คืนฝนพรำ
สองหนุ่มสาวเจอกันบังเอิญในคืนฝนพรำ
หล่อนจำเขาได้เสมอ แต่เขาดันจำหล่อนสลับกับเพื่อนสนิทของหล่อนเอง
เรื่องวุ่นๆ เริ่มขึ้น เมื่อหล่อนคิดว่าเขาคือ เนื้อคู่ แต่เพื่อนของหล่อนเอง ก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน
ทุกอย่างวุ่นวายเข้าไปอีก เมื่อหล่อนไปสร้างความวุ่นวายให้กับเขา เขาเลยไม่ชอบหล่อนนัก
หล่อนคงต้องเลือกระหว่างเพื่อน และคนที่แอบชอบ
แต่จะจบลงอย่างไร เมื่อหล่อนกับเขาต้องถูกจับแตงงานกัน เพราะคำสัญญาของพ่อแม่
หล่อนจำเขาได้เสมอ แต่เขาดันจำหล่อนสลับกับเพื่อนสนิทของหล่อนเอง
เรื่องวุ่นๆ เริ่มขึ้น เมื่อหล่อนคิดว่าเขาคือ เนื้อคู่ แต่เพื่อนของหล่อนเอง ก็คิดอย่างนั้นเช่นกัน
ทุกอย่างวุ่นวายเข้าไปอีก เมื่อหล่อนไปสร้างความวุ่นวายให้กับเขา เขาเลยไม่ชอบหล่อนนัก
หล่อนคงต้องเลือกระหว่างเพื่อน และคนที่แอบชอบ
แต่จะจบลงอย่างไร เมื่อหล่อนกับเขาต้องถูกจับแตงงานกัน เพราะคำสัญญาของพ่อแม่
Tags: romantic comedy, หวานแหวว, หมอ, ทหารอากาศ
ตอน: ตอนที่4: คือใคร
ตอนที่ 4
แดดร้อนกลางเดือนเมษายน ซึ่งนับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของปี สาดแสงส่องกระทบห้องกระจกของร้านอาหารชื่อดังที่สุดของจังหวัดนี้้ ภายในห้องอาหารเปิดแอร์เย็นเฉียบ อากาศเลยแตกต่างจากภายนอกโดยเส้นเชิง ข้างในตกแต่งโทนสีขาว น้ำเงินกรมท่า มีเพลงเบาๆเปิดคลอ ดูแล้วเจริญตาและเจริญอาหาร พวกเรามาถึงเวลาเกือบบ่ายโมงแล้ว ลูกค้าในร้ายจึงบางตาลง พอเราทั้งสามคนนั่งลงที่โต๊ะอาหาร พนักงานก็เดินมาเสิร์ฟเมนูทันที
ฉันรับเมนูมาแล้วก็รีบพลิกๆดู ไม่อยากจะสนทนาอะไรด้วยทั้งนั้น ข้างในนี้อากาศเย็นก็จริง แต่ฉันว่าในใจของฉันองศาร้อนระอุเท่ากับอากาศข้างนอกแน่นอน
“เคยมาร้านนี้กันไหมครับ" นายทหารหนุ่มพูดเสร็จก็วางเมนูลงแล้วมองเราทั้งสอง ฉันยังคงทำเป็นไม่สนใจ ไม่อยากจะเปิดช่องให้เขาพูดขึ้นมาว่าจำฉันได้ว่าเป็นใคร
ขิมดาราลดเมนูที่เลือกดูอยู่ลง แล้วหันไปตอบฉะฉานกับเขา "ก็มากับพริมบ่อยๆคะ ร้านโปรดของเรา เนอะพริม" พูดเสร็จก็หันมาพะยักพะเยิดกับฉัน โอ๊ย หยุดเลย ฉันจะไม่ร่วมวงสนทนาด้วย มันเป็นช่วงเวลาจีบกันของเธอสองคน ขอฉันอกหักอยู่ในมุมเงียบๆคนเดียวได้ไหม ฉันเลยเอาเมนูบังหน้าแล้วตั้งใจเลือกอาหารอย่างสุดความสามารถ
“โอ๊ย!” ฉันร้องขึ้นมาเบาๆ ยัยขิมดาราเตะฉันจากใต้โต๊ะ ยัยนี่! คุณอัศวินหันมาทางฉันทันที แล้วมองด้วยความสงสัย
"เป็นอะไรเหรอครับ" ฉันเลยวางเมนูลงแล้ว หันไปยิ้มแห้งๆกับเขา "ไม่มีอะไรค่ะ" พูดเสร็จก็หันไปสบตาขิมดารา ที่ทำท่าถมึงทึงประมาณว่าให้ฉันทำตัวมีมารยาท
คุณอัศวินยังคงจ้องฉันเหมือนหาคำตอบ ฉันเลยต้องจำใจหันไปสนทนากับเขา ในใจฉันเขินอายมากจนเกินอธิบาย แต่ฉันก็พยายามแสร้งว่าผ่อนคลาย และทำบ้องแบ๊ว ลืมว่าเราเคยเจอกันสองครั้ง
คุณอัศวินจ้องหน้าฉันเหมือนสำรวจอะไรสักอย่าง แล้วเขาก็อ้าปากจะพูด "ผมว่าเรา...”
