เพลิงพญาล่ารัก (ปรับปรุง)

Tags: ผู้แต่งยังไม่ได้กำหนด tags ของนิยายเรื่องนี้

ตอน: ตอน 7

ตอน 7
เพลิงหลุบตามองข้อเท้าก่อนจะตวัดขึ้นไปมองใบหน้าที่สดใส ไร้รอยเครื่องสำอางอย่างที่เคยเห็นประโคมแต่งเข้าไป เสื้อผ้าที่ใส่ก็ดูเรียบร้อยไม่กรีดกรายเหมือนที่ผ่านมา เมื่อเช้าพอสิ้นเสียงสกุณาเขาก็ขี่เจ้าพายัพกลับเรือน ท่ามกลางอากาศที่เย็นยามเช้า สายลมพัดเอื่อยสายหมอกขาวโผลนไปทั่วบริเวณ มันควบแหวกสายหมอกมาไม่นานก็หยุดหน้าเรือน ตัวเขาก็ลงจากหลังมัน เดินอย่างเงียบๆขึ้นมาบนเรือน

เปิดประตูห้องนอนเข้ามามองหาเธอแต่ไม่เห็น ก็หมุนซ้ายมองขวากระทั่งตอนนี้ที่ได้เห็น ดวงตายังมีแววอวดดีให้รู้ว่าเธอไม่เป็นอะไรแล้ว ก็จะเดินออกไปจากห้อง แต่ต้องหันกลับมาเมื่อเสียงหวานดังขึ้น “ขอบคุณนะคะที่ช่วยฉัน”

เพลิงแปลกใจที่เธอพูดคำนี้ออกมา แสดงว่าที่เขาคิดว่าเธออยากตายนั่นไม่ใช่เหรอ ความคิดเขาถูกเก็บไว้ภายใต้สีหน้าที่นิ่งเฉย “ไม่เป็นไร เพราะยังไงฉันก็ไม่มีวันให้เธอตายง่ายๆหรอก”

“ค่ะ ฉันก็คงไม่ตายรอบสองให้คุณต้องลำบากอีกเช่นกัน”

“ไม่ลำบากสักนิด เพราะถ้าเธอตายอีกครั้งฉันจะโยนลงเหว ไม่ต้องให้พระมาสวดก่อนเผาหรือฝังให้เสียเวลาเลย”

“นั่นซินะ” เสียงหวานติดจะข่มขืน คำพูดของสองนมก็ปลิวหายไป กลายเป็นความเหยียดหยันในตัวเองแทน “คนที่ไม่มีค่า ไม่มีอดีต จำอะไรไม่ได้อย่างฉัน จะอยู่หรือตายคงไม่สำคัญกับใครสักคน”

“รู้ก็ดีแล้ว และจำไว้ให้ดีด้วยละ”

“ไม่ต้องเตือนให้ฉันจำหรอก เพราะมันก็ฝังอยู่ในเลือดฉันแล้ว และถ้าวันใดที่ลืมฉันจะกรีดข้อมือเตือนตัวเองให้จำขึ้นมาเอง”

“อวดดี” เสียงเพลิงสุดจะกระด้าง แล้วเดินมาที่ประตู เปิดประตูออกมาก็เจอแม่นมทั้งสองคนยืนอยู่ เขาก็เดินผ่านไปไม่สนใจ แต่พอจะลงบันได เสียงนมสดก็ดังขึ้น

“นมมีเรื่องอยากจะขอร้อง” เพลิงหันมามองพร้อมๆกับที่นมสดเดินมายืนตรงหน้า “เรื่องหนูพิมพ์ นมอยากให้ป๊ะเพลิงมองเธอเสียใหม่ เธออาจจะเปลี่ยนไปแล้วจริงๆ หรือไม่ก็ให้โอกาสเธอได้แก้ตัวสักครั้ง ได้ไหมคะ”

“เรื่องอะไร หรือว่าที่ไม่ตายจะได้สมใจงั้นเหรอ”

“อย่าประชดกันซิค่ะ ก็รู้กันอยู่ว่าเรื่องอะไร คนเราทำผิดกันได้ แต่ถ้าผิดแล้วรู้จักแก้ไข ก็ควรให้อภัย แต่ถ้าเธอเปลี่ยนไม่ได้จริงๆ ป๊ะเพลิงจะลงโทษเธอใหม่ ก็ไม่เป็นไร หรือจะจับเธอขังคุกทมิฬเสียก็ยังได้ ค่อยๆดูไป แต่อย่าทำอะไรรุนแรงกับเธออีกเลย นมสงสาร ตัวก็บอบบางอย่างนั้น เป็นอะไรไปแต่ละครั้ง หัวใจก็แทบหายไปจากโลก”

“งั้นก็ตามหมอมาดูให้ดี จะได้ไม่ตายไปอีก” พูดจบเพลิงก็เดินลงจากเรือนไป นมสุกที่เดินมาได้ยินคำพูดสุดท้าย ถึงกับปรี่ไปยืนกระซิบกระซาบกับนมสดทันที

“เอ็งหูฝาดหรือข้าหูไม่ดีวะนางสด”

“เรื่องอะไรละ”
“ก็คำพูดของป๊ะเพลิงเมื่อกี้ไง ฟังแล้วมันทะแม่งทะแม่งเหมือนจะห่วงหนูพิมพ์อยู่น่า”

“เอ็งอย่าหาเหามาใส่หัว ก็รู้กันอยู่ว่าอะไรเป็นอะไร จะมาห่วงอะไรกัน ที่ให้ตามหมอมาตรวจอีกครั้งก็แค่ให้แน่ใจว่าจะไม่ตายก่อนจะได้แก้แค้นอย่างที่เคยบอกนั่นแหละ”

“ก็ใช่ แต่ก็ต้องห่วงบ้างแหละ ตอนงูกัดก็รีบอุ้มพามาหาหมอ คราวนี้ก็สั่งให้ดูแลอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อนหรือจะเป็นอย่างที่โบราณเขาว่ากันว่าน้ำหยดลงหินทุกวันหินมันยังกร่อน แล้วหนูพิมพ์ที่สวยน่ารักขึ้นกว่าแต่ก่อนตั้งเยอะ จะไม่ทำให้ให้ป๊ะเพลิงใจอ่อนบ้างเหรอ”

