เพลิงพญาล่ารัก (ปรับปรุง)

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 6

ตอน 6
ความสลัวเริ่มกลายเป็นความมืด แววตาของเพลิงที่ยืนรอดูความอวดดีของเมียมารยาเริ่มกังวลออกมา เมื่อเธอหายไปนานกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา แต่ยังไม่คิดจะไปตามเพราะบอกตัวเองว่าเป็นมายาของเธอที่อยากจะเรียกร้องความสนใจจากเขา และยิ้มเยาะเมื่อเห็นเธอเดินผ่านแนวป่าออกมา ก่อนจะนิ่งไปเมื่อเห็นร่างอรชรโอนเอนไปมาแล้วล้มฟุบลงกับพื้น

“พิมพ์ลดา”

เสียงเขาดังผ่านริมฝีปากออกมา แต่ไม่มีทีท่าว่าจะเดินไปหา เพราะทิฐิที่เชื่อมั่นอยู่ในใจว่าเป็นมายาของเธอ กระทั่งเธอไม่มีทีท่าจะลุกขึ้นมา เท้าเขาก็ออกเดินก่อนจะเปลี่ยนเป็นวิ่งไปหา จับร่างที่นอนนิ่งไม่ไหวติงขึ้นมา ใบหน้างามที่ซีดเหมือนกระดาษนั้นทำให้เขาตกใจ รีบกวาดตามองไปทั่วตัวเธออย่างรวดเร็ว แล้วได้เห็นรอยเขี้ยวที่ข้อเท้า

“ระยำ” เขาสบถออกมาก่อนจะอุ้มตัวเธอขึ้นพร้อมผิวปากเรียกเจ้าพยัต พอมันวิ่งมาเขาก็ส่งตัวเธอขึ้นไปอยู่บนหลังมันก่อน แล้วเหวี่ยงตัวขึ้นตามไปอย่างรวดเร็วแล้วควบมันกลับไปที่เรือนเชิงผา

เสียงม้าที่ร้องขึ้นทำให้นมสดกับนมสุกเดินออกมาจากห้องนอน ชะเง้อมองไปที่หน้าเรือนก็เห็นว่าเป็นป๊ะเพลิงกำลังลงมาจากหลังม้า แต่ที่น่าแปลกใจคืออุ้มหญิงสาวที่อ่อนปวกเปียกมาด้วย พอเดินขึ้นมาบนเรือนเท่านั้นทั้งสองคนก็ร้องออกมาอย่างตกใจ

“ว้ายตายแล้วป๊ะเพลิง นายหญิงเป็นอะไร”

“ตามหมอ” เพลิงสั่งเสียงกร้าวพร้อมกับอุ้มร่างอรชรไปที่ห้องนอน โดยมีนมสดเดินตามมาส่วนนมสุกก็รีบไปบอกให้คนไปตามหมอ เพลิงวางร่างที่อ่อนปวกเปียกของพิมพ์ลดาลงบนที่นอน สายตาเขามองที่ข้อเท้าที่เขียวช้ำขึ้นมา แล้วหันไปมองนมสด “ไปเอายาแก้พิษงูมา”

หัวใจของนมสดหล่นไปอยู่ที่ตาตุ่มเมื่อรู้ว่าหญิงสาวถูกงูกัดมา แล้วกระวีกระวาดไปหยิบยาสมุนไพรที่มีคุณสมบัติขับพิษงูออกมามาส่งให้ป๊ะเพลิง แล้วรีบเดินเข้าไปในห้องน้ำ หยิบผ้าขนหนูชุบน้ำบิดหมาดมาเช็ดตัวให้นายหญิง ขณะที่เพลิงก็เอายาสมุนไพรพอกไว้ที่ข้อเท้า แล้วก็ถอยไปยืนอยู่ข้างเตียง จับตามองเธอเงียบๆ ก่อนจะปรายตาไปมองนมสุกที่เดินเข้ามาในห้อง แล้วถามด้วยเสียงเย็นๆ

“หมอมารึยัง”

“กำลังมาค่ะ”

“ไปบอกให้วิ่งมา”

“ค่ะ ค่ะ” เสียงกระด้างนั้นทำให้นมสุกรีบพาร่างตุ้ยนุ้ยของตัวเองไปรออยู่หน้าเรือน กระทั่งเห็นหมอกานต์รีบเร่งเดินมา แต่ยังไม่ทันได้หายเหนื่อย ก็ต้องวิ่งไปที่ห้องคนป่วย เพียงก้าวผ่านธรณีประตูเข้ามา สายตากระด้างของป๊ะเพลิงก็ทำให้หัวใจของหมอแทบหยุดเต้น

“เธอถูกงูกัด แต่ไม่รู้ว่าเป็นงูอะไร”

“แถวไหนครับ” หมอกานต์ถามพลางเดินไปนั่งที่ขอบเตียงพร้อมฟังคำตอบจากป๊ะเพลิงไปด้วย

“ชายป่าหลังเพิงหมาแหงน”

หมอนิ่งไปเพราะแถวนั้นงูมีพิษทั้งนั้น แล้วปลดกระเป๋าจากบ่าวางลงวางข้างเตียง ก่อนมองดูแผลที่ยาสมุนไพรพอกไว้ กวาดยาออกเพื่อดูบาดรอยกัด คมเขี้ยวของงูซึ่งแต่ละสายพันธ์จะแตกต่างกันออกไป จากนั้นก็หยิบหูฟังมาออกมาจากเป๋า เพื่อตรวจเช็กร่างกายเธออย่างรวดเร็ว แล้วเงยหน้ามองป๊ะเพลิงด้วยสีหน้าที่ติดจะกังวล

“เมื่อเราไม่รู้ว่าเธอถูกงูอะไรกัดมา ตอนนี้หมอก็ไม่สามารถจะให้ยาอะไรได้ นอกจากรอดูอาการไปก่อน ถ้าไม่ใช่งูที่มีพิษเราก็โชคดี แต่ถ้าโชคร้าย...”

