ภิรมย์รัก
กุลสตรี!

รุจิรดาแอบเบ้ปากด้วยความเบื่อหน่ายปนขุ่นเคือง
หากนับว่าการที่เธอยื่นมือออกไปช่วยเหลือน้องสาวของ หม่อมเจ้าอดุลย์วิทย์ นั้นไม่เป็นกุลสตรี
หญิงสาวก็ยอมรับตามความจริง
แต่เมื่อคนที่ชี้ความจริงข้อนี้ให้เธอรู้เป็นพี่ชายของคนที่เธอช่วยเอาไว้
หญิงสาวจึงรู้สึกเหมือนตนกำลังทำคุณบูชาโทษ
ต่อแต่นี้ไปก็อย่าได้มาเจอะมาเจอกันอีกเลยเป็นดีที่สุด!

หากภาวนาไปไม่พ้นสามวัน
คนที่เธอไม่อยากพบเจออีกในชาตินี้ กลับมาเป็นอาจารย์ของเธอเอง
คราวนี้คงต้องฟังแลกเชอร์ว่าด้วย “ความเป็นกุลสตรี” เสียจนหูชาแน่ๆ
เธอต้องหาทางหนีสถานเดียว!

แต่ไม่รู้ว่าเพราะอะไร...
ยิ่งพยายามหนีให้ไกลจากดวงตาสีดำคูคมนั้นเท่าไหร่
กลับยิ่งเหมือนอีกฝ่ายจะไล่ตามมาไม่ปล่อยเสียอย่างนั้น!

Tags: ย้อนยุค,ศิษย์,อาจารย์,ท่านชาย,ท่านหญิง,ความรัก,พีเรียด

ตอน: บทที่ 12 [100%

“ตกลง วันก่อนนั้นแม่รดาเขาค้างที่วังนฤบดินทร์หรือเพคะ?”

ห้องเรียนยามที่เพิ่งเลิกเรียนนั้นเสียงดังจอแจเป็นปกติ ทว่าเมื่อแวววรรณเอ่ยถามหม่อมเจ้าหญิงอรกัญญา น้ำเสียงแข็งกระด้างที่ดังก้องก็ทำให้นักศึกษาคนอื่นถึงกับหันไปมองด้วยความตกใจได้

“แวววรรณ เบาหน่อยสิ” วรองค์บอบบางรีบปรามอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว พลางดึงแขนพระสหายให้ออกมาจากหน้าห้องเรียนที่มีคนพลุ่งพล่านอย่างรวดเร็ว

“หม่อมฉันไม่ชอบแม่รดานั่น!” แวววรรณกระแทกเสียง ทว่าลดระดับความดังลงบ้าง “จู่ๆ แม่นั่นก็เข้ามาสนิทสนมกับฝ่าบาท เข้านอกออกในวังเป็นว่าเล่น เขาเป็นใคร จนป่านนี้เราจะรู้ถึงหัวนอนปลายตีนหรือก็ไม่ เทือกเถาเหล่ากอเป็นใครมาแต่ไหนก็ไม่รู้ หม่อมฉันไม่เข้าใจสักนิดว่าฝ่าบาทคบกับเขาไปได้อย่างไร!”

หญิงสาวกล่าวเสียงแค้นเคือง ยิ่งคิดถึงภาพใบหน้านวลของรุจิรดาซึ่งสวยได้ไม่เท่าครึ่งหนึ่งของเธอเลยด้วยซ้ำก็ยิ่งขุ่นข้องจนแทบจะกรีดร้องออกมาดังๆ ให้สมกับความขัดเคืองในยามนี้

ผู้หญิงคนนั้นเป็นใครก็ไม่รู้ เหตุใดจึงสามารถทำให้หม่อมเจ้าหญิงองค์น้อยสหายของเธอเชื่อใจได้มากถึงเพียงนี้ ทั้งที่ตัวเธอซึ่งเป็นพระสหายสนิทแต่ไหนแต่ไรเลยยังไม่เคยมีโอกาสได้ค้างในวังแม้แต่ครั้งเดียว! แวววรรณกัดริมฝีปากอวบอิ่มแน่นเพื่อระงับเสียงกรีดร้องที่ติดค้างอยู่ในลำคอ ทว่าดวงตาคู่สวยวาววับอย่างประหลาด

หม่อมเจ้าหญิงอรกัญญาถอนปัสสาสะอย่างอ่อนพระทัย “วันนั้นดึกแล้ว จะให้รดากลับบ้านก็ไม่ค่อยสะดวก หญิงเลยบอกให้เธอค้างเสียที่วัง ไม่มีอะไรมากไปกว่านั้นหรอก”

“แต่หม่อมฉันว่าไม่ได้มีอะไรเพียงเท่านั้นแน่” หญิงสาวยังไม่ยอมลดเสียงลง เปลี่ยนเป็นฝ่ายดึงกรเล็กของสหายเข้าไปในบริเวณลับตาคนอย่างรวดเร็วแล้วเอ่ยต่อ “หม่อมฉันไม่ชอบที่แม่นั่นอยู่ใกล้ท่านชา...คุณมนต์ณัฐ ผู้หญิงคนนั้นให้ท่ามนต์ณัฐเหลือเกิน หม่อมฉันเกลียด!”