นมสดคิดตามแต่จะให้ฟันธงลงไปว่าใช่ นางก็ไม่อาจทำได้ เพราะรู้อยู่แก่ใจดีว่ามันยากพอๆกับน้ำที่หยดลงหินนั่นแหละมันต้องใช้เวลานาน กว่าหินมันจะกร่อน ไม่ใช่แค่วันสองวันหรือคำพูดที่ได้ยินเพียงครั้งเดียวเท่านั้น “ถ้าเป็นอย่างที่เอ็งว่าก็ดี แต่อย่าไปคาดหวังมันเลย ก็รู้กันอยู่ว่าเขาเกลียดเธอ บางทีสิ่งที่เราเห็นอาจจะไม่ใช่สิ่งที่คิดก็ได้ หรือไม่ก็อาจจะหลอกให้ตายใจ ใครจะไปรู้จิตใจใคร”

“ป๊ะเพลิงขวานผ่าซากขนาดนั้น คงไม่มีอะไรซับซ้อนหรอก”

“ก็ไม่แน่ เพราะไม่มีใครรู้ใจใครดีเท่ากับตัวเอง”

ฟังอย่างนี้แล้วใจนมสุกก็ห่อเหี่ยวลง “นั่นซินะ” นางว่าแต่เพียงอึดใจก็ฮึดฮัดขึ้นมาตามนิสัยที่ตรงและโผงผาง “ไม่รู้แหละยังไงข้าก็จะหวัง หนูพิมพ์เปลี่ยนไปขนาดนี้แล้ว ถ้าป๊ะเพลิงจะจงเกลียดจงชังได้ลงคออีกก็ให้รู้ไป และเอ็งกับข้าก็ต้องคอยเป็นน้ำคอยหยอดคอยหยดลงในใจป๊ะเพลิง ข้าว่าสักวันมันก็จะอ่อนลงมาเอง”

“สักวันที่ว่า คงไม่ใช่เอ็งกับข้าตายไปแล้วหินก็ยังแข็งอยู่นะเว้ย”

“ก็ทำให้มันอ่อนเร็วๆซิวะ”

“จะทำยังไง”

นมสุกนิ่งไปเพราะไม่รู้ แล้วโบกมือตัดบทชั่วคราวขอไปตามหมอ ส่วนนมสดก็หมุนตัวจะเดินไปที่ห้อง แต่ต้องยืนนิ่ง เมื่อเห็นสีหน้าเศร้าๆของพิมพ์ลดาที่บอกให้รู้ว่าคงได้ยินเรื่องที่นางคุยกับป๊ะเพลิงเมื่อกี้ น้ำที่คิดจะใช้หยดลงหินจึงเหมือนจะเหือดแห้งลงไปทันที
*********
รถยนต์คันหรูวิ่งผ่านประตูอัลลอยคฤหาสน์เกียรติขจรเข้ามา คนที่เฝ้าประตูอยู่ก็ขยับตัวไปหาเจ้าของคฤหาสน์ที่นั่งผ่อนคลายสบายอารมณ์ชมนกชมไม้อยู่กลางสวน และทันทีที่ลูกน้องมากระซิบบอกที่ข้างหู คิ้วเข้มก็เลิกขึ้นด้วยความแปลกใจก่อนจะเปิดเรียวปากยิ้มกว้าง แล้วลุกขึ้นเดินออกไปต้อนรับคนที่มาหา

ร่างท้วมๆของนายพลกฤษลงมาจากรถ เพียงยืดตัวขึ้นเจ้าของบ้านก็เข้ามาทักทายพอดี “สวัสดีครับท่าน คิดไม่ถึงว่าท่านจะมาหา เพราะวันนี้ผมก็จะไปหาท่านพอดี”

หึๆๆ นายพลกฤษหัวเราะออกมาเหมือนจะอารมณ์ดีแต่ถ้าฟังให้ดีมันคือการเยาะหยันอีกฝ่ายมากกว่า แล้วบอกว่า “งั้นเราก็ใจตรงกัน แต่เรื่องของฉันมันร้อนจนรอไม่ไหวนะซิ”

แววตาของนายอธิปไหวด้วยความแปลกใจแต่สีหน้ายังยิ้ม เพราะไม่คิดว่าจะมีเรื่องไม่ดี พร้อมกับเชิญแขกให้เข้าไปนั่งสบายๆในห้องรับแขกที่โออ่า ส่วนลูกน้องที่ติดตามมาก็ให้ยืนรออยู่ข้างนอก สาวใช้ก็รีบเข้ามาเสิร์ฟน้ำเสิร์ฟชาแล้วถอยออกไป เสียงนายอธิปก็ดังขึ้น

“มีเรื่องร้อนอะไรถึงกับรอไม่ได้ครับท่าน”

“หุบเขาพญา”

นายอธิปอึ้งไป ก่อนจะยิ้มพรายออกมาเมื่อตอนนี้ที่นั้นมีแต่เรื่องราวดีๆให้เขาชื่นใจ ทั้งเรื่องที่ลูกสาวได้เป็นนายหญิง ทั้งได้ผู้สมรู้ร่วมคิดและที่สำคัญได้แผ่นที่ขุดหาน้ำสีดำมูลค่ามหาศาลมาอีก จึงไม่มีเรื่องใดให้ต้องวิตกนอกจากยินดี แล้วถามออกมา “มีอะไรหรือครับท่าน หรือว่าท่านไปเจออะไรที่เด็ดกว่าไอ้น้ำสีดำ”

หึๆๆ เสียงนายพลกฤษหัวเราะหยันก่อนจะพูดด้วยเสียงที่แทบจะรอดไรฟันออกมา “ใช่ มันเด็ดเสียยิ่งกว่าเด็ด เพราะว่ามันมีแต่น้ำ ไม่มีน้ำมัน แผนที่ก็เป็นของปลอมนั่นไง”

“อะไรนะ” สีหน้านายอธิปบอกความตกใจ “มันจะเป็นไปได้ยังไง ก็ลูกสาวผมหยิบมาจากห้องทำงานไอ้ป๊ะเพลิงและยืนยันมาหนักแน่น ไม่มีผิดเด็ดขาด แถมคนที่ไปชี้จุดให้ขุดก็เป็นคนในหุบเขาพญา”

