หิรัญมยุรา
หนึ่งสง่างามเยี่ยงบุรุษกล้า ร้อนแรงดั่งมณีแห่งทิวา เหี้ยมหาญดุจราชสีห์
หนึ่งงดงามกว่าอิสตรี เยือกเย็นดุจมณีแห่งรัตติกาล อำมหิตเยี่ยงอศิรวิษ
สองผู้ทรงอำนาจ ประกาศ "ข้าไม่มีหัวใจให้สตรีใด"
เหตุใดเล่าเหตุใด ...สองหทัยสยบอยู่ใต้บาทของสตรีนางเดียว!
หนึ่งงดงามกว่าอิสตรี เยือกเย็นดุจมณีแห่งรัตติกาล อำมหิตเยี่ยงอศิรวิษ
สองผู้ทรงอำนาจ ประกาศ "ข้าไม่มีหัวใจให้สตรีใด"
เหตุใดเล่าเหตุใด ...สองหทัยสยบอยู่ใต้บาทของสตรีนางเดียว!
Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้
ตอน: ตอนที่ ๑ กาลกิณีของกษัตริย์(๑)
ผู้คนกล่าวขานกันว่าแคว้นอัครามีเรื่องเล่าโศกสลดของพระราชาอย่างไม่ยอมเลิกรา
เริ่มต้นด้วยเทวตำนานของเทพนารีที่พวกเขานับถืออย่างนางชะยาเทวี มีเรื่องเล่าว่าเมื่อครั้งบรรพกาล กลุ่มคนผิวชาวร่างสูงโปร่ง มีความสามารถในการยิงธนูเป็นเลิศปรารถนาจะก่อร่างสร้างอาณาจักรแต่ปราศจากความรู้และวิทยาการเฉกอารยชนพึงมี พวกเขาจึงเกณฑ์บุรุษชาตินักรบทั้งหมด จัดพิธีบวงสรวงยาวนานจากทิวาหนึ่งจรดอีกราตรีหนึ่ง เฝ้าเรียกขานนามสตรีที่อยู่ในใจของพวกเขาตลอดเวลา
จวบจนถึงกาลรุ่งอุษา นางชะยาเทวีจึงก้าวออกมาจากแสงรังรองสีเหลืองทองของดวงอาทิตย์ทางทิศบูรพา
กล่าวกันว่านางปิดบังรัศมีเทพมาอยู่รวมกับมนุษย์เพื่อสั่งสอนศิลปวิทยา สร้างอักษรที่ชาวอัคราเรียกกันต่อมาว่าอักขระคีตาและตราบทบัญญัติกำหนดหน้าที่ของกษัตริย์แห่งอัครา โดยหารู้ไม่ว่าเมื่อกลีบโอษฐ์พริ้มเพราของนางเอ่ยเอื้อน เมื่อพักตร์ผ่องแห่งดวงศศิธรแย้มเยื้อน นักรบผู้ถูกเลือกสรรให้ดำรงหน้าที่แห่งราชันในขณะนั้นกลับได้แต่ทอดพระเนตรตะลึงงัน ใฝ่ฝัน พระราชหฤทัยดวงนั้นไม่ปรารถนาสิ่งใดอีกต่อไปนอกจากสิ่งที่พระหัตถ์เอื้อมคว้าไม่ได้
หลังจากเสร็จสิ้นหน้าที่ ชะยาเทวีเสด็จกลับ หลังจากลับผืนปฤษฎางค์อันโปร่งบางเย้ายวนแห่งนาง ปฐมกษัตริย์แห่งอัคราทรงหันพระพักตร์ไปทิศตะวันออก ทอดพระเนตรไปยังหนทางที่นางผู้เป็นที่รักจากไปก่อนจะชักดาบเชือดพระศอของพระองค์เอง
ถัดจากนั้นยาวนานหลายพันปี ยังปรากฏเรื่องราวโศกสลดเช่นนี้อีกหลายหลากและกลายเป็นลมปากให้เหล่ากวีนักเดินทางได้ทำมาหากิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของแม่ทัพนามกฤตนรินทร์ผู้มีจิตพิศวาสในตัวเจ้าหญิงศิรินเมธาจนกระทั่งช่วงชิงสุวรรณมยุราบัลลังก์ ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอัคราและกระชากดอกฟ้ามาสู่อุ้งพระหัตถ์
เรื่องราวเหล่านั้นเต็มไปด้วยสีสัน แต่ไม่เคยมีเรื่องใดที่ได้รับคำร้องขอให้ขับลำนำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเท่าเรื่องราวความรักระหว่างเจ้าชายครีษมายันกับดรุณีนางชาวชวลกานามว่าอมันตรา
เรื่องราวนั้นเป็นที่มาของลำนำที่ถูกขับขานไปทั่วปฐพี
‘ประโยชน์ใดหากข้าได้ครองโลก แต่ต้องโศกเพราะสูญสิ้นสิเนหา
ประโยชน์ใดหากข้าได้สุริยา แต่สูญเสียเจ้าแก้วตาเป็นบัตรพลี
ประโยชน์ใดหากข้าได้บัลลังก์ แต่ไม่มีจอมขวัญเคียงคู่ชีวิตนี้
ประโยชน์ใดหากอยู่ยงคงอินทรีย์ แต่ไม่มีเจ้าอยู่เคียงข้างกาย’
