รัก-ที่เกิดขึ้นหลังแต่ง
เธอ คือ สาวน้อยผู้น่ารัก สดใส มีจิตใจที่อ่อนโยน แต่แอบดื้ออยู่ลึกๆ ต้องกลายมาเป็นอีกคนที่ไม่ใช่ตัวเองหลังจากที่แต่งงาน เพื่อแสดงให้เขาเห็นว่าเธอเข้มแข็ง ไม่ได้อ่อนแอ แต่ใครจะไปรู้ว่าลึกๆแล้วเธอไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่เธอพยายามแสดงมันออกมา ให้ทุกคนเห็น โดยเฉพาะเขา คนที่ขึ้นชื่อว่าเป็นสามี
ส่วนเขา คือ ชายหนุ่มผู้หล่อเหลา เย็นชา พูดน้อย และใจร้ายที่สุด เท่าที่เธอเคยรู้จักมา
ทั้งคู่ต่างใช้ชีวิต เหมือนตอนยังอยู่ตัวคนเดียว แม้บางคนจะพยายามพูดคุยด้วย ถามโน้นนี้นั้น ตามประสาคนสดใส แต่เหมือนอีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือด้วยเลย ทำให้เธอหมดความพยายามในที่สุด เธอจึงกลายเป็นคนที่เงียบ ไม่พูดไม่จา ไม่ร่าเริงสดใส เหมือนแต่ก่อน ทำให้เขาเริ่มแปลกใจตัวเอง ทำไมถึงต้องรู้สึกยังงี้ด้วย เมื่อเธอกลายเป็นอีกคน ที่เขาไม่คุ้นเคย
ส่วนเขา คือ ชายหนุ่มผู้หล่อเหลา เย็นชา พูดน้อย และใจร้ายที่สุด เท่าที่เธอเคยรู้จักมา
ทั้งคู่ต่างใช้ชีวิต เหมือนตอนยังอยู่ตัวคนเดียว แม้บางคนจะพยายามพูดคุยด้วย ถามโน้นนี้นั้น ตามประสาคนสดใส แต่เหมือนอีกฝ่ายไม่ให้ความร่วมมือด้วยเลย ทำให้เธอหมดความพยายามในที่สุด เธอจึงกลายเป็นคนที่เงียบ ไม่พูดไม่จา ไม่ร่าเริงสดใส เหมือนแต่ก่อน ทำให้เขาเริ่มแปลกใจตัวเอง ทำไมถึงต้องรู้สึกยังงี้ด้วย เมื่อเธอกลายเป็นอีกคน ที่เขาไม่คุ้นเคย
Tags: แนวแต่งก่อนจีบ ความรัก เศร้า อัรฮาม VS อัฟชีณ
ตอน: สู่ขอ
ณ บ้านอิฮ.ติฮ.ชาม
ช่วงเช้าของวันนี้ คุณอาอิชต้อนรับแขกที่มาที่บ้านด้วยรอยยิ้ม พร้อมกับทักทายคนในครอบครัวปริญากรโสภณ
“อัสลามลามมูอาลัยกุมค่ะ คุณมาเรียม คุณเดวิด และนี้คงเป็น................” คุณอาอิชยังพูดไม่ทันจบ คุณผู้หญิงของบ้านปริญากรโสถณก็พูดขัดขึ้นมาก่อน
“วาอาลัยกุมมุสลามจ้ะ ใช่จ้ะ นี่เจ้าอัรฮาม ลูกชายฉันเอง ทักทายคุณน้าเขาสิลูก” พูดทักทายกับคุณอาอิชเสร็จก็หันพูดกับลูกชาย
“อัสลามลามมูอาลัยกุมครับคุณน้า” ยิ้มทักทายกับว่าที่แม่สะใภ้เสร็จ ก็ทำหน้าราบเรียบไร้อารมณ์ตามแบบฉบับเดิม จนคนคนเป็นแม่ต้องหันไปหยิก
“วาอาลัยกุมมุสลามจ้ะลูก งั้นเชิญทุกคนเข้าไปข้างในก่อนดีกว่าค่ะ” พูดจบ เจ้าของบ้านก็พาแขกเข้าไปนั่งรอในห้องรับแขก
