ฤดูกาลรักที่กลางใจ ตอน คิมหันต์กับปัญชิกา
เพราะโชคชะตาทำให้คิมหันต์ได้พบกับปัญชิกาอีกครั้งพร้อมกับข้อเสนอที่น่าตกใจ...
นั่นคือเธอขอมีความสัมพันธ์กับเขาเพียงคืนเดียว!
นั่นคือเธอขอมีความสัมพันธ์กับเขาเพียงคืนเดียว!
Tags: คิมหันต์ ปัญชิกา ซัน ปุยฝ้าย ใช้หนี้ นางเอกน่าสงสาร
ตอน: ตอนที่ 28 และ 29
บทที่ 28
ปัญชิกาได้แต่มองตอบแววตามุ่งมั่นของคิมหันต์ในขณะที่ยังพูดไม่ออกเพราะตั้งรับไม่ทัน
“ช่วยกลับมาเป็นผู้หญิงของฉันอีกครั้งนะปุยฝ้าย”
หญิงสาวน้ำตารื้นไม่อยากตั้งความหวังแม้กำลังสับสนว่าคำขอของเขากำลังสื่อถึงอะไร เพราะเขายังหาผู้หญิงคนใหม่ไม่ได้หรือเป็นเพราะผู้หญิงคนอื่นบริการไม่ถูกใจเขามากพอ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ล้วนทำให้เธอสะเทือนใจได้ทั้งนั้น ดังนั้นปัญชิกาจึงดึงมือของเธอออกจากการเกาะกุมแล้วตั้งคำถามกลับ
“ทำไมคะ”
คิมหันต์ปวดหนึบที่ในใจเมื่อเห็นว่ากระทั่งคำขอของเขาก็ยังทำให้เธอจวนเจียนเสียน้ำตา ชายหนุ่มนึกเยาะตัวเอง คนเลวอย่างเขาก็สมควรแล้วที่จะไม่มีผู้หญิงคนไหนต้องการ หากเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่ไม่มีเธอ ทุกค่ำคืนที่เขาต้องทนทุกข์กับการนอนไม่หลับเพราะความคิดถึง ชายหนุ่มจึงให้คำตอบที่เขาเพิ่งมั่นใจในตอนที่เธอตัดสินใจหนีเขาไป
“เพราะฉันรักเธอ”
ถึงตอนนี้ปัญชิกาก็ห้ามน้ำตาไว้ไม่ได้ หญิงสาวอยากคิดว่าเธอกำลังฝัน คำรักของคิมหันต์เคยเป็นความหวังสูงสุดที่เธอแอบซุกซ่อนไว้ในใจ แต่หลังเผชิญหน้ากับความจริงในเรื่องปานฤทัย ถูกเหยียบย่ำหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความหวังใด ๆ ที่เคยมีก็สลายไปจนสิ้น หญิงสาวส่ายหน้าช้า ๆ โดยไม่รู้เลยว่านั่นไม่ต่างจากการดับแสงแห่งความหวังในหัวใจของคิมหันต์
คิมหันต์ใจหายวูบเมื่อสบกับดวงตาที่ชุ่มไปด้วยหยาดน้ำของปัญชิกา สีหน้าแววตาของเธอสะท้อนถึงความไม่เชื่อจนเขาปวดใจ
“คนที่คุณรัก...คือของขวัญ ไม่ใช่ปุยฝ้าย”
เสียงสะอื้นที่แย้งออกมาทำให้คิมหันต์ต้องกัดฟันแน่น ไม่โทษปัญชิกาที่ไม่เชื่อถือ ก็ใครล่ะจะเชื่อว่าต้นรักต้นใหม่จะก่อกำเนิดได้หลังจากต้นรักเก่าเพิ่งแห้งเฉาโรยรา
แต่มันก็เป็นไปแล้ว
หากถามว่ารักครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นตอนไหนคิมหันต์ก็คงตอบได้เพียงว่าเขาเองก็ไม่รู้ ระหว่างเขากับปัญชิกาเหมือนมีเส้นด้ายบาง ๆ หากแน่นเหนียวที่แม้มองไม่เห็นด้วยตาหากก็รับรู้ได้ด้วยใจค่อย ๆ ถักทอรัดรึงพวกเขาให้เข้าหากันทีละนิดกว่าจะรู้ตัวเส้นด้ายบาง ๆ ก็กลายเป็นเชือกเส้นใหญ่ที่มัดเขาเอาไว้จนดิ้นไม่หลุด
ชายหนุ่มพินิจหญิงสาวเนิ่นนาน ยอมรับกับตัวเองว่าปัญชิกาสวย แต่เพียงความสวยอย่างเดียวไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดเขาเอาไว้ได้ วูบหนึ่งเขานึกถึงความน่ารักสดใสของปานฤทัยก่อนบอกกับตัวเองว่าปัญชิกาไม่มีความสดใสสักเพียงครึ่งของปานฤทัยด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามเธอเป็นอะไรที่ต่างจากปานฤทัยอย่างสิ้นเชิง
แต่เขาก็รักเธอ
รัก...ทั้งที่เธอไม่มีอะไรเหนือกว่าปานฤทัย รัก...ทั้งที่เธอไม่ได้สวยโดดเด่นไปกว่าบรรดาหญิงสาวที่เขาเคยพบเจอ รัก...ทั้งที่เธอชอบทำให้เขาหงุดหงิดและปวดใจยามเห็นเธอหลั่งน้ำตา ทั้งหมดนั้นไม่น่าจะทำให้เขารักเธอได้เพราะเธอไม่มีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น...ไม่มีเลย
แต่เธอก็พิเศษสำหรับหัวใจของเขา
แม้เธอร้องไห้เก่งแต่หัวใจเธอก็แกร่งจนทนรับความใจร้ายของเขาได้ แม้เธอไม่อ่อนหวานคอยเอาอกเอาใจแต่เธอก็ทำให้เขาตื้นตันกับความใส่ใจเขาอย่างจริงจังและจริงใจ แต่เหนืออื่นใดเธอถอนพิษรักในตัวเขาโดยการยอมรับพิษไปจากเขาแทน
ถ้าเขาจะรักเธอก็คงไม่ผิดใช่ไหม
หลังจากถอนหายใจออกมา คิมหันต์ก็แก้ไขความเข้าใจของปัญชิกาเสียใหม่
“ของขวัญคือคนที่ฉันเคยรัก แต่ตอนนี้คนที่ฉันรัก...ก็คือเธอ”
ไม่จริง!