“ถ้าไม่ผิด แล้วงานมันจะล้มเลวได้ไง” เสียงนายพลกร้าวจนน่ากลัว “คนของฉันต้องตายไป ฉันเสียเงินซื้อแผ่นไอ้แผนที่เน่าๆนั้นตั้งมากมาย แต่ที่ได้กลับมาคือความล้มเหลว จะชดใช้ให้ฉันยังไง”

นายอธิปหน้าซีดด้วยความตระหนก คิดไม่ถึงว่าทุกอย่างจะกลับตาลปัตรขนาดนี้ วันนี้เขายังคิดว่าจะไปยินดีเผื่อจะได้เงินอีกเล็กน้อยติดมือมาอีก ไม่คิดเลยว่าจะกลายเป็นข่าวร้ายแทน และไม่ได้รับข่าวใดๆจากคนที่สมรู้ร่วมคิดเลย “ลูกผมไม่น่าจะโกหกผม หรือไม่ผมก็ตาฝาด”
นายพลกฤษมองอย่างเหยียดๆ แล้วคิดบางอย่างขึ้นมาได้ จึงบอกว่า “อาจจะไม่ใช่ทั้งสองอย่าง คุณไม่ได้ตาฝาด ลูกคุณไม่ได้หลอกเรา แต่คนที่หลอกเราก็คือไอ้ป๊ะเพลิง”

“หมายความว่าไงครับท่าน”

“เราโง่ มันฉลาด คุณอย่าลืมว่าในหุบเขาพญามีแต่ป่า หิน พื้นที่ซับซ้อน ไม่ใช่ที่ที่ใครจะเข้าออกได้ง่าย และใครจะรู้จักที่ของตัวเองได้ดีเท่าเจ้าของ แค่แผนง่ายๆ ที่เราร่วมมือกันสร้างขึ้นมา เพื่อให้ลูกสาวของคุณได้เป็นนายหญิงของที่นั้น แล้วเข้าไปอยู่ในหุบเขาแค่เดือนเดียวจะรู้ดีเท่ากับคนที่เกิดและโตอยู่ที่นั้นมาทั้งชีวิตได้ไง ถ้าเราได้มาง่ายๆเพียงแค่แผนแรก เราก็ดูถูกไอ้ป๊ะเพลิงเกินไปและมันคงไม่โง่ให้เราหลอกได้เป็นครั้งที่สอง เพราะถ้าเป็นอย่างนั้นมันก็คงเป็นนายแห่งหุบเขาพญาไม่ได้”

“แล้วอย่างนี้ผมไม่เสียลูกสาวให้มันฟรีๆหรือครับ”

“ฟรีได้ไง อย่างน้อยเราก็ยังได้ประโยชน์ คุณได้เป็นถึงพ่อตาของมันจะเข้าออกเมื่อไรก็ได้ ครั้งแรกที่พลาดก็ถือว่าเป็นบทเรียน ทุกอย่างมันต้องลงทุนทั้งนั้น ใจเย็นก่อนแล้วกัน”

“งั้นผมควรใช้ความเป็นพ่อตาให้เป็นประโยชน์ซิครับ”

“แสดงว่าคุณรู้แล้วว่าต้องทำยังไง”

“ครับ”

“ดี และหวังว่าผมจะได้รับข่าวดีด้วย”

พูดจบนายพลกฤษก็ลุกเดินจากไปโดยไม่มีคำล่ำลา ส่วนนายอธิปก็สั่งลูกน้องให้เอาโทรศัพท์มาให้ เพื่อโทรไปหาคนที่สมรู้ร่วมคิดกับเขา ระหว่างที่รอ เขาก็คิดถึงวันที่ได้ร่วมมือกับมัน ในวันแต่งงานของลูกสาวเขา มันเข้ามาประจบทันทีที่รู้ว่าเขาคือพ่อของผู้หญิงที่กำลังจะได้เป็นนายหญิง และพอลับตาคนก็เสนอตัวเพื่อขอแลกกับผลประโยชน์โดยไม่อ้อมค้อม ซึ่งเขาเห็นว่าได้มากกว่าจะเสีย แต่ก็ยังไม่ไว้ใจ ไม่รู้ว่ามันจะมาไม้ไหน จะจริงใจหรือลักไก่เพื่อเจ้านายของมัน แต่เมื่อมันอาสาเป็นหนอนไปเจาะแหล่งน้ำสีดำให้ เขาก็ยอมจับมือกับมัน แล้วมันเกิดอะไรขึ้นทำไมเรื่องใหญ่ขนาดนี้มันไม่ยอมส่งข่าวอะไรให้เขารู้ หรือว่ามันจะถูกจับได้เช่นกัน

นายอธิปคิด แล้วรับโทรศัพท์จากมือลูกน้องกดหามัน แต่ไม่มีการตอบรับเลย ไม่ว่าจะกดกี่ครั้งก็เหมือนเดิม เพราะคนที่เขาโทรไปหาตอนนี้มันมีเจ้านายคนใหม่ที่ดีกว่าเขาแล้วนั่นเอง
***********
พิมพ์ลดาเดินมาที่ห้องครัวโดยมีนมสดเดินตามหลังมาด้วยสีหน้าที่วิตก เพราะเธอเพิ่งฟื้นขึ้นมา ร่างกายคงยังอ่อนเพลียและมาเจอคำพูดที่ทำร้ายใจอีกก็ยิ่งห่วง จึงอยากให้เธอพักอยู่ในห้อง แต่พยายามจะพูดยังไง ก็ไม่อาจจะเปลี่ยนใจเธอได้ แต่ก็ยังพยายาม

“หนูพิมพ์ เชื่อนมเถอะ กลับไปอยู่ในห้องเถอะนะ”

“พิมพ์ไม่ได้เป็นอะไรแล้ว หรือถ้าจะเป็นอีก คนที่อยากให้พิมพ์เจ็บก็คงพอใจ”

“แล้วจะได้อะไรขึ้นมาคะ ความสะใจเหรอ นมว่าถ้าหนูพิมพ์คิดอย่างนั้น ไม่น่ารักเลย ทำแล้วใครเจ็บก็ตัวเองทั้งนั้น ไม่ดีเลยนะคะ”