“เธอจะตายอีกเหรอหมอ” เสียงนมสุกดังขึ้นด้วยความวิตก นมสดก็หวั่นไม่ต่างกัน

“คงไม่เคราะห์ซ้ำกรรมซัดให้ตายไปอีกรอบนะหมอ”

“ไม่ถึงขนาดนั้นหรอก” หมอบอกแล้วยิ้มให้ทั้งสองนมที่ดูจะห่วงเธอไม่น้อย “สมุนไพรที่ให้ดูจะดีกับแผลไม่น้อย เพราะไม่บวมแดงเลย และช่วงที่รอดูอาการ หมอก็คงพอจะแยกประเภทงูที่กัดเธอได้ ถ้าไม่มีอะไรร้ายแรง ก็จะให้เซรุ่มแล้วน่าจะวางใจได้”

“แล้วถ้าไม่ได้ละหมอ”

“ก็ต้องทำใจ”

คำพูดของหมอสร้างความตระหนกให้กับสองนมเป็นอย่างมาก แล้วพากันขอร้องให้หมอช่วยเธอให้ถึงที่สุด ขณะที่เพลิงมีแต่ความนิ่งเฉย แต่แววตามองใบหน้าที่ซีดเซียวอยู่ตลอดเวลา เสียงหมอกานต์พูดปลอบทั้งสองนมดังขึ้นมาเบาๆ จากนั้นทั้งสามคนก็พากันออกไปจากห้อง เขาจึงเดินมาที่เตียง ทรุดตัวลงนั่งมองหน้าเธออีกครั้ง ก่อนจะเลื่อนสายตาไปมองแผลที่ข้อเท้า พลางคิดว่าที่เธอไม่ร้องขอความช่วยเหลือ เพราะการกระทำที่โหดร้ายของเขาหรือเพราะต้องการความเชื่อใจเพื่อน้ำสีดำจึงยอมเอาชีวิตเข้าเสี่ยงกันแน่
********
ภายใต้ท้องฟ้าที่ดำมืดในคืนจันทร์เสี้ยวที่บริเวณชายป่า ตรงที่ไม่มีใครสนใจ ชายในชุดดำปิดหน้าเหลือแค่ดวงตาไว้มองทาง เดินออกมาจากแนวป่ามาขึ้นรถที่จอดซุ่มอยู่ คนที่นั่งอยู่หลังพวงมาลัยตวัดสายตามามองเพียงเพื่อให้แน่ใจว่าใช่คนที่รออยู่ ซึ่งก็ดึงผ้าปิดหน้าออกให้เห็น ก็ติดเครื่องยนต์ค่อยๆขับออกไป กระทั่งขึ้นมาสู่ถนนสายหลัก ก็เหยียบคันเร่งให้รถวิ่งไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว

“ขอต้อนรับสู่อิสรภาพ” คนขับบอกพร้อมหันมายิ้มให้ คนที่นั่งอยู่ยิ้มตอบก่อนบอกว่า

“กูไม่ได้ติดคุก”

“แต่กูว่าหุบเขาพญาก็เหมือนคุกนั่นแหละ คนในอยากออกคนนอกอยากเข้า แต่เข้าไปแล้วนรกดีๆนั่นเอง”

“นั่นมันสำหรับคนเลว คนดีๆเขาก็อยู่ยังอย่างมีความสุข”

“แล้วมึงละเป็นคนแบบไหน”

ไม่มีคำตอบจากคนชุดดำ นอกจากเสียงหัวเราะออกมาให้ได้ยิน แล้วบอกว่า “มึงคิดว่าไงละ”

“ชั่วไง”

“ฮะๆๆๆ” คราวนี้คนชุดดำซึ่งก็คือไอ้ชาติหัวเราะออกมาลั่นรถ เพราะถูกใจคำพูดของเพื่อนที่ร่วมหัวจมท้ายรู้ไส้รู้พุงกันมานาน และยังยึดงานที่เป็นสีเทาไปจนถึงดำเลี้ยงตัว แม้จะอยู่คนละที่มีนายคนละคน แต่นั่นคือเรื่องที่ดี เพราะสามารถมาเกื้อหนุนงานของกันและกันได้ ครั้งนี้ก็เช่นกัน มันสามารถทำให้เขาไปหาคนที่อยากเจอ โดยไม่ต้องดิ้นรนให้เหนื่อย เพราะมันเป็นลูกน้องเขาอยู่ แม้จะหางแถวออกมาแต่ก็ช่วยมันได้มาก

“ท่านรอมึงอยู่” เสียงวิทย์บอกอย่างกับรู้ว่าคิดอะไรอยู่ “ตอนแรกที่บอก ท่านไม่สนใจ แต่พอบอกว่ามาจากหุบเขาพญาเท่านั้น ท่านก็สั่งให้ติดต่อมาพบทันที”

“แสดงว่าท่านสนใจที่นี่มาก”

“ใช่ มึงก็น่าจะรู้ว่าที่นี่มีดีมากมายแค่ไหน และถ้ามึงมีข้อเสนอดีๆ รับรองว่าสบายไปตลอดชาติ”

“ท่านใจดีขนาดนั้นเหรอ”

“ก็ดีพอๆกับความร้ายกาจนั่นแหละ ใครที่ทำงานดีก็สมนาคุณให้ไม่อั้น อยากได้อะไรก็ได้ แต่ถ้าพลาดขึ้นมา เบาะๆก็เลือดตกยางออก หนักหน่อยก็หยอดน้ำข้าวต้ม แต่ถ้ารุนแรงคำเดียวคือ...ตาย”

คำพูดของเพื่อนเหมือนคำเตือนแต่ชาติไม่มีความกลัว เพราะรู้อยู่แก่ใจดีกว่าคนที่มีอำนาจบารมี อยากจะยิ่งใหญ่ก็ต้องเด็ดขาดแบบนี้ทั้งนั้น ไม่งั้นจะคุมคนร้อยพ่อพันแม่ไม่ได้ ซึ่งมันก็เห็นมาแล้วในหุบเขาพญา และอยากได้อำนาจเหล่านั้นมาอยู่ในกำมือบ้าง จึงได้พยายามหาทางถีบตัวเองขึ้นไป ตั้งแต่งานแต่งที่มันเห็นช่องทาง แม้จะต้องเสี่ยงด้วยชีวิต แต่ถ้าสำเร็จมันคุ้มค่ามากมายมหาศาล

