บ้านต้นรักษ์ (จบแล้วจ้า) รีไรท์
ก้อ...กอมารุน...ราชาแห่งท้องทะเลทราย

ปะทะกับ

นีล...นัจมุน...ราชินีแห่งท้องทุ่ง


เมื่อดวงจันทร์กับดวงดาวบนฟ้าต่างแข่งกันประจันแสง...
โดยมีต้นไม้ สายน้ำ และท้องทุ่ง เป็นตัวประกัน...

หมู่บ้านอันแสนสงบร่มเย็นอย่าง 'บ้านต้นรักษ์'
กำลังจะลุกเป็นไฟ

เมื่อสิ่งที่นักลงทุนอย่างเขาต้องการ
คือสิ่งเดียวกันกับที่หญิงสาวหวงแหนยิ่งชีพ
ทั้งๆที่เธอไม่มีสิทธิ์อะไรที่จะมาหวงแหนในสิ่งที่ไม่ใช่
กรรมสิทธิ์ของตน!

การเชือดเฉือนจึงก่อกำเนิดในยุคแห่งวัตถุนิยม
ที่นายทุนเป็นใหญ่

ท่ามกลางสงครามอันร้อนระอุ

ระหว่าง

ราชาแห่งท้องทะเลทราย กับ ราชินีแห่งท้องทุ่ง

ที่อยู่ห่างกันราวคนละโลก ในชีวิตกันคนละแบบ
คิดอ่านกันคนละอย่าง...

เสียงเพรียกจากวันวาน จะกลับมาขับขาน
สะพานไม้หมากที่พาดข้ามฟากเชื่อมสองฝั่งคลอง
กำลังสั่นสะเทือน...เมื่อสะพานคอนกรีตจะเข้ามาแทนที่

สายสัมพันธ์ระหว่างคนกับต้นไม้กำลังจะพัดหวนคืน

...น้ำในลำธารใสสะอาดกับน้ำมันสีดำไม่อาจเข้ากันได้ฉันใด
เธอกับเขาก็ไม่อาจเข้ากันได้ฉันนั้น...

ไม่มีใครรู้ว่าระหว่าง ดวงจันทร์ดวงใหญ่แค่ดวงเดียวที่ลอยเด่น
อยู่บนฟ้ากับดวงดาวจำนวนมากมายนับล้าน
มีความเป็นมาอย่างไร...
เว้นแต่ต้นไม้ที่ผ่านกาลเวลาโดยไม่เคยหนีหายไปไหนเท่านั้น
ที่จะไขปริศนานี้...

ต้นไม้ที่ยืนผงาดอย่างอดทนผ่านร้อนหนาว
ผ่านฤดูกาลมาครั้งแล้วครั้งเล่าโดยไม่มีใครเคยได้ยินเสียงบ่น
ต้นไม้ที่เหมือนจะไม่รับรู้สิ่งใด...

หากทุกเรื่องราวที่เกิดขึ้นและเป็นไปกลับกลายเป็นส่วนหนึ่ง
ความรักความประทับใจและความผูกพันธ์ถูกบันทึกไว้ใต้ต้นไม้
หยั่งรากลึกลงในดิน หยั่งลึกลงในจิตใจ...
มีค่า มีความหมาย...นานเท่านาน...


Tags: ดราม่า รัก ต้นไม้ กอมารุน นัจมุน ก้อ นีล เชือดเฉือน แนวอนุรักษ์

ตอน: ต้นที่ 3 คู่รักจอมยุทธรุ่นจิ๋ว




“พี่ก้ออออออออ…อย่าไป…” เสียงกรีดร้องนั้นทำเอาคนเป็นแม่
ที่นอนเฝ้าไข้ลูกสาวอยู่ด้วยการนั่งเอาศีรษะพิงกับฝาผนังห้องด้วยเผลอหลับไป
ถึงกับสะดุ้งตกใจตื่นจากนิทรา เมื่อเห็นว่าลูกสาวเพียงละเมอตกใจ
จึงเข้าไปหาแล้วกอดลูกเอาไว้แน่น ลูบหลังปลอบ

“พี่ก้อ…พี่ก้อล่ะจ๊ะแม่…” เสียงแหบแห้งเอ่ยขึ้น คนเป็นจึงแม่เตะหน้าผากลูก
ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อพบว่าลูกสาวไข้ลดลงมากแล้ว…

“พี่ก้อล่ะจ๊ะ…” เสียงนั้นยังคงถามไถ่ไม่ยอมหยุดเมื่อยังไม่ได้คำตอบ

“พี่ก้ออยู่ตรงนั้นไง…หันไปมองสิจ๊ะ…”

คนเป็นแม่ชี้ให้ลูกสาวหันไปมองพี่ชายที่นอนห่างออกไปอีกฟากนึงของห้อง
ดวงตาของเขาจ้องมองเธออยู่ก่อนหน้าแล้ว

นัจมุนมองผ้าสีขาวๆที่ถูกพันไว้บนหัวของคนเป็นพี่ชายแล้วพยายามคลานไปหา
เมื่อได้มาอยู่ใกล้ๆ เด็กหญิงตัวน้อยยิ้มสดใสส่งไปให้เจ้าของ
ดวงตาสีประหลาดกว่าของคนอื่นๆที่ตนเคยพบเห็น

“พี่ก้อ…เจ็บมั้ย…นีลกลัวแทบแย่ เมื่อกี้นีลฝันไม่ดีเลย…”

“ฝันร้ายตลอด…” เสียงนั้นดังขึ้น แม้จะไม่เข้มกว่าปกติ หากโทนเสียง
ก็ไม่ได้อ่อนโยนอย่างเคยอยู่ดีนั่นแหล่ะ

“นีลฝันว่าพี่ก้อนั่งเครื่องบินหนีนีลไป…มันเหมือนจริงมากๆเลย…
พี่ก้ออย่าทิ้งนีลไปนะ…ถ้าไปพี่ก้อต้องเอานีลไปด้วย…
นีลอยากขึ้นเครื่องบินนั่นเหมือนกัน…”

เสียงนั้นเริ่มกลับมาเจื้อยแจ้วได้อีกครั้ง ยังความชื่นใจให้ผู้เป็นบิดามารดา
ที่นั่งเฝ้าไข้สองคนนี้มาตลอดทั้งคืน…