เธอนิ่งไปกับความห่วงใยนั้น แต่ทิฐิที่อยู่ในใจไม่ได้คลายลงเลย นมสดจึงได้แต่อ่อนใจ แล้วถอยไปนั่งบนเก้าอี้ มองร่างอรชรที่หมุนซ้ายหมุนขวาทำโน้นทำนี้โดยไม่ปริปากบ่นนั้นช่างต่างกับที่เมื่อครั้งหนึ่งในอดีต ที่เคยอยากเอาใจป๊ะเพลิง ถึงขนาดลงมาขอลงมือทำกับข้าวด้วยตัวเอง แต่มีเสียงบ่นพึมพำตินั้นว่าโน้นว่านี้มากมาย แล้วกลับขึ้นไปโดยไม่มีอะไรสำเร็จสักอย่าง แล้วไม่เคยลงมาที่ห้องครัวอีกเลย ผิดกับตอนนี้ที่แม้จะยังเจ็บแต่ก็ยังทำและไม่มีเสียงบ่นใดๆเลย

ทุกการกระทำของเธอ จากที่เห็นที่สังเกตและแอบดู ทุกอย่างเปลี่ยนไปจนสามารถเปลี่ยนใจนางให้ยอมรับ รักดังลูกหลาน แม้แต่คำเรียกว่านายหญิงที่ใช้มาตั้งแต่แรกก็เปลี่ยนมาเป็นหนูพิมพ์ด้วยความเอ็นดู

“ว้ายตายแล้วหนูพิมพ์ เข้ามาทำอะไรคะ” นมสุกที่เพิ่งกลับมาจากเรือนหมอถามออกมา พลางวางตะกร้าผักที่ถือมาไว้บนโต๊ะ “บอกแล้วให้พักอยู่ในห้อง แล้วมาทำทำไมคะ วางมีดเลยค่ะเดี๋ยวนมทำเอง แล้วนางสดทำไมไม่ห้ามหนูพิมพ์” เสียงว่าอย่าไม่พอใจแล้วจะเดินเข้าไปทำแทน แต่ต้องยืนอยู่ที่เดิม

“พิมพ์ขอทำเองค่ะ”

“ทำได้ไงคะ ขาก็เจ็บ มือก็ยังแตกแดง หน้าก็ยังซีด ไปพักเลยค่ะ” นมสุกไล่แล้วจะเดินไปหา แต่นมสดดึงตัวมานั่งข้างๆพูดเบาๆแค่ให้ได้ยินว่า

“เก็บปากเอ็งไว้เถอะ เพราะข้าพูดกันจนปากจะฉีกแล้ว เธอก็ไม่ฟัง”

“ทำไมเป็นอย่างนี้ละ ก่อนป๊ะเพลิงโผล่มาก็ยังดีๆอยู่ แล้วทำไม...”

นมสดจึงเล่าให้ฟังคราวๆว่าคงได้ยินที่นางพูดกับป๊ะเพลิง นมสุกจึงอ่อนใจไปอีกคน แล้วลุกขึ้นไปหยิบตะกร้าผักมาคัดต้นดีไว้ต้นเสียทิ้งไป “แล้วหมอละ” นมสดถามขึ้นพลางช่วยคัดผัก
“เดี๋ยวตามมา แล้วมื้อนี้หนูพิมพ์จะทำอะไรกินคะ” นมสุกชวนคุยเมื่อพิมพ์ลดาหันมามอง แล้วก็ได้คำตอบที่ชวนแปลกใจเล็กน้อย

“อาหารสิ้นคิดค่ะ”

“มันเป็นยังไงคะไอ้อาหารสิ้นคิดเนี๋ย นมไม่เคยได้ยิน”

“นั่นนะซิ” เสียงนมสดเออออเพราะสงสัยเช่นกัน

“ก็อาหารที่ทำง่ายๆ ทำบ่อยๆโดยไม่ต้องคิดมากไงค่ะ แค่เอ่ยออกมาทุกคนก็รู้จัก ที่สำคัญต้องอร่อยด้วย เช่นผัดกระเพรา ยำปลากระป๋องและไข่เจียว หรือผัดผักที่ได้ทั้งความอร่อยและมีประโยชน์ด้วย”

“จริงด้วย” นมสุกว่า “นมสองคนก็ทำบ่อย แต่ไม่เคยเรียกแบบนี้เลย เฮ้อ คนแก่แล้วก็อย่างนี้แหละตามเด็กสมัยใหม่ๆไม่ค่อยทัน ว่าแต่หนูพิมพ์ไปเอาคำนี้มาจากไหนคะ ที่หุบเขาไม่เคยมีใครพูดมาก่อนเลย”

พิมพ์ลดานิ่งคิด แต่คิดไม่ออกจึงส่ายหน้าว่าไม่รู้แล้วหันไปทำอาหารที่บอกมาทั้งหมด ไม่ได้เห็นสีหน้าของแม่นมทั้งสองนมที่มีแววกังวล กลัวว่าความทรงจำของเธอจะกลับมาแล้วเปลี่ยนไปเป็นเหมือนเดิม “นมคะ” เสียงหวานที่ดังขึ้น ดึงสติของสองนมให้กลับมาฟังเธอ “ผักสดๆพวกนี้ได้มายังไงคะ คือพิมพ์ยังไม่เคยเห็นว่าที่นี่มีตลาด หรือปลูกไว้ที่ไหนเลย” เธอถามเพราะตั้งแต่เธอฟื้นขึ้นมา ก็ถูกคนที่ได้ชื่อว่าเป็นสามีลากเข้าป่าตลอด

“ที่นี่ไม่มีตลาดหรอกค่ะ พวกเนื้อสัตว์ต่างๆ ผักทุกอย่าง ก็มากจากป่าที่พวกชาวบ้านหามาบ้าง เลี้ยงบ้าง ปลูกบ้างตามประสา แสงไฟที่เห็นก็จะมาจากเครื่องปั้นไฟ แต่ก็น้อยที่จะใช้ ส่วนมากก็จะใช้ตะเกียงกัน อยู่ในหุบเขาก็ต้องลำบากล้าหลังกว่าที่อื่นเป็นธรรมดา”

“เหรอค่ะ” เสียงบอกอย่างนั้น แต่สีหน้าดูยังสงสัยเรื่องต่างๆอีกมาก

“ไว้ว่างๆแล้วนมจะพาไปดู”