ปีแล้วปีเล่าที่นักเดินทางเฝ้าสนทนาต่อกัน รัชสมัยของกษัตริย์นักรบอย่างครีษมายันคือยุคทองของอัครา พระแสนยานุภาพของพระองค์ที่ทำลายแคว้นศวระและกุรุนทร์นครลงอย่างราบคาบทำให้ไร้ผู้กล้าต่อตีกับแคว้นอัครา มาบัดนี้ผ่านพ้นรัชสมัยของกษัตริย์พระองค์นั้นมาถึงยี่สิบหกวัสสานะ พิภพปกคลุมด้วยสันติธรรมยาวนานอย่างผิดปกติวิสัย คนวัยใกล้ชราระแวงหวั่นในขณะที่คนเยาว์วัยไม่ได้สนใจ ท่ามกลางความหลงระเริงในวัยรุ่งดรุณ ไม่มีหนุ่มสาวคนใดเข้าใจคำกล่าวที่ว่า เพียงชั่วคืนเดียว อาณาจักรที่ยืนยังมานับพันปีสามารถถูกลบออกจากแผนที่ได้อย่างราบคาบหมดจดนอกจากคนเยาว์วัยที่มีแผลใจจากการล่มสลายของแคว้นศวระเช่นนาง
ที่พวกเขาหวาดกลัวกันคืออัครานับว่าล่วงพ้นยุคแห่งความความรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด อุปมาดั่งสัตตบงกชที่เบ่งบานรับแสงตะวันอย่างเต็มที่ เวลานี้เหลือเพียงเวลาแห้งเหี่ยวตาย กษัตริย์ที่ปกครองสุวรรณมยุราบัลลังก์ในปัจจุบันก็หาได้เหมือนครีษมายันในยุคอดีตไม่ ว่ากันว่าพระองค์มีพระชนมายุถึงสามสิบห้าปีแล้วและไม่มีกิจใดข้องแวะกับการทหารแม้แต่น้อย
“อัครานับเป็นอาณาจักรที่มั่งคั่งมาตั้งแต่อดีต ยิ่งผ่านพ้นรัชสมัยของครีษมายันก็ยิ่งมั่งคั่งขึ้นอีกไม่รู้กี่สิบเท่า หากศาสตรามันต์ธาไม่ใช่กษัตริย์นักรบเฉกพระบิดาและไม่ยอมกุมกำลังพลไว้ในพระหัตถ์นับว่าเป็นเรื่องโง่เง่าแท้ๆ”
ชาณธรีนั่งซุกคางอยู่กลางเข่า เรื่องเล่าของเหล่าพ่อค้าเป็นสีสันที่น่าสนใจ พวกเขาช่างรอบรู้ นินทา วิพากษ์วิจารณ์จนทำให้คนที่รู้เรื่องราวของโลกภายนอกผ่านเรื่องเล่าของแม่ครูและหนังสือไม่กี่เล่มในกระท่อมน้อยกลางป่าอย่างนางเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่เพิ่งได้ออกจากบ้านมาเห็นโลก
คาราวานพ่อค้านำนางมาส่งถึงแค่ป้อมมาคันทิยา เพียงแรกที่รถลากขนส่งสินค้าที่นางขออาศัยมาด้วยก้าวเข้าใกล้กำแพงเมืองสูงตระหง่านสีขาว นางตกตะลึงกับความยิ่งใหญ่ของมันจนคนเดินทางที่โดยสารมาด้วยกันหลุดขำ ใครคนหนึ่งกล่าวว่า
“หากเจ้าได้ไปอัครานคร เมืองหลวงของอัครา เจ้าจะได้เห็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกเพราะที่นั่นมีกำแพงเมืองถึงสามชั้น แต่ละชั้นถูกสร้างอย่างแตกต่างและวิจิตรตระการตา”
นอกจากความสวยงามของสถาปัตยกรรม สิ่งที่นางหลงใหลยังมีความงามหยาดเยิ้มของสตรีชาวอัครา พวกนางมีเนตรมฤคี มีผิวสีเดียวกับน้ำนมและส่วนใหญ่มีทรวดทรงอวบอิ่มเย้ายวนยิ่งนัก แม้พวกนางจะขบขันกับสภาพของนางที่สวมใส่ผ้าฝ้ายเนื้อหยาบต่ำราคา อีกทั้งยังไม่ได้ย้อมสีให้ฉูดฉาดสวยงาม นางก็ไม่ถือสา
หลังจากลงจากรถเทียมม้า ชาณธรีตรงไปยังร้านค้ารับแลกเงิน หยิบลูกปัดทองคำที่เหลืออยู่สามเม็ดสุดท้ายออกมามอบให้ พ่อค้าชั่งน้ำหนักแล้วกล่าวว่า
“น้ำหนักไม่ถึงหนึ่งกษาปณะ ข้าให้ได้แปดสิบหิรัญ”
“เจ็ดสิบแปดหิรัญกับยี่สิบมาศก”
นางสำแดงความรอบรู้ในมาตราแลกเปลี่ยนเงินตราของแคว้นอัคราให้ประจักษ์ นั่นคือทองคำหนึ่งกษาปณะสามารถแลกเงินได้ถึงหนึ่งร้อยหิรัญ และเงินหนึ่งหิรัญแตกย่อยได้เป็นโลหะสีดำที่เรียกว่ามาศกได้สิบมาศก อย่างน้อยพวกเขาจะได้ลดความกล้าที่จะหลอกลวงเอารัดเอาเปรียบผู้หญิงเดินทางตัวคนเดียวอย่างนาง