โชคดีที่นางกับสามีนึกเอะใจว่าเหตุใดค่ำมืดแล้วสองพี่น้องยังไม่กลับกันมาอีก
เลยออกตามหาด้วยกัน แล้วก็พบทั้งสองอยู่ในสภาพที่หมดสติด้วยกันทั้งคู่…

ลูกสาวนั้นไม่เท่าไหร่ แค่ไข้หวัดธรรมดา แต่เจ้าลูกชายนี่สิ
ทั้งเนื้อทั้งตัวมีแต่รอยฟกช้ำดำเขียวเต็มไปหมด ศีรษะแตกเลือดไหลเป็นทาง
จนหมอต้องพาไปหาหมอ กว่าหมอจะเย็บแผลและจัดยามาให้
สองสามีก็แทบก็ไม่ได้กินไม่ได้นอนกันทั้งคืนยันสว่าง…

“อยากนั่งเครื่องบินนั่นจนเก็บไปเพ้อฝันน่ะสิยัยนกสาลิกาดำ…”

“ทำไมรอบนี้นีลถึงกลายเป็นนกสาลิกาล่ะพี่ก้อ…”

“ก็เพราะเสียงของเธอไง…ได้ยินทีไร...หลับลึกแค่ไหนก็ตื่น”

ผู้ใหญ่ทั้งสองหันมามองหน้ากันแล้วยิ้มให้กับบทสนทนาของเด็กๆ

“หิวมั้ยนีล…” คนที่ยังไม่ได้กินอะไรเลยนอกจากกล้วยน้ำหว้าเกือบหวี
กับฝรั่งอีกหลายผลของพี่ก้อที่หามาให้กินหันมาพยักหน้ากับมารดา

“ขอข้าวต้มใส่ไข่เยอะๆนะจ๊ะ…”

“ได้…เดี๋ยวแม่จัดให้…” คนเป็นลูกเลยยิ้มแป้น

“ก้อล่ะลูก…จะเอาเหมือนน้องมั้ย…”

น้ำเสียงและแววตาเอื้ออาทรนั้นทำเอาเด็กชายมองดูด้วยหัวใจที่อุ่นซ่าน

...เขารักที่นี่ รักบ้านหลังนี้ แม้มันจะไม่ได้มีอะไรอย่างที่เขาเคยมี
แต่คนที่บ้านหลังนี้ดีกับเขาทุกคน...เวลาสองปีที่อยู่ด้วยกันมามันทำให้เขา
รู้สึกรักและผูกพันธ์กับที่นี่...รวมทั้งสิ่งดีๆที่ผู้เป็นบิดาของนัจมุนสอนเขา
เขาก็ชอบ โดยเฉพาะวิธีการหาปลาและทำมาหากินแบบที่ไม่มีใครเคยสอน...

ที่สำคัญเขารับรู้ได้ว่าท้ังสามคนรักเขาแค่ไหน...

"ผมยังไม่หิวเลยครับ..."

“ไม่ได้…ไม่หิวก็ต้องกิน…หรือว่าอยากกินอย่างอื่น…แม่จะหามาให้…”

เห็นอีกฝ่ายเป็นห่่วงและคอยกุลีกุจอจัดหาโน่นนี่มาให้ตลอด คำน้อยก็ไม่เคยพูด
ให้เขาเสียใจ ทำเอาเด็กชายในวันเก้าขวบถึงกับนึกไปถึงใครคนหนึ่งขึ้นมา…

ก่อนจะพยายามกะพริบตาปริบๆเพื่อไล่บางอย่างที่กำลังจะเอ่อท้น…
รับรู้ได้ถึงก้อนเล็กๆอัดอยู่ที่ลำคอ…ทำให้ถึงกับนิ่ง พูดไม่ออก

“พี่ก้อกินเหมือนนีลก็แล้วกันนะ…เพิ่มไข่เค็มด้วยนะจ๊ะแม่จ๋า…นีลคิดถึงไข่เค็ม…”

คนตัวเล็กจัดแจงเองเสร็จสรรพ เพราะเฝ้าคิดถึงไข่เค็มมาตั้งแต่ตอนที่ยังไม่เกิดเรื่อง
แล้วหันไปยิ้มให้อีกคนที่ไม่ได้เอ่ยปากคัดค้านแต่อย่างใด

“ได้…งั้นรอแป๊บ…” คนบอกให้รอลุกขึ้นเดินไปยังห้องครัวทันที
และพอเห็นคนตัวโตพยายามจะลุกขึ้น คนที่นั่งอยู่ไม่ห่างเลยเอ่ยปากถามออกไป

“พี่ก้อจะไปไหนจ๊ะ…”

“หิวน้ำ…” เสียงนั้นบอก เด็กหญิงนัจมุนเลยหันไปรอบๆเพื่อมองหาโถน้ำ
แล้วก็พบว่ามันวางอยู่ตรงเสาเรือน จึงคลานไปหยิบมาให้

“อ่ะ…ให้นีลป้อนให้นะ…”

“ไม่ต้อง…ฉันกินเองได้…” เขาบอกเสียงแข็ง ทำเอาคนที่มีจิตอาสา
ถึงกับแบะปากใส่ หันไปทางบิดาที่นั่งเปิดปากหาวหวอดๆ

“พ่อไปเจอนีลกับพี่ก้อได้ไงจ๊ะ…” เสียงนั้นถามด้วยแน่ใจว่าต้องเป็นพ่อแน่ๆ
ที่ไปเจอตนกับพี่ชายกำมะลอ

“เห็นไม่กลับกันมาเลยไปตามน่ะสิ…ว่าแต่เกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่ก้อของเรา
ถึงหัวแตกและเนื้อตัวช้ำไปหมดแบบนี้…”

คำถามนั้นทำเอาเด็กสองคนหันมามองหน้ากัน คนที่กำลังดื่มน้ำแทบจะสำลักน้ำ…

“เอ่อ…เอ่อ…” คนตัวเล็กหันมามองหน้าพี่ชายราวกับจะปรึกษา
หากเขากลับนิ่งแถมยังล้มตัวลงไปนอนต่อ ปิดตาลงด้วยความหนักอึ้ง