“งั้นเล่าให้พิมพ์ฟังก่อนได้ไหมค่ะ ว่าที่นี่ทำอะไรกัน เพราะพิมพ์ไม่เคยเห็นใครเลย นอกจากนมทั้งสองคน หมอกานต์ นายหิน ผู้หญิงที่ชื่อเดือนประดับและนายของนม”

แม่นมทั้งสองคนปรายตามองหน้ากันเพียงเล็กน้อย นมสดก็บอกเท่าที่บอกได้ว่า “ที่นี่เป็นหุบเขา เป็นหมู่บ้านเล็กๆ มีคนอยู่กระจัดกระจายกันหลายครัวเรือน หาผักหาปลา ปลูกบ้าง เลี้ยงบ้างมากินกันตามมีตามเกิด แต่ที่นายหญิงไม่ค่อยเห็นใคร เพราะพวกเขาจะไม่มายุ่งวุ่นวายที่เรือนเชิงผาเท่านั้นเอง”
“ส่วนผัก เนื้อสัตว์พวกนี้” นมสุกพูดขึ้นบ้าง “พวกเขาก็เอามาวางไว้ให้ ตั้งแต่ย่ำรุ่งทุกวัน นมก็จะทำหมด แล้วแบ่งไปให้พวกที่คุกทมิฬ”

“คุกทมิฬที่มีนายหินเป็นหัวหน้านั่นเหรอคะ” เธอถามพลางนึกถึงหน้าชายหนุ่มที่ถูกแนะนำให้รู้จักวันที่เธอถูกบังคับให้ทำอาหารเช้าเป็นครั้งแรก

“ค่ะ ที่นั้นก็เป็นคุกสมชื่อนั่นแหละ ใครทำผิด คิดร้าย หรือบุกรุกเข้ามาใสหุบเขาพญา จะต้องถูกตัดสินโทษ จะหนักจะเบาก็แล้วแต่สิ่งที่ทำมา”

“แรกที่ได้ยินพิมพ์ไม่กลัวนะคะ แต่ตอนนี้พิมพ์รู้แล้วว่าน่ากลัว”

“ถ้าเราไม่ทำผิดคิดร้ายอะไร ก็ไม่น่ากลัวหรอกค่ะ”

พิมพ์ลดาพยักหน้าเห็นด้วย และไม่ถามอะไรอีก เธอทำอาหารเช้าจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ก็ทำของหวานต่อเพราะเห็นกล้วยที่สุกน่าทำพอดี แม่นมทั้งสองคนลงมือช่วยเธอจนได้ขนมหม้อใหญ่ นมสดแบ่งทั้งกับข้าวและขนมใส่หม้อใส่ปิ่นโตไว้ แล้วไปเรียกคนให้มาเอาไปให้คนที่คุกทมิฬด้วย

จากนั้นทั้งหมดก็ขึ้นไปบนเรือน หมอกานต์ที่นั่งรออยู่ยิ้มให้ทั้งสามคน ซึ่งก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ข้างๆ แล้วหมอก็หยิบเครื่องมือมาตรวจร่างกายเธอ พร้อมชวนคุยไปเรื่อยๆ ก่อนจะทำความสะอาดแผลแล้วปิดผ้าก๊อสให้เรียบร้อย ก็บอกว่า

“นายหญิงควรจะพักผ่อน ไม่ควรทำอะไรมากนะครับเพราะแผลยังไม่หายดี”

“แผลแค่นี้คงทำอะไรพิมพ์ไม่ได้แล้วละคะ”

“แต่ถ้าเดินหรือขยับตัวมากๆ แผลจะอักเสบขึ้นมาแล้วอาจจะทำให้เจ็บได้นะครับ”

“พิมพ์ก็ไม่ได้ทำอะไรมากหรอกคะ แค่รับผิดชอบหน้าที่ของตัวเองให้ดีแค่นั้นเอง”

คุณหมอนิ่งไปอย่างเข้าใจกับสิ่งที่เธออธิบาย เพราะรู้อยู่ว่าเกิดอะไรขึ้นกับเธอ แล้วบอกว่า “ความรับผิดชอบเป็นสิ่งที่ดีครับ แต่ถ้าร่างกายเราไม่ดี เราก็ไม่สามารถรับผิดชอบเรื่องต่างๆให้ดีได้เช่นกัน และถ้ายิ่งฝืนก็ยิ่งเจ็บนะครับ อย่างตอนนี้หมอควรจะฉีดยาบำรุงเพื่อให้นายหญิงจะพักผ่อน ส่วนอาการอื่นๆก็ไม่มีอะไรให้ต้องห่วงแล้ว”

พิมพ์ลดารับรู้ในความหวังดี จึงได้แต่บอกว่า “ขอบคุณค่ะ”

“ไม่เป็นไรครับ” จากนั้นหมอก็ฉีดยาให้เธอ พอเก็บอุปกรณ์ทั้งหมดลงกระเป๋า นมสดก็บอกว่า

“อยู่ทานข้าวด้วยกันนะหมอ หนูพิมพ์ทำไว้เยอะเลย”

“แล้วป๊ะเพลิงละครับ”

“คงทานที่คุกทมิฬ”

คุณหมอพยักหน้าก่อนจะยิ้มขอบคุณนมสด แต่ยังไม่ทันที่ใครจะได้ลุกไปทำอะไร ก็ต้องหันไปมองคนที่เดินขึ้นบันไดเรือนมา เห็นหน้าแล้วนมสดกับนมสุกชักสีหน้าอย่างไม่พอใจ ส่วนหมอและพิมพ์ลดานั้นนิ่งเฉย ร่างอรชรหอมฟุ้งด้วยกลิ่นน้ำหอม เปิดยิ้มให้ทุกคนโดยไม่สนใจท่าทีที่ไม่อยากต้อนรับเธอนัก

“หวัดดีค่ะหมอ มาทำอะไรที่นี่แต่เช้าคะ หรือว่าใครเป็นอะไร” เดือนประดับถามโดยไม่สนใจว่าจะมีใครตอบหรือไม่แล้วก็เดินไปนั่งเชิดหน้าบนเก้าอี้ว่าง ก่อนจะยิ้มเยาะออกมาเมื่อได้ยินคำตอบ

“นายหญิงไม่สบาย” เสียงนมสุกติดจะห้วนๆ แต่เธอไม่สนใจอยู่แล้ว

“สำออยจริง” ว่าพลางปรายตาไปมองศัตรูหัวใจ แต่พิมพ์ลดานิ่งเฉย แม่สองนมอารมณ์ขึ้นมาแทนแต่ไม่อยากเอาทองไปถูกับกระเบื้องที่ไร้ค่า จึงพากันข่มใจไว้