ชาติกระหยิ่มยิ้มย่องอยู่ในใจ เพราะแผนต่างๆที่มันร่างขึ้นมาเริ่มเด่นชัดและไปได้สวยในทิศทางที่มันต้องการ แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เตือนตัวเองว่าอย่าผลีผลามให้ค่อยๆเดินไปอย่างระวัง จะได้ไม่พลาดให้เจ็บตัวหรือตายไปก่อนจะได้ลิ้มลองความหวังที่วาดฝันไว้

รถยนต์ที่มันนั่งยังคงวิ่งฝ่าความมืดไปข้างหน้า ทิ้งควันดำและเสียงให้กลืนหายไปกับสายลม กระทั่งเกือบสองชั่วโมง รถก็เลี้ยวผ่านประตูอัลลอยเข้าไปจอดหน้าคฤหาสน์หลังงาม ซึ่งถูกคนภายในจับตามองตั้งแต่รถเลี้ยวเข้ามาแล้ว และรู้ไปถึงหูคนที่มาหาแล้วด้วย

นายพลกฤษนั่งอยู่บนเก้าอี้มุกตัวใหญ่ในห้องโถง ที่ตกแต่งไว้อย่างหรูหรา เขาปรายตามองลูกน้องที่เข้ามากระซิบบอกเพียงนิด ก็สะบัดมือบอกให้ไปพามาพบได้ ไม่เกินห้านาทีไอ้ชาติก็เดินอย่างนอบน้อมเข้ามาหา แต่ยังไม่กล้าสบตาเพราะอำนาจกับความหรูหราของสถานที่บอกให้มันเจียมตัวไว้

“นั่งซิ” เขาบอกพร้อมผายมือเชื้อเชิญอย่างกันเอง ใจของไอ้ชาติจึงชื้นขึ้นมาแต่ยังเกรงขาม เดินน้อมตัวไปนั่งที่เก้าอี้ เรียบร้อยแล้วก็ยกมือไหว้ฝากเนื้อฝากตัว ซึ่งสร้างความพอใจให้นายพลกฤษอยู่ไม่น้อย “เดินทางมาเหนื่อยๆ ดื่มอะไรเย็นๆก่อนนะ” ว่าแล้วก็พยักหน้าให้ลูกน้องที่ยืนรอรับใช้อยู่มุมห้อง ซึ่งก็รีบไปเอาน้ำเย็นๆมาวางให้ตรงหน้าทันที

ชาติยกแก้วน้ำเย็นขึ้นดื่มเล็กน้อย พอวางลงที่เดิม เสียงเนิบๆของนายพลกฤษก็ดังออกมา “อยากพบฉันมีเรื่องอะไร”
“คือ” ไอ้ชาติอึกอักเล็กน้อย ก่อนจะโชว์ให้เห็นความเป็นตัวมันด้วยการพูดเสียงดังฟังชัดเยินยอเขา เป็นทัพหน้าออกมาก่อน “คือผมได้ยินชื่อเสียงท่านมานานแล้ว และพอได้ข่าวเข้าหูมาบ้างว่าท่านสนใจหุบเขาพญา” มันจบประโยคอย่างตรงๆ ซึ่งก็สร้างความพอใจให้นายพลกฤษ ที่ไม่ต้องฟังอะไรที่ไร้สาระ แต่อยากรู้ถึงจุดประสงค์ที่มาหาเขามากกว่า

“ข่าวจากไหนละ”

“หลายที่เหลือเกินครับท่าน แต่คิดว่าท่านคงพอจะทราบ ว่ามีเพียงทีเดียวที่ผมจะได้ข่าวนี้มา”

ฮะๆๆๆ นายพลกฤษหัวเราะลั่นกับลูกล่อลูกชนที่แพรวพราวของมัน พลางคิดว่ามันรู้อะไรมาแค่ไหนหรือมันจะเป็นหมาสองราง ความเหยียดหยันเริ่มก่อตัวขึ้นในใจของเขา แต่คู่สนทนาไม่รู้ แล้วหยุดถาม “คนของฉันบอกว่าแกมาจากที่นั้น”

“ครับ”

“มีอะไรมาเสนอ เพื่อจูงใจฉันบ้างละ”
“ไม่มีครับ” ชาติบอกทั้งที่มีอยู่เต็มหัว แต่อยากจะดูเชิงของนายพลกฤษว่าจะต้อนรับมันสักแค่ไหน “ผมแค่อยากให้ท่านเมตตารับเลี้ยงดูปูเสื่อผม แล้วผมจะตอบแทนท่าน จะเป็นทาสรับใช้ แล้วแต่ท่านจะสั่งมา ผมจะทำให้ทุกอย่าง”

นายพลกฤษเลิกคิ้วขึ้นสูง เมื่อคำตอบนั้นผิดไปจากความคาดหวังของเขา ที่หวังจะได้ข้อมูลที่น่าสนใจจากมัน แต่กลับกลวงโบ๋ไม่มีอะไรเลย มันเป็นเช่นหมาสองรางที่เขาเปรียบไว้แล้วอยากลองเปลี่ยนเจ้านายดูเท่านั้นเอง จึงไม่อยากเสียเวลาเสวนาอีกแล้ว

“ฉันมีคนอยู่เยอะแยะแล้ว ไม่อยากเพิ่มใครมาให้สิ้นเปลือง”

“แค่ลูกนกที่ไม่ต้องการอะไรมากไปกว่าน้ำกับข้าวเท่านั้นหรือครับ”

“ใช่ เพราะข้าวของมันแพง แม้น้ำหยดเดียวหยอดลงทุกวันก็เหมือนน้ำหยดลงหิน กว่าหินจะกร่อนก็ใช้น้ำไปตั้งมากมาย เช่นเดียวกันถ้าฉันรับเลี้ยงแกไว้ ก็คงสิ้นเปลืองไปไม่น้อย”

“ท่านไม่คิดว่ามันจะคุ้มหรือครับ”

“แล้วแกรู้อะไรมา พอที่จะบอกให้ฉันรู้ว่าคุ้มไหมละ”

“ความสัมพันธ์ของผมกับคนที่ป๊ะเพลิงเกรงใจที่สุด พอจะคุ้มไหมครับ”

