ฤดูกาลรักที่กลางใจ ตอน คิมหันต์กับปัญชิกา
เพราะโชคชะตาทำให้คิมหันต์ได้พบกับปัญชิกาอีกครั้งพร้อมกับข้อเสนอที่น่าตกใจ...
นั่นคือเธอขอมีความสัมพันธ์กับเขาเพียงคืนเดียว!
นั่นคือเธอขอมีความสัมพันธ์กับเขาเพียงคืนเดียว!
Tags: คิมหันต์ ปัญชิกา ซัน ปุยฝ้าย ใช้หนี้ นางเอกน่าสงสาร
ตอน: ตอนที่ 8 และ 9
บทที่ 8
สำหรับปัญชิกาแล้ว การใช้ชีวิตอยู่ในคอนโดฯ ของคิมหันต์ในแต่ละวันให้ความรู้สึกประหนึ่งเป็นนกน้อยในกรงที่เจ้าของจะคอยให้อาหารเมื่อถึงเวลา เหมือนเธอที่วัน ๆ ไม่ต้องทำอะไรเพราะทุกเช้าจะมีพนักงานจากร้านซักรีดมารับเสื้อผ้าไปจัดการและนำมาส่งคืนในเช้าวันถัดมาหมุนเวียนไปเช่นนี้ นับว่ายังดีที่เขาไม่จ้างร้านอาหารนำอาหารมาส่งให้เธอครบสามเวลา ไม่อย่างนั้นชีวิตของเธอก็คงไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงในหอคอยที่เฝ้ารอเจ้าชายสักคนขี่ม้ามาช่วยเหลือ เพียงแต่...เจ้าหญิงอย่างเธอมีหน้าที่คอยให้ความสุขกับเจ้าชายบนเตียงของเขาในเวลาค่ำคืน
เมื่อนึกถึงยามค่ำคืนที่ผ่านมาในแต่ละวันปัญชิกาก็ยังอดสะเทือนใจไม่ได้ แม้ว่าความสัมพันธ์ครั้งแรกจะนำความเจ็บปวดมาให้บ้าง แต่หลังจากนั้นเขาสามารถทำให้เธอมีความสุขไปด้วยกันกับเขาได้เสมอ เพียงแต่...หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นลงหัวใจของเธอก็มักถูกทำร้ายจากความรู้สึกไร้ค่าและไม่เป็นที่ต้องการ
ความขมขื่นในหัวใจทำให้ปัญชิกาไม่นึกอยากอาหาร อิ่มน้ำตาและความเจ็บปวดในหัวใจจนแทบทุกวันเอาแต่ซึมเหม่อไม่ค่อยรับรู้ถึงวันเวลาที่ผ่านพ้นไป ประกอบกับการที่คิมหันต์มักกลับบ้านในเวลาดึกดื่นอีกทั้งไม่รู้จะพูดคุยหรือปรับทุกข์กับใครเพราะเพื่อนสนิทที่มีเพียงคนเดียวก็แต่งงานและตามสามีไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งอยู่บนโลกที่กว้างใหญ่แต่อ้างว้าง
ดังนั้น เย็นวันนี้เมื่อจู่ ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการเข้ามาของคิมหันต์ หญิงสาวจึงทั้งตกใจและแปลกใจ
“คุณซัน ไม่สบายเหรอคะ”
สิ่งที่ปัญชิกาคิดออกตอนนั้นมีเพียงอย่างเดียว ความเป็นห่วงผลักดันให้ก้าวออกไปหาร่างสูงพลางแตะเนื้อตัวอีกฝ่ายอย่างลืมตัว
คิมหันต์บอกกับตัวเองไม่ถูกเช่นกันว่ากำลังรู้สึกเช่นไรกันแน่ วินาทีที่เปิดประตูห้องเข้ามาแล้วพบว่าปัญชิกากำลังยืนเหม่อลอยอยู่ตรงระเบียง ชายหนุ่มรู้สึกถึงอาการหนักหน่วงในหัวใจ ทว่าวินาทีที่หญิงสาวรีบปราดเข้ามาหาแล้วเอามือแตะหน้าผากเหมือนจะวัดอุณหภูมิ ความรู้สึกหนัก ๆ หน่วง ๆ ในหัวใจที่แม้ยังคงมีอยู่หากก็ปะปนด้วยความเต็มตื้นอย่างน่าประหลาด
“ฉันสบายดี”
ชายหนุ่มปัดมือเล็กออกอย่างไม่ทันคิดและไม่ทันเห็นว่าคนที่เขาปัดมือทำหน้าราวกับเจ็บปวดขึ้นมาวูบหนึ่งเพราะสิ่งที่เห็นมีเพียงหญิงสาวเดินไปเก็บเสื้อสูทที่เขาโยนพาดไปบนโซฟาขึ้นมาพลางทำท่าจะเดินกลับเข้าไปที่ห้องนอน
“ปล่อยไว้นั่นล่ะ”
ปัญชิกาชะงักก่อนทำตามอย่างว่าง่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอทำเสมอเวลาอยู่กับเขา ไม่ว่าคิมหันต์ต้องการให้เธอทำอะไรเธอก็ยินดีทำให้เสมอด้วยความเต็มใจ ไม่เคยขัดใจแม้กระทั่งเรื่องบนเตียง
คิมหันต์ลอบมองผู้หญิงที่เขานอนกกกอดมาเป็นเวลาร่วมเดือนด้วยสายตาพินิจ ยอมรับว่าปัญชิกาตอบสนองความปรารถนาของเขาได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าเขาต้องการอะไรเธอก็ทำเหมือนเต็มใจและกระตือรือร้นที่จะทำให้เขามีความสุขจนหลายครั้งหลายหนทำให้เขามักมีคำถามมากมายกับตัวเองอยู่เสมอ ชายหนุ่มกวาดตามองเรือนร่างผอมบางของอีกฝ่ายแล้วอดใจหายไม่ได้เพราะสิ่งที่เห็นเหมือนยิ่งตอกย้ำว่าเขาไม่ได้คิดไปเองที่ว่าเธอผอมลงไปกว่าเดิม แม้ปัญชิกามักแย้มยิ้มให้เขาอยู่เสมอแต่หลายครั้งที่เขาพบว่าในแววตาของเธอไม่มีประกายแห่งความสุข
เมื่อคิมหันต์ทำสัญญาณเรียกเธอให้เข้าไปหาตรงโซฟาที่เขานั่งอยู่ ปัญชิกาก็เดินไปหาอย่างว่าง่ายแล้วก็ต้องอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อชายหนุ่มดึงเธอเข้าไปนั่งบนตักแล้วโอบกอดเอาไว้ ความขัดเขินและไม่คุ้นชินต่อการกระทำแปลก ๆ ของอีกฝ่ายทำให้ร่างเล็กกระสับกระส่ายจนถูกเอ็ด
“อยู่นิ่ง ๆ”
คิมหันต์ลอบยิ้มอย่างนึกขำเมื่อตุ๊กตาสั่งได้ของเขายอมทำตัวว่าง่ายด้วยการทำตัวนิ่งเหมือนหุ่น แต่ด้วยไม่ค่อยชอบใจนักกับการทำตัวแข็งเหมือนถูกสาปของหญิงสาว ชายหนุ่มจึงยื่นหน้าไปขโมยจุมพิตที่แก้มนวลเหมือนจะสลายคำสั่งที่เหมือนดั่งคำสาปก่อนหน้านี้ของตัวเอง
“อุ๊ย! คุณซัน”
ปัญชิกาอุทานออกมาอย่างตกใจเป็นรอบที่สองของวัน ทั้งงุนงงทั้งสงสัยทั้งแปลกใจกับการกระทำในวันนี้ของคิมหันต์ แต่ลึก ๆ แล้วยอมรับว่าการทำตัวผิดแปลกของเขาทำให้เธอมีความสุขไม่น้อย
“อยู่กับฉัน เธอมีความสุขหรือเปล่า”
หญิงสาวอึ้งกับคำถามกระแทกใจ ยอมรับว่าการได้อยู่กับเขาทำให้เธอมีความสุข เพียงแต่...ในความสุขนั้นก็มีความเจ็บปวดแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน นั่นจึงทำให้ปัญชิกาไม่สามารถให้คำตอบออกไปได้ทันใจคนใจร้อน
คิมหันต์เริ่มหงุดหงิดเมื่อเห็นชัดถึงความสับสนบนสีหน้าของคนในอ้อมกอด นั่นแปลว่าเธอไม่มีความสุขที่อยู่กับเขาใช่ไหม ชายหนุ่มให้ข้อสรุปกับตัวเองทันควันโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกคนได้ชี้แจง
“ฉันไม่น่าถามเลยสินะ คนที่ถูกบังคับให้ต้องทำตามหน้าที่ทำตามสัญญาจะไปมีความสุขได้ยังไงกัน”
ปัญชิกาแทบตั้งตัวไม่ติดเมื่อจู่ ๆ คนที่โอบกอดเธออย่างหวงแหนเมื่อครู่กลับทำเหมือนจะผลักไสเธอออกไปให้พ้น ความเหน็บหนาวอ้างว้างถูกเข้าแทนที่ความอบอุ่นจากอ้อมกอดจนทำให้หญิงสาวน้ำตารื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
คิมหันต์เบือนหน้าหนีเมื่อเห็นประกายน้ำในดวงตายาวเรียวคู่สวยของหญิงสาว นึกโมโหตัวเองทั้งที่วันนี้ตัดสินใจรีบกลับก็เพราะเป็นห่วงแม่สาวตรงหน้าแต่ไป ๆ มา ๆ เขากลับทำให้ตัวเองต้องร้อนใจมากขึ้นไปอีก ชายหนุ่มถอนหายใจฮึดฮัดอย่างนึกขัดใจแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี
“ปุยฝ้ายมีความสุขที่ได้อยู่กับคุณซัน”
คำตอบไม่คาดฝันที่จู่ ๆ ได้ยินส่งผลให้คิมหันต์ยืนอึ้งไปชั่วขณะ ทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นปัญชิกาทำหน้าเหมือนคนจวนเจียนจะร้องไห้ สิ่งที่รับรู้ได้ชัดเจนก็คือความขุ่นมัวเมื่อครู่จางหายไปราวกับไม่เคยเกิด