หลังจากกลับมาจ่ายเงินเป็นค่าเดินทางกับพ่อค้าหัวหน้ากองคาราวาน นางจ่ายอีกสี่มาศกสำหรับซื้อเนื้อหมูย่างสองชิ้น จากนั้นใช้เวลาหนึ่งวันสำหรับการเดินหาค่าที่พักที่ราคาถูกที่สุด กว่าจะตัดใจยอมจ่ายถึงหิรัญต่อคืนก็ต้องกลับมานั่งคำนวณ ถึงแม้ว่าเงินที่มีอยู่จะช่วยให้นางสามารถพักที่นี่ได้ยาวนานมากกว่าหนึ่งเดือน แต่ไม่มีทางทำให้นางมีที่อยู่อาศัยไปชั่วชีวิต แม้ยังไม่แน่ใจว่านางจะปักหลักอยู่ที่ป้อมมาคันทิยาแห่งนี้หรือไม่ ถึงกระนั้นในวันรุ่งขึ้นนางก็ออกไปสอบถามราคาห้องเช่าต่อเดือน
หญิงสาวกุมขมับเพราะราคาเริ่มต้นที่สี่สิบหิรัญ ผู้ดูแลท่านหนึ่งกล่าวว่า “นี่นับว่าราคาถูกมากแล้ว ในอัครานครแพงกว่านี้อีกสองเท่า”
นางซื้อผลไม้กับเนื้อกวางย่างกลับมาวางลงบนโต๊ะ นั่งมองแล้วนึกถึงป่าใหญ่ที่เคยอาศัย ครั้งที่ยังเป็นสาวชาวป่า นางไม่เคยต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อลูกไม้พวกนี้ ส่วนเนื้อสัตว์ ในวัยเด็กอาจจะได้แค่กินสัตว์เล็ก แต่เมื่อลูกเสือดำตัวเมียที่แม่ครูเก็บมาเลี้ยงเริ่มเติบใหญ่ นางจึงมีโอกาสได้กินเนื้อกวางหลังจากพี่อิลลากินอิ่ม พี่อิลลาเป็นนักล่าที่เก่งกาจ เขี้ยวคมอย่างดาบ ว่องไวดุจภูตผีแล้วต่อมายังมีพี่อนิลที่มีกำลังดุจหมีดำมาอยู่ด้วยกันอีก นางจึงได้กินเนื้อวัวเนื้อกวางย่างหอมฉุยอย่างไม่เคยขาดแคลน
นางกัดเนื้อย่างหนึ่งคำแล้ววางลง ถอนหายใจ น้ำตารื้น แม้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่อยู่ในป่าแต่ก็ยังคิดถึงเสือดำสองตัวที่จากมา แต่จะให้กลับไปอยู่ในป่าคนเดียวอย่างนั้นก็ไม่ได้ พี่อิลลามีครอบครัวเป็นของตนเองแล้ว มีลูกที่ต้องปกป้องและเลี้ยงดู นางไม่ควรรบกวนพี่อิลลาอีกต่อไป
นางหันไปมองกระจับปี่ที่นำติดตัวมาด้วย ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดนางจึงไม่ยอมไว้วางใจในความคิดของตนเอง
‘แม่ครู ข้าควรไปอัครานครหรือว่าควรหยุดอยู่ที่นี่ ข้าควรอยู่ในที่ที่ปลอดภัยและไม่ควรเดินทางไปยังสถานที่ที่ข้าไม่รู้จักใช่หรือไม่’
กลิ่นหอมบางเบาลอยมาแตะฆานประสาท ช่างประหลาดนัก นางเริ่มมึนงง ดวงตาสีอำพันของสองเสือดำพลันปรากฏขึ้นมาในห้วงคำนึง ราวกับแสงส่องสว่างก่อนที่ความมืดจะเข้าควบคุมสติสัมปชัญญะ
นางลืมเลือนกฎแห่งป่าไป...ไม่มีที่ใดในโลกที่ปลอดภัย
-------------------------------------------------
ในภวังค์อันเลื่อนลอย ในความมืดหลังเปลือกตา ชาณธรีได้ยินบทสนทนา
“ข้าตรวจสอบแล้ว นางเป็นสตรีตัวคนเดียว ไร้ญาติขาดมิตรในอัครา คนของข้าเฝ้าติดตามดูนาง เห็นนางตระเวนหาห้องเช่า อีกทั้งเสื้อผ้าข้าวของของนางก็เก่าและต่ำค่า นางย่อมไม่ใช่สตรีมีฐานะจากต่างแคว้น คงเป็นหญิงอนาถาแต่ท่าทางนางเป็นนักดนตรี ข้าเห็นนางมีกระจับปี่อยู่หนึ่งอัน”
นางกัดริมฝีปาก นี่คือเสียงของเจ้าของห้องพักราคาถูกที่นางซื้อไว้อาศัยชั่วคราว เขาทำมาหากินอย่างชั่วร้ายเช่นนี้น่ะหรือ
“หน้าตาน่ารักดี เอาเป็นว่าข้ารับซื้อไว้ในราคาสิบกษาปณะ”
“สิบกษาปณะ! เหตุใดจึงกดราคากันเช่นนี้เล่า ข้าได้ข่าวว่านางคณิกาของท่านบำเรอแขกเหรื่อครั้งหนึ่งได้ถึงสามร้อยกษาปณะ”
“นั่นมันราคาของจันทราเทวี นางหนูนี่ยังสวยไม่ได้ครึ่งหนึ่งของนางด้วยซ้ำ!”