ชาติหงายไพ่ใบแรกให้ดู แต้มนั้นสูงพอที่จะเรียกความสนใจจากนายพลกฤษ แต่เสืออย่างเขายังซุ่มรอก่อนจะตะปบ จึงยังไม่ถามว่าคนที่มันพูดถึงนั่นคือใคร และอยากจะทดสอบดูว่ามันรู้อะไรมามากน้อยแค่ไหนโดยเฉพาะข่าวที่ว่าได้มา จะมาจากคนที่เขาคิดว่าใช่หรือเปล่า

“ฉันได้ยินมาว่านายแห่งหุบเขาเพิ่งแต่งงานกับลูกสาวนายอธิป พ่อค้าหน้าเลือดที่ทำการค้ากันมานาน เรื่องนี้เป็นความจริงหรือเปล่า”

“ครับ” มันยอมรับออกมาและอวดภูมิให้เห็นว่ามันรู้นอกรู้ในเรื่องภายในหุบเขาแค่ไหน “แต่ในคืนแต่งงานมีคนลักลอบเข้าไปขุดหาน้ำสีดำ ซึ่งก็เหมือนแมงเม่าบินเข้ากองไฟ ไม่รอดสักราย ที่รอดมาก็เหมือนการล่อเสือออกจากถ้ำเท่านั้น”

“แล้วมีเสือออกมาให้มันเห็นหรือเปล่า”

“ผมไม่แน่ใจ แต่คิดว่ายังไม่เห็น เพราะถ้าเห็น ท่านคงจะไม่ถามผมอย่างนี้”

“ทำไม”

“เพราะว่าท่านกว้างขวาง และในที่ๆท่านสนใจไม่น่าจะมีอะไรหลุดรอดไปจากสายตาท่านได้”

นายพลกฤษกดยิ้มที่มุมปากพลางคิดว่ามันฉลาดไม่น้อย และคงรู้อะไรมาเยอะ ถึงได้กล้าพูดอย่างมีเลศนัยกับเขาแบบนี้แถมยังยกย่อปอปั้นเขาอีก “ฉันไม่ใช่เทวดาที่จะรู้ไปเสียทุกเรื่องและไม่ชอบคนที่มีดีแค่ปาก มันต้องแสดงฝีมือให้ฉันเห็น ถึงจะคุ้มกับข้าวกับน้ำที่ฉันต้องเสียไป แต่สิ่งที่แกพูดมาก็น่าสนใจไม่น้อย คราวนี้ก็คงจะบอกฉันได้แล้วว่าใบเปิดทางที่แกพูดไว้คือใคร”

“เดือนประดับ ลูกสาวเพื่อนสนิทของพ่อป๊ะเพลิง เธอรักเขาข้างเดียว จึงพยายามทำทุกอย่างเพื่อที่จะให้เขารักเธอ”

“โง่สิ้นดี” นายพลกฤษหยันก่อนจะยิ้มเยาะแล้วบอกว่า “แต่ก็ดีเพราะผู้หญิงที่ยอมเสียทองเท่าหัวไม่ยอมเสียผัวให้ใครแบบนี้นะสนตะพายง่ายดี นอกจากเรื่องนี้แล้วมีเรื่องอื่นอีกไหม”

“ถ้าบอกหมดก็หมดสนุกนะซิครับ”

“นั่นนะซินะ แต่เรื่องแบบนี้มันต้องดูกันยาวๆ ง่ายๆสั้นๆแบบนี้นะ แล้วจากไปเยอะนะฉันเจอมามากแล้วเหมือนกัน”

“ผมหวังว่าท่านจะเมตตา”

“งั้นความหวังแรกที่แกจะทำให้ฉันเมตตา ก็หาทางให้คนของฉันขุดเจอไอ้น้ำสีดำเสียที”

“หมายความว่าท่าน...”

“ฉันจะลองเสี่ยงเลี้ยงดูแกดู แต่ถ้าไม่คุ้มค่าน้ำกับข้าว แกเตรียมโลงไว้ใส่ตัวเองก็แล้วกัน ที่สำคัญแกทำงานให้ไอ้อธิปหรือเปล่า”

แววตาไอ้ชาติไหว ทั้งที่คิดว่าจะนิ่งให้ถึงที่สุด เพื่อเก็บไว้เป็นไม้ตายแต่ไม่อาจพ้นสายตาของนายพลกฤษที่จับจ้องอยู่ได้ เสียงที่พูดออกมาจึงไม่ค่อยจะมั่นใจ “ผม...”

“ฉันเกลียดคนโกหกแต่ชอบคนจริงใจ” คำเตือนอยู่ในทีนั้นทำให้ไอ้ชาติต้องคิดหนักแต่ในที่สุดก็ยอมรับออกมา เพราะข่าวที่มันใช้เป็นใบเบิกทางตั้งแต่แรกนั้นก็เหมือนคำใบ้ที่มันบ่ายเบี่ยงไม่ได้แล้ว

“ครับ”
“งั้นความหวังอีกอย่างที่แกจะได้รับความเมตตาจากฉัน ก็คือทุกเรื่องของไอ้อธิปที่ถึงหูแกก็ต้องถึงหูฉัน ส่วนเรื่องที่แกกับมันสมรู้ร่วมคิดกันเมื่อไรยังไงนั้นฉันไม่สน แต่อย่ามาหลอกลองเล่นกับฉัน ไม่งั้นแกจะไม่ได้เป็นคนอยู่อย่างทุกวันนี้แต่จะเป็นอะไรนั้นแกคิดเอาเองแล้วกัน”

ไอ้ชาติใช้ความเงียบยอมรับข้อตกลงแล้วยกมือไหว้ขอบคุณ จากนั้นก็กระซิบบอกบางอย่างที่ทำให้นายพลกฤษอึ้งไปเล็กน้อย แล้วหันไปพยักหน้ากับลูกน้อง ซึ่งก็เข้าใจว่านายต้องการอะไร ก็ไปทำให้ทันที ไอ้ชาติจึงมีเงินก้อนโตติดมือออกไปจากคฤหาสน์