“แล้วหล่อนมาทำอะไรที่นี่อีก”

“ก็มาหาป๊ะเพลิงซิ ถามได้ โง่”

“แต่มีคนบางคนโง โง่ กว่า ที่ยังแบกหน้ามาหาทั้งที่เขาไม่สนใจอะไรเลย แล้วจะทำทานบอกให้ว่าป๊ะเพลิงไม่อยู่”

เดือนประดับตาลุกวาวขึ้นมาพร้อมกระชากเสียงถาม “ไม่อยู่ได้ยังไง ทุกทีเวลานี้ต้องอยู่”

“ทำทานบอกให้รู้แล้ว ยังไม่รับอีกเหรอ ยิ่งกว่าโง่จริงๆ และก็แปลกแทนที่จะรู้สึกกลับไม่ ยังทะเยอทะยานไขว่คว้าทั้งที่คว้าได้แค่ลม จะติดขี้ฝุ่นมาสักนิดก็ไม่มี ก็ยังหวัง อนิจจา ฉันละปลงจริงๆกับผู้หญิงสมัยนี้”
‘อีแก่’ เดือนประดับได้แต่คั่งแค้นนมสุกอยู่ในใจ แล้วกราดตามองทุคนที่เหมือนจะยิ้มเย้ยเธอ ใจก็ยิ่งแค้น แล้วแอบยิ้มเมื่อเห็นทางเอาคืน โดยที่ใครไม่ทันคิดว่าเธอจะกล้าทำ ก็ยื่นมือไปดึงผ้าก๊อสที่เท้าพิมพ์ลดาออก ก่อนจะร้องออกมาใส่จริตให้ตกใจ
“อุ้ย ตายแล้วรอยอะไรเนี๋ย เหมือนโดนอะไรกัดมาเลย ไปซุ่มซ่ามอีท่าไหนมาละ”
แม่นมสองคนอารมณ์ขาดผึง เพราะเหมือนทำร้ายลูกรักจึงลุกขึ้นจะเอาเรื่องเดือนประดับ แต่เสียงพิมพ์ลดาดังขึ้นเสียก่อน “ไม่ได้ซุ่มซ่ามหรอก ฟ้ามันมืดเลยมองไม่เห็นแค่นั้นเอง”

“แล้วไปเดินทำอะไรในป่าให้มันกัดเอาละ”

“เธอต้องไปถามป๊ะเพลิงเอาเอง” เสียงพิมพ์ลดาเรียบๆนิ่งๆ แต่จิตใจของเดือนประดับที่มีแต่ความอิจฉาริษยา แปลเป็นอื่นไม่ได้เลย นอกจากว่าป๊ะเพลิงกำลังหลงเสน่ห์มัน ถึงขนาดพากันไปพลอดรักในป่า

“เธออ่อยเขาละซิ”

“คนที่เป็นผัวเมียกัน ไม่จำเป็นต้องอ่อยหรอกค่ะ แต่คนอื่นที่ไม่ได้เป็นอะไรกัน แล้วมาถามถึงที่นี่ซิ ถึงจะเรียกว่า...อ่อย”

“พิมพ์ลดา” เสียงเดือนประดับรอดไรฟันออกมาอย่างสุดโกรธ แล้วเย้ยกลับอย่างเหยียดหยัน “แต่กว่าที่เธอจะได้เขามา เธอก็ทำยิ่งกว่าที่เรียกว่าอ่อยเสียอีก หรือลืมไปแล้วว่าเธอทำอะไรไว้บ้าง”

“เรื่องนั้นไม่สำคัญหรอกค่ะ ที่สำคัญคือฉันไม่ได้เป็นแตงเถาตายที่รอให้เขาต้องมาเหลียวแล ยิ่งกว่านั้นคือเธอที่จำได้แม่นแม้แต่ชื่อของฉัน แต่ทำไมฉันกลับจำชื่อเธอไม่ได้เสียที “เดือนอะไรนะ”

“เดือนหงายเงิบ”

สองนมเป็นลูกคู่รับแล้วพากันหัวเราะกันอย่างสะใจ ไม่สนใจสีหน้าของเดือนประดับที่จะกราดเข้าฆ่าแล้ว แต่เมื่อทำไม่ได้ก็ลุกขึ้นเดินกระแทกเท้าลงจากเรือนไป โดยมีสายตาของแม่นมทั้งคู่ที่มองตามไปด้วยความหวั่นใจว่าเดือนประดับรู้เรื่องที่พูดออกมามากน้อยแค่ไหน
ส่วนหมอกานต์ได้แต่ยิ้ม ขณะที่พิมพ์ลดาถอนหายใจออกมาเบาๆ และอยากจะถามแม่นมทั้งสองคนว่า ผู้หญิงคนนี้เป็นใคร มีความสำคัญยังไงในหุบเขา กริยาท่าทางรวมถึงคำพูดถึงได้ไม่แคร์ใครเลยแม้แต่เธอที่เป็นนายหญิงของที่นี่ และสุดท้ายสิ่งที่พูดมาเมื่อกี้มันหมายความว่ายังไง เธอเก็บความสงสัยไว้พลางคิดว่าจะต้องหาคำตอบเรื่องนี้จากใครสักคน
*******
เดือนประดับเคียดแค้นใจอย่างหนัก ความเกลียดชังที่มีมาพอกพูนขึ้นจนอยากจะเอาปืนไปฆ่ามัน ‘นังพิมพ์ลดา’ เสียงเธอตะโกนก้องอยู่ในใจ ใบหน้าบิดเบี้ยว แล้วกรี๊ดออกมาดังลั่น ก่อนจะหันไปมองทางด้านหลัง ที่ทอดยาวไปถึงเรือนเชิงผา สายตาอาฆาตแค้นขึ้นอย่างน่ากลัว และถ้าใครสักคนมาเห็นเข้าคงได้ขนหัวลุก แล้วสะบัดหน้าเดินตรงไปที่เรือนตัวเอง เพียงก้าวขึ้นไปบนเรือนก็เห็นที่ระบาย จึงกราดเข้าไปทุบตีอย่างหนัก

