมีเรื่องจะถาม
“ลูกของคุณตรัยน่ะ คุณเคยเจอไหม" รัตติดาราติดใจจากเมื่อวันก่อนท่ีเธอได้ยินที่พวกพนักงานสาวๆคุยกัน
“เคยสิ ตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆก็เจอบ่อย คุณลุงพยายามพาเขาเข้ามาฝึกงานอยู่ช่วงหนึ่ง ถามทำไม"
“ฉันว่าฉันเห็นเขาที่ออฟฟิศ"
คนที่หันหน้าหนีตลอดเวลาถึงกับหันมาจ้องหน้าเธอ
“บ้าน่ะ เขายังไม่ตายนะ" ศตภัทรจากที่นั่งหลังค่อมเอามือสองข้างวางบนตัก กลับกลายเป็นดึงตัวนั่งหลังตรง
แม้แสงไฟตรงระเบียงจะไม่สว่างมาก แต่รัตติดาราก็มองเห็นถึงสีหน้าตื่นตระหนกของชายหนุ่มชัดเจน
“ก็ไมไ่ด้หมายความว่าเขาตายนี่คะ ตอนฉันประสบอุบัติเหตุเกือบตาย วิญญาณฉันก็ออกจากร่างเหมือนกันนะ"
รัตติดารานึกออกลางๆว่าเธอเห็นตัวเองนอนอยู่ท่ามกลางแพทย์และพยาบาลมากมายภายในห้องผ่าตัด ก่อนที่เธอจะหลุดไปอยู่ในสถานที่ขาวๆ และมีคนพาเธอกลับมาที่ห้องนั้นอีกที
ศตภัทรพยายามยัดไอศกรีมส่วนที่เหลือในมือเข้าปาก เคี้ยวๆแล้วก็กลืนมันให้ลง
“ฉันเห็นเขาจริงๆนะคะ" รัตติดาราย้ำชัด
“เลิกพูดเถอะ" เขากลับตัดบท ลุกขึ้นยืนเต็มความสูง "ดึกแล้วไปนอนซะ"
“เดี๋ยวสิคะ ฉันยังถามไม่จบเลย" รัตติดารากัดไอศกรีมคำสุดท้ายเข้าปาก เดินตามชายหนุ่มเข้าไปด้านในบ้าน
“ไม่ต้องถามอะไรทั้งนั้น" คนตัวสูงพูดพร้อมกับดึงประตูระเบียงให้ปิดลง งับกลอน หันมาเห็นรัตติดารามองเขาอย่างสงสัย ก่อนที่ดวงตากลมจะวิบวับเมื่อได้ยินเรื่องราวใหม่ๆจากเทวดาแถวๆตัวเธอ
“หรือว่าคุณกลัว"
ถูกจับได้แล้ว!
ศตภัทรเลิกคิ้ว ตาโตใส่ มองไปรอบๆ จึงนึกได้
“ ... หยุดเลยนะพี่เอ หยุดเล่าเรื่องผมทุกเรื่องให้ยายตัวเล็กนี่ฟัง!” ชี้ไม้ชี้มือไปในอากาศ เขาไม่รู้หนิว่าศตายุยืนอยู่ตรงไหน
“แล้วคุณรู้ไว้ซะ ผมไม่ได้กลัวแต่ผมไม่ชอบ ... รีบไปนอนเลย พรุ่งนี้ผมมีประชุมแต่เช้า" เขาไม่พูดเปล่า ใช้มือหมุนให้ร่างเล็กหันไปยังบันได รัตติดาราจึงต้องยอมเดินขึ้นบันได แต่ยังไม่วายโผล่หน้ามาแหย่อีกคน
“ระวังนะคะ เมื่อเย็นก่อนหนูเรจะเข้าบ้าน เห็นวิญญาณคุณยายบ้านตรงข้ามที่เพิ่งเสียเดินไปเดินมาด้วยค่ะ" พูดจบก็รีบวิ่งขึ้นบันไดไปทั้งเสียงหัวเราะขบขัน
“นี่ ยายตัวเล็ก!” ศตภัทรถลึงตาใส่ วิ่งตามไปอย่างเอาเรื่อง แต่สุดท้ายก็ได้แต่ยืนฟึดฟัดอยู่หน้าห้องเมื่อหญิงสาวปิดประตูใส่หน้า ทั้งที่รู้จุดอ่อนของยายตัวเล็กก่อนแล้วแท้ๆ ผ่านไปไม่กี่ชั่วโมงยายตัวเล็กก็ดันมารู้เรื่องของเขาเสียได้ ... นี่กลายเป็นว่าเธอถือไพ่เหนือกว่าเขาอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย?
