บทเรียน (รัก) นอกตำรา
นพมัลลี นักศึกษาฝึกสอนที่จบช้ากว่าเพื่อนรุ่นเดียวกัน
เธอต้องมาฝึกอยู่ในโรงเรียนพิชญ์ปรีชา โรงเรียนเอกชนแห่งหนึ่ง
หญิงสาวไม่เคยคาดคิดว่าชีวิตของเธอที่เคยเปลี่ยนแปลงไปมา
หาความมั่นคงในชีวิตไม่ได้มาตลอด
จะเทียบไม่ได้เลยกับการมาเป็นครูฝึกสอนที่นี่เพียงไม่กี่เดือน

นอกจากต้องรับมือกับพวกนักเรียนแสบที่เอาแต่สร้างปัญหาให้เธอ
นพมัลลียังต้องมาระแวงกับ ตุนท์ ครูที่ปรึกษาร่วมที่เอาตัวมาวอแวกับเธอไม่เลิก

แต่ไม่ว่าปัญหาจะมากมายเท่าไหร่
สิ่งเดียวที่นพมัลลีต้องทำคือการจบการศึกษาไปให้ได้

มีสิ่งล้ำค้าสิ่งหนึ่งในชีวิต...กำลังรอคอยเธออยู่

Tags: นพมัลลี ตุนท์ คมิก พิชญ์ปรีชา

ตอน: บทที่ 29 : ผีจับคน

บทที่ 29

เวลาปิดเทอมกำลังจะผ่านพ้นไป นพมัลลีเกาะราวระเบียงของห้องพักในโรงพยาบาล เหม่อมองท้องฟ้าที่โปร่งใส ไร้เมฆหมอก ฟ้าที่เต็มไปด้วยอิสระ ไม่เคยมีสิ่งใดขวางกั้น หญิงสาวเริ่มหวนนึกถึงช่วงหนึ่งของชีวิตที่เธอปรารถนาอิสระ อยากออกจากกรอบที่มีคำว่าครอบครัวฉุดดึงรั้งไว้ เธอคิดมาเสมอว่านับจากมีนวมลลิ์เธอหนีจากกรอบที่ล้อมชีวิตนี้ไว้พ้น แต่เปล่าเลย ปัญหาที่ถาโถมเข้ามาทำให้เธอรู้ว่าเธอก้าวออกมาจากจุดเดิมที่เคยยืนเพียงไม่กี่ก้าวเท่านั้น

“คิดอะไรอยู่” กลิ่นยา และกลิ่นสะอาดของชุดในโรงพยาบาลโอบเธอไว้หลวมๆ คางวางเกยไปบนไหล่บอบบางที่หลายวันมานี้เจ้าตัวมักแอบสะอื้นไห้อยู่เงียบๆ เสมอเวลาที่สบตากับเขา

“ตั้งแต่ฉันเกิดมา ฉันไม่เคยรู้สึกอยากเก็บอะไรสักอย่างไว้ในชีวิต กระทั่งฉันมีตัวเล็ก” นพมัลลีหมุนกายกลับมาเผชิญใบหน้าที่หนีพ้นความตายมาได้แล้วอย่างตื้นตัน มือสัมผัสแก้มสากที่เริ่มมีไรหนวดขึ้นอย่างตื้นตัน โชคดีเหลือเกินที่กระสุนนัดนั้นไม่ได้ตั้งใจปลิดชีพเขา “แล้วก็คุณ”



‘ตำรวจเป็นคนยิง’ สามวันหลังจากโดนยิง และเอากระสุนออกจากหลังเยื้องไปตรงเอวเรียบร้อย ตุนท์ก็ฟื้นขึ้นมาคงเพราะทนเสียงร่ำไห้คร่ำครวญอยู่ข้างเตียงไม่ไหวอีก ‘นี่เป็นแผนการที่พวกเราวางมา’

‘แผนการบ้าบออะไรคะ’ นพมัลลีถามขึ้นอย่างไม่สบอารมณ์

‘มีแค่ผม คมิก พ่อคมิก และญาติตำรวจของผมที่รู้ว่าคนที่ถูกยิงคือผม ไม่ใช่คมิก’

ความเงียบจากนพมัลลลีที่เริ่มมีประกายวาววับไม่พอใจเร่งให้ตุนท์รีบอธิบายต่อ ‘พวกเราวางแผน ให้พ่อคมิกทิ้งร่องรอย และเรียกคนที่หมายหัวเขาให้ออกมา กระสุนนัดที่พ่อของคมิกถูกยิงมาจากพวกนั้น เราจำเป็นต้องทำให้พวกศัตรูเข้าใจว่าคมิกกับพ่อเขาตายแล้ว นัดที่สองจึงมาจากพวกเรา’

คมน์เสียชีวิตก่อนมาถึงโรงพยาบาล เธอพบคมิกที่ซ่อนตัวอยู่ในห้องพักคนไข้ห้องหนึ่งในโรงพยาบาล เขาเอาแต่นิ่งเงียบ สิ่งเดียวที่ฉายออกมาจากคมิกคือดวงตาร้าวรานที่เจ็บปวดเกินจะกล่าวออกมาเป็นคำพูดได้