“สั่งอาหารเลยไหมคะ หิวมากแล้ว มายัยขิม หล่อนชอบกินทอดมันกุ้งใช่ไหม แล้วก็แกงส้มชะอมกุ้งนะ น้องๆคะ รับออเดอร์ด้วยคะ เอ่อ พี่ขอสั่ง ทอดมันกุ้ง แกงส้มชะอมกุ้ง แล้วก็ขอไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ยำถั่วพลูด้วยค่ะ แล้ว...” ฉันหยุดสั่งอาหาร แล้วหันไปยิ้มแบบมีมารยาทกับนายทหารหนุ่ม
“คุณอัศวิน สั่งอะไรดีคะ"
เขาเลิกคิ้ว แล้วยิ้มกว้าง แววตาจ้องฉันราวกับทะลวงจะเค้นอะไรออกมาให้ได้ "น่าจะพอแล้ว ผมไม่สั่งอะไรล่ะครับ" ได้ยินอย่างนั้นฉันเลยหน้าเจือน แล้วหลุบตามองต่ำแก้เขิน ก็ฉันชิงพูดไว้ก่อน กลัวเขาจะพูดเรื่องที่เคยเจอกันน่ะสิ
“แหม ยัยพริม สั่งไม่ถามคุณวินเลยนะ แล้ววันนี้ไม่มีบินเหรอคะ ต้องฝึกบินทุกวันหรือเปล่าคะ" ขิมดาราเอื้อนเอ่ยเสียงใสน่าฟัง
คุณอัศวินนั่งเอนตัวเอามือมาเท้าทีโต๊ะ แล้วสอดประสานกัน "วันนี้ได้พักช่วงบ่ายครับ เพิ่งฝึกหนักไปเมื่อสองสามวันก่อน แล้วช่วงบ่ายคุณหมอมีงานอะไรหรือเปล่า ผมกลัวพากลับไปทำงานสายเดี๋ยวจะแย่"
ขิมดารายิ้มน้อยๆพอน่ารัก แล้วคนสองคนก็หันหน้าคยกัน "ช่วงบ่ายขิมว่างคะวันนี้ มีแค่ไปตรวจดูตามหอผู้ป่วยเฉยๆ อ้อ เพื่อนคุณน่ะค่ะ ถ้าไม่มีอาเจียนปวดท้อง อีกไม่กี่วันก็คงได้ทานอาหารแล้ว"
“เหรอครับ เออแล้วอาการที่มันมาเจอคุณหมอเมื่อคืน แย่มากไหมครับ"
แล้วสองคนนั้นก็สนทนาเรื่องอาการป่วยของเพื่อนคุณอัศวินกันไป ฉันก็ได้แต่นั่งฟัง โดยไม่มีส่วนร่วมเท่าไร ดี คุยกันไปเลย อย่าแวะมาเกี่ยวข้องเรื่องของฉันแล้วกัน ฉันเลยหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาเปิดนู่นนี่ดู
ฉันเปิดดูข้อความในไลน์ แล้วก็ได้พบว่าคุณอัศวินส่งข้อความเข้ามาตอนสายๆ ตายล่ะ ฉันเปิดอ่านดูเลยดีกว่า แต่ไม่ควรตอบเขากลับตอนนี้
'บอกผมได้ยังครับ ได้เบอร์ผมมายังไง' ฉันอ่านด้วยความตะลึง ก็พอดีกับที่คุณอัศวินหันมาคุยกับฉัน
“...ได้ไหมครับคุณหมอ" เขามองฉัน ยิ้มๆ แล้วก็ก้มดูมือถือฉัน ฉันตกใจเลยรีบยัดมือถือใส่ในกระเป๋าเสื้อกาวน์ แล้วทำทีปกติ เขาจะเห็นไหมเนี่ย
“....พูดว่าอะไรนะคะ" ฉันคงมีท่าทีหลุกหลิก เหมือนปิดบังอะไรบางอย่าง เขาเลยยิ่งใช้แววตาจ้องฉันหนักเข้าไปอีก...
แล้วเขาก็ยิ้มทะเล้น "คุณขิมบอกผมว่า ไม่ให้เรียกว่าหมอ ให้เรียกว่า ขิม เฉยๆ แล้วคุณล่ะครับจะให้ผมเรียกว่าอะไรดี"
โอ๊ย...น้ำเสียงนุ่มๆ ท่าทีนิ่งๆ และร้อยยิ้มกวนๆ อย่ามาทำให้ฉันละลายตอนนี้ได้ไหม ฉันมองเขาแบบครุ่นคิด แล้วก็หันไปสบตากับขิมดารา แต่เจ้าหล่อนไม่ได้สนใจ กลับยกแก้วน้ำดื่มอยู่
ฉันเลยกลับมาคุยกับเขา แล้วฉันก็พูดออกจะตะกุกตะกัก "...ก็เรียกพริม พริม ก็ได้ค่ะ"
เขาหัวเราะเบาๆ แล้วส่งยิ้มกว้างให้ฉัน "คุณพริมดูเกร็งๆนะครับ กลัวอะไรผมหรือเปล่า เรียกผมว่า อัศ เฉยๆได้เลยนะครับผม" แล้วก็ยังคงส่งสายตาทะเล้นมาแกล้งฉันต่อไป โอ๊ย ฉันแพ้ผู้ชายพูดคำว่า ครับผม เข้าใจไหม
ฉันเลยรีบทำท่าทีให้เป็นปรกติ ฉันดูเกร็งอย่างนั้นเหรอ ตานี่ฉลาดไม่เบา ดูคนออก ไม่ได้ๆ ฉันจะให้เขารู้ว่าฉันเกร็งเพราะปลื้มเขาจนจะแย่แล้วไม่ได้ ฉันสูดหายใจเข้าช้าๆ แล้วค่อยๆปล่อยยิ้มกว้างๆออกมา พร้อมกับท่าทีสบายๆ
“ที่เกร็งเนี่ยเพราะปวดฉี่คะ พริมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ" ฉันเลิกคิ้วให้เขาทีหนึ่ง จะเล่นฉันให้ได้ใช่ไหม ฉันเลยลุกขึ้น แล้วเดินออกไปเข้าห้องน้ำ ฉันรู้หรอกน่าว่าขิมดาราตาโต ทำท่าประหลาดใจกับกิริยาของฉัน ก็ทำไมล่ะ นายอัศวินนี่ร้ายใช่เล่น เขาต้องจำฉันได้แน่ เขาจะแกล้งฉันให้ได้เลยใช่ไหม