“งั้นเดี่ยวดิฉันขอตัวไปเตรียมอาหารว่างมาให้ก่อนน่ะค่ะ”
“เดี่ยวสิ ฉันไปด้วย” คุณมาเรียมตามเจ้าของบ้านเข้าไปในห้องครัว
“นี่.....แล้วหนูอัฟชีณอยู่ไหนล่ะ ฉันยังไม่เห็นเลยน่ะ” คุณนายมาเรียมถามหาว่าที่ลูกสะใภ้ใหญ่เลย
“ก็คงจะอยู่หลังบ้าน ไม่ก็บนห้อง เดี่ยวฉันไปตามมาให้” พูดจบคุณมาเรียมอาสายกอาหารว่างออกไปข้างนอก แล้วให้คุณอาอิชไปตามลูกสาว เพราะเธอก็ใจร้อน อยากจะสู่ขอให้เป็นเรื่องเป็นราวไปเลย
อัฟชีณ นั่งอ่านหนังสืออยู่ในห้องนอน พร้อมๆกับรอลุ้นผลสอบของตัวเอง ที่ได้เลือกคณะแพทย์ศาสตร์ของมหาวิทยาลัยชื่อดังแห่งหนึ่งของประเทศตามความฝันของตัวเอง และเมื่อผลสอบออกมา เธอถึงกับดีใจวิ่งลงข้างล่างเพื่อไปบอกข่าวดีแกมารดา แต่เธอยังไปไม่ถึงไหนก็ต้องหยุดชะงัก เพราะเธอได้ยินเสียงสนทนาดังมาจากห้องรับแขก เธอก็เลยเลือกที่จะขึ้นไปบนห้องนอนตัวเองอีกครั้งเพื่อแต่งตัวให้เรียบกว่าเดิม เพราะเธอไม่รู้ว่าแขกที่อยู่ในห้องรับแขกมีผู้ชายอยู่ด้วยหรือเปล่า เธอก็เลยเลือกที่จะปิดหน้าลงข้างล่าง แต่งตัวเสร็จก็สำรวจความเรียบร้อยในกระจก เมื่อคิดว่าเรียบร้อยดีแล้วจึงลงไปหามารดาข้างล่าง
“อ้าว....พี่อัฟชีณ คุณแม่ให้ผมขึ้นมาตามพี่พอดีเลย” เพราะตามหาตัวลูกสาวไม่เจอ คิดว่าลูกสาวคงจะอยู่บนห้อง และกลัวจะเสียมารยาทที่ต้องให้แขกรอนาน ก็เลยวานให้ลูกชายขึ้นไปตามแทน
“แล้วตอนนี้แม่อยู่ไหน” อัฟชีณเอ่ยถามน้องชายวัย 15 ปี
“อ๋อ.......ตอนนี้แม่นั่งรอพี่อยู่ในห้องรับแขก”
“ขอบใจจ้ะ” พูดจบก็เดินไปที่ห้องรับแขก ด้วยความตื่นเต้นกับผลสอบของตัวเอง
“แม่จ๋า............หนูสอบติดคณะแพทย์ศาสตร์ ตามที่หนูฝันได้แล้วน่ะค่ะ” เสียงนำมาก่อนตัว ด้วยความตื่นเต้นจนเกินไปของเธอ ทำให้เธอลืมไปว่ามีแขกอยู่ด้วย ทำให้แขกทุกคนหันมามองเธอด้วยความตกใจ ไม่เว้นแม้กระทั่งชายหนุ่ม
“เออ......ขอโทษค่ะ” เอ่ยขอโทษด้วยความรู้สึกผิดที่เสียมารยาทไปอย่างนั้น แต่ลึกๆแล้ว เธออายมากกว่า ที่แสดงความเปิ่นของตัวเองออกไปต่อหน้าแขกของมารดา
“ไม่เป็นไรจ้ะหนู ป้าดีใจกับหนูด้วยน่ะ” คุณนายมาเรียมเป็นคนเอ่ย
“ขอบคุณค่ะคุณป้า”