อีกฝ่ายเงียบงันไป คงยอมรับที่จะขายนางในราคานั้น
“แล้วนี่อะไร แหวนไพลิน ไม่น่าเชื่อว่าเจ้านั่นนอกจากจะโง่ นัยน์ตาก็ยังเซ่อซ่า ถอดเสื้อผ้าของนางออก”
ไม่...
ความเงียบเนิ่นนาน ก่อนสตรีนางหนึ่งจะกล่าวเสียงเครียด
“กาลกิณีของกษัตริย์!”
“หา!”
“เจ้าไม่รู้จักแสดงว่าไม่ได้ท่องจำโยนีศาสตร์ที่ข้าสั่งให้ท่องเลยใช่หรือไม่! จงดู! สัณฐานความเป็นหญิงของนางงดงามละม้ายดอกบัวตูมที่ใกล้จะผลิแต่ก็ยังไม่ผลิ สตรีเช่นนี้ต่อให้ไม่มีใจอันร้อนร่านมักมากในกามารมณ์ แม้ร่วมรักกับบุรุษที่ไม่ประสีประสาในเรื่องรักก็ยังสามารถสุขสมได้ ความอ่อนไหวของนางสามารถทำให้ไก่เข้าใจว่าตนเป็นพญาอินทรีจนยอมกางปีกกระโดดลงเหวอย่างสิ้นสงสัย และในใต้หล้านี้ไม่มีกลเม็ดเด็ดพรายที่จะรั้งชายให้อยู่ติดเตียงได้ผลดีมากไปกว่าสามารถทำตัวให้เป็นสตรีที่เขาปรารถนาและปรารถนาเขาในยามร่วมรักซึ่งสตรีเช่นนี้จะทำได้และทำได้ดีกว่าสตรีทั่วหล้าจะทำได้ด้วย”
“ฟังดูเป็นข้อดี เหตุใดถึงเรียกว่ากาลกิณีของกษัตริย์”
“เพราะแม้นางเป็นสวรรค์ของบุรุษทั่วไป แต่หากปรารถนาให้อาณาจักรใดล่มจม จงเฟ้นหาสตรีที่มีของดีเยี่ยงนี้ไปถวายกษัตริย์ของอาณาจักรนั้น หากกษัตริย์หน้ามืดตามัวไม่ยอมเสด็จลงจากพระแท่นบรรทมแล้ว แล้วใครจะสามารถหยุดยั้งความหายนะที่จะเกิดขึ้นกับอาณาจักรแห่งนั้น จึงเป็นที่มาของนามเรียกขานว่ากาลกิณีของกษัตริย์อย่างไรเล่า!”
“หากนางสามารถทำให้ชายติดใจได้มากมายขนาดนั้น หากเราขายนางเป็นคณิกา เราก็จะมีลูกค้าประจำมากมาย”
“ไม่” อีกฝ่ายปฏิเสธเสียงขรึม “เจ้าไม่รู้อะไร ทั่วหล้ามีหญิงงามมากมายแต่สตรีที่อาจทำให้ผู้ชายฆ่ากันตายเพื่อแย่งชิงนางจะมีสักกี่คน ยิ่งผู้ชายเป็นเพศที่วางอำนาจและถูกท้าทายไม่ได้ คนเดียวไม่พอใจ เราจัดการได้แต่หากหลายคนไม่พอใจ สำนักนางโลมเล็กๆอย่างเราจะทำอย่างไร เจ้าจงจำไว้ สตรีเช่นนี้ หากได้มาต้องขายในครั้งเดียว กับบุรุษเพียงคนเดียวที่พอใจนางและสามารถไถ่ตัวนางได้เพราะหากนางข้องเกี่ยวกับบุรุษหลายคนอาจนำมาซึ่งเภทภัย”
“หรือควรจะส่งนางไปเป็นอนุของท่านจ้าวป้อม”
“นางเป็นอันตรายต่อผู้ปกครอง อีกอย่าง ข้าไม่อาจหักหลังจันทราเทวี นางปรารถนาจะไถ่ตัวเองไปเป็นภรรยาน้อยของท่านจ้าวป้อม นางกำลังพยายาม เจ้าเองก็จงพยายามหากลเม็ดเด็ดพรายให้นางบ้าง นางสวยมากก็จริงแต่ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับของดีติดตัวเหมือนนังหนูคนนี้นี่นะ”
เสียงหัวเราะอันเต็มไปด้วยจริตลอยห่างไป นานที่ความเงียบเข้าปกคลุม จนกระทั่งสามารถเอาชนะเปลือกตาที่หนักอึ้งของตนเองได้ ชาณธรีผวาตื่นขึ้นมา ลุกขึ้นนั่ง มือทาบไปที่ลำคอ
ว่างเปล่า! แหวนไพลินของแม่ครูถูกขโมยไปแล้ว!