ฉันไปเข้าห้องน้ำไม่นานนักเพื่อปรับปรุงอารมณ์และคิดอยู่ว่าจะวางท่าทีให้ดูไม่กลัวเขาจนเกินไปอย่างไร เมื่อสร้างอารมณ์มั่นใจให้ตัวเองได้แล้วฉันก็ออกมา และพบว่าอาาหารเสิร์ฟเต็มโต๊ะพร้อมทานแล้ว จริงๆฉันหิวเหลือเกิน
ทั้งสองคนยังไม่ทานอะไร คงรอฉันพร้อมหน้า ฉันหย่อนตัวนั่งลง แล้วยิ้มหวานให้หนุ่มสาวทั้งสองที่ดูจะคุยกันถูกคอทีเดียว แล้วเริ่มตักอาหาร
“คุณขิม เคยเรียนที่เดียวกับน้องสาวผมเลยนะครับเนี่ย แหมโลกกลมจริง ผมว่าน้องผมน่าจะรู้จักขิม ถ้าขิมเป็นถึงดรัมเมเยอร์โรงเรียน" นายอัศวินคุยเจื้อยแจ้ว ผิดกับท่าทีขรึมๆของเขาโดยสิ้นเชิง
“แหม ขิมก็ห่างกับน้องคุณหลายปีอยู่นะคะ รุ่นแก่กว่ามากแล้ว"
ฉันก็ฟังไปเรื่อยๆ กินข้าวในจานของตัวเองให้อื่มดีกว่า สองคนนั้นก็ดูเข้ากันได้ดี มีคุยมาทางฉันบ้างพอเป็นมารยาท ฉันรู้หรอกน่า
“คุณพริมดูเงียบนะครับ อาหารถูกเปล่าหรือเปล่า" พ่อคุณอุตส่าห์ห่วงใยฉัน
ฉันที่อาหารอยู่เต็มปาก ก็ได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ แต่ยัยขิมส่งสายตาพิฆาตมาให้
“พริมก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะ กับคนไม่สนิท ยิ่งถ้าผู้ชายด้วยแล้วล่ะก็ จะคุยน้อยผิดปกติค่ะ จริงไหมหล่อน" แล้วก็ยักคิ้วท้าทายฉันขณะตักอาหารใส่จานตัวเอง
ฉันรีบกลืนอาหารแล้วส่งสายตาดุไปให้หล่อน ขิมดาราพูดมากไปแล้วนะ ฉันกำลังจะอ้าปากพูดตอบโต้ แต่ขิมดาราก็ลุกขึ้นเฉย คุณอัศวินยิ่งจ้องหน้าฉันเข้าไปอีก
“ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ พริมคุยกับคุณอัศไปก่อนละกัน" หล่อนยิ้มหวานให้เขาทีหนึ่งแล้วเดินมาดมั่นจากไป ปล่อยให้ฉันนั่งกลืนไม่เข้า คายไม่ออกอยู่กับผู้ชายคนนี้
ฉันนั่งมองอาหารตรงหน้า ความเงียบปกคลุมขึ้นอย่างน่ารำคาญ คุณอัศวินพออยู่กับฉันสองคนก็ดูเงียบไปทันที เขาหันไปดื่มน้ำอึกหนึ่ง แล้วค่อยๆหันมาชำเลืองฉัน จากนั้นก็หันหน้ามาเต็มๆ แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉัน จ้องฉัน
ฉันที่มีสมาธิจดจ่อกับเม็ดข้าวตรงหน้าก็เริ่มรู้สึกอึดอัดมากขึ้น แล้วค่อยๆหันไปสบตาเขา
“เอ่อ...” ฉันตั้งท่าจะพูด แต่อีตานี่ก็แทรกขึ้นมาก่อน
“จริงเหรอครับ ที่อยู่กับผู้ชายแล้วจะคุยน้อย ทำไมล่ะครับ" พูดเสร็จก็ยิ้มทะเล้นให้ทีหนึ่ง เขาต้องการอะไรกันแน่
ฉันทำทหน้าไม่ถูกเลยทีนี้ เขาคงรับรู้ได้ว่ายิ่งทำให้ฉันอึดอัด เลยหัวเราะเบาๆ
“เอาล่ะครับ ผมไม่แกล้งคุณแล้ว คุณพริมา เอาจริงๆนะ คุณจำผมไมไ่ด้เหรอ ผมยังจำคุณได้เลย หืม?” พูดเสร็จก็ละสายตาจากฉันไปมองแขนขวาฉันที่ยังมีรอยจำ้แดงแว่บหนึ่ง เหมือนไม่ใส่ใจ แต่ก็กลับมามองฉันรอคำตอบดังเดิม
ฉันสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ขณะที่จ้องเขากลับแบบไม่ลดละ แล้วค่อยๆยิ้มออกมา ค่อยๆ...ไม่แสยะ อย่าแสยะ เชียวนะ
“โอเคค่ะ...ฉันจำคุณได้...คุณ...” ฉันจ้องไปในแววตาเขา คุณคือใครดี คือคนที่ช่วยชีวิตฉัน แล้วฉันคุยไลน์ด้วย หรือคุณคือคนที่ฉันราดน้ำโกโก้บนหัวเเพื่อนคุณต่อหน้า "คุณคือคนที่เห็นฉันราดย้ำบนหัวผู้หญิงคนนั้นใช่ไหมคะ โอเคค่ะ ฉันขอโทษ วันนั้นฉันตกใจมากเลยวิ่งหนีไปก่อน แต่ฉันจำได้ว่าพูดขอโทษแล้วนะคะ"
คุณอัศวินยังจ้องหน้าฉันต่อไป อะไรนะ...เขาไม่พอใจกับคำตอบเหรอ...ไม่นะ...