“เข้ามานั่งนี่มาลูก” คุณแม่ของเธอเป็นคนเรียกให้เธอเข้ามานั่งข้างๆ เธอจึงเข้าไปนั่งพับเพียบข้างๆมารดา โดยที่ไม่ได้เหลือบสายตาไปมองใครในห้องเลย จึงไม่ได้เห็นสายตาของชายหนุ่มที่คอยเฝ้าสังเกตเธอ ตั้งแต่เธอเข้ามาในห้องนี้แล้ว ชายหนุ่มได้แต่คิดกับตัวเอง ‘ทำไมเธอคนนี้ถึงเหมือนกับสาวน้อยชุดดำคนนั้นน่ะ เหมือนมากๆ’
“ตาอัร นี่หนูอัฟชีณ ที่แม่เล่าให้ลูกฟังไง จำได้มั๊ย” คุณมาเรียมเป็นคนเริ่มต้นบทสนทนา เพราะเธอมั่นใจว่าเพื่อนรักของเธอยังไม่ได้บอกเรื่องนี้กับลูกสาวของเธออย่างแน่นอน
“จำได้ครับแม่” เขาจ้องเธอนิ่ง โดยที่ไม่มีใครรู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่
ทางด้านอัฟชีณถึงกับนั่งไม่ติดที่ เมื่อรู้สึกได้ว่ามีคนกำลังมองตัวเองอยู่ จึงทำใจกล้าเงยหน้าขึ้นมามอง แต่แล้วก็ต้องก้มลงไปตามเดิม เมื่อสายตาไปสบเข้ากับสายตามีเสน่ห์ คมกริบแต่เย็นชา ของชายหนุ่มเข้า
“เอาล่ะงั้นเรามาเข้าเรื่องของเราดีกว่า” คุณมาเรียมเป็นคนเริ่มบทสนทนาอีกครั้ง
“ที่ฉันมาวันนี้ ฉันมาสู่ขอลูกสาวของเธอ ให้กับลูกชายของฉัน เธอจะว่าอย่างไรอาอิช” ทุกคนต่างหันไปมองสาวน้อยผู้เดียว
ในนี้ ไม่เว้นแม้กระทั่งชายหนุ่ม จนเธอต้องเงยหน้าขึ้นมามองหน้ามารดาด้วยความตกใจ เพราะไม่ทันได้ตั้งตัว จึงเอ่ยค้านทุกคนขึ้นมา
“ไม่น่ะแม่ หนูยังไม่อยากแต่งงาน” เธอยังคงตกใจกับคำพูดของคุณมาเรียม กว่าจะหาเสียงของตัวเองเจอและพูดปฏิเสธออกไป
“ใจเย็นๆน่ะหนูอัฟชีณ ” ว่าที่แม่สะใภ้เอ่ยปลอบเธอ
“แม่ไม่รักหนูแล้วใช่มั๊ย ถึงได้อยากให้หนูแต่งงานโดยที่ไม่บอกหนูสักคำ นี้สิน่ะแขกคนสำคัญที่แม่บอกหนู” เธอไม่รอให้ทางฝ่ายนั้นพูดจบ เธอก็พูดขัดขึ้น พลันน้ำตาก็ไหลลงมาด้วยความน้อยใจ โดยที่ตัวเองไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าน้ำตาไหลลงมาด้วยขณะที่พูด พูดจบเธอก็ขอตัว และทุกๆอิริยาบถของเธอตกอยู่ในสายตาของชายหนุ่มตลอดเวลา ชายหนุ่มได้แต่คิดดับตัวเอง ‘นี่เหรอผู้หญิงที่แม่หาให้ เหอะ เด็กไม่รู้จักโต เอะอะก็ร้องไห้’
“ฉันขอโทษแทนยัยอัฟด้วยที่เสียมารยาท เด็กคนนี้นี้ไม่รู้จักโตสักที น้าขอโทษแทนน้องด้วยน่ะอัรฮาม” มารดาของอัฟชีณเอ่ยขอโทษกับเพื่อนรัก ก่อนหันไปขอโทษกับว่าที่ลูกเขย
“ไม่เป็นไรครับคุณน้า” อัรฮามเอ่ยไปตามมารยาท ทั้งๆที่อยากจะพูดตามที่ใจคิดก็ตาม
“เธอรีบไปดูลูกสาวเธอก่อนไป ป่านนี้จะเป็นยังไงบ้างก็ไม่รู้” คุณมาเรียมเอ่ยกับเพื่อนรัก เจ้าของบ้านจึงขอตัวไปดูลูกสาว หลังจากนั้นในห้องรับแขกเหลือเพียงครอบครัวปริญากรโสภณ