“พี่ก้อหลับไปแล้วจ๊ะพ่อ…" ตั้งใจหลับหนีรึเปล่าก็ไม่รู้ แล้วคราวน้ีจะเอายังไงดี

หวังว่าถ้าเล่าเรื่องราวทั้งหมดไปแล้วเขาจะไม่ลุกขึ้นมาต่อว่าเธอทีหลัง
ว่าเธอสมองเท่ามดอีกนะ

“ปล่อยพี่เขาให้นอนเถอะ…ว่าแต่เราน่ะ…เล่ามาซะดีๆ…”

เท่านั้นแหล่ะ เด็กหญิงนัจมุนก็เล่าถึงทุกฉากทุกตอนที่เกิดขึ้นให้ผู้เป็นบิดาฟัง
อย่างซื่อตรง ไม่มีฮุบฮิบเอาไว้แม้แต่นิดเดียว…

ก่อนจะมาหยุดเล่าทุกอย่างลงเมื่อข้าวต้มหอมกรุ่นจากมือแม่วางลงตรงหน้า…

“ว้าวววว…น่ากินจัง…มีไข่เค็มด้วยจริงๆ…ไข่เค็มของนีลกับพี่ก้อที่เราสองคนทำไว้”

เสียงใสดูตื่นเต้นกับอาหารตรงหน้าไม่น้อย ซ้ำยังพูดโอ่เหมือนจะโชว์ผลงาน
การทำไข่เค็มของตนกับพี่ชายไปด้วย

เสียงท้องร้องจ๊ากทันทีเมื่อถูกกระตุ้นด้วยกลิ่นของข้าวต้ม
ทำเอาเจ้าของท้องถึงกับหัวเราะแหะๆ

ก่อนจะหันไปทางพี่ชายแล้วสะกิดให้เขาตื่นขึ้นมากินข้าวต้มเป็นเพื่อนกัน…
หากอีกฝ่ายกลับไม่ยอมลุกขึ้นมา…

“พี่ก้อน่ะ…แม่อุตส่าห์ทำให้เรากินนะ…เดี๋ยวแม่ก็เสียใจหรอก…”

เสียงใสๆกระซิบบอกเขาเบาๆไม่ให้มารดาได้ยิน ทำเอาดวงตาที่ปิดอยู่เปิดออก

เมื่อผู้ปรุงข้าวต้มเห็นเช่นนั้นจึงอดยิ้มออกมาไม่ได้ ขยับเข้าไปประคองร่าง
ที่ดูไร้เรี่ยวแรงนั้นให้ลุกขึ้นเอาหลังพิงฝาผนังห้องไว้…

“ป้อนพี่เขาด้วยนะนีล…โทษฐานที่ไม่รู้จักดูแลพี่เขาให้ดีๆ
ปล่อยให้พี่เขาหัวแตกได้ไง…ไม่ไหวเอาซะเลย…”

มือป้อมๆที่กำลังยกช้อนข้าวต้มเข้าปากถึงกับชะงัก ก่อนจะเป่าลมไปบนข้าวต้มในช้อน
ใช้ปลายลิ้นเตะเบาๆเพื่อพิสูจน์ว่ามันเย็นพอจะเอาเข้าปากได้แล้วหรือยัง…
ทำราวกับไม่ได้ยินเสียงมารดาเสียอย่างนั้น

เวลากินใครเขาอยากจะสนสิ่งอื่น ต่อให้รักพี่ก้อยังไง
แต่เรื่องกินก็เรื่องใหญ่ไม่เป็นรองใคร…ดังนั้น…เรื่องกินต้องมาก่อนความรัก
ท้องอิ่มแล้วค่อยว่ากัน…

เมื่อข้าวต้มเข้าปากไปได้หนึ่งคำ คำที่สองและสามจึงตามไปติดๆ
เสียงใสๆเงียบไปในบัดดล คนป่วยอีกคนได้แต่นั่งส่ายหน้าเบาๆ
ให้กับนกสาลิกาดำที่เลิกส่งเสียงเจื้อยแจ้วลงได้อย่างน่าอัศจรรย์

“มา…งั้นแม่ป้อนให้ดีกว่า…ก้อนั่งเฉยๆนะลูก…ไม่มีแรงแถมมือไม้ยังเจ็บอยู่แบบนี้...
เดี๋ยวตักกินเองจะเลอะซะเปล่าๆ”

เด็กหญิงนัจมุนเหลือบตามองมารดาที่เริ่มป้อนข้าวต้มให้พี่ก้อของเธอ
แล้วให้รู้สึกไม่พอใจขึ้นมาตะหงิดๆ

…ถึงจะรักพี่ก้อแค่ไหน แต่ครั้นจะให้พี่ก้อทำคะแนนกับแม่ล้ำหน้าเธอไปแบบนี้
เห็นท่าจะไม่ดีแน่…แม่รักพี่ก้อเท่าเธอนั้นไม่เป็นไร แต่ถ้ารักมากกว่า เห็นจะยอมไม่ได้

ดูสิ แม่เอาใจพี่ก้อใหญ่เลย…ทีกับเราให้ตักกินเอง...

คิดได้ดังนั้น เด็กหญิงนัจมุนก็เลยวางช้อนข้าวต้มลงแล้วหันไปทางมารดา

“ให้นีลป้อนให้พี่ก้อก็ได้จ่ะ…นีลป้อนเก่ง ไม่เลอะหรอก…”

คนเป็นพ่อที่นั่งลอบสังเกตลูกสาวมาตลอดเลยได้แต่ยิ้มพลางส่ายหน้าไหวๆ
แววตาเอื้อเอ็นดูมากกว่าสิ่งใด…

“แน่นะ…แล้วทำไมไม่กินให้เสร็จก่อน…” คนเป็นแม่ที่เหมือนจะรู้ทันความคิด
ของแม่ลูกสาวตัวดีถึงกับลอบยิ้ม

“เก๊าะ…รอให้มันหายร้อนก่อน แล้วช้อนกินรวดเดียวเลย…”
ตอบแบบอ้อมแอ้ม เพราะอายที่จะพูดออกไปตรงๆอย่างเช่นทุกครั้ง

“งั้นมานั่งตรงนี้ แล้วป้อนพี่เขาดีๆนะ…”

จริงๆแล้วไม่ได้อยากใช้งานลูกสาวที่เพิ่งฟื้นไข้นัก…เพียงแต่อยากฝึกให้ทั้งสอง
ได้เรียนรู้ที่จะดูแลกันและกันในยามทุกข์ยากและในยามเจ็บไข้ได้ป่วยเช่นนี้
เวลาเจอกับปัญหาและความลำบากจะได้ไม่ทอดทิ้งกัน…
หรือตีตัวออกห่าง ตัวใครตัวมัน...