คำแย้งนั้นดังก้องเพียงในใจสอดรับกับภายนอกที่แววตาของเธอก็ยังแฝงแววไม่เชื่อและสับสนจนคิมหันต์ทั้งเจ็บและล้าในหัวใจ แต่เมื่อนึกการกระทำเลวร้ายที่ผ่านมาชายหนุ่มก็เข้าใจและทำใจให้ยอมรับว่าสมควรแล้วที่เธอไม่เชื่อเขา
“ฉันไม่ขอให้เธอเชื่อฉันตอนนี้ แต่อยากขอโอกาสพิสูจน์ตัวเองให้เธอเห็น”
หญิงสาวยิ่งร้องไห้เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมคิมหันต์ยังต้องการโอกาสพิสูจน์อะไรอีกกับคนที่เขาไม่เคยเห็นค่าและไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา
“ทำไมคะ ทำไมต้องทำแบบนี้ ในเมื่อตอนนี้...ปุยฝ้ายไม่เหลืออะไรให้คุณซันอีกแล้ว นอกจาก...ชีวิต”
“นั่นล่ะที่ฉันต้องการ”
ท่ามกลางความตกตะลึงของปัญชิกา คิมหันต์ก็ดึงมือเธอมากุมเอาไว้อีกครั้งพลางบอกถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจ
“ขอชีวิตที่เหลือของเธอให้ฉันเป็นคนดูแลได้ไหม”
ปัญชิกายังคงร้องไห้ เธอไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่กำลังได้ยินจะเป็นความจริง ไม่อยากเชื่อว่าคิมหันต์จะมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยนอย่างที่เธอเคยเฝ้าฝัน หรือจริง ๆ แล้วเธอกำลังฝันอยู่กันแน่
ราวกับรู้ว่าปัญชิกากำลังคิดยังไง คิมหันต์จึงยกมือเล็ก ๆ ขึ้นมาจุมพิตเหมือนจะตอกย้ำว่าเธอไม่ได้กำลังฝันอยู่
“แต่งงานกับฉันนะ”
หรือเธอกำลังฝันซ้ำสอง
หญิงสาวยกมือข้างที่ว่างขึ้นมาหยิกแก้มตัวเอง นั่นจึงเป็นที่มาของคำถาม
“ทำอะไร”
คิมหันต์ปวดไปทั้งใจยามปัญชิกาให้คำตอบเขาเสียงสั่นพร้อมกับเม็ดน้ำตาที่ร่วงหล่น
“ปุยฝ้าย...คิดว่าตัวเองกำลังฝันไป”
สีหน้าแววตาของเธอชวนให้คิมหันต์สงสารจนต้องโน้มหน้าเข้าไปใกล้แล้วยืนยันว่าคือความจริงด้วยจูบร้อนแรงจนปัญชิกาแทบหายใจไม่ทัน
“เชื่อหรือยังว่าไม่ได้ฝัน”
ปัญชิกาเชื่อแล้วว่าเธอไม่ได้ฝันเพียงแต่หญิงสาวไม่เชื่อว่าคิมหันต์รักเธอ บางทีเขาอาจรู้สึกผิดเรื่องลูก รู้สึกผิดที่ทำร้ายจิตใจเธอมาตลอด หญิงสาวหาเหตุผลมาแย้งทั้งที่ลึก ๆ ของก้นบึ้งหัวใจอยากเชื่อสุดใจว่าคำรักของเขาเป็นความจริง
“อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ”
คิมหันต์ปวดไปทั้งใจ น้ำตาและน้ำคำของปัญชิกาให้ความรู้สึกราวกับเธอลงดาบฟันหัวใจเขาขาดเป็นสองท่อน ชายหนุ่มทั้งจนใจและจนคำพูด รู้สึกสิ้นหวังจากการไม่รู้ว่าจะทำให้เธอเชื่อได้ยังไง จังหวะนั้นมารดาของเขาก็เข้ามาในห้อง
คุณหทัยกานต์ทำหน้าไม่ดีนักเมื่อรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอึมครึม หลังจากแอบถอนหายใจอย่างผิดหวังท่านก็เอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศ
“ไป กลับบ้านกันเถอะ”
“ปุยฝ้าย ไม่กลับไปที่บ้านได้ไหมคะ”
ความรู้สึกสับสนที่เกิดจากการกระทำและคำพูดของคิมหันต์ทำให้ปัญชิกาไม่อาจทนกลับไปอยู่ร่วมบ้านกับชายหนุ่มได้ในเวลานี้ ดังนั้นแม้เกรงใจและไม่อยากทำให้คุณหทัยกานต์ผิดหวังแต่เธอก็ไม่อาจฝืนใจตัวเองได้จริง ๆ
คุณหทัยกานต์อึ้ง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ ปัญชิกาเปลี่ยนใจกะทันหัน ครั้นหันไปมองลูกชายก็ต้องอึ้งเป็นรอบสอง
“ตามใจเธอเถอะครับ”
แม้ขัดใจไม่น้อยแต่คุณหทัยกานต์ก็จำฝืนใจยอมรับ หากวินาทีถัดมาก็นึกอะไรได้
“แม่จะอนุญาตถ้าปุยฝ้ายกลับไปอยู่คอนโดฯ ที่แม่ซื้อไว้ให้”
หลังจากคิมหันต์ขับรถแวะให้เธอไปเก็บเสื้อผ้าที่อพาร์ทเม้นท์ตามคำสั่งของคุณหทัยกานต์ ราวหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นหญิงสาวก็เข้ามาอยู่ในห้องพักที่คอนโดฯ ซึ่งคุณหทัยกานต์ซื้อเอาไว้ให้
“พักผ่อนให้สบายนะปุยฝ้าย”
คุณหทัยกานต์บอกก่อนออกไปจากห้องพักเพื่อเปิดโอกาสให้ลูกชาย
ปัญชิกางงงันเมื่อเห็นคิมหันต์ยังปักหลักอยู่ไม่ทำท่าว่าจะกลับไปพร้อมมารดา มาเข้าใจเมื่อได้ยินคำชี้แจง
“คุณแม่ให้คนขับรถมารับน่ะ”
ใจหนึ่งก็อยากถามว่าแล้วทำไมเขายังไม่กลับแต่ก็กลัวเขาโกรธ หากอีกใจก็นึกดีใจที่เขายังอยู่ที่นี่ทำให้ปัญชิกาไม่พูดอะไรเมื่อทำท่าจะหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้า หากไม่ทันคิมหันต์ที่ชิงตัดหน้า
“จะไปไว้ในห้องใช่ไหม”
โดยไม่รอคำตอบจากเธอ ชายหนุ่มก็เดินดุ่มไปยังห้องนอนโดยมีเจ้าของห้องเดินตามหลัง หญิงสาวใจเต้นเมื่อคิมหันต์เดินเข้ามาใกล้ก่อนรับรู้ถึงอาการกระตุกของหัวใจยามเขาเอามือมาอังหน้าผาก
“ตัวยังอุ่น ๆ อยู่”
เสียงพึมพำนั้นเหมือนคนพูดจะบอกกับตัวเองมากกว่าก่อนจะทำให้คนเพิ่งหายป่วยอุทานอย่างตกใจเมื่ออุ้มเธอขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน
“คุณซัน...”
ปัญชิกาเพิ่งพูดได้แค่นั้นคิมหันต์ก็วางเธอลงบนเตียงนอนพอดี หัวใจสาวเต้นระรัวยามสบเข้ากับความปรารถนาในดวงตาสีนิลแวบหนึ่งก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็วราวกับผู้เป็นเจ้าของยับยั้งชั่งใจตัวเองเอาไว้ได้ทัน
ชายหนุ่มทำทียกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาเพื่อเว้นช่วงอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากความใกล้ชิด หากต้องนิ่วหน้าเมื่อพบว่าตอนนี้เกือบหกโมงเย็นแล้ว
“เธออยากทานอะไรเดี๋ยวฉันจะออกไปซื้อมาให้”
ปัญชิกาส่ายหน้า ยามนี้หัวใจเธอทั้งขมและหวานจนไม่อยากอาหารแม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนคำตอบไร้เสียงของเธอจะทำให้คนฟังไม่ชอบใจเมื่อดูจากการขมวดคิ้ว
“ก็เพราะไม่ดูแลตัวเองให้ดีแบบนี้ไง ถึงได้ไม่สบาย”
ในขณะที่เจ้าของห้องจำต้องเงียบเพราะเถียงไม่ออก คิมหันต์ก็ถอนหายใจออกมาราวหนักใจก่อนเอ่ยขึ้นต่อด้วยน้ำเสียงเรียบสนิทแต่เอาจริงเอาจังจนคนฟังถึงกับผวา
“นับจากนี้ฉันจะคอยดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับเธอเอง”
บทที่ 29
ตอนแรกปัญชิกายังหวั่นใจอยู่ว่าคิมหันต์จะไม่กลับบ้านของเขาเพราะหลังจากบังคับให้เธอทานข้าวทานยาแล้ว ชายหนุ่มก็ยังป้วนเปี้ยนอยู่ในห้องพักของเธอจนถึงสามทุ่ม
“ฉันจะกลับแล้ว”
น่าแปลก พอรู้ว่าเขาตัดสินใจกลับวูบหนึ่งเธอกลับนึกอยากขอร้องให้เขาอยู่ หญิงสาวนึกชังความใจอ่อนและไม่เข็ดหลาบของตัวเองก่อนหักใจขับไล่ความซึมเศร้าในใจแล้วฝืนยิ้ม
“ขับรถดี ๆ นะคะ”
คิมหันต์นิ่งมองคนที่กำลังยืนส่งยิ้มมาให้ด้วยความรู้สึกหนัก ๆ หน่วง ๆ ในใจ ยอมรับว่าเขาอยากอยู่ที่นี่กับเธอแต่ก็ไม่กล้าพอที่จะบอก แม้นึกห่วงคนที่เพิ่งหายป่วยจับใจแต่เขาก็ฝืนหักใจ
กระนั้นชายหนุ่มก็ทำตามที่หัวใจบงการเมื่อยื่นมือไปอังหน้าผากหญิงสาวให้แน่ใจ
“เดี๋ยวเข้านอนเลยนะ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะมาใหม่”
ปัญชิกาอึ้งงันเพราะคาดไม่ถึงกับประโยคสุดท้าย และสีหน้าแววตาอาจฉายชัดถึงความรู้สึกจึงทำให้เกิดคำพูดต่อมา
“จำไม่ได้เหรอที่ฉันบอก ต่อไปฉันจะดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับเธอเอง”
“แต่...”