“แต่แววเป็นคนพูดเองไม่ใช่หรือว่าสองคนนั้นเขาเหมาะสมกัน” อีกฝ่ายย้อนสุรเสียงขื่น

“หม่อมฉันขอถอนคำพูด ยายรดานั่นไม่มีอะไรคู่ควรกับมนต์ณัฐเลย อีกาเปลี่ยนเป็นหงส์ไม่ได้หรอก เทือกเถาเหล่ากอเขาเป็นอย่างไรก็ไม่รู้ ส่วนณัฐ ชาตตระกูล ฐานะ หน้าตาทางสังคม ไม่ว่าจะดูอย่างไรก็คู่ควรกับฝ่าบาททั้งนั้น”

ทำไมเธอไม่คิดให้เร็วกว่านี้ ไม่สังเกตแววเนตรของสหายให้มากกว่านี้ หญิงอรให้ดูอย่างไรก็ชอบมนต์ณัฐ เธออาจจะเก็บงำเอาไว้ด้วยความที่ได้รับการอบรมมาอย่างดี แต่เนตรที่เปี่ยมความหมายยามชม้ายมองไปยังชายหนุ่มคนนั้น...

เหมือนแววตาตอนที่เธอจ้องมองท่านชายอดุลย์วิทย์ไม่มีผิด...

หญิงสาวทั้งสะท้อนใจ ทั้งแค้นเคืองตนเองที่ไม่เคยสังเกต หากเธอสามารถทำให้หญิงอรเกลียดชังรุจิรดาได้ นั่นก็เท่ากับกีดกันผู้หญิงคนนั้นไม่ให้เข้าใกล้ท่านชายได้เช่นเดียวกัน

ขอเพียงเธอทำให้หม่อมเจ้าหญิงอรกัญญาคิดว่าตนเองมีศัตรูเดียวกันกับเธอก็พอแล้ว

พักตร์งามขึงตึงขึ้นเล็กน้อยจนคู่สนทนาไม่ทันได้สังเกต หัตถ์บางค่อยๆ แกะมือนุ่มของพระสหายที่ยังคงเกาะกุมกรเอาไว้ออกอย่างสุภาพพลางรับสั่งสุรเสียงเรียบจนผู้ฟังจับอารมณ์มิได้

“หญิงตอบได้เพียงว่าแววไม่จำเป็นที่จะต้องเก็บเอาเรื่องที่รดาไปค้างที่วังเป็นอารมณ์หรอกนะ รดาไม่ได้ทำอะไรที่เป็นการไม่สมควรทั้งสิ้น ทุกสิ่งทุกอย่าง...หากจะมีอะไรเกิดขึ้น หญิงพูดได้อย่างเดียวว่า...ไม่ได้เป็นเพราะรดาให้ท่าหรือทำอะไรแน่ ส่วนเรื่องณัฐ ขอให้แววรู้เพียงแต่ว่าณัฐเป็นเพื่อนอีกคนของหญิงเท่านั้น และไม่มีอะไรเกินเลยไปกว่านั้นแน่นอน”

วรองค์เล็กรีบหันพักตร์หนีแววตาเขียวปัดของอีกฝ่ายก่อนจะรีบดำเนินออกมาจากที่ตรงนั้นทันควัน เนตรงามกระพริบถี่กลั้นอัสสุชลมิให้ไหลระหว่างที่เร่งสาวบาทให้ห่างจากแวววรรณให้มากที่สุดเท่าที่จะมากได้

แวววรรณไม่ควร...ไม่ควรพูดถึงมนต์ณัฐเลยสักนิด!

ตั้งแต่งานวันเกิด หม่อมเจ้าหญิงอรกัญญาก็ไม่ได้พบมนต์ณัฐหรือรุจิรดาเลย ฝ่ายหลังนั้นทรงเข้าพระทัยดีว่าหญิงสาวกำลังเร่งทำรายงานและค้นคว้าเพื่อจะรีบจบการศึกษา แต่มนต์ณัฐ...ไม่ทรงทราบแม้แต่น้อยว่าเหตุใดเขาจึงหายเงียบไปเช่นนั้น

บางทีเขาอาจจะโกรธพระองค์กระมัง โมโหที่พระองค์ทำให้วันนั้นเขาไม่ได้อยู่กับรดามากเท่าที่ควร โมโหที่พระองค์เป็นส่วนเกิน เป็นก้างที่คอยขวางคอเขาอยู่กระมัง...

เพราะก้มพักตร์ลงขณะที่ดำเนินลิ่วๆ ดังนั้นจึงไม่ทรงเห็นนักศึกษาชายจากคณะวิศวะสองคนที่คุยเล่นกันอยู่อย่างสนุกสนานจนไม่ทันสังเกตเห็นวรองค์เล็ก ใครคนหนึ่งหัวเราะร่ากับการเย้าแหย่ของเพื่อนพลางหันไปมองนิสิตสาวที่เพื่อนชี้ชวนให้ดู ไม่ทันระวังหม่อมเจ้าหญิงองค์น้อยที่กำลังดำเนินสวนไปจึงชนเข้ากับวรองค์เล็กบางเข้าทันที

หม่อมเจ้าหญิงอรกัญญาผงะองค์ไปข้างหลังก่อนล้มลงโดยแรง อีกฝ่ายเป็นผู้ชายร่างสูงจึงเพียงแค่เซถลาเล็กน้อยเท่านั้น ใบหน้าชายหนุ่มซีดลงเมื่อเห็นว่าคนที่เดินชนตนเองนั้นเป็นเพียงผู้หญิงร่างเล็กคนหนึ่ง

“คุณครับ! เป็นอะไรมากไหม บาดเจ็บรึเปล่า!”

หม่อมเจ้าหญิงองค์น้อยประทับนั่งนิ่ง ความเจ็บปวดซึมซาบจากข้อพระบาทก่อนแผ่ซ่านไปทั่วพระวรกายอย่างรวดเร็ว ผู้ที่ปะทะเข้าเมื่อครู่นั่งลงยองๆ พลางเอ่ยถามอย่างร้อนรน “คุณครับ...ไม่เป็นไร...”