นางเพียงหวังว่าในภายภาคหน้า ทั้งสองจะรักใคร่ผูกพันกัน
ช่วยเหลือเกื้อกูลซึ่งกันและกัน...ดูแลปกป้องกันและกันแบบนี้

เพราะสำหรับนางแล้ว อาจจะไม่ได้อยู่ดูแลลูกสาวคนเดียวไปได้ตลอด

ที่สำคัญ เด็กชายที่ผู้เป็นสามีเก็บมาเลี้ยงก็ดูหน่วยก้านดี
เป็นคนที่มีความมานะและกตัญญูรู้คุณ มีความรับผิดชอบตั้งแต่ยังตัวเท่านี้
คนลักษณะแบบนี้ นางเชื่อว่าต่อไปจะต้องเจริญก้าวหน้า เป็นที่พึ่งแก่ผู้อื่น
ได้อีกมากมายอย่างแน่นอน…

“พี่ก้ออ้าปากสิ…” คนที่ทำหน้าที่ป้อนเริ่มสั่งเสียงเข้มที่เดียว
เมื่อเอาช้อนข้าวต้มไปจ่อที่ปากคนป่วยแล้วเขายังไม่ยอมเปิดปาก
แถมยังบ่ายหน้าหนีอีก

“มันยังร้อนอยู่ ควันโขมงเลยไม่เห็นรึไง…”

คนป้อนมองช้อนในมือตนแล้วได้แต่ยิ้มแหย ก่อนจะเป่าลมเพื่อบรรเทาความร้อน
คราวนี้คนป่วยจึงยอมอ้าปากรับแต่โดยดี

และด้วยความหิว เด็กหญิงนัจมุนเลยป้อนให้คนป่วยหนึ่งคำสลับกับป้อนข้าวต้ม
จากชามของตัวเองเข้าปากตนเองไปด้วยหนึ่งคำ ทำอย่างนี้ไปเรื่อยๆอย่างเท่าเทียม
และยุติธรรม…ทำเอาผู้ใหญ่ทั้งสองที่มองภาพนั้นถึงกับอมยิ้มแล้วหันมายิ้มให้กัน…






หลังจากเหตุการณ์ในครั้งนั้น หัวโจกของโรงเรียนที่ถูกทำทัณฑ์บน
ว่าหากก่อเหตุร้ายให้เกิดภยันตรายแก่บุคคลหรือทรัพย์สินของเพื่อนนักเรียนอีก
ก็จะถูกเชิญให้ออกจากโรงเรียน

เพียงเท่านั้น หัวโจกของโรงเรียนก็ถึงกับหงอ ไม่กล้ากร่างคับโรงเรียนอีก…

ซึ่งนับว่าเป็นผลดีโดยรวมสำหรับเพื่อนนักเรียนคนอื่นๆที่ถูกรังแก
แต่ไม่กล้าเรียกร้องก่อนหน้านั้นไปด้วย

จนหลายๆคนต่างให้การยอมรับและสรรเสริญเด็กชายกอมารุน
และเด็กหญิงนัจมุนมากขึ้นตามลำดับ…

จนทั้งสองได้กลายเป็นวีรบุรุษและวีรสตรีของโรงเรียนไปในพริบตา…
ราวกับว่าทั้งสองได้รวมพลังกันปราบเซียนจนหมอบราบคาบแก้ว
ดั่งในหนังจีนกำลังภายในท่ีเด็กเล็กเด็กใหญ่ต่างติดกันงอมแงม…

โดยมีอาจารย์ใหญ่เป็นเปาบุ้นจิ้นผู้ทรงไว้ซึ่งความยุติธรรม ตัดสินชี้ขาด
จนเหล่ามารที่ใช้วิชามารทำร้ายผู้คนในโรงเรียนมาตลอดไม่กล้าผยอง

โดยเฉพาะกอมารุน ถูกเรียกขานว่า ‘ท่านจอมยุทธ’ ผู้เป็นเจ้ายุทธจักร

ยิ่งเมื่อประกบคู่กับเด็กหญิงนัจมุนเวลาเดินมาโรงเรียนและเดินกลับบ้านด้วยกันทีไร
ก็มักจะมีเสียงแซวเล่นมาจากบรรดาเพื่อนๆในโรงเรียนและชาวบ้าน
ที่มักหยอกล้อด้วยความเอ็นดูเป็นประจำ

โดยกอมารุนจะถูกเรียกว่า ‘ท่านเอี้ยก้วย’ ส่วนนัจมุนจะเป็นใครไปไม่ได้
นอกเสียจาก ‘แม่นางเซียวเหล่งนึ่ง’ คู่รักจอมยุทธจากเรื่องมังกรหยกภาค2
ที่กำลังฮอตฮิตติดกระแสในหมู่บ้านและไม่เว้นในหมู่ของนักเรียนและครูบาอาจารย์…

โดยเด็กๆต่างมองว่า บิดาของนัจมุนคือ 'ก๊วยเจ๋ง'
พระเอกจากเรื่องมังกรหยกภาคแรกที่ได้เจอกับเอี้ยก้วยในวัยเด็ก
เลยรับมาเลี้ยงดูที่เกาะดอกท้อ ซึ่งเกาะดอกท้อที่ว่านี้ คือ ‘บ้านต้นรักษ์’
ในความเป็นจริงนั่นเอง…

เรื่องราวของพวกเขาจึงดูเหมือนจะกลายเป็นหนึ่งในเรื่องเล่าที่ชาวบ้านพูดกันไม่รู้จบ…

แม้นว่าปัจจุบัน…เงาของวันวานจะลางเลือนเคลื่อนคล้อยไปตามกลไกของกาลเวลา
แม้ฟ้าจะเปลี่ยนสี ลมจะเปลี่ยนทิศ ชีวิตเธอจะแปรเปลี่ยนไปแค่ไหน…
หากสิ่งที่ยังตราตรึงใจเอาไว้นั่นคือ ภาพความทรงจำที่ยังคงอยู่อย่างนั้น…เป็นนิจนิรันดร์…