หญิงสาวกำลังจะแย้งแต่เหมือนชายหนุ่มรู้ทันเมื่อตัดบท
“ไปล่ะ”
จากนั้นร่างสูงก็จับลูกบิดแล้วทำท่าจะเปิดประตูหากราวนึกอะไรได้เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง
ปัญชิกาใจเต้นแรงเมื่อคิมหันต์โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ก่อนรับรู้ถึงสัมผัสนุ่มนวลและอบอุ่นตรงกลางหน้าผาก
“ราตรีสวัสดิ์”
แม้บานประตูจะปิดลงไปนานแล้ว หากหญิงสาวก็ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นราวกับถูกสาปจากจุมพิตเมื่อครู่
วันรุ่งขึ้น ยังไม่ถึงหกโมงเช้าดีคิมหันต์ก็มากดกริ่งเรียกปัญชิกาที่หน้าประตูห้องเหมือนแน่ใจว่าหญิงสาวตื่นนอนแล้ว
คิมหันต์มองคนมาเปิดประตูให้เขาทั้งที่ยังสวมชุดนอนแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ก่อนเดินผ่านปัญชิกาเข้าไปโดยไม่ทันเห็นปฏิกิริยาของหญิงสาว
ปัญชิกานิ่งเหมือนถูกสะกดจากรอยยิ้มของคิมหันต์เมื่อครู่ หญิงสาวปิดประตูเมื่อจังหวะหัวใจกลับมาเต้นเป็นปกติก่อนเดินเข้าไปในห้องครัวเมื่อแน่ใจว่าชายหนุ่มอยู่ในนั้น
“ฉันซื้อโจ๊กเจ้าอร่อยมา ทานเลยกำลังร้อน ๆ”
ในขณะที่คิมหันต์บอกด้วยท่าทางสบาย ๆ ง่าย ๆ ราวกับที่นี่เป็นบ้านของเขา ปัญชิกากลับรู้สึกไม่ง่ายเลยกับการจะรับมือชายหนุ่มในมาดใหม่ หากเธอก็ไม่มีแก่ใจตัดรอนหรือทำให้เขาไม่พอใจตั้งแต่เช้าอีกทั้งต้องเตรียมตัวเพื่อไปทำงาน ดังนั้นจึงนั่งลงอย่างว่าง่าย
“แล้วของคุณซันล่ะคะ”
หญิงสาวถามเมื่อเห็นว่าบนโต๊ะมีเพียงชามโจ๊กที่เดียว
“เธอทานเถอะ ฉันขอแค่กาแฟแก้วเดียวก็พอแล้ว”
ฟังแล้วปัญชิกาก็ตื้อในอกรู้สึกแสบร้อนหัวตาอย่างไม่มีสาเหตุจนต้องรีบกระพริบตาถี่ ๆ ก่อนลุกจากที่นั่ง
“ปุยฝ้ายชงกาแฟให้นะคะ”
หากมือที่เตรียมเอื้อมจะหยิบขวดกาแฟต้องชะงัก
“ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวฉันชงเอง”
ปัญชิกาได้แต่ยืนอึ้งขณะมองคิมหันต์กำลังจะชงกาแฟ ทำให้ถูกชายหนุ่มกระตุ้น
“รีบไปทานโจ๊กสิเดี๋ยวจะเย็นซะก่อน”
หญิงสาวน้ำตาซึมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาใส่ใจเป็นห่วงเธอ เพราะเธอไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้วกับการเฝ้าหวังเฝ้าฝันแล้วสุดท้ายก็ต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้ตื้อไปทั้งใจแต่ปัญชิกาก็ฝืนทานโจ๊กจนหมดชามภายใต้สายตาจับจ้องแกมบังคับของคิมหันต์ หลังจากเก็บล้างทำความสะอาดหญิงสาวจึงฝืนยิ้มแล้วบอกกับคนที่ยังคงเอาแต่จับจ้องเธอเงียบ ๆ
“ขอบคุณนะคะ”
“ไม่ต้องขอบคุณ ฉันเต็มใจ”
อีกครั้งที่คิมหันต์ทำให้ปัญชิกาต้องอึ้งงันกับคำพูดที่ตอบกลับมา ความรู้สึกที่เหมือนหัวใจกำลังจะร้องไห้ทำให้หญิงสาวหันหลังให้แล้วบอกเสียงแปร่ง
“ปุยฝ้ายขอไปแต่งตัวก่อนนะคะ”
เพราะไม่ได้หันกลับไปปัญชิกาจึงไม่เห็นว่าคิมหันต์ยังคงเฝ้ามองเธอด้วยสายตาสะท้อนความรู้สึกมากเพียงไร
เมื่อออกมาจากห้องนอนปัญชิกาก็พบว่าคิมหันต์ยังคงอยู่ ชายหนุ่มลุกจากโซฟาที่นั่งทันทีที่เห็นเธอ
“จะไปทำงานแล้วใช่ไหม ฉันจะไปส่ง”
สีหน้าท่าทางของคิมหันต์ที่เหมือนเฝ้ารอเธออยู่ทำให้ปัญชิกาพูดไม่ออก แม้อยากพูดอยากบอกออกไปเหลือเกินว่าอย่าทำแบบนี้อีกเลย อย่ามาทำให้หัวใจของเธอมีความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แต่หญิงสาวก็ยังไม่ใจแข็งพอจะตัดรอนเขาในตอนนี้
ดังนั้น ปัญชิกาจึงทำให้คิมหันต์ยิ้มออกมาได้อย่างโล่งใจเมื่อเธอเดินนำไปที่ประตูโดยไม่ได้พูดทัดทานใด ๆ
เย็นวันนั้นเมื่อเลิกงาน ปัญชิกาก็ต้องงันไปเมื่อพนักงานรักษาความปลอดภัยแจ้งว่ามีคนมารอรับเธออยู่ที่หน้าประตู หญิงสาวลงบันไดหน้าอาคารไปแล้วก็นิ่งอยู่พักใหญ่เมื่อเห็นรถยนต์คุ้นตาคันหนึ่งจอดเทียบฟุตบาทอยู่
ปัญชิกายังคงนิ่งแม้ตอนนี้คิมหันต์มาหยุดยืนตรงหน้าเธอแล้ว บางอย่างที่แฝงเร้นในดวงตาของเขาทำให้หญิงสาวไม่กล้าสานสบจนต้องหรุบตาลง
“ฉันมารับ”
แค่เมื่อเช้าเขามาส่งเธอที่หน้าบริษัทก็ทำให้ใครต่อใครที่เห็นพากันอยากรู้มากพอแล้ว นี่ถ้ารู้ว่าตอนเย็นเขายังมารับอีกเชื่อแน่ว่าพรุ่งนี้เช้าเธอคงถูกเพื่อนร่วมงานรุมล้อมถามถึงเรื่องของเขาแน่นอน
“ทีหลัง...คุณซันไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ ปุยฝ้ายกลับเองได้”
พูดไปแล้วปัญชิกาก็เตรียมใจรอรับความโกรธของคิมหันต์ แต่หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่งรอบตัวก็ยังคงเป็นความเงียบหญิงสาวจึงค่อย ๆ ช้อนตาขึ้นมองแล้วก็ต้องหายใจขัด ๆ กับสายตาที่เขามองเธอ
ไม่ใช่ความโกรธ แต่คล้ายเขากำลังเสียใจและยิ่งเขาไม่พูดปัญชิกาก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอกำลังทำให้เขาเจ็บปวด
“เอ่อ...”