ไม่กี่วันจากนั้นตุนท์ถูกย้ายออกมาจากโรงพยาบาลนั้นไปอยู่อีกฟากตึก โดยใช้สิทธิ์ที่รู้จักกับเจ้าของโรงพยาบาลให้ช่วยปิดบังเรื่องของเขา และจัดการให้คมิกกลายเป็นคนไข้ใกล้ตายแทน คมิกจำต้องนอนอยู่ในโรงพยาบาล และช่วงเวลานั้นก็ทำให้พวกเขารู้ว่าคมิกมีศัตรูที่หวังมาปลิดลมหายใจไม่น้อย ทั้งคนสนิทของคมน์ที่ยังอยู่กับคมิก และเจ้าหน้าที่ตำรวจญาติของตุนท์ต่างจับตาคนพวกนั้นได้ไม่น้อย



“วันนี้ คุณจะไปงานศพจริงเหรอคะ” ถึงตุนท์จะเดินเหินได้สะดวกขึ้น แต่เธอก็ยังไม่อยากให้เขาไปเอาตัวรับกระสุนแทนคมิกอีก

“มันจำเป็นคุณก็รู้ เขาจะคิดยังไงถ้าครูที่ปรึกษาที่อยู่กับคมิกตลอดไม่ไปงานลูกศิษย์ จะสร้างความสงสัยให้พวกนั้นเปล่าๆ”

นพมัลลีไม่รู้จะใช้เหตุผลใดๆ มาคัดค้านตุนท์อีก ทำได้เพียงกุมฝ่ามือของตุนท์ไว้แน่น “ฉันจะไม่ยอมเสียคุณไปอีก คุณอยู่ที่ไหน ฉันอยู่ที่นั่น”

“ไม่ต้องอยู่ใกล้ผมนักก็ได้นะลี มันอันตราย” ตุนท์รู้สึกว่าตัวเองพลาดไปก็ตอนนพมัลลีเดินออกจากอ้อมกอดของเขา และหันหน้าออกนอกระเบียง อาการแสนงอนที่นพมัลลีเริ่มแสดงออกให้เห็นอยู่บ่อยครั้งนับตั้งแต่เขาฟื้นใน
โรงพยาบาลทำให้ตุนท์ยิ้มออกมามากกว่า นานๆ ทีนพมัลลีถึงแสดงออกแง่งอนอย่างผู้หญิงทั่วไป

“ผมเป็นห่วงลี”

“ฉันไม่ต้องห่วงคุณหรือไง” นั่น แอบมีเสียงสั่น ตุนท์กลั้นยิ้มไว้จนปวดแก้ม เขยิบเข้าไปกอดร่างที่เขาดีใจที่ได้มีโอกาสกลับมากอดอีกครั้ง อาการพยายามขืนตัวเบี่ยงออกของนพมัลลีไม่เป็นผล เพียงแค่เขาแกล้งหลุดเสียงร้องเจ็บปวดออกมา

ที่จริงแผลของเขายังไม่ได้รับการสะเทือนอะไรเลย มีพยาบาลดูแลดีอยู่ข้างเตียงตั้งแต่วันแรกที่เขาเจ็บ มีแต่จะหายเร็ววันเร็วคืน และเขาอยากจะหายให้เร็วที่สุดเพื่อที่นพมัลลีจะได้ไม่ต้องกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไป

“เราเสมอกัน”

“ห้ามพูดว่า ‘ห้ามอยู่ใกล้ผม’ อีก เพราะฉันจะเข้าใจว่าคุณรังเกียจฉัน”

ตุนท์กระชับอ้อมกอดให้แน่นขึ้น โยกคนรักที่กำลังงอนเขาหนักไปมา เสียงห้าวหัวเราะเบาๆ อยู่ข้างหูให้คนที่จมไปในอ้อมกอดนึกอยากฟาดมือประท้วงสักหลายๆ ที แค่นี้เธอก็อายมากแล้วที่มาพูดแสดงความรู้สึกมากมายออกมาโดยไม่มีปิดบัง

“ใครจะรังเกียจลีได้ลงคอ นี่ผมอุตส่าห์ทำสัญญากับยมบาลว่าอย่าเพิ่งให้ผมตาย ให้ผมได้มีโอกาสเจอลีก่อน”

“แล้วข้อความในโทรศัพท์ล่ะคะ ทำเหมือนบอกลา” นพมัลลีปากแข็งเกินกว่าจะทวงถึง ‘โอกาส’ ที่ตุนท์เคยว่าไว้ เธอยังพอมียางอายอยู่บ้างถึงไม่เกริ่นเรื่องแต่งงานออกมาเอง แน่นอนว่าถ้าเขาขอเธอแต่งงานในตอนนี้ เธอจะไม่ปฏิเสธเขาอีกแล้ว

“อย่าไปนึกถึงมันเลยนะ เพราะตอนนี้ตรงหน้าผมมีคุณแล้ว” ตุนท์ไม่สังเกตดวงตาของนพมัลลีที่กำลังอ่อนแสงลง จนกลายเป็นหม่น “ผมไปเตรียมตัวเพื่อไปงานดีกว่า”

นพมัลลียืนคว้างอยู่กับที่ ปากเม้มหากันแน่น ด้วยรู้ว่าอีกฝ่ายจงใจเลี่ยงที่จะพูดถึง หญิงสาวเกาะราวระเบียงทอดสายตาลงมองข้างล่าง ที่ที่มีรถคันหนึ่งชอบมาจอดตรงลานเป็นประจำ ผู้หญิงที่ออกมาจากรถเฉิดฉาย มั่นใจ สง่า ทุกอย่างดูดีกว่าเธอทั้งหมด...นวลเพชร หลายครั้งที่เธอต้องกลับบ้านไปอยู่กับนวมลลิ์ เธอจะได้รับข้อมูลจากบลินด์ที่มาเฝ้าในเวลากลางคืนว่ามีใครบ้างมาหาญาติผู้พี่ และเมื่อเล่าถึงเรื่องของนวลเพชร นายบลินด์ก็จงใจใส่อารมณ์เพิ่มมาให้เธอต้องเก็บมาหงุดหงิดทุกครั้ง