“นี่แกคิดจะทอดทิ้งเมืองหลวงอันศิวิไล ไปอยู่บ้านนาจริงๆหรือนีล”

“อืม…”

“แล้วใบปริญญาสองสามใบของแกมันจะไม่เสียเปล่าหรือ…แกน่าจะลองคิดให้ดีอีกที…
นี่มันคือโอกาสที่แกจะมีชื่อเสียงไปทั่วประเทศและเผลอๆอาจจะทั่วโลกก็ได้…”

ว่าพลางวางมือลงบนบ่าของเพื่อนสนิทที่รู้จักกันมาเป็นสิบปี…

“ฉันไม่สนใจสักหน่อย…” น้ำเสียงคนพูดดูจะไม่ยี่หร่ะต่อสิ่งดังกล่าวแม้แต่น้อย
คนเราเกิดมาย่อมมีเป้าหมายด้วยกันทั้งนั้น

“บ้าหรือเปล่า…แกน่าจะสนสักนิดนะ…ฉันน่ะเสียดายความรู้ความสามารถแก
ที่จะต้องไปจบที่ท้องทุ่ง…แกไม่ได้เรียนด้านพัฒนาพื้นท่ีการเกษตรมานะนีล
ความรู้เรื่องต้นไม้ใบหญ้าของแกก็มีแค่หางอึ่ง…แล้วแกจะไปทำอะไรกินที่นั่น…”

“กลับบ้านเกิดไง…ฉันอยากกลับไปที่นั่นตั้งนานแล้ว…”

“โธ่…นีล…ฉันว่าแกกำลังเพ้อนะ…และที่สำคัญแกควรอยู่ช่วยพ่อฉัน
สร้างสะพาน สร้างหอคอย สร้างสวนสาธารณะอะไรแบบนี้ต่อไป
จะเป็นผลดีต่อชีวิตแกมากกว่า…เชื่อเพื่อนคนนี้สิ…”

นัจมุนเงยหน้าจากจอคอมพิวเตอร์แล้วยิ้มให้เพื่อน

“พ่อแกจ้างแกให้มาพูดเท่าไหร่…”

“สามล้าน…”

“น้อยจัง” ในน้ำเสียงนั้นเหมือนจะเย้าอีกฝ่ายเล่น

“แต่ฉันจะเอา…และแกก็ต้องช่วยให้ฉันได้ตังค์สามล้านด้วย…”

“แกจะเอาไปซ้ืออะไรอีก…”

“ว่าจะเอาไปซื้ออุปกรณ์การเรียนให้เด็กๆ แกว่าเริดม้ัย…”

“เริดมากกกกก…แต่เสียใจนะที่ฉันคงช่วยแกในเรื่องนี้ไม่ได้จริงๆ
เพราะฉันจะกลับบ้านเกิดของฉัน…” น้ำเสียงนั้นหนักแน่น

“ถามหน่อย…กรุงเทพฯมันไม่ดีที่ตรงไหน…” คนกรุงเทพฯแต่กำเนิด
ถามขึ้นอย่างสงสัย

เพราะใครต่อใครต่างก็มุ่งหน้ามาสู่ที่นี่กันทั้งนั้น
จะมีก็แต่ยัยนี่นี่แหล่ะที่หายใจเข้าออกก็เป็นบ้านต้นรักษ์

อะไรๆก็พี่ก้อ จนผู้ชายคนไหนมันก็ไม่สนใจจะแต่งงานด้วย…
แล้วไอ้พี่ก้อของมันเคยสนใจหันกลับมามองมันมั้ย
ป่านนี้ไม่รู้ไปมุดรูอยู่ที่ไหนด้วยซ้ำ

“แกอยู่นานๆ ไม่รู้สึกอะไรบ้างหรือมาลาตีเพื่อนรัก…”
นัจมุนยิ้มถามเพื่อนด้วยแววตาขี้เล่นเช่นปกติ

“รู้สึกอะไร ก็นี่มันบ้านเกิดฉันนะ…ใครๆก็หลงใหลกันทั้งนั้น…
มีแต่แกนี่แหล่ะ…ที่อยากจะหนีไปขุดดินกินทรายอยู่ได้…”

“ก็ที่นี่มันไม่สดใสสำหรับฉันเลย…อยู่แล้วเหนื่อย…รถก็ติดไม่มีวันหยุด
ฉันอยากกลับไปหาอ้อมกอดของบ้านเกิด…คนที่นั่นศิวิไลกว่าคนที่นี่…”

คนที่เฝ้าแต่คิดถึงบ้านเกิดเอ่ยขึ้น เธอไม่ได้รังเกียจรังงอนอะไรเมืองหลวง
หากก็อยากจะหาโอกาสไปให้พ้นจากที่นี่อยู่บ่อยๆ แต่โดนรบเร้าจากรอบทิศ
ทำให้ตัดสินใจไปจากที่นี่ไม่ได้เสียที…ยังไงๆคราวนี้เธอได้ตัดสินใจขั้นเด็ดขาดแล้ว…

อะไรจะรอเธออยู่ที่บ้านต้นรักษ์เธอไม่รู้หรอก...แต่เธอตัดสินใจแล้ว…

“พ่อแกรู้เรื่องรึยัง…”

“ยัง…”

“งั้นฉันฟันธง…พ่อแกไม่มีทางยอมหรอก…”

“ฉันโตพอที่จะไม่ต้องขอคำอนุมัตหรือลายเซ็นจากผู้ปกครองแล้ว…”

คนพูดยิ้มกว้างทีเดียว เพราะคำว่า ‘โตพอ’ ความจริง
มันยิ่งกว่านั้นด้วยซ้ำ…เธอน่ะอายุปาเข้าไปสามสิบแล้ว
วุ่นวายวกวนอยู่ในกระแสคนเมืองมาเนิ่นนาน จนอยากจะกลับไปหาความสงบ

…หวังแค่เพียงว่า ‘บ้านต้นรักษ์’ จะยังคงสงบสุขดั่งวันวาน

“ฉันน่าจะยุให้แกแต่งงานไปกับพี่บากี้ซะตั้งแต่ตอนนั้น…เฮ้อ…”