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
เริ่มต้นด้วยเทวตำนานของเทพนารีที่พวกเขานับถืออย่างนางชะยาเทวี มีเรื่องเล่าว่าเมื่อครั้งบรรพกาล กลุ่มคนผิวชาวร่างสูงโปร่ง มีความสามารถในการยิงธนูเป็นเลิศปรารถนาจะก่อร่างสร้างอาณาจักรแต่ปราศจากความรู้และวิทยาการเฉกอารยชนพึงมี พวกเขาจึงเกณฑ์บุรุษชาตินักรบทั้งหมด จัดพิธีบวงสรวงยาวนานจากทิวาหนึ่งจรดอีกราตรีหนึ่ง เฝ้าเรียกขานนามสตรีที่อยู่ในใจของพวกเขาตลอดเวลา
จวบจนถึงกาลรุ่งอุษา นางชะยาเทวีจึงก้าวออกมาจากแสงรังรองสีเหลืองทองของดวงอาทิตย์ทางทิศบูรพา
กล่าวกันว่านางปิดบังรัศมีเทพมาอยู่รวมกับมนุษย์เพื่อสั่งสอนศิลปวิทยา สร้างอักษรที่ชาวอัคราเรียกกันต่อมาว่าอักขระคีตาและตราบทบัญญัติกำหนดหน้าที่ของกษัตริย์แห่งอัครา โดยหารู้ไม่ว่าเมื่อกลีบโอษฐ์พริ้มเพราของนางเอ่ยเอื้อน เมื่อพักตร์ผ่องแห่งดวงศศิธรแย้มเยื้อน นักรบผู้ถูกเลือกสรรให้ดำรงหน้าที่แห่งราชันในขณะนั้นกลับได้แต่ทอดพระเนตรตะลึงงัน ใฝ่ฝัน พระราชหฤทัยดวงนั้นไม่ปรารถนาสิ่งใดอีกต่อไปนอกจากสิ่งที่พระหัตถ์เอื้อมคว้าไม่ได้
หลังจากเสร็จสิ้นหน้าที่ ชะยาเทวีเสด็จกลับ หลังจากลับผืนปฤษฎางค์อันโปร่งบางเย้ายวนแห่งนาง ปฐมกษัตริย์แห่งอัคราทรงหันพระพักตร์ไปทิศตะวันออก ทอดพระเนตรไปยังหนทางที่นางผู้เป็นที่รักจากไปก่อนจะชักดาบเชือดพระศอของพระองค์เอง
ถัดจากนั้นยาวนานหลายพันปี ยังปรากฏเรื่องราวโศกสลดเช่นนี้อีกหลายหลากและกลายเป็นลมปากให้เหล่ากวีนักเดินทางได้ทำมาหากิน ไม่ว่าจะเป็นเรื่องราวของแม่ทัพนามกฤตนรินทร์ผู้มีจิตพิศวาสในตัวเจ้าหญิงศิรินเมธาจนกระทั่งช่วงชิงสุวรรณมยุราบัลลังก์ ปราบดาภิเษกตนเองขึ้นเป็นกษัตริย์แห่งอัคราและกระชากดอกฟ้ามาสู่อุ้งพระหัตถ์
เรื่องราวเหล่านั้นเต็มไปด้วยสีสัน แต่ไม่เคยมีเรื่องใดที่ได้รับคำร้องขอให้ขับลำนำซ้ำแล้วซ้ำเล่าเท่าเรื่องราวความรักระหว่างเจ้าชายครีษมายันกับดรุณีนางชาวชวลกานามว่าอมันตรา
เรื่องราวนั้นเป็นที่มาของลำนำที่ถูกขับขานไปทั่วปฐพี
‘ประโยชน์ใดหากข้าได้ครองโลก แต่ต้องโศกเพราะสูญสิ้นสิเนหา
ประโยชน์ใดหากข้าได้สุริยา แต่สูญเสียเจ้าแก้วตาเป็นบัตรพลี
ประโยชน์ใดหากข้าได้บัลลังก์ แต่ไม่มีจอมขวัญเคียงคู่ชีวิตนี้
ประโยชน์ใดหากอยู่ยงคงอินทรีย์ แต่ไม่มีเจ้าอยู่เคียงข้างกาย’
ปีแล้วปีเล่าที่นักเดินทางเฝ้าสนทนาต่อกัน รัชสมัยของกษัตริย์นักรบอย่างครีษมายันคือยุคทองของอัครา พระแสนยานุภาพของพระองค์ที่ทำลายแคว้นศวระและกุรุนทร์นครลงอย่างราบคาบทำให้ไร้ผู้กล้าต่อตีกับแคว้นอัครา มาบัดนี้ผ่านพ้นรัชสมัยของกษัตริย์พระองค์นั้นมาถึงยี่สิบหกวัสสานะ พิภพปกคลุมด้วยสันติธรรมยาวนานอย่างผิดปกติวิสัย คนวัยใกล้ชราระแวงหวั่นในขณะที่คนเยาว์วัยไม่ได้สนใจ ท่ามกลางความหลงระเริงในวัยรุ่งดรุณ ไม่มีหนุ่มสาวคนใดเข้าใจคำกล่าวที่ว่า เพียงชั่วคืนเดียว อาณาจักรที่ยืนยังมานับพันปีสามารถถูกลบออกจากแผนที่ได้อย่างราบคาบหมดจดนอกจากคนเยาว์วัยที่มีแผลใจจากการล่มสลายของแคว้นศวระเช่นนาง
