หยกวาดตะวัน
"ฉันชื่อวาดตะวัน มาจากในนิยาย นิยายบนโลกมนุษย์นี่แหละ!"


เสียงเล็กแหลมของสาวน้อยที่แฝงไว้ด้วยความมาดมั่นร่ำร้องซ้ำแล้วซ้ำเล่าอยู่อย่างนั้น
ทำเอาชานนอยากจะเป็นบ้าตาย


ตอนนี้ชีวิตเขาวุ่นวายมากพออยู่แล้ว ไม่ว่าจะหน้าที่การงานหรือว่าคนรัก
เขาเพิ่งถูกแฟนสาวสลัดทิ้งมาหมาดๆ

แต่แล้วจู่ๆ วันดีคืนดีก็มีผู้หญิงร่างเล็กบอบบางแทบปลิวได้ตกลงมาในบ้านเขา
ซ้ำร้ายยังเอาแต่พร่ำเพ้อว่าตัวเองหลุดมาจากโลกในนิยาย

งานนี้ไม่รู้ว่าหล่อนหรือเขากันแน่ที่บ้า

...ทางเดียวที่ทำได้คือเขาต้องไล่หล่อนกลับไปในโลกนิยายอย่างนั้นเหรอ ?

Tags: นักเขียน แฟนตาซี ปาฎิหารย์ ใสซื่อ เวทย์มนตร์

ตอน: บทที่ 4 (ครึ่งหลัง)

บทที่ 4 (ต่อ)



วาดตะวันพินิจมองภาพถ่ายอัดใส่กรอบอย่างดีซึ่งตั้งอยู่บนโต๊ะข้างหัวเตียง ภาพนั้นเป็นภาพชายหนุ่มกับเด็กสาววัยต่างกันสักสิบกว่าปีได้ หน้าตาละม้ายคล้ายคลึงกัน กำลังยืนโอบเอวกันอยู่บนชายหาดโดยมีฉากหลังเป็นท้องทะเลผืนกว้าง

เพียงแวบแรก วาดตะวันก็จำได้แล้วว่าเป็นชานนกับมนชนก

หากฝ่ายน้องสาวมีการทำแก้มป่อง เบิ่งตาโต จิ้มที่แก้มตัวเองให้ดูน่ารัก ขณะที่พี่ชายยืนตัวตรงแน่วไม่ต่างจากไม้บรรทัด ฉีกยิ้มดูประดักประเดื่อพิกลให้กล้องเหมือนถูกบังคับให้ยิ้มยังไงยังงั้น เรียกรอยยิ้มขันจากวาดตะวัน ผู้ชายอะไรนอกจากจะขี้บ่น ขี้ระแวงแล้ว ยังขี้เก๊กอีก ยิ้มสักนิดก็ไม่เป็น

“ตื่นแล้วเหรอคะพี่วาดตะวัน”

เสียงมนชนกทำให้สาวที่กำลังนึกขันท่าทางของชายหนุ่มในภาพรีบหุบยิ้มพลัน ละสายตาจากภาพถ่ายนั้น

เมื่อคืนมนชนกให้วาดตะวันนอนด้วย เช้านี้เลยต้องใช้ห้องน้ำร่วมกัน มนชนกซึ่งเป็นฝ่ายตื่นมาเข้าห้องน้ำก่อนคงแอบเห็นพฤติกรรมสาวบนเตียงอยู่ก่อนแล้ว มองมายิ้มๆ

“เรื่องเมื่อวานพี่วาดตะวันอย่าไปโกรธพี่นนเลยนะคะ พี่นนเขาเป็นพวกซีเรียสกับชีวิตมาแต่ไหนแต่ไรแล้ว”

คำว่า ‘โกรธ’ นั้นกลับทำให้วาดตะวันมองอีกฝ่ายแปลกๆ หล่อนก็ไม่ได้โกรธอะไรชานนเสียหน่อย เอ๊ะ หรือโกรธ...