‘วันนี้เขาก็มาอีกแล้วครับครูลี มานั่งเฝ้าคุยกะหนุงกะหนิงทั้งวัน เขาไม่รู้หรือไงว่าพี่ตุนท์มีแฟนแล้ว’

คำว่าแฟนกลายเป็นเข็มที่เธอเจ็บแปลกๆ และสงสัยว่าเพราะอะไรนวลเพชรจึงแสดงท่าทีไม่เห็นหัวเธอ และตุนท์ไม่ยอมแสดงออกให้ชัดเจนเร่องที่เขาไม่สนใจใครอื่นอีก

ไม่กี่นาทีต่อมาเสียงเคาะประตูจึงดังขึ้น พร้อมกับร่างของผู้หญิงที่มีดีกรีเป็นดร.เดินเข้ามาภายใน ปากนพมัลลีเหยียดออกเป็นรอยยิ้มที่ปั้นให้ดูเป็นมิตรที่สุด ทั้งที่ในใจร้อนรุ่ม และทำให้เธอตระหนักว่าที่จริงแล้วเธอเองก็เสแสร้งเก่งไม่ใช่น้อย



งานโศกที่มีการเผาพร้อมกันพ่อลูกเต็มไปด้วยแขกเหรื่อมากมาย บรรดาญาติๆ ที่หวังฮุบสมบัติของคมน์ก็ดาหน้ากันสลอนจนแน่นขนัด ตามคอ ตามมือพร้อยไปด้วยเครื่องประดับตกแต่ง อวดมั่งมีกัน นพมัลลีมองคนเหล่านั้นด้วยความเฉยชา เธอเจอกับผู้คนมามากมายจนไม่คิดว่าสิ่งที่พบอยู่เบื้องหน้าเป็นสิ่งแปลกประหลาดบนโลกนี้ คนหลายคนบีบน้ำตาได้เก่งฉกาจยิ่งกว่านางเอกในจอแก้ว หรือบางคนที่มองจิกญาติด้วยกัน แม้แต่คนที่มองโลงศพบนเมรุแล้วมุมปากมีรอยยิ้มโลภได้ก็ยังมี

มั่งมีแล้วอย่างไร...ตายไปก็เอาอะไรติดตัวไปไม่ได้สักแดงเดียว หรือแม้แต่คนที่จะร่วมส่งดวงวิญญาณด้วยใจบริสุทธิ์ผูกพันจริงแท้ จะมีสักกี่คน นิ้วมือข้างเดียวไม่รู้ว่าจะนับถึงหรือเปล่า

นักเรียนมอหกทับห้าต่างมาร่วมงานกัน ถึงพวกเขากับคมิกจะมีความสัมพันธ์กันไม่แน่นแฟ้น แต่ก็ยังดูจริงใจต่อกันมากกว่าญาติของคมิก หญิงสาวไม่ต้องปั้นหน้าเศร้าเลย เพราะบรรยากาศน่าละเหี่ยที่ญาติๆ คมิกมาร่วมทำให้เธอเศร้าจับจิตได้ สิ่งเดียวที่เธอจำต้องปั้นหน้าเข้าไว้คือไม่ให้สีหน้าหลุดดูแคลนพวกเขาออกไป ในงานแท้ๆ สิ่งที่พวกเขาสนทนากับมีแต่เรื่องเงินมรดก ส่วนแบ่ง

ถ้าพวกเขารู้ว่าทายาทตัวจริงที่นอนในโลงยังไม่ตาย จะทำหน้าอย่างไร...นพมัลลีเก็บความอยากรู้นั้นฝังลงดิน คมิกตัดสินใจเลือกทางเดินชีวิตตัวเองตั้งแต่วันนั้นแล้ว วันที่เธอพบเขาหลังเกิดเหตุ คมิกที่เธอเคยรู้จักคล้ายว่าตายไปแล้ว



‘ทำให้ผมตายไปจากนะโลกนี้เลยครับครู ให้ชื่อผมอยู่ข้างชื่อของพ่อ’

‘แล้วทุกคน ครอบครัวที่เธอรู้จัก เธอจะทำยังไง’

‘พ่อผมแบ่งเงินออกมาไว้แล้วครับ พ่อเตรียมตัวตายเพื่อผมแล้ว’ คมิกพูดด้วยดวงตาว่างเปล่า ‘ส่วนญาติพวกนั้นก็แค่ปลิงดูดเลือด เขาอยากได้ของที่เจ้าหน้าที่จะเข้ามายึดในเวลาอันใกล้นี้ไปก็เชิญเถอะครับ เอาไปได้เลย’

‘เริ่มชีวิตใหม่นะ ถึงชื่อเธอจะตาย แต่ตัวเธอยังอยู่ อย่าปล่อยให้ความผิดพลาดกลืนกินเธอไป อย่าทำให้พ่อของเธอตายไปอย่างไร้ค่า เขาตายเพื่อปกป้องเธอ ทำให้เธอตายก็เพื่อจะได้ไม่มีใครมาตามล่าเธออีก เขาอยากเห็นเธอโตขึ้นมาในโลกที่ตรงกันข้ามกับชีวิตของเขา’

‘โลกของผมไม่มีวันเหมือนเดิมอีกแล้วครู จิตวิญญาณของผมมันคงตายไปกับพ่อแล้ว’