ที่พวกเขาหวาดกลัวกันคืออัครานับว่าล่วงพ้นยุคแห่งความความรุ่งโรจน์ถึงขีดสุด อุปมาดั่งสัตตบงกชที่เบ่งบานรับแสงตะวันอย่างเต็มที่ เวลานี้เหลือเพียงเวลาแห้งเหี่ยวตาย กษัตริย์ที่ปกครองสุวรรณมยุราบัลลังก์ในปัจจุบันก็หาได้เหมือนครีษมายันในยุคอดีตไม่ ว่ากันว่าพระองค์มีพระชนมายุถึงสามสิบห้าปีแล้วและไม่มีกิจใดข้องแวะกับการทหารแม้แต่น้อย
“อัครานับเป็นอาณาจักรที่มั่งคั่งมาตั้งแต่อดีต ยิ่งผ่านพ้นรัชสมัยของครีษมายันก็ยิ่งมั่งคั่งขึ้นอีกไม่รู้กี่สิบเท่า หากศาสตรามันต์ธาไม่ใช่กษัตริย์นักรบเฉกพระบิดาและไม่ยอมกุมกำลังพลไว้ในพระหัตถ์นับว่าเป็นเรื่องโง่เง่าแท้ๆ”
ชาณธรีนั่งซุกคางอยู่กลางเข่า เรื่องเล่าของเหล่าพ่อค้าเป็นสีสันที่น่าสนใจ พวกเขาช่างรอบรู้ นินทา วิพากษ์วิจารณ์จนทำให้คนที่รู้เรื่องราวของโลกภายนอกผ่านเรื่องเล่าของแม่ครูและหนังสือไม่กี่เล่มในกระท่อมน้อยกลางป่าอย่างนางเหมือนเด็กไร้เดียงสาที่เพิ่งได้ออกจากบ้านมาเห็นโลก
คาราวานพ่อค้านำนางมาส่งถึงแค่ป้อมมาคันทิยา เพียงแรกที่รถลากขนส่งสินค้าที่นางขออาศัยมาด้วยก้าวเข้าใกล้กำแพงเมืองสูงตระหง่านสีขาว นางตกตะลึงกับความยิ่งใหญ่ของมันจนคนเดินทางที่โดยสารมาด้วยกันหลุดขำ ใครคนหนึ่งกล่าวว่า
“หากเจ้าได้ไปอัครานคร เมืองหลวงของอัครา เจ้าจะได้เห็นอะไรที่ยิ่งใหญ่กว่านี้อีกเพราะที่นั่นมีกำแพงเมืองถึงสามชั้น แต่ละชั้นถูกสร้างอย่างแตกต่างและวิจิตรตระการตา”
นอกจากความสวยงามของสถาปัตยกรรม สิ่งที่นางหลงใหลยังมีความงามหยาดเยิ้มของสตรีชาวอัครา พวกนางมีเนตรมฤคี มีผิวสีเดียวกับน้ำนมและส่วนใหญ่มีทรวดทรงอวบอิ่มเย้ายวนยิ่งนัก แม้พวกนางจะขบขันกับสภาพของนางที่สวมใส่ผ้าฝ้ายเนื้อหยาบต่ำราคา อีกทั้งยังไม่ได้ย้อมสีให้ฉูดฉาดสวยงาม นางก็ไม่ถือสา
หลังจากลงจากรถเทียมม้า ชาณธรีตรงไปยังร้านค้ารับแลกเงิน หยิบลูกปัดทองคำที่เหลืออยู่สามเม็ดสุดท้ายออกมามอบให้ พ่อค้าชั่งน้ำหนักแล้วกล่าวว่า
“น้ำหนักไม่ถึงหนึ่งกษาปณะ ข้าให้ได้แปดสิบหิรัญ”
“เจ็ดสิบแปดหิรัญกับยี่สิบมาศก”
นางสำแดงความรอบรู้ในมาตราแลกเปลี่ยนเงินตราของแคว้นอัคราให้ประจักษ์ นั่นคือทองคำหนึ่งกษาปณะสามารถแลกเงินได้ถึงหนึ่งร้อยหิรัญ และเงินหนึ่งหิรัญแตกย่อยได้เป็นโลหะสีดำที่เรียกว่ามาศกได้สิบมาศก อย่างน้อยพวกเขาจะได้ลดความกล้าที่จะหลอกลวงเอารัดเอาเปรียบผู้หญิงเดินทางตัวคนเดียวอย่างนาง
หลังจากกลับมาจ่ายเงินเป็นค่าเดินทางกับพ่อค้าหัวหน้ากองคาราวาน นางจ่ายอีกสี่มาศกสำหรับซื้อเนื้อหมูย่างสองชิ้น จากนั้นใช้เวลาหนึ่งวันสำหรับการเดินหาค่าที่พักที่ราคาถูกที่สุด กว่าจะตัดใจยอมจ่ายถึงหิรัญต่อคืนก็ต้องกลับมานั่งคำนวณ ถึงแม้ว่าเงินที่มีอยู่จะช่วยให้นางสามารถพักที่นี่ได้ยาวนานมากกว่าหนึ่งเดือน แต่ไม่มีทางทำให้นางมีที่อยู่อาศัยไปชั่วชีวิต แม้ยังไม่แน่ใจว่านางจะปักหลักอยู่ที่ป้อมมาคันทิยาแห่งนี้หรือไม่ ถึงกระนั้นในวันรุ่งขึ้นนางก็ออกไปสอบถามราคาห้องเช่าต่อเดือน