ชายหนุ่มชะงักค้าง ดวงตาเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อยเมื่อเห็นพักตร์งามชัดเจน แม้ยามนี้จะซีดเผือดด้วยความเจ็บปวด แต่ก็ยังคงความงามอย่างยอดยิ่งจนอดที่จะจับสายตานิ่งอยู่บนดวงพักตร์นั้นอย่างละไม่ได้

“คุณ...”

“ฝ่าบาท...ท่านหญิง...”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มคุ้นเคยทำให้หม่อมเจ้าหญิงอรกัญญาเงยพักตร์ขึ้นมองรวดเร็ว หทัยที่ตื่นตระหนกเมื่อครู่สงบลงทันทีที่ได้ยินเสียงกังวานนั้น

ณัฐ...

“คุณมนต์ชัย...”



ริมโอษฐ์บางสั่นเล็กน้อยยามเอ่ยนามพี่ชายของมนต์ณัฐ สุรเสียงแผ่วเบาค่อยเลือนหายไปกระทันหันเมื่อชายหนุ่มเหลือบมองข้อพระบาทที่เริ่มบวมแดง หม่อมเจ้าหญิงคนงามเพียงได้ยินอีกฝ่ายพึมพำขอประทานอภัยแผ่วเบา แล้วยื่นมือมาจับบริเวณที่บวมแผ่วเบาพร้อมเอ่ย

“ข้อพระบาทเหมือนจะเคล็ด หากขยับอีกก็จะหายช้า” ใบหน้าคมสันของมนต์ชัยเงยขึ้น สบสายเนตรของวรองค์เล็กบางด้วยแววตาอบอุ่นเฉกเช่นเดียวกับน้ำเสียง “ขอประทานอภัยกระหม่อม”

มือใหญ่ล้วงเข้าไปในอกเสื้อ ก่อนจะดึงเอาผ้าเช็ดหน้าสีเทาอ่อนออกมา ดวงตาสีน้ำตาลใสหันรีหันขวางอยู่ครู่หนึ่งก็เหลือบมองเห็นของที่ต้องการ ชายหนุ่มคว้าไม้ไผ่ออกจากรั้วที่ปักล้อมพุ่มดอกเข็มริมทางเดินมาหักเป็นสองท่อน ปัดเอาเศษฝุ่นออกเล็กน้อยแล้วประกบเข้ากับข้อบาทขาวนวล อีกมือหนึ่งค่อยๆ พันผ้าเช็ดหน้าของตนเองให้รอบ

พริบตาเดียวมนต์ชัยก็เข้า ‘เฝือกอ่อนอย่างง่าย’ ให้กับตุ๊กตาแก้วเจียระไนได้สำเร็จ

นิลมณีทั้งคู่บนดวงพักตร์งามทอดมองบุรุษตรงหน้าด้วยความซาบซึ้ง ดังนั้นเมื่อชายหนุ่มเงยหน้าขึ้นอีกครั้งจึงได้เห็นรอยแย้มสรวลงดงามส่งมาให้พร้อมรับสั่งเรียบง่าย “ขอบพระคุณค่ะ”

“ไม่เป็นไรมิได้กระหม่อม” ร่างในชุดสูทสีเทาอ่อนยิ้มกว้าง มองเนตรหวานซึ้งด้วยแววตาเอื้อเอ็นดู “เอ...หม่อมว่าฝ่าบาทคงต้องย้ายที่ประทับ...”

“หญิงยืนไหวค่ะ” หม่อมเจ้าหญิงอรกัญญาแนบหัตถ์เรียวบางลงกับพื้นอิฐแข็งๆ ยังไม่ทันที่จะทรงพยุงองค์เองลุกขึ้น มนต์ชัยก็รีบห้ามเอาไว้ทันที

“ข้อบาทเคล็ดอย่างนี้ ห้ามเคลื่อนไหวมากเกินสมควรนะกระหม่อม เดี๋ยวจะไม่หายกันง่ายๆ”

“แหม...แล้วจะให้หญิงทำยังไงล่ะคะ?” สุรเสียงใสลากท้ายประโยคเสียงยาวราวกับจะล้อเลียนน้ำเสียงเอาจริงเอาจังของบุรุษตรงหน้า ก่อนจะสรวลน้อยๆ เมื่อกวาดสายเนตรไปรอบด้าน “จะนั่งจ๋องอยู่ตรงนี้ก็คงไม่ได้ด้วย เดี๋ยวคนอื่นๆ ได้เหยียบหญิงตายพอดี”

มือแข็งแรงยื่นมาตรงเบื้องพักตร์อีกครั้งแทนคำตอบ พร้อมกับรอยยิ้มสว่างไสวและน้ำเสียงอ่อนโยน “หากฝ่าบาทไม่รังเกียจ ก็ให้หม่อมช่วยพยุงเถอะ”

ปรางขาวนวลเจือย้อมด้วยสีกุหลาบอ่อนระเรื่อ ตุ๊กตาแก้วเจียระไนได้แต่พยักพักตร์โดยที่ไม่อาจเหลียวไปสบเนตรกับดวงตาคู่คมนั้นได้ มนต์ชัยขยับเข้าใกล้ก่อนจะรับหัตถ์เล็กที่ยื่นส่งมาจับไว้แน่น แล้วค่อยโน้มตัวลงไปประคองวรองค์เล็กบางให้ยืนขึ้นโดยไม่ทิ้งน้ำหนักลงไปยังขาข้างที่เจ็บ

เนตรนิลงามทั้งคู่ได้แต่หลุบลงมองพื้นตลอด “ขอบพระคุณจริงๆ ค่ะ คุณมนต์ชัย”

“อย่าเรียกกระหม่อมเต็มยศอย่างนั้นเลยหม่อม เรียกแค่ คุณชัย แต่ทรงเป็นเพื่อนของณัฐมันนี่นา...ถ้าอย่างนั้นเรียกว่าพี่ชัยก็พอแล้ว...อ้อ พี่ชัยไม่ได้สิ ประเดี๋ยวเหาจะได้กินหัวหม่อมตาย”