‘ตอนนี้เธอก็เหมือนนกมีอิสระจะบินไปที่ไหนก็ได้ แต่นกจำเป็นต้องพักก่อนที่จะบินต่อ ถ้ายังไม่มีจุดหมายก็ค่อยๆ บินไป ไม่ต้องรีบ ตอนนี้เธอแค่เหนื่อยเท่านั้นเองคมิก’



การที่คมิกเงียบไม่ตอบ ทำให้นพมัลลีไม่รู้ว่าเด็กนักเรียนของเธอจะแค่พักวางความคิด หรือจมลึกสู่ก้นบึ้งในวังวนความแค้นไม่จบไม่สิ้นนี้ เธอหวังว่าคมิกจะไม่เดินไปในเส้นทางอย่างหลังเข้าเสียก่อน

“พวกเราอยากขอดูหน้าสองพ่อลูกเป็นครั้งสุดท้ายก่อนจะเผา” คนสวมสูททางการอายุไม่น่าจะน้อยกว่าห้าสิบปีเดินอาดออกมา นิสัยคล้ายเป็นนักเลงโต

นพมัลลีกับตุนท์หันมองหน้ากันแทบจะทันที ตอนรดน้ำศพตลอดเวลานั้นคมิกต้องแสร้งเป็นคนตาย ตอนที่อยู่ในโลง ต้องรอจนคล้อยคนออกไปหมดแล้วจึงไปเปิดฝาโลงให้คมิกลอบออกมา แล้วใส่ศพไร้ญาติที่ทางเจ้าหน้าที่นำมาลงไปแทน พวกเขาเกือบจะสบายใจ ปล่อยให้คมิกที่แฝงตัวอยู่ในงานได้อำลาพ่ออยู่เงียบๆ แต่ก็ดันมีคนไม่วางใจจนได้

“ไม่ได้หรือไง มันจะมีอะไรนักหนากับการดูศพ” คนอยากดูศพกระตุ้นออกมาอีกครั้ง เธอกวาดตามองหาคมิกก็พบฝ่ายนั้นยืนหลบสวมชุดมอซอปลอมเป็นเด็กวัดอยู่ไม่ไกล

“สัปปะเหร่อ เปิดโลงสิ” ญาติตัวดีของคมิกจีบปากจีบคอชี้นิ้วสั่ง แต่ดวงตาวาววับจับจ้องสร้อยทองเส้นใหญ่บนคอของนักเลงอ้วนคนที่ขอดูศพ

“ครูคะ” นยฎาเดินมาชิดนพมัลลี และกระซิบเรียกเธอ “ฉันรู้ความจริงจากบลินด์แล้ว พวกเราจะช่วยคมิกอีกแรงนะคะ”

“เธอจะช่วยยังไง” นพมัลลีไม่โง่พอจะแสดงสีหน้าวิตกกังวลออกไป

“เชื่อใจพวกเราเถอะค่ะ ตอนนี้ฉันอยากรู้ว่าคมิกอยู่ที่ไหน” นยฎาตบกระเป๋าพกออกมาสีหน้ายิ้มกริ่ม ก่อนจะกลืนหายไปกับฝูงชน ไปในทิศที่คมิกอยู่ตามที่นพมัลลีบอก

“เด็กพวกนั้นจะทำอะไร” ตุนท์ถามอย่างสงสัย เมื่อกลุ่มเด็กแสบของพวกเขากำลังลุกฮือเงียบๆ และเขาก็ได้ยินคำพูดของนพพลที่อยู่เยื้องทางด้านหลังกำลังทำการ ‘เขย่าขวัญ’ แขกเหรื่อในงานตอนกลางวันแสกๆ

“พวกเขาตายไม่ดี ไม่สงบ ต้องเฮี้ยนมากแน่ๆ ใครไปทำอะไรเขาไว้ต้องเจอดีนะครับ” และอีกมากมายที่นพพลว่ามา ครูทั้งสองต่างรีบเออออรับตามมุกของพวกเด็กๆ ไป โดยยังไม่รู้แน่ชัดว่าพวกเขากำลังวางแผนทำอะไรกันแน่

โลงแรกเพิ่งเปิดเสร็จ และ ‘คนอยากดู’ เพิ่งขึ้นไปถึงบันไดขั้นแรก ช่วงจังหวะนั้นลมก็พัดโหมมาอย่างแรง เสียงแขกเหรื่อแตกตื่น และเปิดทางโล่งให้กับร่างของเด็กหนุ่มผมบลอนด์ที่ลงไปนอนแผ่บนพื้น บางคนกำลังใจกล้าคิดจะเข้าไปช่วยดูก็ต้องกระโดดถอยออกมาเมื่อร่างของบลินด์ลุกขึ้นนั่งหลังตรงราวกับเส้นกระตุก ดวงตามองกดต่ำไปยังร่างอ้วนที่หยุดอยู่บนบันไดขั้นแรก ที่ทุกคนกำลังพร้อมใจกันถอยออกมา ไม่อยากอยู่ใกล้เมรุ และไม่คิดอยู่ใกล้บลินด์

“แกกลัวฉันยังไม่ตายหรือไง” เสียงบลินด์เข้มห้วน ค่อยๆ หยัดกายลุกโดยไม่ใช้มือยันพื้น เดินก้าวต่อก้าวไปยังร่างอ้วนทที่กำลังอ้าปากตาเหลือก มือสั่นยกขึ้นชี้หน้าบลินด์ “กูไม่เชื่อ มึงหลอกกู มึงตายไปแล้ว มึงทำอะไรกูไม่ได้อีก”