นุจมุนปิดหน้าจอแล้วลุกข้ึนยืดเส้นยืดสาย มองไปนอกกระจกคอนโด
ภาพแม่น้ำสายใหญ่ในยามเย็นกับตึกรามบ้านช่องด้านล่าง
ทำให้คนที่ใฝ่หาบรรยากาศท้องทุ่งในวันวานถึงกับลอบถอนใจ

“โชคดีของพี่แกแล้วละ…”

“นี่ใจคอแกจะทิ้งฉัน…ทิ้งชีวิตที่นี่ไปจริงๆเหรอ…” แววตานั้นดูละห้อย
ชวนให้หมั่นไส้มากกว่าจะน่าเห็นใจ

“ฉันอยากกลับไปที่นั่นจริงๆนะ…ยี่สิบปีแล้วที่ฉันจากมา…และตอนนี้
ฉันก็มีเงินพอจะซื้อที่นาตรงนั้นได้แล้วด้วย…”

“ก็ไหนแกบอกว่า…มีเศรษฐีมาซื้อตัดหน้าแกก่อนไงล่ะ…”

“ก็ใช่…แต่ยังไม่หมด…ชาวบ้านไม่ยอมขาย…แต่ถ้าชาวบ้านรู้ว่า
ฉันจะซื้อเพื่อเอาไว้เพาะปลูกข้าว…เขาน่าจะยินดีขายให้ฉันมากกว่า
นายทุนหน้าเลือดพวกนั้น…”

“แกรู้มั้ยว่าไอ้เศรษฐีที่ว่านั้นใคร…”

“ศุภิกา ชลันธนาบริรักษ์ภักดีกุล”

“ไอ้นามสกุลยาวๆนี่อีกแล้วเหรอ…เฮ้อ…เมื่อไหร่ฉันจะเลิกได้ยิน
ไอ้นามสกุลนี้กระแทกหูสักที…” คนเป็นเพื่อนบ่นอุบเมื่อได้ยินนามสกุล
ของมหาเศรษฐีในเมืองกรุง

“ว่าแต่…ชีจะไปงมโข่งทำไมที่บ้านต้นรักษ์…” นัจมุนส่ายหน้า

เธอเองก็อยากรู้เหมือนกันว่าผู้หญิงคนนี้ไปซื้อที่ตรงน้ันไว้ทำไม
แถมยังสร้างบ้านที่ทำด้วยไม้สักทองหลังใหญ่โตคับหมู่บ้าน
ไว้ให้ชาวบ้านที่ผ่านไปมาแหงนมองไปกลืนน้ำลายลงคอไปด้วย

“แต่ชั่งเถอะ…เพราะวันพรุ่งนี้ฉันคงต้องรบกวนแกแต่งตัวสวยๆ
ไม่เอานะไอ้แบบชุดเอี๊ยมไร้รสนิยมแบบนี้…” คนพูดมองดูชุดเอี๊ยม
ลายทางม้าลายของเพื่อนแล้วส่ายหน้า

“ขอเป็นชุดราตรีที่สง่างามหน่อย…”

“จะใส่ไปทำไม…นี่อย่าบอกนะ…” นัจมุนมองหน้าเพื่อนสาวอย่างไม่ไว้วางใจ

“โนๆๆ…ฉันไม่ได้จะพาแกไปหาคู่ดูตัวนะ…แกก็รู้ว่าตั้งแต่โดนแก
หักหน้าเสียยับเยินครั้งนั้น ฉันก็เลิกล้มแผนการหาคู่ให้แกมาจนบัดนี้”

นัจมุนสบตาเพื่อนสนิทที่ชิงกระโดดลงจากคานไปก่อนหน้าเธอเมื่อปีที่แล้วนิ่ง

“โอเค…ฉันก็แค่อยากให้แกไปเป็นเพื่อนฉัน…พอดีพ่อฉันขอให้ฉันไปช่วยดูแล
ต้อนรับคณะของท่านเชคผู้ยิ่งใหญ่ที่เดินทางมาจากทะเลทรายอันไกลโพ้น…

ซึ่งในงานนี้จะมีบรรดาสตรีติดตามท่านๆมาด้วย
และมันคือหน้าที่ฉันที่จะต้องดูแลเทคแคร์บรรดาสตรีเหล่านั้น…”

“อืม…แล้วฉันเกี่ยวไรด้วย…ฉันไม่ชอบออกงานสังคมนะแก…
เดี๋ยวทำแกขายหน้าเปล่าๆ…”

“โธ่…งานนี้ฉันไม่ให้แกออกหน้ามากนักหรอก แกช่วยอยู่ข้างๆฉัน
ไม่ให้ฉันประหม่าก็พอ…”

“แกเนี่ยนะประหม่า…” นัจมุนแทบไม่อยากจะเชื่อว่าเพื่อนผู้มีความมั่นใจสูง
อย่างมาลาตีจะประหม่า

“ก็…มีแต่นักธุรกิจใหญ่ๆทั้งนั้น…เห็นพ่อบอกว่า เชคท่านนี้คือผู้ที่ได้รับ
สัมปทานแหล่งน้ำมันในไทย…เขามาพักที่โรงแรมพ่อฉัน…
ซึ่งเขามีหุ้นส่วนอยู่ด้วย 20% เชียวนะ…ที่สำคัญ…”

คนพูดหยุดไปนิดนึงเพื่อกระตุ้นให้คนฟังอยากรู้อยากเห็น
หากเมื่อไม่เห็นปฏิกิริยาจากเพื่อน จึงจำต้องพูดต่อไปว่า

“ฉันไม่เคยเห็นหน้าเขามาก่อน…ไม่ค่อยมีใครได้เห็นเขาหรอก ได้ยินแต่ชื่อ…
ทุกๆธุรกิจของเขาจะมีซีอีโอเป็นผู้ดำเนินการ…เขานั่งกุมบังเหียนอีกที…
แค่ต้อนรับซีอีโอฉันก็เหงื่อตกแล้ว...แล้วอย่างนี้…แกจะไม่ให้ฉันประหม่าได้ยังไง…”
นัจมุนยกไหล่

“ก็ไม่เห็นจะต้องประหม่าเลยนี่…พ่อกับพี่บากี้ของแกแล้วไหนจะสามีสุดที่รักของแกอีก
ที่คอยออกรับหน้า…แค่นี้ก็หายห่วงแล้ว”

