หิรัญมยุรา
หนึ่งสง่างามเยี่ยงบุรุษกล้า ร้อนแรงดั่งมณีแห่งทิวา เหี้ยมหาญดุจราชสีห์
หนึ่งงดงามกว่าอิสตรี เยือกเย็นดุจมณีแห่งรัตติกาล อำมหิตเยี่ยงอศิรวิษ

สองผู้ทรงอำนาจ ประกาศ "ข้าไม่มีหัวใจให้สตรีใด"

เหตุใดเล่าเหตุใด ...สองหทัยสยบอยู่ใต้บาทของสตรีนางเดียว!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: กาลกิณีของกษัตริย์(๒)

ก่อนที่นางจะกระวีกระวาดลงจากเตียง ประตูถูกเปิดออก สตรีชาวอัครานางหนึ่งก้าวเข้ามา นางแต่งกายสวยงามด้วยชุดผ้าไหมสีส้มปักลูกปัดทองเหลือง แม้จะล่วงเข้าวัยกลางคนแต่กลับสามารถรักษาทรวดทรงให้บอบบางดุจสาวแรกรุ่น เครื่องสำอางที่โปะลงบนใบหน้าอย่างหนาจัดและประณีตปกปิดริ้วรอยแห่งวัยจนมิดชิด

นางก้าวเข้ามานั่งลงบนเก้าอี้ไม้กลางห้องซึ่งคล้ายจะจัดไว้รอท่า ไม่ช้า หญิงชรานางหนึ่งก็ก้าวเข้ามา นางพยายามประคองถาดอาหารมาวางไว้บนเตียงข้างกายชาณธรีก่อนจะเดินก้มหน้าก้มตากลับออกไปโดยไม่ลืมหับประตูให้มิดชิด

ในมือเรียวงามของสตรีชุดสีส้มคือก้านหางนกยูงตัวผู้สีเขียวมรกต นางยกขึ้นชี้ไปที่ถาดอาหารอย่างไม่ใส่ใจนัก

“ถ้าหิวก็กินซะ กินไปคุยไปเสียก็ได้ ข้าไม่วางยาเจ้าหรอก เรามีเรื่องต้องพูดกัน”

ชาณธรีนิ่งลง จำจากบทสนทนาที่ได้ยินอย่างเลือนรางได้ นางถูกขายมาอยู่ในสถานที่ที่มีนางคณิกา

“ที่นี่คือนครโสเภณีอย่างนั้นหรือ”

ผู้ปกครองสำนักนางโลมเผยอปาก กะพริบตา ประหลาดใจ ดรุณีบนเตียงกล่าวด้วยน้ำเสียงราบเรียบ แววตากระจ่างใส กิริยาสงบไม่แตกตื่น ช่างแตกต่างจากสตรีก่อนหน้าที่ถูกล่อลวงมาขังในห้องนี้ อีกทั้งน้ำเสียงยังผิดจากสตรีทั่วไป หญิงงามส่วนใหญ่มักมีเสียงกังวานใส แต่สตรีนางนี้กลับมีน้ำเสียงทุ้มต่ำกว่าเล็กน้อย เป็นเสียงที่เยือกเย็น สะกดให้คนฟังได้อย่างชะงัด
นางชื่นชอบน้ำเสียงแบบนี้

“ที่นี่คือสำนักนางโลมของข้า นามว่าดาราสรวง ตั้งอยู่ในนครโสเภณีแห่งป้อมมาคันทิยา”

อีกฝ่ายทำแค่พยักหน้าเงียบๆ

“เจ้าชื่ออะไร”

“ชาณธรี เรียกว่าชาณก็ได้”

“ข้าชื่อศิกา เจ้าควรเรียกว่ามารดา”

“ท่านไม่ใช่แม่ของข้า”

“ข้าเป็น ‘แม่’ของผู้หญิงทุกคนในสำนักนางโลมแห่งนี้ หากเจ้ายังไม่อยากเรียกข้าในตอนนี้ ก็ต้องเรียกข้าว่าเจ้าสำนักดาราสรวงเหมือนคนนอก”