“แน่ใจเหรอ” บลินด์หัวเราะลั่น สายตาจ้องไปยังด้านหลังของโรงศพ

นักเลงโต หนึ่งในหุ้นส่วนของคมน์ซึ่งอยู่ในใบรายชื่อด้วยหันมองตามสายตาของบลินด์ และพบว่ามีร่างผิวซีดขาว หน้าตามีหยดเลือดอาบแก้ม มองเขาด้วยความอาฆาตแค้น “ถ้ากูไม่ฆ่ามึง พวกมึงก็ฆ่ากู มึงสองพ่อลูกตายไปแล้ว กะ...กูไม่กลัวโว้ย”

คนไร้สติพร่ำบรรยายเสียงสั่น ร่างสั่น ไม่รู้เหนือรู้ใต้ ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเป้ากางเกงตัวเองกำลังชุ่มไปด้วยน้ำ และไม่รู้เลยว่าปากสารภาพความจริงอะไรออกมา กว่าจะรู้ตัวก็ตอนเจ้าหน้าที่กรูมาจับตัว เมื่อพวกเขามองขึ้นไปยังหลังโรงก็พบเพียงความว่างเปล่า และบลินด์ก็ถือโอกาสสลบแน่นิ่งไปนอนบนพื้นอีกคนหลังหัวเราะสะใจจนเสียงแหบเสียงแห้ง

รอบด้านเงียบสงัดหลังเหตุการณ์อลหม่านนั้นจบลงในชั่วพริบตา ญาติของคมิกคนเดิมที่เคยสั่งให้สัปปะเหร่อมาเปิดโลงรีบปิดโลงแล้วรวบรัดพิธีเผาไปเร็วๆ ให้เสร็จสิ้น ปากยังบ่นต่อไปไม่หยุด “รดน้ำศพเรียบร้อยแล้ว เห็นกับตา จะไม่ใช่พี่คมน์กับคมิกได้ยังไง นี่สวดมาตั้งสิบห้าคืน ศพข้างในคงอืดไปไหนต่อไหนแล้ว”

นพมัลลีไม่แก้ความเข้าใจของใคร ตอนนี้ทุกคนแทบไม่สนใจว่าร่างของสองพ่อลูกจะอยู่ในสภาพไหน บางคนเริ่มหยิบยกประเด็นผีสิงกลางงานออกมาตีเป็นตัวเลขไว้เตรียมเล่นงวดหน้า บ้างบอกว่า ‘ผีจับคน’ ได้ด้วยชื่อเสียงอันชื่นชม



ทุกอย่างที่เผชิญมาจะไม่มีอะไรเข้ามาปั่นป่วนอีกแล้วใช่ไหม นพมัลลีคิดจะอ้าปากถามตุนท์ออกไปอย่างใจนึก แต่นวลเพชรกลับเดินเข้ามาขัดเสียงในปากของเธอเสียก่อน หญิงสาวทำได้หุบปากปิดสนิท ไม่เข้าใจสักนิดว่าผู้หญิงคนนี้จะเข้ามาเกาะแกะตุนท์อยู่เรื่อยไปทำไม คนถูกเมินจึงเบนร่างออกมา ไปหาบลินด์ รับพัดจากมือตุลาพัดให้หลานชายของนางแทน

“เป็นฝรั่งมังค่า นับถือคริสต์แท้ๆ” ตุลาบ่นอุบ ไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นเพราะไม่ได้ล่วงรู้ความจริง นพมัลลีปิดปากเงียบ ไม่แพร่งพรายความจริงที่รู้ออกไป เธอตัดสินใจให้คมิกตาย ก็คือตายไปจากคนอื่นๆ ด้วย

“จิตของบลินด์คงผูกพันกับคมิกมั้งคะ เพื่อนก็เลยห่วงเพื่อน”

ตุลามองค้อน เชิดปากตอบ “แล้วเธอล่ะ ไม่ห่วงลูกชายฉันบ้างเหรอ” ตุลารับยาดมจากคนติดตามมาจ่อใต้จมูกบลินด์ “ฉันรู้มาว่าเธอทำให้ลูกฉันต้องเข้าไปเสี่ยงอันตราย”

หญิงสาวยิ้มเจื่อน เธอรู้สึกผิดที่ต้องร่วมขบวนการโกหกกับคนอื่นๆ ด้วยการปิดบังเรื่องของตุนท์ที่เข้าโรงพยาบาลจากการรับกระสุนแทนคมิก แล้วให้ท่านทราบว่าตุนท์ได้รับบาดเจ็บเพราะปกป้องเธอจากอริเก่าแทน

“ขอโทษค่ะ”

“ชีวิตมนุษย์เราได้รับโอกาสได้ไม่บ่อยครั้งหรอก เธอควรเห็นค่าของลูกชายฉันให้มากๆ รู้สึกยังไงก็ควรพูด ไม่ใช่เอาแต่เก็บไว้ในใจ”

“พูด?” นพมัลลี ย่นหัวคิ้วถามอย่างสงสัย

“ไม่อย่างนั้นเธอจะเดินหนีมานี่หรือไง ถ้าคิดจะอยู่ด้วยกัน ไม่จำเป็นหรอกว่าจะต้องสวมแต่หน้ากากยิ้มเข้าหากัน เธอโกรธ ไม่พอใจอะไรก็พูด การอมพะนำไว้ หนึ่งใจเราจะหนัก และสองคือคนอื่นเขาไม่ได้มีหน้าที่มาคาดเดาความรู้สึกของเธอตลอดเวลา วันที่เขาขี้เกียจคาดเดา เขาอาจจะถอยออกมา”