“นี่แม่ยังอยากให้ผมแต่งงานกับยัยนั้นอยู่อีกมั๊ย” ได้ที ลูกชายจึงเอ่ยประชดมารดาออกไป
“แน่นอนสิตาอัร ฉันเชื่อว่าอาอิชสามารถที่จะกล่อมหนูอัฟชีณได้” มารดาของชายหนุ่มยังคงพูดด้วยความมั่นใจ
“ผมว่า เราไม่ควรบังคับลูกน่ะคุณ อีกอย่างหนูอัฟชีณยังเด็กมาก อายุก็ห่างจากนายอัรอยู่มาก ” หลังจากที่เงียบไปนาน ปล่อยให้ภรรยาพูดอยู่ฝ่ายเดียว จึงเอ่ยพูดเป็นคำแรก
“ใช่ครับพ่อ” ชายหนุ่มเห็นด้วยกับคุณพ่อ และดีใจที่อย่างน้อยก็มีคนเห็นใจ
“ฉันไม่ได้บังคับลูก ฉันก็แค่อยากเลือกคนที่ดีที่สุดให้ลูก อีกย่างหนูอัฟชีณก็เป็นเด็กดี ส่วนเรื่องอายุไม่ใช่ปัญหา ฉันเชื่อว่าสองคนนี้จะเข้ากันได้ดี”
“อะไรทำให้คุณมั่นใจขนาดนั้น” ผู้เป็นสามีเอ่ยถาม
“ก็อีกคนเขาก็เงียบ ไม่ค่อยพูดค่อยจา ค่อนไปทางเย็นชา ส่วนอีกคนก็น่ารักสดใส ช่างพูดเจื้อยแจ้ว” ทุกคนยังคงทำหน้างงกันใหญ่ ไม่เห็นจะเหมือนกันตรงไหนเลย คุณมาเรียมเลยต้องพูดให้กระจ่าง
“ก็ไม่เคยได้ยินกันหรือไง ความแตกต่างที่ลงตัวกันนะ” พูดไปยิ้มไป คนเป็นสามีไม่รู้จะช่วยเจ้าลูกชายยังไงจึงเปลี่ยนเรื่อง เพื่อคลายความตึงเครียดระหว่างสองแม่ลูกออกไป ส่วนคนเป็นลูกชายไม่ต้องพูดถึง ทำหน้าเซ็งยิ่งกว่าอะไร พูดอะไรไปมารดาก็คงไม่ฟัง
ทางด้านของเจ้าของบ้าน เคาะประตูอยู่นานกว่าลูกสาวจะยอมเปิดประตูให้เข้าไปในห้อง
“อัฟชีณ..........ฟังแม่พูดก่อนสิลูก” เริ่มต้นพูดกับลูกสาว
“ที่แม่อยากให้หนูแต่งงาน เพราะแม่เห็นว่า หนูโตพอที่จะมีคนดูแลหนู และมีครอบครัวเป็นของตัวเอง ถึงแม้บางมุมหนูจะยังเด็กอยู่ก็ตาม” เงียบเพื่อรอดูปฏิกิริยาของลูกสาว แต่คนเป็นลูกก็ยังเงียบเช่นเดิม
“ตอบอะไรแม่บ้างสิ ลูกเงียบอย่างนี้แม่ไม่สบายใจนะ” ที่เงียบเพราะเธอคิดวางแผนเอาตัวรอดอยู่ในหัว
“แต่หนูยังไม่พร้อมนะค่ะแม่” คำแรกที่พูดกับมารดา
“อะไรถึงทำให้คิดว่าตัวเองยังไม่พร้อม” คนเป็นมารดาเอ่ยถามลูกสาว
“ก็หนูยังเรียนไม่จบเลย อีกตั้งหลายปี อีกอย่างหนูยังไม่ได้ทำตามความฝันของตัวเองเลย”
“เรื่องนั้นหนูไม่ต้องเป็นห่วง แต่งงานแล้วถ้าหนูอยากเรียนต่อพี่เขาให้อยู่แล้ว เรื่องทำตามความฝันก็คงจะไม่ยาก ถ้าหนูขอพี่เขาดีๆ” มารดาเอ่ย
“แต่แม่ค่ะ.............” ลูกสาวคิดจะค้าน แต่ไม่ทันเสีย เพราะมารดาพูดขึ้นมาก่อน