“ขอบใจ”
เพราะตั้งรับไม่ทันกับคำตอบที่ได้ทำให้ชายหนุ่มพูดออกไปได้แค่นั้น แม้เกิดคำถามขึ้นมาในหัวใจอีกข้อ...ทำไมเธอถึงมีความสุข
ลึก ๆ แล้วปัญชิกาอยากบอกเขาเหลือเกินว่าเพราะรักเขาเธอถึงมีความสุข แต่เพราะรู้ดี..ในหัวใจของเขามีเงาของใครคนหนึ่งอยู่และคนคนนั้นเป็นคนที่เธอก็รู้จักดี
ของขวัญ
ความเสียดร้าวก่อตัวในอกหญิงสาวเมื่อภาพจากวันวานผุดขึ้นมาจากความทรงจำเฉกเช่นคืนวันที่ผ่านมายามอยู่เพียงลำพัง ยังจำได้ถึงเรื่องราวที่ทำให้เธอได้เจอกับคิมหันต์และปานฤทัย จำได้ดีถึงท่าทีของคิมหันต์ที่มีต่อหญิงสาวคนนั้นที่นับเธอเป็นเสมือนพี่สาว ยิ่งรู้ว่าทั้งคู่ไม่ได้เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดเธอก็ยิ่งมั่นใจว่าคิมหันต์รู้สึกเช่นไรกับปานฤทัย
ความรักของเธอไม่มีความหมายสำหรับเขา เพราะในหัวใจของเขาไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับใคร
คิมหันต์อึ้งไปเมื่อจู่ ๆ ปัญชิกาก็ร้องไห้ออกมาดื้อ ๆ ชายหนุ่มได้แต่ยืนนิ่งขณะมองหญิงสาวที่ยืนร้องไห้ปราศจากเสียง ท่าทางของเธอชวนให้สงสารจนแวบหนึ่งคิมหันต์ปรารถนาจะเข้าไปสวมกอดและปลอบประโลม ทว่าเท้าที่เพิ่งขยับไปได้เพียงก้าวเดียวกลับติดตรึงอยู่กับที่ในวินาทีที่ชายหนุ่มรู้สึกตัว
ทำไมเขาต้องทำแบบนั้น
ชายหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเองอย่างนึกโมโหแกมขัดใจ ที่ผ่านมานอกจากปานฤทัยยังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้เขารู้สึกอยากปกป้องและปลอบขวัญ หรือเพราะ...เธอเป็นผู้หญิงของเขา
ความคิดสุดท้ายสะดุดกึกเมื่อรู้สึกถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เพิ่งรู้สึกว่านับวันเขาก็ยิ่งมองปัญชิกาในฐานะผู้หญิงของตัวเองมากขึ้นทุกที คงไม่ดีแน่หากเขาจะปล่อยให้ตัวเองรู้สึกผูกพันกับเธอ
เพราะสำหรับเขา ปัญชิกาเป็นแค่ผู้หญิงที่ซื้อมาเพื่อปลดเปลื้องอารมณ์...เท่านั้น
“ถ้าอยากอยู่กับฉันนาน ๆ อย่าทำตัวเป็นผู้หญิงเจ้าน้ำตา”
ความหงุดหงิดถูกถ่ายเททางคำพูดเย็นชาราวกับคนไร้หัวใจ ชายหนุ่มไม่รอดูผลที่ตามมาจากคำพูดของตัวเอง วินาทีนั้นความเป็นห่วงที่ผลักดันให้เขาตัดสินใจรีบกลับถูกลืมเลือนเพราะความสับสนในหัวใจที่กำลังก่อตัว ชายหนุ่มตัดสินใจทำในสิ่งที่คิดออกในตอนนั้น
ปัญชิกาได้แต่ปล่อยให้น้ำตาร่วงพรูหลังคิมหันต์เปิดประตูแล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง ในใจได้แต่ร่ำร้องว่าเธอไม่ได้อยากเป็นผู้หญิงเจ้าน้ำตา ไม่ได้อยากใช้น้ำตาเพื่อเรียกร้องเศษเสี้ยวความเห็นใจจากเขา เพียงแต่...บางครั้งการได้อยู่กับเขาทำให้เธอไม่อาจห้ามน้ำตาตัวเองได้
ท่ามกลางความอ้างว้าง แม้พร่ำบอกกับตัวเองว่าอย่าตัวทำเป็นคนเจ้าน้ำตาแต่ดูเหมือนยิ่งห้ามน้ำตาก็ยิ่งไหล จนสุดท้ายหญิงสาวก็หมดพลังใจจะต้านทานได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาไม่หยุด หญิงสาวร้องและร้องออกมาราวกับว่าจะระบายความชอกช้ำที่ทับถมหัวใจออกไปให้หมดสิ้น เพื่อที่ว่าบางที...เธออาจไม่เหลือน้ำตาจนร้องไห้ออกมาต่อหน้าคิมหันต์อีกต่อไป
หลังจากขับรถออกมาจากคอนโดฯ ได้สักพักและวนเวียนอยู่ละแวกนั้นเหมือนคนไม่รู้จะไปไหน ความสับสนในหัวใจก็ค่อยกลับเป็นปกติ ความเป็นห่วงปัญชิกาหวนกลับมาอีกครั้งจนทำให้เผลอสบถออกมาอย่างหัวเสีย
“บ้าเอ๊ย!”
ชายหนุ่มทุบมือกับพวงมาลัยรถด้วยความสับสนในใจ บางครั้งปัญชิกาก็ดูเปราะบางเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่แตกหักง่ายจนบางทีเขาก็ไม่รู้จะรับมือยังไง
จะให้ทะนุถนอมเธอราวไข่ในหิน นั่นเขาก็ทำไม่ได้ แต่ถ้าจะให้ไม่สนใจว่าเธอจะเป็นยังไง เขาก็ยังไม่ใจร้ายพอ
หลังจากนั่งฮึดฮัดขัดใจตัวเองอีกสักพัก ชายหนุ่มก็ตัดสินใจกลับรถโดยมีจุดหมายคือคอนโดฯ ของตัวเอง
ผลของการร้องไห้อย่างหนักทำให้ปัญชิกาเริ่มปวดศีรษะ หญิงสาวหลับตาลงเพราะอาการแสบตาและเวียนหัวหากก็เผลอผล็อยหลับจากความอ่อนเพลีย ดังนั้นเมื่อคิมหันต์กลับเข้ามาในคอนโดฯ อีกครั้งเขาจึงได้รับการต้อนรับด้วยภาพของปัญชิกาที่นั่งฟุบเอาหน้าลงไปซบบนโซฟา
คิมหันต์สะท้อนใจเมื่อเดินเข้าไปใกล้แล้วพบว่าปัญชิกามีอาการสะอื้นเป็นระยะทั้งที่หลับ คราบน้ำตาบนแก้มเซียวและเปลือกตาที่แดงก่ำล้วนบอกให้รู้ว่าหญิงสาวผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องเสียน้ำตามากถึงเพียงนี้
ชายหนุ่มวางถุงพลาสติกที่ใส่กล่องอาหารที่เขาแวะซื้อมาไว้บนโต๊ะกลางจากนั้นจึงเอื้อมมือไปแตะไหล่หญิงสาวพลางเรียก
“ปุยฝ้าย ตื่นเถอะ”
แต่เหมือนคราวนี้ปัญชิกาจะจมดิ่งอยู่ในส่วนลึกของห้วงนิทราจนกระทั่งว่าเสียงเรียกของคิมหันต์ก็ไม่อาจฉุดรั้งหญิงสาวขึ้นมาได้ และคิมหันต์ก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อยเมื่อตัดสินใจอุ้มปัญชิกาขึ้นมาเมื่อเห็นแล้วว่าเสียงของเขาไม่อาจปลุกเธอได้ ชายหนุ่มใจหายนิด ๆ เมื่อน้ำหนักตัวของหญิงสาวยิ่งตอกย้ำความเชื่อมั่นที่ว่าเธอผอมลง
“ทำไมไม่รู้จักกินเยอะ ๆ บ้างนะ”
คิมหันต์บ่นออกมาอย่างไม่ชอบใจแกมร้อนรน นึกในใจว่าหลังจากนี้คงต้องขุนเธอให้อ้วนอีกหน่อยแล้ว ยิ่งหรุบตาลงมองสีหน้าเซียว ๆ ของคนในอ้อมแขนชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนมีอะไรหนัก ๆ กดทับอยู่ในอก
แม้นึกหงุดหงิด หากชายหนุ่มก็ยังคงอ่อนโยนยามวางร่างผอมบางลงบนเตียงกว้าง แวบหนึ่งอดหวนนึกถึงหลายค่ำคืนที่ผ่านมาไม่ได้ ยามเขาใช้เรือนร่างของเธอเพื่อสนองอารมณ์ดิบของตัวเอง
ชายหนุ่มเม้มปากแน่นเมื่อหวนนึกถึงที่ผ่านมา มีหลายครั้งที่เขาปล่อยตามอารมณ์จนเผอเรอไม่ได้ใช้อุปกรณ์ป้องกัน และมันอาจส่งผลให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมาได้
เขาไม่อยากมีลูกกับผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น
นั่นคือความคิดของคิมหันต์ทุกครั้งที่มีอะไรกับผู้หญิงคนอื่น นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มไม่ลืมที่จะป้องกันตัวเองเพียงแต่กับปัญชิกาแล้วบ่อยครั้งที่เธอมักทำให้เขาลืมตัว
ปัญชิกามีอะไรพิเศษกว่าผู้หญิงคนอื่นอย่างนั้นเหรอ
นั่นคือหนึ่งในคำถามมากมายที่เริ่มเกิดขึ้นในช่วงหลัง แต่คิมหันต์ก็ตอบกับตัวเองอย่างหนักแน่นว่าเธอไม่ได้มีอะไรพิเศษกว่าบรรดาผู้หญิงที่ผ่านมา ทั้งที่เขาเคยเจอผู้หญิงที่ชอบทำตัวเป็นสาวเจ้าน้ำตามาก็ไม่น้อยและรำคาญน้ำตาของบรรดาสาว ๆ เหล่านั้นมาตลอด แต่กับปัญชิกาแล้วน้ำตาของเธอไม่ได้ทำให้รำคาญ เพียงแต่...ทำให้หัวใจของเขาไม่สงบสุขเอาเสียเลย