“ครอบครัวออมค่อนข้างจะสนิทกับพี่นนค่ะ คุณแม่ออมเป็นน้องสาวของคุณแม่พี่นน พวกท่านเป็นข้าราชการครูกันทั้งคู่ คุณพ่อพี่นนก็ด้วย แต่ตอนนี้พวกท่านเกษียณกันหมดแล้ว ตอนที่ออมสอบได้ที่หนึ่งครอบครัวออมก็ชวนพี่นนไปเที่ยวฉลองด้วยนะคะ อย่างที่พี่วาดตะวันเห็นในรูปนั่นแหล่ะ”

“แล้วคนอื่นๆ หายไปไหนกันหมดละคะ”

“บ้านหลังนี้เป็นของพี่นนค่ะ ออมแค่มาขออาศัยด้วยชั่วคราว” มนชนกเล่าอย่างรู้ใจพลางเดินไปหยิบชุดนักเรียนในตู้เสื้อผ้า โดยมีเจ้าซาหริ่มกระดิกหางตามมาไม่ห่าง มันนั่งเฝ้ามนชนกอยู่หน้าห้องน้ำนานแล้ว

“เผอิญพี่นนได้งานที่กรุงเทพฯ ตอนที่มาเรียนต่อมหาวิทยาลัยที่นี่น่ะค่ะ เลยตัดสินใจซื้อบ้านปักหลังอยู่ที่นี่ถาวรเสียเลย นานทีถึงจะค่อยกลับใต้ไปเยี่ยมคุณลุงคุณป้า”

แม้วาดตะวันจะตามอีกฝ่ายไม่ค่อยทัน งุนงงตั้งแต่คำว่ากรุงเทพฯ แล้ว แต่หล่อนก็พอจับใจความได้ว่าทั้งสองต้องอยู่ห่างจากบิดามารดาเช่นเดียวกันกับหล่อนเลยรู้สึกเศร้า

จะว่าไปแล้วมนชนกก็ยังดีกว่าหล่อนมากที่อย่างน้อยคิดถึงบิดามารดาเมื่อไหร่ก็ยังได้เจอหน้ากัน ได้พูดคุยทักทายกันให้หายคิดถึง ขณะที่หล่อนนั้น...คิดถึงบิดามากเพียงใด ก็ทำได้แค่เพียงนึกถึงภาพความทรงจำเก่าๆ ในวันคืนที่เคยมีบิดาอยู่เคียงข้าง แล้วตอนนี้หล่อนยังต้องมาหลงทางอยู่ท่ามกลางสถานที่แปลกหูแปลกตาอย่างบนโลกมนุษย์อีก...

“ตายจริง ออมมัวแต่โม้เรื่องตัวเองจนลืมเรื่องของพี่วาดตะวันไปเลย”

มนชนกมองเวลานาฬิกาฝาผนังห้องแล้วโอดครวญ

“โอย...สายแล้วด้วย ออมว่าจะถามเรื่องเครื่องรางประจำตัวเสียหน่อย ในเรื่องมนตร์ธารารักไงพี่วาดตะวัน เมื่อคืนออมหยิบมาอ่านใหม่เห็นรินธารามี พี่วาดตะวันเองก็น่าจะมีเหมือนกัน”

คว้ากระเป๋านักเรียนได้มนชนกก็ตาลีตาเหลือกออกจากห้องไป แต่แล้วเหมือนเพิ่งนึกอะไรบางอย่างออก อุตส่าห์ชะโงกหน้ากลับเข้ามาในห้องใหม่บอกกับวาดตะวันยิ้มๆ

“แล้วออมจะรีบกลับมาหาทางช่วยพี่วาดตะวันกลับบ้านนะคะ”

คล้อยหลังชานนออกไปส่งมนชนกที่โรงเรียนแล้ว วาดตะวันก็เริ่มลงมือทำความสะอาดบ้านให้เขา ด้วยความที่ตกลงกับเจ้าของบ้านไว้แล้วว่าระหว่างที่ยังหาวิธีกลับบ้านไม่ได้ เพื่อตอบแทนที่ชานนกับมนชนกให้หล่อนมาอาศัยอยู่ด้วยชั่วคราว หล่อนจะเป็นแม่บ้านที่ดีคอยปัดกวาดเช็ดถูทำความสะอาดบ้าน และทำกับข้าวแสนอร่อยให้ทั้งสองทานเอง ยังไงเสียมันก็เป็นสิ่งที่หล่อนทำเป็นประจำอยู่แล้วยามอยู่ในโลกนิยาย