คนพูดกลั้วหัวเราะไปด้วยดั่งกำลังอารมณ์ดีหนักหนา ยังผลให้หม่อมเจ้าอรกัญญาต้องเงยพักตร์ขึ้นมาสำรวจคนที่กำลังช่วยประคองพระองค์อยู่อีกครั้ง

บุรุษผู้เป็นพี่ชายของมนต์ณัฐรูปร่างหน้าตาคล้ายกับน้องชาย ทว่ามีส่วนที่เด็ดขาดกว่า เยือกเย็นกว่า อันเป็นสิ่งที่เกิดมาจากประสบการณ์ซึ่งได้สั่งสมมามากกว่าผู้เป็นน้อง ดวงตาคมกริบของมนต์ชัยฉายแววรื่นรมย์น้อยกว่า กระนั้นสิ่งที่เพิ่มเข้ามาในนัยน์ตาคู่นั้นยามที่ทอดมองพระองค์คือความอ่อนโยนที่เขาไม่คิดปิดบัง

แต่แปลก...ที่หม่อมเจ้าหญิงคนงามกลับไม่รู้สึกอึดอัดคับข้องหทัยแม้แต่น้อย

ตุ๊กตาแก้วเจียระไนแย้มริมโอษฐ์ออกกว้าง ก่อนรับสั่งเต็มเสียง “ขอบคุณค่ะพี่ชัย”

สุรเสียงใสแจ๋วคล้ายเด็กน้อยทำให้ชายหนุ่มที่กำลังจะเอ่ยปากขอให้อีกฝ่ายเปลี่ยนคำเรียกขานชะงักนิ่ง แล้วจึงค่อยยิ้มรับ

“ด้วยความยินดีกระหม่อม”



มนต์ชัยพาวรองค์บางไปนั่งพักอยู่ตรงม้านั่งหินอ่อนใต้อาคารเรียนแห่งหนึ่ง ไม่ไกลจากทางเดินเมื่อครู่นักเพราะทรงบอกกับเขาว่ากำลังรอให้รถจากทางวังมารับกลับอยู่ นักศึกษาที่เลิกเรียนทยอยกลับบ้านไปแล้วบางส่วน ชายหนุ่มทรุดตัวลงนั่งบนเก้าอี้ด้านตรงข้าม พลางมองดวงพักตร์งามพิลาศตรงหน้าอย่างชื่นชม

สายลมโชยแผ่วเพียงพอที่จะทำให้เกศาสองสามปอยพลิ้วขึ้นคลอเคลียนวลปรางอ่อนใส เนตรนิลทั้งคู่หลุบลงมองข้อบาทที่ถูกผูกเอาไว้อย่างแน่นหนาด้วยแววกังวลเล็กน้อย ขณะที่ริมโอษฐ์อิ่มสีกุหลาบเม้มน้อยๆ คล้ายกำลังครุ่นคิดถึงสิ่งใดอยู่

“ฝ่าบาท”

“ถ้าหญิงเรียกพี่ว่าพี่ชัยได้ อย่างนั้นพี่ชัยก็เรียกหญิงว่าหญิงอรเถอะค่ะ” หม่อมเจ้าหญิงอรกัญญารับสั่งง่ายๆ ก่อนจะเสริมว่า “หญิงน่ะมีพี่ชายที่สามารถเรียกว่า ‘พี่’ ได้เฉยๆ ไม่กี่คนเองค่ะ อีกอย่าง พี่ชัยก็เป็นพี่ชายเพื่อนหญิงด้วย”

เนตรสีรัตติกาลฉายแววแปลกๆ แวบหนึ่งยามที่เอ่ยคำว่า ‘เพื่อน’ แต่ดูเหมือนหม่อมเจ้าหญิงองค์น้อยจะมิรู้องค์เอง มนต์ชัยนิ่งไปครู่หนึ่งก็คลี่ยิ้ม ตัดสินใจคุยเรื่องที่เขารู้สึก ‘ติดใจ’ ตั้งแต่วันก่อน...

งานวันเกิดของมนต์ณัฐ

“ก็จริง อย่างนั้น ‘พี่’ ต้องขอประทานอภัยก่อนเลยนะครับ พูดตรงๆ เลยว่าพูดแบบธรรมดาสะดวกกว่า หม่อมไปอยู่เมืองนอกมานาน ช่วงปีหลังๆ เกือบจะไม่ได้กลับเมืองไทยเลย พวกธรรมเนียมหรือการพูดเข้าเจ้าเข้านายนี่ก็ลืมไปเกือบหมดแล้ว” ชายหนุ่มเอ่ยเสียงเย้า “ว่าแต่ หญิงอรรู้จักกับณัฐนานหรือยังครับ”

ขนงเรียวขมวดเข้าหากันครู่หนึ่งก่อนสุรเสียงครุ่นคิดเล็กน้อยจะตามมา “น่าจะเกือบครึ่งปีแล้วล่ะค่ะ”

“โอ้ นานเหมือนกันนะนั่น”

“แล้วพี่ชัยล่ะคะ ไปอยู่ต่างประเทศตั้งแต่เมื่อไหร่คะ?”

“จบไฮสคูลก็ไปแล้วครับ”

“เอ...แสดงว่าพี่ชัยรู้จักกับพี่ชายของรดามาตั้งแต่มัธยมแล้วหรือคะ?”