ชายหนุ่มนิ่วหน้าเมื่อเห็นว่าคนหลับมีอาการสะอื้นขึ้นมาอีกครั้งหากครั้งนี้มีหยดน้ำตาเล็ก ๆ ไหลจากปลายหางตาลงมาอีกด้วย อาจด้วยความสงสารหญิงสาวที่ร่างกายผ่ายผอมลงและยังชอบกินน้ำตาแทนข้าวอีกต่างหากทำให้คิมหันต์ยื่นมือไปปาดน้ำตาให้โดยระวังไม่ให้รบกวนการหลับของหญิงสาว
“อย่าร้องไห้อีกเลย”
แม้คำขอของเขาจะส่งไปไม่ถึงคนที่หลับใหล แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยังเอ่ยออกมาด้วยหวังว่าบางทีปัญชิกาอาจไม่ต้องจมอยู่กับฝันร้ายที่ทำให้เธอร้องไห้ออกมาทั้งที่ยังหลับอยู่แบบนี้
บทที่ 9
อาจเพราะสภาวะร่างกายที่ขาดสารอาหารและนอนไม่เพียงพอซึ่งสะสมมาระยะหนึ่งทำให้เช้าวันรุ่งขึ้นปัญชิกาตื่นขึ้นมาพร้อมอาการเป็นไข้แต่หญิงสาวไม่ปริปาก ทั้งยังฝืนร่างกายลุกขึ้นมาเตรียมอาหารเช้าให้กับคิมหันต์
ปัญชิกาฝืนยิ้มทำเสมือนเมื่อวานไม่มีเรื่องที่ทำให้เสียน้ำตา รวมถึงไม่ตั้งคำถามที่อาจรบกวนใจคิมหันต์ถึงการที่เธอกลับเข้าไปนอนบนเตียงได้ยังไง ดังนั้นสิ่งที่คิมหันต์เห็นในตอนที่ออกมาสมทบเพื่อร่วมทานอาหารเช้าจึงเป็นสีหน้ายิ้มแย้มของหญิงสาวที่แม้ว่าเช้าวันนี้จะดูซีดเซียวผิดปกติ
คิมหันต์นิ่วหน้าเมื่อรู้สึกขัดใจกับใบหน้าที่แทบไร้สีเลือดของปัญชิกา นึกอยากถามว่าเธอไม่สบายหรือเปล่าแต่ปากก็หนักเกินกว่าจะเอ่ยและเพราะคิดเอาเองว่าคนไม่สบายคงลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าไม่ไหวแน่ ชายหนุ่มจึงไม่พูดอะไรเมื่อเข้าประจำที่และเริ่มลงมือจัดการกับอาหารที่หญิงสาวจัดเตรียมไว้ให้หากเมื่อเห็นคนร่วมโต๊ะแทบไม่แตะต้องอาหาร คิมหันต์ก็ชักทนไม่ไหว
“หัดทานให้มันเยอะ ๆ หน่อย ฉันไม่ชอบนอนกอดกระดูกเดินได้หรอกนะ”
เมื่อกายทรุดใจก็พลอยโทรม ดังนั้นเพียงแค่คำพูดไม่ทันคิดของคิมหันต์เพราะต้องการให้เธอทานอาหารให้มากสำหรับปัญชิกาในยามนี้จึงไม่ต่างจากหนามแหลมที่ทิ่มแทงหัวใจเปราะบาง หญิงสาวฝืนกัดริมฝีปากเพื่อระงับอาการสั่นระริกที่ฟ้องถึงสภาวะจิตใจก่อนรับคำเสียงเบาแล้วซ่อนสีหน้าตัวเองด้วยการก้มหน้าลงทานอาหาร
เมื่อเห็นปัญชิกาเริ่มทานอาหารอย่างว่าง่าย คิมหันต์ก็ลอบยิ้มอย่างพอใจและไม่ติดใจอะไรอีกกระทั่งเมื่อหญิงสาวเตรียมจะลุกไปชงกาแฟให้กับเขา นั่นล่ะชายหนุ่มจึงเริ่มเห็นความผิดปกติ
คิมหันต์เกือบคว้าคนตัวเล็กไว้ไม่ทันเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะทรงตัวไม่อยู่ตอนลุกขึ้นจากที่นั่ง กระไอร้อนที่สัมผัสได้หลังจากนั้นทำให้ต้องกัดฟันแน่นอย่างเริ่มโมโห ยิ่งลองเอามือไปแตะหน้าผากและซอกคอคิมหันต์ก็ยิ่งโกรธจัด
“ไม่สบายทำไมถึงไม่บอก!”
ความโมโหทำให้ตะคอกออกไปอย่างลืมตัว ร่ำ ๆ จะจับตัวคนป่วยที่ทำอวดเก่งเข้ามาเขย่าจนกว่าจะหายโมโห แต่โชคไม่ดีที่ปัญชิกาหมดสติไปเสียก่อนที่เขาจะได้ระเบิดอารมณ์ไปมากกว่านี้
เมื่อปัญชิการู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับอาการปวดและมึนงงในศีรษะ หญิงสาวก็พบว่ามีใครคนหนึ่งเฝ้ารอการตื่นของเธออยู่นานแล้ว แวบแรกเธอคิดว่าตัวเองคงฝันไปเมื่อเห็นคิมหันต์กำลังนั่งเอนกึ่งนอนอยู่บนเตียงข้างตัวเธอหากเมื่อพยายามเพ่งพินิจแล้วสิ่งที่เห็นยังไม่หายไป ปัญชิกาจึงแน่ใจว่านี่คือความจริงแต่ยังไม่ทันทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงคิมหันต์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“ปวดหัวมากหรือเปล่า”
แม้รู้สึกปวดหากหญิงสาวก็ไม่คิดบอกตามจริงเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดว่าเธอสำออย
“ไม่ค่ะ”
“ไม่...นี่แปลว่าอะไร ไม่ปวดหัวหรือไม่ปวดหัวมาก”
ยากไม่น้อยหากคิดจะฝ่าด่านของคิมหันต์ ยิ่งสบกับแววตาคาดคั้นของชายหนุ่ม ปัญชิกาก็จำต้องยอมรับ
“ไม่ค่อยปวดค่ะ”
คิมหันต์ไม่พูดอะไรเมื่อเอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กบนหน้าผากหญิงสาวออก กระไอร้อนที่สัมผัสได้ทำให้ไม่ชอบใจนัก ชายหนุ่มนิ่วหน้าเหมือนทุกครั้งที่พบว่าความร้อนในตัวปัญชิกาไม่ค่อยลดลงทั้งที่เขาหมั่นคอยเอาผ้าไปชุบน้ำมาหมั่นเช็ดตัวให้หญิงสาวแทบทุก 10 นาที ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขาก็ป้อนยาลดไข้ให้เธอไปแล้วแต่ดูเหมือนไม่มีผลอะไร
“ฉันจะพาเธอไปหาหมอ”
ชายหนุ่มตัดสินใจพร้อมกับทำท่าจะอุ้มคนป่วยขึ้นมา ในขณะที่ปัญชิกาแทบห้ามไม่ทัน
“ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวก็หาย”
“เดี๋ยวของเธอมันอีกกี่วัน ฉันไม่มีเวลาว่างมากที่จะมาคอยดูแลเธอหรอกนะ”
พูดออกไปแล้วคิมหันต์ก็นึกเสียใจ แต่ชายหนุ่มไม่อยากอธิบายว่านั่นเป็นเพราะความร้อนใจและเป็นห่วงหญิงสาว เกือบหนึ่งชั่วโมงที่เขาคอยเฝ้าดูแลและหมั่นเช็ดตัวให้เธอเหมือนเป็นหนึ่งปีที่ทรมานสำหรับเขาเลยทีเดียว
ปัญชิกาจุกในอก เสียใจจนพูดไม่ออกนอกจากอยากร้องไห้ ยิ่งในภาวะที่ร่างกายอ่อนแอแม้ตั้งใจแล้วว่าจะไม่ให้เขาเห็นน้ำตาอีก แต่หญิงสาวก็ไม่อาจทำได้
คิมหันต์นิ่งงันเมื่อเห็นผลจากคำพูดที่พลั้งปากไป ชายหนุ่มกำมือแน่นเพราะไม่รู้จะทำยังไงก่อนดี ระหว่างอุ้มคนป่วยไปหาหมอกับปลอบโยนคนขี้แงให้หยุดร้องไห้
“เอ้า! ร้องซะให้พอ แล้วหลังจากนี้ฉันจะพาเธอไปหาหมอ”
ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวก่อนกระชากคนป่วยเข้ามาซุกในอ้อมอกด้วยภาวะอารมณ์ที่ตัวเขาเองก็ยังระบุไม่ได้ว่ากำลังโกรธหรือร้อนใจกันแน่ แต่ดูเหมือนคนป่วยไม่ใส่ใจเลยว่าเขากำลังรู้สึกเช่นไรเพราะแม้ถูกกระชากกระชั้นหากหญิงสาวก็ยังซวนลงมาซุกหน้ากับอกของเขาอย่างว่าง่ายก่อนปฏิบัติตามคำสั่งด้วยการร่ำไห้ออกมาอย่างที่ใจร่ำร้อง
เนิ่นนานในความรู้สึกของคิมหันต์กว่าเสียงร่ำไห้จะค่อยซาลง ชายหนุ่มรอจนเหลือเพียงความเงียบจึงค่อยพูด
“ทีนี้ก็ไปหาหมอได้แล้วสินะ”
ปัญชิกาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาที่ยังคงชุ่มไปด้วยหยาดน้ำ ก่อนทำให้คนถูกมองอ่อนใจกับคำร้องขอ
“ปุยฝ้ายไม่อยากไปหาหมอ อย่าพาปุยฝ้ายไปเลยนะคะ”
คิมหันต์แทบทำอะไรไม่ถูกเมื่อจู่ ๆ ผู้หญิงของเขาก็ทำตัวไม่ต่างจากเด็ก แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจต้านทานต่อแววตาของเธอได้
“ตามใจ!”