ทันทีที่ไฟท้ายรถมันหายไป นายพลกฤษก็ยกโทรศัพท์หาเพื่อนผู้ร่วมอุดมการณ์ ให้เตรียมตัวไว้รอรับงานใหญ่ แต่ก่อนจะไปถึงเรื่องนั้น เขาต้องจัดการไอ้อธิปเรื่องแผนที่ที่มันกับลูกหลอกเขาไว้เสียก่อน แล้วค่อยเตรียมการวางแผนปล้นน้ำสีดำจากไอ้ป๊ะเพลิง
*******
ณ หุบเขาพญาบนเรือนเชิงผา หลังจากหมอได้เฝ้าดูอาการฉีดเซรุ่มให้เรียบร้อยแล้ว ก็ออกไปจากห้องพร้อมกับแม่นมทั้งสองคน เพลิงก็เดินไปยืนอิงขอบหน้าต่าง เฝ้าดูเธอมานานนับชั่วโมงก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะฟื้น จึงเดินไปที่ห้องน้ำ อาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่เรียบร้อยแล้ว ก็ออกมาพร้อมๆกับปลายนิ้วเรียวที่กระดิกขึ้นให้เห็น เขาเดินมาหยุดยืนมองตรงขอบเตียง ดวงตาที่ปิดสนิทค่อยๆกะพริบลืมขึ้นปรับรับแสงไฟกระทั่งลืมได้เต็มตา ก็สบเข้ากับนัยน์ตาคมที่จ้องอยู่ ความทรงจำย้อนกลับมาให้ต้องเบือนหน้าหนีเพราะไม่ต้องอยากเห็นหน้าเขา แต่เพลิงมองเป็นความอวดดี ความเห็นใจที่ควรจะมีจึงกลายเป็นคำซ้ำเติม

“สิ้นคิด”

น้ำเสียงที่ยังบอกถึงความเกลียดชังทำให้เรียวปากอิ่มเม้มเข้าหากัน แล้วหลับตาเพื่อให้หลับไปจะได้ไม่ต้องได้ยิน ได้เห็น อะไรอีก แต่ไม่อาจเป็นไปอย่างที่คิด เพราะประตูห้องนอนก็ถูกเปิดเข้ามาเสียก่อน

“ป๊ะเพลิง” เสียงนมสดดังขึ้นพร้อมเดินมาหา โดยมีนมสุกเดินตามหลังมาพร้อมถาดข้าวต้มในมือ “หนูพิมพ์ฟื้นหรือยังคะ”

เพลิงพยักหน้า สองนมยิ้มออกมาอย่างดีใจ นมสุกนั้นรีบเดินไปที่เตียง วางถาดข้าวต้มไว้บนโต๊ะแล้วขึ้นไปนั่งบนเตียงจับมือหญิงไว้อย่างดีใจ ส่วนนมสดก็ไปบอกหมอแล้วกลับมานั่งข้างนมสุก พิมพ์ลดาจึงต้องลืมตาขึ้นมามองทั้งคู่ ซึ่งก็ถามเธอทันที

“เป็นไงบ้างคะ” นมสดถามแล้วไม่รอคำตอบนอกจากปลอบต่อ “เดี๋ยวหมอก็มาแล้วค่ะ ถ้าเจ็บแผลหรือเป็นอะไร หนูพิมพ์อดทนนิดนะ” บอกแล้วก็หันไปมองที่ประตู ซึ่งหมอกำลังเดินผ่านเข้ามาพอดี

หมอกานต์รีบเดินมานั่งเตียง เปิดกระเป๋าหยิบอุปกรณ์มาตรวจเช็กร่างกายของเธอ พร้อมถามอาการต่างๆ ซึ่งคำตอบที่ได้นั้นสร้างความเบาใจให้มากทีเดียว แล้วหันไปบอกป๊ะเพลิงว่า “เธอปลอดภัยแล้วครับ แต่ต้องให้พักมากๆ เพราะร่างกายยังอ่อนเพลียอยู่ เดี๋ยวหมอจะฉีดยาบำรุงให้จะได้แข็งแรงเร็วๆ”

“ขอบใจ”

พูดจบเพลิงก็เดินออกไปจากห้อง ความไม่ใส่ใจนั้นทำให้สองนมต้องแอบมองหน้ากัน แล้วรอจนกระทั่งหมอฉีดยาให้หญิงสาวเรียบร้อย นมสุกก็ออกไปส่งหมอ ไม่นานก็กลับมาเห็นนมสดนั่งมองถ้วยข้าวต้มที่อยู่ในมือ ก็รู้ว่าเธอไม่ยอมทาน จึงเดินเข้าไปคะยั้นคะยอด้วยเสียงอ่อนๆ

“ทานหน่อยเถอะนะหนูพิมพ์ จะได้มีแรง จะได้หายเร็วๆ ทั้งอุ่นทั้งหอมน่าทานมาก นมสองคน...”

เสียงนมสุกหยุดลง เมื่อนมสดยื่นมือมาจับแขนบอกให้รู้ว่าที่พูดมาทั้งหมดนั้นนางพูดมาหมดแล้ว และไม่ได้ผล ไม่มีการตอบรับมีแต่การนิ่งเงียบ จึงต้องถอนหายใจด้วยความอ่อนใจ จากนั้นนมสดก็เอาถ้วยข้าวต้มไปเก็บ ส่วนนมสุกก็ไปเตรียมชุดนอนพร้อมกับผ้าขนหนูมาเช็ดตัวให้เธออีกครั้ง ทั้งสองคนช่วยกันดูแลจนพิมพ์ลดาน้ำตาซึมด้วยความซึ้งใจและเสียใจที่ทำให้ทั้งคนต้องมาเหนื่อยและลำบากไปกับเธอ จากนั้นไม่นานก็หลับไปโดยไม่รู้ตัว

แม่นมทั้งสองจึงจัดเตรียมที่นอนสำหรับตัวเอง เรียบร้อยแล้วก็มองใบหน้างามที่ยังซีดอยู่ รำพึงถึงสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสงสาร “เวรกรรมอะไรนักหนาก็ไม่รู้” เสียงนมสดดังขึ้น “ตายแล้วฟื้น ฟื้นแล้วก็จะตายอีก”

“นั่นนะซิ ว่าแต่เอ็งรู้ไหมว่าทำไมหนูพิมพ์ถึงโดนงูกัด”

“ข้าอยู่กับเอ็งจะไปรู้ได้ยังไง แต่ถ้าให้ตอบก็คงไปเดินเหยียบมันเข้า”

“งูมันอยู่ในป่า หนูพิมพ์จะไปเดินเหยียบมันได้ยังไง หรือว่า...” นมสุกหยุดคำพูดไว้แค่นั้นเมื่อคิดเป็นอื่นไกลออกไปไม่ได้เลย นอกจาก...