เจ้าออกัสยกทัพพาเพื่อนกระรอกที่เพิ่งรู้จักกันในละแวกมาช่วยวาดตะวันทำความสะอาดบ้านด้วย พวกมันอาสาเป็นฝ่ายเช็ดถูเครื่องเรือนบนชั้นตามตู้โชว์ โดยมีเหล่าบรรดานกตัวน้อยๆ คอยเป็นลูกมือ

ภาพซาหริ่มที่พยายามกระโดดโหยงเหยงไล่นกที่บินโฉบไปมาแถวนั้น เรียกเสียงหัวเราะเล็กน้อยจากวาดตะวัน ต้องอุ้มมันขึ้นมาจากพื้นกอดไว้ในอ้อมแขน ไม่อยากให้ไปกวนนกพวกนั้น ก่อนที่บ้านจะเต็มไปด้วยเสียงนกกระจิบนกกระจอกสลับกับเสียงพูดคุยของกระรอก ประสานเสียงฮัมเพลงของวาดตะวัน พาบรรยากาศการทำความสะอาดบ้านครึกครึ้นขึ้นมาถนัดตา

“ขอโทษครับ มีใครอยู่บ้านบ้างครับ”

เสียงกริ่งตามมาด้วยเสียงตะโกนจากหน้าบ้านทำให้แม่บ้านสาวชะงัก ขณะที่สัตว์ทั้งหลายได้ยินเสียงคนเท่านั้นต่างแตกฮือรีบสลายตัวออกจากบ้าน ภายในบริเวณชั้นล่างจึงกลับมาสู่สภาวะปกติอีกครั้ง

หน้าประตูรั้วมีชายแปลกหน้าคนหนึ่งกำลังยืนเมียงๆ มองๆ เข้ามา เจ้าซาหริ่มเห็นก็วิ่งนำออกจากบ้านมาเห่าโฮ่งๆ ใส่ชายแปลกหน้าผู้นั้นราวกับเป็นผู้พิทักษ์สาวเจ้า ไม่ได้รู้ตัวสักนิดว่าตัวเล็กแค่นั้นไม่ได้ทำให้คนหน้าประตูรั้วตื่นกลัวแต่อย่างใด เขายังคงชะเง้อมองหาเจ้าของบ้าน หากทว่าสาวในบ้านที่ชะโงกหน้าออกมาดูทำให้เขาตกตะลึงกับภาพที่เห็น ไม่นึกว่าจะมีสาวสวยอาศัยอยู่บ้านใกล้เรือนเคียง

“ใครมาน่ะวาดตะวัน”

จู่ๆ ชานนก็ขับรถย้อนกลับมาบ้าน

วาดตะวันจากที่กำลังลังเลจดๆ จ้องๆ ชายหนุ่มด้านนอกเลยยอมออกมาจากบ้านเพื่อมาเปิดประตูรั้วให้ชานน แล้วต้องแปลกใจที่ยังเห็นมนชนกนั่งอยู่ในรถ

“ผมลืมโทรศัพท์มือถือไว้ในห้องนอนเลยกลับมาเอา” ชานนอ่านสีหน้าหญิงสาวตรงหน้าออกเลยบอกทั้งหน้ายุ่ง ก่อนหันไปมองชายหนุ่มอีกคนที่ยังคงยืนอยู่หน้าบ้านเป็นเชิงถามด้วยสายตา รายนั้นเหมือนรู้ตัวอยู่เหมือนกัน แต่ด้วยทีแรกนึกว่าวาดตะวันอยู่บ้านคนเดียว พอเห็นชานนเลยเสียหลัก

“ผม...เอ่อ...ชื่ออัศวินครับ พอดีมาเยี่ยมหลานที่บ้านหลังนั้น” อัศวินชี้ไปยังบ้านฝั่งตรงข้าม เป็นบ้านหลังเดียวกับสองแม่ลูกที่เคยมาดูวาดตะวันใต้ต้นมะม่วงคราวก่อน

“เรากำลังตีแบดกันอยู่น่ะครับ แล้วลูกแบดมันตกเข้ามาในสวนบ้านคุณเลยจะวานให้คุณวาดตะวันช่วยเก็บให้”

ชานนเลิกคิ้วอย่างเหลือเชื่อที่ชายหนุ่มชื่ออัศวินจดจำชื่อวาดตะวันจากที่เขาเรียกได้อย่างรวดเร็ว ขณะที่สาวเจ้าของชื่อนั้นมัวติดใจกับคำว่าลูกแบด ก็หล่อนรู้จักที่ไหนกันเล่า