แล้วเขาก็ยิ้มแบบพอใจ แววตาเจ้าเล่ห์ของเขาก็คลายลงเป็นใจดี "...ใช่แล้วครับ ผมจำคุณได้จากวันนั้นล่ะ คุณพูดขอโทษด้วยเหรอ ผมไม่เห็นได้ยินเลย เห็นแต่คุณวิ่งไป เพื่อนผมงี้แทบคลั่ง"
โอ๊ย ฉันโล่งอกเป็นบ้า แปลว่าเขาจำคนที่เขาช่วยเหลือคืนนัั้นไม่ได้ ฉันควรดีใจใช่ไหม เอ หรือควรเสียใจกัน
แต่อตนนี้ด้วยความโล่งอก ฉันเลยแกล้งกลับบ้าง " เพื่อนหรือแฟนคะ" แล้วส่งยิ้มเยาะให้
เขามีท่าทีอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด "เพื่อนสิครับ ผมยังไม่มีแฟน" พูดนิ่ง แต่ทำเอาฉันละลาย กรี๊ด ไม่มีแฟนจริงๆเหรอ
“เอาเถอะครับ ขอโทษก็แล้วกันไป...ผมไม่ได้ติดใจอะไร แค่สงสัยว่าคุณจำผมไม่ได้จริงๆเหรอ ตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว ทำไมต้องทำท่ามึนตึงใส่กันด้วย"
เขาหยอดคำถามไว้แล้วหันไปตักอาหารต่อ แขนของเขามีกล้ามนิดๆกำลังงาม ผิมสีเข้มคงจากกรำแดดฝึกทหาร แต่ก็ดูแข็งแรงดี
ฉันก็ตักอาหารของตัวเองเหมือนกัน "ฉันขอโทษจริงๆค่ะ ฉันแค่กลัวเฉยๆ ก็ฉันทำกับเพื่อนคุณแรงไปหน่อย แหะๆ แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจนี่คะ"
คุณอัศวินยื่นมือไปตักไก่ผัดเม็ดมะม่วงของโปรดฉัน ตอนแรกฉันนึกว่าเขาจะทานเอง แต่แล้วก็ตักใส่จานฉันเฉย ฉันมองด้วยความตะลึงนิดหนึ่ง ก่อนจะขอบคุณเขาเบาๆแบบไม่สบตา เขาทำแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนหรือเปล่า
“อ้อเหรอครับ เข้าใจละ ตอนนี้ก็หายกลัวได้แล้วนะครับ ผมไม่ได้จะว่าอะไรแรงสักหน่อยว่าแต่...” เขาหยดแล้วมองที่แขนขวาของฉันอีกแล้วทฉันเลยรีบ หุบแขนซ่อนไว้บนตัก ขอร้องอย่าสงสัยได้ไหม
“แขนคุณไปโดนอะไรมาเหรอครับ" นั่นไงล่ะ อีตานี่หูตาไวใ่ช่เล่น แต่ขิมดาราก็มาช่วยฉันไว้ได้ทัน หล่อนกลับมาจากห้องน้ำพอดี แล้วยิ้มสวยมองเราสองคน
“ไงคะ ยัยพริมยอมคุยกับคุณหรือยัง"
คุณอัศวินหันไปยิ้มหล่อให้หล่อน ต่างกับที่ยิ้มเจ้าเล่ห์แกล้งฉันโดยสิ้นเชิง "ครับ ยอมคุยแล้ว ว่าแต่คุณขิม...” แล้วก็ชวนคุยกันต่อไปยืดยาวอย่างถูกคอ ฉันรู้สึกได้เลยว่าเคมีของสองคนนี้เข้ากันได้ดีจริงๆ สวยหล่อ ดูดีทั้งคู่
ฉันก็คงอกหักเงียบๆแบบไม่มีใครรู้ ช่างมัยเถอะ คืนนี้ค่อยเลียแผลใจคนเดียวแล้วกัน
ไม่นานนักเราก็ทานอาหารกันเสร็จ คุณอัศวินจ่ายเงินเลี้ยงเราทั้งสองคน แล้วพากลับไปส่งโรงพยาบาล โดยมีขิมดารานั่งหน้าคู่กับเขา ฉันมันก็แค่เพื่อนนางเอก...
ขณะที่รถขับเคลื่อนมาเรื่อยๆ ก็มาติดสี่แยกไฟแดง จู่ๆคุณอัศวินก็หยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดๆอะไรสักอย่างเหมือนจะส่งข้อความ ส่วนขิมดาราก็นั่งมองออกไปทางหน้าต่าง และแล้ว..
ตึ๊งตึง! เสียงข้อความในมือถือฉันเด้งขึ้นมา ฉันเลยหยิบมือถือขึ้นมาดู ซวยล่ะะะะะ อีตาอัศวินมาส่งข้อความหาฉันอะไรตอนนี้้ ถ้าฉันเปิดอ่านก็จบกันสิ
ตึ๊งตึ่ง! โอ๊ยดังอีกแล้ว ฉันมองมือถือตัวเอง แล้วค่อยๆเหลือบมองไปที่นั่งคนขับ อีตาคนขับก็กำลังกดส่งข้อความแล้วหยุดจ้องอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็กดส่งอีก
ตึ๊งตึง! ตึ๊งตึง! โอ๊ย หยุดดดดด
“ใครส่งข้อความหาหล่อนล่ะยัยพริม ไม่รับสักทีี อย่าบอกนะว่าอีตานักรบมากวนเธออีกแล้ว" ขิมดาราส่งเสียงมาจากข้างหน้า ฉันมองคุณอัศวินผ่านกระจกหน้าคนขับ แล้วก็ได้เห็นว่าเขามองกลับมาเหมือนกัน
ฉันเลยรีบปิดเสียงมือถือ แล้วยัดมือถือเก็บในเสื้อกาวน์ตามเดิม "ใช่ รบส่งมาอีกแล้ว ไว้ค่อยตอบ เออพวกเราก็ไม่เจอรบมานานแล้วเนอะ อยู่จังหวัดเดียวกันแท้ๆ" ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องพูด ก่อนที่ตาอัศวินจะสงสัยมากกว่านี้ ก็เขาส่งแล้วเสียงมือถือฉันก็ดังพอดีกันเลย
ขิมดาราหัวเราะเบาๆ "แหม นึกคิดถึงแล้วเหรอ ก็รีบๆรับรักเขาสักทีสิ"
ฉันนั่งตัวแข็งด้วยความโกรธ ยัยขิมพูดงี้เดี๋ยวคุณอัศวินก็เข้าใจผิดหรอก ฉันยังโสดนะยะ
ตืด! เสียงมือถือระบบสั่นที่เสียดสีกับกระเป๋าเสื้อและกุญแจในนั้นก็ดังอีก ฉันสะดุ้ง แล้วรีบมองไปข้างหน้า เห็นคุณอัศวินกดมือถือเช่นกัน
ตืด! โอ๊ย มือถือบ้าไรเนี่ย ขนาดระบบสั่นยังดังเลย แล้วอีตาอัศวินก็หัวเราะ
“แหมคุณพริมครับ ถ้าไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร ผมคงนึกว่าผมส่งข้อความหาคุณนะครับเนี่ย เสียงดังพร้อมกันตลอด ฮ่าๆ" พูดเสร็จสัญญาณไฟก็ขึ้นเขียวทันที แล้วเขาก็ขับรถออกไป
เขาพูดอย่างนี้หมายความว่าไง หา เขาหมายความว่ายังไง!