คิมหันต์ถอนหายใจเมื่อเห็นปัญชิกาทำหน้าไม่ดีนัก เขาไม่โกรธหากเธอไม่อยากให้เขามารับเพราะนั่นเป็นสิทธิของเธอ
“ไปเถอะ”
ชายหนุ่มข่มความเสียใจเอาไว้เมื่อบอกออกไปสั้น ๆ ก่อนก้าวนำกลับไปยังรถยนต์
ปัญชิกาได้แต่นิ่งมองคนที่หันหลังให้เธอด้วยความรู้สึกแปลก ๆ วูบหนึ่งเธอปรารถนาสุดใจอยากให้เขาเกาะกุมมือของเธอแล้วพาเดินไปด้วยกัน
ก่อนกลับคอนโดฯ คิมหันต์แวะพาปัญชิกาเข้าสวนอาหารแห่งหนึ่งเพื่อทานมื้อเย็น ใจจริงหญิงสาวอยากปฏิเสธแต่เมื่อนึกว่าเธอทำให้เขาเสียใจไปแล้วตอนพูดเหมือนตัดรอนเขาที่หน้าบริษัท ทำให้ปัญชิกาไม่กล้าโต้แย้ง
เพราะเขาเอาแต่จับตามองเธอเงียบ ๆ ไม่พูดอะไร ปัญชิกาก็พลอยพูดอะไรไม่ออก กระทั่งสิ้นสุดอาหารมื้อนั้นแล้วทั้งคู่เข้ามานั่งในรถยนต์แล้ว
“ฉันคงทำให้เธออึดอัดมากสินะ”
ปัญชิกาปวดใจเมื่อเขาตั้งคำถามเสียงเรียบ หากเธอก็ยังเห็นว่าในแววตาของเขาสะท้อนความเจ็บปวดอยู่ลึก ๆ และนั่นทำให้เธอพูดไม่ออก
หากความเงียบงันที่ได้รับทำให้คิมหันต์ตีความตามที่เข้าใจ หลังจากแค่นยิ้มราวหยันตัวเองชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดขื่นขมจนคนรับฟังก็ยังสัมผัสได้
“ฉันไม่น่าถามเลยสินะ”
พูดจบชายหนุ่มก็สตาร์ทรถก่อนขับเคลื่อนออกไปช้า ๆ ราวกับคนขับไร้แล้วซึ่งพลังใจ
หากปัญชิกาคิดว่าคิมหันต์ถอดใจจนตัดสินใจไม่มาให้เธอเห็นหน้าอีก หญิงสาวก็คิดผิดเมื่อเช้าวันรุ่งขึ้นในเวลาใกล้เคียงกับเมื่อวาน เสียงกริ่งประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น
หญิงสาวใจเต้นยามเดินตรงไปที่ประตูด้วยหัวใจวาดหวัง
“คุณซัน”
ปัญชิกาปวดใจเมื่อเห็นคิมหันต์ยังคงยิ้มให้เธอเหมือนเช้าเมื่อวาน แต่รอยยิ้มในเช้าวันนี้ของเขาดูฝืดฝืนแทบไม่ต่างกับแววตาหม่นมัว
“ฉันซื้อข้าวต้มมาให้”
เพราะคิดว่าชายหนุ่มจะเข้ามาเหมือนเมื่อวาน ปัญชิกาจึงงันไปกับคำพูดต่อมาของอีกฝ่าย
“ฉันไปล่ะนะ”
ขณะมองตามแผ่นหลังของคิมหันต์ที่ค่อย ๆ เดินจากไป ปัญชิกาก็แสบร้อนหัวตาจากน้ำใส ๆ ที่เริ่มเอ่อคลอ
เธอรู้ หัวใจของเธอยังไม่เข้มแข็งพอ แค่เห็นเขาเสียใจเธอกลับเสียใจยิ่งกว่า ทั้งที่ตอนตัดสินใจหนีไปเธอตั้งใจไว้ว่าจะพยายามตัดใจจากเขาให้ได้ แต่มาถึงตอนนี้ถึงรู้ว่า...การตัดใจจากใครสักคนมันยากและทรมานมากแค่ไหน
เมื่อมาถึงรถยนต์ คิมหันต์ก็อิงแผ่นหลังกับตัวรถราวกับหมดแรงไปกับก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น
หากถามว่าทำไมเขาจึงเลือกหันหลังกลับมาไม่ได้อยู่รั้งรอและพาเธอไปส่งบริษัทเหมือนเมื่อวาน คิมหันต์คงตอบได้แค่คำเดียวว่า...กลัว
น่าขำที่ผู้ชายตัวใหญ่อย่างเขากลับมากลัวผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไร้พิษสงเพียงแค่เห็นน้ำตาของเธอ หากเหนืออื่นใดเขากลัวว่าความพยายามรุกคืบของเขาจะทำให้เธอตัดสินใจหนีเขาไปอีกครั้ง
ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทนใช้ชีวิตต่อไปอีกยังไง
เธอไม่สามารถอภัยต่อความเลวร้ายของเขาได้เลยอย่างนั้นเหรอ
คิมหันต์ถามกับตัวเองอย่างขมขื่น ยังจดจำได้ดีถึงท่าทีและคำพูดเมื่อเย็นวานของปัญชิกา
“ทีหลัง...คุณซันไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ ปุยฝ้ายกลับเองได้”
กระทั่งขอแค่ได้ดูแล เธอก็ยังไม่ต้องการ
“ฉันคงทำให้เธออึดอัดมากสินะ”
เพราะที่ผ่านมาเขาทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษมาตลอดใช่ไหม
วินาทีนั้น คิมหันต์รู้สึกด้อยค่า ไร้ความหมาย ไม่เป็นที่ต้องการ จนอดไม่ได้ต้องตั้งคำถามกับตัวเองอย่างปวดร้าว
หรือคนอย่างเขาเลวเกินไปจนไม่มีสิทธิเริ่มต้นใหม่
------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ...ตอนนี้รีบพาคุณซันมาหาแต่เช้าพร้อมกับคำถามว่า...ผู้ชายคนนี้ยังมีสิทธิได้เริ่มต้นใหม่รึเปล่า ^^
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และ LIKE ที่มอบเป็นกำลังใจให้กันค่ะ
กาซะลองพลัดถิ่น : นายซันพยายามแก้ตัวใหม่อยู่ค่ะ แต่ปุยฝ้ายนี่สิคะยังไม่ใจอ่อน..ส่วนเหมันต์กับของขวัญ รู้สึกเหมือนเหมันต์ใจร้ายกับพี่ชายตัวเองใช่มั้ยคะ ไว้รอดูว่าเขาจะแก้ตัวได้รึเปล่า
ปิ่นนลิน : ถ้ายังให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย คุณซันจะแย่แล้วค่ะ...ขอค้านค่ะเรื่องพระเอกปากไว ปากร้าย เพราะคุณซันของพี่มีแต่มุมปากไวปากร้าย แต่ไม่มีมุมน่ารักชวนอบอุ่นแบบคุณบีเลยสักนิด..คุณบีน่ารักเน๊อะ แต่น่ารักน้อยกว่าคุณเออยู่ดี ^^
violette : แต่บางครั้งการพูดก็ยังช่วยอะไรไม่ได้มากนะคะถ้าใครบางคนเจ็บจนกลัวไปแล้วอย่างปุยฝ้ายเป็นต้น...ถ้าคุณแม่ไม่ช่วยเชื่อว่านายซันคงได้เฉาไปจนตายค่ะ
konhin : เป็นธรรมดาค่ะที่ของขวัญจะเวิ่นเว้อไปบ้างเพราะเคยชินกับการเป็นที่รักเป็นศูนย์กลางมาตลอด อยู่ ๆ คนที่เคยรักเคยทำเหมือนเธอเป็นทุกอย่างของเขามาแสดงท่าเหมือนเกลียด ก็เลยรับมือได้ไม่ดีนัก..ส่วนนายซันก็พยายามเต็มที่แล้วค่ะ มาเอาใจช่วยคนตั้งใจจะกลับตัวกันนะคะ
coonX3 : รอดูกันค่ะว่านายซันจะหายจากพิษรักครั้งเก่าแล้วเริ่มต้นรักครั้งใหม่ได้อย่างสมบูรณ์รึเปล่า
หมูบูลิน : นายซันกำลังพยายามอยู่ค่ะ แต่ดูเหมือนจะไม่ง่ายเลย
ปัญชิกาได้แต่มองตอบแววตามุ่งมั่นของคิมหันต์ในขณะที่ยังพูดไม่ออกเพราะตั้งรับไม่ทัน
“ช่วยกลับมาเป็นผู้หญิงของฉันอีกครั้งนะปุยฝ้าย”
หญิงสาวน้ำตารื้นไม่อยากตั้งความหวังแม้กำลังสับสนว่าคำขอของเขากำลังสื่อถึงอะไร เพราะเขายังหาผู้หญิงคนใหม่ไม่ได้หรือเป็นเพราะผู้หญิงคนอื่นบริการไม่ถูกใจเขามากพอ แต่ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลใดก็ล้วนทำให้เธอสะเทือนใจได้ทั้งนั้น ดังนั้นปัญชิกาจึงดึงมือของเธอออกจากการเกาะกุมแล้วตั้งคำถามกลับ
“ทำไมคะ”
คิมหันต์ปวดหนึบที่ในใจเมื่อเห็นว่ากระทั่งคำขอของเขาก็ยังทำให้เธอจวนเจียนเสียน้ำตา ชายหนุ่มนึกเยาะตัวเอง คนเลวอย่างเขาก็สมควรแล้วที่จะไม่มีผู้หญิงคนไหนต้องการ หากเมื่อนึกถึงช่วงเวลาที่ไม่มีเธอ ทุกค่ำคืนที่เขาต้องทนทุกข์กับการนอนไม่หลับเพราะความคิดถึง ชายหนุ่มจึงให้คำตอบที่เขาเพิ่งมั่นใจในตอนที่เธอตัดสินใจหนีเขาไป
“เพราะฉันรักเธอ”
ถึงตอนนี้ปัญชิกาก็ห้ามน้ำตาไว้ไม่ได้ หญิงสาวอยากคิดว่าเธอกำลังฝัน คำรักของคิมหันต์เคยเป็นความหวังสูงสุดที่เธอแอบซุกซ่อนไว้ในใจ แต่หลังเผชิญหน้ากับความจริงในเรื่องปานฤทัย ถูกเหยียบย่ำหัวใจซ้ำแล้วซ้ำเล่า ความหวังใด ๆ ที่เคยมีก็สลายไปจนสิ้น หญิงสาวส่ายหน้าช้า ๆ โดยไม่รู้เลยว่านั่นไม่ต่างจากการดับแสงแห่งความหวังในหัวใจของคิมหันต์