“โหย…ฉันไม่รู้นี่แกว่าบรรดาสตรีเหล่านั้นเป็นใครบ้าง หนึ่งในนั้น
อาจเป็นภรรยาท่านเชคท่านนี้ก็ได้…เอ๊ะ…แต่ฉันเพิ่งได้ข่าวว่า
ท่านเชคเพิ่งหย่ากับภรรยาไปนี่นา…เห็นพี่บากี้เคยบอกว่าหย่าไปแล้วสองคนแล้ว…
โดนภรรยาฟ้องหย่าซะด้วย…จริงๆแล้ว เป็นข่าววงใน ไม่มีใครรู้นักหรอก
เขาปิดกันเงียบ…เชคท่านนี้ไม่ค่อยมีข่าวหรือมีประวัติอะไรให้ศึกษาเท่าไหร่…”

“แล้วไงล่ะ…”

“ก็…ฉันอยากให้แกไปเป็นเพื่อนน่ะสิ…ไปด้วยกันนะนีล…เผื่อมีปัญหาอะไร
แกจะได้ช่วยฉันได้…ไหนๆแกก็กำลังจะทิ้งฉันกลับไปบ้านนอกของแกแล้วนี่…”

นัจมุนได้ฟังเจ้าของสำนวนดังกล่าวแล้วได้แต่ส่ายหน้า

“พลีสสสส…ได้โปรดเถอะนีล…ถ้าแกตกลง ฉันจะเป็นคนออกค่าชุดให้แกหมดเลย…”

จริงๆแล้วเธอจัดการตัดชุดเอาไว้ให้เพื่อนเรียบร้อยแล้วต่างหาก…
ยังไงๆงานนี้นัจมุนก็ต้องไปเป็นเพื่อนเธอ

“งั้นขอทราบประวัติคร่าวๆของท่านเชคของแกได้มั้ย…” คนเป็นเพื่อน
เริ่มยิ้มได้เมื่อได้ฟังเช่นนี้ จึงเปิดปากเล่าโดยทันที

“เชคท่านนี้มีชื่อว่า เชคกอมารุน บินอัสมา อัลฟารุก เป็นเจ้าของธุรกิจพลังงาน
และธุรกิจด้านอสังหาริมทรัพย์มากมายกระจายไปในหลายประเทศ…
เป็นทายาทลำดับที่สี่แห่งราชวงศ์อัลฟารุก แต่งงานมาแล้วสองครั้ง
และหย่ากับภรรยามาแล้วสองคน ปัจจุบันน่าจะโสด…อันนี้ฉันไม่แน่ใจเท่าไหร่…
เอาไว้ค่อยถามพ่อ…" หญิงสาวหยุดรับเอาอากาศเข้าไปในปอดก่อนจะเล่าต่อไปว่า

"และเป็นผู้ที่ได้รับสัมปทานแหล่งน้ำมันในบ้านเรา…กับอีกหลายแหล่งในประเทศอื่นๆ
ร่ำรวยมหาศาล แต่ยิ้มยาก ผิวขาว สูง ผมสีเทา ตาสีเทาอมฟ้า
เอาใจยาก เป็นตัวของตัวเอง พูดคำไหนคำนั้น แล้วจะจำแม่นมาก
ว่าเราเคยพูดอะไรไป ชอบของดี ไม่เกี่ยงเรื่องราคา ขอให้ดีจริงๆ
สติปัญญาล้ำเลิศ…และหล่อมาก…” ท้ายประโยคคนเล่าถึงกับป้องปากบอกเพื่อน

“ไหนว่าไม่เคยเห็นหน้า แล้วทำไมสาธยายได้เป็นฉากๆ…”
อดไม่ได้ที่จะเย้าแหย่เพื่อน

“ก็เขาว่ากันว่า…ฉันก็ว่าไปตามเขา…”

“เชื่อแกเลย…” นัจมุนได้แต่ส่ายหน้า

“แต่คุณสมบัติเลิศขนาดนี้…ไหงโดนเมียฟ้องหย่าได้ล่ะนั่น…”

“ฉันจะไปรู้มั้ยล่ะ…ไม่ได้เข้าไปคลุกวงในนะแก…”

เมื่อก่อนนัจมุนมักหัวใจกระตุกทุกครั้งที่ได้ยินคนชื่อ ‘กอมารุน’
แต่พอได้ยินเข้าบ่อยๆ หลังๆมานี้ก็เลยรู้สึกเฉยๆไป…

เพราะเวลาได้ยินคราวใดก็ให้นึกถึงคนที่ทิ้งเธอไว้ที่บ้านต้นรักษ์เมื่อยี่สิบสี่ปีก่อน
แล้วก็เงียบหายเข้ากลีบเมฆไปเลย ไม่เคยแม้แต่จะกลับมาหา
หรือส่งข่าวคราวใดๆมาให้รับรู้

“คนนี้ชื่อเหมือนพี่ก้อของแกอีกแล้วนะนีล…”
เมื่อโดนเพื่อนสะกิดก็อดไม่ได้ที่จะสะเทือน

“ชื่อนี้มีพี่ก้อคนเดียวซะเมื่อไหร่ล่ะ…”

“ก็ใช่…” มาลาตีมองหน้าเพื่อนแล้วแตะบ่าเบาๆ

“สรุปว่าแกจะไปยืนอยู่เคียงบ่าเคียงไหล่ฉันในงานนี้นะนีล…”

“แล้วฉันเลือกอย่างอื่นได้อีกรึเปล่าล่ะมาลาตีเพื่อนรัก…”
คนเป็นเพื่อนหัวเราะแหะๆ

“งั้นไปลองชุดกัน…” นัจมุนลอบถอนใจยาวก่อนจะยอมตามใจเพื่อน
อย่างน้อยก็ช่วยเพื่อนก่อนจะกลับไปอยู่บ้านนอกอย่างเพื่อนว่า






......โปรดติดตามตอนต่อไป...........