++
อติภาพพาร่างในชุดคนไข้พยาบาลสีฟ้าตัวใหม่ที่พยาบาลเพิ่งเปลี่ยนให้ลอยไปตามอาคาร เห็นหญิงสาวคุ้นตาก็รีบลอยเข้าไปหาอย่างเร็ว ใกล้รุ่งไม่ได้เลี่ยงเขาเหมือนเมื่อก่อนแล้ว และเขาก็ทำตามสัญญาว่าจะไม่ชวนเธอคุยเวลามีคนอื่นอยู่ด้วย
วิญญาณหนุ่มมองใบหน้าขาวที่ค่อนข้างซีด ดวงตาโตแต่ค่อนข้างเรียวเหมือนเม็ดอัลมอนด์ ร่างผอมเหมือนคนไม่ค่อยทานอาหาร จริงๆจากการที่เขาแอบมองเธอบ่อยๆก็พบว่าใกล้รุ่งกินน้อยอย่างกับแมวดมจริงๆ น่าแปลกที่อติภาพเจอผู้หญิงสวยๆมานักต่อนัก แต่ทำไมเขาถึงรู้สึกสนใจผู้หญิงคนนี้ขึ้นมาก็ไม่รู้
เป็นไปได้ไหมว่า ผู้หญิงที่เขาเคยพบ ต่างรู้ว่าเขาเป็นถึงลูกชายคนร่ำรวยและมีชื่อเสียงอย่าง ตรัย อภินิจนิรันดร์ เวลาพบกันเขาจึงรู้สึกแต่ความไม่จริงใจ ต่อหน้าก็พากันชื่นชมเขา หากสิ่งที่เขารู้ลับหลังก็คือ การที่ต่างนินทาว่าเขาเป็นลูกชายที่ไมไ่ด้เรื่อง ทั้งที่ตรัย และอธิติยาก็จบมหาวิทยาลัยชื่อดัง การันตีความสามารถด้านสถาป้ตยกรรมได้ ผิดกับเขา เขาไม่ได้มีหัวด้านนี้เลย เขาชอบการถ่ายรูปมากกว่า อยากจะทำงานด้านนี้ แต่ตรัยกลับไม่เห็นด้วย เอาแต่เคีี่ยวเข็ญให้เขาเดินตามทางที่ปูไว้ พอเขาทำได้ไม่ดีก็ถูกคนรอบข้างผิดหวังกันไปหมด แต่กลับผู้หญิงเจ้าของผิวขาวซีดคนนี้ เธอไม่เป็นอย่างผู้หญิงพวกนั้น แถมยังกล้าตำหนิเขาตรงๆอีก เขาไม่ค่อยได้เจอจึงนึกสนใจใกล้รุ่งเป็นพิเศษ
ระหว่างทาง ใกล้รุ่งหยุดเดิน เมื่อเธอพบกับหญิงสาวสองคนซึ่งกำลังเดินสวนมา อติภาพสังเกตว่าสีหน้าเพื่อนใหม่ของเขาดูไม่ค่อยมีความสุขนัก
“ได้ข่าวว่าได้งานที่นี่ เพิ่งจะได้เจอกันนะ ฟ้า" หนึ่งในสองสาวทักทายใกล้รุ่งก่อน อติภาพมองดวงตาวาววับบนใบหน้าสวยที่โบ๊ะเครื่องสำอางจนหนาแล้วรู้สึกไม่ถูกชะตาด้วยเลย
“ข้าวฟ่าง ยายเมย์" ใกล้รุ่งรู้จักสองคนนี้ดี เป็นเพื่อนร่วมคณะที่เรียนจบมหาวิทยาลัยเดียวกัน
“ทำไมไม่มาทักกันบ้างล่ะ ยายฟ้า" หญิงสาวผมดัดสั้น ชื่อข้าวฟ่างเป็นคนถาม น้ำเสียงไม่จริงใจแม้แต่สักนิด