หญิงสาวพยักหน้ารับพลางชี้นิ้วไปยังแหวนไพลินบนนิ้วนางของอีกฝ่าย

“ท่านกล่าวว่ามีเรื่องจะคุยกับข้า แต่ก่อนที่เราจะเริ่มคุยกัน ท่านเจ้าสำนักดาราสรวง ข้าอยากได้แหวนของข้าคืน”
ศิกากรีดนิ้ว มองแหวนที่นางยึดมา แหวนทองคำสลักลายประณีตงามประหลาดแต่สำคัญที่สุดคือไพลินสีฟ้าน้ำงามหายาก สีฟ้ากึ่งน้ำเงินเฉดนี้มีคนกล่าวขานว่ามันคือสีของผิวน้ำทะเล ณ จุดที่ลึกที่สุด ทว่าทะเลเป็นอย่างไร นางยังไม่เคยรู้เลย

ไม่น่าเชื่อว่าสตรีอนาถาจะครอบครองแหวนที่ทรงคุณค่าเช่นนี้ไว้

“ข้าพอใจแหวนวงนี้ ทางที่ดีเมื่อเจ้าจะอยู่ที่นี่ เจ้าควรทำตัวเป็นคนใจกว้าง หัดเสียสละสิ่งเล็กๆน้อยๆเพื่อผูกไมตรีกับข้าไว้บ้าง”

นางหัวเราะ “ข้าเกรงว่าจะหาเรื่องโชคร้ายให้ท่านเพราะแหวนวงนั้น มารดาให้ข้าไว้ก่อนตาย ท่านรู้ว่าเมื่อท่านตายไป ข้าก็ไร้ญาติขาดมิตร ท่านจึงนอนหลับไม่ใคร่สนิทนัก ในยามนี้ก็มีคนหลอกลวงข้ามาขาย อีกทั้งยังมาช่วงชิงแหวนที่ท่าน-เคย-สวม-ใส่-ไปอีก ข้าเกรงว่า..คืนนี้ท่านอาจจะ..”

แก้วตาสีนิลทั้งคู่ของศิกาเคลื่อนไปทางขวา เป็นดวงตาในยามที่มนุษย์ครุ่นคิดลังเลก่อนจะแปรเปลี่ยนกลับมาเป็นแววตานิ่งสนิทเช่นเดิม

“ข้าไม่เชื่อเรื่องผีสางนางไม้”

“ท่านจะลองดูก็ได้ แต่หากคืนนี้มารดาของข้าไม่คิดละเว้นชีวิตท่านก็เกรงว่าท่านจะไม่มีโอกาสได้มองเห็นรุ่งอรุณของวันพรุ่ง”

“เจ้าคิดว่าจะเอาผีแม่เจ้ามาขู่ข้าได้อย่างนั้นหรือ ไม่มีทาง”

สตรีนางนั้นยิ้มหวาน รอยยิ้มเปี่ยมด้วยจริตมารยาจนหญิงสาวอยากลากนางไปให้พี่อิลลานอนตะปบเล่นในป่าสักคืน

“เรื่องที่ท่านจะคุยด้วยเกี่ยวกับข้าใช่หรือไม่”

“ใช่”

“คือ..ถ้าข้ามีข้อเสนอที่ดีกว่า ถึงอย่างไรผลประโยชน์ก็เป็นสิ่งสำคัญสำหรับท่าน หากท่านคิดจะขายข้า ท่านจะขายข้าในราคาเท่าไร”

“หนึ่งหมื่นกษาปณะ!”

ชาณธรีหน้าซีดเผือด ผู้หญิงคนนี้ช่างขูดเลือดขูดเนื้อที่สุด! ซื้อนางมาแค่สิบกษาปาณะแต่กลับค้านางถึงหนึ่งหมื่นเหรียญทอง!

“นี่คือเรื่องที่เราต้องคุยกัน อย่างแรกที่สิ่งที่ข้า เจ้าสำนักดาราสรวงจะต้องแจ้งให้เจ้าทราบ หากเจ้าต้องการจะออกไปจากที่นี่ มีอยู่สองทาง คือหาบุรุษที่สามารถจ่ายเงินหนึ่งหมื่นกษาปณะให้ข้าและขอให้เขาซื้อเจ้าไป อีกทางคือเจ้าจะต้องหาเงินหนึ่งหมื่นกษาปณะมาไถ่ตัวเอง”

“ข้าขอพูดถึงข้อเสนอใหม่”

“ว่ามา”