อัศวินถือวิสาสะเข้าไปในบ้านอีกฝ่ายเพื่อหยิบลูกแบดมินตันที่หล่นอยู่บนพุ่มไม้ริมรั้ว ก่อนที่จะเดินกลับออกไปหาหลานชายที่กำลังยืนรออยู่หน้าบ้านฝั่งตรงข้าม ไม่วายอุตส่าห์หันมาส่งยิ้มหวานให้วาดตะวันเป็นการบอกลา วาดตะวันเพียงยิ้มรับมิตรภาพใหม่ที่ชายหนุ่มชื่ออัศวินมอบให้ ไม่ได้สังเกตหรอกว่ามีสายตาของชานนลอบมองดูพฤติกรรมหล่อนอยู่ตลอด





****************************




“อดัมคะ อย่าเพิ่งจากฉันไปค่ะอดัม”

ภาพหญิงมีอายุที่กำลังละเมอเพ้ออยู่บนเตียงคนป่วย เอื้อมมือไขว่คว้าไปบนอากาศราวกับต้องการหาใครสักคนทำให้รินรดาใจหายไม่น้อย รีบลุกจากโซฟามาหาหญิงมีอายุผู้เป็นป้า เกาะกุมมือเหี่ยวย่นนั้นไว้หวังว่าไออุ่นจากมือหล่อนจะช่วยทดแทนความรู้สึกนั้นได้บ้าง

“ดาอยู่นี่ค่ะป้าเพ็ญ”

เหมือนเพ็ญจันทร์จะได้ยินเสียงหลานสาว จากร้องละเมอจึงเงียบไป หากยังคงอยู่ในนิทรา

เสียงเปิดประตูห้องเรียกความสนใจจากรินรดาหันมอง ยามนั้นเองที่สีหน้าเนือยเผยรอยยิ้มกว้างออกมาเมื่อเห็นชานนย่างก้าวเข้ามาในห้อง รินรดาเป็นคนนัดแฟนหนุ่มให้มารับที่โรงพยาบาลเอง เพื่อพาหล่อนไปซื้อของบำรุงร่างกายให้เพ็ญจันทร์ด้วยกัน

“ไปกันรึยังครับดา”

“สักครู่นะคะนน เมื่อกี้ป้าเพ็ญเพ้ออีกแล้ว ดาขออยู่เป็นเพื่อนแกอีกหน่อยนะคะ”

ชานนเข้าใจหญิงสาวดีจึงไม่เร่งเร้า เลือกที่จะมาหยุดยืนข้างเตียงคนป่วยเป็นเพื่อนแฟนสาว

ระหว่างที่รินรดายังคงนั่งอยู่บนเก้าอี้ เกาะกุมมือเพ็ญจันทร์ไว้ไม่ห่างกาย ชานนถือโอกาสนั้นสบมองคนป่วยบนเตียงแล้วพบว่าป้าของรินรดาอยู่ในสภาพไม่สู้ดีเท่าไหร่นัก ด้วยร่างกายที่ซูบผอมกว่าวัยมาก ดวงหน้าคล้ำตอบลึกจนน่ากลัว และยังมีร่องรอยเหี่ยวย่นเต็มไปหมด

ศีรษะหญิงมีอายุผู้นั้นมีผ้าโพกไว้ คาดว่าน่าจะเป็นเพราะผมร่วงเนื่องจากผลข้างเคียงจากการรักษาด้วยคีโม

รินรดาเพิ่งบอกเขาว่ามีพี่สาวของบิดามานอนรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาลใกล้บ้านเขา หล่อนชื่อเพ็ญจันทร์ ป่วยเป็นโรคมะเร็งระยะที่สามแล้ว หากนับระยะเวลาตั้งแต่รินรดาพาเพ็ญจันทร์มารักษาตัวที่นี่จนถึงทุกวันนี้ อาการของเพ็ญจันทร์ยังไม่มีแนวโน้มว่าจะดีขึ้นและมีโอกาสหายดีเป็นปกติได้เลย จะมีก็แต่ทุเลาลงบ้างเพียงเล็กน้อยเท่านั้นในบางครั้ง ยามนี้กำลังใจจากครอบครังจึงเป็นสิ่งสำคัญที่สุด เพราะเหตุนี้ ไม่แปลกใจเลยที่คราวก่อนเขาถึงเจอรินรดาที่นี่ หล่อนคงมาเยี่ยมผู้เป็นป้าเหมือนเช่นทุกครั้ง