แดดร้อนกลางเดือนเมษายน ซึ่งนับได้ว่าเป็นช่วงเวลาที่ร้อนที่สุดของปี สาดแสงส่องกระทบห้องกระจกของร้านอาหารชื่อดังที่สุดของจังหวัดนี้้ ภายในห้องอาหารเปิดแอร์เย็นเฉียบ อากาศเลยแตกต่างจากภายนอกโดยเส้นเชิง ข้างในตกแต่งโทนสีขาว น้ำเงินกรมท่า มีเพลงเบาๆเปิดคลอ ดูแล้วเจริญตาและเจริญอาหาร พวกเรามาถึงเวลาเกือบบ่ายโมงแล้ว ลูกค้าในร้ายจึงบางตาลง พอเราทั้งสามคนนั่งลงที่โต๊ะอาหาร พนักงานก็เดินมาเสิร์ฟเมนูทันที
ฉันรับเมนูมาแล้วก็รีบพลิกๆดู ไม่อยากจะสนทนาอะไรด้วยทั้งนั้น ข้างในนี้อากาศเย็นก็จริง แต่ฉันว่าในใจของฉันองศาร้อนระอุเท่ากับอากาศข้างนอกแน่นอน
“เคยมาร้านนี้กันไหมครับ" นายทหารหนุ่มพูดเสร็จก็วางเมนูลงแล้วมองเราทั้งสอง ฉันยังคงทำเป็นไม่สนใจ ไม่อยากจะเปิดช่องให้เขาพูดขึ้นมาว่าจำฉันได้ว่าเป็นใคร
ขิมดาราลดเมนูที่เลือกดูอยู่ลง แล้วหันไปตอบฉะฉานกับเขา "ก็มากับพริมบ่อยๆคะ ร้านโปรดของเรา เนอะพริม" พูดเสร็จก็หันมาพะยักพะเยิดกับฉัน โอ๊ย หยุดเลย ฉันจะไม่ร่วมวงสนทนาด้วย มันเป็นช่วงเวลาจีบกันของเธอสองคน ขอฉันอกหักอยู่ในมุมเงียบๆคนเดียวได้ไหม ฉันเลยเอาเมนูบังหน้าแล้วตั้งใจเลือกอาหารอย่างสุดความสามารถ
“โอ๊ย!” ฉันร้องขึ้นมาเบาๆ ยัยขิมดาราเตะฉันจากใต้โต๊ะ ยัยนี่! คุณอัศวินหันมาทางฉันทันที แล้วมองด้วยความสงสัย
"เป็นอะไรเหรอครับ" ฉันเลยวางเมนูลงแล้ว หันไปยิ้มแห้งๆกับเขา "ไม่มีอะไรค่ะ" พูดเสร็จก็หันไปสบตาขิมดารา ที่ทำท่าถมึงทึงประมาณว่าให้ฉันทำตัวมีมารยาท
คุณอัศวินยังคงจ้องฉันเหมือนหาคำตอบ ฉันเลยต้องจำใจหันไปสนทนากับเขา ในใจฉันเขินอายมากจนเกินอธิบาย แต่ฉันก็พยายามแสร้งว่าผ่อนคลาย และทำบ้องแบ๊ว ลืมว่าเราเคยเจอกันสองครั้ง
คุณอัศวินจ้องหน้าฉันเหมือนสำรวจอะไรสักอย่าง แล้วเขาก็อ้าปากจะพูด "ผมว่าเรา...”
“สั่งอาหารเลยไหมคะ หิวมากแล้ว มายัยขิม หล่อนชอบกินทอดมันกุ้งใช่ไหม แล้วก็แกงส้มชะอมกุ้งนะ น้องๆคะ รับออเดอร์ด้วยคะ เอ่อ พี่ขอสั่ง ทอดมันกุ้ง แกงส้มชะอมกุ้ง แล้วก็ขอไก่ผัดเม็ดมะม่วงหิมพานต์ ยำถั่วพลูด้วยค่ะ แล้ว...” ฉันหยุดสั่งอาหาร แล้วหันไปยิ้มแบบมีมารยาทกับนายทหารหนุ่ม
“คุณอัศวิน สั่งอะไรดีคะ"
เขาเลิกคิ้ว แล้วยิ้มกว้าง แววตาจ้องฉันราวกับทะลวงจะเค้นอะไรออกมาให้ได้ "น่าจะพอแล้ว ผมไม่สั่งอะไรล่ะครับ" ได้ยินอย่างนั้นฉันเลยหน้าเจือน แล้วหลุบตามองต่ำแก้เขิน ก็ฉันชิงพูดไว้ก่อน กลัวเขาจะพูดเรื่องที่เคยเจอกันน่ะสิ
“แหม ยัยพริม สั่งไม่ถามคุณวินเลยนะ แล้ววันนี้ไม่มีบินเหรอคะ ต้องฝึกบินทุกวันหรือเปล่าคะ" ขิมดาราเอื้อนเอ่ยเสียงใสน่าฟัง
คุณอัศวินนั่งเอนตัวเอามือมาเท้าทีโต๊ะ แล้วสอดประสานกัน "วันนี้ได้พักช่วงบ่ายครับ เพิ่งฝึกหนักไปเมื่อสองสามวันก่อน แล้วช่วงบ่ายคุณหมอมีงานอะไรหรือเปล่า ผมกลัวพากลับไปทำงานสายเดี๋ยวจะแย่"
ขิมดารายิ้มน้อยๆพอน่ารัก แล้วคนสองคนก็หันหน้าคยกัน "ช่วงบ่ายขิมว่างคะวันนี้ มีแค่ไปตรวจดูตามหอผู้ป่วยเฉยๆ อ้อ เพื่อนคุณน่ะค่ะ ถ้าไม่มีอาเจียนปวดท้อง อีกไม่กี่วันก็คงได้ทานอาหารแล้ว"
“เหรอครับ เออแล้วอาการที่มันมาเจอคุณหมอเมื่อคืน แย่มากไหมครับ"
แล้วสองคนนั้นก็สนทนาเรื่องอาการป่วยของเพื่อนคุณอัศวินกันไป ฉันก็ได้แต่นั่งฟัง โดยไม่มีส่วนร่วมเท่าไร ดี คุยกันไปเลย อย่าแวะมาเกี่ยวข้องเรื่องของฉันแล้วกัน ฉันเลยหยิบมือถือของตัวเองขึ้นมาเปิดนู่นนี่ดู
ฉันเปิดดูข้อความในไลน์ แล้วก็ได้พบว่าคุณอัศวินส่งข้อความเข้ามาตอนสายๆ ตายล่ะ ฉันเปิดอ่านดูเลยดีกว่า แต่ไม่ควรตอบเขากลับตอนนี้
'บอกผมได้ยังครับ ได้เบอร์ผมมายังไง' ฉันอ่านด้วยความตะลึง ก็พอดีกับที่คุณอัศวินหันมาคุยกับฉัน
“...ได้ไหมครับคุณหมอ" เขามองฉัน ยิ้มๆ แล้วก็ก้มดูมือถือฉัน ฉันตกใจเลยรีบยัดมือถือใส่ในกระเป๋าเสื้อกาวน์ แล้วทำทีปกติ เขาจะเห็นไหมเนี่ย
“....พูดว่าอะไรนะคะ" ฉันคงมีท่าทีหลุกหลิก เหมือนปิดบังอะไรบางอย่าง เขาเลยยิ่งใช้แววตาจ้องฉันหนักเข้าไปอีก...