“ข้าเล่นดนตรีได้และมั่นใจว่าฝีมือดีกว่านักดนตรีของท่านด้วย หากท่านต้องการเงิน ท่านน่าจะใช้ประโยชน์จากความสามารถของข้ามากกว่าจะขายเรือนร่างของข้า ข้าได้ยินท่านพูดว่าหน้าตาของข้าไม่สวยนักเพราะฉะนั้นกว่าที่จะมีชายใดพึงพอใจข้า ท่านจะต้องสูญสิ้นเงินทองไปเท่าไร ท่านคงไม่ให้ข้าใส่เสื้อผ้าเก่าๆโทรมๆ ปราศจากเครื่องตกแต่งประทินโฉมออกไปตากหน้ารับแขกกระมัง”

คนฟังแค่นเสียงหัวเราะ “เจ้าคงไม่คิดว่าเหรียญทองหนึ่งหมื่นกษาปณะจะสามารถหาได้ง่ายเหมือนนั่งเก็บกรวดทรายสักร้อยสองร้อยเม็ดกระมัง เพราะฉะนั้นจงรู้เอาไว้ว่า เพื่อเงินจำนวนนั้น ข้ายินดีที่จะ-ลง-ทุน- เพราะฉะนั้นข้อเสนอของเจ้า ข้าขอปฏิเสธ”

“เช่นนั้น ข้าขอถาม”

“ว่ามา”

“สตรีราคาหนึ่งหมื่นกษาปณะ ใครสามารถซื้อได้บ้าง”

“ก็ไม่มากนักหรอก อย่าง..พ่อค้าคหบดีที่ร่ำรวยและคลุ้มคลั่งรักเจ้า ขอแค่อย่าให้เขาฉลาดคิดได้ว่าควรเอาเงินจำนวนนี้ไปลงทุนให้งอกเงยในด้านการค้ามากกว่าจะซื้อผู้หญิงหน้าตาธรรมดาอย่างเจ้าไปเลี้ยง”

นางกำลังถูกด่าใช่หรือไม่...ใช่สิ

“นอกเหนือจากนั้นก็...ที่ตัดสินใจจ่ายได้ง่ายขึ้นหน่อยควรเป็นบุรุษที่มีตำแหน่ง มีเบี้ยหวัดหรือศักดินาอย่างขุนนางปกครองชั้นสูง เสนาบดี หรือแม่ทัพชั้นอักเษาหิณีบดี..หรือ..”

อย่างนี้หรือไม่มาก “ขายข้าในราคาหนึ่งแสนกษาปณะ!”

ศิกาอ้าปากค้างก่อนจะระเบิดเสียง

“จะบ้ารึ! ผู้หญิงราคาหนึ่งแสนกษาปณะมีแต่พระราชาเท่านั้นที่ซื้อได้!”

ชาณธรีดีดนิ้วเปาะ ตรงกับความต้องการของนางเลย ในที่สุดก็เหลือคนเดียว!

เจ้าสำนักดาราสรวงเหยียดยิ้มอย่างสมเพช

“ตอนแรกข้าคิดว่าเจ้าเป็นคนฉลาด ถึงกับกล้าต่อรองกับข้า แต่ตอนนี้ข้าคิดว่าเจ้าช่างโง่งมนัก ระรี้ระริกอยากมีวาสนาขึ้นไปเป็นนางข้าบาทบริจาริกาโดยหารู้ไม่ว่านางสนมของกษัตริย์แห่งอัครา อย่าว่าจะต้องมีรูปโฉมงามหยาดฟ้ามาดินเลย อย่างน้อยก็ต้องมีชาติกำเนิดเป็นบุตรีขุนน้ำขุนนาง มิใช่สตรีสามัญชน”

“หากพระองค์ทรงพอพระทัย ใครจะพูดอะไรได้” คนพูดยักไหล่ “แล้วที่ว่างามหยาดฟ้ามาดินนั่นอีกเล่า ใครจะสามารถคาดเดาน้ำพระทัยของกษัตริย์ จริงอยู่ ธรรมชาติของพระองค์แม้ปรารถนาจะเชยชมราชินีแห่งมวลดอกไม้เยี่ยงดอกนวาระ แต่หากอุทยานทั้งอุทยานมีแต่นวาระ นวาระและนวาระ บางเวลาอาจจะทรงเบื่อหน่ายจนคว้าดอกหญ้าขึ้นมาดอมดมบ้างก็ได้”

“ไร้สาระ ข้าไม่ยอมขึ้นราคาให้เจ้า!”