ชายหนุ่มกระแทกเสียงอย่างจนใจปนหงุดหงิดที่ตัวเองใจไม่แข็งพอกับเธอ ก่อนยื่นเงื่อนไขด้วยน้ำเสียงเข้มดุ
“แต่เธอต้องทานข้าวทานยา ห้ามดื้อห้ามงอแงนะ ตกลงไหม”
“ตกลงค่ะ”
เมื่อคนป่วยตอบรับด้วยน้ำเสียงสดใสขึ้นเล็กน้อย คิมหันต์ก็เผลอโคลงศีรษะกับตัวเองอย่างอ่อนอกอ่อนใจก่อนลุกขึ้นจากเตียงโดยมีคนป่วยจับจ้องไม่คลาดสายตา
“เดี๋ยวฉันจะออกไปหาซื้ออะไรสักหน่อย เธออยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
หัวใจปัญชิกาพองโตกับคำถามไถ่ในตอนท้าย อิ่มใจเสียจนนึกอะไรไม่ออกดังนั้นเจ้าตัวจึงได้แต่ส่ายหน้าในขณะที่คนถามกลับนิ่วหน้าเพราะเริ่มไม่ชอบใจ
“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวฉันซื้อมาให้ละกัน”
คิมหันต์ตัดสินใจก่อนผละตัวเตรียมออกไปข้างนอก ทว่ายังเดินไปไม่ถึงประตูห้องคนป่วยก็ส่งเสียงเรียก
“คุณซันคะ”
ชายหนุ่มหันไปมองเพราะเข้าใจว่าหญิงสาวคงนึกอาหารที่อยากทานได้แล้ว ดังนั้นจึงงันไปเมื่อเจอเข้ากับรอยยิ้มหวานจับหัวใจของอีกฝ่าย
“ขอบคุณนะคะ”
ราวกับคำพูดนั้นเป็นคาถาปลุกเขาจากมนต์สะกด คิมหันต์กระพริบตาถี่ ๆ เหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากความฝันก่อนจะผลุนผันเดินออกไป
ราวชั่วโมงเศษคิมหันต์ก็กลับมาที่คอนโดฯ พร้อมกับสารพัดยาแก้ปวดลดไข้ รวมถึงอาหารอ่อน ๆ ที่เหมาะกับคนป่วยและเครื่องดื่มบำรุงร่างกายจนปัญชิกาอึ้งไปเมื่อเดินออกจากห้องนอนแล้วเห็นบรรดาถุงข้าวของที่คิมหันต์หอบหิ้วเข้ามา ยังไม่ทันพูดอะไรชายหนุ่มก็อุ้มเธอกลับไปที่ห้องนอนก่อนเดินออกไปแล้วกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมชามข้าวต้มปลาที่มีควันโชยออกมาให้เห็น
“ทานซะ”
คิมหันต์สั่งพลางจ้องคนป่วยเขม็งทำให้ปัญชิกาจำต้องยื่นมือออกไปรับชามจากอีกฝ่ายแต่โดยดี แต่เพิ่งตักเข้าปากไปได้แค่สองคำชายหนุ่มก็ดึงช้อนไปจากมือเธอ
“ชักช้าอย่างนี้กว่าจะหมดก็คงพรุ่งนี้เช้า”
คนป่วยสะอึกเมื่อถูกปรามาสแต่ยังไม่ทันได้คิดน้อยใจคิมหันต์ก็ใช้ช้อนที่ยึดไปแล้วตักข้าวต้มมายื่นให้ตรงปาก เพราะตั้งรับไม่ทันทำให้หญิงสาวได้แต่นิ่งอึ้งจนถูกกระตุ้นด้วยน้ำเสียงเข้มดุ
“อ้าปาก”
ไม่ต้องให้บอกซ้ำคนป่วยก็รีบทำตามอย่างว่าง่าย แม้คิมหันต์ไม่ได้แสดงท่าทีอ่อนโยนตรงกันข้ามแววตาที่มองเธอเต็มไปด้วยความคาดคั้นและออกจะดุเสียด้วยซ้ำ กระนั้นปัญชิกาก็ยังเต็มตื้นในหัวใจ
ถึงไม่รัก แต่แค่เขาไม่รังเกียจไม่ชิงชังเธอ เพียงแค่นี้ก็ดีมากแล้ว
หญิงสาวปลอบใจตัวเองพร้อมกับน้ำตาที่ซึมขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่รู้เลยว่าทุกอากัปกริยาของเธอตกอยู่ภายใต้สายตาจับจ้องของชายหนุ่มตลอด
อาจด้วยการบังคับทางอ้อมด้วยสายตาทำให้คนป่วยสามารถทานข้าวต้มได้จนหมดชามท่ามกลางความพอใจของคนดูแล หลังจากทานยาลดไข้ชายหนุ่มก็เริ่มต้นสั่งการอีกครั้ง
“ทีนี้ก็นอนซะ”
เมื่อเห็นคิมหันต์ทำท่าจะยกชามออกไป ปัญชิกาก็รีบยั้งเอาไว้ด้วยความเกรงใจ
“ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวปุยฝ้ายจัดการเอง”
“อย่าอวดเก่ง รู้ตัวบ้างสิว่าไม่สบาย”
คนป่วยหน้าเสียเมื่อถูกเอ็ดกลับมาอย่างไม่ไว้หน้า หากเมื่อชายหนุ่มเอาแต่ยืนจ้องหน้าเงียบ ๆ ด้วยแววตาที่เหมือนจะดุอยู่ในที ในที่สุดหญิงสาวก็ยอมทำตัวว่าง่ายด้วยการหลับตาลงแต่ไม่นานนักทั้งพิษไข้และยาที่ทานเข้าไปก็เริ่มออกฤทธิ์ จากที่ไม่ตั้งใจหลับหญิงสาวก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวและดำดิ่งสู่ห้วงนิทราจนกระทั่งไม่รับรู้เลยว่าคิมหันต์กลับเข้ามาในห้องนอนและเริ่มต้นลงมือเช็ดหน้าและเช็ดตัวให้กับเธออีกครั้ง
--------------------------------------------------------------------------------------
แปะ แปะ แปะ...เอาตอนใหม่มาแปะค่ะ มีวันหยุดเพิ่มก็ปั่นงานได้เพิ่มแบบนี้ล่ะเน๊อะ 555
ตอนนี้มานำเสนอพี่ซันในอีกมุมหนึ่งค่ะ จะได้เห็นว่าผู้ชายคนนี้ใช่จะมีแต่ด้านดิบ ๆ ดาร์ก ๆ อย่างเดียว^^
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และ LIKE ที่มอบเป็นกำลังใจใหักันค่ะ
นักอ่านเหนียวหนึบ : 555 อ่านคอมเม้นท์แล้วนึกถึงโฆษณาชิ้นหนึ่งเลยค่ะ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นกาแฟล่ะนะ
สำหรับปัญชิกาแล้ว การใช้ชีวิตอยู่ในคอนโดฯ ของคิมหันต์ในแต่ละวันให้ความรู้สึกประหนึ่งเป็นนกน้อยในกรงที่เจ้าของจะคอยให้อาหารเมื่อถึงเวลา เหมือนเธอที่วัน ๆ ไม่ต้องทำอะไรเพราะทุกเช้าจะมีพนักงานจากร้านซักรีดมารับเสื้อผ้าไปจัดการและนำมาส่งคืนในเช้าวันถัดมาหมุนเวียนไปเช่นนี้ นับว่ายังดีที่เขาไม่จ้างร้านอาหารนำอาหารมาส่งให้เธอครบสามเวลา ไม่อย่างนั้นชีวิตของเธอก็คงไม่ต่างอะไรกับเจ้าหญิงในหอคอยที่เฝ้ารอเจ้าชายสักคนขี่ม้ามาช่วยเหลือ เพียงแต่...เจ้าหญิงอย่างเธอมีหน้าที่คอยให้ความสุขกับเจ้าชายบนเตียงของเขาในเวลาค่ำคืน
เมื่อนึกถึงยามค่ำคืนที่ผ่านมาในแต่ละวันปัญชิกาก็ยังอดสะเทือนใจไม่ได้ แม้ว่าความสัมพันธ์ครั้งแรกจะนำความเจ็บปวดมาให้บ้าง แต่หลังจากนั้นเขาสามารถทำให้เธอมีความสุขไปด้วยกันกับเขาได้เสมอ เพียงแต่...หลังจากทุกอย่างเสร็จสิ้นลงหัวใจของเธอก็มักถูกทำร้ายจากความรู้สึกไร้ค่าและไม่เป็นที่ต้องการ
ความขมขื่นในหัวใจทำให้ปัญชิกาไม่นึกอยากอาหาร อิ่มน้ำตาและความเจ็บปวดในหัวใจจนแทบทุกวันเอาแต่ซึมเหม่อไม่ค่อยรับรู้ถึงวันเวลาที่ผ่านพ้นไป ประกอบกับการที่คิมหันต์มักกลับบ้านในเวลาดึกดื่นอีกทั้งไม่รู้จะพูดคุยหรือปรับทุกข์กับใครเพราะเพื่อนสนิทที่มีเพียงคนเดียวก็แต่งงานและตามสามีไปใช้ชีวิตที่ต่างประเทศยิ่งทำให้รู้สึกเหมือนถูกทอดทิ้งอยู่บนโลกที่กว้างใหญ่แต่อ้างว้าง