“ป๊ะเพลิง” นมสดตอบให้ ซึ่งก็พยักหน้าว่าใช่

“ข้าก็คิดว่าอย่างนั้น แล้วเอ็งเห็นมือหนูพิมพ์มั้ย แตกและแดงเถือกขนาดนั้นคงโดนป๊ะเพลิงใช้ให้ทำอะไรสักอย่างที่หนักและใช้แรงไม่น้อย”

“เห็น แล้วยังไง จะทำอะไรได้ นอกจากใส่ยากันไปและภาวนาขอให้เธอเปลี่ยนไปจริงๆ ป๊ะเพลิงจะได้เลิกลงโทษเสียที”

“เห็นจะยาก เพราะคนมันฝังใจไปเสียแล้ว”

“แต่ตอนที่ป๊ะเพลิงอุ้มหนูพิมพ์มา ข้าเห็นเป็นห่วงเป็นใยยังไงชอบกล”

“ห่วงว่าเธอจะตายแล้วไม่ได้แก้แค้นนะซิไม่ว่า ยิ่งเป็นคนเกลียดแรงรักแรงแบบนั้น ยิ่งน่ากลัว เฮ้อ!” นมสุกถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่แล้วตัดใจเลิกคิด เลิกพูด เพราะดูจะไม่พ้นจากที่พูดๆกันมาแล้ว “นอนเถอะ พรุ่งนี้เอ็งกับข้ามีงานให้ทำกันอีกเยอะ”

“แล้วป๊ะเพลิงละไปไหน”

นมสุกส่ายหน้าทั้งไม่รู้และไม่อยากใส่ใจเพราะไม่พอใจที่นายหนุ่มทำกับหญิงสาวแบบนี้ นมสดก็ไม่มีคำพูดใดอีกเหมือนกัน ทั้งคู่เอนตัวลงนอนไม่ช้าก็หลับไปในที่สุด
******
ท่ามกลางความมืดของพนา บนนภามีแสงจันทราส่องสว่างให้เห็นพื้นพิภพ เจ้าพยัตวิ่งไปตามทางที่เจ้าแห่งหุบเขาพญาบังคับให้วิ่งมาหยุดที่คุกทมิฬ เขาลงจากหลังมัน เดินไปยังเรือนที่เป็นเงาตะคุ่มอยู่ในราตรี คบเพลิงที่ปักอยู่ ส่องให้เห็นบันไดให้เขาย่ำฝีเท้าก้าวขึ้นบนเรือนตรงเข้าไปข้างใน หยิบขวดเหล้าติดมือออกมานั่งที่เก้าอี้ตรงระเบียง เอนหลังพิงพนักยกขาพาดกับโต๊ะ เปิดจุกขวดออกแล้วยกขึ้นดื่มเหมือนน้ำเปล่า

เรื่องของเธอรบกวนจิตใจเขา การเปลี่ยนไปว่าแปลกแล้ว การคิดฆ่าตัวตายยิ่งแปลกกว่า ใจเธอเด็ดเดี่ยวอย่างที่เขาคิดไม่ถึงและไม่คิดว่าเธอจะกล้า ใบหน้าที่ซีดเผือดกับมือเย็นเฉียบและลมหายใจที่เขารู้สึกกลัวว่าจะขาดไปในนาทีใดนาทีหนึ่งนั้น ยังติดตาเขาอยู่ แต่อย่าคิดว่าการคิดฆ่าตัวตายแค่นี้จะลบล้างเรื่องที่ทำมาทั้งหมดได้ เมื่อเขายังยึดติดกับคำว่า ‘มารยา’

เพลิงดื่มเหล้าไปอีกหลายอึก ดีกรีของมันบาดคอเขาแต่ไม่อาจลบภาพของเธอออกไปจากความคิด และพอวางขวดลงบนหน้าขาก็มีเสียงดังลอยๆขึ้นมาด้านหลัง

“เขาว่ากันว่าคนที่นั่งดื่มเหล้าเคล้าแสงจันทร์ มักเป็นคนที่ตกอยู่ในห้วงความรัก หรือไม่ก็อกหัก”

“ยังไม่นอนอีกเหรอ”

“มีเรื่องอะไรเกิดขึ้นที่เรือนอีกละ” คนถามเดินมานั่งที่เก้าอี้ตรงข้าม มองหน้าคมที่สะท้อนกับแสงคบเพลิงพลางยกขาขึ้นไปวางพาดกับเก้าอี้อีกตัว

“รู้อะไรมาบ้างละ”

“ไม่รู้ไง ถึงได้ถาม”

“งั้นก็ไปลากคอไอ้คนที่บอกมา จะได้ถามให้ตอบให้”

หึๆๆ หินหัวเราะเบาๆอยู่ในลำคอ แล้วแหงนหน้าขึ้นมองดาวที่พริบพราวอยู่บนฟ้าที่ดำมืด สายลมหอบความชื้นจากป่ามาถูกตัวให้เย็นสบายพ่วงด้วยความหอมของดอกไม้ด้วย ครู่หนึ่งเขาก็เอ่ยออกมา “ไม่ต้องไปลากใครมาหรอก เพราะที่นายทำอยู่การดื่มเหล้าแรงๆเพียวๆคนเดียวในเวลานี้นะมันบอกให้ฉันว่ามีเรื่องเกิดขึ้นแน่นอน”

“ไม่มีอะไรหรอก นายไปนอนเถอะ”

“เธอใช่ไหม”