“ลูกฟังแม่นะอัฟชีณ ถ้าหนูแต่งงานไปแล้ว แม่จะได้หมดห่วง นอนตายตาหลับ ที่ลูกได้แต่งงานกับคนดีๆอย่างพี่เขา” มารดาพูดยังไม่ทันจะจบ ลูกสาวก็ร้องขัดขึ้นทันที
“ทำไมแม่พูดอย่างนี้ล่ะ แม่ต้องอยู่กับหนูไปอีกนานเลยนะจ้ะ แม่ห้ามไปไหนนะ”
“ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอนนะลูก แม่กำหนดชีวิตตัวเองไม่ได้หรอก ทุกสิ่งทุกอย่างถูกกำหนดมาหมดแล้ว และแม่ก็เชื่อว่าหนูถูกพระเจ้ากำหนดมาให้พี่เขา” พูดจบก็สวมกอดคนเป็นลูก
“ก่อนจากไป แม่อยากเห็นลูกมีชีวิตครอบครัวที่สมบูรณ์แบบ นี้ถ้าพ่อของลูกยังอยู่ พ่อก็คงคิดแบบแม่ แต่น่าเสียดายที่พ่อเขาด่วนจากพวกเราไปก่อน ก็อย่างที่แม่บอก ความแน่นอน คือ ความไม่แน่นอน”
“แต่เราไม่เคยรู้จักกันมาก่อนนะค่ะแม่ อีกอย่างเราก็ไม่ได้รักกัน แล้วเราจะอยู่กันรอดเหรอค่ะ” คนเป็นลูกพยายามหวานล้อมคนเป็นแม่
“แม่จะเล่าอะไรให้ฟังนะ ก่อนหน้าที่แม่จะแต่งงานกับพ่อของหนู แม่ก็ไม่เคยรู้จักกับพ่อของหนูเลยด้วยซ้ำ อยู่ๆคุณยายของหนูก็มาบอกให้แม่เตรียมตัวแต่งงาน แม่ตกใจมาก ค้านอะไรก็ไม่ได้แล้ว เพราะงานแต่งกำลังจะจัดขึ้นในอีกไม่กี่วัน อยู่กันไปแม่ก็เริ่มรักพ่อของหนู ตั้งแต่เมื่อไหร่แม่ก็ตอบไม่ได้เหมือนกัน อาจจะเป็นเพราะความผูกพัน ช่วงแรกๆอาจจะมีปัญหากันบ้าง แต่ปัญหาแค่นั้นก็ทำอะไรเราไม่ได้ เพราะเราหันหน้ามาคุยกันด้วยเหตุผล ปรับความเข้าใจกันทุกครั้งที่ทะเลาะกัน จนมีหนูกับน้องๆในวันนี้ไง” เล่าไปยิ้มไป เมื่อนึกถึงเหตุการณ์ที่ผ่านมาของหล่อนกับผู้เป็นสามีที่ล่วงลับไปแล้ว คนเป็นลูกตั้งใจฟังอย่างมาก เพราะไม่บ่อยนักที่มารดาจะเล่าเรื่องของตัวเองกับบิดาให้ฟัง
“หนูอาจจะไม่ได้โชคดีเหมือนคุณแม่ ที่ได้สามีที่ดีอย่างคุณพ่อก็ได้นะค่ะ”
“แม่เชื่อว่าพี่เขาสามารถที่จะดูแลหนูได้ และที่สำคัญพี่เขาเป็นคนดีมากๆคนหนึ่งเลยเท่าที่แม่รู้จัก”คนเป็นลูกเริ่มคล้อยตามมารดา แต่ลึกๆแล้วเธอก็ยังคงดื้ออยู่ตามประสาเด็ก
“แม่ให้เวลาหนูตัดสินใจสามวัน แล้วแม่จะมาเอาคำตอบ”
“ทำไมมันเร็วอย่างนี้ล่ะค่ะแม่” อัฟชีณเอ่ยด้วยความตกใจกับระยะเวลาที่แม่ให้
“ไม่เร็วหรอกลูก เป็นไปได้นะ แม่อยากได้คำตอบพรุ่งนี้เลยด้วยซ้ำ” คนเป็นแม่เอ่ย ก่อนจะขอตัวไปดูแขกที่นั่งรออยู่ในห้องรับแขก