นพมัลลีอึ้งงัน เธอจำภาพที่ตุนท์เลิกพูดถึงการแต่งงานออกมาแล้วรู้สึกว่ามันต่อได้สนิทกับคำพูดของตุลา เพราะเธอบอกให้เขารอ ทำตัวเป็นคนใจกว้าง ไม่ขี้หึงขี้วีน ไม่ตามหึงหวง ไม่คิดทำให้ตุนท์ลำบากใจ และแน่นอนว่าเธอกำลังรู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเท่าไหร่

“คิดได้หรือยังนพมัลลี”

ครูสาวลุกขึ้น ตั้งใจจะเดินไป ‘แสดงตัว’ ให้นวลเพชรเกรงใจกันบ้าง สายตาของเธอดันสบเข้ากับคนที่เธออยากจะเจอหน้าให้น้อยที่สุดเข้าเสียก่อน และที่สำคัญคือในมือของเขาถือแผ่นกระดาษอะไรบางอย่างที่เธอกังวลว่ามันจะเป็นกระดาษที่เธอกลัว จากที่คิดไปหาตุนท์ นพมัลลีกลับเดินแกมวิ่งไปหาวากูรแทน หูของเธอได้ยินเสียงเรียกของตุนท์แต่เธอไม่มีเวลาจะหันไปตอบคำถามของเขา

“ดูนี่สิ” สีหน้าของวากูรราวกับผู้กำชัย นพมัลลีคว้ามาอ่านด้วยหน้าตาเคร่งเครียด ผลดีเอ็นเอที่เธอกลัวจะได้เห็นมากที่สุดอยู่ในมือของเธอ เป็นการพิสูจน์ผลระหว่างวากูรกับนวมลลิ์

“คุณไปตรวจตั้งแต่เมื่อไหร่”

“ก็แม่เขาบ้าผู้ชาย ไม่มีเวลาดูแลลูก ไหนจะฝากลูกไว้กับป้าที่ต้องไปโรงพยาบาลอยู่แล้ว ผมลักพาตัวแกมาไม่กี่นาที พวกนั้นกลับเข้าใจว่าเด็กไปเข้าห้องน้ำเฉยเลย”

คนฟังหน้าซีดเผือด มือกำแผ่นกระดาษจนยับยู่ รู้สึกมีคำว่าโง่ประทับตราบนหน้าผาก “ฉันไม่มีทางยกลูกให้คุณ”

“ก็ได้” วากูรยกมือสบายๆ สีหน้ายียวน “ถ้าเธอจะทำตัวน่ารักกับฉันบ้าง เลิกไล่ฉัน เลิกตบหน้าฉัน ทานข้าวกับฉันบ้าง ให้ฉันเจอหน้าลูกบ้าง ฉันสัญญาว่าฉันจะไม่พรากลูกไปจากเธอ”

“มากเกินไป!”

“คิดเอาเองนะ ว่าถ้าพ่อฉันรู้เรื่องนี้” กระดาษในมือนพมัลลีถูกดึงกลับไป และโบกยั่วสายตาหญิงสาวให้โกรธจนหูอื้อ “ท่านจะต้องทำทุกทางเพื่อเอาหลานสาวมาเลี้ยงแน่นอน ถึงพ่อฉันจะหน้าเงิน แต่ท่านจะรักหลานแท้ๆ แน่นอน” วากูรพูดทั้งที่ไม่มั่นใจ แต่ยินดีที่คำขู่ของเขาประสบผลเพราะนพมัลลีหน้าซีดเผือดทันที

“เดี๋ยวฉันจะส่งเธอกลับบ้านเอง แล้ววันนี้ฉันจะไม่ยกเรื่องนี้มาขู่อีก”

นพมัลลีหันมองตุนท์ที่กำลังตั้งใจเดินเข้ามาหา ทั้งที่นวลเพชรกำลังรั้งแขนเขาอยู่ หญิงสาวกัดฟันกรอด ความกล้าที่เคยคิดไปหวงเขาพ่ายให้กับความกลัวที่จะเสียนวมลลิ์ไปมากกว่า และด้วยทิฐิที่คิดว่าเขาจะต้องมาถามเอาความจริงหากอยากรู้เขาจะต้องถามเธอเองแน่...แต่เธอคงหวังมากไป

“ลี พี่มีเรื่องจะคุยด้วย” มัลลิยาลดท่าทางบึ้งตึงต่อน้องสาวไปพอควร เดินนำออกไปหน้าบ้านพัก และเริ่มเรื่องอย่างจริงจัง “พี่ ริท แล้วก็แม่ตัดสินใจจะไปใช้ชีวิตที่อเมริกา เพราะแม่อยู่ที่นี่ก็ไม่มีความสุข พี่เองก็ยังทำใจเรื่องหนูมลไม่ค่อยได้ ตลอดเวลาที่พี่ได้อยู่กับหนูมล แกเอาแต่เล่าเรื่องเวลาอยู่กับเธอ ว่าเธอดีกับแกขนาดไหน พอฉันถามว่าสุดท้ายแล้วแกจะเลือกอยู่กับใคร...อยากรู้ไหมว่าแกตอบมาว่าอะไร”