ยังทรงจำได้ถึงวันนั้นที่มนต์ชัยทักทายรุจิรดาด้วยความกระตือรือร้นยิ่งเมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายเป็นน้องสาวของเพื่อนสนิท

“ครับ” ใบหน้าหล่อเหลาสลดลงเล็กน้อย “ผมยังเสียดายไม่หายที่นัยมันเสีย...พวกเราสนิทกันมากครับ ตอนที่ผมไปต่างประเทศ เราก็ยังคงส่งแอร์เมล์หากันอยู่เสมอๆ ไม่นึกเลยว่าเขาจะด่วนจากไปเร็วอย่างนี้...”

ดวงตาสีน้ำตาลกระจ่างมองเหม่อไปเบื้องหน้า ราวกับกำลังหวนรำลึกถึงใครบางคนที่จากไปไกลแสนไกล “ตอนที่ผมรู้ข่าวจากแอร์เมล์ของน้องรดา...ยอมรับว่าตอนนั้นช็อกไปเลย ไม่คิดเลยสักนิดว่านายตำรวจอนาคตไกลอย่างนัยจะตายง่ายๆ แบบนี้ ยิ่งจากไปพร้อมกับครอบครัว แล้วต้องเหลือให้น้องสาวเขาอยู่เพียงลำพังก็ยิ่งไม่อยากจะเชื่อ”

“พี่ชัยไม่เคยเห็นรดามาก่อนหรือคะ?”

หม่อมเจ้าหญิงคนงามรับสั่งถาม พร้อมกับความรู้สึกแปลกใจในองค์เองค่อยๆ เอ่อล้น...

ปกติแล้วทรงรู้องค์เองดีว่าไม่ชอบตรัสอะไรมาก ทรงชอบนั่งนิ่ง ฟังคนอื่นพูดมากกว่าจะเป็นฝ่ายรับสั่งเสียเอง ยิ่งกับ ‘คนแปลกหน้า’ จะยิ่งไม่รับสั่งมากมายถึงเพียงนี้

แต่อาจจะเป็นเพราะมนต์ชัยให้ความรู้สึกอบอุ่น อ่อนโยน คล้ายกับหม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ที่เอื้อเอ็นดูขนิษฐาองค์เดียวอยู่เสมอ หรืออาจจะเป็นเพราะมนต์ชัยให้ความรู้สึกคล้ายคลึงกับมนต์ณัฐ

...เป็นมนต์ณัฐที่อ่อนโยน ใจดีกับพระองค์บ้าง...

“ไม่เคยเห็นครับ” มนต์ชัยตอบเสียงนุ่ม “ดนัยหวงน้องสาวตัวเองมาก พวกผมที่เฮ้วๆ กันเมื่อก่อนนี้หลายคนอยากจะเห็นหน้าน้องสาวมันสักครั้ง แต่มันกลับขู่ว่าถ้าใครเข้าใกล้น้องสาวมันในรัศมีร้อยเมตรจะเลิกคบทันทีเลย มันหาว่าพวกผมจะไปทำน้องสาวมันออกนอกลู่นอกทาง ไม่รู้คิดได้ยังไง”

ท้ายประโยคชายหนุ่มหัวเราะเบาๆ อย่างอารมณ์ดี แววตายังคงเปี่ยมด้วยความรำลึกถึงวันเก่าๆ “ผมน่าจะเป็นคนเดียวกระมังครับ ในรุ่นของพวกเราที่ได้มีโอกาสเห็นลายมือของน้องสาวมัน แล้วตอนนี้ก็ยังได้เห็นหน้าแล้ว จะว่าไปก็สมควรที่มันจะหวงอยู่หรอก”

น้ำเสียงสนุกสนานของร่างในสูทสีเทาทำให้หม่อมเจ้าหญิงองค์น้อยอดที่จะเย้ากลับมิได้ “แต่ว่าเพื่อนๆ ของพี่ชัยก็ต้องได้เห็นรดาก่อนแล้วสิคะ อย่างน้อยก็ตอนงานศพของคุณดนัย”

ดวงตาสีน้ำตาลสว่างหม่นแสงลงเล็กน้อย พร้อมกับที่หม่อมเจ้าหญิงอรกัญญารำลึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อครู่รับสั่งอะไรไป

บ้าจริง! หญิงอร พูดอะไรออกไปไร้กาละเทศะเหลือเกิน!

“หญิง...ขอโทษค่ะ หญิงพูดไม่คิดเอง...”

ชายหนุ่มหันกลับมาหาดวงพักตร์งามที่ยามนี้ก้มงุดพลางรับสั่งด้วยสุรเสียงโศกสลด ก่อนเอ่ยปลอบเสียงทุ้ม “เรื่องมันนานมาแล้วครับ ไม่เป็นไรหรอก จะว่าไปก็จริงเหมือนกัน กลายเป็นว่าผมที่เป็นเพื่อนสนิทที่สุดของนัยมัน ได้เห็นน้องสาวมันเป็นคนสุดท้ายของรุ่นหรอกหรือ โอ้ย...เสียดายจริงๆ”

มนต์ชัยแกล้งส่งเสียงครวญคราง ใบหน้าคมคายฉายแววไม่ยินยอม “ไอ้เราก็หลงว่าตัวเองได้เห็นน้องสาวเพื่อนก่อนคนอื่น พิโธ่เอ๋ย...”

สีหน้าท่าทางเสียดายอย่างสมจริงของร่างสูงทำให้หม่อมเจ้าหญิงองค์น้อยอดไม่ได้ที่จะสรวลตาม ทั้งสองหัวเราะกันอยู่ครู่หนึ่ง ก่อนที่ตุ๊กตาแก้วเจียระไนจะตัดสินพระทัยเปลี่ยนเรื่องคุย

“ว่าแต่ พี่ชัยไปเรียนอะไรทีประเทศไหนคะ?”