สภาพเพ็ญจันทร์ที่ดูแย่กว่าที่คิดไว้มากพลอยทำให้ชานนสงสารแฟนสาวไปด้วย โอบไหล่หล่อนให้กำลังใจ รินรดามักคอยแต่จะเป็นห่วงคนอื่นเสมอ จนบางครั้งเขาก็อดสงสัยไม่ได้ว่าหล่อนเคยเป็นห่วงตัวเองบ้างมั้ย

“วันหลังถ้าคุณจะมาเยี่ยมคุณป้าคุณเมื่อไหร่ ผมจะขับรถพาคุณมาเอง”

ชานนบอกหลังจากที่ทั้งเขากับรินรดาออกมาจากห้องคนป่วยด้วยกันแล้ว

น้ำเสียงแฟนหนุ่มที่ฟังเหมือนสั่งมากกว่าบอกรินรดาจึงอมยิ้ม รู้ว่าเขาคงเป็นห่วงหล่อนอีกตามเคย “ไม่เป็นไรค่ะนน ขับรถอ้อมไปอ้อมมาเหนื่อยแย่ ส่วนใหญ่ดามาเยี่ยมป้าเพ็ญทุกวันหยุดอยู่แล้วค่ะ สบายมาก”

“แต่ยังไงผมก็ยังเป็นห่วงคุณอยู่ดี” ชานนยังบ่น

“ระยะทางจากบ้านคุณมาโรงพยาบาลใช่ว่าใกล้ๆ ทำไมคุณถึงเลือกพาคุณป้ามารักษาที่นี่ล่ะ เท่าที่ผมฟังคุณเล่าแล้วก็ดูหมอด้านนี้ที่นี่ไม่น่าเก่งเท่าไหร่ ถ้าคุณป้าคุณได้ย้ายไปรักษาโรงพยาบาลอื่นอาจอาการดีขึ้นกว่านี้ก็ได้”

“บ้านป้าเพ็ญแกอยู่แถวนี้ค่ะ ดาจะพาแกไปรักษาที่ไกลๆ แกก็อดเป็นห่วงบ้านแกไม่ได้”

“อ้าว ผมนึกว่าแกอยู่กับคุณเสียอีก”

รินรดาส่ายหน้า “ป้าเพ็ญแกอยู่ตัวคนเดียวค่ะ ไม่มีสามี ส่วนบรรดาญาติพี่น้องส่วนใหญ่ก็อยู่ต่างจังหวัดกันหมด จะมีก็แต่คุณพ่อของดาเนี่ยแหละค่ะที่ยังคอยไปมาหาสู่กันบ่อยหน่อย เพราะอยู่กรุงเทพฯ เหมือนกัน”

พูดมาถึงตรงนี้รินรดาก็ถอนใจออกมา

“จะว่าไปชีวิตป้าเพ็ญแกน่าสงสารนะคะ แต่ไหนแต่ไรอยู่ตัวคนเดียวมาตลอด ถ้ามีลูกหลานคอยดูแลก็คงดี”

“ก็คุณไงหลานแก”

“โธ่นนคะ มันเหมือนกันที่ไหน” รินรดามีสีหน้าจริงจังขึ้นมา “ถ้าแกแต่งงานมีลูกมีหลานที่มาจากเลือดเนื้อเชื้อไขของแกเอง ชีวิตคงไม่เงียบเหงาอย่างที่เป็นอยู่ทุกวันนี้หรอกค่ะ...เฮ้อ ใครที่ว่าชีวิตโสดดี ดาว่าถ้าเขามาเห็นสภาพป้าเพ็ญแกตอนนี้ก็คงรู้ตัวว่าคิดผิดถนัด”

ความเห็นนั้นชานนฟังแล้วยิ้มแหยๆ ไม่อยากบอกเลยว่าเขาเองก็เคยเป็นหนึ่งในนั้นที่คิดเช่นนั้น !