แล้วเขาก็ยิ้มทะเล้น "คุณขิมบอกผมว่า ไม่ให้เรียกว่าหมอ ให้เรียกว่า ขิม เฉยๆ แล้วคุณล่ะครับจะให้ผมเรียกว่าอะไรดี"
โอ๊ย...น้ำเสียงนุ่มๆ ท่าทีนิ่งๆ และร้อยยิ้มกวนๆ อย่ามาทำให้ฉันละลายตอนนี้ได้ไหม ฉันมองเขาแบบครุ่นคิด แล้วก็หันไปสบตากับขิมดารา แต่เจ้าหล่อนไม่ได้สนใจ กลับยกแก้วน้ำดื่มอยู่
ฉันเลยกลับมาคุยกับเขา แล้วฉันก็พูดออกจะตะกุกตะกัก "...ก็เรียกพริม พริม ก็ได้ค่ะ"
เขาหัวเราะเบาๆ แล้วส่งยิ้มกว้างให้ฉัน "คุณพริมดูเกร็งๆนะครับ กลัวอะไรผมหรือเปล่า เรียกผมว่า อัศ เฉยๆได้เลยนะครับผม" แล้วก็ยังคงส่งสายตาทะเล้นมาแกล้งฉันต่อไป โอ๊ย ฉันแพ้ผู้ชายพูดคำว่า ครับผม เข้าใจไหม
ฉันเลยรีบทำท่าทีให้เป็นปรกติ ฉันดูเกร็งอย่างนั้นเหรอ ตานี่ฉลาดไม่เบา ดูคนออก ไม่ได้ๆ ฉันจะให้เขารู้ว่าฉันเกร็งเพราะปลื้มเขาจนจะแย่แล้วไม่ได้ ฉันสูดหายใจเข้าช้าๆ แล้วค่อยๆปล่อยยิ้มกว้างๆออกมา พร้อมกับท่าทีสบายๆ
“ที่เกร็งเนี่ยเพราะปวดฉี่คะ พริมขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะคะ" ฉันเลิกคิ้วให้เขาทีหนึ่ง จะเล่นฉันให้ได้ใช่ไหม ฉันเลยลุกขึ้น แล้วเดินออกไปเข้าห้องน้ำ ฉันรู้หรอกน่าว่าขิมดาราตาโต ทำท่าประหลาดใจกับกิริยาของฉัน ก็ทำไมล่ะ นายอัศวินนี่ร้ายใช่เล่น เขาต้องจำฉันได้แน่ เขาจะแกล้งฉันให้ได้เลยใช่ไหม
ฉันไปเข้าห้องน้ำไม่นานนักเพื่อปรับปรุงอารมณ์และคิดอยู่ว่าจะวางท่าทีให้ดูไม่กลัวเขาจนเกินไปอย่างไร เมื่อสร้างอารมณ์มั่นใจให้ตัวเองได้แล้วฉันก็ออกมา และพบว่าอาาหารเสิร์ฟเต็มโต๊ะพร้อมทานแล้ว จริงๆฉันหิวเหลือเกิน
ทั้งสองคนยังไม่ทานอะไร คงรอฉันพร้อมหน้า ฉันหย่อนตัวนั่งลง แล้วยิ้มหวานให้หนุ่มสาวทั้งสองที่ดูจะคุยกันถูกคอทีเดียว แล้วเริ่มตักอาหาร
“คุณขิม เคยเรียนที่เดียวกับน้องสาวผมเลยนะครับเนี่ย แหมโลกกลมจริง ผมว่าน้องผมน่าจะรู้จักขิม ถ้าขิมเป็นถึงดรัมเมเยอร์โรงเรียน" นายอัศวินคุยเจื้อยแจ้ว ผิดกับท่าทีขรึมๆของเขาโดยสิ้นเชิง
“แหม ขิมก็ห่างกับน้องคุณหลายปีอยู่นะคะ รุ่นแก่กว่ามากแล้ว"
ฉันก็ฟังไปเรื่อยๆ กินข้าวในจานของตัวเองให้อื่มดีกว่า สองคนนั้นก็ดูเข้ากันได้ดี มีคุยมาทางฉันบ้างพอเป็นมารยาท ฉันรู้หรอกน่า
“คุณพริมดูเงียบนะครับ อาหารถูกเปล่าหรือเปล่า" พ่อคุณอุตส่าห์ห่วงใยฉัน
ฉันที่อาหารอยู่เต็มปาก ก็ได้แต่ส่ายหน้าน้อยๆ แต่ยัยขิมส่งสายตาพิฆาตมาให้
“พริมก็เป็นแบบนี้ล่ะค่ะ กับคนไม่สนิท ยิ่งถ้าผู้ชายด้วยแล้วล่ะก็ จะคุยน้อยผิดปกติค่ะ จริงไหมหล่อน" แล้วก็ยักคิ้วท้าทายฉันขณะตักอาหารใส่จานตัวเอง
ฉันรีบกลืนอาหารแล้วส่งสายตาดุไปให้หล่อน ขิมดาราพูดมากไปแล้วนะ ฉันกำลังจะอ้าปากพูดตอบโต้ แต่ขิมดาราก็ลุกขึ้นเฉย คุณอัศวินยิ่งจ้องหน้าฉันเข้าไปอีก
“ฉันไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ พริมคุยกับคุณอัศไปก่อนละกัน" หล่อนยิ้มหวานให้เขาทีหนึ่งแล้วเดินมาดมั่นจากไป ปล่อยให้ฉันนั่งกลืนไม่เข้า คายไม่ออกอยู่กับผู้ชายคนนี้
ฉันนั่งมองอาหารตรงหน้า ความเงียบปกคลุมขึ้นอย่างน่ารำคาญ คุณอัศวินพออยู่กับฉันสองคนก็ดูเงียบไปทันที เขาหันไปดื่มน้ำอึกหนึ่ง แล้วค่อยๆหันมาชำเลืองฉัน จากนั้นก็หันหน้ามาเต็มๆ แล้วยื่นหน้าเข้ามาใกล้ฉัน จ้องฉัน
ฉันที่มีสมาธิจดจ่อกับเม็ดข้าวตรงหน้าก็เริ่มรู้สึกอึดอัดมากขึ้น แล้วค่อยๆหันไปสบตาเขา
“เอ่อ...” ฉันตั้งท่าจะพูด แต่อีตานี่ก็แทรกขึ้นมาก่อน