“อังกฤษน่ะครับ ผมไปเรียนปริญญาโทรัฐศาสตร์ที่นั่น”

“อังกฤษ...” สุรเสียงอ่อนหวานพึมพำกับองค์เอง จู่ๆ ดวงเนตรก็เบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นพี่ชัยก็ต้องรู้จักพี่ชาย...เอ่อ...หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ด้วยสิคะ เพราะพี่ชายไปเป็นเลขาทูตฯ อยู่ที่นั่นตั้งนาน ก่อนที่จะเพิ่งลาออกมาเมื่อสองสามปีมานี่เอง”

“ครับ ผมรู้จักท่านชายอดุลย์ดี เสียแต่วันก่อนท่านคงไม่ได้สังเกตเห็นผม จึงไม่ได้เอ่ยทักทายกัน ตอนที่ทรงปฏิบัติหน้าที่อยู่ที่ลอนดอน นั้นเราเคยพูดคุยกันบ่อยครั้งพอสมควร เพราะว่าผมจะต้องไปติดต่อเรื่องให้กับนักศึกษาไทยที่ไปอังกฤษอยู่เสมอ เลยพอคุ้นๆ กับเจ้าหน้าที่ทูตอยู่บ้างน่ะครับ... หญิงอร เป็นอะไรครับ...”

ชายหนุ่มเอ่ยทักเมื่อเห็นว่าอีกฝ่ายประทับตัวตรง นั่งนิ่ง ดวงเนตรทอดเหม่อไปด้านหน้าราวกับว่ากำลังครุ่นคิดถึงสิ่งใดอยู่ เขาคิดเพียงครู่เดียวก็พอจะมองออกว่าเหตุใดวรองค์บางจึงนิ่งเงียบไปเช่นนี้

ก็แน่แล้ว...ผู้หญิงที่ไหนจะอยากรับฟังเรื่องปัญหาของนักเรียนไทยในต่างแดนกันเล่า

คิดได้เช่นนั้น ประโยคต่อมาของมนต์ชัยจึงหาทางเบี่ยงเรื่องอย่างรวดเร็ว “ผมนี่ก็เหลือเกิน ลืมไปเสียดายว่าหญิงอรคงไม่ชอบเรื่องปัญหาจุกจิกพวกนี้หรอก เอาเป็นว่า...”

“พี่ชัยคะ...” สุรเสียงใสขัดขึ้นทันที

“ครับ...”

“หญิงมีเรื่องอยากจะถามพี่ชัยบางอย่างค่ะ” หม่อมเจ้าหญิงอรกัญญาหันมาสบเนตรเข้ากับดวงตาของชายหนุ่มอย่างแน่วแน่ “หญิงอยากให้พี่ชัยตอบตามตรง ถือว่ากรุณาต่อหญิง ได้ไหมคะ?”

ความหนักแน่นจริงจังในสุรเสียงหวานนั้นพลอยทำให้ชายหนุ่มชะงักนิ่งไปด้วย ทว่าก็ยังคงพยักหน้าแต่โดยดี “ครับ”

“พี่ชัยทราบเรื่องที่พี่ชายลาออกจากกระทรวงฯ แล้วกลับมาที่เมืองไทยใช่ไหมคะ?”

“ครับ”

“และพี่ชัย...” ประโยคถัดไปของหม่อมเจ้าหญิงคนงามรับสั่งออกมาอย่างชัดเจนเกินกว่าที่เขาจะบ่ายเบี่ยงเป็นอื่นได้ “...ทราบสาเหตุที่แท้จริงของการลาออกของพี่ชายใช่ไหมคะ?”

คำถามนี้ส่งให้มนต์ชัยถึงกับนิ่งงัน

แววเนตรวาววับที่สาดประกายแน่วแน่นั้นบ่งบอกให้เขารู้แน่ชัดโดยไม่ต้องเอ่ยถาม

...หม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ต้องไม่เคยรับสั่งถึงสาเหตุของการลาออกที่แท้จริงให้ผู้เป็นขนิษฐาฟังเป็นแน่

ซึ่งหากเปลี่ยนเป็นเขาก็อาจจะทำดุจเดียวกัน เรื่องนี้เกี่ยวพันถึง ‘อนาคต’ ของใครบางคน หรืออาจจะหลายคน และแน่นอนว่าต้องเกี่ยวพันมาถึงชื่อเสียงของผู้ที่ทรงรักมากที่สุด

ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อเขากลับมาที่นี่ ได้มาเจอขนิษฐาองค์น้อยของหม่อมเจ้าอดุลยวิทย์ นั่นก็ยิ่งทำให้เขาแน่ใจถึงอีกสาเหตุหนึ่งที่ผลักดันให้ทรงลาออกมากยิ่งขึ้น...

แต่เขาควรจะพูดออกไปละหรือ?

ร่างสูงสง่าตัดสินใจพยักหน้าเชื่องช้า “ผมรู้ครับ”

ถึงจะไม่รู้ทั้งหมด แต่เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในตอนนั้นก็ถือว่า ‘ดัง’ ในหมู่เจ้าหน้าที่ทูตที่ประจำอยู่ลอนดอนพอสมควร และเมื่อเขานำเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เหล่านั้นมาปะติดปะต่อกันก็สามารถเดาถึงสาเหตุแท้จริงนั้นได้ไม่ยาก...แต่ไม่หมด

วรองค์น้อยขยับองค์เข้าไปใกล้เขาพลางรับสั่งร้อนรน “พี่ชัยคะ ถือว่ากรุณาแก่หญิงเถอะค่ะ พี่ชายน่ะไม่เคยเล่าเรื่องนี้ให้หญิงฟังเลยสักครั้ง หญิงกลัว กลัวว่าตนเองจะกลายเป็นสาเหตุที่ทำให้พี่ชายลาออก...”