“นั่นสิ หรือว่ามัวแต่คุยกับเพื่อนในจินตนาการอยู่" เมย์ สาวโบ๊ะหน้าจัดหัวเราะขบขัน
ใกล้รุ่งกำมือที่ถือเอกสารแน่น เธอกำลังอดทนอย่างหนัก ทั้งที่คิดว่าทนๆเรียนจบมาแล้วจะไม่ต้องอยู่ในบรรยากาศอึดอัดแบบนี้อีก เพื่อนทั้งสองที่เคยทำดีด้วยเพราะใกล้รุ่งเป็นคนเรียนเก่งคนหนึ่งผิดแต่ว่า เธอมักจะชอบหลุดพูดคนเดียวทำให้คนในคณะพากันกลัว และไม่เข้าใกล้เธอ รวมถึงยังมีพวกชอบแกล้งเธออีก แน่นอนว่าทั้งเมย์และข้าวฟ่าง สองคนนี้คือหนึ่งในพวกที่ชอบกลั่นแกล้งเธอ
อติภาพยืนฟังอยู่ด้วยแต่แน่นอนว่าเพื่อนหญิงสาวทั้งสองไม่เห็นเขาหรอก สายตาวิญญาณหนุ่มเหลือบไปเห็นพนักงานทำความสะอาดหนุ่มกำลังเข็นรถถังขยะมาแต่ไกล เขายิ้มยกมุมปากขึ้นกับความคิดบางอย่าง
“หาเพื่อนใหม่บ้างนะ ยัยฟ้า พูดคนเดียวมันไม่สนุกหรอก" เมย์ ยิ้มเยาะใกล้รุ่งได้ไม่เท่าไหร่ ก็ต้องร้องวี้ดว้ายขึ้นจนคนรอบๆหันมามองพวกเธอเป็นตาเดียว ขนาดใกล้รุ่งเองยังตกใจจนดวงตาเบิกโต
รถเข็นที่เข็นมาดีๆอยู่ๆก็หลุดมือพนักงานทำความสะอาดหนุ่มเฉยเลย รถที่บรรทุกถังขยะมาสองใบวิ่งเข้าชนด้านหลังของหญิงสาวทั้งสองจนเธอล้มลงไปนั่ง ก่อนที่ถังขยะจะพากันล้มใส่เธอราวกับใครจับเท
“ขอโทษครับๆ ผมไม่รู้ว่ารถมันหลุดมือผมไปได้อย่างไร"
พนักงานทำความสะอาดหนุ่มรีบวิ่งเข้ามาขอโทษขอโพย มองหญิงสาวแต่งตัวสวยสองคนนั่งกองกับพื้น ใบหน้าจัดเต็มเครื่องสำอางที่ถูกถังขยะคว่ำใส่ยังต้องพยายามกลั้นขำ ได้ยินเสียงผู้คนดังกระหึ่มรอบๆ ทั้งเสียงหัวเราะ และเสียงเห็นใจที่โดนรถขยะคว่ำใส่แบบนี้
“โอ๊ย เลอะเทอะหมดแล้ว!” คนชื่อเมย์โวยวาย
“ปากเหม็นแบบนี้ เจอของเหม็นเข้าไปเถอะ ไปเถอะคุณฟ้า" อติภาพทำปากยื่นใส่หญิงสาวทั้งสอง ก่อนจะหันไปเรียกหญิงสาว
ใกล้รุ่งได้แต่กระพริบตาปริบๆเดินตามเขาไป เธอไม่เคยคิดว่าจะมีคนช่วยเธอเอาคืนคนปากเสียทั้งสองคนอย่างนี้มาก่อน เธอมองแผ่นหลังคนตัวสูงกว่าที่ลอยอยู่ข้างหน้า ขาไม่ติดพื้น แล้วอมยิ้มบางๆ
... เป็นครั้งแรกที่เธอรู้สึกว่า มีวิญญาณเป็นเพื่อนก็ดีเหมือนกัน!