“จริงเหรอครับ ที่อยู่กับผู้ชายแล้วจะคุยน้อย ทำไมล่ะครับ" พูดเสร็จก็ยิ้มทะเล้นให้ทีหนึ่ง เขาต้องการอะไรกันแน่
ฉันทำทหน้าไม่ถูกเลยทีนี้ เขาคงรับรู้ได้ว่ายิ่งทำให้ฉันอึดอัด เลยหัวเราะเบาๆ
“เอาล่ะครับ ผมไม่แกล้งคุณแล้ว คุณพริมา เอาจริงๆนะ คุณจำผมไมไ่ด้เหรอ ผมยังจำคุณได้เลย หืม?” พูดเสร็จก็ละสายตาจากฉันไปมองแขนขวาฉันที่ยังมีรอยจำ้แดงแว่บหนึ่ง เหมือนไม่ใส่ใจ แต่ก็กลับมามองฉันรอคำตอบดังเดิม
ฉันสูดหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ขณะที่จ้องเขากลับแบบไม่ลดละ แล้วค่อยๆยิ้มออกมา ค่อยๆ...ไม่แสยะ อย่าแสยะ เชียวนะ
“โอเคค่ะ...ฉันจำคุณได้...คุณ...” ฉันจ้องไปในแววตาเขา คุณคือใครดี คือคนที่ช่วยชีวิตฉัน แล้วฉันคุยไลน์ด้วย หรือคุณคือคนที่ฉันราดน้ำโกโก้บนหัวเเพื่อนคุณต่อหน้า "คุณคือคนที่เห็นฉันราดย้ำบนหัวผู้หญิงคนนั้นใช่ไหมคะ โอเคค่ะ ฉันขอโทษ วันนั้นฉันตกใจมากเลยวิ่งหนีไปก่อน แต่ฉันจำได้ว่าพูดขอโทษแล้วนะคะ"
คุณอัศวินยังจ้องหน้าฉันต่อไป อะไรนะ...เขาไม่พอใจกับคำตอบเหรอ...ไม่นะ...
แล้วเขาก็ยิ้มแบบพอใจ แววตาเจ้าเล่ห์ของเขาก็คลายลงเป็นใจดี "...ใช่แล้วครับ ผมจำคุณได้จากวันนั้นล่ะ คุณพูดขอโทษด้วยเหรอ ผมไม่เห็นได้ยินเลย เห็นแต่คุณวิ่งไป เพื่อนผมงี้แทบคลั่ง"
โอ๊ย ฉันโล่งอกเป็นบ้า แปลว่าเขาจำคนที่เขาช่วยเหลือคืนนัั้นไม่ได้ ฉันควรดีใจใช่ไหม เอ หรือควรเสียใจกัน
แต่อตนนี้ด้วยความโล่งอก ฉันเลยแกล้งกลับบ้าง " เพื่อนหรือแฟนคะ" แล้วส่งยิ้มเยาะให้
เขามีท่าทีอึดอัดอย่างเห็นได้ชัด "เพื่อนสิครับ ผมยังไม่มีแฟน" พูดนิ่ง แต่ทำเอาฉันละลาย กรี๊ด ไม่มีแฟนจริงๆเหรอ
“เอาเถอะครับ ขอโทษก็แล้วกันไป...ผมไม่ได้ติดใจอะไร แค่สงสัยว่าคุณจำผมไม่ได้จริงๆเหรอ ตั้งแต่ตอนเช้าแล้ว ทำไมต้องทำท่ามึนตึงใส่กันด้วย"
เขาหยอดคำถามไว้แล้วหันไปตักอาหารต่อ แขนของเขามีกล้ามนิดๆกำลังงาม ผิมสีเข้มคงจากกรำแดดฝึกทหาร แต่ก็ดูแข็งแรงดี
ฉันก็ตักอาหารของตัวเองเหมือนกัน "ฉันขอโทษจริงๆค่ะ ฉันแค่กลัวเฉยๆ ก็ฉันทำกับเพื่อนคุณแรงไปหน่อย แหะๆ แต่ฉันไม่ได้ตั้งใจนี่คะ"
คุณอัศวินยื่นมือไปตักไก่ผัดเม็ดมะม่วงของโปรดฉัน ตอนแรกฉันนึกว่าเขาจะทานเอง แต่แล้วก็ตักใส่จานฉันเฉย ฉันมองด้วยความตะลึงนิดหนึ่ง ก่อนจะขอบคุณเขาเบาๆแบบไม่สบตา เขาทำแบบนี้กับผู้หญิงทุกคนหรือเปล่า
“อ้อเหรอครับ เข้าใจละ ตอนนี้ก็หายกลัวได้แล้วนะครับ ผมไม่ได้จะว่าอะไรแรงสักหน่อยว่าแต่...” เขาหยดแล้วมองที่แขนขวาของฉันอีกแล้วทฉันเลยรีบ หุบแขนซ่อนไว้บนตัก ขอร้องอย่าสงสัยได้ไหม
“แขนคุณไปโดนอะไรมาเหรอครับ" นั่นไงล่ะ อีตานี่หูตาไวใ่ช่เล่น แต่ขิมดาราก็มาช่วยฉันไว้ได้ทัน หล่อนกลับมาจากห้องน้ำพอดี แล้วยิ้มสวยมองเราสองคน
“ไงคะ ยัยพริมยอมคุยกับคุณหรือยัง"
คุณอัศวินหันไปยิ้มหล่อให้หล่อน ต่างกับที่ยิ้มเจ้าเล่ห์แกล้งฉันโดยสิ้นเชิง "ครับ ยอมคุยแล้ว ว่าแต่คุณขิม...” แล้วก็ชวนคุยกันต่อไปยืดยาวอย่างถูกคอ ฉันรู้สึกได้เลยว่าเคมีของสองคนนี้เข้ากันได้ดีจริงๆ สวยหล่อ ดูดีทั้งคู่
ฉันก็คงอกหักเงียบๆแบบไม่มีใครรู้ ช่างมัยเถอะ คืนนี้ค่อยเลียแผลใจคนเดียวแล้วกัน
ไม่นานนักเราก็ทานอาหารกันเสร็จ คุณอัศวินจ่ายเงินเลี้ยงเราทั้งสองคน แล้วพากลับไปส่งโรงพยาบาล โดยมีขิมดารานั่งหน้าคู่กับเขา ฉันมันก็แค่เพื่อนนางเอก...