คิมหันต์ใจหายวูบเมื่อสบกับดวงตาที่ชุ่มไปด้วยหยาดน้ำของปัญชิกา สีหน้าแววตาของเธอสะท้อนถึงความไม่เชื่อจนเขาปวดใจ
“คนที่คุณรัก...คือของขวัญ ไม่ใช่ปุยฝ้าย”
เสียงสะอื้นที่แย้งออกมาทำให้คิมหันต์ต้องกัดฟันแน่น ไม่โทษปัญชิกาที่ไม่เชื่อถือ ก็ใครล่ะจะเชื่อว่าต้นรักต้นใหม่จะก่อกำเนิดได้หลังจากต้นรักเก่าเพิ่งแห้งเฉาโรยรา
แต่มันก็เป็นไปแล้ว
หากถามว่ารักครั้งนี้เริ่มต้นขึ้นตอนไหนคิมหันต์ก็คงตอบได้เพียงว่าเขาเองก็ไม่รู้ ระหว่างเขากับปัญชิกาเหมือนมีเส้นด้ายบาง ๆ หากแน่นเหนียวที่แม้มองไม่เห็นด้วยตาหากก็รับรู้ได้ด้วยใจค่อย ๆ ถักทอรัดรึงพวกเขาให้เข้าหากันทีละนิดกว่าจะรู้ตัวเส้นด้ายบาง ๆ ก็กลายเป็นเชือกเส้นใหญ่ที่มัดเขาเอาไว้จนดิ้นไม่หลุด
ชายหนุ่มพินิจหญิงสาวเนิ่นนาน ยอมรับกับตัวเองว่าปัญชิกาสวย แต่เพียงความสวยอย่างเดียวไม่ใช่สิ่งที่ดึงดูดเขาเอาไว้ได้ วูบหนึ่งเขานึกถึงความน่ารักสดใสของปานฤทัยก่อนบอกกับตัวเองว่าปัญชิกาไม่มีความสดใสสักเพียงครึ่งของปานฤทัยด้วยซ้ำ ตรงกันข้ามเธอเป็นอะไรที่ต่างจากปานฤทัยอย่างสิ้นเชิง
แต่เขาก็รักเธอ
รัก...ทั้งที่เธอไม่มีอะไรเหนือกว่าปานฤทัย รัก...ทั้งที่เธอไม่ได้สวยโดดเด่นไปกว่าบรรดาหญิงสาวที่เขาเคยพบเจอ รัก...ทั้งที่เธอชอบทำให้เขาหงุดหงิดและปวดใจยามเห็นเธอหลั่งน้ำตา ทั้งหมดนั้นไม่น่าจะทำให้เขารักเธอได้เพราะเธอไม่มีอะไรพิเศษกว่าคนอื่น...ไม่มีเลย
แต่เธอก็พิเศษสำหรับหัวใจของเขา
แม้เธอร้องไห้เก่งแต่หัวใจเธอก็แกร่งจนทนรับความใจร้ายของเขาได้ แม้เธอไม่อ่อนหวานคอยเอาอกเอาใจแต่เธอก็ทำให้เขาตื้นตันกับความใส่ใจเขาอย่างจริงจังและจริงใจ แต่เหนืออื่นใดเธอถอนพิษรักในตัวเขาโดยการยอมรับพิษไปจากเขาแทน
ถ้าเขาจะรักเธอก็คงไม่ผิดใช่ไหม
หลังจากถอนหายใจออกมา คิมหันต์ก็แก้ไขความเข้าใจของปัญชิกาเสียใหม่
“ของขวัญคือคนที่ฉันเคยรัก แต่ตอนนี้คนที่ฉันรัก...ก็คือเธอ”
ไม่จริง!
คำแย้งนั้นดังก้องเพียงในใจสอดรับกับภายนอกที่แววตาของเธอก็ยังแฝงแววไม่เชื่อและสับสนจนคิมหันต์ทั้งเจ็บและล้าในหัวใจ แต่เมื่อนึกการกระทำเลวร้ายที่ผ่านมาชายหนุ่มก็เข้าใจและทำใจให้ยอมรับว่าสมควรแล้วที่เธอไม่เชื่อเขา
“ฉันไม่ขอให้เธอเชื่อฉันตอนนี้ แต่อยากขอโอกาสพิสูจน์ตัวเองให้เธอเห็น”
หญิงสาวยิ่งร้องไห้เพราะไม่เข้าใจว่าทำไมคิมหันต์ยังต้องการโอกาสพิสูจน์อะไรอีกกับคนที่เขาไม่เคยเห็นค่าและไม่เคยเห็นอยู่ในสายตา
“ทำไมคะ ทำไมต้องทำแบบนี้ ในเมื่อตอนนี้...ปุยฝ้ายไม่เหลืออะไรให้คุณซันอีกแล้ว นอกจาก...ชีวิต”
“นั่นล่ะที่ฉันต้องการ”
ท่ามกลางความตกตะลึงของปัญชิกา คิมหันต์ก็ดึงมือเธอมากุมเอาไว้อีกครั้งพลางบอกถึงสิ่งที่อยู่ในหัวใจ
“ขอชีวิตที่เหลือของเธอให้ฉันเป็นคนดูแลได้ไหม”
ปัญชิกายังคงร้องไห้ เธอไม่อยากเชื่อว่าสิ่งที่กำลังได้ยินจะเป็นความจริง ไม่อยากเชื่อว่าคิมหันต์จะมองเธอด้วยสายตาอ่อนโยนอย่างที่เธอเคยเฝ้าฝัน หรือจริง ๆ แล้วเธอกำลังฝันอยู่กันแน่
ราวกับรู้ว่าปัญชิกากำลังคิดยังไง คิมหันต์จึงยกมือเล็ก ๆ ขึ้นมาจุมพิตเหมือนจะตอกย้ำว่าเธอไม่ได้กำลังฝันอยู่
“แต่งงานกับฉันนะ”
หรือเธอกำลังฝันซ้ำสอง
หญิงสาวยกมือข้างที่ว่างขึ้นมาหยิกแก้มตัวเอง นั่นจึงเป็นที่มาของคำถาม
“ทำอะไร”
คิมหันต์ปวดไปทั้งใจยามปัญชิกาให้คำตอบเขาเสียงสั่นพร้อมกับเม็ดน้ำตาที่ร่วงหล่น
“ปุยฝ้าย...คิดว่าตัวเองกำลังฝันไป”
สีหน้าแววตาของเธอชวนให้คิมหันต์สงสารจนต้องโน้มหน้าเข้าไปใกล้แล้วยืนยันว่าคือความจริงด้วยจูบร้อนแรงจนปัญชิกาแทบหายใจไม่ทัน
“เชื่อหรือยังว่าไม่ได้ฝัน”
ปัญชิกาเชื่อแล้วว่าเธอไม่ได้ฝันเพียงแต่หญิงสาวไม่เชื่อว่าคิมหันต์รักเธอ บางทีเขาอาจรู้สึกผิดเรื่องลูก รู้สึกผิดที่ทำร้ายจิตใจเธอมาตลอด หญิงสาวหาเหตุผลมาแย้งทั้งที่ลึก ๆ ของก้นบึ้งหัวใจอยากเชื่อสุดใจว่าคำรักของเขาเป็นความจริง
“อย่าทำแบบนี้เลยค่ะ”
คิมหันต์ปวดไปทั้งใจ น้ำตาและน้ำคำของปัญชิกาให้ความรู้สึกราวกับเธอลงดาบฟันหัวใจเขาขาดเป็นสองท่อน ชายหนุ่มทั้งจนใจและจนคำพูด รู้สึกสิ้นหวังจากการไม่รู้ว่าจะทำให้เธอเชื่อได้ยังไง จังหวะนั้นมารดาของเขาก็เข้ามาในห้อง
คุณหทัยกานต์ทำหน้าไม่ดีนักเมื่อรู้สึกได้ถึงบรรยากาศอึมครึม หลังจากแอบถอนหายใจอย่างผิดหวังท่านก็เอ่ยขึ้นเพื่อทำลายบรรยากาศ
“ไป กลับบ้านกันเถอะ”
“ปุยฝ้าย ไม่กลับไปที่บ้านได้ไหมคะ”
ความรู้สึกสับสนที่เกิดจากการกระทำและคำพูดของคิมหันต์ทำให้ปัญชิกาไม่อาจทนกลับไปอยู่ร่วมบ้านกับชายหนุ่มได้ในเวลานี้ ดังนั้นแม้เกรงใจและไม่อยากทำให้คุณหทัยกานต์ผิดหวังแต่เธอก็ไม่อาจฝืนใจตัวเองได้จริง ๆ
คุณหทัยกานต์อึ้ง ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ ๆ ปัญชิกาเปลี่ยนใจกะทันหัน ครั้นหันไปมองลูกชายก็ต้องอึ้งเป็นรอบสอง
“ตามใจเธอเถอะครับ”
แม้ขัดใจไม่น้อยแต่คุณหทัยกานต์ก็จำฝืนใจยอมรับ หากวินาทีถัดมาก็นึกอะไรได้
“แม่จะอนุญาตถ้าปุยฝ้ายกลับไปอยู่คอนโดฯ ที่แม่ซื้อไว้ให้”
หลังจากคิมหันต์ขับรถแวะให้เธอไปเก็บเสื้อผ้าที่อพาร์ทเม้นท์ตามคำสั่งของคุณหทัยกานต์ ราวหนึ่งชั่วโมงหลังจากนั้นหญิงสาวก็เข้ามาอยู่ในห้องพักที่คอนโดฯ ซึ่งคุณหทัยกานต์ซื้อเอาไว้ให้
“พักผ่อนให้สบายนะปุยฝ้าย”
คุณหทัยกานต์บอกก่อนออกไปจากห้องพักเพื่อเปิดโอกาสให้ลูกชาย
ปัญชิกางงงันเมื่อเห็นคิมหันต์ยังปักหลักอยู่ไม่ทำท่าว่าจะกลับไปพร้อมมารดา มาเข้าใจเมื่อได้ยินคำชี้แจง
“คุณแม่ให้คนขับรถมารับน่ะ”
ใจหนึ่งก็อยากถามว่าแล้วทำไมเขายังไม่กลับแต่ก็กลัวเขาโกรธ หากอีกใจก็นึกดีใจที่เขายังอยู่ที่นี่ทำให้ปัญชิกาไม่พูดอะไรเมื่อทำท่าจะหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้า หากไม่ทันคิมหันต์ที่ชิงตัดหน้า
“จะไปไว้ในห้องใช่ไหม”
โดยไม่รอคำตอบจากเธอ ชายหนุ่มก็เดินดุ่มไปยังห้องนอนโดยมีเจ้าของห้องเดินตามหลัง หญิงสาวใจเต้นเมื่อคิมหันต์เดินเข้ามาใกล้ก่อนรับรู้ถึงอาการกระตุกของหัวใจยามเขาเอามือมาอังหน้าผาก
“ตัวยังอุ่น ๆ อยู่”
เสียงพึมพำนั้นเหมือนคนพูดจะบอกกับตัวเองมากกว่าก่อนจะทำให้คนเพิ่งหายป่วยอุทานอย่างตกใจเมื่ออุ้มเธอขึ้นมาไว้ในอ้อมแขน
“คุณซัน...”