นพมัลลีฟังไปน้ำตาคลอไป เธอรู้สึกว่าความรักที่มีให้ลูก และหน้าที่ของเธอที่ดูแลนวมลลิ์ไม่ว่าในฐานะน้า หรือแม่ไปถึงใจของลูกสาวได้ “ตัวเล็กตอบว่าอะไรคะ”

มัลลิยาส่งเสียงเหอะ มือลูบท้องที่นูนให้เห็นบ้างแล้วก่อนตอบ “ตัวเล็กอยากอยู่กับแม่มากกว่า แล้วพี่ก็ถามว่าแม่คนไหน แล้วหนูมลก็บอกว่า ‘แม่ลีค่ะ...ป้ายา’” คนตอบผินหน้าลงมองน้องสาวด้วยสายตาค้อน “ไหนเธอบอกว่าหนูมลขอเรียกพี่ว่าแม่ไง”

“มีแค่ตอนต้องตอบคำถามเฉพาะเจาะจงนั้นหรือเปล่าคะที่ตัวเล็กต้องระบุให้ชัดๆ” นพมัลลียกมือปาดน้ำตาให้กับความซาบซึ้งที่เด็กหญิงตัวน้อยสร้างไว้ตอนที่เธอวุ่นอยู่กับตุนท์ และมัลลิยาก็เงียบให้เธอรู้ว่าที่เธอว่ามานั้นถูกต้องทุกอย่าง “แล้วพ่อ” หญิงสาวกัดปากอย่างลืมตัว ก่อนพูดใหม่ “อาจะอยู่ยังไงคะ”

“พี่เองก็เลือกแม่ ไม่ได้เลือกพ่อ” มัลลิยาเชิดหน้าบอกอย่างเย็นชา ความจริงจากปากมารดาทำให้เธอเกินจะรับไหว แต่ไม่ได้ไร้สติอย่างที่แล้วมาอีก การสูญเสียนวมลลิ์ไป ทำให้เธอใจเย็น มีสมองไตร่ตรอง เธอเป็นคนผลักไสนวมลลิ์ออกจากชีวิตด้วยความหวาดระแวง แต่นั่นเพราะเธอได้เขามาอย่างไม่ถูกต้องด้วย ตอนนี้เธอมีน้องสาวพ่อเดียวกันอยู่หนึ่งคน เขาไม่ใช่ญาติผู้น้องที่เธอไม่ชอบขี้หน้าอีกแล้ว

‘แม่บอกเรื่องนี้กับยาทำไม ให้ยาเกลียดพ่อใช่ไหมคะ’

‘แม่ก็แค่อยากให้ยาเข้าใจเหตุผลที่แม่เลิกกับพ่อ’

‘แล้วกับลีล่ะคะ ตอนนี้ยาสับสนมาก จู่ๆ ก็มีน้องเพิ่มมาอีกคน ทั้งที่ตลอดมายาเข้าใจว่าเขาเป็นลูกของลุงทวิช’

‘ตอนนี้ลีกำลังเข้าใจอย่างที่เราเข้าใจมาตลอด และแม่อยากให้ยาปิดบังความจริงนี้ ให้ลีเข้าใจอย่างที่เขารู้ในตอนนี้ไป’

‘...’ มัลลิยาเกิดอาการพูดไม่ออก เธอนึกถึงสิ่งที่ตัวเองเคยกระทำกับน้องสาวแล้วได้แต่น้ำท่วมปาก เธอร้ายกับนพมัลลีมาตลอด

‘แม่อยากให้เราเห็นใจเขาบ้าง ให้เป็นสิ่งที่เราชดเชยให้กับลีเขา’

“แล้วอาจะเหลือใครคะ” คำถามของนพมัลลีดังขึ้นหลังจากพี่สาวจมลงไปในความนึกคิดอยู่หลายนาที

“เธอจะทิ้งเขาเหมือนที่พี่ทำก็ได้นะ เชื่อเถอะว่าพ่อจะไม่มีทางกล้าโกรธ แต่ถ้าเธอยังเลือกที่จะดูแลเขา เธอควรเรียกเขาว่าพ่อ” มัลลิยายิ้มมุมปาก “พี่ขอให้เธอทำแทนพี่”

นพมัลลียืนนิ่งอยู่ตรงที่เดิมแม้มัลลิยาเดินกลับเข้าไปในบ้าน ความรู้สึกบางอย่างแจ่มชัดในใจ เธอดีใจที่พี่สาวแทนตัวเองว่าพี่ออกมาโดยไม่ตะขิดตะขวงใจอีก เธอไม่กล้าทักให้พี่รู้ตัวเพราะกลัวมัลลิยาไม่แทนตัวเองว่าพี่อีก นพยาค่อยๆ เดินโผล่ออกมาพ้นจากเงามืด สีหน้าของคนกำลังถูกทิ้งไม่มีทั้งสง่าราศี ไม่มีรอยยิ้มหลงเหลืออีกต่อไป

“พ่อยังเหลือฉันนะ”

“ไม่โกรธเหรอ ฉันเป็นพ่อที่แย่ที่สุด ขังแก ด่าทอแก ยุให้ยาพรากลูกไปจากแก ทำไมแกไม่โกรธฉัน”

“ฉันเหนื่อยค่ะ นึกถึงวันเวลาพวกนั้น ฉันก้าวผ่านมาอย่างยากลำบาก วันนี้ความสันติในครอบครัวกำลังรอให้ฉันเดินเข้าไปหา พ่อจะให้ฉันปิดประตูใส่สันติภาพนั้นเหรอคะ ฉันขอแค่พ่อจะไม่ทำเหมือนที่แล้วมาอีก”