ดังนั้น เย็นวันนี้เมื่อจู่ ๆ ประตูห้องก็ถูกเปิดออกพร้อมกับการเข้ามาของคิมหันต์ หญิงสาวจึงทั้งตกใจและแปลกใจ
“คุณซัน ไม่สบายเหรอคะ”
สิ่งที่ปัญชิกาคิดออกตอนนั้นมีเพียงอย่างเดียว ความเป็นห่วงผลักดันให้ก้าวออกไปหาร่างสูงพลางแตะเนื้อตัวอีกฝ่ายอย่างลืมตัว
คิมหันต์บอกกับตัวเองไม่ถูกเช่นกันว่ากำลังรู้สึกเช่นไรกันแน่ วินาทีที่เปิดประตูห้องเข้ามาแล้วพบว่าปัญชิกากำลังยืนเหม่อลอยอยู่ตรงระเบียง ชายหนุ่มรู้สึกถึงอาการหนักหน่วงในหัวใจ ทว่าวินาทีที่หญิงสาวรีบปราดเข้ามาหาแล้วเอามือแตะหน้าผากเหมือนจะวัดอุณหภูมิ ความรู้สึกหนัก ๆ หน่วง ๆ ในหัวใจที่แม้ยังคงมีอยู่หากก็ปะปนด้วยความเต็มตื้นอย่างน่าประหลาด
“ฉันสบายดี”
ชายหนุ่มปัดมือเล็กออกอย่างไม่ทันคิดและไม่ทันเห็นว่าคนที่เขาปัดมือทำหน้าราวกับเจ็บปวดขึ้นมาวูบหนึ่งเพราะสิ่งที่เห็นมีเพียงหญิงสาวเดินไปเก็บเสื้อสูทที่เขาโยนพาดไปบนโซฟาขึ้นมาพลางทำท่าจะเดินกลับเข้าไปที่ห้องนอน
“ปล่อยไว้นั่นล่ะ”
ปัญชิกาชะงักก่อนทำตามอย่างว่าง่าย ซึ่งเป็นสิ่งที่เธอทำเสมอเวลาอยู่กับเขา ไม่ว่าคิมหันต์ต้องการให้เธอทำอะไรเธอก็ยินดีทำให้เสมอด้วยความเต็มใจ ไม่เคยขัดใจแม้กระทั่งเรื่องบนเตียง
คิมหันต์ลอบมองผู้หญิงที่เขานอนกกกอดมาเป็นเวลาร่วมเดือนด้วยสายตาพินิจ ยอมรับว่าปัญชิกาตอบสนองความปรารถนาของเขาได้เป็นอย่างดี ไม่ว่าเขาต้องการอะไรเธอก็ทำเหมือนเต็มใจและกระตือรือร้นที่จะทำให้เขามีความสุขจนหลายครั้งหลายหนทำให้เขามักมีคำถามมากมายกับตัวเองอยู่เสมอ ชายหนุ่มกวาดตามองเรือนร่างผอมบางของอีกฝ่ายแล้วอดใจหายไม่ได้เพราะสิ่งที่เห็นเหมือนยิ่งตอกย้ำว่าเขาไม่ได้คิดไปเองที่ว่าเธอผอมลงไปกว่าเดิม แม้ปัญชิกามักแย้มยิ้มให้เขาอยู่เสมอแต่หลายครั้งที่เขาพบว่าในแววตาของเธอไม่มีประกายแห่งความสุข
เมื่อคิมหันต์ทำสัญญาณเรียกเธอให้เข้าไปหาตรงโซฟาที่เขานั่งอยู่ ปัญชิกาก็เดินไปหาอย่างว่าง่ายแล้วก็ต้องอุทานออกมาอย่างตกใจเมื่อชายหนุ่มดึงเธอเข้าไปนั่งบนตักแล้วโอบกอดเอาไว้ ความขัดเขินและไม่คุ้นชินต่อการกระทำแปลก ๆ ของอีกฝ่ายทำให้ร่างเล็กกระสับกระส่ายจนถูกเอ็ด
“อยู่นิ่ง ๆ”
คิมหันต์ลอบยิ้มอย่างนึกขำเมื่อตุ๊กตาสั่งได้ของเขายอมทำตัวว่าง่ายด้วยการทำตัวนิ่งเหมือนหุ่น แต่ด้วยไม่ค่อยชอบใจนักกับการทำตัวแข็งเหมือนถูกสาปของหญิงสาว ชายหนุ่มจึงยื่นหน้าไปขโมยจุมพิตที่แก้มนวลเหมือนจะสลายคำสั่งที่เหมือนดั่งคำสาปก่อนหน้านี้ของตัวเอง
“อุ๊ย! คุณซัน”
ปัญชิกาอุทานออกมาอย่างตกใจเป็นรอบที่สองของวัน ทั้งงุนงงทั้งสงสัยทั้งแปลกใจกับการกระทำในวันนี้ของคิมหันต์ แต่ลึก ๆ แล้วยอมรับว่าการทำตัวผิดแปลกของเขาทำให้เธอมีความสุขไม่น้อย
“อยู่กับฉัน เธอมีความสุขหรือเปล่า”
หญิงสาวอึ้งกับคำถามกระแทกใจ ยอมรับว่าการได้อยู่กับเขาทำให้เธอมีความสุข เพียงแต่...ในความสุขนั้นก็มีความเจ็บปวดแฝงอยู่ด้วยเช่นกัน นั่นจึงทำให้ปัญชิกาไม่สามารถให้คำตอบออกไปได้ทันใจคนใจร้อน
คิมหันต์เริ่มหงุดหงิดเมื่อเห็นชัดถึงความสับสนบนสีหน้าของคนในอ้อมกอด นั่นแปลว่าเธอไม่มีความสุขที่อยู่กับเขาใช่ไหม ชายหนุ่มให้ข้อสรุปกับตัวเองทันควันโดยไม่เปิดโอกาสให้อีกคนได้ชี้แจง
“ฉันไม่น่าถามเลยสินะ คนที่ถูกบังคับให้ต้องทำตามหน้าที่ทำตามสัญญาจะไปมีความสุขได้ยังไงกัน”
ปัญชิกาแทบตั้งตัวไม่ติดเมื่อจู่ ๆ คนที่โอบกอดเธออย่างหวงแหนเมื่อครู่กลับทำเหมือนจะผลักไสเธอออกไปให้พ้น ความเหน็บหนาวอ้างว้างถูกเข้าแทนที่ความอบอุ่นจากอ้อมกอดจนทำให้หญิงสาวน้ำตารื้นขึ้นมาโดยไม่รู้ตัว
คิมหันต์เบือนหน้าหนีเมื่อเห็นประกายน้ำในดวงตายาวเรียวคู่สวยของหญิงสาว นึกโมโหตัวเองทั้งที่วันนี้ตัดสินใจรีบกลับก็เพราะเป็นห่วงแม่สาวตรงหน้าแต่ไป ๆ มา ๆ เขากลับทำให้ตัวเองต้องร้อนใจมากขึ้นไปอีก ชายหนุ่มถอนหายใจฮึดฮัดอย่างนึกขัดใจแต่ก็ไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมาดี
“ปุยฝ้ายมีความสุขที่ได้อยู่กับคุณซัน”
คำตอบไม่คาดฝันที่จู่ ๆ ได้ยินส่งผลให้คิมหันต์ยืนอึ้งไปชั่วขณะ ทำอะไรไม่ถูกเมื่อเห็นปัญชิกาทำหน้าเหมือนคนจวนเจียนจะร้องไห้ สิ่งที่รับรู้ได้ชัดเจนก็คือความขุ่นมัวเมื่อครู่จางหายไปราวกับไม่เคยเกิด
“ขอบใจ”
เพราะตั้งรับไม่ทันกับคำตอบที่ได้ทำให้ชายหนุ่มพูดออกไปได้แค่นั้น แม้เกิดคำถามขึ้นมาในหัวใจอีกข้อ...ทำไมเธอถึงมีความสุข
ลึก ๆ แล้วปัญชิกาอยากบอกเขาเหลือเกินว่าเพราะรักเขาเธอถึงมีความสุข แต่เพราะรู้ดี..ในหัวใจของเขามีเงาของใครคนหนึ่งอยู่และคนคนนั้นเป็นคนที่เธอก็รู้จักดี
ของขวัญ
ความเสียดร้าวก่อตัวในอกหญิงสาวเมื่อภาพจากวันวานผุดขึ้นมาจากความทรงจำเฉกเช่นคืนวันที่ผ่านมายามอยู่เพียงลำพัง ยังจำได้ถึงเรื่องราวที่ทำให้เธอได้เจอกับคิมหันต์และปานฤทัย จำได้ดีถึงท่าทีของคิมหันต์ที่มีต่อหญิงสาวคนนั้นที่นับเธอเป็นเสมือนพี่สาว ยิ่งรู้ว่าทั้งคู่ไม่ได้เป็นพี่น้องร่วมสายเลือดเธอก็ยิ่งมั่นใจว่าคิมหันต์รู้สึกเช่นไรกับปานฤทัย
ความรักของเธอไม่มีความหมายสำหรับเขา เพราะในหัวใจของเขาไม่มีพื้นที่เหลือสำหรับใคร