ปัญชิกาเพิ่งพูดได้แค่นั้นคิมหันต์ก็วางเธอลงบนเตียงนอนพอดี หัวใจสาวเต้นระรัวยามสบเข้ากับความปรารถนาในดวงตาสีนิลแวบหนึ่งก่อนจางหายไปอย่างรวดเร็วราวกับผู้เป็นเจ้าของยับยั้งชั่งใจตัวเองเอาไว้ได้ทัน
ชายหนุ่มทำทียกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดูเวลาเพื่อเว้นช่วงอารมณ์ที่เกิดขึ้นจากความใกล้ชิด หากต้องนิ่วหน้าเมื่อพบว่าตอนนี้เกือบหกโมงเย็นแล้ว
“เธออยากทานอะไรเดี๋ยวฉันจะออกไปซื้อมาให้”
ปัญชิกาส่ายหน้า ยามนี้หัวใจเธอทั้งขมและหวานจนไม่อยากอาหารแม้แต่น้อย แต่ดูเหมือนคำตอบไร้เสียงของเธอจะทำให้คนฟังไม่ชอบใจเมื่อดูจากการขมวดคิ้ว
“ก็เพราะไม่ดูแลตัวเองให้ดีแบบนี้ไง ถึงได้ไม่สบาย”
ในขณะที่เจ้าของห้องจำต้องเงียบเพราะเถียงไม่ออก คิมหันต์ก็ถอนหายใจออกมาราวหนักใจก่อนเอ่ยขึ้นต่อด้วยน้ำเสียงเรียบสนิทแต่เอาจริงเอาจังจนคนฟังถึงกับผวา
“นับจากนี้ฉันจะคอยดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับเธอเอง”
บทที่ 29
ตอนแรกปัญชิกายังหวั่นใจอยู่ว่าคิมหันต์จะไม่กลับบ้านของเขาเพราะหลังจากบังคับให้เธอทานข้าวทานยาแล้ว ชายหนุ่มก็ยังป้วนเปี้ยนอยู่ในห้องพักของเธอจนถึงสามทุ่ม
“ฉันจะกลับแล้ว”
น่าแปลก พอรู้ว่าเขาตัดสินใจกลับวูบหนึ่งเธอกลับนึกอยากขอร้องให้เขาอยู่ หญิงสาวนึกชังความใจอ่อนและไม่เข็ดหลาบของตัวเองก่อนหักใจขับไล่ความซึมเศร้าในใจแล้วฝืนยิ้ม
“ขับรถดี ๆ นะคะ”
คิมหันต์นิ่งมองคนที่กำลังยืนส่งยิ้มมาให้ด้วยความรู้สึกหนัก ๆ หน่วง ๆ ในใจ ยอมรับว่าเขาอยากอยู่ที่นี่กับเธอแต่ก็ไม่กล้าพอที่จะบอก แม้นึกห่วงคนที่เพิ่งหายป่วยจับใจแต่เขาก็ฝืนหักใจ
กระนั้นชายหนุ่มก็ทำตามที่หัวใจบงการเมื่อยื่นมือไปอังหน้าผากหญิงสาวให้แน่ใจ
“เดี๋ยวเข้านอนเลยนะ แล้วพรุ่งนี้ฉันจะมาใหม่”
ปัญชิกาอึ้งงันเพราะคาดไม่ถึงกับประโยคสุดท้าย และสีหน้าแววตาอาจฉายชัดถึงความรู้สึกจึงทำให้เกิดคำพูดต่อมา
“จำไม่ได้เหรอที่ฉันบอก ต่อไปฉันจะดูแลเรื่องอาหารการกินให้กับเธอเอง”
“แต่...”
หญิงสาวกำลังจะแย้งแต่เหมือนชายหนุ่มรู้ทันเมื่อตัดบท
“ไปล่ะ”
จากนั้นร่างสูงก็จับลูกบิดแล้วทำท่าจะเปิดประตูหากราวนึกอะไรได้เมื่อหันกลับมาอีกครั้ง
ปัญชิกาใจเต้นแรงเมื่อคิมหันต์โน้มใบหน้าเข้ามาใกล้ก่อนรับรู้ถึงสัมผัสนุ่มนวลและอบอุ่นตรงกลางหน้าผาก
“ราตรีสวัสดิ์”
แม้บานประตูจะปิดลงไปนานแล้ว หากหญิงสาวก็ยังคงยืนนิ่งอยู่อย่างนั้นราวกับถูกสาปจากจุมพิตเมื่อครู่
วันรุ่งขึ้น ยังไม่ถึงหกโมงเช้าดีคิมหันต์ก็มากดกริ่งเรียกปัญชิกาที่หน้าประตูห้องเหมือนแน่ใจว่าหญิงสาวตื่นนอนแล้ว
คิมหันต์มองคนมาเปิดประตูให้เขาทั้งที่ยังสวมชุดนอนแล้วก็อดยิ้มไม่ได้ก่อนเดินผ่านปัญชิกาเข้าไปโดยไม่ทันเห็นปฏิกิริยาของหญิงสาว
ปัญชิกานิ่งเหมือนถูกสะกดจากรอยยิ้มของคิมหันต์เมื่อครู่ หญิงสาวปิดประตูเมื่อจังหวะหัวใจกลับมาเต้นเป็นปกติก่อนเดินเข้าไปในห้องครัวเมื่อแน่ใจว่าชายหนุ่มอยู่ในนั้น
“ฉันซื้อโจ๊กเจ้าอร่อยมา ทานเลยกำลังร้อน ๆ”
ในขณะที่คิมหันต์บอกด้วยท่าทางสบาย ๆ ง่าย ๆ ราวกับที่นี่เป็นบ้านของเขา ปัญชิกากลับรู้สึกไม่ง่ายเลยกับการจะรับมือชายหนุ่มในมาดใหม่ หากเธอก็ไม่มีแก่ใจตัดรอนหรือทำให้เขาไม่พอใจตั้งแต่เช้าอีกทั้งต้องเตรียมตัวเพื่อไปทำงาน ดังนั้นจึงนั่งลงอย่างว่าง่าย
“แล้วของคุณซันล่ะคะ”
หญิงสาวถามเมื่อเห็นว่าบนโต๊ะมีเพียงชามโจ๊กที่เดียว
“เธอทานเถอะ ฉันขอแค่กาแฟแก้วเดียวก็พอแล้ว”
ฟังแล้วปัญชิกาก็ตื้อในอกรู้สึกแสบร้อนหัวตาอย่างไม่มีสาเหตุจนต้องรีบกระพริบตาถี่ ๆ ก่อนลุกจากที่นั่ง
“ปุยฝ้ายชงกาแฟให้นะคะ”
หากมือที่เตรียมเอื้อมจะหยิบขวดกาแฟต้องชะงัก
“ไม่ต้องหรอกเดี๋ยวฉันชงเอง”
ปัญชิกาได้แต่ยืนอึ้งขณะมองคิมหันต์กำลังจะชงกาแฟ ทำให้ถูกชายหนุ่มกระตุ้น
“รีบไปทานโจ๊กสิเดี๋ยวจะเย็นซะก่อน”
หญิงสาวน้ำตาซึมไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองว่าเขาใส่ใจเป็นห่วงเธอ เพราะเธอไม่อยากเจ็บปวดอีกแล้วกับการเฝ้าหวังเฝ้าฝันแล้วสุดท้ายก็ต้องผิดหวังซ้ำแล้วซ้ำเล่า
แม้ตื้อไปทั้งใจแต่ปัญชิกาก็ฝืนทานโจ๊กจนหมดชามภายใต้สายตาจับจ้องแกมบังคับของคิมหันต์ หลังจากเก็บล้างทำความสะอาดหญิงสาวจึงฝืนยิ้มแล้วบอกกับคนที่ยังคงเอาแต่จับจ้องเธอเงียบ ๆ
“ขอบคุณนะคะ”
“ไม่ต้องขอบคุณ ฉันเต็มใจ”