หญิงสาวกุมขมับเพราะราคาเริ่มต้นที่สี่สิบหิรัญ ผู้ดูแลท่านหนึ่งกล่าวว่า “นี่นับว่าราคาถูกมากแล้ว ในอัครานครแพงกว่านี้อีกสองเท่า”
นางซื้อผลไม้กับเนื้อกวางย่างกลับมาวางลงบนโต๊ะ นั่งมองแล้วนึกถึงป่าใหญ่ที่เคยอาศัย ครั้งที่ยังเป็นสาวชาวป่า นางไม่เคยต้องจ่ายเงินเพื่อซื้อลูกไม้พวกนี้ ส่วนเนื้อสัตว์ ในวัยเด็กอาจจะได้แค่กินสัตว์เล็ก แต่เมื่อลูกเสือดำตัวเมียที่แม่ครูเก็บมาเลี้ยงเริ่มเติบใหญ่ นางจึงมีโอกาสได้กินเนื้อกวางหลังจากพี่อิลลากินอิ่ม พี่อิลลาเป็นนักล่าที่เก่งกาจ เขี้ยวคมอย่างดาบ ว่องไวดุจภูตผีแล้วต่อมายังมีพี่อนิลที่มีกำลังดุจหมีดำมาอยู่ด้วยกันอีก นางจึงได้กินเนื้อวัวเนื้อกวางย่างหอมฉุยอย่างไม่เคยขาดแคลน
นางกัดเนื้อย่างหนึ่งคำแล้ววางลง ถอนหายใจ น้ำตารื้น แม้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่อยู่ในป่าแต่ก็ยังคิดถึงเสือดำสองตัวที่จากมา แต่จะให้กลับไปอยู่ในป่าคนเดียวอย่างนั้นก็ไม่ได้ พี่อิลลามีครอบครัวเป็นของตนเองแล้ว มีลูกที่ต้องปกป้องและเลี้ยงดู นางไม่ควรรบกวนพี่อิลลาอีกต่อไป
นางหันไปมองกระจับปี่ที่นำติดตัวมาด้วย ไม่เข้าใจว่าเพราะเหตุใดนางจึงไม่ยอมไว้วางใจในความคิดของตนเอง
‘แม่ครู ข้าควรไปอัครานครหรือว่าควรหยุดอยู่ที่นี่ ข้าควรอยู่ในที่ที่ปลอดภัยและไม่ควรเดินทางไปยังสถานที่ที่ข้าไม่รู้จักใช่หรือไม่’
กลิ่นหอมบางเบาลอยมาแตะฆานประสาท ช่างประหลาดนัก นางเริ่มมึนงง ดวงตาสีอำพันของสองเสือดำพลันปรากฏขึ้นมาในห้วงคำนึง ราวกับแสงส่องสว่างก่อนที่ความมืดจะเข้าควบคุมสติสัมปชัญญะ
นางลืมเลือนกฎแห่งป่าไป...ไม่มีที่ใดในโลกที่ปลอดภัย
-------------------------------------------------
ในภวังค์อันเลื่อนลอย ในความมืดหลังเปลือกตา ชาณธรีได้ยินบทสนทนา
“ข้าตรวจสอบแล้ว นางเป็นสตรีตัวคนเดียว ไร้ญาติขาดมิตรในอัครา คนของข้าเฝ้าติดตามดูนาง เห็นนางตระเวนหาห้องเช่า อีกทั้งเสื้อผ้าข้าวของของนางก็เก่าและต่ำค่า นางย่อมไม่ใช่สตรีมีฐานะจากต่างแคว้น คงเป็นหญิงอนาถาแต่ท่าทางนางเป็นนักดนตรี ข้าเห็นนางมีกระจับปี่อยู่หนึ่งอัน”
นางกัดริมฝีปาก นี่คือเสียงของเจ้าของห้องพักราคาถูกที่นางซื้อไว้อาศัยชั่วคราว เขาทำมาหากินอย่างชั่วร้ายเช่นนี้น่ะหรือ
“หน้าตาน่ารักดี เอาเป็นว่าข้ารับซื้อไว้ในราคาสิบกษาปณะ”
“สิบกษาปณะ! เหตุใดจึงกดราคากันเช่นนี้เล่า ข้าได้ข่าวว่านางคณิกาของท่านบำเรอแขกเหรื่อครั้งหนึ่งได้ถึงสามร้อยกษาปณะ”
“นั่นมันราคาของจันทราเทวี นางหนูนี่ยังสวยไม่ได้ครึ่งหนึ่งของนางด้วยซ้ำ!”
อีกฝ่ายเงียบงันไป คงยอมรับที่จะขายนางในราคานั้น
“แล้วนี่อะไร แหวนไพลิน ไม่น่าเชื่อว่าเจ้านั่นนอกจากจะโง่ นัยน์ตาก็ยังเซ่อซ่า ถอดเสื้อผ้าของนางออก”
ไม่...
ความเงียบเนิ่นนาน ก่อนสตรีนางหนึ่งจะกล่าวเสียงเครียด
“กาลกิณีของกษัตริย์!”
“หา!”