สุรเสียงท้ายประโยคสั่นระริกราวกับว่าความหวาดกลัวนั้นฝังลึกอยู่ในหทัยทุกขณะจิต

มนต์ชัยได้แต่มองอีกฝ่ายอย่างเห็นใจ ริมฝีปากบางเผยอขึ้นเล็กน้อย “หญิงอร...”

“มาอยู่ตรงนี้กันได้ยังไงน่ะ พี่ชัย หญิงอร?”

หม่อมเจ้าหญิงอรกัญญารีบเงยพักตร์ขึ้นมองผู้มาใหม่ทันที ก่อนสุรเสียงหวานจะครางแผ่ว

“ณัฐ...”

“หม่อมคงไม่ได้มาขัดจังหวะอะไรกระมัง?” มนต์ณัฐในชุดนักศึกษาสีหน้าเรียบตึง น้ำเสียงห้วนห้าวยามหันกลับมาหาผู้เป็นพี่ “ผมนึกว่าพี่จะรออยู่ตรงหน้าคณะซะอีก”

น้ำเสียงเรียบๆ ทว่าแฝงรอยไม่พอใจบางอย่างของน้องชาย ทำให้ผู้สูงวัยกว่าเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อย ดวงตาสีน้ำตาลใสดุจเดียวกับชายหนุ่มในชุดนักศึกษากระจ่างวูบคล้ายจับอะไรบางอย่างได้เลาๆ

ผู้เป็นพี่ยักไหล่ ตอบด้วยรอยยิ้มกว้าง “พอดีฉันเจอ ‘หญิงอร’ เลยมานั่งคุยกันน่ะ”

มนต์ณัฐและหม่อมเจ้าหญิงอรกัญญาเหลียวไปมองคนพูดพร้อมกัน ริมโอษฐ์ราชนิกูลสาวเผยอขึ้นเล็กน้อยราวกับจะท้วงที่อีกฝ่ายเมินเฉยต่อข้อเท็จจริงอีกประการหนึ่ง

‘ที่เรามานั่งคุยกันตรงนี้เพราะขาหญิงเจ็บนะคะ!’

ใบหน้าคมคายของมนต์ณัฐฉายแววตกตะลึงครู่หนึ่ง

“สนิทกันเร็วดีนี่” ในที่สุดน้องชายก็เอ่ยปากออกมาได้ หลังจากคิดหาคำพูดเหมาะๆ อยู่นานแต่ก็ไม่อาจกล่าวคำใดออกมา “ไม่ทราบว่า ‘ฝ่าบาท’ จะประทานพี่ชายหม่อมคืนได้หรือยังกระหม่อม พอดีหม่อมอยากกลับบ้านแล้ว วันนี้เหนื่อยเหลือเกิน มีงานต้องสะสางเยอะเทียว”

คราวนี้ดวงเนตรงามเบิกกว้างยิ่งขึ้นกว่าเดิม

มนต์ณัฐเป็นอะไร ปกติเขาไม่เคยใช้คำพูดห่างเหินกับพระองค์อย่างนี้นี่นา แล้วยังแววตาที่เหมือนกำลังหงุดหงิด โกรธ ไม่ชอบใจที่ผสมปนเปกันไปหมดนั่นอีกเล่า...

เขาเป็นอะไรกันแน่นะ?

สุทธาธิกรคนพี่หันไปหาวรองค์เล็ก ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วค่อยค้อมกายลงเล็กน้อย “ถ้าอย่างนั้นผมไปก่อนนะ แล้วเจอกันใหม่ครับ ‘หญิงอร’ ”

น้ำเสียงทุ้มนุ่มที่ย้ำน้ำหนักตรงท้ายประโยคทำให้สีหน้าของมนต์ณัฐย่ำแย่ขึ้นไปอีก ริมฝีปากหยักได้รูปเม้มแน่นระงับโทสะที่จู่ๆ ก็พลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างรวดเร็วเอาไว้แล้วเอ่ยเสียงเย็น “หม่อมทูลลา”

ความเฉยชาที่ชายหนุ่มแสดงออกทำให้หทัยดวงน้อยเจ็บร้าวราวถูกกรีด หากแต่เมื่อทรงแสดงออกถึงความรู้สึกภายในมิได้ หม่อมเจ้าหญิงองค์น้อยจึงได้แต่หันไปหามนต์ชัย จับเนตรไปที่ชายหนุ่มเพียงผู้เดียวแล้วรับสั่งลาอ่อนหวาน “ไว้เจอกันใหม่นะคะ ‘พี่ชัย’ “

ร่างสูงของสุทธาธิกรคนน้องหันหลังกลับ ก้าวเดินฉับๆ ออกไปทันทีราวกับถูกอะไรบางอย่างไล่ล่า ปล่อยให้พี่ชายของตนเองหันมาค้อมศีรษะแก่วรองค์เล็กอีกครั้งหนึ่งแล้วจึงค่อยเดินตามจากไป ทิ้งตุ๊กตาแก้วเจียระไนไว้เบื้องหลัง...

เนตรสวยพลันมองภาพตรงหน้าไม่ชัดขึ้นทันที ไม่ทันที่จะทรงหาสาเหตุ หยาดน้ำใสหยดหนึ่งก็ร่วงลงจากนิลมณีคู่นั้น กลิ้งตัวลงไปตามปรางนวล แล้วหยดลงบนพื้นโต๊ะหินอ่อนอย่างเงียบงัน



“พี่ไปคุยอะไรกับหญิงอรน่ะ”

“คุยอะไร? หมายความว่ายังไง?”

“ก็หมายความตามที่พูดทุกคำ” มนต์ณัฐที่เดินนำหน้าพี่ชายไปยังรถยนต์หันขวับไปมองคนเบื้องหลังอย่างรวดเร็ว “พี่คุยอะไรกับหญิงอร คุยกันนานแล้วหรือ สนิทกันถึงขนาดที่ให้หญิงอรเรียกพี่ว่าพี่เฉยๆ เลยหรือ?”