คิมหันต์อึ้งไปเมื่อจู่ ๆ ปัญชิกาก็ร้องไห้ออกมาดื้อ ๆ ชายหนุ่มได้แต่ยืนนิ่งขณะมองหญิงสาวที่ยืนร้องไห้ปราศจากเสียง ท่าทางของเธอชวนให้สงสารจนแวบหนึ่งคิมหันต์ปรารถนาจะเข้าไปสวมกอดและปลอบประโลม ทว่าเท้าที่เพิ่งขยับไปได้เพียงก้าวเดียวกลับติดตรึงอยู่กับที่ในวินาทีที่ชายหนุ่มรู้สึกตัว
ทำไมเขาต้องทำแบบนั้น
ชายหนุ่มตั้งคำถามกับตัวเองอย่างนึกโมโหแกมขัดใจ ที่ผ่านมานอกจากปานฤทัยยังไม่เคยมีผู้หญิงคนไหนทำให้เขารู้สึกอยากปกป้องและปลอบขวัญ หรือเพราะ...เธอเป็นผู้หญิงของเขา
ความคิดสุดท้ายสะดุดกึกเมื่อรู้สึกถึงความเป็นเจ้าข้าวเจ้าของ เพิ่งรู้สึกว่านับวันเขาก็ยิ่งมองปัญชิกาในฐานะผู้หญิงของตัวเองมากขึ้นทุกที คงไม่ดีแน่หากเขาจะปล่อยให้ตัวเองรู้สึกผูกพันกับเธอ
เพราะสำหรับเขา ปัญชิกาเป็นแค่ผู้หญิงที่ซื้อมาเพื่อปลดเปลื้องอารมณ์...เท่านั้น
“ถ้าอยากอยู่กับฉันนาน ๆ อย่าทำตัวเป็นผู้หญิงเจ้าน้ำตา”
ความหงุดหงิดถูกถ่ายเททางคำพูดเย็นชาราวกับคนไร้หัวใจ ชายหนุ่มไม่รอดูผลที่ตามมาจากคำพูดของตัวเอง วินาทีนั้นความเป็นห่วงที่ผลักดันให้เขาตัดสินใจรีบกลับถูกลืมเลือนเพราะความสับสนในหัวใจที่กำลังก่อตัว ชายหนุ่มตัดสินใจทำในสิ่งที่คิดออกในตอนนั้น
ปัญชิกาได้แต่ปล่อยให้น้ำตาร่วงพรูหลังคิมหันต์เปิดประตูแล้วเดินจากไปโดยไม่หันกลับมามอง ในใจได้แต่ร่ำร้องว่าเธอไม่ได้อยากเป็นผู้หญิงเจ้าน้ำตา ไม่ได้อยากใช้น้ำตาเพื่อเรียกร้องเศษเสี้ยวความเห็นใจจากเขา เพียงแต่...บางครั้งการได้อยู่กับเขาทำให้เธอไม่อาจห้ามน้ำตาตัวเองได้
ท่ามกลางความอ้างว้าง แม้พร่ำบอกกับตัวเองว่าอย่าตัวทำเป็นคนเจ้าน้ำตาแต่ดูเหมือนยิ่งห้ามน้ำตาก็ยิ่งไหล จนสุดท้ายหญิงสาวก็หมดพลังใจจะต้านทานได้แต่ปล่อยให้น้ำตาไหลลงมาไม่หยุด หญิงสาวร้องและร้องออกมาราวกับว่าจะระบายความชอกช้ำที่ทับถมหัวใจออกไปให้หมดสิ้น เพื่อที่ว่าบางที...เธออาจไม่เหลือน้ำตาจนร้องไห้ออกมาต่อหน้าคิมหันต์อีกต่อไป
หลังจากขับรถออกมาจากคอนโดฯ ได้สักพักและวนเวียนอยู่ละแวกนั้นเหมือนคนไม่รู้จะไปไหน ความสับสนในหัวใจก็ค่อยกลับเป็นปกติ ความเป็นห่วงปัญชิกาหวนกลับมาอีกครั้งจนทำให้เผลอสบถออกมาอย่างหัวเสีย
“บ้าเอ๊ย!”
ชายหนุ่มทุบมือกับพวงมาลัยรถด้วยความสับสนในใจ บางครั้งปัญชิกาก็ดูเปราะบางเหมือนตุ๊กตากระเบื้องเคลือบที่แตกหักง่ายจนบางทีเขาก็ไม่รู้จะรับมือยังไง
จะให้ทะนุถนอมเธอราวไข่ในหิน นั่นเขาก็ทำไม่ได้ แต่ถ้าจะให้ไม่สนใจว่าเธอจะเป็นยังไง เขาก็ยังไม่ใจร้ายพอ
หลังจากนั่งฮึดฮัดขัดใจตัวเองอีกสักพัก ชายหนุ่มก็ตัดสินใจกลับรถโดยมีจุดหมายคือคอนโดฯ ของตัวเอง
ผลของการร้องไห้อย่างหนักทำให้ปัญชิกาเริ่มปวดศีรษะ หญิงสาวหลับตาลงเพราะอาการแสบตาและเวียนหัวหากก็เผลอผล็อยหลับจากความอ่อนเพลีย ดังนั้นเมื่อคิมหันต์กลับเข้ามาในคอนโดฯ อีกครั้งเขาจึงได้รับการต้อนรับด้วยภาพของปัญชิกาที่นั่งฟุบเอาหน้าลงไปซบบนโซฟา
คิมหันต์สะท้อนใจเมื่อเดินเข้าไปใกล้แล้วพบว่าปัญชิกามีอาการสะอื้นเป็นระยะทั้งที่หลับ คราบน้ำตาบนแก้มเซียวและเปลือกตาที่แดงก่ำล้วนบอกให้รู้ว่าหญิงสาวผ่านการร้องไห้มาอย่างหนัก ไม่เคยคิดมาก่อนว่าเขาจะทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องเสียน้ำตามากถึงเพียงนี้
ชายหนุ่มวางถุงพลาสติกที่ใส่กล่องอาหารที่เขาแวะซื้อมาไว้บนโต๊ะกลางจากนั้นจึงเอื้อมมือไปแตะไหล่หญิงสาวพลางเรียก
“ปุยฝ้าย ตื่นเถอะ”
แต่เหมือนคราวนี้ปัญชิกาจะจมดิ่งอยู่ในส่วนลึกของห้วงนิทราจนกระทั่งว่าเสียงเรียกของคิมหันต์ก็ไม่อาจฉุดรั้งหญิงสาวขึ้นมาได้ และคิมหันต์ก็ไม่ลังเลแม้แต่น้อยเมื่อตัดสินใจอุ้มปัญชิกาขึ้นมาเมื่อเห็นแล้วว่าเสียงของเขาไม่อาจปลุกเธอได้ ชายหนุ่มใจหายนิด ๆ เมื่อน้ำหนักตัวของหญิงสาวยิ่งตอกย้ำความเชื่อมั่นที่ว่าเธอผอมลง
“ทำไมไม่รู้จักกินเยอะ ๆ บ้างนะ”
คิมหันต์บ่นออกมาอย่างไม่ชอบใจแกมร้อนรน นึกในใจว่าหลังจากนี้คงต้องขุนเธอให้อ้วนอีกหน่อยแล้ว ยิ่งหรุบตาลงมองสีหน้าเซียว ๆ ของคนในอ้อมแขนชายหนุ่มก็รู้สึกเหมือนมีอะไรหนัก ๆ กดทับอยู่ในอก
แม้นึกหงุดหงิด หากชายหนุ่มก็ยังคงอ่อนโยนยามวางร่างผอมบางลงบนเตียงกว้าง แวบหนึ่งอดหวนนึกถึงหลายค่ำคืนที่ผ่านมาไม่ได้ ยามเขาใช้เรือนร่างของเธอเพื่อสนองอารมณ์ดิบของตัวเอง
ชายหนุ่มเม้มปากแน่นเมื่อหวนนึกถึงที่ผ่านมา มีหลายครั้งที่เขาปล่อยตามอารมณ์จนเผอเรอไม่ได้ใช้อุปกรณ์ป้องกัน และมันอาจส่งผลให้เกิดเรื่องไม่คาดฝันขึ้นมาได้
เขาไม่อยากมีลูกกับผู้หญิงคนไหนทั้งนั้น
นั่นคือความคิดของคิมหันต์ทุกครั้งที่มีอะไรกับผู้หญิงคนอื่น นั่นจึงทำให้ชายหนุ่มไม่ลืมที่จะป้องกันตัวเองเพียงแต่กับปัญชิกาแล้วบ่อยครั้งที่เธอมักทำให้เขาลืมตัว
ปัญชิกามีอะไรพิเศษกว่าผู้หญิงคนอื่นอย่างนั้นเหรอ
นั่นคือหนึ่งในคำถามมากมายที่เริ่มเกิดขึ้นในช่วงหลัง แต่คิมหันต์ก็ตอบกับตัวเองอย่างหนักแน่นว่าเธอไม่ได้มีอะไรพิเศษกว่าบรรดาผู้หญิงที่ผ่านมา ทั้งที่เขาเคยเจอผู้หญิงที่ชอบทำตัวเป็นสาวเจ้าน้ำตามาก็ไม่น้อยและรำคาญน้ำตาของบรรดาสาว ๆ เหล่านั้นมาตลอด แต่กับปัญชิกาแล้วน้ำตาของเธอไม่ได้ทำให้รำคาญ เพียงแต่...ทำให้หัวใจของเขาไม่สงบสุขเอาเสียเลย
ชายหนุ่มนิ่วหน้าเมื่อเห็นว่าคนหลับมีอาการสะอื้นขึ้นมาอีกครั้งหากครั้งนี้มีหยดน้ำตาเล็ก ๆ ไหลจากปลายหางตาลงมาอีกด้วย อาจด้วยความสงสารหญิงสาวที่ร่างกายผ่ายผอมลงและยังชอบกินน้ำตาแทนข้าวอีกต่างหากทำให้คิมหันต์ยื่นมือไปปาดน้ำตาให้โดยระวังไม่ให้รบกวนการหลับของหญิงสาว
“อย่าร้องไห้อีกเลย”