“นี่..หนึ่งแสนกษาปณะเชียวนะ”

“ข้า-ไม่-ได้-โง่!...”

ชาณธรีหัวเราะคิก

“มารดา” นางลงทุนเรียกคำนี้เชียวนะ “ข้าพูดก็เพราะว่าท่านไม่ได้โง่ ท่านกล่าวว่ามีอยู่สองทางที่ข้าสามารถออกไปจากที่นี่ได้ หนึ่งคือหาผู้ชายมาไถ่ตัวข้าหรือสอง ข้าหาเงินมาไถ่ตัวเอง จริงอยู่ ท่านอาจจะคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้ที่จะมีชายใดยอมใจป้ำยอมทุ่มทุนซื้อข้าในราคาหนึ่งแสนเหรียญทอง แต่ท่านลืมไปแล้วหรือว่าท่านให้ข้าหาเงินไถ่ตัวเองได้”

“เฮอะ! ในยามนี้เจ้าไม่มีแม้แต่ครึ่งมาศก!”

“ในยามนี้ไม่มีก็ใช่ว่ายามหน้าจะไม่มี ยาจกพลิกชะตาขึ้นเป็นเศรษฐีได้ก็มีถมไป ข้าเองก็มีมือมีเท้าและอันที่จริง เราเพิ่งพบกันครั้งแรก ท่านเองก็ยังไม่รู้จักข้าดีพอ”

นัยน์ตาของศิกาเคลื่อนไปทางขวา นางลังเลอีกแล้ว ชาณธรีแสร้งยักไหล่เบาบาง

“เอาเป็นว่าข้าพูดแค่นี้ นอกเหนือจากนั้นก็แล้วแต่ท่าน จะขายข้าไปเป็นนางบำเรอของคหบดีด้วยราคาหนึ่งหมื่นกษาปณะก็ตามใจท่าน ในเมื่อท่านเลือกที่จะพลาดหนึ่งแสนกษาปณะมาโอบไว้ในอ้อมกอดก็ไม่ใช่เรื่องของข้า ท่านไม่ใช่คนโลภนี่นะ หนึ่งแสนมากกว่าหนึ่งหมื่นแค่สิบเท่าเท่านั้นเอง”

“ข้ารู้ว่าเจ้าโก่งค่าตัวเพื่อรั้งเวลา คนสามัญธรรมดาไม่มีทางจ่ายเพื่อผู้หญิงคนเดียวถึงหนึ่งแสนกษาปณะแน่!”

นางตัวน้อยทำหน้าเมื่อย แหงนหน้ามองเพดาน ที่ต้องการพูดก็พูดออกไปหมดแล้ว ไม่มีสิ่งใดจำเป็นต้องกล่าวซ้ำ
เห็นดรุณีนางเงียบนิ่งเช่นนั้น ศิกาก็ถอนหายใจ หากนางยอมประกาศออกไปว่าจะขายโสเภณีนางใหม่ด้วยราคาเท่ากับกษัตริย์แห่งอัคราตบแต่งสนมนางหนึ่งเช่นนี้ สำนักนางโลมดาราสรวงไม่วายกลายเป็นข่าวใหญ่สะท้านสะเทือน อีกทั้งดาวเด่นแห่งสำนักอย่างจันทราเทวีที่สวยมากกว่าแต่มีราคาแค่สามหมื่นกษาปณะจะต้องปรี่เข้ามาฉีกอกนาง แต่แววตาโอหังของสตรีเบื้องหน้ากลับทำให้นางอยากลองดีนัก

สตรีนางนี้เป็นใคร มาจากไหน จะเก่งแต่ปากพูดหรือไม่

นางลุกจากเก้าอี้ ก้าวเดินไปยังประตู วินาทีสุดท้ายนั่นเองที่นางตัดสินใจหยุดเท้าทั้งสอง หันกลับมา

“ข้าจะให้เวลาเจ้าหนึ่งเดือน แค่หนึ่งเดือนที่เจ้าจะมีค่าตัวถึงหนึ่งแสนกษาปณะ หากเจ้าทำได้ดังปากว่าข้าจะคืนแหวนวงนี้ให้เจ้าแล้วปล่อยเจ้าไป แต่หากเจ้าหาทองคำหนึ่งแสนเหรียญมาให้ข้าไม่ได้ ข้าจะสั่งเฆี่ยนเจ้าให้ยับแล้วจับเจ้าไปเปลือยกายขายในตลาดทาส ถึงตอนนั้น ต่อให้ขายได้แค่มาศกเดียวข้าก็เอา!”