“แกก็รู้ว่าฉันคุยภาษาเจ้าภาษานายไม่ถนัดปาก” มนต์ชัยเบี่ยงประเด็นด้วยน้ำเสียงสบายๆ

“แต่พี่กับหญิงอรแค่เจอกันไม่กี่ครั้งเองนะ” อีกฝ่ายยังไม่ยอมจบง่ายๆ

ร่างสูงในชุดสูทสีเทาเปิดประตูรถฝั่งข้างคนขับ ขยับตัวเข้าไปนั่งเรียบร้อยแล้วจึงโยนกุญแจรถให้น้องชายที่เข้านั่งประจำที่คนขับพร้อมกับปิดประตูตามรวดเร็ว “แกหาว่าพี่ไม่รู้จักกาละเทศะเรอะ?”

“ทีอย่างนี้ล่ะใช้สุภาษิตถูกนี่ ไม่เห็นใช้ภาษาไทยไม่คล่องตรงไหน” ผู้เป็นน้องยังคงเสียงแข็ง

มนต์ชัยยักไหล่ “แล้วถ้าฉันจะคุยกับ ‘หญิงอร’ นานเท่าไหร่แล้วมันเป็นยังไง?”

สีหน้ามนต์ณัฐไม่น่าดูยิ่งขึ้นเมื่อพี่ชายยังคงย้ำพระนามย่อของตุ๊กตาแก้วเจียระไนด้วยน้ำเสียงสนิทสนม

...นั่นเพื่อนเขานะ! จะพูดจะคุยอะไรกันก็ถามเขาก่อนได้ไหมเล่า! จู่ๆ ข้ามหัวกันอย่างนี้มันใช่ได้รึ!

“ ‘หญิงอร’ ” ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาย้ำเสียงหนักบ้าง ก่อนจะพารถออกวิ่งกลับบ้าน “เป็นเพื่อนผมนะ พี่จะคุยกกับเพื่อนผมแล้วไม่ให้ผมรู้บ้างเลยหรือไง?”

“ก็แล้วถ้าเป็นแค่เพื่อน แกจะเดือดร้อนทำไมฮึ!” คนเป็นพี่ตั้งกระทู้ถาม ดวงตาฉายแวววิบวับ

ถูกโยนปัญหามาให้ตอบอย่างนี้ มนต์ณัฐได้แต่นิ่งอึ้ง สุดท้ายจึงได้แต่เอ่ยเสียงกระแทก “เอาเป็นว่าเขาเป็นเพื่อนผม ถ้าพี่จะคุยกับหญิงอร พี่ต้องให้ผมรู้ เข้าใจไหม?”

มนต์ชัยหันไปมองทิวทัศน์จากกระจกข้างด้วยสีหน้าสนอกสนใจเต็มที่

“พี่ชัย! ฟังที่ผมพูดก่อนสิ พี่ต้องตอบว่าเข้าใจ เข้าใจไหม?”

สุทธาธิกรคนพี่เหลือบตาแลน้องชายด้วยแววตาสนุกสนาน “เออๆ เข้าใจแล้ว พอใจหรือยัง?”

คนเป็นน้องทำหน้ามุ่ย

ดวงตาสีน้ำตาลคมกริบของมนต์ชัยดูหน้าน้องชายอย่างขบขัน ก่อนจะมองไปตรงข้อมือแข็งแรงที่กำลังจับพวงมาลัยรถเอาไว้หลวมๆ แล้วก็ได้เห็นนาฬิกาเรือนสวยซึ่งด้านในสลักเป็นชื่อคนใส่สะท้อนแสงสุดท้ายของวันเป็นประกายสดใส จำได้ว่าเป็นเรือนเดียวกับที่น้องชายเขาแกะออกจากกล่องของขวัญวันเกิดของท่านหญิงคนงามผู้นั้น

ใบหน้าคมคายถึงกับส่ายไปมาเล็กน้อยอย่างเอ็นดู

ดีจริง ใส่นาฬิกาที่เขาให้ แล้วก็ยังมีหน้าไปมึนตึงใส่คนให้อีก แค่เพียงเพราะคุยอยู่กับเขาเท่านั้นน่ะนะ...


อย่างนี้ถ้าดูไม่ออกว่ามนต์ณัฐกำลัง ‘หึง’
เขาก็ไม่ใช่พี่ชายมันแล้ว...



ปณัชญา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 เม.ย. 2558, 17:02:32 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 เม.ย. 2558, 17:02:32 น.

จำนวนการเข้าชม : 1635





<< บทที่ 12 [30%]   บทที่ 13 [50%] >>
phakarat 1 เม.ย. 2558, 17:24:29 น.
เย้ๆมาแล้วหายไปนานเลย


lovemuay 1 เม.ย. 2558, 17:30:21 น.
ถ้าณัฐไม่รู้ใจตัวเองเร็วๆ จะเชียร์พี่ชัยแล้วนะ หล่อกว่าตั้งเยอะ 555


OhLaLa 1 เม.ย. 2558, 19:35:00 น.
ในที่สุด ก็ได้อ่านต่อนะคะ หมั่นไส้ณัฐทำหญิงอรร้องไห้อีกแล้ว แต่ว่าใจคอหนุ่มๆ ปล่อยสาวที่บาดเจ็บไปเลยหรอคะ น่าจะรอส่งขึ้นรถก่อนนะคะ


sunflower 1 เม.ย. 2558, 22:49:38 น.
หายไปนานเลยค่ะ


Pat 1 เม.ย. 2558, 22:58:06 น.
หายไปนานเลย . ณัฐมัวแต่หึงหวง ไม่สังเกตุบ้างเลยนะว่าหญิงอรขาเจ็บ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account