แม้คำขอของเขาจะส่งไปไม่ถึงคนที่หลับใหล แต่กระนั้นชายหนุ่มก็ยังเอ่ยออกมาด้วยหวังว่าบางทีปัญชิกาอาจไม่ต้องจมอยู่กับฝันร้ายที่ทำให้เธอร้องไห้ออกมาทั้งที่ยังหลับอยู่แบบนี้
บทที่ 9
อาจเพราะสภาวะร่างกายที่ขาดสารอาหารและนอนไม่เพียงพอซึ่งสะสมมาระยะหนึ่งทำให้เช้าวันรุ่งขึ้นปัญชิกาตื่นขึ้นมาพร้อมอาการเป็นไข้แต่หญิงสาวไม่ปริปาก ทั้งยังฝืนร่างกายลุกขึ้นมาเตรียมอาหารเช้าให้กับคิมหันต์
ปัญชิกาฝืนยิ้มทำเสมือนเมื่อวานไม่มีเรื่องที่ทำให้เสียน้ำตา รวมถึงไม่ตั้งคำถามที่อาจรบกวนใจคิมหันต์ถึงการที่เธอกลับเข้าไปนอนบนเตียงได้ยังไง ดังนั้นสิ่งที่คิมหันต์เห็นในตอนที่ออกมาสมทบเพื่อร่วมทานอาหารเช้าจึงเป็นสีหน้ายิ้มแย้มของหญิงสาวที่แม้ว่าเช้าวันนี้จะดูซีดเซียวผิดปกติ
คิมหันต์นิ่วหน้าเมื่อรู้สึกขัดใจกับใบหน้าที่แทบไร้สีเลือดของปัญชิกา นึกอยากถามว่าเธอไม่สบายหรือเปล่าแต่ปากก็หนักเกินกว่าจะเอ่ยและเพราะคิดเอาเองว่าคนไม่สบายคงลุกขึ้นมาทำอาหารเช้าไม่ไหวแน่ ชายหนุ่มจึงไม่พูดอะไรเมื่อเข้าประจำที่และเริ่มลงมือจัดการกับอาหารที่หญิงสาวจัดเตรียมไว้ให้หากเมื่อเห็นคนร่วมโต๊ะแทบไม่แตะต้องอาหาร คิมหันต์ก็ชักทนไม่ไหว
“หัดทานให้มันเยอะ ๆ หน่อย ฉันไม่ชอบนอนกอดกระดูกเดินได้หรอกนะ”
เมื่อกายทรุดใจก็พลอยโทรม ดังนั้นเพียงแค่คำพูดไม่ทันคิดของคิมหันต์เพราะต้องการให้เธอทานอาหารให้มากสำหรับปัญชิกาในยามนี้จึงไม่ต่างจากหนามแหลมที่ทิ่มแทงหัวใจเปราะบาง หญิงสาวฝืนกัดริมฝีปากเพื่อระงับอาการสั่นระริกที่ฟ้องถึงสภาวะจิตใจก่อนรับคำเสียงเบาแล้วซ่อนสีหน้าตัวเองด้วยการก้มหน้าลงทานอาหาร
เมื่อเห็นปัญชิกาเริ่มทานอาหารอย่างว่าง่าย คิมหันต์ก็ลอบยิ้มอย่างพอใจและไม่ติดใจอะไรอีกกระทั่งเมื่อหญิงสาวเตรียมจะลุกไปชงกาแฟให้กับเขา นั่นล่ะชายหนุ่มจึงเริ่มเห็นความผิดปกติ
คิมหันต์เกือบคว้าคนตัวเล็กไว้ไม่ทันเมื่อเห็นอีกฝ่ายทำท่าเหมือนจะทรงตัวไม่อยู่ตอนลุกขึ้นจากที่นั่ง กระไอร้อนที่สัมผัสได้หลังจากนั้นทำให้ต้องกัดฟันแน่นอย่างเริ่มโมโห ยิ่งลองเอามือไปแตะหน้าผากและซอกคอคิมหันต์ก็ยิ่งโกรธจัด
“ไม่สบายทำไมถึงไม่บอก!”
ความโมโหทำให้ตะคอกออกไปอย่างลืมตัว ร่ำ ๆ จะจับตัวคนป่วยที่ทำอวดเก่งเข้ามาเขย่าจนกว่าจะหายโมโห แต่โชคไม่ดีที่ปัญชิกาหมดสติไปเสียก่อนที่เขาจะได้ระเบิดอารมณ์ไปมากกว่านี้
เมื่อปัญชิการู้สึกตัวขึ้นมาอีกครั้งพร้อมกับอาการปวดและมึนงงในศีรษะ หญิงสาวก็พบว่ามีใครคนหนึ่งเฝ้ารอการตื่นของเธออยู่นานแล้ว แวบแรกเธอคิดว่าตัวเองคงฝันไปเมื่อเห็นคิมหันต์กำลังนั่งเอนกึ่งนอนอยู่บนเตียงข้างตัวเธอหากเมื่อพยายามเพ่งพินิจแล้วสิ่งที่เห็นยังไม่หายไป ปัญชิกาจึงแน่ใจว่านี่คือความจริงแต่ยังไม่ทันทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น เสียงคิมหันต์ก็ดังขึ้นมาเสียก่อน
“ปวดหัวมากหรือเปล่า”
แม้รู้สึกปวดหากหญิงสาวก็ไม่คิดบอกตามจริงเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายคิดว่าเธอสำออย
“ไม่ค่ะ”
“ไม่...นี่แปลว่าอะไร ไม่ปวดหัวหรือไม่ปวดหัวมาก”
ยากไม่น้อยหากคิดจะฝ่าด่านของคิมหันต์ ยิ่งสบกับแววตาคาดคั้นของชายหนุ่ม ปัญชิกาก็จำต้องยอมรับ
“ไม่ค่อยปวดค่ะ”
คิมหันต์ไม่พูดอะไรเมื่อเอื้อมมือไปหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กบนหน้าผากหญิงสาวออก กระไอร้อนที่สัมผัสได้ทำให้ไม่ชอบใจนัก ชายหนุ่มนิ่วหน้าเหมือนทุกครั้งที่พบว่าความร้อนในตัวปัญชิกาไม่ค่อยลดลงทั้งที่เขาหมั่นคอยเอาผ้าไปชุบน้ำมาหมั่นเช็ดตัวให้หญิงสาวแทบทุก 10 นาที ทั้งที่ก่อนหน้านั้นเขาก็ป้อนยาลดไข้ให้เธอไปแล้วแต่ดูเหมือนไม่มีผลอะไร
“ฉันจะพาเธอไปหาหมอ”
ชายหนุ่มตัดสินใจพร้อมกับทำท่าจะอุ้มคนป่วยขึ้นมา ในขณะที่ปัญชิกาแทบห้ามไม่ทัน
“ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวก็หาย”
“เดี๋ยวของเธอมันอีกกี่วัน ฉันไม่มีเวลาว่างมากที่จะมาคอยดูแลเธอหรอกนะ”
พูดออกไปแล้วคิมหันต์ก็นึกเสียใจ แต่ชายหนุ่มไม่อยากอธิบายว่านั่นเป็นเพราะความร้อนใจและเป็นห่วงหญิงสาว เกือบหนึ่งชั่วโมงที่เขาคอยเฝ้าดูแลและหมั่นเช็ดตัวให้เธอเหมือนเป็นหนึ่งปีที่ทรมานสำหรับเขาเลยทีเดียว
ปัญชิกาจุกในอก เสียใจจนพูดไม่ออกนอกจากอยากร้องไห้ ยิ่งในภาวะที่ร่างกายอ่อนแอแม้ตั้งใจแล้วว่าจะไม่ให้เขาเห็นน้ำตาอีก แต่หญิงสาวก็ไม่อาจทำได้
คิมหันต์นิ่งงันเมื่อเห็นผลจากคำพูดที่พลั้งปากไป ชายหนุ่มกำมือแน่นเพราะไม่รู้จะทำยังไงก่อนดี ระหว่างอุ้มคนป่วยไปหาหมอกับปลอบโยนคนขี้แงให้หยุดร้องไห้
“เอ้า! ร้องซะให้พอ แล้วหลังจากนี้ฉันจะพาเธอไปหาหมอ”
ชายหนุ่มบอกด้วยน้ำเสียงฉุนเฉียวก่อนกระชากคนป่วยเข้ามาซุกในอ้อมอกด้วยภาวะอารมณ์ที่ตัวเขาเองก็ยังระบุไม่ได้ว่ากำลังโกรธหรือร้อนใจกันแน่ แต่ดูเหมือนคนป่วยไม่ใส่ใจเลยว่าเขากำลังรู้สึกเช่นไรเพราะแม้ถูกกระชากกระชั้นหากหญิงสาวก็ยังซวนลงมาซุกหน้ากับอกของเขาอย่างว่าง่ายก่อนปฏิบัติตามคำสั่งด้วยการร่ำไห้ออกมาอย่างที่ใจร่ำร้อง
เนิ่นนานในความรู้สึกของคิมหันต์กว่าเสียงร่ำไห้จะค่อยซาลง ชายหนุ่มรอจนเหลือเพียงความเงียบจึงค่อยพูด
“ทีนี้ก็ไปหาหมอได้แล้วสินะ”
ปัญชิกาค่อย ๆ เงยหน้าขึ้นมองด้วยดวงตาที่ยังคงชุ่มไปด้วยหยาดน้ำ ก่อนทำให้คนถูกมองอ่อนใจกับคำร้องขอ
“ปุยฝ้ายไม่อยากไปหาหมอ อย่าพาปุยฝ้ายไปเลยนะคะ”
คิมหันต์แทบทำอะไรไม่ถูกเมื่อจู่ ๆ ผู้หญิงของเขาก็ทำตัวไม่ต่างจากเด็ก แต่ชายหนุ่มก็ไม่อาจต้านทานต่อแววตาของเธอได้
“ตามใจ!”