“ขอบคุณเจ้าค่ะ มารดา”

ฟังน้ำเสียงล้อเลียนนั่นสิ เจ้าตัวกระจ้อยนั่นไม่ได้หวาดกลัวนางเลย!

แม้จะยังขุ่นเคืองไม่หายแต่ผู้ปกครองสำนักดาราสรวงก็ไม่วายยิ้มอย่างอารมณ์ดี ในใจลึกๆมีเค้าลางสังหรณ์ว่านางเพิ่งได้ของดีมาในราคาแค่สิบกษาปณะ อย่างน้อยเท่าที่เห็น เด็กคนนี้กล้าหาญและสามารถควบคุมตัวเองอย่างที่นางไม่เคยเจอะเจอมาก่อน ทำให้นางอดนึกเปรียบเทียบกับเด็กสาวที่นางฟูมฟักและเครี่ยวกรำอยู่ในขณะนี้ไม่ได้ นางกำลังกลุ้มใจ เด็กที่ไม่รู้จักของหายากอย่าง ‘กาลกิณีของกษัตริย์’ จะวางใจให้สืบทอดหน้าที่ต่อจากนางได้อย่างไร

หรือนางต้องเปลี่ยนตัว ‘ทายาท’ แล้วกระมัง

ศิกาหยุดเดิน มือข้างหนึ่งยื่นปลายขนหางนกยูงแตะลงบนกลีบนวาระสีแดงสดหรือกุหลาบสีโลหิตอันกิ่งก้านเต็มไปด้วยขวากหนามแหลมคม มืออีกข้างยืดนิ้ว ดวงตาชื่นชมแหวนพลอยไพลินสีฟ้าใส ริมฝีปากแย้มยิ้มเหี้ยมเกรียม

‘ชาณธรี หากเจ้าล้มเหลว ข้าจะทำให้เจ้าจะตกนรกทั้งเป็นที่ตลาดค้าทาส แต่หากเจ้าสามารถพลิกชะตาหาทองคำหนึ่งแสนกษาปณะมาให้ข้าได้ภายในเดือนเดียว ข้าคนนี้จะไม่ยอมให้เจ้าจากไปเพราะบททดสอบนั่นได้พิสูจน์แล้วว่าเจ้าคือคนที่ข้าตามหามาทั้งชีวิต

ข้าจะทำให้เจ้ายิ่งใหญ่ที่สุดในนครโสเภณีเลยทีเดียว!’



สร้อยดอกหมาก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 1 เม.ย. 2558, 19:55:38 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 1 เม.ย. 2558, 20:59:45 น.

จำนวนการเข้าชม : 1609





<< ตอนที่ ๑ กาลกิณีของกษัตริย์(๑)   
สร้อยดอกหมาก 1 เม.ย. 2558, 20:01:03 น.
คุณแว่นใส เชื่อว่าหลังจากอ่านตอนนี้แล้ว อาจรู้ว่านางสามารถทำได้ยิ่งกว่าทำให้เมืองล่มจมค่ะ 5555

คุณ Zephyr รอเดินไปหาเรื่อยๆ แม้จะยาวไกล เดี๋ยวก็ไปถึง

คุณอสิตา ขอบคุณค่ะที่มาอ่าน นางมีของดีที่ผู้หญิงหลายคนอยากได้เนอะ หุหุ


แว่นใส 1 เม.ย. 2558, 20:28:36 น.
อย่าแกล้งลูกของครีษมายันกับอมันตราขนาดนั้นเลย เด็กกำพร้าทั้งคู่เลยนะ


Zephyr 1 เม.ย. 2558, 21:44:57 น.
มารดา ท่านจะเลวกลับคำพูดตั้งแต่แรกๆเลยหรือ
จริงใจหน่อยเถอะ ยื่นและรับข้อเสนอกันแล้ว
ให้ตามนั้นสิคะ


สิรินดา 21 ต.ค. 2558, 21:03:42 น.
(^___^))


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account