++
“หนูเร ทำไมจะต้องเดินตามหาเขาด้วยล่ะครับ"
ศตายุที่เดินตามรัตติดาราไปทั่วตึกในตอนสายถามขึ้น หญิงสาวตรงหน้าเขาเอาแต่สอดส่ายสายตาไปรอบๆ มองหาใครบางคนที่เธออยากเจอ
“ก็หนูเรสงสารคุณตรัยนี่คะ หนูเรจะลองเกลี้ยกล่อมคุณอติภาพดู"
“ถ้าถึงเวลา ยังไงวิญญาณก็ต้องเข้าร่างเขาครับ หนูเรไม่ต้องกังวลหรอก มันมีช่วงเวลาของมันอยู่" ศตายุบอกให้เธอรู้
รัตติดาราหันมองศตายุเต็มดวงตา
“แต่ถ้าตอนนั้นหนูเรไม่ได้ถูกพากลับร่าง หนูเรอาจจะตายไปแล้วก็ได้ใช่ไหมคะ"
“มันไม่เหมือนกันหรอกครับ ตอนนั้นหนูเรหลงทาง แต่นี่เขามีเงื่อนไขของเขาอยู่ ถึงอยากจะกลับตอนนี้ก็ทำไม่ได้หรอกครับ " ศตายุบอกเหตุผล ทุกอย่างถูกกำหนดมาหมดแล้ว ผู้ชายคนนั้นจะต้องค้นพบตัวเองให้ได้ก่อนที่จะคืนวิญญาณเข้าร่าง
“แม้เขาอยากจะกลับ ก็กลับไม่ได้หรือคะ" รัตติดาราเอียงคอถามอย่างไม่เข้าใจ
“ผมไม่สามารถพูดได้มากว่านี้แล้วครับ" ศตายุพูดจบก็ยิ้มให้
รัตติดาราจึงตัดใจ เดินกลับห้องทำงาน ไม่ตามหาวิญญาณอติภาพอีก เธอไม่ทันรู้สึกถึงแรงอาฆาตบางอย่างที่มองไล่ตามหลังเธอไป ผิดกับศตายุที่รู้สึกได้ เขาหันไปมองยังตำแหน่งที่อะไรบางอย่างซุกซ่อนอยู่ด้วยดวงตาขึงขังเอาจริงมากกว่าปกติ
“คุณศตายุ ไม่ไปหรือคะ" รัตติดาราหันมาเรียกเขา ศตายุจึงต้องละสายตาดุดันนั้นไว้ หันมองคนเรียกด้วยรอยยิ้มอ่อนโยนเช่นเดิม
“ไปครับ" เขาเดินตามรัตติดาราไปทั้งที่ใจรู้สึกสังหรณ์ว่าจะมีเรื่องราวบางอย่างเกิดขึ้น
+จบตอน+
ปิ่นนลิน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 31 มี.ค. 2558, 02:39:45 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 6 เม.ย. 2558, 01:02:49 น.
จำนวนการเข้าชม : 1761
<< ตอนที่ 5.1 | ตอนที่ 6 >> |
ปิ่นนลิน 31 มี.ค. 2558, 02:41:02 น.
คุณ Zephyr : งวดนี้ต้องรีบให้นายบีทำคะแนนหน่อยแล้วค่ะ ^^
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะค้า
คุณ Zephyr : งวดนี้ต้องรีบให้นายบีทำคะแนนหน่อยแล้วค่ะ ^^
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านนะค้า
Zephyr 1 เม.ย. 2558, 18:26:53 น.
แหมๆๆๆ เริ่มไหวๆกันทั้งคู่แต่ปากแข็งๆๆๆๆ
มีง้องอน กริกริ
พี่เอไม่ต้องออกโรงแล้วม้าง
ทีมพี่เอ ฮ่าๆๆๆๆ
แหมๆๆๆ เริ่มไหวๆกันทั้งคู่แต่ปากแข็งๆๆๆๆ
มีง้องอน กริกริ
พี่เอไม่ต้องออกโรงแล้วม้าง
ทีมพี่เอ ฮ่าๆๆๆๆ