ชายหนุ่มกระแทกเสียงอย่างจนใจปนหงุดหงิดที่ตัวเองใจไม่แข็งพอกับเธอ ก่อนยื่นเงื่อนไขด้วยน้ำเสียงเข้มดุ
“แต่เธอต้องทานข้าวทานยา ห้ามดื้อห้ามงอแงนะ ตกลงไหม”
“ตกลงค่ะ”
เมื่อคนป่วยตอบรับด้วยน้ำเสียงสดใสขึ้นเล็กน้อย คิมหันต์ก็เผลอโคลงศีรษะกับตัวเองอย่างอ่อนอกอ่อนใจก่อนลุกขึ้นจากเตียงโดยมีคนป่วยจับจ้องไม่คลาดสายตา
“เดี๋ยวฉันจะออกไปหาซื้ออะไรสักหน่อย เธออยากทานอะไรเป็นพิเศษหรือเปล่า”
หัวใจปัญชิกาพองโตกับคำถามไถ่ในตอนท้าย อิ่มใจเสียจนนึกอะไรไม่ออกดังนั้นเจ้าตัวจึงได้แต่ส่ายหน้าในขณะที่คนถามกลับนิ่วหน้าเพราะเริ่มไม่ชอบใจ
“ถ้าอย่างนั้น เดี๋ยวฉันซื้อมาให้ละกัน”
คิมหันต์ตัดสินใจก่อนผละตัวเตรียมออกไปข้างนอก ทว่ายังเดินไปไม่ถึงประตูห้องคนป่วยก็ส่งเสียงเรียก
“คุณซันคะ”
ชายหนุ่มหันไปมองเพราะเข้าใจว่าหญิงสาวคงนึกอาหารที่อยากทานได้แล้ว ดังนั้นจึงงันไปเมื่อเจอเข้ากับรอยยิ้มหวานจับหัวใจของอีกฝ่าย
“ขอบคุณนะคะ”
ราวกับคำพูดนั้นเป็นคาถาปลุกเขาจากมนต์สะกด คิมหันต์กระพริบตาถี่ ๆ เหมือนคนที่เพิ่งตื่นจากความฝันก่อนจะผลุนผันเดินออกไป
ราวชั่วโมงเศษคิมหันต์ก็กลับมาที่คอนโดฯ พร้อมกับสารพัดยาแก้ปวดลดไข้ รวมถึงอาหารอ่อน ๆ ที่เหมาะกับคนป่วยและเครื่องดื่มบำรุงร่างกายจนปัญชิกาอึ้งไปเมื่อเดินออกจากห้องนอนแล้วเห็นบรรดาถุงข้าวของที่คิมหันต์หอบหิ้วเข้ามา ยังไม่ทันพูดอะไรชายหนุ่มก็อุ้มเธอกลับไปที่ห้องนอนก่อนเดินออกไปแล้วกลับเข้ามาอีกครั้งพร้อมชามข้าวต้มปลาที่มีควันโชยออกมาให้เห็น
“ทานซะ”
คิมหันต์สั่งพลางจ้องคนป่วยเขม็งทำให้ปัญชิกาจำต้องยื่นมือออกไปรับชามจากอีกฝ่ายแต่โดยดี แต่เพิ่งตักเข้าปากไปได้แค่สองคำชายหนุ่มก็ดึงช้อนไปจากมือเธอ
“ชักช้าอย่างนี้กว่าจะหมดก็คงพรุ่งนี้เช้า”
คนป่วยสะอึกเมื่อถูกปรามาสแต่ยังไม่ทันได้คิดน้อยใจคิมหันต์ก็ใช้ช้อนที่ยึดไปแล้วตักข้าวต้มมายื่นให้ตรงปาก เพราะตั้งรับไม่ทันทำให้หญิงสาวได้แต่นิ่งอึ้งจนถูกกระตุ้นด้วยน้ำเสียงเข้มดุ
“อ้าปาก”
ไม่ต้องให้บอกซ้ำคนป่วยก็รีบทำตามอย่างว่าง่าย แม้คิมหันต์ไม่ได้แสดงท่าทีอ่อนโยนตรงกันข้ามแววตาที่มองเธอเต็มไปด้วยความคาดคั้นและออกจะดุเสียด้วยซ้ำ กระนั้นปัญชิกาก็ยังเต็มตื้นในหัวใจ
ถึงไม่รัก แต่แค่เขาไม่รังเกียจไม่ชิงชังเธอ เพียงแค่นี้ก็ดีมากแล้ว
หญิงสาวปลอบใจตัวเองพร้อมกับน้ำตาที่ซึมขึ้นมาเล็กน้อยโดยไม่รู้เลยว่าทุกอากัปกริยาของเธอตกอยู่ภายใต้สายตาจับจ้องของชายหนุ่มตลอด
อาจด้วยการบังคับทางอ้อมด้วยสายตาทำให้คนป่วยสามารถทานข้าวต้มได้จนหมดชามท่ามกลางความพอใจของคนดูแล หลังจากทานยาลดไข้ชายหนุ่มก็เริ่มต้นสั่งการอีกครั้ง
“ทีนี้ก็นอนซะ”
เมื่อเห็นคิมหันต์ทำท่าจะยกชามออกไป ปัญชิกาก็รีบยั้งเอาไว้ด้วยความเกรงใจ
“ไม่ต้องค่ะ เดี๋ยวปุยฝ้ายจัดการเอง”
“อย่าอวดเก่ง รู้ตัวบ้างสิว่าไม่สบาย”
คนป่วยหน้าเสียเมื่อถูกเอ็ดกลับมาอย่างไม่ไว้หน้า หากเมื่อชายหนุ่มเอาแต่ยืนจ้องหน้าเงียบ ๆ ด้วยแววตาที่เหมือนจะดุอยู่ในที ในที่สุดหญิงสาวก็ยอมทำตัวว่าง่ายด้วยการหลับตาลงแต่ไม่นานนักทั้งพิษไข้และยาที่ทานเข้าไปก็เริ่มออกฤทธิ์ จากที่ไม่ตั้งใจหลับหญิงสาวก็ผล็อยหลับไปโดยไม่รู้ตัวและดำดิ่งสู่ห้วงนิทราจนกระทั่งไม่รับรู้เลยว่าคิมหันต์กลับเข้ามาในห้องนอนและเริ่มต้นลงมือเช็ดหน้าและเช็ดตัวให้กับเธออีกครั้ง
--------------------------------------------------------------------------------------
แปะ แปะ แปะ...เอาตอนใหม่มาแปะค่ะ มีวันหยุดเพิ่มก็ปั่นงานได้เพิ่มแบบนี้ล่ะเน๊อะ 555
ตอนนี้มานำเสนอพี่ซันในอีกมุมหนึ่งค่ะ จะได้เห็นว่าผู้ชายคนนี้ใช่จะมีแต่ด้านดิบ ๆ ดาร์ก ๆ อย่างเดียว^^
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และ LIKE ที่มอบเป็นกำลังใจใหักันค่ะ
นักอ่านเหนียวหนึบ : 555 อ่านคอมเม้นท์แล้วนึกถึงโฆษณาชิ้นหนึ่งเลยค่ะ ถ้าจำไม่ผิดน่าจะเป็นกาแฟล่ะนะ
พันวลี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 5 เม.ย. 2558, 08:11:22 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 5 เม.ย. 2558, 08:34:07 น.
จำนวนการเข้าชม : 1784
<< ตอนที่ 1 และ 2 | ตอนที่ 12 และ 13 >> |
Pat 5 เม.ย. 2558, 09:38:57 น.
ก็เป็นเสียอย่างนี้ แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจตรงกัน
ก็เป็นเสียอย่างนี้ แล้วเมื่อไหร่จะเข้าใจตรงกัน
Zephyr 5 เม.ย. 2558, 21:03:43 น.
ฮึ้ยยยยย ปากก็มีนะพี่ซัน พูดๆๆๆๆ บ้างกะได้
ใช้แต่สายตา ใครจะไปเข้าใจวะคะ ฮะ
ดุเอาๆๆๆๆ กินน้ำตาลมากหรา ดุจริง
ก็ยังดี เช็ดตัวเป็นน่ะเฮียยยยยย
ทะนุถนอม สะกดให้ ท ทหารนะ สระอะ นอ หนู... อ้อๆๆ สะกดเป็นใช่มั้ย
แล้วเข้าใจมั้ยว่าทำยังไง ฮึ
ฮึ้ยยยยย ปากก็มีนะพี่ซัน พูดๆๆๆๆ บ้างกะได้
ใช้แต่สายตา ใครจะไปเข้าใจวะคะ ฮะ
ดุเอาๆๆๆๆ กินน้ำตาลมากหรา ดุจริง
ก็ยังดี เช็ดตัวเป็นน่ะเฮียยยยยย
ทะนุถนอม สะกดให้ ท ทหารนะ สระอะ นอ หนู... อ้อๆๆ สะกดเป็นใช่มั้ย
แล้วเข้าใจมั้ยว่าทำยังไง ฮึ
นักอ่านเหนียวหนึบ 7 เม.ย. 2558, 00:49:10 น.
ท่าทางเพ่ซันจะกินกาแฟบ่อยยย 5555
ท่าทางเพ่ซันจะกินกาแฟบ่อยยย 5555
LAM 7 เม.ย. 2558, 23:22:10 น.
พี่ซันน่ารักขึ้นเนอะ ปากยังดีเหมือนเดิม แต่คนอ่านก็รักนะ
พี่ซันน่ารักขึ้นเนอะ ปากยังดีเหมือนเดิม แต่คนอ่านก็รักนะ