ไม่มีคำตอบ มีแต่ความเงียบให้หินคิดว่าใช่ เพราะตอนนี้นอกจากเรื่องไอ้พวกแมงเม่าแล้ว ก็ไม่มีเรื่องใดที่รบกวนจิตใจนายแห่งหุบเขาได้เท่ากับเรื่องของเธอ เขาผ่อนลมหายใจออกมาเบาๆ เมื่อผ่านไปหลายนาทีก็ยังไม่มีเสียงพูดดังขึ้น จึงลดเท้าวางที่พื้น เอนตัวมาข้างหน้าพร้อมกับบอกว่า

“เมื่อตอนเย็น มีข้อความมาจากทะเลทราย” ว่าไปแล้วเขาหยุดรอว่าจะมีเสียงถามอะไรออกมาหรือไม่ เมื่อไม่มีก็พูดต่อ “ชีคอยากให้ไปพบ”

“ฉันไม่ว่าง”

“แสดงว่ายังไม่ลืม”

ไม่มีเสียงใดดังขึ้น หินก็ไม่พูดอะไรอีก นอกจากหยิบขวดเหล้าขึ้นชูก่อนจะดื่ม เพราะนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่เพลิงได้ข่าวจากคนเป็นพ่อแล้วทำเฉยเมย การไม่ลงรอยจากการล้อมกรอบให้เขาต้องแต่งงานกับผู้หญิงที่ไม่ได้รักและเต็มไปด้วยมารยา นำพาศึกเข้ามาในเพลิงพญาให้ต้องร้อนไปทุกหย่อมหญ้า นั้นยากที่จะลืมจริงๆ
*********
เสียงสกุณาดังแหวกพฤกษ์ไพรต้อนรับอรุณรุ่งยามเช้า ปลายนิ้วของหญิงสาวที่นอนนิ่งอยู่บนเตียงในห้องนอนบนเรือนเชิงผาเริ่มขยับ ก่อนที่หัวคิ้วจะขมวดเข้าหากัน เหงื่อเม็ดใหญ่ซึมออกมาที่ขมับ ใบหน้าส่ายไปมาเล็กน้อยและสุดท้ายก็มีเสียงดังเล็ดลอดออกมาริมฝีปาก

“ไม่”
เสียงนั้นเหมือนจะตะโกน แต่จริงๆแล้วดังแผ่วจนแทบจะไม่ได้ยิน แล้วน้ำตาก็ไหลรินออกมาให้รู้สึกตัว เปลือกตาที่ปิดสนิทเริ่มกะพริบก่อนลืมขึ้น พร้อมกับอาการใจหาย มือที่วางอยู่ข้างตัวยกขึ้นมาทาบหัวใจที่เต้นแรง พลางคิดถึงสิ่งที่ยังติดตาอยู่เมื่อกี้ ภาพความฝัน หญิงสาวคนหนึ่งถูกรถชนสภาพนั้นน่ากลัวเหลือเกิน ปลายนิ้วยกขึ้นซับน้ำตาที่ไหลออกมาอย่างไม่เข้าใจว่าทำไมเธอจะต้องเสียใจจนร้องไห้ออกมาด้วย แล้วข่มใจให้นิ่งพร้อมกับมองไปรอบห้องที่นอนอยู่ ริมฝีปากอิ่มเม้มเข้าหากัน เมื่อเห็นว่าเป็นห้องของใคร

พิมพ์ลดายันตัวลุกขึ้นนั่ง มองรอยงูกัดที่ข้อเท้าพลางคิดถึงสิ่งที่ได้ทำลงไปแต่ไม่สำเร็จ สีหน้าเธอเศร้าลงไม่ใช่เพราะเสียใจที่ไม่ตาย แต่เสียใจที่เธอทำอะไรโง่ๆลงไปโดยไม่คิดถึงคนที่ดีกับเธอ อย่างแม่นมทั้งสองคนและคนอื่นๆ ที่แม้เธอจะยังจำไม่ได้ แต่เธอก็ต้องมีพ่อมีแม่ ถ้าท่านทั้งสองคนรู้เรื่องเข้า คงเสียใจที่เธอตัดสินใจทำเรื่องโง่ๆเพียงเพื่อหนีไปให้พ้นจากผู้ชายคนหนึ่งเท่านั้นเอง

ช่างโง่จริงๆ! เธอว่าตัวเองแล้วบอกกับตัวเองว่าจะไม่ทำแบบนี้อีกแล้ว เธอจะต้องสู้ ต้องอยู่ เพื่อให้รู้ให้ได้ว่าทำไมเขาถึงเกลียดชังเธอ

“หนูพิมพ์”

พิมพ์ลดาหันไปมองคนเรียก แล้วยิ้มให้ นมสดกับนมสุกที่ตื่นขึ้นมาเห็นเธอเข้า จึงลุกขึ้นมานั่งข้างๆ โอบกอดตัวเธอไว้อย่างดีใจ พิมพ์ลดาก็กอดทั้งคู่ไว้แน่นและร้องไห้ออกมาเงียบๆ แม่นมทั้งสองจึงได้แต่มองหน้ากัน และลูบหลังปลอบใจเธอ

“เป็นอะไรคะหนูพิมพ์ ยังเจ็บแผลหรือเจ็บปวดตรงไหนหรือเปล่า”

เธอส่ายหน้าว่าเปล่า แต่ร้องไห้เพราะรู้สึกเสียใจกับสิ่งที่ทำลงไป ถ้าตายไปเธอคงไม่ได้เห็นหน้าทั้งคู่และไม่ได้กอดด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจแบบนี้อีกแล้ว น้ำตาซึมจนชุ่มไปทั้งสองแก้ม แล้วดันตัวออกมา ยกมือขึ้นกราบที่อกทั้งคู่พร้อมเสียงสั่นๆด้วยความสำนึกผิด

“พิมพ์ขอโทษค่ะ ขอโทษนะคะ”

“ขอโทษนมทำไมกัน” นมสุกถามอย่างไม่เข้าใจพลางยกปลายนิ้วขึ้นเช็ดน้ำตาที่แก้ม

“นั่นนะซิ จะมาขอโทษพวกนมเรื่องอะไร” นมสดว่าพลางมองใบหน้าที่ยังมีน้ำตาไหลซึมออกมา

“เรื่องที่พิมพ์สิ้นคิด จนเกือบจะตายไปไงค่ะ พิมพ์ขอโทษที่เห็นแก่ตัว จนลืมคิดถึงคนอื่น โดยเฉพาะแม่นมที่ดีกับพิมพ์มาตลอด”

“หมายความว่าไงคะ หรือว่าที่ถูกงูกัด หนูพิมพ์ตั้งใจจะ...”