ไอ้ชาติที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไร ถึงกับตกใจ ก่อนจะปัดป้องจับมือเธอไว้แล้วตวาดออกมา “เป็นบ้าอะไรของเธอ”
“ฉันเกลียดแกไง ไหนบอกว่าจะหาทางกำจัดนัง...” ไอ้ชาติรีบเอามือปิดปากเดือนประดับไว้ก่อนจะพูดออกมาให้ใครมาได้ยิน แล้วจะพากันตายหมู่จึงลากเข้าไปในห้องนอน เดือนประดับสะบัดตัวออกมา จ้องหน้ามันอย่างกราดเกรี้ยวแล้วกรีดร้องออกมา “ฉันเกลียดมัน แกได้ยินไหมว่าฉันเกลียดมัน เมื่อไรแกจะลงมือเสียที”

“ฉันบอกเธอแล้วไงว่าให้ใจเย็น ให้รอ”

“รอให้มันมาเยาะเย้ยฉันครั้งแล้วครั้งเล่านั่นเหรอ ฉันไม่รอแล้ว ฉันอยากให้มันตายเร็วๆ”

“แต่ถ้าเธอยังบ้าอยู่อย่างนี้ สักวันคนที่ตายอาจจะเป็นเธอ”

ไอ้ชาติตะคอกใส่จนสติที่แตกไปของเดือนประดับกลับมา แต่สีหน้าและแววตายังกระด้างอยู่ให้มันหน่ายใจ แล้วรอจนเห็นว่าใจเย็นลงบ้างแล้วก็บอกเรื่องที่มันไปทำมาให้รู้ “ฉันไปพบคนที่จะทำให้เธอสมหวังมาแล้ว”

“เขาว่าไงบ้าง” เธอรีบถามออกมา ให้ไอ้ชาติเหยียดหยันและยิ้มอยู่ในใจ ก่อนจะรีบฉกฉวยช่องให้ตัวเองไว้ต่อยอดทันที

“เขาจะตกลงเมื่อเรามีผลงานให้เขาเห็น”

“ผลงานเหรอ หมายความว่าไง เขาต้องการอะไร”

“ที่นี่มีอะไร เขาก็ต้องการสิ่งนั้นแหละ”

เดือนประดับนิ่งไปอย่างพอจะเข้าใจ แต่เธอไม่เคยสนใจสิ่งนี้ เพราะที่เธอต้องการคือเขาไม่ใช่ทรัพย์สมบัติมหาศาลเหล่านี้และมันก็ยากแถมอันตรายเหลือเกินที่จะไปแตะต้องของที่มีค่าเทียบเท่าชีวิตของเขา

ไอ้ชาติที่เห็นความลังเลบนสีหน้าก็เดินเข้าไปยืนตรงหน้ายกมือขึ้นจับปลายคางเธอให้เงยหน้าขึ้นมองความจริงใจในแววตามัน แต่ซ่อนความร้ายกาจไว้อย่างมิดชิด แล้วตะล่อมออกมาให้เห็นด้วย “เขาไม่ได้ให้เราไปขุดหาเสียหน่อย แค่ค่อยส่งข่าวหรือบอกว่าของอยู่ที่ไหนแล้วเขาจะจัดการต่อเอง ซึ่งถ้าได้ผล ศัตรูหัวใจของเธอก็เป็นไปอย่างที่เธอต้องการ”

คำพูดนี้ยั่วยวนใจเดือนประดับมากนัก แต่ยังไม่มั่นใจพอ “แกรู้ไหมว่ากำลังพูดถึงอะไรอยู่”

“น้ำมัน”

“ไม่ใช่ ความตาย แกอยู่ที่นี่มาตั้งนาน น่าจะรู้นะว่าสิ่งที่แกพูดมีความสำคัญมากแค่ไหน และใครที่แตะต้องเข้าถ้าไม่ตายไปจริงๆ ก็อยู่เหมือนตายทุกราย แล้วแกยังจะกล้าเอามันมาเป็นเงื่อนไขอีกเหรอ อีกอย่างฉันไม่เคยเข้าไปยุ่งกับเรื่องนี้ ถ้าเอ่ยขึ้นเมื่อไร ก็อาจจะถูกหมายหัวเมื่อนั้น”

“แล้วใครจะให้เธอไปถามกับเขาตรงๆละ” มันว่าแล้วยิ้มใส่ตาเธออย่างเจ้าเล่ห์ “ฉันแค่อยากให้เธอใช้ความใกล้ชิดที่มี เปิดตาดูหูฟังและจดจำมาว่าเขาทำอะไรที่ไหนยังไงบ้าง แล้วมาบอกให้รู้เท่านั้นเอง และก็ไม่ได้ให้ทำตลอด แค่ครั้งสองครั้งพอให้ไอ้นายพลนั้นเชื่อหรือได้สิ่งที่ต้องการไป พอหอมปากหอมคอแล้วกำจัดศัตรูหัวใจให้เธอเรียบร้อยก็ถอยออกมา ปิดหูปิดตาแล้วเตรียมตัวเข้าไปยืนเคียงข้างเขาแทนแค่นั้นเอง คิดดูว่ามันคุ้มแค่ไหน”

เดือนประดับถอยห่างออกมาใช้ความคิด แม้อยากจะตกลงใจจะขาดแต่ถ้าพลาดนั้นหมายถึงการพังทลายในทุกอย่างที่ฝันไว้ ซึ่งเธอไม่ต้องการ จึงเป็นปราการให้ปากเธอปิดอยู่นั่นเอง ไอ้ชาติก็ฉลาดที่จะไม่เร่งรัด แล้วเข้าไปพะเน้าพะนอให้เธอผ่อนคลายพลางคิดว่าไม่นานเธอก็คงจะโง่ยอมตกลงรับข้อเสนอนี้แน่นอน
********
แสงสีทองของดวงตะวันสาดส่องไปทั่วหุบเขาพญา นายแห่งหุบเขายืนกอดอกมองอยู่บนระเบียงเรือนของหัวหน้าคุกทมิฬ ซึ่งยืนพิงเสาระเบียงอยู่ข้างๆ ความเงียบขรึมที่มีมาตั้งแต่คืนจนถึงเช้านี้ที่เพิ่งกลับมา เขาก็ยังไม่รู้สาเหตุ แม้จะเดาได้ลางๆ แต่เมื่อไม่มีคำพูดยืนยันออกมา ก็ไม่อยากปักใจ