อีกครั้งที่คิมหันต์ทำให้ปัญชิกาต้องอึ้งงันกับคำพูดที่ตอบกลับมา ความรู้สึกที่เหมือนหัวใจกำลังจะร้องไห้ทำให้หญิงสาวหันหลังให้แล้วบอกเสียงแปร่ง
“ปุยฝ้ายขอไปแต่งตัวก่อนนะคะ”
เพราะไม่ได้หันกลับไปปัญชิกาจึงไม่เห็นว่าคิมหันต์ยังคงเฝ้ามองเธอด้วยสายตาสะท้อนความรู้สึกมากเพียงไร
เมื่อออกมาจากห้องนอนปัญชิกาก็พบว่าคิมหันต์ยังคงอยู่ ชายหนุ่มลุกจากโซฟาที่นั่งทันทีที่เห็นเธอ
“จะไปทำงานแล้วใช่ไหม ฉันจะไปส่ง”
สีหน้าท่าทางของคิมหันต์ที่เหมือนเฝ้ารอเธออยู่ทำให้ปัญชิกาพูดไม่ออก แม้อยากพูดอยากบอกออกไปเหลือเกินว่าอย่าทำแบบนี้อีกเลย อย่ามาทำให้หัวใจของเธอมีความหวังลม ๆ แล้ง ๆ แต่หญิงสาวก็ยังไม่ใจแข็งพอจะตัดรอนเขาในตอนนี้
ดังนั้น ปัญชิกาจึงทำให้คิมหันต์ยิ้มออกมาได้อย่างโล่งใจเมื่อเธอเดินนำไปที่ประตูโดยไม่ได้พูดทัดทานใด ๆ
เย็นวันนั้นเมื่อเลิกงาน ปัญชิกาก็ต้องงันไปเมื่อพนักงานรักษาความปลอดภัยแจ้งว่ามีคนมารอรับเธออยู่ที่หน้าประตู หญิงสาวลงบันไดหน้าอาคารไปแล้วก็นิ่งอยู่พักใหญ่เมื่อเห็นรถยนต์คุ้นตาคันหนึ่งจอดเทียบฟุตบาทอยู่
ปัญชิกายังคงนิ่งแม้ตอนนี้คิมหันต์มาหยุดยืนตรงหน้าเธอแล้ว บางอย่างที่แฝงเร้นในดวงตาของเขาทำให้หญิงสาวไม่กล้าสานสบจนต้องหรุบตาลง
“ฉันมารับ”
แค่เมื่อเช้าเขามาส่งเธอที่หน้าบริษัทก็ทำให้ใครต่อใครที่เห็นพากันอยากรู้มากพอแล้ว นี่ถ้ารู้ว่าตอนเย็นเขายังมารับอีกเชื่อแน่ว่าพรุ่งนี้เช้าเธอคงถูกเพื่อนร่วมงานรุมล้อมถามถึงเรื่องของเขาแน่นอน
“ทีหลัง...คุณซันไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ ปุยฝ้ายกลับเองได้”
พูดไปแล้วปัญชิกาก็เตรียมใจรอรับความโกรธของคิมหันต์ แต่หลังจากเวลาผ่านไปครู่หนึ่งรอบตัวก็ยังคงเป็นความเงียบหญิงสาวจึงค่อย ๆ ช้อนตาขึ้นมองแล้วก็ต้องหายใจขัด ๆ กับสายตาที่เขามองเธอ
ไม่ใช่ความโกรธ แต่คล้ายเขากำลังเสียใจและยิ่งเขาไม่พูดปัญชิกาก็อดคิดไม่ได้ว่าเธอกำลังทำให้เขาเจ็บปวด
“เอ่อ...”
คิมหันต์ถอนหายใจเมื่อเห็นปัญชิกาทำหน้าไม่ดีนัก เขาไม่โกรธหากเธอไม่อยากให้เขามารับเพราะนั่นเป็นสิทธิของเธอ
“ไปเถอะ”
ชายหนุ่มข่มความเสียใจเอาไว้เมื่อบอกออกไปสั้น ๆ ก่อนก้าวนำกลับไปยังรถยนต์
ปัญชิกาได้แต่นิ่งมองคนที่หันหลังให้เธอด้วยความรู้สึกแปลก ๆ วูบหนึ่งเธอปรารถนาสุดใจอยากให้เขาเกาะกุมมือของเธอแล้วพาเดินไปด้วยกัน
ก่อนกลับคอนโดฯ คิมหันต์แวะพาปัญชิกาเข้าสวนอาหารแห่งหนึ่งเพื่อทานมื้อเย็น ใจจริงหญิงสาวอยากปฏิเสธแต่เมื่อนึกว่าเธอทำให้เขาเสียใจไปแล้วตอนพูดเหมือนตัดรอนเขาที่หน้าบริษัท ทำให้ปัญชิกาไม่กล้าโต้แย้ง
เพราะเขาเอาแต่จับตามองเธอเงียบ ๆ ไม่พูดอะไร ปัญชิกาก็พลอยพูดอะไรไม่ออก กระทั่งสิ้นสุดอาหารมื้อนั้นแล้วทั้งคู่เข้ามานั่งในรถยนต์แล้ว
“ฉันคงทำให้เธออึดอัดมากสินะ”
ปัญชิกาปวดใจเมื่อเขาตั้งคำถามเสียงเรียบ หากเธอก็ยังเห็นว่าในแววตาของเขาสะท้อนความเจ็บปวดอยู่ลึก ๆ และนั่นทำให้เธอพูดไม่ออก
หากความเงียบงันที่ได้รับทำให้คิมหันต์ตีความตามที่เข้าใจ หลังจากแค่นยิ้มราวหยันตัวเองชายหนุ่มก็เอ่ยขึ้นด้วยน้ำเสียงติดขื่นขมจนคนรับฟังก็ยังสัมผัสได้
“ฉันไม่น่าถามเลยสินะ”
พูดจบชายหนุ่มก็สตาร์ทรถก่อนขับเคลื่อนออกไปช้า ๆ ราวกับคนขับไร้แล้วซึ่งพลังใจ
หากปัญชิกาคิดว่าคิมหันต์ถอดใจจนตัดสินใจไม่มาให้เธอเห็นหน้าอีก หญิงสาวก็คิดผิดเมื่อเช้าวันรุ่งขึ้นในเวลาใกล้เคียงกับเมื่อวาน เสียงกริ่งประตูหน้าห้องก็ดังขึ้น
หญิงสาวใจเต้นยามเดินตรงไปที่ประตูด้วยหัวใจวาดหวัง
“คุณซัน”
ปัญชิกาปวดใจเมื่อเห็นคิมหันต์ยังคงยิ้มให้เธอเหมือนเช้าเมื่อวาน แต่รอยยิ้มในเช้าวันนี้ของเขาดูฝืดฝืนแทบไม่ต่างกับแววตาหม่นมัว
“ฉันซื้อข้าวต้มมาให้”
เพราะคิดว่าชายหนุ่มจะเข้ามาเหมือนเมื่อวาน ปัญชิกาจึงงันไปกับคำพูดต่อมาของอีกฝ่าย
“ฉันไปล่ะนะ”
ขณะมองตามแผ่นหลังของคิมหันต์ที่ค่อย ๆ เดินจากไป ปัญชิกาก็แสบร้อนหัวตาจากน้ำใส ๆ ที่เริ่มเอ่อคลอ
เธอรู้ หัวใจของเธอยังไม่เข้มแข็งพอ แค่เห็นเขาเสียใจเธอกลับเสียใจยิ่งกว่า ทั้งที่ตอนตัดสินใจหนีไปเธอตั้งใจไว้ว่าจะพยายามตัดใจจากเขาให้ได้ แต่มาถึงตอนนี้ถึงรู้ว่า...การตัดใจจากใครสักคนมันยากและทรมานมากแค่ไหน
เมื่อมาถึงรถยนต์ คิมหันต์ก็อิงแผ่นหลังกับตัวรถราวกับหมดแรงไปกับก่อนหน้านี้จนหมดสิ้น
หากถามว่าทำไมเขาจึงเลือกหันหลังกลับมาไม่ได้อยู่รั้งรอและพาเธอไปส่งบริษัทเหมือนเมื่อวาน คิมหันต์คงตอบได้แค่คำเดียวว่า...กลัว