นพยาพยักหน้ารับ เขามองไปยังพี่ชายที่ยืนอยู่ไม่ไกลกัน ต่างแน่ใจว่าความลับชาติกำเนิดของนพมัลลีจะตายไปพร้อมคนที่รู้

“พ่อจะทำให้ลีดู...พ่อสัญญา”

“แต่ต้องหลังจากที่ลีไปอยู่กับลุงที่ออสเตรียสักปีสองปีก่อนนะ” ทวิชจงใจขัดความสุขของน้องชาย หน้าตาเจ้าเล่ห์เหลือร้าย “ลียังไม่เคยไปไหว้หลุมศพของลวิณสักครั้ง ลุงอยากให้ลีไปนะ”

ข้อเสนอยั่วใจคล้ายไฟที่ต้องลมกระพือ หญิงสาวล้วงมือเข้าไปในกระเป๋ากางเกง สัมผัสกับโทรศัพท์เย็นเฉียบที่ไร้สายจากคนที่เธอต้องการ ความน้อยใจค่อยๆ แล่นเกาะกินใจ ภาพของตุนท์กับนวลเพชรปรากฏชัดทุกครั้งยามเธอหลับตา ไหนจะเรื่องของวากูรที่คอยแต่จะหาเรื่องกลับเข้ามาในชีวิตเธอ

บางทีหากได้ลองห่างกัน เธอกับตุนท์อาจเข้าใจความหมายของความสัมพันธ์มากขึ้น และเธอกับลูกจะได้ไม่ต้องหาทางรับมือกับวากูร...ใจส่วนหนึ่งของนพมัลลีเริ่มบินไปจากที่นี่ แต่เธอยังเหลือความลังเล เธอกลัวว่าถ้าตุนท์รั้งเธอไว้ เธอจะไม่เหลือความกล้าพอที่จะไป...หรือเธอจะกลายเป็นนกที่อยู่ติดกรงไปแล้ว


.....................................................

คุณ กาซะลองพลัดถิ่น ตอนใหม่ไม่เจ็บเหมือนตอนที่แล้วค่ะ ไม่กล้าใจร้ายให้ตุนท์ตาย ไม่อย่างนั้นน้ำตาคนเขียนต้องไหลพรากเป็นสายเลือดแน่ๆ ค่ะ ฮา อีกไม่นานชีวิตลีจะดีขึ้นค่ะ เรื่องจะค่อยๆ คลี่คลาย ^^

คุณ coonX3 ตุนท์ปลอดภัย แต่ปัญหาของเรื่องยังไม่จบ เหลืออีกไม่กี่ปม ลีจะพิชิตยอดเขาแล้วค่ะ ฮา

คุณ นักอ่านเหนียวหนึบ ไรท์เตอร์รีบไปหาหมวกกันน็อคมาสวมรอเลย ตอนนี้จะโดนเคาะอีกไหม ฮ่าๆๆ

คุณ kaelek ทิชชู่หมดไปตั้งแต่บทที่แล้ว จากนี้ไม่มีเศร้าเท่าบทที่แล้วแล้วค่ะ อย่างมากก็เกิดอาการขัดใจ ฮา

คุณ ผักหวาน คอนเส็ปต์นางเอกเรื่องนี้ ‘อึด ถึก ทน ยกกำลังสามค่ะ’ ฮา

ขอบคุณทุกความคิดเห็น และทุกคนที่เข้ามาอ่านนะคะ ^_^



ปวรา
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 9 เม.ย. 2558, 02:17:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 9 เม.ย. 2558, 02:17:16 น.

จำนวนการเข้าชม : 1599





<< บทที่ 28 : อย่าโกรธในความงี่เง่าของผม   บทที่ 30 : เรื่องความรักนี่มันเข้าใจยากจริงๆ >>
konhin 9 เม.ย. 2558, 03:44:03 น.
อืมมม ไม่รู้กฏหมายเมืองไทยทำยังไงกับกรณีนี้
ทั้งแกล้งตาย (คมิก)
ทั้งแย่งลูก ผู้ชายมีสิทธเรียกร้องความเป็นพ่อ แต่หมายถึงต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูย้อนหลังป่ะ??
ทั้งตรวจดีเอนเอโดยผู้ปกครองไม่ยินยอม หมอน่าจะผิดนะ


ผักหวาน 9 เม.ย. 2558, 10:53:56 น.
ความผิดพลาดในอดีต จะส่งผลต่อปัจจุบันและอนาคต
ความคิดชั่ววูบ อาจส่งผลต่อหลายๆสิ่งตามมา
วุ้ย ปวดหัว 55555


กาซะลองพลัดถิ่น 10 เม.ย. 2558, 18:35:39 น.
จริง ๆ แจ้งความได้นะ เพราะว่าวากูรลักพาตัวเด็กไปเอง โดยที่แม่ไม่ได้ยินยอม และไม่ทราบเรื่อง
และจะมาเอาลูกคืนตอนนี้ วากูรก็ต้องจ่ายค่าเลี้ยงดูให้ลูกเหมือนกัน
ลีจะไปจากตุนท์ เพียงเพราะเรื่องนี้ น้อยใจ หนีปัญหา ไม่ใช่นะ สู้และเผชิญหน้า คิดผิดอีกครั้งนี่ก็ไม่ไหวล่ะนะ


นักอ่านเหนียวหนึบ 11 เม.ย. 2558, 23:40:37 น.
อืมมม ก็น่าจะโดนเคาะอีกนะ!!!! แต่บลินด์นายเจ๋งงงงมาก


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account