ทั้งคู่ยืนมองออกไปไกลๆ ไม่นานเสียงเพลิงก็ดังขึ้น “ฉันมีงานให้นายทำ อาจจะต้องไปจากหุบเขาพญาสักระยะ”

“เมื่อไร” หินไม่ถามงานอะไร เพราะเดี๋ยวเพลิงต้องบอก แต่อยากรู้อย่างที่ถามไปมากกว่า

“หลังจากส่งของให้กับท่านพจน์วันนี้ คนของเราพร้อมหรือยัง”

“พร้อมแล้ว”

“ดี แล้วฉันจะบอกอีกทีว่าจะไปเมื่อไร” พูดจบเพลิงก็ดึงสายตากลับมาสบตากับหิน “ตอนนี้ไอ้พวกแมงเม่านิ่งเงียบคงกำลังคิดจะทำอะไรสักอย่างอยู่แน่นอน ฉันจึงไม่อยากรอให้พวกมันเริ่มอย่างที่ผ่านมา ถึงเวลาที่ฉันต้องเป็นฝ่ายเริ่มบ้าง ที่สำคัญเมื่อพวกมันมีหนอนอยู่ในรังของฉัน ฉันก็อยากให้นายไปเป็นหนอนในรังพวกมันบ้าง จะเก็บกวาดให้หมดเสียที”

“จะให้เริ่มจากที่ไหน”

“นายอธิป”

“พ่อตานายนั่นเหรอ”

“ฉันไม่นับ”

“แต่ตามประเพณีแล้วใช่ งานแต่งก็จัดขึ้น ทุกคนก็รับรู้ จะไม่ใช่ได้ยังไง”

“นายจะกวนเพื่ออะไร” เสียงเพลิงกระด้างจนหินหัวเราะออกมาเบาๆ แล้วบอกว่า

“ก็เห็นนายเครียดๆ ก็อยากให้ผ่อนคลายบ้าง อีกอย่างถ้าไม่ยอมรับความจริงว่าเธอเป็นเมียนาย แม้จะแต่งงานกันแล้วก็ส่งคืนเธอคืนพ่อเธอไป จะเก็บไว้ให้กวนใจทำไม และถ้าจะสั่งสอน เท่าที่นายทำมาก็น่าจะพอแล้ว”

แววตาของเพลิงนิ่งลึกให้หินเห็นว่าเขากำลังโกรธ “ใครให้สินบนนายมา”

“ไม่มี แต่ฉันไม่อยากให้นายต้องจมอยู่กับความแค้น ที่มันไม่ได้ช่วยให้อะไรดีขึ้น อย่าบอกว่าจิตใจนายนะ เพราะฉันขอเถียงว่าไม่ใช่”

“นายลืมทุกอย่างได้เร็วดี เพราะไม่ได้เป็นตัวนายที่โดนกระทำ แต่สำหรับฉันที่โดนเข้าเต็มๆแถมยังเป็นนายแห่งหุบเขาพญาก็ยิ่งลืมไม่ลง คนที่มันทำให้ที่นี่ไม่สงบสุขจะต้องได้รับการลงทัณฑ์ที่สาสม”

“ฉันก็ไม่ได้ลืม และในฐานะที่เป็นหัวหน้าคุกทมิฬก็คงไม่ต่างจากนาย เพียงแต่...”

“เก็บความเห็นใจของนายไว้เสีย เพราะถ้าวันนี้ปล่อยไป ก็ใช่ว่าทุกอย่างจะจบ ความปราณีของพวกเราใช้ไม่ได้กับพวกคนเลว สันดานคนมันไม่ได้เปลี่ยนกันง่ายเหมือนการปลอกกล้วยเข้าปาก แต่มันยากเหมือนการเข็นครกขึ้นภูเขานั่นแหละ ถ้าไม่สามารถชนะกิเลสของตัวเอง มีจิตใจที่มุ่งมั่น พยายามจริงๆ ไม่มีทางที่จะทำได้ คราวก่อนเราพลาดก่อนที่จะได้รู้ว่าไอ้สวะนั้นเป็นข้ารองตีนใคร คราวนี้ฉันให้ปืนไปสืบอยู่ว่ามันมีความเคลื่อนไหวหรือทำอะไรกับใครอยู่บ้าง ได้เรื่องมาแล้วค่อยมาคิดให้นายไปสานต่ออีกที”

เพลิงวกกลับมาพูดต่อเรื่องที่ค้างไว้ หินคิดตามแล้วเห็นด้วย “เป็นวิธีที่ดี ที่พวกมันคงคิดไม่ถึงว่านายจะรุก คิดว่าจะรอรับการบุกรุกจากพวกมันฝ่ายเดียว ฉันจะทำให้ดีจะได้เก็บพวกมันให้หมดอย่างที่นายว่าเสียที”

“ฉันเชื่อมั่นในตัวนายเสมอ”

พูดจบเขาก็หันไปมองสองผู้คุมกฎดาบกับขวานที่ยกสำรับมาวางไว้บนโต๊ะไม้ที่มุมระเบียง พอทั้งคู่ลงจากเรือนไปเขากับหินก็เดินไปนั่งที่เก้าอี้ ทานอาหารที่รู้แก่ใจกันดีกว่าเป็นฝีมือใคร หินนั้นไม่คิดอะไรแต่สำหรับเพลิงการเปลี่ยนไปของเธอเริ่มซึมเข้าไปในใจเขาโดยไม่รู้ตัว กระทั่งทานข้าวเสร็จ ทั้งสองคนก็ไปสมทบกับสองผู้คุมกับสามคนจากทะเลทราย เพื่อไปส่งน้ำมัน

*********
ขอบคุณที่ติดตามผลงานค่ะ



pream
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 13 พ.ค. 2558, 09:44:25 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 13 พ.ค. 2558, 09:44:25 น.

จำนวนการเข้าชม : 2799





<< ตอน 6   ตอน 8 >>
konhin 13 พ.ค. 2558, 11:24:02 น.
นายหญิงสู้ๆ


Zephyr 13 พ.ค. 2558, 13:33:18 น.
อืม ซับซ้อนขึ้นเรื่อยๆ
นายเพลิงได้แพ้ใจตัวเองสักวัน


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account