น่าขำที่ผู้ชายตัวใหญ่อย่างเขากลับมากลัวผู้หญิงตัวเล็ก ๆ ที่ไร้พิษสงเพียงแค่เห็นน้ำตาของเธอ หากเหนืออื่นใดเขากลัวว่าความพยายามรุกคืบของเขาจะทำให้เธอตัดสินใจหนีเขาไปอีกครั้ง
ถ้าเป็นอย่างนั้น เขาก็ไม่แน่ใจเหมือนกันว่าจะทนใช้ชีวิตต่อไปอีกยังไง
เธอไม่สามารถอภัยต่อความเลวร้ายของเขาได้เลยอย่างนั้นเหรอ
คิมหันต์ถามกับตัวเองอย่างขมขื่น ยังจดจำได้ดีถึงท่าทีและคำพูดเมื่อเย็นวานของปัญชิกา
“ทีหลัง...คุณซันไม่ต้องลำบากหรอกค่ะ ปุยฝ้ายกลับเองได้”
กระทั่งขอแค่ได้ดูแล เธอก็ยังไม่ต้องการ
“ฉันคงทำให้เธออึดอัดมากสินะ”
เพราะที่ผ่านมาเขาทำให้เธอรู้สึกเหมือนเป็นนักโทษมาตลอดใช่ไหม
วินาทีนั้น คิมหันต์รู้สึกด้อยค่า ไร้ความหมาย ไม่เป็นที่ต้องการ จนอดไม่ได้ต้องตั้งคำถามกับตัวเองอย่างปวดร้าว
หรือคนอย่างเขาเลวเกินไปจนไม่มีสิทธิเริ่มต้นใหม่
------------------------------------------------------------------------------
สวัสดีค่ะ...ตอนนี้รีบพาคุณซันมาหาแต่เช้าพร้อมกับคำถามว่า...ผู้ชายคนนี้ยังมีสิทธิได้เริ่มต้นใหม่รึเปล่า ^^
ขอบคุณสำหรับคอมเม้นท์และ LIKE ที่มอบเป็นกำลังใจให้กันค่ะ
กาซะลองพลัดถิ่น : นายซันพยายามแก้ตัวใหม่อยู่ค่ะ แต่ปุยฝ้ายนี่สิคะยังไม่ใจอ่อน..ส่วนเหมันต์กับของขวัญ รู้สึกเหมือนเหมันต์ใจร้ายกับพี่ชายตัวเองใช่มั้ยคะ ไว้รอดูว่าเขาจะแก้ตัวได้รึเปล่า
ปิ่นนลิน : ถ้ายังให้ประวัติศาสตร์ซ้ำรอย คุณซันจะแย่แล้วค่ะ...ขอค้านค่ะเรื่องพระเอกปากไว ปากร้าย เพราะคุณซันของพี่มีแต่มุมปากไวปากร้าย แต่ไม่มีมุมน่ารักชวนอบอุ่นแบบคุณบีเลยสักนิด..คุณบีน่ารักเน๊อะ แต่น่ารักน้อยกว่าคุณเออยู่ดี ^^
violette : แต่บางครั้งการพูดก็ยังช่วยอะไรไม่ได้มากนะคะถ้าใครบางคนเจ็บจนกลัวไปแล้วอย่างปุยฝ้ายเป็นต้น...ถ้าคุณแม่ไม่ช่วยเชื่อว่านายซันคงได้เฉาไปจนตายค่ะ
konhin : เป็นธรรมดาค่ะที่ของขวัญจะเวิ่นเว้อไปบ้างเพราะเคยชินกับการเป็นที่รักเป็นศูนย์กลางมาตลอด อยู่ ๆ คนที่เคยรักเคยทำเหมือนเธอเป็นทุกอย่างของเขามาแสดงท่าเหมือนเกลียด ก็เลยรับมือได้ไม่ดีนัก..ส่วนนายซันก็พยายามเต็มที่แล้วค่ะ มาเอาใจช่วยคนตั้งใจจะกลับตัวกันนะคะ
coonX3 : รอดูกันค่ะว่านายซันจะหายจากพิษรักครั้งเก่าแล้วเริ่มต้นรักครั้งใหม่ได้อย่างสมบูรณ์รึเปล่า
หมูบูลิน : นายซันกำลังพยายามอยู่ค่ะ แต่ดูเหมือนจะไม่ง่ายเลย
พันวลี
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 18 เม.ย. 2558, 07:41:16 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 18 เม.ย. 2558, 08:10:11 น.
จำนวนการเข้าชม : 1840
<< ตอนที่ 26 และ 27 | ตอนที่ 30 >> |
konhin 18 เม.ย. 2558, 12:50:57 น.
สลับหน้าที่กัน พี่ซันหัดเอาใจ อ้อ แล้วก็หัดน้อยใจอีกต่างหาก
สลับหน้าที่กัน พี่ซันหัดเอาใจ อ้อ แล้วก็หัดน้อยใจอีกต่างหาก
coonX3 18 เม.ย. 2558, 12:51:28 น.
เจอแค่นี้ถอยแล้วหรอ เป็นธรรมดาที่ปุยฝ้ายจะระแวง ถ้านายมั่นใจจริงว่าผู้หญิวคนนีใช้ก็ต้องพยายามกว่านี้ซิ
เจอแค่นี้ถอยแล้วหรอ เป็นธรรมดาที่ปุยฝ้ายจะระแวง ถ้านายมั่นใจจริงว่าผู้หญิวคนนีใช้ก็ต้องพยายามกว่านี้ซิ
ปิ่นนลิน 18 เม.ย. 2558, 14:30:24 น.
แผลกายยังต้องใช้เวลาในการรักษา
แผลใจก็ต้องใช้เวลานะ คุณซัน อย่ามัวแต่ท้อถอยถอดใจ พยายามหน่อย ฮึบๆ
แผลกายยังต้องใช้เวลาในการรักษา
แผลใจก็ต้องใช้เวลานะ คุณซัน อย่ามัวแต่ท้อถอยถอดใจ พยายามหน่อย ฮึบๆ
กาซะลองพลัดถิ่น 18 เม.ย. 2558, 14:57:29 น.
5555 สะใจ อย่าเพิ่งใจอ่อนง่าย ๆ คะ ปุยฝ้าย แค่มาทำดีพูดดีด้วยก็ใจอ่อนเลย ไม่ดีคะ
จัดไปหนัก ๆ ดูซิว่าจะทนได้แค่ไหน นานเท่าไหร่ และจะสำนึกไหม เวลาคะ เวลาเท่านั้น นายซัน
5555 สะใจ อย่าเพิ่งใจอ่อนง่าย ๆ คะ ปุยฝ้าย แค่มาทำดีพูดดีด้วยก็ใจอ่อนเลย ไม่ดีคะ
จัดไปหนัก ๆ ดูซิว่าจะทนได้แค่ไหน นานเท่าไหร่ และจะสำนึกไหม เวลาคะ เวลาเท่านั้น นายซัน
หมูบูลิน 18 เม.ย. 2558, 18:17:35 น.
งอนให้หนักๆเลยเลยนะปุยฝ้าย อย่าพึ่งยอมนายซัน 5555
งอนให้หนักๆเลยเลยนะปุยฝ้าย อย่าพึ่งยอมนายซัน 5555
Zephyr 19 เม.ย. 2558, 18:59:53 น.
ท้อง่ายไปนะจ้ะ
ท่องไว้สิ ทำกับเค้าไว้เยอะ
ใช้กรรมก่อน ค่อยรอความหวานที่ตามมาน่ะเฮีย
ท้อง่ายไปนะจ้ะ
ท่องไว้สิ ทำกับเค้าไว้เยอะ
ใช้กรรมก่อน ค่อยรอความหวานที่ตามมาน่ะเฮีย
ผักหวาน 22 เม.ย. 2558, 16:33:48 น.
โอย ปากหนักทั้งคู่
โอย ปากหนักทั้งคู่