ชานนขับรถออกจากโรงพยาบาลพารินรดามาห้างสรรพสินค้าในเวลาถัดมา แฟนสาวต้องการซื้อของใช้จำเป็นเข้าบ้าน รวมถึงของบำรุงสำหรับคนป่วยโรคมะเร็ง สิ่งที่รินรดาได้ติดมือกลับมาจากซูเปอร์มาร์เก็ตจึงไม่พ้นผัก ผลไม้ แล้วก็อาหารจำพวกเนื้อสัตว์หรือนมที่มีไขมันต่ำ ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นอาหารสุขภาพไว้ให้เพ็ญจันทร์ได้ทานบำรุงร่างกายยามอยู่โรงพยาบาลทั้งสิ้น หลังจากนั้นระหว่างทางไปส่งรินรดาที่บ้าน ชานนไม่ลืมแวะร้านขายต้นไม้ริมทางแห่งหนึ่ง เพื่อซื้อไม้ดอกสักห้าต้นที่เขาคิดว่าสวยที่สุดในร้านขนใส่รถมาด้วย

“ซื้อไปฝากน้องออมเหรอคะนน”

คำถามนั้นทำให้คนที่เพิ่งหย่อนกายลงนั่งบนเบาะหลังพวงมาลัยเพื่อประจำที่เป็นสารถีขับรถให้แฟนสาวชะงัก

หากรินรดาไม่ทันได้สังเกตอาการผิดปกตินั้น ยังชวนคุยต่อไปเรื่อย “ว่างๆ ชวนดาไปช่วยน้องออมปลูกต้นไม้บ้างสิคะ ดาเองก็ชอบต้นไม้เหมือนกัน เวลาเห็นแล้วรู้สึกสดชื่นดีน่ะค่ะ”

ชานนอ้ำอึ้ง ที่จริงแล้วเขาตั้งใจซื้อไปฝากสาวอีกคนที่เพิ่งมาอาศัยอยู่ด้วยต่างหาก ก็น้องสาวตัวดีน่ะสิบังคับไว้ให้เขาหาซื้อต้นไม้พวกนี้ไปเพื่อเป็นกิจกรรมยามว่างให้วาดตะวันได้ทำแก้เหงา

“หรือให้ดาไปบ้านนนวันนี้เลยดีคะ ไหนๆ วันนี้ก็...”

“ผมว่าอย่าเพิ่งเลย” ชานนหายอ้ำอึ้งทันที ขืนเขาปล่อยให้แฟนสาวไปเจอวาดตะวันที่บ้าน มีหวังได้ความแตกตั้งแต่ยังไม่ทันเริ่มโกหกแน่ รายนั้นยิ่งเพี้ยนๆ อยู่ด้วย

พอเห็นรินรดามองมาลักษณะงุนงงกึ่งไม่พอใจ ชานนเลยเพิ่งรู้ตัวว่าเผลอตอบเสียงห้วนออกไป รีบดึงมือแฟนสาวมาเกาะกุมอ้อน “โธ่ดาครับ เรามาจวนใกล้จะถึงบ้านคุณอยู่แล้ว..เอ่อ...อีกอย่างวันนี้เจ้าออมกลับบ้านค่ำด้วยเพราะต้องอยู่ทำงานต่อกับเพื่อนที่โรงเรียน ผมก็แค่ซื้อไปวางรอไว้ในสวนเฉยๆ เอาไว้วันหลังผมค่อยโทร.มาชวนคุณนะ”

ชานนสบโอกาสนั้นโน้มตัวมาหอมแก้มแฟนสาวทำหวานกลบเกลื่อน รินรดาแพ้สายตาเว้าวอนคู่นั้นของแฟนหนุ่มอยู่แล้วเลยยอมอ่อนให้ #



สรัน
เผยแพร่ครั้งแรกเมื่อ : 2 พ.ค. 2558, 11:10:49 น.
แก้ไขครั้งล่าสุด : 2 พ.ค. 2558, 11:10:49 น.

จำนวนการเข้าชม : 1052





<< บทที่ 4 (ครึ่งแรก)   บทที่ 5 (ครึ่งแรก) >>
Zephyr 2 พ.ค. 2558, 14:39:45 น.
แหมๆ มีซื้อของฝากกันด้วย คริคริ
เดี๋ยวดารู้ พี่นนโดนแหกอกแน่ๆ


สรัน 2 พ.ค. 2558, 16:47:10 น.
นึกภาพตามคุณZephyrแล้วสยองเลย555555


เข้าระบบ เพื่อแสดงความคิดเห็นด้วย weblove account