ขณะที่รถขับเคลื่อนมาเรื่อยๆ ก็มาติดสี่แยกไฟแดง จู่ๆคุณอัศวินก็หยิบมือถือขึ้นมาแล้วกดๆอะไรสักอย่างเหมือนจะส่งข้อความ ส่วนขิมดาราก็นั่งมองออกไปทางหน้าต่าง และแล้ว..
ตึ๊งตึง! เสียงข้อความในมือถือฉันเด้งขึ้นมา ฉันเลยหยิบมือถือขึ้นมาดู ซวยล่ะะะะะ อีตาอัศวินมาส่งข้อความหาฉันอะไรตอนนี้้ ถ้าฉันเปิดอ่านก็จบกันสิ
ตึ๊งตึ่ง! โอ๊ยดังอีกแล้ว ฉันมองมือถือตัวเอง แล้วค่อยๆเหลือบมองไปที่นั่งคนขับ อีตาคนขับก็กำลังกดส่งข้อความแล้วหยุดจ้องอยู่อย่างนั้น จากนั้นก็กดส่งอีก
ตึ๊งตึง! ตึ๊งตึง! โอ๊ย หยุดดดดด
“ใครส่งข้อความหาหล่อนล่ะยัยพริม ไม่รับสักทีี อย่าบอกนะว่าอีตานักรบมากวนเธออีกแล้ว" ขิมดาราส่งเสียงมาจากข้างหน้า ฉันมองคุณอัศวินผ่านกระจกหน้าคนขับ แล้วก็ได้เห็นว่าเขามองกลับมาเหมือนกัน
ฉันเลยรีบปิดเสียงมือถือ แล้วยัดมือถือเก็บในเสื้อกาวน์ตามเดิม "ใช่ รบส่งมาอีกแล้ว ไว้ค่อยตอบ เออพวกเราก็ไม่เจอรบมานานแล้วเนอะ อยู่จังหวัดเดียวกันแท้ๆ" ฉันรีบเปลี่ยนเรื่องพูด ก่อนที่ตาอัศวินจะสงสัยมากกว่านี้ ก็เขาส่งแล้วเสียงมือถือฉันก็ดังพอดีกันเลย
ขิมดาราหัวเราะเบาๆ "แหม นึกคิดถึงแล้วเหรอ ก็รีบๆรับรักเขาสักทีสิ"
ฉันนั่งตัวแข็งด้วยความโกรธ ยัยขิมพูดงี้เดี๋ยวคุณอัศวินก็เข้าใจผิดหรอก ฉันยังโสดนะยะ
ตืด! เสียงมือถือระบบสั่นที่เสียดสีกับกระเป๋าเสื้อและกุญแจในนั้นก็ดังอีก ฉันสะดุ้ง แล้วรีบมองไปข้างหน้า เห็นคุณอัศวินกดมือถือเช่นกัน
ตืด! โอ๊ย มือถือบ้าไรเนี่ย ขนาดระบบสั่นยังดังเลย แล้วอีตาอัศวินก็หัวเราะ
“แหมคุณพริมครับ ถ้าไม่รู้ว่าคุณเป็นใคร ผมคงนึกว่าผมส่งข้อความหาคุณนะครับเนี่ย เสียงดังพร้อมกันตลอด ฮ่าๆ" พูดเสร็จสัญญาณไฟก็ขึ้นเขียวทันที แล้วเขาก็ขับรถออกไป
เขาพูดอย่างนี้หมายความว่าไง หา เขาหมายความว่ายังไง!
ภาพพิมพ์
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 21 เม.ย. 2558, 00:15:26 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 21 เม.ย. 2558, 00:15:26 น.
จำนวนการเข้าชม : 1277
<< ตอนที่3: รอได้ | ตอนที่ 5 : หมูกระทะใช่ไหม >> |
เดิมเดิม 21 เม.ย. 2558, 07:39:10 น.
คุณอัศเริ่มสงสัยแล้ว
คุณอัศเริ่มสงสัยแล้ว
ปรางขวัญ 21 เม.ย. 2558, 09:51:43 น.
555 ยายพริมกำลังโดนคุณอัศแกล้งรึเปล่าเนี่ย
555 ยายพริมกำลังโดนคุณอัศแกล้งรึเปล่าเนี่ย
ภาพพิมพ์ 21 เม.ย. 2558, 11:04:17 น.
ฮ่าๆ ติดตามกันต่อไปคะ ดีใจที่มีคนมาคอมเม้นเพิ่ม...ออิ
ฮ่าๆ ติดตามกันต่อไปคะ ดีใจที่มีคนมาคอมเม้นเพิ่ม...ออิ
LOLIN 21 เม.ย. 2558, 12:53:25 น.
อร้าย ฉันว่าพระเอกจำนางเอกได้มาตั้งแต่ต้นแระ แต่ทำเป็นแกล้งนางเอก น่าราก
อร้าย ฉันว่าพระเอกจำนางเอกได้มาตั้งแต่ต้นแระ แต่ทำเป็นแกล้งนางเอก น่าราก