อัฟชีณได้แต่ถอนหายใจแล้วคิดกับตัวเอง ‘เฮ้อ..........เวลาแค่สามวันจะไปพออะไร แม่นะแม่ แล้วนี้เธอจะทำยังไงต่อไปล่ะเนี๊ยะ’
“เป็นยังไงบ้างอาอิช ลูกสาวเธอว่าอย่างไรบ้าง” คุณมาเรียมเอ่ยถามทันที ที่เห็นหน้าเพื่อนรักเดินเข้ามาในห้องรับแขก
“ยังหรอก ฉันให้เวลายัยอัฟได้คิดตัดสินใจสามวัน” คุณอาอิชบอกเพื่อน
“เอิ่ม.....ดีเลย งั้นระหว่างรอให้หนูอัฟตัดสินใจ เราเตรียมงานแต่งไปพลางๆกันดีกว่ามั๊ยอาอิช ตาอัร คุณเดวิด” คุณนายมาเรียมเอ่ยถามทุกคนด้วยความตื่นเต้น
“แต่ผมคิดว่า เรายังไม่ควรเตรียมอะไรกันก่อนนะครับแม่ เพราะเรายังไม่รู้ว่าน้องเขาตกลงมั๊ย” ชายหนุ่มเอ่ยพูดกับมารดาด้วยความสุภาพ เพราะคิดว่าสาวน้อยคนนั้นไม่รับปากตกลงง่ายๆแน่ จากที่ดูจากเหตุการณ์เมื่อสักครู่ที่ผ่านมา
“แกพูดอย่างนี้ แสดงว่าถ้าน้องเขารับปากที่จะแต่ง แกก็ตกลงใช่มั๊ยตาอัร” เอ่ยถามลูกชายด้วยความตื่นเต้น เพราะไม่คิดว่าลูกชายจะตกลงง่ายๆ
“ก็คงต้องแล้วแต่คุณแม่ครับ” พูดจบก็บ่นกับตัวเองในใจ ‘ในเมื่ออยากให้แต่งนัก เขาก็จะแต่งให้ แต่อย่าหวังว่าจะอยู่อย่างมีความสุข’
“คุณแม่ค่ะ อาหารเสร็จแล้ว” ลูกสาวคนเล็กมาบอกกับมารดาตามคำสั่งของพี่สาว
“งั้นเชิญทุกคนไปทานอาหารกันก่อนดีกว่าค่ะ” เจ้าของบ้านเอ่ยกับแขก
“แล้วนี่พี่สาวเราไปไหนล่ะไม่มาทานอาหารด้วยกัน” คุณอาอิชเอ่ยถามอัฟฟานและอัฟนาน เป็นคำถามที่อัรฮามอยากรู้ที่สุด เพราะตั้งแต่มาเขายังไม่เคยเห็นหน้าตาของว่าที่เจ้าสาวเลย เล่นปิดหน้าปิดตาปิดหน้าซะขนาดนั้น ‘สงสัยคงจะอายทีมีหน้าตาขี้เหร่แน่เลย ถึงได้ปิดซะขนาดนั้น แล้วนี้แม่คิดยังไงถึงให้เราแต่งกับคนแบบนี้’
“พี่อัฟบอกว่าไม่หิว ก็เลยขอตัวค่ะ” ลูกสาวคนเล็กเอ่ยบอกกับมารดา
พูดคุยกันไปเรื่อยๆจนใกล้ค่ำ คุณมาเรียมก็ขอตัวกลับบ้านก่อน
“ไว้ยังไงฉันจะถามข่าวคราวจากเธอเรื่อยๆและจะแวะเวียนมาหาเธอใหม่ล่ะกัน”
“กลับบ้านโดยสวัสดิภาพ” คุณอาอิชเดินไปส่งแขกถึงหน้าประตูบ้าน
‘นี่เธอไม่คิดที่จะมาส่งแขกตามมารยาทหน่อยเหรอ’ ชายหนุ่มได้แต่คิด แต่สำหรับเธอคิดว่าเลี่ยงที่จะต้องเจอกันดีกว่า
Fidavs
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 25 เม.ย. 2558, 00:16:34 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 25 เม.ย. 2558, 00:16:34 น.
จำนวนการเข้าชม : 1253
<< แอบมอง | แผนการลับฉบับแม่ๆ >> |