นมสดหันมามองหน้านมสุกด้วยความตกใจ และจ้องใบหน้างามอย่างไม่อยากจะเชื่อ พิมพ์ลดาหลบตาทั้งคู่ และไม่ยอมพูดอะไร ทั้งสองนมจึงถอนหายใจออกมาเบาๆ “ไม่เป็นไรหรอกค่ะ” นมสดตัดบทออกมาพร้อมยกมือขึ้นเช็ดน้ำตาให้อีกครั้ง “ตอนนี้ปลอดภัยไม่เป็นอะไรแล้ว ก็อย่าทำอีกนะคะ”

“ค่ะ พิมพ์จะไม่ทำอีกแล้ว”

“ดีแล้วค่ะ งั้นลุกไปอาบน้ำนะคะ เดี๋ยวนมจะเตรียมเสื้อผ้าไว้ให้ แล้วจะไปทำข้าวต้มมาให้กิน จะได้กินยา เมื่อคืนก็ไม่ได้กิน หิวแล้วใช่ไหมคะ”

“โหยเลยค่ะ” เสียงหวานแจ่มใสขึ้นจนสองนมยิ้มอย่างเอ็นดู “เดี๋ยวพิมพ์ลงไปทำเองก็ได้ค่ะ ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว นมจะได้ไม่โดนตำหนิอีก”

นมสดรู้ได้ทันทีว่าหญิงสาวหมายถึงใคร “ไม่หรอกค่ะ ก็หนูพิมพ์ไม่สบาย คงไม่โดนว่าหรอกค่ะ”

“แต่พิมพ์ไม่ได้นอนซมหรือเป็นง่อยนะคะ”

“ถึงยังนั้นก็ยังป่วยนะคะ อีกอย่างเมื่อคืนป๊ะเพลิงก็อยู่ดูแลจนหมอบอกว่านายหญิงปลอดภัยแล้วนั่นแหละถึงได้ออกไป”

“ไปไหนคะ” เธอถามทั้งที่ไม่อยากรู้ แต่เพราะเขาที่ยังทำให้เธอมีชีวิตอยู่ แม้จะอยู่เพื่อการแก้แค้นก็ตาม และเมื่อแม่นมทั้งสองคนส่ายหน้าว่าไม่รู้ เธอก็บอกว่า “ดีแล้วค่ะและขอให้ไปแล้วไปลับอย่ากลับมาอีกเลย”

“เผียะ”

“อุ้ย นมตีแขนพิมพ์ทำไมคะ” เธอถามพลางทำหน้าเหลออย่างงงๆ

“ก็เป็นเมียไปพูดเหมือนแช่งผัวอย่างนั้นได้ยังไง ไม่ดีเลย” นมสดดุออกมา

พิมพ์ลดาทำหน้าเหวอทั้งที่อยากจะบอกว่าก็เธอเป็นเมียที่เขาไม่ต้องการอยู่แล้ว แต่ไม่พูดนอกจากโอดออกมาเบาๆ “ก็ป๊ะเพลิงของนมนะเขาใจร้ายกับพิมพ์ออก”

“ถึงงั้นก็เถอะ หนูพิมพ์เป็นเมีย ต้องคอยดูแลและห่วงใยผัวถึงจะถูก ไม่ใช่แช่งกันอย่างนี้ รู้ไหมคะว่าไม่น่ารัก อีกอย่างถ้าไม่อยากให้เขาเกลียด ก็ทำให้เขารักซิค่ะ”

‘รักเหรอ’ พิมพ์ลดารู้สึกขำคำนี้ เพราะมันไม่มีในความคิดเธอเลย “ถ้าโลกไม่แตก พิมพ์ก็ต้องตายไปแล้วมาเกิดใหม่ เขาถึงจะรู้สึกอย่างนั้น” เธอบอกพร้อมกับหยิบผ้าห่มมาพับ “ลุกเถอะค่ะ เดี๋ยวพิมพ์จะเก็บเตียง แล้วจะไปอาบน้ำลงไปที่ห้องครัว นมสองคนกลับห้องไปพักเลยค่ะ เฝ้าพิมพ์มาทั้งคืนแล้ว ไม่ต้องไปทำอะไรให้พิมพ์หรอกค่ะ พิมพ์ทำเองได้”

“อย่าดื้อซิคะ นมบอกให้พักก็พักเถอะ”

พิมพ์ลดาอยากจะปฏิเสธแต่คิดว่าทั้งสองคนคงไม่ฟัง จึงได้ยิ้มให้คล้ายจะยินยอม ทั้งสองนมจึงพากันลุกขึ้นเดินออกจากห้องไป เธอก็ถอนหายใจออกมาเบาๆแล้วจัดเก็บที่นอนจนเรียบตึง ก็เดินกะเพลกไปเปิดตู้ไม้ เปิดหยิบเสื้อผ้าออกมาแล้วเดินไปที่ห้องน้ำ ใช้เวลาไม่เกินครึ่งชั่วโมงก็เปิดประตูออกมา ใบหน้างามสดใสเพราะความสดชื่นของน้ำ แต่ต้องจางหายไปอย่างรวดเร็วเมื่อสายตาปะทะกับคนที่แม่นมบอกทำให้รัก
********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 30 เม.ย. 2558, 17:18:31 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 30 เม.ย. 2558, 17:18:39 น.

จำนวนการเข้าชม : 3019





<< ตอน 5   ตอน 7 >>
แว่นใส 30 เม.ย. 2558, 19:52:32 น.
เอาคืนสักทีก็ดีนะ


konhin 30 เม.ย. 2558, 21:22:28 น.
ช่ายๆ เอาคืนแรงๆ


Zephyr 3 พ.ค. 2558, 22:28:52 น.
บทๆนึงนี้ป๊ะเพลิงพูดเกินสิบประโยคมั้ยนะ
พิมพ์เอ้ย ทนไปก่อนนะ เอาคืนเมื่อไรจัดให้หนักๆเลยนะ


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account