แบบว่าเต่าประทับใจคู่รักจอมยุทธ อย่าง "ท่านเอี้ยก้วย"
กับ "แม่นางเซียวเหล่งนึ่ง" มาก ไม่รู้จะมีใครจำอมตะนิยายจีนที่ว่าได้บ้าง อิอิ

แบบว่า มังกรหยกเนี่ย เมื่อก่อนเต่าเฝ้าติดตามดูทุกภาคเลย ชอบภาคนี้สุดๆ
ชอบพระเอก...หล่อดี...คือพระเอกสมัยโน้นนะคะ
สมัยเมื่อยี่สิบปีที่แล้ว...ใครเกิดไม่ทันเห็น ช่วยไม่ได้นา...ฮ่าาาาาา

แม้ว่าคาแรกเตอร์ของพระ-นางเรื่องนี้จะห่างไกลจากคู่รักจอมยุทธทั้งสองก็ตาม
เหอๆ

ขอบคุณนักอ่านที่เข้ามาติดตามผลงานชิ้นนี้นะคะ
ไม่ว่าจะเผลอหลุดเข้ามาหรือว่าตั้งใจเข้ามา เต่าขอขอบคุณค่ะที่ทำให้ยอดวิว
การเข้าชมไม่ตกต่ำจนน่าใจหายเกินไป...อิอิ




ขอบคุณไลค์ที่นักอ่านคอยกดให้กันเงียบๆด้วยนะคะ


ขอบคุณเมนท์ที่พิมพ์ให้เต่าได้อุ่นใจ... ^^

เอาเรื่องนี้ไปกินพลางๆระหว่างรอเงามารตอนล่าสุดตกตะกอนนะคะ ^^




.......ตอบเมนท์จ่ะ..........


1.คุณตุ๊งแช่...มีแต่งข้ามบ่อยๆค่ะ อย่างเงามารนี่ อาจมีการเขียน
ตอนพิเศษก่อนตอนจบก็ได้...เหอๆ...คือบางวันอารมณ์เต่าดันไม่ได้อยู่
ในโหมดเขียนฉากบางฉาก ก็เลยต้องปล่อยฉากนั้นไปก่อน หันไปเขียน
ฉากที่เราเขียนได้ แล้วค่อยเอามาประกอบทีหลัง...เหอๆ
เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลาในแต่ละวันไปโดยมานั่งถอนใจกับอารมณ์ตัวเอง...อิอิ
เพียงแต่ว่า ไอ้ทีี่แต่งข้ามเอาไว้มันเอามาอัพเลยไม่ได้ เพราะการอัพนิยาย
เนื้อเรื่องต้องต่อเนื่องอ่ะจิ...อิอิ การวางพล๊อตและวางแปลนการเขียนเอาไว้แต่ต้น
เลยเป็นประโยชน์ตอนเขียนข้ามแบบนี้แหล่ะค่ะ...ฮ่าาาาาา

และที่บอกว่าเขียนข้ามไปนั้น โยก็แค่ข้ามไปขียนฉากฝนตกนี่แหล่ะค่ะ
เพียงแต่มันเป็นอีกฉากที่ฝนตกตอนที่สองคนนี้โตเต็มวัยแล้ว เหอๆ
ประมาณว่า yesterday once more....ฮ่าๆๆๆ
บรรยากาศคนละเรื่องกับฉากฝนตกตอนเด็กเลย...^o^

นายก้อทิ้งหนูนีลไปจริงๆนะงานนี้...เหอๆ

2.คุณปรางขวัญ...หนาวไม่เท่าหัวแตกค่ะงานนี้ อิอิ
ผู้ชายชอบใช้กำลัง ส่วนผู้หญิงชอบใช้มารยา ช่างเข้ากันได้ดีเหลือเกิน เหอๆ


3.คุณyapapaya...ตอนโตก็คาดว่าน่าจะโดนรุมอีก...เหอๆ
พื้นฐานครอบครัวนายก้อใช้ได้จริงๆ...ต้องมาดูงานที่ว่านี้กันค่ะ
โยปั่นเงามารตอนล่าสุดไปได้นิดนึงแล้ว...กำลังรอให้มันตกตะกอนอีกสักนิด
แล้วเอามาโพสต์ เพราะจะจบแล้วค่ะ...เวลาปิดฉากมันเลยต้องรวบรวม
พลังยุทธ อิอิ


ปล.ใช่ค่ะใช่ G ไหนๆไม่ใช่ปัญหา...ขอให้หัวใจ G Greennnnnnnnn
รับรองสดชื่นนนนนนน ลืมอายุไปเลยยยยยย...^o^


4.คุณsunflower...หนูนีนี่น่าจะผูกพันไม่น้อยค่ะ ขนาดสามสิบแล้วยังไม่ยอม
ลงจากคาน...เหอๆๆ ส่วนนายก้อ...ไม่รู้ค่ะ ฮ่าๆๆๆ

5.คุณแว่นใส....อนาคตของสองคนนี้กำลังจะเดือดค่ะ...อิอิ
ไม่น่าจะแพ้อากาศในช่วงนี้ ร้อนระอุเหลือเกิน...เหอๆ



....ขอให้สุขภาพแข็งแรงกันถ้วนหน้านะคะ...

"เต่าโย"



yoraya
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 6 พ.ค. 2558, 02:50:20 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 10 พ.ค. 2558, 18:29:33 น.

จำนวนการเข้าชม : 2460





<< ต้นที่ 2 ตัวปัญหากับตัวช่วย   ต้นที่ 4 ใช่เธอหรือเปล่า >>
sunflower 6 พ.ค. 2558, 08:09:32 น.
โตกันแล้ววววว ก้อนี่เป็นถึงเชกเลย แล้วมังกรหยกนี่ดป็นละครเหรอคะ????


แว่นใส 6 พ.ค. 2558, 08:31:32 น.
พี่ก้อเป็นท่านเชค จะจำกันได้ไหมนะ


ตุ๊งแช่ 6 พ.ค. 2558, 08:33:45 น.
ไวเหมือนโกหก ผ่านทีเดียว 20 ปี เกิดอะไรขึ้นถึงหายไป มาต่อโดยไวเลยยย


ปรางขวัญ 6 พ.ค. 2558, 10:06:00 น.
ใช่พี่ก้อใช่รึเปล่า จะยังจำน้องนีลได้รึเปล่าน๊าา

ปล.น้องนีล คนอ่านเลย อิอิ แอบคิดว่าเราจะเจอคนๆนั้นในเร็วๆนี้บ้าง


ปรางขวัญ 6 พ.ค. 2558, 10:06:57 น.
แฮ่ๆรีบพิมพ์เกิน จะบอกว่าน้องนีลอายุเท่าคนอ่านเลย


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account