“เจ้าไม่รู้จักแสดงว่าไม่ได้ท่องจำโยนีศาสตร์ที่ข้าสั่งให้ท่องเลยใช่หรือไม่! จงดู! สัณฐานความเป็นหญิงของนางงดงามละม้ายดอกบัวตูมที่ใกล้จะผลิแต่ก็ยังไม่ผลิ สตรีเช่นนี้ต่อให้ไม่มีใจอันร้อนร่านมักมากในกามารมณ์ แม้ร่วมรักกับบุรุษที่ไม่ประสีประสาในเรื่องรักก็ยังสามารถสุขสมได้ ความอ่อนไหวของนางสามารถทำให้ไก่เข้าใจว่าตนเป็นพญาอินทรีจนยอมกางปีกกระโดดลงเหวอย่างสิ้นสงสัย และในใต้หล้านี้ไม่มีกลเม็ดเด็ดพรายที่จะรั้งชายให้อยู่ติดเตียงได้ผลดีมากไปกว่าสามารถทำตัวให้เป็นสตรีที่เขาปรารถนาและปรารถนาเขาในยามร่วมรักซึ่งสตรีเช่นนี้จะทำได้และทำได้ดีกว่าสตรีทั่วหล้าจะทำได้ด้วย”
“ฟังดูเป็นข้อดี เหตุใดถึงเรียกว่ากาลกิณีของกษัตริย์”
“เพราะแม้นางเป็นสวรรค์ของบุรุษทั่วไป แต่หากปรารถนาให้อาณาจักรใดล่มจม จงเฟ้นหาสตรีที่มีของดีเยี่ยงนี้ไปถวายกษัตริย์ของอาณาจักรนั้น หากกษัตริย์หน้ามืดตามัวไม่ยอมเสด็จลงจากพระแท่นบรรทมแล้ว แล้วใครจะสามารถหยุดยั้งความหายนะที่จะเกิดขึ้นกับอาณาจักรแห่งนั้น จึงเป็นที่มาของนามเรียกขานว่ากาลกิณีของกษัตริย์อย่างไรเล่า!”
“หากนางสามารถทำให้ชายติดใจได้มากมายขนาดนั้น หากเราขายนางเป็นคณิกา เราก็จะมีลูกค้าประจำมากมาย”
“ไม่” อีกฝ่ายปฏิเสธเสียงขรึม “เจ้าไม่รู้อะไร ทั่วหล้ามีหญิงงามมากมายแต่สตรีที่อาจทำให้ผู้ชายฆ่ากันตายเพื่อแย่งชิงนางจะมีสักกี่คน ยิ่งผู้ชายเป็นเพศที่วางอำนาจและถูกท้าทายไม่ได้ คนเดียวไม่พอใจ เราจัดการได้แต่หากหลายคนไม่พอใจ สำนักนางโลมเล็กๆอย่างเราจะทำอย่างไร เจ้าจงจำไว้ สตรีเช่นนี้ หากได้มาต้องขายในครั้งเดียว กับบุรุษเพียงคนเดียวที่พอใจนางและสามารถไถ่ตัวนางได้เพราะหากนางข้องเกี่ยวกับบุรุษหลายคนอาจนำมาซึ่งเภทภัย”
“หรือควรจะส่งนางไปเป็นอนุของท่านจ้าวป้อม”
“นางเป็นอันตรายต่อผู้ปกครอง อีกอย่าง ข้าไม่อาจหักหลังจันทราเทวี นางปรารถนาจะไถ่ตัวเองไปเป็นภรรยาน้อยของท่านจ้าวป้อม นางกำลังพยายาม เจ้าเองก็จงพยายามหากลเม็ดเด็ดพรายให้นางบ้าง นางสวยมากก็จริงแต่ไม่ได้เกิดมาพร้อมกับของดีติดตัวเหมือนนังหนูคนนี้นี่นะ”
เสียงหัวเราะอันเต็มไปด้วยจริตลอยห่างไป นานที่ความเงียบเข้าปกคลุม จนกระทั่งสามารถเอาชนะเปลือกตาที่หนักอึ้งของตนเองได้ ชาณธรีผวาตื่นขึ้นมา ลุกขึ้นนั่ง มือทาบไปที่ลำคอ
ว่างเปล่า! แหวนไพลินของแม่ครูถูกขโมยไปแล้ว!
(โปรดติดตามตอนต่อไป)
สร้อยดอกหมาก
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 29 มี.ค. 2558, 15:39:21 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 29 มี.ค. 2558, 15:39:21 น.
จำนวนการเข้าชม : 1772
<< (เริ่มเขียนใหม่ค่ะ) บทนำ : ภาพแห่งชีวิต | กาลกิณีของกษัตริย์(๒) >> |
แว่นใส 29 มี.ค. 2558, 17:58:40 น.
จะทำให้เมืองล่มจมหรือเปล่าล่ะเนี่ย
จะทำให้เมืองล่มจมหรือเปล่าล่ะเนี่ย
Zephyr 30 มี.ค. 2558, 17:18:53 น.
อ้าว จะกลายเป็นนางล่มเมืองซะละ
แหวนหายอีก จะกาพ่อเจอมั้ย
หนทางการไปสู่ศาสตรามันต์ธา อีกยาวไกล
อ้าว จะกลายเป็นนางล่มเมืองซะละ
แหวนหายอีก จะกาพ่อเจอมั้ย
หนทางการไปสู่ศาสตรามันต์ธา อีกยาวไกล
อสิตา 1 เม.ย. 2558, 12:18:05 น.
นางโดนส่องจุดสำคัญซะแล้ว *///*
นางโดนส่องจุดสำคัญซะแล้ว *///*